ท่ามกลางท้องฟ้าซึ่งมีเพียงแสงดาวส่องประกายระยับทักษาเห็นมหาเสนาบดีนฤวรนั่งรถยนต์พร้อมผู้คุ้มกันสี่คนไปที่ร้านอาหารย่านชานเมือง จึงติดตามเข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นทั้งหมดเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวซึ่งสอบถามได้ความว่าท่านนฤวรจองเพื่อการสังสรรค์ระหว่างเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยไว้ตั้งแต่บ่ายแล้ว ครู่ต่อมาจึงเห็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับมหาเสนาบดีเดินเข้าไปในห้องนั้น เสียงหัวเราะสนุกสนานดังตามออกมาพร้อมกับการเสริฟอาหารเข้าไปต่อเนื่อง ทักษาตัดสินใจนั่งรอดูนอกห้องเพื่อหาโอกาสสังหารเป้าหมายตอนกลับบ้านเพราะครั้งนี้มีผู้คุ้มกันน้อยกว่าปกติ มันจึงเป็นโอกาสทองครั้งเดียวเท่านั้น ขณะเดียวกันมหาเสนาบดีนฤวรเร่งฝีเท้าเดินไปตามอุโมงค์ใต้ร้านอาหารแห่งนั้นมุ่งตรงไปยังอุทยานหลวงในวังไวชยันต์ซึ่งอยู่ใกล้ตำหนักหลวงของพระเจ้าชเยนทรา พักใหญ่เขาเล็ดลอดสายตาของทหารเฝ้าหน้าประตูห้องพักไปยังประตูลับด้านข้างตำหนักโดยผู้คุ้มกันสองคนซ่อนตัวคอยรับเจ้านายในบริเวณใกล้เคียงท่ามกลางความมืดและความเงียบ
พระเจ้าชเยนทรารับการตรวจร่างกายและดื่มยาแล้ว หมอหลวงสั่งห้ามการรบกวนใดๆเพื่อให้พระองค์นอนพักผ่อนตลอดคืนอันจะส่งผลให้พละกำลังฟื้นคืนตอนรุ่งเช้าได้ มหาอำมาตย์พยนต์จึงมีคำสั่งห้ามผู้ใดเดินเข้าใกล้ห้องพักเด็ดขาด เสียงเคาะเตียงดังเป็นจังหวะพระเจ้าชเยนทรายันกายขึ้นนั่งแล้วรวมพละกำลังเลื่อนตัวไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง จากนั้นดึงผ้าปูเตียงขึ้นแล้วเคาะตอบไปสามครั้ง แผ่นไม้ใหญ่ค่อยๆเผยอขึ้น ใบหน้าของมหาเสนาบดีนฤวรโผล่ขึ้นมาแล้วปีนขึ้นไปนั่งคุกเข่าที่เบื้องหน้าของประมุขเฒ่า
“ท่านพยนต์ไม่ให้กระหม่อมเข้าเยี่ยมพระองค์ จึงต้องใช้ทางลับนี้ ขออภัยโทษที่รบกวนด้วยวิธีนี้”
ประมุขเฒ่ายิ้มเพลีย พลางโบกมือไปมา “ฉันต้องการพบท่านเช่นกัน โชคดีที่หมอหลวงร่วมมือกีดกันพวกนอกห้องไว้ ปล่อยให้พวกเราพูดคุยกันได้สบายปากหน่อย”
“หมอหลวงเป็นผู้จงรักภักดีที่พิสูจน์ด้วยกาลเวลาแล้ว”
“ลุกขึ้นมานั่งคุยกันเถอะ เพื่อน” เขากล่าว พลางแตะที่แขนของอีกฝ่าย
มหาเสนาบดีลากเก้าอี้มานั่งใกล้กัน พลางมองสำรวจประมุขเฒ่า
“ท่านป่วยด้วยโรคอะไร ?”
“หมอหลวงบอกว่าหัวใจอ่อนแอ พักผ่อนก็หายแล้ว”
กลิ่นหอมในห้องสร้างความสงสัยแก่ท่านนฤวร “กลิ่นกำยานในห้องไม่เหมือนเดิม”
“ท่านช่างสังเกตนะ..............” เจ้าของห้องพูดเย้า แล้วหัวเราะออกมา “............ท่านพยนต์คงกลัวฉันเบื่อกลิ่นเดิมๆ จึงให้ติชิลาผสมกลิ่นกำยานใหม่ๆมาให้เสมอ ล่าสุดเพิ่งเปลี่ยนเมื่อวานนี้เอง มันฉุนไปนิด ฉันจะบอกเขาทีหลัง”
มหาเสนาบดีมองโถกำยานอย่างสงสัย “ติชิลาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยา กระหม่อมเกรงว่า.......”
“ท่านคิดว่าฉันจะถูกวางยาพิษงั้นรึ ?”
“มันอาจเกิดขึ้นได้”
พระเจ้าชเยนทรานิ่งไปอึดใจหนึ่ง ริมฝีปากแย้มเล็กน้อย
“ถ้าเขาจะทำ คงฆ่าไปนานแล้ว อย่าระแวงใจเลย”
“พระองค์กำลังท้อใจอยู่”
“ฉัน...........”
“ประเทศมฆวันจะสงบสุขเมื่อพระองค์ปกครองดูแล มิใช่ปล่อยให้อยู่ในบงการของท่านพยนต์ซึ่งมิได้รักประชาชนอย่างแท้จริง เขาเพียงแค่ชื่นชมและหลงใหลในอำนาจเท่านั้น”
“เขาเกรงกลัวท่านด้วย”
มหาเสนาบดีส่ายหน้า “กระหม่อมเป็นหมากป้องกันเขาทำร้ายประชาชน แต่พระองค์คือกำแพงกั้นเขาอยู่ในวังเท่านั้น เราต่างมีหน้าที่เพื่อความสงบในบ้านเมือง”
“ถ้าตอนนั้นฉันเชื่อพระบิดาที่ก่อนตายรับสั่งห้ามมอบตำแหน่งสูงแก่ท่านพยนต์ คงไม่ต้องลำบากใจในวันนี้”
“เมื่อก่อนท่านพยนต์เป็นเพื่อนเรียนและผู้รับใช้ที่ดีของพระองค์ แต่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากความไม่รู้จะพอของเขา”
“ถ้าเขามีนิสัยเหมือนท่าน มันคงดีมากเลย” เจ้าของห้องถอนใจเฮือกใหญ่
“ท่านพยนต์ถือกำเนิดจากครอบครัวนอกวังที่ยากจน แต่ได้ดีเพราะความฉลาดและมีโชคชะตาร่วมกับพระองค์ เราเปลี่ยนชะตากรรมไม่ได้ แต่ประคองมันได้”
“ฉันฝากทุกอย่างไว้ในมือของท่านแล้ว”
มหาเสนาบดีจูบมือของพระเจ้าชเยนทราด้วยความรักภักดีเต็มหัวใจ พลางกล่าวว่า “พวกเราต้องช่วยกันปกป้องความสงบในแผ่นดินนี้ไว้”
“ฉัน.....เหนื่อย...........”
“อย่าทรงท้อแท้ใจ เจ้าชายอัคนีและประชาชนอยู่ในหัตถ์ของพระองค์แล้ว”
“ฉันอ่อนแอลงมาก เอาเถอะ คำพูดของท่านทำให้ฉันรู้ว่าต้องรักษาชีวิตไว้เพื่ออะไร”
“กระหม่อมและครอบครัวยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องพระองค์ เจ้าชาย และแผ่นดินนี้ไว้จากความละโมบของท่านพยนต์”
“ขอบใจมาก นฤวร” เจ้าของห้องโอบกอดมหาเสนาบดีไว้แน่น ปากบอกอีกว่า “ท่านเป็นเพื่อนรักของฉันตลอดไป”
ดวงตาของมหาเสนาบดีนฤวรมีน้ำใสคลอด้วยความปลื้มใจ ก่อนกลับเข้าทางลับเขายังดับกำยานกลิ่นใหม่นี้
“พระองค์ไม่ควรรับกำยานจากสมาชิกในครอบครัวท่านพยนต์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเขามีความภักดีต่อพระองค์ มันอาจช่วยยืดเวลาอันตรายออกไปได้”
“ฉันจะทำตามที่ท่านเตือนไว้” เจ้าของห้องบอกด้วยรอยยิ้มเพลีย
มหาเสนาบดีกล่าวอำลาแล้วกลับเข้าทางลับ พระเจ้าชเยนทราปูผ้าบนเตียงแล้วเอนกายนอนพักผ่อนด้วยความโล่งใจหลังจากพูดคุยกับข้าหลวงคนสนิทที่วางใจได้
ระหว่างเส้นทางกลับบ้านพักนั้นมหาเสนาบดีนฤวรกับผู้คุ้มกันนั่งรถยนต์ไปท่ามกลางความมืด เมื่อรถแล่นผ่านป่าละเมาะข้างทางลูกไฟสีแดงพุ่งทะลุกระจกหน้าเป็นรูกว้างเข้าสู่ทรวงอกของท่านนฤวรอย่างแม่นยำ ทุกคนเห็นเงาดำโฉบผ่านหน้ารถไปเท่านั้น
“ท่าน..........”
ผู้คุ้มกันทั้งสี่มองตกใจเมื่อไม่เห็นบาดแผลที่ทรวงอก แต่ใบหน้าของมหาเสนาบดีแดงจัด เลือดไหลออกจากปากอย่างน่ากลัว
“ไปหานิชา” ท่านนฤวรบอกก่อนสิ้นสติ
มหาเสนาบดีนฤวรค่อยๆลืมตาขึ้นมองรอบกายจึงทราบว่านอนอยู่บนเตียงในห้องพัก โดยมีนิชายืนรออยู่ข้างเตียง ความร้อนยังระอุในร่างกายผสมกับอาการเจ็บหน้าอกซึ่งทวีเพิ่มขึ้นทีละน้อย เขาไอออกมาอย่างแรงหลายครั้งก่อนที่นิชาจะให้ดื่มน้ำเย็นที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
“น้ำอะไร ช่างเย็นเหลือเกินทั้งที่ไม่ได้ผ่านตู้เย็น”
“น้ำผสมยาของข้าจะช่วยลดความร้อนในกายของท่านได้ชั่วเวลาหนึ่ง” นิชาตอบเน้นเสียง
มหาเสนาบดียันกายขึ้นนั่ง ใบหน้าซีด “ฉันโดนอะไร ?”
“ธนูพลังจิต ! ส่วนผงพิษกระจายเข้าสู่ปอดของท่านเมื่อกระจกด้านหน้ารถแตก นักฆ่าตั้งใจสังหารท่านให้ตายสถานเดียว”
“เขาทำสำเร็จใช่ไหม ?” เขาถาม แววตาหวาดหวั่น
“ข้ารักษาลมหายใจของท่านได้สักพักเท่านั้น หากค้นหาได้ว่าผงพิษทำจากอะไร ก็คงช่วยได้ แต่ธนูสร้างจากพลังจิต มันแล่นไปตามเส้นเลือด ถ้าตรงเข้าหัวใจเมื่อไร ท่านก็ตาย”
“เจ้าไม่มีวิธีกำจัดธนูบ้านั้นหรือ ?”
“ตำรามีวิธี แต่ทางปฏิบัติทำยาก”
“ทำไม ?”
“แผ่นดินนี้ทักษาเป็นผู้สร้างธนูพลังจิตได้เพียงคนเดียว คนที่ถอนธนูก็ต้องเป็นเขาเท่านั้น”
มหาเสนาบดีทำเสียงหึในลำคอ พลางส่ายหน้าช้าๆ “ในที่สุดท่านพยนต์ก็กำจัดศัตรูสำคัญสำเร็จแล้วใช่ไหม ?”
“ข้าจะพยายาม...........”
“ฉันมีเวลาอีกเท่าไร ?”
“ไม่เกินสามวัน”
“เจ้ารักษาเวลาของฉันให้มากที่สุด ฝากด้วยนะ”
นิชาค้อมกายลงต่ำ แล้วเดินออกจากห้องนั้น ปล่อยให้มหาเสนาบดีนฤวรนั่งใช้ความคิดหนักเมื่อทราบกำหนดเวลาตายของตัวเอง
“ฉันไม่ยอมให้ท่านอยู่สงบแน่” เขาบอกเข่นเขี้ยว แล้วเขียนคำสั่งสุดท้ายให้ลูกชาย
ณ บ้านพักของมหาอำมาตย์พยนต์เขานั่งฟังรายงานจากทักษาด้วยความกระหยิ่มใจเมื่อมั่นใจว่าศัตรูคนเดียวของเขาจะมีลมหายใจเหลือไม่มากแล้ว แม้แต่พระเจ้าชเยนทรายังอยู่ในความดูแลของเขาอย่างเข้มงวด หากกำยานที่ติชิลาปรุงไว้ก่อผลตามที่คาดไว้ มินานนี้เขาจะควบคุมอำนาจในวังและนอกวังเพียงคนเดียว
เช้าวันต่อมาพระเจ้าชเยนทราไม่เห็นรายชื่อของมหาเสนาบดีในแฟ้มบุคคลเข้าเยี่ยมตามปกติ จึงถามจากมหาอำมาตย์พยนต์ซึ่งมาพบเป็นคนแรก
“ท่านนฤวรขอลาป่วยสามวัน” ท่านพยนต์ยื่นจดหมายให้อีกฝ่าย “เขาให้เด็กส่งจดหมายมาที่นี่แล้ว”
“เขาเป็นคนแข็งแรง ครั้งนี้น่าจะป่วยหนัก” สีหน้าของพ่อเมืองบอกความห่วงใยหลังจากอ่านจดหมายลาป่วยฉบับนั้น “ฉันจะไปเยี่ยมเขา เตรียมเดินทาง !”
“กระหม่อมเห็นว่าสุขภาพของพระองค์ยังไม่ดีนัก ควรพักผ่อนให้มาก เมื่อเป็นปกติค่อยไปเยี่ยมเขา มันน่าจะเป็นเรื่องดีที่สุด ครั้งนี้แค่ส่งสารแสดงความห่วงใยก็พอแล้ว”
พระเจ้าชเยนทราปรายตามองนิดหนึ่ง แล้วถอนหายใจ “ฉันควรเชื่อฟังท่านใช่ไหม ?”
“กระหม่อมให้คำแนะนำเท่านั้น” ท่านพยนต์รับรู้ความไม่พอใจจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย
มหาอำมาตย์พยนต์แย้มริมฝีปากเล็กน้อยยามเห็นอีกฝ่ายหยิบหนังสือแต่งตั้งติชิลาเป็นหัวหน้าห้องโอสถซึ่งเขาตั้งใจวางไว้เป็นฉบับแรกเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบเร็วที่สุด
พระเจ้าชเยนทราขมวดคิ้วเล็กน้อย ยามเปิดอ่านข้อความในหนังสือฉบับนั้น แล้ววางบนโต๊ะ
“ฉันไม่มีจิตใจจะอ่านเอกสารพวกนี้ ช่วงบ่ายค่อยมาดูใหม่เถอะ”
“พระองค์ควรแยกความห่วงใยจากภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ”
“ถ้าอยากเร่งหนังสือฉบับนี้ ท่านก็ทำเองสิ” พระเจ้าชเยนทราบอกกระแทกเสียง แล้วลุกเดินจากไปอย่างไม่สนใจสายตาของมหาอำมาตย์พยนต์
“ยังมีแรงดื้ออีกหรือ ?” ท่านพยนต์พูดเข่นเขี้ยว แล้วเรียกนางกำนัลประจำห้องบรรทมของพ่อเมืองมาซักถามบางอย่าง
นางกำนัลค้อมกายต่ำยามยืนอยู่ต่อหน้ามหาอำมาตย์ ท่านพยนต์มองสำรวจทีหนึ่งก่อนถามว่า “เจ้าดูแลในห้องบรรทมใช่ไหม ?”
“สามวันนี้เป็นเวรของข้า” หล่อนตอบอย่างหวั่นกลัว
“พระองค์เปลี่ยนแปลงกิจวัตรบ้างไหม ?”
“กิจวัตรรึ ?”
“เจ้าคิดทบทวนให้ดีก่อนตอบนะ” ท่านพยนต์เอ่ยเตือน
นางกำนัลนิ่งคิดชั่วครู่ จึงตอบว่า “พระองค์ไม่โปรดให้จุดกำยานตั้งแต่เช้าแล้ว”
“กำยานรึ ? ทำไม ?”
“ไม่ทรงบอกอะไร เพียงกำชับมิให้จุดมันต่อไปจนกว่าจะแข็งแรงดังเดิม”
มหาอำมาตย์พยนต์ขมวดคิ้ว พลางกวักมืออนุญาตให้นางกำนัลกลับไปทำงาน พระเจ้าชเยนทราดูสดชื่นกว่าหลายวันก่อนอันเนื่องจากไม่ได้รับกลิ่นกำยานของติชิลา พระองค์ทราบหรือว่าความอ่อนแอเกี่ยวพันกับกลิ่นกำยานนั้น เขาเริ่มหวั่นระแวงใจ
“ถ้าไม่มีนฤวร พระองค์จะขัดขืนชะตาในมือของฉันได้อีกหรือ ?”
ดวงตาของท่านพยนต์ส่องประกายมาดหมายบางอย่าง เขาใช้มือถือติดต่อติชิลา
“พ่ออยากให้ปรุงยาพิษที่ไร้ยาถอนเพื่อมอบให้นฤวรในนามของพ่อเมือง ด่วนด้วย”
ณ บ้านพักของมหาเสนาบดีแห่งประเทศมฆวันเจ้าของบ้านกำชับมิให้แจ้งข่าวการป่วยแก่ลูกชายซึ่งเดินทางไปต่างประเทศร่วมกับเจ้าชายอัคนี แล้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนเพียงคนเดียว นิชานำยาบำรุงมาส่งให้ด้วยตัวเอง
“ยายืดเวลาของฉันรึ ?” ท่านนฤวรเอ่ยเย้าในทีแล้วดื่มจนหมดถ้วยโดยไม่อิดออด
นิชาบอกเสียงขรึมว่า “มันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากธนูพลังจิตและเสริมกำลังแก่ท่านได้ ข้าพยายามค้นคว้าจากตำรายาเต็มที่ด้วยหวังว่าจะทำได้มากกว่านี้”
“เจ้าทำงานเต็มความสามารถก็เพียงพอแล้ว เวลาที่เหลืออยู่ในกำมือของสวรรค์เถอะ”
“ข้า..........”
เจ้าของบ้านเงยหน้ามองใบหน้าไม่สบายใจของนิชา แล้วยิ้ม “อย่าโทษตัวเอง มันเกินความสามารถของเจ้าแล้ว ฉันเข้าใจดี”
“คนดีไม่ควรรับผลร้ายเช่นนี้”
“คนดีหรือคนชั่วล้วนไม่อาจเอาชนะความตาย ฉันไปถึงจุดนั้นเร็วกว่าเท่านั้น” เขาหัวเราะเบาๆ พลางถามว่า “งานที่ฉันให้ทำไปถึงไหนแล้ว”
“ข้าจัดการนำมันไปซ่อนไว้ในถ้ำไตรภพแล้ว ความลับนี้จะอยู่กับข้าคนเดียว”
“เจ้ารับภาระนี้ไว้หรือ ?” เขามองห่วงใย
นิชาชี้ไปบนท้องฟ้า พลางตอบว่า “เมื่อคืนนี้ข้าใช้วิชาทำนายชะตาจากดวงดาว เมฆดำปกคลุมแผ่นดินนี้จริง แต่พายุร้ายจากนอกแดนจะปัดเป่าเมฆดำในไม่ช้า”
“ฉันไม่มีแรงจะดูคำทำนายจากดวงดาวมาหลายวันแล้ว อยากรู้ว่าพายุร้ายนั้นคืออะไร”
“มันส่งผลดีต่อวังไวชยันต์ พวกเราไม่ควรใส่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร”
“เจ้ารู้แล้วสินะ”
“ข้ารู้ หากท่านบังคับให้บอกบัญชาจากสวรรค์ ข้าไม่อาจขัดขืนได้”
มหาเสนาบดีส่ายหน้า ริมฝีปากแย้มยิ้ม “ฉันเข้าใจกฎของนักทำนายดีว่า โทษการเปิดเผยบัญชาแห่งสวรรค์ต้องลดทอนอายุของตนลงครึ่งหนึ่ง ฉันอยากให้เจ้าอยู่ช่วยเหลือเจ้าชายและโชตกนานที่สุดเพราะคนที่ไว้วางใจได้ที่สุด คือ นิชา”
“ขอบคุณที่ท่านมอบเกียรตินี้แก่ข้า”
คนรับใช้เดินมาแจ้งให้ทราบว่าข้าหลวงของวังไวชยนต์นำสารและยาบำรุงจากพระเจ้าชเยนทรามามอบให้เจ้าของบ้าน
“ทำไมจึงไม่ส่งนางกำนัลประจำพระองค์ทำงานนี้ แต่เป็นคนของท่านพยนต์” เขาขมวดคิ้ว
นิชาเอ่ยเตือนว่า “ช่วงนี้มีความขัดแย้งกันระหว่างท่านกับท่านพยนต์ อีกทั้งเขาชอบอ้างราชโองการของพระองค์เพื่อกำจัดศัตรูดังที่เคยกระทำต่อเผ่าชุษณะของข้ามาแล้ว ระวังตัวด้วย”
“ท่านพยนต์ต้องทำอย่างแนบเนียน ถ้าเป็นราชโองการของพระองค์แท้ๆ ฉันคงต้องเชื่อฟัง แม้จะรู้ว่าเร่งความตายก็ตาม” เขามีท่าทีหนักใจ
นิชานิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะส่งยาเม็ดสีดำให้เจ้านาย “ท่านกลืนยาเม็ดนี้แล้วค่อยไปดื่มยาพิษ มันจะช่วยสลายพิษขณะยาผ่านลำคอ แต่จะส่งผลกระทบกับท่านซึ่งมีร่างกายอ่อนแออยู่แล้วให้ทรุดลงอีก ข้าช่วยเหลือได้แค่นี้”
“มันมากเหลือประมาณแล้ว นิชา” เขาบอก แล้วเดินไปที่ห้องรับรองแขก
นิชามองตามเจ้านายด้วยสายตาห่วงใยและผิดหวังที่มิอาจช่วยชีวิตของผู้มีพระคุณได้ หากขาดมหาเสนาบดีนฤวรไป ผู้ใดจะแก้แค้นคนที่สังหารครอบครัวของหล่อนและเผ่าชุษณะทั้งหมดได้ เวลารอคอยที่ผ่านมาจะสูญเปล่างั้นรึ ? หล่อนคิดหม่นใจ
มหาเสนาบดีนฤวรอ่านข้อความในสารจากพระเจ้าชเยนทราซึ่งแสดงความห่วงใยอย่างเป็นทางการพร้อมมอบยาบำรุงจากห้องโอสถให้เขา สิ่งที่สังเกตเห็นคือ ปกติแล้วพระองค์จะเขียนสาส์นห่วงใยด้วยลายพระหัตถ์ทุกครั้งยามรับทราบว่าเขานอนป่วยอยู่ แต่ครั้งนี้เป็นตัวพิมพ์ดีดเท่านั้น
“ฝากขอบพระทัยถึงพระองค์ด้วย” ท่านนฤวรเอ่ยเสียงเรียบ ขณะพับสาส์นแล้ววางบนโต๊ะ
“ข้าจะแจ้งแก่ท่านพยนต์เพื่อทูลต่อพระองค์ต่อไป”
“ส่วนยาถ้วยนี้จะ............”
ข้าหลวงหนุ่มพูดว่า “พระองค์กำชับให้ท่านดื่มทันที ข้าจะได้นำเรียนต่อท่านพยนต์ด้วย”
“งั้นรึ ?” เขามองถ้วยยาซึ่งบรรจุน้ำสีน้ำตาลเข้ม
“ขอท่านเห็นใจด้วย”
“ก็ได้”
ข้าหลวงหนุ่มยิ้มนิดหนึ่ง ยามเห็นมหาเสนาบดีดื่มยาแล้วคว่ำถ้วยให้เห็นว่าหมดแล้ว
“พอใจแล้วสินะ”
“ข้าจะกลับไปรายงานแก่ท่านพยนต์ก่อน” ข้าหลวงบอกแล้วเดินจากไป
มหาเสนาบดีกระอักเลือดพุ่งกระจายลงพื้น พลางบอกคนรับใช้ให้ตามนิชาไปพบที่ห้องหนังสือทันที จากนั้นจึงให้ประคองเขาไป
นิชาจับชีพจรแล้วตรวจอาการของมหาเสนาบดีนฤวรอย่างละเอียด สีหน้าไม่ดีนัก หล่อนส่งเม็ดยาหลากสีห้าเม็ดให้เขากลืนทันที
“เขาใช้ยาพิษสยบอินทรีที่ไร้กลิ่น ไร้สี ในตำราท่อนที่ท่านพยนต์ขโมยไปไม่มียาถอน เพราะมันอยู่ที่ข้า แต่ด้วยร่างกายอ่อนแอของท่าน มันจะ...........”
“ลดทอนกำลังของฉันใช่ไหม ?”
“ใช่”
“เจ้าทำให้ฉันแข็งแรงเพื่อหลอกตาท่านพยนต์สักครั้งได้ไหม ?”
“ได้ แต่วิธีนั้นบั่นทอนเวลาของท่านลงด้วย”
“ฉันอยากพบพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย”
“เขาขัดขวางท่านอยู่มิใช่หรือ ?”
“ฉันมีวิธีเข้าเฝ้า หน้าที่ของเจ้าคือ ทำให้ฉันแข็งแรงในหนึ่งวัน”
“ข้าจะเตรียมยาให้ท่านเดี๋ยวนี้” หล่อนกล่าวแล้วเดินจากไป
ตลอดทั้งวันมหาอำมาตย์พยนต์นั่งรอฟังข่าวประกาศความตายของมหาเสนาบดีผู้เป็นศัตรูอย่างกระหยิ่มใจหลังจากแน่ใจว่าฝ่ายนั้นดื่มยาพิษที่ติชิลาปรุงพิเศษและใช้ราชโองการของพระเจ้าชเยนทราบังคับดื่มแล้ว จนกระทั่งตอนเย็นเขาตกใจที่รับรายงานว่ามหาเสนาบดีนฤวรเดินทางไปเข้าเยี่ยมและได้รับอนุญาตจากประมุขเฒ่าแล้ว เขาเร่งเดินทางไปขัดขวางการพบพูดคุยของทั้งสองโดยเร็ว
มหาเสนาบดีนฤวรเดินเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าชเยนทราแล้ว พระองค์สั่งให้ทุกคนออกไปข้างนอกเพื่อคุยกันตามลำพัง ท่านนฤวรมองแน่ใจว่าไม่มีทหารยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องแล้ว จึงคุกเข่าลงเบื้องหน้าของประมุขเฒ่า
“ท่านไม่สบายก็ควรนอนพัก ทำไมต้องลำบากมาเยี่ยมฉัน ?”
“กระหม่อมมากล่าวอำลากลับไปสู่อ้อมกอดของสวรรค์”
“ท่าน...........”
มหาเสนาบดีบอกเล่าการลอบสังหารและการบังคับดื่มยาพิษด้วยราชโองการของประมุขเฒ่า
“ฉันไม่ได้เขียนสาส์นหรือมอบยาให้ท่านเลย นี่เขากล้าทำเพียงนี้เชียว”
“อย่าทรงโมโหเลย กระหม่อมอโหสิกรรมแก่เขาแล้ว ครั้งนี้อยากอำลาเป็นครั้งสุดท้าย”
ประมุขเฒ่ามองสำรวจอีกฝ่าย พลางขมวดคิ้ว
“ท่านดูแข็งแรงดีนี่นา อย่าคิดมากสิ”
“กระหม่อมให้หมอยาช่วยฟื้นกำลังเพื่อเดินทางมาหาพระองค์ มินานนี้ก็คงนอนบนเตียงรอความตายแล้ว” ท่านนฤวรบอกอย่างไม่มีทีท่าหวั่นกลัว
“อย่าพูดเช่นนี้ นฤวร”
พระเจ้าชเยนทราเข้าไปโอบกอดเพื่อนสนิทไว้แน่น น้ำตาคลอ
“ความดื้อรั้นของฉันทำลายท่านจริงๆ ความผิดของฉันเอง”
“กระหม่อมยินดีที่รับใช้พระองค์มาหลายสิบปี ต่อไปต้องระวังให้มากด้วย เจ้าชายกับโชตกยังเด็กและต้องได้รับการสนับสนุนจากพระองค์จึงสามารถรับมือกับท่านพยนต์ได้”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
หัวใจของมหาเสนาบดีหม่นเศร้าหนักขึ้น ยามได้ยินเสียงสะอื้นของประมุขเฒ่า
“กระหม่อมไม่อาจอยู่ปกป้องพระองค์แล้ว แต่มีคำทำนายหนึ่งที่ต้องแจ้งให้ทราบไว้”
“คำทำนายรึ ?”
“เมฆดำเหนือวังไวชยันต์จะมีพายุปัดเป่าให้สิ้นสลาย ผู้ชี้บอกพายุนั้นคือ โชตก ขอพระองค์ส่งเสริมพายุนั้นด้วย”
“พายุที่ต้องส่งเสริมรึ ? แต่...........”
“พายุเกิดได้ ก็เสื่อมได้ตามธรรมชาติ มันเป็นลิขิตสวรรค์”
“ถ้าควบคุมพายุไม่ได้ พยนต์อีกคนจะถือกำเนิดขึ้นนะ”
ดวงตาของท่านนฤวรบอกความมั่นใจ “เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์จะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำอีกแน่ อีกอย่างหนึ่งขอให้ทรงใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวใดๆและระวังทุกสิ่งที่เกี่ยวพันกับท่านพยนต์มิให้เข้าใกล้พระองค์”
“ฉันจะจดจำไว้”
“โชตก คือ ตัวแทนความภักดีของกระหม่อม ขอให้ทรงพิจารณาคำแนะนำของเขาให้มาก”
“ฉันเชื่อใจพวกท่านสองพ่อลูกมาตลอด” ประมุขเฒ่ากล่าวยืนยันหนักแน่น
“การกำจัดพยนต์ต้องอาศัยความร่วมมือและวางใจของเจ้าชายและโชตก อย่าลืมเด็ดขาด”
“ฉันมีเวลาเหลือเท่าไร ?”
มหาเสนาบดีอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนกระซิบตอบคำถามนั้น ใบหน้าเศร้าสลด
“ไม่นานเท่าไรที่เราจะพบกันและอยู่สงบเสียที” ประมุขเฒ่าบอกเสียงหม่น แล้วถอนหายใจหนักหน่วง “ฉันอดห่วงใยอัคนีไม่ได้ เกรงว่าท่านพยนต์จะฆ่าเขาสำเร็จ”
“ชะตาของเจ้าชายไม่สั้นแน่นอน พระองค์วางใจได้”
มหาเสนาบดีไอแรงๆ หยดเลือดกระเซ็นใส่เสื้อของประมุขเฒ่า
“นฤวร...........”
“กระหม่อมจะไปรอคอยรับใช้พระองค์ก่อน อย่าทรงตกใจเลย”
พระเจ้าชเยนทรากอดข้าหลวงและเพื่อนสนิทเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อได้ยินเสียงมหาอำมาตย์พยนต์ที่นอกห้อง
“กระหม่อมทูลลาแล้ว”
“ฉันจะทำตามแผนของท่านอย่างเคร่งครัด วางใจได้ เพื่อนรัก”
มหาเสนาบดีนฤวรเรียกความเข้มแข็งกลับคืนมาโดยเร็วแล้วยืนขึ้น
“พระองค์ต้องแสดงความเข้มแข็งให้เขาเห็น มิฉะนั้น แผนจะล้มเหลวทันที”
“ฉันจะจำไว้” ประมุขเฒ่าบอกแล้วกอดมหาเสนาบดีไว้แน่น น้ำตาไหล “ไม่นานเราจะพบกัน เพื่อนรัก”
เมื่อประตูห้องบรรทมเปิดกว้างมหาอำมาตย์พยนต์จึงเห็นพระเจ้าชเยนทรายืนดื่มน้ำชากับมหาเสนาบดีนฤวรด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพยนต์มีธุระอะไร ?” เจ้าของห้องถามสงสัย
“กระหม่อมได้ข่าวว่าท่านนฤวรมารบกวนการพักผ่อนของพระองค์ จึงคิดจะเตือนเพราะเด็กๆไม่กล้าขัดขวางเขา” ท่านพยนต์บอกเสียงเข้ม แววตาเอาเรื่อง
“ฉันอนุญาตเขา ถ้าจะตำหนิก็ควรทำกับฉัน”
“กระหม่อมมิบังอาจทำเช่นนั้นเมื่อเป็นความปรารถนาของพระองค์ แต่หวังว่าท่านนฤวรจะรู้ว่าสิ่งใดไม่สมควรกระทำโดยเฉพาะเมื่อเป็นผลร้ายต่อพระองค์”
มหาเสนาบดียิ้มเย็น “ฉันไม่ได้รับอนุญาตเข้าเฝ้าพระองค์จากท่านพยนต์ จึงถือเป็นความผิดเดียวกระมัง”
ใบหน้าของท่านพยนต์ร้อนผ่าวยามได้ยินคำพูดเหน็บแนมจากศัตรูซึ่งไม่มีท่าทีป่วยหนักเลย
“ท่านมีคารมดี คงสบายดีแล้วสิ”
“ยาที่พระองค์มอบให้เมื่อเช้านี้ช่วยฉันแข็งแรงขึ้นมาก จึงต้องมาแจ้งให้พระองค์ทราบด้วยความปลาบปลื้มใจยิ่ง”
มหาอำมาตย์เหลือบตามองประมุขเฒ่าซึ่งยืนฟังเฉยด้วยความแปลกใจที่ไม่มีการตอบโต้ทั้งที่รู้ดีว่ามิใช่ราชโองการของพระองค์
“กระหม่อมต้องขอประทานโทษที่บังอาจส่งสาส์นแสดงความห่วงใยแทนพระองค์” ท่านพยนต์บอกทันที
พระเจ้าชเยนทราแย้มยิ้ม พลางส่ายหน้า “ท่านเข้าใจความปรารถนาของฉันอย่างดี ยังไม่มีข้อเสียหายใด เมื่อท่านนฤวรหายป่วยแล้ว ฉันก็ดีใจที่สุด แต่คราวหลังต้องระวังการใช้ราชโองการด้วย”
“กระหม่อมจะจำไว้”
มหาเสนาบดีเห็นประมุขเฒ่าชูสิ่งหนึ่งให้ทุกคนเห็นถนัดตา ท่านพยนต์มองไม่สบายใจนัก
“ต่อไปนี้ฉันจะเก็บตราแผ่นดินไว้กับตัว ขืนวางมั่วไป จะสร้างความลำบากใจแก่ท่านพยนต์ถ้าเกิดราชโองการที่น่าสับสนขึ้น”
ท่านนฤวรมองฉงนยามเห็นตราแผ่นดินในมือของพระเจ้าชเยนทราทั้งที่หลายวันก่อนทรงมอบกล่องไม้ที่บรรจุพินัยกรรมและตราแผ่นดินให้เขาแล้ว หรือว่าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นจะเป็นของปลอม
พระเจ้าชเยนทราเดินเข้าไปกอดมหาเสนาบดีต่อหน้าท่านพยนต์และทหารส่วนหนึ่ง พลางกระซิบข้างหูว่า “ของปลอมอยู่ในมือนี้ มันจะเป็นของจริงเสมอ ทำงานของท่านต่อไป เพื่อนรัก”
“กระหม่อมทูลลา” ข้าหลวงใหญ่ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน แล้วเดินออกไป
พระเจ้าชเยนทรามองตามมหาเสนาบดีซึ่งเดินเคียงข้างกับผู้บงการสังหารเขาอย่างสะท้อนใจ ก่อนจะหลั่งน้ำตาเพียงคนเดียวในห้องนั้นด้วยความอาลัยต่อเพื่อนรักที่ภักดีจนลมหายใจสุดท้าย
“ลาก่อน เพื่อนรัก” พระองค์พึมพำปนสะอื้นไห้
มหาอำมาตย์พยนต์ยืนมองรถยนต์ของท่านนฤวรแล่นออกจากวังไวชยันต์จนลับสายตาจึงยอมกลับบ้านพักด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะหวนกลับมาอีกครั้ง ขณะที่รถของมหาเสนาบดีแล่นใกล้จะถึงบ้านพัก อาการหายใจติดขัดเกิดถี่ขึ้นจนกระทั่งคนขับมองอย่างหวั่นใจ
“ผมจะขับไปโรงพยาบาลก่อน”
ท่านนฤวรส่ายหน้า มือกุมหน้าอกไว้ ใบหน้าซีด
“เมื่อถึงบ้านก็ตามนิชามาที่รถ ฉันจะหลับตาหน่อย”
“ได้ขอรับ”
มหาเสนาบดีหลับตาลง หัวใจเริ่มเต้นช้าลง ลมหายใจแผ่วเบา ความอ่อนเพลียเข้าครอบงำทั่วร่างกาย เขาตระหนักแก่ใจว่าวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้เข้ามาแล้ว
“เรียกนิชา !”
ท่านนฤวรได้ยินเสียงตะโกนของคนขับรถ แต่มิอาจลืมตาขึ้นได้ ครู่ต่อมานิชาเข้ามาจับชีพจร แล้วบอกให้คนขับรถประคองเจ้านายเข้าไปในห้องนอนโดยเร็ว
“ท่านเป็นลม เร่งพาไป !”
ท่านนฤวรรวบรวมกำลังแล้วจับมือของนิชา พลางเปล่งเสียงแหบต่ำให้ได้ยินแค่สองคนว่า “ฝากลูกของฉันและแผ่นดินนี้ไว้ในมือของเจ้าด้วย นิชา”
“ข้าจะปกป้องสิ่งที่ท่านรักด้วยชีวิต ข้าให้สัญญา !”
นิชาเห็นริมฝีปากของท่านนฤวรแย้มยิ้ม ใบหน้าคลายความกังวล ขณะที่คนขับรถประคองเจ้านายเข้าบ้านโดยเร็วท่ามกลางความโกลาหลเมื่อทราบว่าเจ้านายป่วยกะทันหัน
“ข้าก็มีชะตากรรมที่ต้องรักษาไว้เพื่อทำตามสัญญาของท่าน สวรรค์จะเมตตาได้แค่ไหน ข้าก็ไม่ทราบได้”
นิชามองดวงดาวที่ลอยเกลื่อนท้องฟ้าด้วยความวิตกหลังจากทำนายชะตาของตัวเองที่ไม่ค่อยดีนักเมื่อหลายวันก่อน หล่อนถอนหายใจหนักหน่วงยามคิดถึงภารกิจหนักท่ามกลางเมฆดำที่กำลังเคลื่อนปกคลุมท้องฟ้าของมฆวันในไม่ช้านี้
************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************