จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะการอ่านออนไลน์เท่านั้น

1.

จิตแพทย์สาวใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากนำรถเข้าจอดในโรงรถยามไม่ได้ยินเสียงคนในบ้านทั้งที่เป็นเวลาซึ่งลูกสาวจะกลับจากมหาวิทยาลัย หล่อนเดินถือข้าวของเข้าไปข้างใน ใบหน้าบึ้งยามเห็นอุปกรณ์ทำครัวลอยคว้างกลางอากาศอยู่ในห้องครัว แต่ไม่เห็นลูกสาวของหล่อน

“ปอนด์ !” มารดาตะโกนเรียก ดวงตามองหารอบห้องครัว

ทันใดนั้นอุปกรณ์ทำครัวหล่นกระแทกโต๊ะและพื้น มันส่งเสียงดังเสียดหู หญิงสาวค่อยๆโผล่ศีรษะขึ้นมาแล้วยิ้มเจื่อน

“แม่...........”

“ลูกทำอะไร ?”

“หนูกำลังหาเครื่องตีไข่ในตู้ แม่วางไว้ที่ไหน ?” สริตาตอบ พลางยืนขึ้น

หมอจารุมนเดินไปหยิบสิ่งนั้นจากตู้เหนือศีรษะแล้ววางบนโต๊ะ แววตาเอาเรื่อง

“ลูกรื้อตู้เละแล้วสิ”

“หนู.......เอ่อ......หาเต็มที่ แต่ลืมตู้ข้างบนไปค่ะ” ลูกสาวยิ้มแหย

มารดาถอนหายใจ “ทำไมไม่โทร.ถามแม่ก่อน ? ลูกจะทำอะไร ?”

“หนูอยากทำเค้ก จึงไปซื้อแป้งสำเร็จรูปกับตำราเค้ก”

“ว่างนักรึ ?”

“หนูรอเรียกตัวทำงานอยู่ แม่ก็รู้” หล่อนบอกเสียงอ่อย พลางสนใจกับเครื่องตีไข่ “ตอนเช้าเพิ่งไปเอาใบรับรองจบแล้วส่งให้สถาบันนิติวิทย์ซึ่งเปิดรับลูกจ้างชั่วคราวเพื่อโหลดข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ เพื่อนก็สมัครกันหลายคน หนูมีสิทธิ์ได้ไหม แม่”

“อยากให้แม่ช่วยหรือ ?” มารดาถามเท่าทัน

“ถ้าแม่มีเพื่อนในสถาบันฯ หนูก็มีหวังมากขึ้น”

“ลูกเรียนได้เกียรตินิยมสาขาคอมพ์ ไม่ต้องใช้เส้นสาย เขาต้องพิจารณาเกรดของลูกแน่”

“หนูอยากเป็นตัวจริงในสถาบันฯนะ”

“ลูกชอบเป็นพวกนิติวิทย์ด้านคอมพิวเตอร์งั้นรึ ?”

สริตาทำตาลอย ปากตอบว่า “การมีห้องทำงานส่วนตัวเท่ๆแบบในหนังสืบสวนซี เอส ไอ มันยอดนะ แม่”

“ลูกควรพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้พวกเขายอมรับ เขาจะเลื่อนระดับลูกจ้างชั่วคราวไปเป็นตัวจริงได้เหมือนกัน การใช้เส้นสายจะลดทอนความสง่างามของลูก อยากเป็นเพชรแท้ที่มีค่าก็ต้องโชว์ความเก่งกาจของลูกสิ”

“ถ้าแสดงการโยกย้ายสิ่งของ หนูทำง่ายกว่า”

มารดานึกบางอย่างได้ สีหน้าบึ้งอีกครั้ง “ลูกทำผิดสัญญากับแม่ ลืมหรือเปล่า ?”

“หนู.....เอ่อ...........”

“แม่อยากให้ลูกใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่หยิบจับสิ่งของด้วยมือ มิใช่อาศัยพลังจิต”

“มันลืมไปชั่วขณะค่ะ” หล่อนตอบแก้ตัว พลางยิ้มอ้อน “หนูขอโทษ”

“นอกชั่วโมงการฝึก ห้ามใช้พลังนี้เด็ดขาด”

“หนูจะไม่ลืมอีก”

หมอจารุมนส่ายหน้า ท่าทีระอาใจ “แม่ได้ยินประโยคนี้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว ลูกยังมักง่ายเหมือนเดิม ถ้ามีคนรู้เรื่องนี้มากขึ้น ลูกจะกลายเป็นตัวประหลาดในสังคม แม่อยาก.........”

“แม่อยากให้เก็บไว้เป็นพรสวรรค์ส่วนตัวและความลับเท่านั้น” ลูกสาวตอบขัดขึ้นอย่างรู้ทัน ริมฝีปากแย้มยิ้ม “พ่อกับแม่พูดย้ำตั้งแต่หนูจำความได้แล้ว พลังของหนูสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคมนอกเหนือจากเป็นตัวประหลาดไม่ได้หรือ ?”

“ลูกจะอยู่แค่ในห้องทดลองหรือโรงพยาบาลบ้าเท่านั้น” มารดาบอกย้ำเสียง

สริตาเข้าไปโอบเอวของมารดา แล้วจูบแก้ม “แม่ปกป้องหนูไว้ ไม่ลืมหรอกค่ะ”

“พ่อแม่รักลูก จึงทำแบบนี้ ลูกต้องรักตัวเองให้มากด้วย”

“หนูรับทราบแล้ว”

“ลูกไปอาบน้ำให้สบายตัว เราจะฝึกการอ่านใจ”

สริตาเบ้ปาก พลางนึกสยองใจยามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการฝึกของมารดา

“หนูไม่ชอบอ่านใจเลย ทรมานจัง”

“เรากำลังพัฒนาพลังจิตของลูกและเรียนรู้จุดสูงสุดด้วยกัน จำได้ใช่ไหม ?”

“หนูทราบ แต่...........” ลูกสาวเว้นระยะพูด แล้วถอนหายใจหนักหน่วง พลางยักไหล่ “.......การรู้ศักยภาพของมันให้ชัดเจน ย่อมควบคุมมันได้ดีขึ้น เหตุผลของแม่ฟังขึ้นเสมอ”

“ถ้าลูกควบคุมมันได้ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น” มารดาเอ่ยปลอบโยน

สริตาพยักหน้าแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน ปล่อยให้มารดาเก็บข้าวของในห้องครัวพักใหญ่ จากนั้นหมอจารุมนเดินไปที่ห้องรับแขกแล้วหยุดยืนมองภาพอดีตสามีซึ่งเป็นแพทย์และตายด้วยโรคหัวใจวายเมื่อสิบปีก่อน เขาห่วงใยการควบคุมพรสวรรค์ของลูกสาวจึงทุ่มเทค้นคว้าศึกษาทุกตำราด้านพลังจิตหลังจากเห็นอำนาจที่ไร้การควบคุมซึ่งทำลายข้าวของในบ้านทุกวัน จนกระทั่งไม่กล้าจ้างพี่เลี้ยงดูแลสริตา หมอจารุมนซึ่งเป็นจิตแพทย์ต้องยอมสละเวลาและอาชีพดูแลลูกสาวด้วยตัวเอง เมื่อลูกสาวเติบโตและควบคุมพลังจิตได้ในระดับหนึ่งจึงถูกส่งเข้าเรียนตามขั้นตอนปกติ หล่อนกลับไปทำงานตามที่ร่ำเรียนอีกครั้ง แต่สามีก็ตายกะทันหัน ภารกิจที่คั่งค้างของสามีจึงตกอยู่กับหล่อนเพียงคนเดียว โชคดีที่สริตาเป็นเด็กเชื่อฟังง่ายและฉลาดเฉลียว วันหนึ่งครูประจำชั้นมัธยมต้นทดสอบไอคิวของสริตาแล้วแจ้งให้หมอจารุมนรับทราบระดับไอคิวด้วยความตื่นเต้นว่าลูกสาวของหล่อนอยู่ในจำพวกเด็กอัจฉริยะ อันที่จริงแล้วหล่อนรับทราบข้อมูลนี้มานานเพราะมีการทดสอบต่อเนื่องด้วยตัวเองเพื่อดูพัฒนาการของลูกสาว เมื่อมั่นใจว่าลูกสาวมีความสามารถแท้จริงจึงปรึกษากับครูใหญ่เพื่อหวังส่งเสริมการเรียนของสริตา ตอนนั้นครูใหญ่ยืนยันว่าต้องเรียนตามอายุของเด็กโดยไม่สนใจว่าจะมีไอคิวดีเพียงใด หล่อนจึงตัดสินใจนำเรื่องไปปรึกษากับอาจารย์ด้านเด็กพิเศษที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งได้รับความช่วยเหลืออย่างดี หลังจากการทดสอบเข้มข้นจนแน่ใจว่าสริตาเป็นเด็กอัจฉริยะแท้จริง จึงรับเข้าเรียนด้วยระบบการสอนที่พัฒนาพิเศษร่วมกับเด็กประเภทเดียวกัน หมอจารุมนเห็นพัฒนาการของลูกสาวรุดหน้าอย่างพอใจยิ่งจนกระทั่งเข้าสู่ระดับปริญญาตรีและโท สริตาสำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านคอมพิวเตอร์ด้วยคะแนนเกียรตินิยมสูงสุดและเป็นสถิติใหม่ด้วยวัยเพียงยี่สิบสองปีเท่านั้น สริตายังสนใจเรียนภาษาจีนและคอร์สป้องกันตัวอย่างต่อเนื่อง หมอจารุมนภาคภูมิใจกับความสำเร็จของลูกสาวอย่างมาก

สิ่งที่จิตแพทย์สาวใหญ่หวั่นกลัวเกี่ยวกับลูกสาวคือ สริตายังไม่รู้ขีดความสามารถของพลังจิตและการอยู่คงทนของมัน เนื่องเพราะตำราในต่างประเทศระบุว่าพลังจิตของบางคนจะเสื่อมสลายไปเองหรือลดถอยความสามารถลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาว่าสริตาใช้พลังด้านใดดีที่สุด ตอนนี้หล่อนเห็นการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่ลูกสาวทำได้คล่องแคล่ว แต่การอ่านความคิดของคนเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน การพัฒนาค่อนข้างช้าเพราะทุกครั้งที่ฝึกทำเรื่องนี้ สริตาจะอ่อนเปลี้ย นอนหมดสภาพไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงจึงเข้าสู่ภาวะปกติ หล่อนพยายามค้นหาสาเหตุของอาการเหล่านี้และเน้นย้ำมิให้ลูกสาวใช้พลังด้านนี้นอกชั่วโมงฝึกเด็ดขาด

“ถ้าลูกควบคุมพลังการอ่านความคิดไม่ได้ ฉันเกรงว่าจะกระทบต่อชีวิตของปอนด์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรและอย่างไร” หล่อนบอกกับรูปของสามีซึ่งเป็นห่วงอนาคตของลูกสาวจนลมหายใจสุดท้าย

“แม่ !”

เสียงเรียกของสริตาดังขึ้น มารดาสะดุ้งเฮือก แล้วหันไปยิ้ม

“แม่ตกใจหรือ ?”

“ลูกตะโกนดังขนาดนั้น ใครไม่ตกใจบ้างล่ะ ?”

“แม่ยืนเหม่ออยู่นะ” สริตามองสำรวจมารดา

“แม่คิดถึงพ่อนิดหน่อย” ใบหน้าของมารดาเศร้าเล็กน้อย

สริตาหรี่ตาเย้าอีกฝ่าย “ตอนนี้น่าจะคิดถึงอีกคนด้วยล่ะมัง”

“นี่ลูก...........” ใบหน้าของหมอจารุมนร้อนผ่าวกับสายตาของลูกสาว

“หนูจะเพ่งดูว่าแม่คิดถึงเขาอย่างไร กินข้าวกันมาหลายมื้อแล้วนี่นา”

“ไปนั่งสมาธิก่อน วันนี้ต้องเจอคอร์สใหม่ที่แม่เพิ่งคิดได้” มารดาตีไหล่ของลูกสาวด้วยความเขินอายกับคำพูดหยอกเย้า

“หนูยอมนอนสลบเหมือดเพื่อรู้ให้ได้ว่าแม่คิดกับเขาอย่างไร”

สริตาหัวเราะร่วนก่อนวิ่งเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนโซฟายาวซึ่งเป็นที่นั่งปรับสภาพจิตที่มารดากำหนดไว้ตั้งแต่เด็ก หมอจารุมนส่ายหน้าระอาใจ

“ยุ่งกับผู้ใหญ่นัก เด็กเฮี้ยว”

ค่ำคืนเดียวกัน ณ บ้านพักของมหาเสนาบดีนฤวรแห่งประเทศมฆวัน ดินแดนในอ้อมแขนของขุนเขาร้อยยอดแห่งเอเชีย เจ้าของบ้านกำลังนั่งดื่มกับประมุขผู้สูงวัยในห้องรับรองท่ามกลางบรรยากาศเครียดเล็กน้อย

“กระหม่อมบอกให้โชตกไปรับผลตรวจจากโรงพยาบาลในไทยด้วยตัวเองตอนนี้เขาเดินทางใกล้ถึงประเทศไทยแล้ว อย่าวิตกเลย”

“ฉันกลัวคำตอบในนั้นต่างหาก” พระเจ้าชเยนทราบอก สีหน้าขรึม

“บางทีพระองค์อาจระแวงเกินไปก็ได้”

ประมุขเฒ่าหวนคิดถึงคืนหนึ่งซึ่งไปเยี่ยมพระสนมที่ดูแลลูกชายวัยเด็กที่นอนป่วยมาหลายวันแล้วหลังกลับจากงานเลี้ยงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เขาเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องนอนและเสียงหยอกล้อเด็กดังออกจากห้องนั้นโดยมีเสียงหัวเราะของพระสนมกุลนาถดังเป็นระยะ เขาตัดสินใจยืนรอครู่ใหญ่เพื่อดูว่า ชายคนนั้นเป็นใคร เมื่อประตูเปิดกว้างจึงเห็นชายปริศนาในห้องนั้นซึ่งเป็นคนซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลวังไวชยันต์ มหาอำมาตย์พยนต์ !

“ฉันอยากให้เป็นดังที่ท่านกล่าว แต่............”

มหาเสนาฯมองเห็นใจ “กระหม่อมขอถามในฐานะเพื่อนได้ไหม ?”

“ท่านเป็นเพื่อนที่วางใจของฉันมาตลอด ถามเถอะ นฤวร”

“หากเป็นดังที่พระองค์ระแวงใจ จะคิดทำอย่างไร ?”

“ฉันยังไม่ตัดสินใจ ยังมีเวลาอยู่ใช่ไหม ?”

“กระหม่อมอยากเรียนเตือนเล็กน้อย”

“พูดมาสิ”

“เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้ใหญ่สมควรรับผลของการกระทำ”

“ฉันเข้าใจความหมายของท่าน” ประมุขเฒ่ายิ้มหมอง “ท่านเห็นว่าฉันมีใจเหี้ยมงั้นรึ”

“ความขุ่นเคืองใจอาจมีพลังเหนือจิตเมตตาของท่าน”

“ฉันจะควบคุมมันให้ได้ แต่ยังเกรงว่า..........”

“ตอนนี้ท่านพยนต์คิดไม่ซื่อ คงยากหน่อย เพราะกระหม่อมยังดูแลประเทศทั้งหมด ขอให้พระองค์คุมอำนาจของเขาให้อยู่แค่ในวังเท่านั้น”

“เขาส่งลูกน้องไปอยู่ในสายตาของท่านหลายคนแล้วมิใช่หรือ ?”

“กระหม่อมยอมรับลูกน้องของท่านพยนต์ตามที่ขอไว้เพื่อรักษาไมตรี แต่เราต้องเตรียมคนสืบทอดอำนาจของกระหม่อมเพื่อควบคุมพวกเขา กระหม่อมแก่มากแล้ว จึงเกรงว่า..........”

“เราต่างก็แก่กันจริงๆ” ประมุขเฒ่าหัวเราะ สีหน้าหมอง “ฉันให้อัคนีเป็นรัชทายาท แล้วท่านคิดถึงใคร ?”

“กระหม่อม...........” ท่านนฤวรมีท่าทีลังเลใจ

“บอกฉันเถอะ เมื่อเป็นคนที่ท่านเลือกแล้ว ฉันจะไว้วางใจเขาเท่ากับท่าน”

มหาเสนาบดีคุกเข่าต่อหน้าประมุขเฒ่า พลางเอ่ยว่า “กระหม่อมขอบพระทัยที่ทรงวางใจในการตัดสินใจครั้งนี้ แต่กระหม่อมจะคานอำนาจของท่านพยนต์มิให้แผ่ขยายเหนือพระองค์ จำต้องได้รับความร่วมมือที่เข้มแข็งของพระองค์อย่างมาก”

“เขาเป็นใคร ?”

“โชตก ลูกชายของกระหม่อม”

ประมุขเฒ่าแย้มยิ้ม “เขาเป็นคนหนุ่มที่ฉันมองไว้ว่าจะดูแลอัคนีได้ เรามีสายตาเดียวกันนะ”

“กระหม่อม............”

“ฉันรับปากจะให้เขาสืบทอดตำแหน่งของท่าน จะไม่มีผู้ใดขัดความปรารถนาของฉันได้ วางใจเถอะ นฤวร”

“ขอบพระทัย”

“ท่านเตรียมตัวให้เขารับความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน คู่ปรับของเขาเป็นมหาอำมาตย์เชียวนะ”

“เจ้าชายอัคนีกับโชตกต้องจับมือกันให้แน่น จึงฝ่าด่านของท่านพยนต์ได้ หากไม่ทำลายอิทธิพลของเขา องค์รัชทายาทคงยากจะแทนตำแหน่งของพระองค์ โดยเฉพาะถ้าข้อมูลของเด็กเป็นไปตามที่ทรงระแวงใจ”

“ท่านเชื่อว่าเขาจะ..............”

“กระหม่อมอยากให้เป็นความเชื่อที่ผิดพลาดมากกว่า”

“ฉันเตรียมป้องกันไว้แล้ว รับไปสิ” ประมุขเฒ่าส่งกล่องไม้หุ้มด้วยผ้าไหมดิ้นทองให้อีกฝ่าย

“สิ่งนี้คือ..............”

“พินัยกรรมและตราแผ่นดิน !”

“พระองค์มีโองการแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงไม่ได้” ท่านนฤวรเอ่ยท้วงในที

“อิทธิพลในวังของท่านพยนต์อาจเปลี่ยนหลายสิ่งได้ถ้าขาดฉัน ของในกล่องจะยืนยันเจตนารมณ์ของฉันไว้ ถ้าขาดสองสิ่งนี้ อัคนีจะลำบากมากขึ้น ส่วนที่เหลือต้องพึ่งพาท่านแล้ว”

“กระหม่อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องมันให้พ้นจิตมารของท่านพยนต์”

พระเจ้าชเยนทรายิ้มพอใจยามเห็นอีกฝ่ายรับฝากกล่องไม้ไว้ พลางไอแรงๆก่อนจิบน้ำชาร้อน แล้วสูดหายใจลึกๆ “ฉันจะกลับไปพักผ่อน หากได้รับข้อมูลแล้ว บอกฉันด้วย”

“กระหม่อมจะเอาไปส่งในวังก็ได้”

“ฉันมาเยี่ยมเพื่อนเอง” ประมุขเฒ่าตอบเป็นนัย ก่อนเดินออกจากห้องนั้น

มหาเสนาบดีนฤวรมองหนักใจกับภาวะสุขภาพที่อ่อนแอและกำลังใจถดถอยของประมุขแห่งดินแดนนี้ซึ่งต้องเผชิญกับความลับที่ขมขื่นใจ อีกไม่นานนี้คงเกิดศึกชิงอำนาจในราชสำนักขึ้น เขาต้องรีบจัดเตรียมบางอย่าง มิฉะนั้น มหาอำมาตย์พยนต์อาจแผ่ขยายอิทธิพลออกนอกวังได้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น หญิงวัยประมาณห้าสิบปีสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีหม่นก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้น

“ฉันมีเรื่องสำคัญให้เจ้าช่วยเหลือ นิชา” ท่านนฤวรเอ่ยขึ้นก่อน

นิชาค้อมกายลง “ข้ารอฟังคำสั่งอยู่”

“ฉันจะให้เจ้าตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าและน้องชายด้วยชีวิต”

“ชีวิตของข้ารึ ?”

“ใช่”

นิชาเหยียดยิ้มนิดหนึ่ง “ชีวิตของข้าเป็นสมบัติของท่านตั้งแต่วันแรกที่ท่านช่วยไว้ เชิญสั่งได้”

มหาเสนาบดียื่นกล่องไม้ซึ่งมีผ้าไหมดิ้นทองห่อหุ้มไว้ให้อีกฝ่าย “จงนำพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราไปซ่อนให้พ้นมือของท่านพยนต์ แล้วส่งมอบแก่รัชทายาทตัวจริงเท่านั้น”

“ใครคือรัชทายาทตัวจริง ?”

มหาเสนาบดีนฤวรกระซิบบอกชื่อแก่นิชา แล้วสั่งกำชับว่า “ของในกล่องใบนี้จะยืนยันอำนาจแท้จริงของเขา เจ้าจะเป็นผู้ยื่นธงแห่งชัยชนะแก่ผู้สืบทอดแผ่นดินมฆวันให้สงบสุขต่อไป”

“ท่านหมายความว่าจะเกิดการพลิกแผ่นดินงั้นรึ ?”

“ฟ้ากำหนดชะตาแล้ว ฉันล่วงรู้ด้วยความเศร้าใจ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าควรทำอย่างไรกับสิ่งที่รับรู้”

“ข้าจะไม่พูดกับใคร”

“เจ้าจะใช้ชีวิตในห้องโอสถของฉันตลอดไป ไม่มีผู้ใดขับไล่เจ้าได้ โชตกรับปากแล้ว”

“ขอบคุณที่เมตตาต่อข้า” นิชารับกล่องไม้หุ้มผ้าไหมดิ้นทองไปกอดไว้ “ข้าจะรักษามันไว้ด้วยชีวิต และจะอยู่ในที่ปลอดภัยซึ่งแม้แต่ข้าก็ไม่อาจแย่งมันได้ มันจะรอคอยผู้เสียสละไปรับมัน”

“เจ้าคิดจะทดสอบคนด้วยรึ ?” ท่านนฤวรมองฉงน

“ผู้เสียสละกับกล่องไม้ใบนี้คือรากฐานแห่งความมั่นคงของรัชทายาทซึ่งจะทำให้พระองค์ไม่ลืมความเหนื่อยยากของตำแหน่งนี้”

“เจ้ามีสถานที่เก็บมันแล้วใช่ไหม ?”

นิชาพยักหน้ารับ “ท่านวางใจได้ว่า กล่องใบนี้จะปลอดภัยที่สุด”

“มันคือที่ใด ?”

“ถ้ำไตรภพ !”

ชื่อถ้ำสร้างรอยยิ้มมั่นใจแก่มหาเสนาบดีนฤวรเนื่องเพราะเป็นสถานที่ซึ่งนิชารู้จะอย่างดี แม้แต่มหาอำมาตย์พยนต์ยังไม่เคยเห็นที่ตั้งของมัน ยกเว้นทายาทของเผ่าชุษณะเท่านั้น ทุกคนต่างทราบว่าคนในเผ่านั้นถูกฆ่าล้างสิ้นทุกครอบครัวในวันเดียวตามคำสั่งของมหาอำมาตย์พยนต์ด้วยข้อกล่าวหาว่าชาวเผ่าชุษณะใช้คุณไสยทำร้ายเขาให้เจ็บป่วยหนักเกือบสิ้นชีพโดยอาศัยช่วงที่พระเจ้าชเยนทรา รัชทายาท พระสนม พระโอรสและพระธิดา กับครอบครัวของมหาเสนาบดีนฤวรไปพักผ่อนในต่างประเทศแล้วออกคำสั่งนี้ มันเป็นตราบาปของแผ่นดินซึ่งเขารู้สึกละอายใจลึกๆที่มิอาจขัดขวางได้ทันกาล

ณ ห้องรับรองแขกในบ้านพักอันใหญ่โตเจ้าของบ้านหัวเราะชอบใจกับของฝากจากแขกที่เพิ่งออกจากบ้านไป เสียงเคาะประตูดังขึ้นชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำเล็กน้อย ใบหน้าขรึมก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้วค้อมกายลงต่ำ

“พ่อเรียกมาพบด้วยเรื่องอะไร ?”

มหาอำมาตย์พยนต์เหลียวมองลูกชายนิดหนึ่ง แล้วหันไปสนใจแจกันหยกขนาดใหญ่

“ลูกกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ไม่มาพบพ่อ ทำไม ?”

ทักษาจับน้ำเสียงไม่พอใจของบิดาได้ จึงตอบว่า “ผมกำจัดผู้นำเผ่าเฟิงที่ต่อต้านพ่อแล้ว ตอนนี้ทางนั้นคงวุ่นวายและหวั่นกลัว ผมอยากพักผ่อน พอเห็นพ่อมีแขกจึงคิดว่าค่อยมารายงานทีหลังก็ได้”

“ลูกไม่ทำให้พ่อผิดหวังเลย ทักษา” บิดาแย้มยิ้ม แววตาพอใจยามได้รับข่าวกำจัดศัตรูสำเร็จ

ผู้เป็นบิดาชี้ที่แจกันหยก พลางเอ่ยว่า “พ่อยกให้ลูกนำไปประดับในห้องพักนะ”

“มันเป็นของฝากจากแขกที่ขอความช่วยเหลือจากพ่อใช่ไหม ?”

“เขาต้องการฝากลูกเข้าทำงานในวัง เราขาดคนอยู่แล้ว พ่อจึงรับปาก”

“ขอบคุณครับ” ทักษารับแจกันหยกไว้

“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ความสุขก็แบ่งปันกันสิ” น้ำเสียงของท่านพยนต์บอกความเมตตา เขาทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “พ่อมีงานยากอีกชิ้นให้ทำ”

“เชิญสั่งได้ครับ”

“พ่อได้รับข่าวลับว่าพ่อเมืองพบปะกับท่านนฤวรบ่อยครั้งและยุยงให้กำจัดพ่อ เขาจึงไม่ควรมีลมหายใจบนโลกเดียวกับพ่อแล้ว”

ทักษาขมวดคิ้ว “ปกติท่านนฤวรรักษาไมตรีกับพ่อไว้ ทำไมจึง..........”

“มันไม่ใช่เรื่องที่พ่อต้องชี้แจงกับลูก ลูกฆ่าเขาอย่างเดียว”

ดวงตากร้าวดุของบิดาทำให้ทักษาจำต้องหยุดการซักถาม เขาตอบว่า “ผมจะทำตามคำสั่งของพ่อครับ”

“เร็วที่สุดด้วย”

ทักษาพยักหน้ารับคำ แล้วเดินออกจากห้อง อึดใจต่อมาหญิงสาวร่างสูงเพรียว ใบหน้าคมเข้มเดินเข้ามาหาบิดา แล้วยิ้มทักทาย

“พี่ชายทำให้พ่อโมโหหรือ ? หน้าบึ้งเชียว” หล่อนวางถาดซึ่งมีแก้วน้ำใบหนึ่งไว้บนโต๊ะ “ฉันต้มยาตามสูตรของพ่อแล้วค่ะ”

มหาอำมาตย์พยนต์ดื่มรวดเดียวหมดแก้ว แล้วหลับตาลง ยารสขมแล่นผ่านลำคอเข้าไปในร่างกาย ครู่ต่อมาความร้อนแผ่กระจายจากศีรษะลงไปถึงปลายนิ้วเท้าอย่างช้าๆ เขารู้สึกถึงความตึงแน่นของผิวหนังในร่างกาย

“พ่อชุ่มชื่นทั้งตัวเลย ลูกต้มยาบำรุงสูตรนี้ได้เก่งมาก ติชิลา” เขาเอ่ยชมลูกสาว

“สูตรยาของพ่อดีต่างหาก”

“แม้สูตรดี ถ้าคนปรุงไม่ทำตามอย่างเคร่งครัดและอดทน การต้มยานานสามชั่วโมงย่อมทำไม่ได้แน่”

“พ่อดูหนุ่มเกินวัยจริงมาก”

มหาอำมาตย์พยนต์หัวเราะชอบใจกับคำชมนั้น “พ่อลืมตัวเลข 70 นี้ไปแล้ว”

“พ่อดูเหมือนคนอายุไม่เกินห้าสิบปี ถ้าขายยาประเภทนี้ เราต้องไม่มีที่เก็บเงินแน่”

“ยาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการรักษาวัยของพ่อ...........” ดวงตาของท่านพยนต์วาวโรจน์ขึ้นยามหวนคิดถึงเบื้องหลังความอ่อนวัยของเขา “...........ถ้าทุกคนทำแบบเดียวกับพ่อ จะไม่มีชาวมฆวันอาศัยบนดินแดนนี้แน่”

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียว” ลูกสาวมองทึ่งใจ

“ถ้ามันทำได้ง่ายดาย พ่อคงสั่งปรุงยาไปถวายพ่อเมืองแล้ว”

“มันก็ใช่” ติชิลายิ้ม

“มันจะเป็นความลับของพ่อเท่านั้น”

“ฉันรู้แค่สูตรยาก็ทำให้ใครอายุยืนและดูหนุ่มอย่างพ่อไม่ได้” หล่อนหัวเราะเบาๆ

“กลิ่นกำยานของลูกล่ะ ?” บิดาถามเข้าเรื่องที่ต้องการรู้

ติชิลาเหยียดยิ้มเหี้ยม “ฉันนำกำยานกลิ่นใหม่ไปไว้ในห้องของพ่อเมืองตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ด้วยวัยของพระองค์คงเห็นผลไม่เกินสองวัน”

“ลูกเก่งมาก ไม่เสียแรงที่พ่อให้ศึกษาตำรายาชุษณะ”

“ตำราเล่มนั้นขาดครึ่งแรกไป มันน่าจะเป็นการรักษาโรคหรือยาพิษใช่ไหม ?” หล่อนถามข้องใจกับหนังสือที่บิดามอบไว้

“เพื่อนของพ่อบอกว่ามันสอนให้รักษาโรคหรือฆ่าคนด้วยยาพิษได้ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ความรู้ เขาส่งให้พ่อเท่านี้แหละ มันอาจมีปัญหาเกิดกับเขาจึงเหลือส่วนปรุงยาพิษเท่านั้น”

“ฉันใช้เวลาค้นหาวิธีแก้พิษได้ไม่กี่ตำรับ ถ้าได้อีกครึ่งที่หายไป คงใช้ยาพิษได้หลากหลายขึ้น”

“พ่อเชื่อว่าลูกจะค้นคว้าได้ทั้งหมดในไม่ช้าด้วยความฉลาดของลูก”

“แน่อยู่แล้ว” ติชิลาเชิดหน้าด้วยความภูมิใจ

“พ่อเสนอชื่อลูกให้เป็นหัวหน้าฝ่ายโอสถของวังไวชยันต์แล้ว รอแค่การอนุมัติจากพ่อเมือง” ดวงตาของติชิลาเจิดจ้าขึ้น “ถ้าได้ตำแหน่งนั้นฉันสามารถพบเห็นเจ้าชายอัคนีได้ทุกวันแล้ว”

“ลูกชอบเขามากรึ ?”

“แน่นอน ท่านอัคนีเต็มเปี่ยมด้วยภูมิปัญญาและความสง่างาม แล้วยังรับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทด้วย หากพ่อสนับสนุนฉัน หญิงอื่นก็ไม่มีทางเป็นคู่ครองของเขา”

“เจ้าหญิงพิณทอง เป็นพระญาติสนิทฝ่ายมเหสีเอกซึ่งเป็นที่รักและเอ็นดูพิเศษ อีกทั้งพ่อเมืองโปรดปราน หลายคนคาดหมายว่านางเป็นคู่หมายของเจ้าชายและถูกต้องตามกฎของราชสำนักด้วย มันไม่ง่ายหรอก”

“พ่อต้องมีทางช่วยฉันให้สมหวังในความรัก แล้วมีผลดีต่องานของพ่อด้วย” หล่อนพูดอ้อน

บิดาหัวเราะชอบใจกับความฉลาดเท่าทันของลูกสาว ติชิลาเอ่ยเสียงเบาลงว่า “กฎเป็นของคน ย่อมเปลี่ยนแปลงด้วยคน พ่อช่วยฉันด้วยนะ”

“พ่อจะรับไว้พิจารณา” เขาตอบ พลางแย้มยิ้ม

เมื่อติชิลาเดินออกจากห้อง เสียงมือถือดังขึ้น สีหน้าของมหาอำมาตย์พยนต์เครียดขึ้นยามรับฟังข้อความจากอีกฝ่าย

“เจ้าแน่ใจกับข่าวนี้หรือ ?”

“ลูกน้องของข้ายืนยันว่าเห็นแน่” เสียงหญิงสูงวัยดังตอบมาก่อนวางสายไป

คำตอบนั้นทำให้เจ้าของบ้านนั่งมองไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวลหนักเมื่อรับทราบจากลูกน้องซึ่งทำงานที่ตำหนักในว่าคนรับใช้เคยเห็นพระเจ้าชเยนทราเก็บกระดาษเปื้อนเลือดของพระ

สนมกุลนาถซึ่งเช็ดเลือดที่นิ้วมือหลังจากทำเข็มทิ่มขณะปักชื่อพระโอรสบนเสื้อผ้าจากถังขยะขณะไม่อยู่ในสายตาของคนอื่น เขาคาดเดาว่าพระเจ้าชเยนทราต้องการหาคำตอบบางเรื่องโดยอาศัยของชิ้นนั้น

“พระองค์เริ่มสงสัยแล้วสินะ” ท่านพยนต์พึมพำ ยามคิดถึงภาพเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบในอ้อมแขนของพระสนมกุลนาถ “ฉันจะไม่ยอมให้คำตอบไปอยู่ในสายตาของพระองค์ได้”

************ โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย