จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

14.

เช้าวันรุ่งขึ้นโรงพยาบาลที่หมอจารุมนทำงานเป็นจิตแพทย์จัดงานเปิดฉลองอาคารใหม่โดยเชิญพันธวัชมาเป็นองค์ปาฐกเกี่ยวกับศีลธรรมของคนในสังคม หล่อนยืนรอรับอยู่หน้าห้องประชุมตามคำสั่งของผู้อำนวยการ พันธวัชหยุดยืนทักทายหล่อนด้วยรอยยิ้ม

“สบายดีไหม ?” เขาถามเสียงเบา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“สุขสบายดีค่ะ”

“ได้ยินข่าวว่าเปลี่ยนบ้านใหม่รึ ?” เขาถามซ่อนนัย

“ใช่ค่ะ”

“ฝากความคิดถึงลูกสาวด้วย” เขาเอ่ยพาดพิงถึงสริตา

“ขอบคุณแทนเด็กที่ท่านคิดถึงเธอค่ะ”

“แล้วเจอกันใหม่นะ”

หมอจารุมนยิ้ม พลางเมินสายตาไปมองทางอื่นด้วยความขยะแขยงกับการแสดงออกที่เปี่ยมเมตตาของพันธวัช ทั้งที่เมื่อคืนก่อนลูกน้องของนายพลชวนิลซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของพันธวัชลักพาหล่อนจากบ้านพักอย่างอุกอาจ

การปาฐกถาของพันธวัชซึ่งเป็นนักการเมืองอาวุโสที่คนส่วนใหญ่ชื่นชมกับภาพพจน์ความซื่อสัตย์และสุขุมเยือกเย็นมีคนฟังแน่นห้อง หมอจารุมนนั่งฟังสักพัก จึงลุกเดินออกจากห้องนั้นด้วยความสะอิดสะเอียนคำพูดที่เน้นให้คนฟังต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และเคารพกฎหมาย ถ้าเป็นคนรักชาติอย่างแท้จริง

“ท่านพันธวัชพูดจบแล้วหรือ ?” หมอเพ็ญศิริถาม เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องประชุม

“ยังไม่จบ”

“ฉันต้องตรวจคนไข้ก่อน จึงมาไม่ทันต้อนรับและฟังตั้งแต่ต้น น่าเสียดายจัง”

หมอจารุมนเหยียดยิ้มเล็กน้อย “คำสอนพวกนี้ได้ยินตั้งแต่เด็กแล้ว แต่มีน้อยคนที่ปฏิบัติได้”

“คุณไม่ฟังให้จบก่อนหรือ ?” หมอเพ็ญศิริถามสงสัย ยามเห็นเพื่อนทำท่าเดินจากไป

“คนถือมีดเตรียมฆ่าคน ปากพูดสอนให้ถือศีล ถ้าเป็นคนมีอำนาจก็น่ากลัวกว่าคนทั่วไป สังคมมองเห็นแค่เปลือกนอกที่ห่อหุ้มตัวตนไว้ ฉันเบื่อ คนไข้ยังจริงใจมากกว่า”

หมอจารุมนยักไหล่ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้หมอเพ็ญศิริมองด้วยความงุนงง ก่อนจะผลักประตูห้องประชุมเพื่อไปฟังพันธวัช

ก่อนเดินทางออกจากโรงพยาบาลที่พันธวัชรับเป็นองค์ปาฐกเรื่องศีลธรรมของคนในสังคม กลุ่มนักข่าวต่างห้อมล้อมและป้อนคำถามเกี่ยวกับข่าวลือล้มล้างรัฐบาลของผู้นำวรุตม์และการลักพาคนใกล้ชิดของผู้นำหนุ่มเพื่อใช้เป็นตัวประกัน แม้จะขุ่นเคืองใจต่อคำถามนี้ พันธวัชเลือกจะแสดงรอยยิ้มและไม่ตอบคำถามใดๆ โดยเร่งเดินไปยังรถที่จอดรอหน้าอาคารใหม่ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่สื่อมวลชน

“ข่าวลักพาแม่ของสริตาออกไปได้อย่างไร ? บ้าที่สุด !” พันธวัชสบถลั่นในรถ

คนขับมองผ่านกระจกส่องหลัง แล้วนิ่ง ยามเห็นสีหน้าโกรธของเจ้านายที่เบาะหลัง

“ไอ้วรุตม์ปล่อยข่าวแน่” พันธวัชพึมพำ พลางมองนาฬิกาข้อมือ “เปิดข่าวทีวีต้นชั่วโมงด้วย”

คนขับรับคำ แล้วเปิดทีวีจอเล็กในรถ พันธวัชเม้มปากแน่น ดวงตาจ้องจอภาพแบนซึ่งติดกับด้านหลังของเบาะคนนั่งเขม็ง ผู้นำวรุตม์ยืนอยู่กลางวงนักข่าวด้วยสีหน้าเคร่ง

“เพื่อนหญิงของท่านถูกไอ้โม่งลักพาตัวไป ท่านยืนยันข่าวนี้ได้ไหม ?” นักข่าวชายถาม

ผู้นำวรุตม์คิดชั่วครู่ ก่อนย้อนถามว่า “พวกคุณได้ข่าวนี้มาจากไหน ?”

“ท่านยืนยันข่าวนี้ไหม ?” นักข่าวสาวถามย้ำเสียง

“เธอยังทำงานปกติดีมิใช่หรือ ?”

นักข่าวยังไม่ยอมละความพยายามหาคำตอบเดิม “ท่านช่วยเธอกลับมาได้หวุดหวิด จริงไหม ?”

“ผมอยากให้ตำรวจเป็นคนชี้แจงข่าวนี้ มันเหมาะสมที่สุด”

“ท่านยอมรับว่ามีการลักพาเพื่อนหญิงของท่านใช่ไหม ?” นักข่าวสาวถามเน้น

ผู้นำวรุตม์นิ่ง ก่อนพยักหน้ารับ “เธอเป็นเหยื่อการลักพาตัวจริง แต่มิได้มาจากสาเหตุส่วนตัว แค่เป็นเหยื่อเท่านั้น”

“พวกไหนทำ ?”

“ตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่”

“คนทำเป็นพวกมีสีใช่ไหม ?” นักข่าวชายถาม ท่าทางกระตือรือร้น

“ข้อกล่าวหาต้องมีหลักฐาน จะพูดพล่อยๆไม่ได้ รัฐบาลอยู่ภายใต้กฎหมาย หากใครทำผิด ก็ต้องมีหลักฐานกล่าวหาอย่างเพียงพอแล้วให้ศาลตัดสินโทษ มันเป็นหลักทำงานของผมตั้งแต่ต้นแล้ว”

“มันเกี่ยวพันกับข่าวลือปฏิวัติช่วงนี้ไหม ?”

“ผมยังไม่ได้รับรายงาน คงต้องให้เวลาสอบสวนแก่ตำรวจบ้าง”

“กลุ่มปฏิวัติต้องการจับเพื่อนหญิงของท่านเป็นตัวประกันความสำเร็จใช่ไหม ?”

ผู้นำวรุตม์หัวเราะ “ถ้ามีกลุ่มปฏิวัติจริงตามข่าวลือ พวกเขาน่าจะมีเกียรติศักดิ์ศรีพอในการไม่ใช้ผู้หญิงเป็นตัวประกันความสำเร็จของเขา แม้เป็นผู้ชนะก็จะไม่สง่างามเพราะโกงในการแข่งขัน ประชาชนจะเหยียดหยามประณามเขา และเห็นใจรัฐบาลยิ่งขึ้น”

“ท่านยอมรับว่าข่าวปฏิวัติเป็นเรื่องจริงใช่ไหม ?” นักข่าวสาวถามรุก

“ผมบอกว่าถ้ามีกลุ่มปฏิวัติ............” เขาถอนใจยาว ก่อนบอกอีกว่า “...........การแย่งชิงอำนาจบริหารซึ่งประชาชนมอบให้ตัวแทนของเขาทำงานนี้ ถือเป็นการทรยศต่อชาติ ไม่รักชาติอย่างแท้จริง ไม่เคารพกติกา เมื่อเขาต้องการฉีกกฎที่ตัวเองเขียนไว้เพื่อชิงอำนาจจากตัวแทนประชาชน คิดว่าจะได้รับความรักจากชาวบ้านหรือ ? คนทำก็ต้องคิดหนักและเตรียมรับการลงโทษจากตัวแทนชาวบ้านด้วย รัฐบาลคือตัวแทนประชาชนตามรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่ปกป้องกฎหมายสูงสุด”

“นี่เป็นคำเตือนถึงกลุ่มปฏิวัติใช่ไหม ?”

“ความจริงคือ ประชากรกว่า 60 ล้านคน ย่อมต้องมีความคิดแตกต่างกัน บางคนอยากปฏิวัติล้มล้างรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิประชาชนไว้ มันมีความเป็นไปได้ แต่จะทำสำเร็จและเป็นที่พอใจของชาวบ้านส่วนใหญ่แค่ไหน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมทำหน้าที่ของผมเท่านั้น”

“หน้าที่ของท่านคือ กำจัดกลุ่มปฏิวัติใช่ไหม ?”

“เมื่อการปฏิวัติหรือก่อกบฏเป็นความผิดตามกฎหมาย ผมในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่ต้องรักษากฎหมายให้คงความศักดิ์สิทธิ์ไว้ ไม่ว่าผู้กระทำความผิดจะยากดีมีจนหรือมากด้วยชื่อเสียง ก็ต้องถูกลงโทษเท่าเทียมกัน ความคิดยังไม่ผิด แต่ลงมือตระเตรียมทำความผิดร้ายแรงนี้ ก็ถูกลงโทษได้”

ผู้นำวรุตม์ตัดบทสัมภาษณ์ด้วยการเร่งฝีเท้าเดินเข้าทำเนียบเพื่อต้อนรับแขกเมืองตามนัดหมาย กลุ่มนักข่าวจึงสลายตัวลง

“ปิดทีวี !” พันธวัชบอกสั่ง แล้วหลับตาลง “มันคิดใช้ข่าวสัมภาษณ์เตือนฉันสินะ เข้าใจหาวิธีดี ไอ้หนุ่ม”

เสียงมือถือดังขึ้น พันธวัชหยิบไปแนบหู พลางเอ่ยว่า “นายได้ยินคำเตือนแล้วใช่ไหม ?”

“ครับ” นายพลชวนิลตอบรับ

“มันคิดว่าเราจะไม่กล้าทำต่อไป”

“ผมแปลกใจบางอย่างครับ”

“อะไร ?”

“ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องของผมลักพาหมอจารุมนไป แต่ไม่มีการตอบโต้จากฝ่ายเขาเลย มันสงบเกินเหตุนะครับ”

พันธวัชขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วคลายออก “มันลำพองใจว่าควบคุมเราได้ ปล่อยมันคิดไปก่อน คืนนี้ฉันนัดเพื่อนมากินข้าวที่บ้านเพื่อหยั่งเสียงหาพันธมิตร นายมาร่วมด้วยสิ”

“มันประเจิดประเจ้อเกินไปล่ะมัง”

“มันส่งคนจับตามองเรา ก็ให้เห็นงานเลี้ยงอย่างเคย”

“แต่............”

“ตราบใดที่ไอ้วรุตม์ไม่ปลดนายออกจากตำแหน่งผู้นำทหาร นายยังเป็นเจ้าของปืน แต่มันกำรัฐธรรมนูญกระดาษเอาไว้ ชัยชนะก็เห็นอยู่แล้ว เพียงแต่รอฤกษ์ยามที่ดีเท่านั้น”

“ผมเกรงว่า..........”

“ถ้าเรากำจัดสริตากับหลักฐานชิ้นนั้นได้ จะไม่มีใครหยุดแผนพลิกอำนาจครั้งนี้”

“ไอ้วรุตม์ใช้ชื่อเสียงของท่านเป็นประกันอยู่นะครับ” นายพลชวนิลพูดเตือนในที

“มันคิดทำลายกำแพงชื่อเสียงของฉัน ไม่ง่ายหรอก” พันธวัชบอกมั่นใจ

“ถ้ามันได้หลักฐานชิ้นนั้นก่อน คนจะเชื่อภาพที่เห็นมากกว่าคำพูดของท่านแน่”

“ก่อนจะถึงเวลานั้นเราอาจได้จังหวะก่อนก็ได้”

“จังหวะ ?” น้ำเสียงของนายพลชวนิลบอกความสงสัย

“ฉันมีแผนสั่งสอนมันแล้ว ถ้าโชคดีกว่านั้น อาจไม่ต้องเหนื่อยทำตามแผนเดิมด้วย”

“แผนสั่งสอนรึ ?”

“ไปคุยที่บ้านคืนนี้”

นายพลชวนิลตอบรับ แล้วเลิกสายไป ดวงตาของพันธวัชวาวโรจน์ขึ้นยามคิดถึงแผนใหม่ที่ผุดวาบขึ้นในสมองของเขา

“คราวนี้เราจะได้รู้กันว่านรกอยู่ข้างเดียวกับนายหรือฉันกันแน่” พันธวัชพูดมาดหมาย

ผู้นำตำรวจเข้ารับฟังคำสั่งจากผู้นำวรุตม์เกี่ยวกับคดีลักพาหมอจารุมนซึ่งต้องพบความแปลกใจที่เขาสั่งมิให้สืบหาตัวการต่อไป ทั้งที่เพิ่งบอกนักข่าวว่าตำรวจสอบสวนอยู่

“ผมเกรงว่าหมอจะ...........” ผู้บัญชาการตำรวจมีสีหน้าไม่สบายใจ

“ผมคุยกับเธอได้”

“ทำไมไม่นำตัวพวกเขามาลงโทษตามกฎหมาย ?”

“ผมเข้าใจความอึดอัดของคุณ โดยเฉพาะความหวังดีที่มีต่อหมอจารุมน แต่ไม่อยากให้กระทบต่อหน้าที่การงานของเธอ ผมอยากให้เรื่องเงียบไป”

“ท่านมีเหตุผลมากกว่านั้นใช่ไหม ?”

ผู้นำวรุตม์ยิ้มเล็กน้อย “ผมสนใจงานใหญ่ของพวกเขามากกว่า”

“ท่านหมายถึงข่าวลือใช่ไหม ?”

“ถูกต้อง”

“พวกเขาไม่เคลื่อนไหวผิดปกติ แค่มีงานเลี้ยงที่บ้านของท่านพันธวัชทุกอาทิตย์เท่านั้น”

ผู้นำวรุตม์แผ่ภาพถ่ายจากฝ่ายตำรวจซึ่งเก็บภาพนักธุรกิจหรือข้าราชการที่มีข่าวเคยรับความช่วยเหลือจากพันธวัชบนโต๊ะ พลางเอ่ยว่า “พวกเขาติดหนี้บุญคุณของพันธวัช อาจเป็นนายทุนหนุนหลังการปฏิวัติครั้งนี้ก็ได้ ไม่มีงานไหนที่ปราศจากเงินทุนหรอก”

“ท่านคิดจะทำอย่างไรกับพวกเขา ?”

“ผมไม่สบายใจที่ปล่อยคนทำผิดลอยหายไปต่อหน้า คุณคาดว่าจะมีอีกหลายคนใช่ไหม ?” ผู้นำวรุตม์เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาวาวโรจน์ “เพื่อจับปลาตัวใหญ่ ผมคงต้องขอร้องให้อึดอัดต่อไปครับ”

ผู้บัญชาการตำรวจถอนใจเฮือกใหญ่ “ผมสับเปลี่ยนกำลังคุ้มครองหมอจารุมนไปแล้ว เธอบ่นเรื่องเซฟเฮาส์และอยากกลับบ้าน”

“คุณคุ้มกันที่บ้านของเธอให้แน่นหนาขึ้นได้ไหม ?”

“แต่อาจเกิดการชิงเธออีกก็ได้”

“ผมอยากเห็นเธอมีความสุข คงต้องตามใจเธอ”

“แต่เธอจะไม่ปลอดภัย”

“ฝากเธอไว้ในมือตำรวจแล้ว อย่าทำงานเสียชื่อเสียงนะครับ” เขาเอ่ยเย้าตอนท้าย

ผู้บัญชาการตำรวจมีสีหน้าหนักใจ แล้วขอกลับไปทำงาน ผู้นำวรุตม์ใช้มือถือติดต่อหาหมอจารุมน พลางบอกว่า “ผมทำตามที่รับปากแล้ว คุณยืนยันจะเป็นตัวล่อต่อไปรึ ?”

“เมื่อต้องการลิดรอนแขนขาและเก็บหลักฐานความชั่วของพวกเขา ฉันยินดีเสียสละความปลอดภัยของตัวเอง ปอนด์ยังทำได้ แม่ก็ไม่น้อยหน้าแน่” หมอจารุมนตอบกลั้วเสียงหัวเราะ

“คุณพูดง่ายจัง แต่ขอบคุณอย่างมาก”

“ถ้าปอนด์ส่งหลักฐานความผิดของพันธวัชกับนายพลชวนิลไม่ได้ แผนนี้จะรองรับแทนได้ ฉันเข้าใจความลำบากของคุณดีค่ะ”

ผู้นำวรุตม์ซึ้งใจกับเพื่อนหญิงที่ยอมมีส่วนร่วมกับแผนกำจัดกบฏครั้งนี้อย่างไม่กลัวเกรงอันตรายที่คืบคลานใกล้ครอบครัวของหล่อน

“ฉันทำเพื่อรักษากฎหมายและปกป้องสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไว้ พวกนั้นอาจเห็นเป็นแค่กระดาษที่ฉีกเมื่อไรก็ได้ แต่ฉันเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในอักษรทุกตัวที่เขียนไว้เพื่อคนไทย เมื่อมีโอกาสช่วยเหลือ ก็ยินดีทำเพื่อชาติและประชาชน” หล่อนตอบหนักแน่น

“ขอบคุณ หมอ”

“ฉันทำเพื่อชาติ แต่คุณรับอานิสงส์ไป อย่าลืมเลี้ยงข้าวเย็นด้วยล่ะ”

“ได้แน่นอน” เขาตอบรับด้วยความยินดี

งานเลี้ยงในบ้านพันธวัชเลิกไปตอนใกล้เที่ยงคืน ทุกคนทยอยเดินทางกลับบ้าน แต่นายพลชวนิลยังอยู่ต่อไป พันธวัชชวนไปคุยในห้องทำงานซึ่งแน่ใจว่าจะไม่มีเครื่องดักฟังติดตั้งได้

“พวกเขาไม่ได้รับปากสนับสนุนเราเลย แย่จัง” นายพลบ่น

พันธวัชยิ้มน้อยๆ “มันเป็นท่าทีแบบนักธุรกิจทั่วไป หากผมขอร้องจริงจัง พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน อย่ากังวลเลย”

“ทำไมท่านมั่นใจนัก ? นักธุรกิจทำทุกอย่างเพื่อกำไรสูงสุดนะ”

“ผมขอให้ตอบแทนบุญคุณที่เคยช่วยเหลือพวกเขามาก่อน”

นายพลชวนิลเริ่มมองเห็นแผนที่ซ่อนอยู่ในงานเลี้ยงพบปะนักธุรกิจและข้าราชการครั้งนี้ชัดขึ้น สีหน้าโล่งใจ

“เงินทุนการปฏิวัติที่ต้องจ่ายแก่พวกที่ร่วมงานกับเราจะมาจากนายทุนเหล่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นผมยังมีวิธีคาดคั้นให้สนับสนุนพวกเราประกอบด้วย อย่ากังวลเลย”

“ท่านคิดรอบคอบเสมอ”

“นี่เป็นงานใหญ่ โดยเฉพาะวรุตม์รู้ตัวแล้ว จึงต้องมีแผนซับซ้อนขึ้น”

“ตอนนี้เราอยู่ในสายตาของวรุตม์แล้ว ผมเกรงว่า...........”

“มันเคารพกฎหมายมาก เราก็ใช้กฎหมายบีบคอมันไว้ ผมมีงานสองชิ้นให้ช่วยจัดการ”

“งานอะไร ?”

พันธวัชกระซิบบางอย่างใกล้หูของนายพล ครู่ต่อมาจึงกำชับว่า “ตั้งใจทำเต็มที่ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ผมก็พอใจทั้งสิ้น”

“ครั้งนี้พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ลอยนวลอีกแน่” นายพลชวนิลมีสีหน้ากังวล

“ผมปกป้องผลที่ออกมาเอง มันจะได้เห็นพลังของผมบ้าง”

“ท่านจะตอบโต้หรือ ?”

“แค่สั่งสอนเท่านั้น เริ่มต้นพรุ่งนี้ !”

“ท่านจะทำอะไร นอกจากที่สั่งไว้อีก”

ดวงตาของพันธวัชวาวโรจน์ขึ้น “หนามยอก เอาหนามบ่งไง”

เมื่อนายพลชวนิลออกไปแล้ว พันธวัชสนทนากับผู้ใหญ่อีกคนเพื่อขอความช่วยเหลือโดยอ้างความไม่เป็นธรรมที่ได้รับจากผู้นำวรุตม์ เขามั่นใจว่าเช้าวันพรุ่งนี้ยังมีกลุ่มนักข่าวดักเฝ้าสัมภาษณ์เขาเพราะข่าวลือเรื่องกบฎในช่วงนี้ คราวนี้เขาจะใช้ไมโครโฟนของนักข่าวบอกให้ผู้นำวรุตม์รับรู้ถึงบารมีของเขาในสังคมบ้าง

พระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าเมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นในสนามหญ้าหน้าบ้านของพันธวัช กลุ่มนักข่าวพยายามแย่งถ่ายภาพหลุมระเบิดใกล้กำแพงบ้านซึ่งกำลังมีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยตรวจสอบหลักฐานอยู่ ทุกคนมีใบหน้าเครียดและไม่ยอมพูดคุยกับนักข่าว พันธวัชยืนมองจากหน้าต่างห้องนอนด้วยรอยยิ้มเย็น ดวงตาพราววับขึ้น

“นายทำงานทันใจดี” เจ้าของบ้านพึมพำ พลางขยับคอเสื้อให้ดูดี “ต่อไปเป็นเวทีของผม”

เมื่อพันธวัชเดินออกมาดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย นักข่าวตะโกนขออนุญาตสัมภาษณ์เขาทันที เจ้าของบ้านตอบรับแล้วเดินออกไปนอกบ้าน

“พวกเขาทำงานในบ้าน ไม่สะดวกจะให้เข้าไปข้างใน คงไม่ตำหนิกันนะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอารี

“เราเข้าใจค่ะ ท่าน” นักข่าวสาวตะโกนตอบ

นักข่าวชายเริ่มต้นคำถามทันที “ระเบิดครั้งนี้ตั้งใจฆ่าท่านใช่ไหม ?”

“เจ้าหน้าที่เพิ่งแจ้งว่า อานุภาพของมันแค่ขู่ให้กลัว เสียงดังมากเลย” พันธวัชตอบเสียงเรียบ

“ท่านคิดว่าฝ่ายใดทำคะ ?”

“ผมไม่รู้ ตำรวจกำลังทำงานของเขาอยู่”

“มันเกี่ยวพันกับข่าวกบฏที่บอกว่าท่านอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ?”

พันธวัชมองเจ้าของคำถาม แล้วยิ้ม “ผมเป็นคนธรรมดาเท่านั้น มีปัญญาก่อกบฏหรือ ? ข่าวไร้สาระจริงๆ”

“บางคนเชื่อว่าท่านมีบารมีมากพอจะทำเช่นนั้น ท่านเห็นอย่างไร ?”

“ตลอดชั่วชีวิตของผมพูดให้คนรักชาติ รักแผ่นดิน แล้วจะทำร้ายชาติหรือแผ่นดินได้อย่างไร บ้านเมืองเดินมาอยู่จุดแห่งความเจริญแล้ว เมื่อเป็นข่าวลือก็ต้องสยบด้วยความจริงเท่านั้น หน้าที่ของรัฐบาลแล้วล่ะ”

“ท่านเชื่อว่ายุคนี้จะมีปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้งอีกไหม ?”

“ขอให้ทำเพื่อชาติ ก็จะได้คำตอบนั้นเอง”

“ท่านอยากฝากคำพูดถึงคนที่ทำหรือไม่ ?”

พันธวัชยิ้มเย็น พลางส่ายหน้า นักข่าวถามต่อว่า “ฝากถึงรัฐบาลไหมครับ ?”

“พวกเขาคงทำหน้าที่อย่างเต็มที่แหละ ไม่มีอะไรฝากหรอก”

นักข่าวหันไปเห็นขบวนรถผู้นำวรุตม์จอดรอเข้าไปในบ้านพักของพันธวัช เจ้าของบ้านจึงเอ่ยว่า “ผมต้องขอกลับเข้าบ้านก่อน ท่านวรุตม์มาเยี่ยมแล้ว”

ผู้นำวรุตม์เข้าไปรอในห้องรับรองของบ้านพันธวัช พลางยืนมองผ่านหน้าต่างขณะที่เจ้าของบ้านเดินเข้าบ้านอย่างเนิบนาบ

“คราวนี้คิดใช้สื่อมวลชนกลบเกลื่อนส่วนลึกของตัวเองแล้วสิ” เขาพึมพำ แล้วกลับมานั่งรอที่ชุดรับแขก

พันธวัชเดินเข้าบ้าน แล้วยิ้มทักทายผู้มาเยือน “คนแก่เดินช้าไปหน่อย ไม่ถือสากันนะ”

“ผมมองเห็นคนมุ่งมั่นมากกว่าคนแก่ครับ”

เจ้าของบ้านหัวเราะ ผู้นำวรุตม์เอ่ยต่อไปว่า “ผมรับแจ้งจากตำรวจว่าบ้านของท่านถูกวางระเบิดข่มขู่ จึงมาเยี่ยมท่านกะทันหัน ต้องขอโทษที่มารบกวนเช่นกัน”

“ขอบคุณที่ห่วงใยผม” พันธวัชบอก พลางทำเสียงหึในลำคอ “ผมจำได้ว่ามีตำรวจคุ้มกันบ้านเพิ่มขึ้น ทำไมจึงมีระเบิดได้ ? น่าแปลกนะ”

“ผมต้องตรวจสอบและมีคำตอบให้ท่านแน่”

“นักข่าวสงสัยว่ารัฐบาลอาจแสดงอำนาจกับผมเพราะข่าวลือ คุณคงลำบากใจแล้วล่ะ”

“ขอบคุณที่ห่วงใยผม”

“นักข่าวพบคุณครั้งหน้าต้องเจอคำถามนี้แน่ เตรียมตัวให้ดีล่ะ”

“ผมหวังว่าจะไม่ใช่การสร้างสถานการณ์เหมือนที่นักการเมืองอยากดังในอดีตยอมจ้างคนขว้างระเบิดเพื่อเรียกคะแนนสงสารให้ตัวเองหรือเบี่ยงเบนความสนใจด้านไม่ดีของตนไปทางอื่น”

“ผมคงไม่ลงทุนทำขนาดนั้นหรอก”

ผู้นำวรุตม์เหยียดยิ้ม “ท่านเป็นคนมีเกียรติศักดิ์ศรีที่สั่งสมมานาน คงไม่ลดตัวไปใช้วิธีของเด็กๆหรอก มันเป็นการเล่นกลับวัยมากไปหน่อยครับ”

พันธวัชอึ้งกับคำพูดเหน็บแนมของอีกฝ่าย โดยเฉพาะสายตารู้เท่าทันของผู้นำวรุตม์สร้างความเดือดดาลใจแก่เจ้าของบ้านยิ่ง

“ผมหวังว่าจะจับคนวางระเบิดได้ เพราะทำกับผมได้ ก็แสดงถึงความไม่ปลอดภัยของชาวบ้านแล้ว” พันธวัชพูดเน้นเสียง

“ชาวบ้านยังปลอดภัยกว่านักการเมืองอย่างเราเสียอีก เพราะการเมืองคือการแย่งอำนาจที่บางคนเชื่อว่าต้องเอาชีวิตเข้าแลก แทนที่จะใช้ความสามารถซื้อหัวใจของประชาชนครับ”

“ผมไม่มีอารมณ์ฟังปรัชญาของนักการเมือง การล่ามือระเบิดเป็นการกู้ชื่อเสียงของคุณเอง ประชาชนจะลดความไว้วางใจลงแน่ ถ้าเรื่องเงียบหายไป”

“ผมขอบคุณที่ห่วงใยครับ” ผู้นำวรุตม์ตอบ พลางเอ่ยเน้นเสียงว่า “ก่อนมาบ้านของท่านผมได้รับคำขอร้องจากท่านชิดศักดิ์ลดกำลังตำรวจลงเพราะท่านอึดอัดใจมาก”

“พี่ชิดศักดิ์เห็นใจคนถูกเฝ้าจับตามองอย่างระแวงเช่นผม” พันธวัชยอมรับว่าเป็นคนบอกอดีตผู้นำประเทศซึ่งเป็นที่เคารพรักของผู้นำวรุตม์

“ผมเสียใจที่ถูกเข้าใจผิดเช่นนั้น เมื่อท่านชิดศักดิ์เอ่ยปากขอมา ผมคงไม่อาจปฏิเสธได้ ตั้งแต่วันนี้ผมจะลดกำลังตำรวจเฝ้าคุ้มครองบ้านของท่านลง หากนักข่าวถามถึงความผิดปกติครั้งนี้ ก็ขออนุญาตบอกความจริงด้วยครับ”

“ผมไม่ชอบปิดบังอยู่แล้ว ตามสบาย”

พันธวัชเดินไปส่งผู้นำวรุตม์ พลางเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “คนแก่อย่างผมมีทางเลือกมาก แต่คนหนุ่มจะเห็นทางน้อยกว่าเสมอ มันต่างกันที่ประสบการณ์นะ”

“ผมจะจำคำเตือนของท่านครับ” เขามองสบนัยน์ตาของพันธวัชที่ส่องประกายท้าทาย “ถ้าท่านเชื่อลิขิตฟ้า ก็อาจต้องเดินสะดุดเท้าตัวเอง ไปไม่ถึงความฝันก็ได้”

“ถ้าลิขิตฟ้านั้นเป็นของผม คุณอาจต้องกระอักเลือด”

ผู้นำวรุตม์ทำเสียงหึในลำคอ แล้วเดินไปขึ้นรถเพื่อออกจากบ้านพักของพันธวัช ครั้งนี้เขาจำต้องถอยก้าวหนึ่งเพราะความเกรงใจและบุญคุณที่อดีตผู้นำชิดศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ชักชวนให้เล่นการเมืองขอร้องเป็นครั้งแรก เขาประมาทความสนิทสนมระหว่างอดีตผู้นำชิดศักดิ์กับพันธวัชซึ่งเคยทำงานร่วมรัฐบาลสมัยเดียวกันจนมีข่าวลือว่าจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนต่อไปของผู้นำชิดศักดิ์ แต่ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำมาเยือนประเทศเสียก่อน ประชาชนต้องการผู้นำที่หนุ่มและกระฉับกระเฉงเป็นหลัก วรุตม์กลายเป็นความหวังใหม่ของประชาชน ด้วยคุณสมบัติของการตัดสินใจเฉียบขาดและทันสมัย กอปรกับทีมงานที่เก่งกาจจึงไม่สร้างความผิดหวังแก่เจ้าของเสียงเลือกตั้งในการปลดพันธนาการหนี้สินของประเทศและพัฒนาศักยภาพการค้าขายและการผลิตในประเทศอย่างต่อเนื่อง บ้านเมืองจึงรุ่งเรืองผิดตาจากอดีตอย่างมาก ความหวังในการชิงอำนาจของพันธวัชยิ่งลางเลือน เมื่อความชื่นชมในหมู่ประชาชนต่อผู้นำวรุตม์ไม่มีทีท่าลดลง ขณะที่สังขารของตนร่วงโรยลงทุกวัน แต่บารมียังคงสูง ครั้งนี้จึงเป็นความหวังสุดท้ายที่จะทำความฝันของพันธวัชเป็นความจริงได้

“ฉันจะพลิกชะตาของนายด้วยมือของฉันเอง” พันธวัชคิดมุ่งมาดเต็มที่

***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์