จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

7.

ณ สนามบินสุวรรณภูมิอันคับคั่งด้วยผู้โดยสารที่เตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศนั้น นายทหารกับลูกน้องสามคนเข้าไปสอบถามเรื่องห้องวี ไอ พี ซึ่งคณะของเจ้าชายอัคนีนั่งรอขึ้นเครื่องบินส่วนตัวตามข้อมูลที่นายพลชวนิลบอกไว้ เมื่อรับคำยืนยันว่าพวกเขายังรอการเดินทางอยู่ ทั้งสี่คนเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังห้องเป้าหมาย เวลาเดียวกันเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินเข้าไปหาเจ้าชายอัคนีแห่งประเทศมฆวัน

“ท่านวรุตม์ให้ผมมาประสานงานในการเดินทางของท่านครับ”

เจ้าชายอัคนีพยักหน้ารับรู้ รอยยิ้มเป็นมิตร “ขอบคุณมากครับ”

“ผมจัดการเรื่องหนังสือเดินทางของท่านและคุณสริตาเรียบร้อยแล้ว” เจ้าหน้าที่คนนั้นส่งมอบหนังสือเดินทางให้เจ้าชายไว้

โชตกถามขึ้นว่า “เราเดินทางได้หรือยัง ?”

“เราอยากขึ้นเครื่องให้เร็วที่สุด” เจ้าชายพูดเสริม

“ท่านวรุตม์กำชับให้ส่งท่านขึ้นเครื่องอย่างปลอดภัย ผมจะไปด้วย เชิญครับ”

เจ้าหน้าที่คนนั้นผายมือกว้างเป็นการเชื้อเชิญ เจ้าชายอัคนีลุกขึ้นเดินนำคณะติดตามไปจากห้องวี ไอ พี ทันที นายทหารเห็นคณะเป้าหมายเดินออกไปแล้วจึงวิ่งตามเพื่อหวังหยุดยั้งมิให้ขึ้นเครื่องบินได้ แต่เมื่อจะเข้าไปใกล้คณะของเจ้าชาย ตำรวจห้าคนยืนขวางไว้พร้อมวางมือที่ปืนในท่าเตรียมพร้อม

“คุณจะตามคณะเจ้าชายไม่ได้ !” หัวหน้าตำรวจพูดเสียงเข้ม ท่าทางขึงขัง

นายทหารแสดงสีหน้าหงุดหงิด พลางตวาดเสียงลั่นว่า “ผมทำงานอยู่ ออกไป !”

“เรามีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แขกพิเศษ เมื่อไม่ประสานงานตามขั้นตอน ก็ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจไม่ได้”

นายทหารยืนฮึดฮัดครู่หนึ่ง แล้วใช้มือถือติดต่อเจ้านายทันที จากนั้นส่งให้หัวหน้าตำรวจ

“นายพลต้องการคุยด้วย”

หัวหน้าตำรวจฟังสายสักครู่ จึงตอบเสียงสุภาพว่า “ผู้ใหญ่ไม่ได้ประสานงานกับเรา และนี่เป็นแขกพิเศษที่รัฐบาลกำชับให้ดูแลความปลอดภัยสูงสุด ผมไม่อาจทำตามคำสั่งนี้ได้ ต้องติดต่อผู้ใหญ่ของเราก่อน”

นายทหารรับมือถือมาฟังอึดใจหนึ่ง จึงเก็บมันใส่กระเป๋าแล้วหันบอกลูกน้องทั้งสามว่า “เจ้านายให้กลับได้”

เมื่อกลุ่มนายทหารเดินลับสายตาแล้ว ตำรวจคนหนึ่งเอ่ยว่า “ถ้าเขาดื้อจะเข้าไปหาคณะของเจ้าชาย เราต้องยิงกันหรือ หัวหน้า”

“เราต้องรักษาหน้าที่คุ้มกันคณะของเจ้าชายตามคำสั่งของผู้ใหญ่ แต่ผมไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำรุนแรงขนาดนั้น” หัวหน้าตำรวจเหยียดยิ้มเล็กน้อย ดวงตาวาวโรจน์ “เขาไม่ได้ทำงานตามหน้าที่จริงจึงต้องล่าถอยก่อนที่ผู้ใหญ่ของเราจะเข้าจัดการเอง”

“พวกเขาหลอกเราเพื่อจะทำอะไรกับคณะติดตามของเจ้าชายล่ะ ?”

กลุ่มตำรวจเร่งฝีเท้าไปคุ้มกันคณะเดินทางของเจ้าชายตามหน้าที่โดยเร็ว หัวหน้าตำรวจตอบเสียงเรียบว่า “การไม่รู้เบื้องหลังเป็นเรื่องดีที่สุด เราทำหน้าที่ของตำรวจก็เพียงพอแล้ว”

นายพลชวนิลรายงานความล้มเหลวให้พันธวัชทราบทันที ชายสูงวัยยืนใช้ความคิดหนักอยู่ริมหน้าต่าง แล้วตัดสินใจติดต่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลสำคัญในประเทศมฆวัน เขารอครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น

“ไม่ได้เจอกันนาน ท่านพันธวัชสบายดีไหม ?”

“ผมเชื่อว่าท่านพยนต์ต้องแข็งแรงแน่ เพราะน้ำเสียงของท่านสดใสมาก” พันธวัชพูดชื่นชม

มหาอำมาตย์พยนต์หัวเราะชอบใจ “ผมชอบฟังคำนี้นะ ท่านมีธุระอะไร ?”

“ผมอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน”

“เรื่องอะไร ?”

“ผมต้องการกำจัดคนที่เป็นอันตรายต่อผม”

“ใคร ?”

“เธออยู่ในคณะติดตามของเจ้าชายอัคนี”

“เจ้าชายจะกลับมฆวันแล้วรึ ?” ท่านพยนต์ขมวดคิ้วสงสัยกับข่าวนี้

“เจ้าชายกลับกะทันหัน ท่านจะช่วยเหลือได้ไหม ?”

“ผู้หญิงรึ ?”

“ใช่”

“เธอมีความสำคัญมากขนาดที่ท่านต้องลงทุนเพียงนี้เชียว”

พันธวัชเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “เธออาจทำลายชื่อเสียงของผม ย่อมสำคัญแน่”

“ข่าวลือการล้มรัฐบาลคงมีมูลพอควรใช่ไหม ?”

“มันเป็นเรื่องภายในของเรา ท่านจะเอื้อไมตรีให้ผมได้ไหม ?” พันธวัชถามเสียงเข้ม

มหาอำมาตย์เฒ่าหัวเราะ พลางตอบว่า “เราเป็นเพื่อนกันมานาน เหตุใดจะปฏิเสธคำขอของท่านล่ะ ? ผมจะช่วยปัดกวาดเสี้ยนหนามชีวิตให้ท่านเอง”

“ขอบคุณอย่างยิ่ง” พันธวัชบอกแล้วปิดมือถือ ดวงตาวาวโรจน์ “ถ้าสริตาไม่ม้วย บารมีของฉันต้องถูกทำลายย่อยยับ ฝากด้วย ท่านพยนต์”

หลังเสร็จพิธีศพมหาเสนาบดีนฤวรแล้วพระเจ้าชเยนทราออกงานสังคมน้อยลง ส่วนใหญ่เก็บตัวเงียบในห้องนอน เขาจะเข้าประชุมตามหมายกำหนดล่วงหน้าและให้ข้าราชการนำเอกสารไปเซ็นในวังไวชยันตร์เป็นส่วนใหญ่ ตำแหน่งมหาเสนาบดีที่ว่างลงสร้างความสนใจแก่หลายคนที่อยากทำงานในหน้าที่นี้ แต่พระองค์ยังไม่แสดงให้ทราบว่าจะแต่งตั้งคนใหม่เมื่อใดและเป็นใคร ขณะนี้จึงมีรองเสนาบดีชยาศีร์รักษาการตำแหน่งมหาเสนาบดีชั่วคราว หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ที่พระเจ้าชเยนทรามอบหมายให้น้องชายต่างมารดาซึ่งมีนิสัยรักสนุก ไม่สนใจทำงาน เป็นผู้ทำหน้าที่สำคัญนี้ โดยเฉพาะมหาอำมาตย์พยนต์ไม่พอใจอย่างมากเนื่องจากรองฯชยาศีร์เป็นเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิดที่ไม่ยอมรับฟังคำขอจากเขาเลย อันแตกต่างจากท่านนฤวรซึ่งมีความประนีประนอมสูง คำขอจากเขาจึงได้รับการตอบสนองอย่างน่าพอใจ และรองฯชยาศีร์กลับยอมรับในความสามารถของท่านนฤวร แม้จะได้รับตำแหน่งที่ต่ำกว่ามหาเสนาบดีก็ตาม ก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือแสดงความไม่พอใจสักครั้ง ท่านพยนต์รับแจ้งเป็นระยะว่ามหาเสนาบดีนฤวรมักมอบหมายงานหลากหลายให้รองฯชยาศีร์โดยเฉพาะงานที่ต้องไปทำในต่างจังหวัดโดยไม่มีคำโต้แย้งใดๆ และรองฯชยาศีร์ตั้งใจทำงานเต็มที่และหาความสำราญไปพร้อมกัน พระเจ้าชเยนทรามักถามข่าวการพัฒนาตัวเองของน้องชายจากมหาเสนาบดี ก็จะได้รับคำตอบเดียวกันเสมอว่า รองฯชยาศีร์ทำงานตามแบบฉบับของตน ท่านนฤวรยังบอกสำทับบ่อยครั้งว่า การบีบคั้นรองฯชยาศีร์เท่ากับขับไล่เขา หากจะให้เกิดการเรียนรู้ ก็ต้องสร้างแรงดึงดูดให้เขาอยากทำงานชิ้นนั้น หลังจากนั้นผู้เป็นพี่ชายจึงคลายห่วงใยน้องชายเจ้าสำราญไปมาก เมื่อท่านพยนต์ทัดทานการแต่งตั้งรักษาการชั่วคราว พระเจ้าชเยนทรายืนกรานให้น้องชายคนนี้ดูแลงานบริหารประเทศ แทนที่จะมอบหมายให้คนที่เขาเสนอชื่อไว้ อันสร้างความไม่พอใจอย่างมาก

ขณะที่มหาอำมาตย์พยนต์เดินตรวจการทำงานของข้าหลวงในวังไวชยันต์ นางกำนัลของพระสนมกุลนาถเรียกเขาไปพบที่ห้องรับรองโดยด่วน อันสร้างความฉงนใจแก่เขา เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้นพระสนมซึ่งมีความงดงามส่งรอยยิ้มหวานทักทายเขา แล้วโบกมือไล่นางกำนัลออกไป

“ท่านมีเรื่องอะไรด่วนหรือ ?”

พระสนมกุลนาถผายมือไปยังเก้าอี้ว่างเบื้องหน้า พลางเอ่ยว่า “ช่วงนี้ท่านชเยนทราไม่มาเยี่ยมเราสองแม่ลูกเลย มันเกิดจากอะไร ?”

“หลังพิธีศพของท่านนฤวรแล้ว พระองค์เก็บตัวในห้องเป็นหลัก ไม่ค่อยพบใคร กระหม่อมคาดว่าน่าจะยังระงับความเศร้าที่สูญเสียเพื่อนสนิทไม่ได้ อีกสักพักคงกลับมาปกติดังเดิม”

“ฉันเข้าใจดีว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน แต่ฉันเคยไปเยี่ยมพระองค์ที่ห้องนอน กลับถูกไล่กลับอย่างไม่มีเยื่อใย ไม่มีคำถามถึงลูกเอกทัศน์เลย มันแปลกไปมาก ฉันเกรงว่า...............” หล่อนหยุดพูดไป สีหน้าไม่สบายใจชัด

“อย่าคิดไปไกล”

“แต่ฉัน..........”

ทั้งสองมองสบนัยน์ตาที่สื่อความนัยบางอย่าง มหาอำมาตย์เฒ่าส่ายหน้า “กระหม่อมเข้าใจความกังวลของท่านและคอยดูแลพระองค์อยู่ หากมีความผิดปกติ ย่อมรับรู้และแก้ไขได้ทันกาลแน่”

“ลูกเอกทัศน์ถามถึงพระบิดาทุกวัน ฉันส่งคนไปแจ้งให้พระองค์ทราบ ก็ไม่มีคำตอบ ท่านควรเอาใจใส่มากขึ้นนะ”

“รับทราบแล้ว”

“ฉันได้ยินว่า สุขภาพของพระองค์ทรุดโทรมลง จริงไหม ?”

“ตามวัยเท่านั้น”

พระสนมเหยียดยิ้มที่มุมปาก ดวงตาวาวโรจน์ขึ้น “พระองค์สั่งยกโถกำยานของติชิลาออกจากห้องหลายครั้งแล้ว ฉันคิดว่าพระองค์น่าจะสงสัยกำยานของติชิลา”

“กระหม่อมคิดไว้แล้ว”

“พระองค์ควรเป็นอย่างเดียวกับท่านนฤวรหรือ ?”

มหาอำมาตย์เฒ่ายืนนิ่ง พระสนมถอนหายใจหนัก “พระองค์เป็นประมุขที่ดีและรัชทายาทก็มีความสามารถด้วย ฉันพอใจสถานะตัวเอง แค่กลัวเรื่องลูกชายเท่านั้น”

“กระหม่อมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของเจ้าชายเอกทัศน์ โดยเฉพาะสถานภาพราชบุตรไว้”

“ท่านหมายความว่า............”

“ถ้าเรื่องนั้นรู้ถึงหูของพระองค์หรือรัชทายาท ท่านกับลูกชายรับโทษไหวหรือไม่ ?”

“ฉัน..........”

มหาอำมาตย์เฒ่ายิ้มสมเพชกับใบหน้าซีดของพระสนม พลางเอ่ยว่า “เราต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และรับผลพลอยได้จากการเป็นรัชทายาทองค์ใหม่ของเจ้าชายเอกทัศน์”

“มันเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน” ดวงตาของพระสนมฉายแววหวั่นใจ

“ท่านรอเงียบๆไว้ กระหม่อมเป็นคนจัดการเอง”

มหาอำมาตย์พยนต์กล่าวอำลาแล้วเดินจากไป ปล่อยให้พระสนมกุลนาถนั่งทอดถอนใจยามคิดถึงปัญหาที่เผชิญเบื้องหน้าและแผนการใหญ่ของเขา รวมทั้งความเมตตาและรักใคร่ของพระเจ้าชเยนทราที่มีต่อหล่อนด้วยความสะท้อนใจยิ่ง

“หม่อมฉันขออภัยโทษด้วย” หล่อนคิดในใจ

ถ้ำไตรภพอยู่ในวงล้อมของภูเขาสามลูก เมื่ออดีตชนเผ่าชุษณะเป็นเจ้าของและเฝ้ารักษามิให้ผู้ใดเข้าใกล้ถ้ำแห่งนี้ตามความเชื่อของบรรพชนว่ามันใช้เก็บรักษายานิรกาลซึ่งเณรีที่มีตำแหน่งจอมเวทย์ประจำเผ่าหลายรุ่นปรุงเก็บสืบทอดกันไว้ เนื่องจากสูตรยามีความลึกลับและถ่ายทอดกันเฉพาะทายาทของจอมเวทย์ รวมทั้งขั้นตอนการปรุงยาที่ยุ่งยากและอันตราย กอปรกับคุณสมบัติในการหยุดวัยของผู้กินยาไว้เป็นที่ประจะษ์แก่สายตาของคนทั่วไปมาแล้ว ยานิรกาลจึงเป็นที่ต้องการของหลายคนที่ไม่ยอมรับสัจธรรมของชีวิต หนึ่งในพวกนั้นคือบิดาของทักษานั่นเอง ในอดีตมหาอำมาตย์พยนต์ส่งกองทหารไปสังหารคนในเผ่าชุษณะทั้งหมดในคืนเดียวเพื่อแย่งชิงคัมภีร์โอสถทิพย์และยานิรกาล แต่ไม่ทราบทางเข้าถ้ำลึกลับนั้น จึงชิงได้เพียงคัมภีร์โอสถทิพย์บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับยาพิษเท่านั้น ต่อมาท่านพยนต์มอบตำรายาพิษให้ติชิลาศึกษาและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาและปรุงยาพิษ ส่วนทักษาได้รับคำสั่งจากบิดาให้ชิงยานิรกาลที่เก็บในถ้ำไตรภพ เขาพยายามค้นหาทางเข้าและในที่สุดก็พบทางเข้าซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องเพราะเขาพบกับดักอันตรายบริเวณทางเข้าถ้ำหินซึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วหลายครั้ง ชายหนุ่มก้มมองสมุดบันทึกในมือที่จดลักษณะกับดักทั้งหมดในหลายปีที่ผ่านมาไว้เป็นข้อมูล ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

“การเข้าถ้ำด้วยวิธีเดิมๆคงทำสำเร็จยาก ต้องคิดหาทางใหม่” ทักษาเก็บสมุดบันทึกไว้ในอกเสื้อ พลางมองปากทางเข้าถ้ำไตรภพนิ่งนาน

เสียงฝีเท้าม้าดังมาทางข้างหลังชายหนุ่มเหลียวไปมอง จึงเห็นคนรับใช้จากบ้านพักของมหาอำมาตย์พยนต์ลงจากหลังม้าแล้ววิ่งมาหาเขา

“ท่านพยนต์ให้ตามไปพบเร็วที่สุดขอรับ”

“เรื่องด่วนสินะ” ทักษาเหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินไปที่ม้าของเขา

ทักษาเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นบิดาซึ่งกำลังคุยกับแขกอยู่ ครู่หนึ่งแขกจึงลากลับไป มหาอำมาตย์พยนต์กวักมือเรียกลูกชายเข้าไปนั่งที่ชุดรับแขก สีหน้าเครียด

“พ่อมีงานสำคัญให้ลูกทำ”

“ท่านพ่อสั่งมาได้เลย”

บิดากระซิบบางอย่างใกล้หูของทักษา พลางพูดกำชับว่า “ถ้างานนี้ไม่สำเร็จ เราจะมีปัญหาหนักแน่”

“เจ้าชายจะมาถึงที่นี่วันพรุ่งนี้หรือ ?”

“เพื่อนของพ่อยืนยันข่าวนี้แล้ว”

“มันไม่ใช่กำหนดเวลาเดิมนี่นา” ทักษาขมวดคิ้วแน่น

“เราต้องสร้างสุญญากาศขึ้น ส่วนที่เหลือพ่อจัดการเอง”

ทักษามองสบนัยน์ตาของบิดา แล้วพยักหน้ารับคำ “ผมจะทำให้สำเร็จครับ”

มหาอำมาตย์เฒ่ายิ้มโล่งใจ “ฝากด้วยล่ะ”

ลูกชายเดินกลับออกไปเพื่อเตรียมวางแผนสังหารเจ้าชายอัคนีตามคำสั่งของบิดาทันที ส่วนเจ้าของห้องเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน แล้วหยิบกระดาษซึ่งเขียนข้อความไว้แล้วมาตรวจดูอีกครั้ง

“พินัยกรรมฉบับนี้จะสมบูรณ์ต้องได้รับความร่วมมือจากพระองค์แล้ว” ท่านพยนต์แสยะยิ้มเหี้ยม แล้วสั่งให้ลูกน้องเตรียมรถยนต์เพื่อเดินทางไปที่วังไวชยันต์

ช่วงเย็นพระเจ้าชเยนทราเรียกน้องชายต่างมารดาเข้าพบกะทันหัน โดยไม่ยอมให้ทหารหรือนางกำนัลอยู่ใกล้ห้องพักเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญ รองเสนาบดีชยาศีร์มองอาการไอหอบหนักของพี่ชายด้วยความเป็นห่วงมาก

“ท่านพี่ควรให้หมอหลวงตรวจละเอียดหน่อย ถ้าฝีมือไม่ดี ก็ไปตรวจที่สหรัฐก็ได้”

พระเจ้าชเยนทราชี้ที่โถกำยานบนโต๊ะใกล้หน้าต่าง พลางบอกเสียงเข้มว่า “เอามันออกไปนอกห้องทีสิ ชยาศีร์”

“ได้ครับ”

“เราสั่งมิให้เอามันเข้ามาในห้องหลายครั้ง แต่พยนต์ให้คนนำมาวางทุกวันเลย”

รองมหาเสนาบดีนำโถกำยานไปวางนอกห้องทันที แล้วกลับเข้ามาถามว่า “ทำไมพี่ใส่ใจกับโถกำยานใบนั้น ?”

“เราสงสัยว่า มันจะเป็นต้นเหตุให้ต้องไอหนักแบบนี้”

ผู้เป็นน้องชายขมวดคิ้วสงสัย พระเจ้าชเยนทราโบกมือไปมา พลางพูดว่า “อย่าสนใจเรื่องนี้เลย เรามีคำสั่งที่ต้องการให้เจ้าปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อความมั่นคงของประเทศมฆวัน”

“คำสั่งรึ ?”

“ตอนนี้เจ้าทำงานแทนท่านนฤวรอยู่ จึงต้องรับคำสั่งนี้” พี่ชายบอกเสียงเข้ม

“ผมจะทำได้หรือ ?” น้องชายมีท่าทางกังวล

“นฤวรเป็นคนรับรองว่า เจ้าไม่ได้เป็นอย่างภาพที่ทุกคนเห็น เราเชื่อเขามาตลอด มันเป็นเวลาที่เจ้าต้องพิสูจน์ความเชื่อของนฤวรแล้ว”

“ท่านนฤวรให้โอกาสแก่ผมก็จริง แต่...........”

“ถ้าเจ้าไม่อยากให้พยนต์กุมอำนาจในวังและนอกวังไว้คนเดียว ก็ต้องทำตามคำสั่งให้ครบทุกข้อ เข้าใจไหม ?”

สองพี่น้องมองสบนัยน์ตากัน ผู้เป็นน้องชายถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนพยักหน้ารับคำ

“ผมจะพยายามทำงานเต็มที่”

พระเจ้าชเยนทราส่งกล่องไม้ใบเล็กให้น้องชาย แล้วบอกว่า “ในกล่องมีพินัยกรรมของเรา เจ้าต้องนำเสนอต่อข้าหลวงทุกคนหลังจากเราตายแล้ว มันเป็นลายมือของเราเอง”

“ท่านพี่น่าจะประกาศว่ามีพินัยกรรมฉบับนี้ต่อหน้าข้าหลวง น่าจะปลอดภัยกว่า”

พี่ชายเหยียดยิ้ม “เรากับนฤวรเตรียมแผนกำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินและของรัชทายาทไว้ แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้แผนสำเร็จได้ คือ พวกเราต้องไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้ว”

“ท่าน...........” น้องชายมองตาค้าง

“เราจึงต้องเลือกผู้ไว้วางใจเพื่อทำงานสืบทอดแผนการครั้งนี้ เราเลือกน้องชายเจ้าสำราญกับโชตก ลูกชายของนฤวร”

“ผมไม่เห็น..............”

พี่ชายถลึงตาปรามอีกฝ่าย “เราไม่ต้องการคำทัดทานใดๆ แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”

“พูดต่อไป !”

“เหตุผลที่ต้องมีแผนการนี้จะรู้ได้หลังจากเห็นจดหมายที่โชตกนำมาจากเมืองไทยแล้ว ขอให้เจ้าส่งเสริมโชตกดำรงตำแหน่งแทนนฤวรด้วย เราไม่มีเวลาทำงานนี้ตามขั้นตอนปกติ จึงหวังพึ่งเจ้าแล้ว”

“ท่านพี่พูดราวกับว่าจะ............”

“ดวงดาวประจำชีวิตของเราริบหรี่ลงมากแล้ว ไม่นานเราสองพี่น้องต้องจากกันชั่วนิรันดร์ หวังว่าเจ้าจะมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ต่อความตั้งใจของเราด้วย”

“ผม..............”

“ประเทศมฆวันจะสงบสุขได้เจ้าต้องส่งเสริมให้อัคนีเป็นประมุขและโชตกเป็นมหาเสนาบดี เจ้าตัดใจจากตำแหน่งนี้ได้ไหม ?”

รองเสนาบดีหัวเราะ ดวงตาเปล่งประกายสดใส “ท่านพี่น่าจะทราบดีว่า ผมไม่เคยอยากได้ตำแหน่งราชการใดๆ นอกจากการท่องเที่ยวทั่วดินแดนนี้ หากไม่ใช่คำสั่งของท่าน ผมคงสำราญใจกว่านี้แล้ว”

“ความไม่ทะเยอทะยานของเจ้าเป็นที่ชื่นชอบของนฤวรในการมอบหมายงานช่วยเหลือชาวบ้านนอกเมือง ซึ่งเจ้าทำงานได้เข้าตาของเขาอย่างมาก ที่แท้เจ้าก็เก่งเหมือนกัน” พี่ชายหัวเราะสลับการไอ แววตาบอกความรักใคร่ผู้เป็นน้องชาย

“ท่านพี่ก็สบายใจด้วยใช่ไหม ?” น้องชายถามแทงใจ

“มันก็ใช่ เราห่วงน้องชายเสมอ”

“ผมซาบซึ้งใจยิ่ง ท่านพี่”

“เจ้ารับปากทำงานให้เราหรือไม่ ?”

“ผมยินดีทำเพื่อพี่ชาย แม้ต้องแลกชีวิตกับท่านพยนต์ก็ตาม”

คำยืนยันของน้องชายสร้างรอยยิ้มเป็นสุขแก่พระเจ้าชเยนทรา พลางโอบกอดรองเสนาบดีชยาศีร์ไว้แน่น

“ฝากทุกอย่างไว้ในมือของน้องชายด้วย” พี่ชายกระซิบทั้งน้ำตา

รองเสนาบดีชยาศีร์คุกเข่าลง พลางบอกเสียงสั่นเครือว่า “ผมอยากให้พี่ชายต่อสู้ต่อไป อย่าทอดทิ้งพวกเรา ท่านเป็นประมุขที่ดีและพี่ชายแสนดีของผม”

“มันเป็นลิขิตที่เลี่ยงไม่ได้ เราแค่เตรียมทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องบัลลังก์นี้ไว้ รวมทั้งความสงบสุขของประชาชนด้วย เวลาของเราหมดแล้ว แต่ของอัคนีเพิ่งเริ่มต้นและต้องอาศัยแรงสนับสนุนของเจ้าอย่างมาก ถ้าคิดจะต่อกรกับพยนต์ เจ้าเข้าใจใช่ไหม ?”

“ผม............”

พี่ชายดึงร่างน้องชายให้ลุกขึ้นยืน แล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของอีกฝ่ายด้วยท่าทีนุ่มนวล

“อย่าร้องไห้ น้องชาย” พระเจ้าชเยนทราพูดปลอบโยน รอยยิ้มเศร้า “เราแค่ไปรอเจ้าก่อน ทุกคนต้องเดินไปยังจุดสุดท้ายนี้ แต่บางคนกำลังขัดขืน เราฝากเจ้าส่งเขาไปยังจุดเดียวกันด้วย”

“ผมไม่ยอมให้เขาทำสำเร็จแน่”

“ขอบใจ น้องชาย”

พระเจ้าชเยนทรากอดน้องชายไว้แน่น น้ำตาคลอ “ฝากอัคนีกับโชตกด้วย พยนต์ต้องกำจัดพวกเขาแน่ จงใช้อำนาจที่เรามอบไว้เพื่อปกป้องเขา”

“ทำไมพี่ไม่ฝากเอกทัศน์ด้วย ?” ท่านชยาศีร์เอ่ยถึงหลานชายอีกคน

“เขามีคนที่ปกป้องเต็มที่อยู่แล้ว อัคนีต่างหากที่อยู่โดดเดี่ยวเมื่อไม่มีพ่อคนนี้”

น้องชายขมวดคิ้วสงสัย พระเจ้าชเยนทราถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกอีกว่า “เรามีพินัยกรรมสองฉบับ อีกฉบับเก็บไว้ที่นฤวรรวมกับตราแผ่นดินของเราด้วย หากเกิดปัญหากับฉบับในมือของเจ้า ก็ต้องใช้ฉบับที่อยู่กับนฤวรยืนยันเจตนารมณ์ของเรา จำไว้นะ”

“ผมไม่ลืมแน่”

“เจ้ากลับบ้านได้แล้ว ไปทางด้านหลังล่ะ พยนต์แจ้งเข้าพบแล้ว ประเดี๋ยวเขาคงมาถึงห้องนี้ ถ้าเห็นเจ้า จะเกิดความระแวงใจกัน เจ้าจะเดือดร้อนเร็วเกินไป” พี่ชายเอ่ยเย้าตอนท้าย

“ผมทูลลาก่อน”

“ลาก่อน น้องชาย”

พระเจ้าชเยนทราเดินไปส่งน้องชายที่ประตู เมื่อฝ่ายนั้นเดินลับสายตาไปแล้ว จึงกลับไปนั่งที่โต๊ะหนังสืออีกครั้งเพื่อเขียนแจ้งต่อข้าหลวงว่ามีพินัยกรรมสองฉบับ

พักใหญ่สียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมหาอำมาตย์พยนต์ก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยท่าทางสุขุม เยือกเย็น พลางค้อมกายต่ำแก่เจ้าของห้อง เสียงไอดังต่อเนื่องพระเจ้าชเยนทราจิบน้ำชาเล็กน้อย พลางยิ้มทักทายผู้มาเยือน

“ท่านมีนัดหมายจะพบเรายามค่ำคืน คงมีเรื่องด่วนใช่ไหม ?”

“กระหม่อมมีสองเรื่องขอรับ”

“พูดมาสิ” เจ้าของห้องมองสนใจ

“เรื่องแรก พระสนมกุลนาถให้ถามว่าเหตุใดพระองค์ไม่ไปเยี่ยมเจ้าชายบ้าง พระโอรสถามถึงพระองค์ตลอดเวลา นางส่งคนมาถาม ก็เงียบหายไป”

พระเจ้าชเยนทรานิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของเรา แล้วจะคุยกับนางเอง พูดเรื่องที่สองเถอะ”

คำพูดเน้นความเป็นครอบครัวเดียวกันระหว่างเจ้าของห้องกับพระสนมกุลนาถสะกิดใจมหาอำมาตย์เฒ่าอย่างจัง เขาปรายตามองพระเจ้าชเยนทรานิดหนึ่ง แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายดูสงบเรียบยิ่ง

“กระหม่อมอยากปรึกษาเรื่องตำแหน่งที่ว่างของท่านนฤวร”

“เราแจ้งไปที่กรมปกครองแล้วว่าจะแต่งตั้ง โชตก ให้ทำงานนี้แทนพ่อ ระหว่างอยู่ในขั้นตอนก็ให้ชยาศีร์ทำไปก่อน เราไม่เปลี่ยนความตั้งใจแน่ อย่าคิดทัดทานหรือเสนอคนอื่นอีก”

มหาอำมาตย์เฒ่ามองเครียด “กระหม่อมไม่ทราบว่า พระองค์ทำเรื่องนี้ไปแล้ว”

“ท่านรับผิดชอบงานในวัง โดยไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ ทำไมต้องรายงานกับท่านก่อน ? ตอนนี้ทุกสิ่งที่เราจะทำ ต้องขออนุญาตจากท่านก่อนหรือ ?

“การมีหลายความเห็นช่วยให้ทำงานไม่พลาดขอรับ”

“ตอนนี้เรายังบริหารประเทศอยู่ใช่ไหม ?”

“ใช่ขอรับ”

“คนที่พูดคุยเรื่องบริหารประเทศได้มีเพียงมหาเสนาบดีเท่านั้น ท่านควรรู้บทบาทหน้าที่ของตัวเองให้มากกว่านี้ ถ้าไม่รักษาบทบาทที่เหมาะสมไว้ เราอาจพิจารณาท่านใหม่เพราะวัยคงทำให้ท่านเลอะเลือนเกินไปแล้ว” เจ้าของห้องบอกเสียงเข้ม

“กระหม่อมเพียง...........”

“เราเหนื่อยจะนั่งฟังคำเตือนของท่านแล้ว”

พระเจ้าชเยนทราลุกเดินไปที่ประตูโดยไม่สนใจสีหน้าโมโหที่ถูกตำหนิการทำงานของเขา ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นยามมองแผ่นหลังของพระเจ้าชเยนทรา ทันใดนั้นเขาดึงผ้าไหมดิ้นทองซึ่งเตรียมมาจากบ้านพักแล้วตวัดคล้องคอของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“ท่าน..............”

ร่างของพระเจ้าชเยนทราทรุดฮวบลง ดวงตาเหลือกขึ้น ลมหายใจติดขัดมากขึ้นตามแรงรัดผ้าไหมในมือของมหาอำมาตย์พยนต์ เมื่อการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายสิ้นสุดลงผ้าไหมจึงคลายออกจากลำคอของพระเจ้าชเยนทราซึ่งนอนเหยียดกายบนพื้น

“ลมหายใจของพระองค์จะสร้างความลำบากใจแก่ฉันมาก ต่อนี้ไปฉันจะบงการทุกชีวิตในแดนมฆวันเอง ลาก่อน” เขาบอก แววตาเหี้ยมดุ

มหาอำมาตย์พยนต์เร่งค้นหาตราแผ่นดินบนโต๊ะทำงานของพระเจ้าชเยนทรา แล้วกดบนกระดาษที่จัดเตรียมไว้ เขากวาดสายตามองกระดาษบนโต๊ะแล้วสะดุดใจกับแผ่นที่วางอยู่ด้านข้าง

“พระองค์เขียนแจ้งข้าหลวงว่ามีพินัยกรรมสองฉบับรึ ?”

ท่านพยนต์รื้อค้นพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราตามโต๊ะและตู้เอกสารอย่างร้อนใจ แต่ไม่เห็นสักฉบับ ดวงตามองข้อความของพระเจ้าชเยนทราสลับกับศพบนพื้นด้วยความแค้นปนหวั่นใจ

“พระองค์น่าจะเขียนบอกด้วยว่า ฝากพินัยกรรมไว้กับใคร กระหม่อมจะไม่ต้องลำบากตามหาและทำลายมัน” เขาบอกเข่นเขี้ยว พลางตัดสินใจดำเนินตามแผนต่อไป

มหาอำมาตย์พยนต์เก็บผ้าไหมดิ้นทองที่ใช้รัดคอเจ้าของห้องไว้ในกระเป๋า แล้วจัดท่านอนของศพให้ดูเหมือนคนหัวใจวายตาย โดยไม่ลืมดึงคอเสื้อของพระเจ้าชเยนทราให้สูงเพื่อปิดบังแผลรัดคอจากผ้าไหมด้วย

“ตามติชิลาที่ประจำห้องโอสถมาด่วน !” ท่านพยนต์ตะโกนบอกทหารหน้าห้องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แล้วสั่งทหารอีกสองคนประคองศพไปที่ห้องพักโดยเร็ว

“ห้ามผู้ใดเข้าใกล้พระองค์เด็ดขาด”

มหาอำมาตย์พยนต์ออกคำสั่งและคอยยืนกำกับป้องกันมิให้ข้าหลวงคนใดเข้าใกล้ศพพระเจ้า

ชเยนทราจนกว่าติชิลา ลูกสาวของเขาและเป็นหมอหลวงจะประกาศความตายครั้งนี้

หลังจากติชิลาตรวจร่างกายของพระเจ้าชเยนทราตามปกติแล้วจึงประกาศความตายของประมุขประเทศมฆวันอย่างเป็นทางการ อันสร้างความตกใจแก่ข้าหลวงทุกคนรวมทั้งรองเสนาบดีชยาศีร์ซึ่งเพิ่งพูดคุยกับพี่ชายไม่นานก่อนที่มหาอำมาตย์พยนต์จะไปพบตามนัดหมาย นอกจากนั้นทุกคนต้องพบความแปลกใจหนักขึ้นเมื่อมหาอำมาตย์พยนต์จัดแจงงานพระศพอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของพระเจ้าชเยนทรา แม้จะมีข้าหลวงหลายคนทัดทานด้วยข้ออ้างว่าควรรอเจ้าชายอัคนีกลับมาร่วมพิธีศพก่อน แต่มหาอำมาตย์พยนต์ปฏิเสธและใช้อำนาจของมหาอำมาตย์ในการจัดงานทันที รองเสนาบดีชยาศีร์พยายามติดต่อเจ้าชายอัคนีให้รับทราบข่าวพระศพทุกทางโดยไม่ทราบว่าหลานชายกำลังอยู่ในเครื่องบินที่มุ่งกลับประเทศมฆวันแล้ว อันที่จริงแล้วการติดต่อสื่อสารทุกทางในประเทศมฆวันได้รับการปิดกั้นและขัดขวางจากคนของมหาอำมาตย์พยนต์นั่นเอง

***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์