จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

16.

เจ้าชายอัคนีกับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์เยี่ยมเยียนชาวบ้านซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากดินถล่มในค่ายบรรเทาทุกข์ตลอดวัน จากนั้นจึงเดินตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อสั่งงานแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากับเจ้าหน้าที่ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วเมื่อทั้งสองนั่งรถตู้เพื่อเดินทางกลับวังไวชยันต์ พักใหญ่รถตู้ต้องจอดนิ่งเมื่อคนขับแจ้งว่ายางล้อรถแบน รองมหาเสนาบดีชยาศีร์มองป่าสองข้างทางซึ่งความมืดปกคลุมอยู่ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

“ท่านอาคิดอะไร ?”

รองมหาเสนาบดีฯมองไปด้านหลังรถตู้ แต่ไม่เห็นขบวนคุ้มกันของทหารวังติดตามมาด้วย

“ทำไมทหารคุ้มกันยังไม่ตามมา ?”

“ถนนขรุขระมากเพราะฝนตกถล่มทั้งคืน แต่ละคันต้องแล่นช้า จึงมาสมทบไม่เร็วทันใจ”

“อาคิดว่า เขาจงใจล่าช้ามากกว่า” รองมหาเสนาบดีฯบอกเน้นเสียง แล้วหยิบปืนออกมาถือไว้

“ท่านอาพกปืนติดตัวด้วยหรือ ?”

“หลังจากอาต้องทำงานแทนท่านนฤวร ก็เพิ่งรู้ต้นเหตุความเครียดของเขา ตายเมื่อไร ก็ไม่รู้”

เจ้าชายอัคนีหยิบปืนสั้นที่ติดไว้ในรองเท้าบู้ตออกมาถือไว้ แล้วมองหาคนขับรถที่กำลังเปลี่ยนล้อยาง บัดนี้ เขาหายตัวไปแล้ว

“เราเหลือกันแค่สองคนแล้ว ท่านอา”

“เข้าป่า !” รองมหาเสนาบดีฯร้องบอก ยามเห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่งวิ่งพรวดออกจากป่าด้านซ้าย

เจ้าชายอัคนีเปิดประตูด้านขวาแล้ววิ่งนำเข้าป่าอย่างเร็ว ปากตะโกนว่า “พบกันที่บ้านของผมนะ ท่านอา”

“ไปเลย” รองมหาเสนาบดีฯตอบรับแล้ววิ่งแยกทางหายเข้าไปในความมืดของป่า

กลุ่มคนชุดดำจำต้องแยกกันไล่ตามชายทั้งสองเข้าป่า รองมหาเสนาบดีชยาศีร์มุ่งไปยังหมู่บ้านที่เขาเคยพักอาศัยช่วงไปดูแลการสร้างฝายกั้นน้ำให้ชาวบ้านตามคำสั่งของอดีตมหาเสนาบดีนฤวรหลายปีก่อนหน้านี้ พวกชุดดำซึ่งไม่คุ้นเคยกับเส้นทางนี้จึงพลัดหลงกับเขาอย่างง่ายดาย

เจ้าชายอัคนีเคยฝึกเดินและปีนเขาด้วยเส้นทางนี้จึงรู้จักมันอย่างดี พลางวิ่งลัดเลาะโดยอาศัยแสงจันทร์เดือนเพ็ญนำทางออกนอกป่าอีกด้านหนึ่ง เสียงเหยียบใบไม้ที่ใกล้ถึงตัวทำให้เขาหยุดยืนคิดหาวิธีสลัดพวกชุดดำที่มีจุดประสงค์ชั่วร้ายกับเขาอย่างแน่นอน เขามองไปยังเส้นทางของพรานล่าสัตว์แล้วแย้มยิ้ม จากนั้นจึงซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่

“เขาอยู่ที่ไหนแล้ว ?” หัวหน้าคนชุดดำถาม พลางส่องไฟฉายไปรอบกาย

เสียงเหยียบใบไม้ดังขึ้น ทุกคนหันขวับไปยังเส้นทางเล็กและแคบ จึงเห็นเงาชายหนุ่มวิ่งไปทางนั้น พวกเขาไล่ตามทันที

“หายไปไหนอีกแล้ว ?” หัวหน้าคนชุดดำถามเสียงขุ่น เมื่อไม่เห็นเจ้าชายอัคนี

“ทางนั้น !” ลูกน้องบอก พลางทำสัญญาณมือชี้ทางประกอบด้วย

กลุ่มคนชุดดำวิ่งไล่ตามเจ้าชายซึ่งมุ่งตรงไปยังเนินเขาสูงเบื้องหน้า พลันเสียงร้องเจ็บปวดดังลั่นขึ้น

“นี่.........” หัวหน้าคนชุดดำล้มทรุดลง เมื่อเท้าข้างหนึ่งอยู่ในกับดักสัตว์

เท้าของลูกน้องทั้งหมดติดอยู่ในกับดักสัตว์และถูกดึงขึ้นไปห้อยศีรษะบนต้นไม้ หัวหน้ากลุ่มขบกรามแน่น เมื่อตระหนักแก่ใจแล้วว่าหลงกลของเจ้าชายอัคนี บัดนี้ งานประสบความล้มเหลวแล้ว

“กับดักนายพราน ! ท่านอัคนีจงใจล่อเรามาที่นี่” หัวหน้ากลุ่มบอกเข่นเขี้ยว

เจ้าชายอัคนียืนมองจากเนินเขาด้วยความโล่งใจที่สกัดการติดตามของพวกชุดดำได้ทั้งหมดด้วยแผนกับดักนายพรานซึ่งเขากับโชตกเคยมาฝึกซ้อมเดินป่าแถวนี้พร้อมกับนายพรานท้องถิ่นซึ่งบอกเล่าไว้ จากนั้นเขาตัดสินใจเดินกลับไปที่ถนนอีกครั้งเพื่อหาทางกลับเรือนศักเรนทร์ โชคดีที่ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งขี่ม้าผ่านมา เขาจึงขอแบ่งปันม้าหนึ่งตัวแล้วเดินทางไปยังที่นัดหมายกับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์โดยเร็ว

มหาอำมาตย์พยนต์รับแจ้งผลงานที่ล้มเหลวของลูกน้อง จึงตัดสินใจเดินทางไปเรือนศักเรนทร์เพื่อขอพบเจ้าชายอัคนี เขารอสักครู่หนึ่งจึงเห็นเจ้าของเรือนศักเรนทร์เดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ โดยมีโชตกนั่งรออยู่ที่ชุดรับแขกก่อนแล้ว

“ท่านพยนต์เพิ่งได้ข่าวลอบสังหารท่าน จึงมาพบขอรับ” โชตกบอก ท่าทางสำรวม

“กระหม่อมเพิ่งรับทราบจากคนในขบวนรถของท่านว่า คนขับรถถูกฆ่าตาย ตอนนี้กรมวังกำลังสอบสวนเหตุการณ์นี้อยู่”

“ถ้าไม่ใช่ประสบการณ์ส่วนตัวที่รู้จักเส้นทางนั้นดีกว่าไอ้โม่งชุดดำ สองอาหลานคงตายไปแล้ว” รองมหาเสนาบดีฯบอกเหน็บในที

“มันเป็นการทำงานบกพร่องที่ต้องมีคนรับผิดชอบ กระหม่อมจะเร่งการสอบสวนโดยเร็ว”

เจ้าชายอัคนียิ้มเครียด “เราไม่ต้องการแพะรับบาป ท่านให้ความยุติธรรมแก่พวกเขาด้วย”

“หลานของอามีเมตตาจริงๆ” รองมหาเสนาบดีฯพูด สีหน้าเคร่ง “อาสังเกตเห็นความผิดปกติที่ทหารวังทิ้งระยะห่างจากรถตู้มาก มันไม่น่าจะเป็นความบังเอิญ”

“เบื้องต้นทราบว่าถนนแคบและแฉะมาก รถคันหน้าสุดเกิดยางแตก ทำให้คันหลังต้องหยุดรอ จึงทิ้งห่างรถตู้ของท่าน” ท่านพยนต์บอกชี้แจง

“ปล่อยพวกเขาไปเถอะ เรารอดมาแล้วนี่นา”

“แต่.........” รองมหาเสนาบดีฯทำท่าค้านความเห็นของหลานชาย

เจ้าชายโบกมือปราม พลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อเพิ่งจากไป เราไม่อยากให้เรื่องร้ายแพร่กระจายอีก คนจะพูดกันว่าความขัดแย้งลุกลามถึงขนาดต้องฆ่ากันแล้ว ท่านพยนต์จัดการด้วยล่ะ”

“ขอรับ” ท่านพยนต์รับปากด้วยความโล่งใจที่ไม่ถูกสาวเรื่องต่อไป

รองมหาเสนาบดีฯถามฮึดฮัดว่า “เธอจะไม่ตามหาต้นเหตุที่พวกเราต้องหนีตายหรือ ?”

เจ้าชายอัคนีมองสบนัยน์ตาของมหาอำมาตย์พยนต์ พลางถามเน้นเสียงว่า “ความขัดแย้งระหว่างเรากับท่านไม่ถึงกับต้องตายกันไปข้างหนึ่งใช่ไหม ?”

“มันเป็นความเข้าใจผิดกันเท่านั้น”

“ท่านไม่ควรปล่อยให้คาราคาซังต่อไป หวังว่าจะรีบอนุมัติให้ท่านทองเก้าเดินทางนำหลักฐานไปพิสูจน์ที่ต่างประเทศได้ การถ่วงเวลาไว้ไม่เป็นผลดีต่อภาพพจน์ของท่าน”

“กระหม่อมไม่เคยถ่วง............”

เจ้าชายโบกมือปราม พลางพูดเสียงเข้มว่า “หากเราได้รับบาดเจ็บ คนต้องสงสัยว่าท่านอาจเกี่ยวข้องก็ได้ ดังนั้น เราอยากให้เรื่องพิสูจน์พระพินัยกรรมจบโดยเร็ว เรากับเอกทัศน์จะได้กลับมาเป็นพี่น้องดังเดิม”

“กระหม่อม...........” ท่านพยนต์ทำท่าจะเถียง

“ท่านอยากให้เอกทัศน์เป็นรัชทายาที่ไม่สง่างามหรือ ?”

“กระหม่อมจะทำตามคำแนะนำของท่าน”

เจ้าชายยิ้ม “ขอบใจที่เร่งรัดใบอนุญาตครั้งนี้”

มหาอำมาตย์พยนต์กล่าวอำลา แล้วเดินออกจากเรือนศักเรนทร์อย่างขุ่นเคืองใจที่ถูกข่มขู่จากรัชทายาทแห่งประเทศมฆวัน

“เขาสั่งสังหารท่าน น่าจะเกี่ยวพันกับข้อมูลเลือดในกระดาษที่หายไปแน่” โชตกเอ่ยด้วยสีหน้าวิตกกังวลชัด

“เธอไม่ควรบอกเป็นนัยให้เขารู้เลย มันเป็นดาบมาทำร้ายเธอแล้ว” รองมหาเสนาบดีฯพูดตำหนิหลานชาย

“เราต้องการให้เขาแสดงความชั่วร้ายเพื่อปกป้องตัวเองและเชื้อสายโดยเร็ว”

“แต่มันเสี่ยงชีวิตอย่างมาก” ผู้เป็นอากล่าวหนักใจ

เจ้าชายหันไปทางโชตก “นายรู้ที่ซ่อนพระพินัยกรรมฉบับที่สองหรือยัง ?”

“ผมพยายามหาทั่วบ้านแล้ว แต่ไม่พบเบาะแสเลย”

“ท่านนฤวรอาจไม่ทราบก็ได้” รองมหาเสนาบดีฯพูดให้ความเห็น

เจ้าชายส่ายหน้า “ทุกเรื่องที่ท่านพ่อทำ มักจะปรึกษากับท่านนฤวรเสมอ พวกเขาเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจกัน”

“ผมจะลองหาอีกรอบ แล้วรายงานให้ทราบขอรับ”

“สริตาล่ะ ?”

“พี่นิชาแจ้งว่าเธอกำลังพักผ่อน พิษในกายถอนหมดแล้ว ช่วงนี้ห้ามการพบปะกับคนภายนอก คาดว่าจะใช้เวลาสามวันขอรับ”

“สามวันหรือ ?” เจ้าชายมีสีหน้าผิดหวัง

รองมหาเสนาบดีฯเอ่ยว่า “อย่างน้อยก็รอดชีวิต แม่บ้านของโชตกมีฝีมือเหลือเชื่อจริงๆ ทั้งที่เล่ากันว่ายาพิษของติชิลาเป็นสุดยอด แต่เธอคนนั้นก็เก่งมาก วันหลังแนะนำให้รู้จักบ้างสิ”

“พี่นิชาไม่ชอบคบหาผู้คน ท่านพ่อกำชับให้ทำตามใจเธอ”

“คนแปลกแฮะ” รองมหาเสนาบดีฯพูด แล้วขอตัวกลับบ้านเพื่อพักผ่อน

โชตกขอกลับบ้านเช่นกัน เจ้าชายอัคนียืนมองทั้งสองด้วยความหนักใจ ยามคิดว่าการสนับสนุนรัชทายาทของรองมหาเสนาบดีชยาศีร์กับโชตก อาจนำอันตรายถึงชีวิตมาสู่พวกเขาได้

“เราดีใจที่พบความจริงใจของพวกท่าน แต่เสียใจที่ดึงให้มาเสี่ยงชีวิตด้วยกัน” เขาบ่นพึมพำ ดวงตามองท้องฟ้าที่สว่างไสวด้วยแสงจันทร์คืนเพ็ญ “พระพินัยกรรมฉบับที่สองอยู่ที่ไหน ?”

สริตาพักผ่อนเต็มที่ตลอดคืนอันเจ็บปวดทรมานจากคมกริชเงินของแม่บ้านนิชาซึ่งเฉือนผิวหัวไหล่ของหล่อนเลือดแดงฉานนองเตียง แล้วใช้ยาสีดำกลิ่นฉุนจมูกทาทับบาดแผล จากนั้นพันด้วยผ้าแพรสีแดง เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าหล่อนแปลกใจที่อาการเจ็บแผลที่ไหล่ทุเลาลงมาก จึงนั่งสมาธิตามที่เคยปฏิบัติตั้งแต่เด็ก พักใหญ่หล่อนใช้พลังจิตยกแก้วน้ำซึ่งอยู่บนโต๊ะห่างจากเตียงด้วยความกระหายน้ำ พลันประตูห้องเปิดออก เสียงแก้วน้ำกระแทกพื้นดังลั่นขึ้นเมื่อสริตาตกใจยามเห็นแม่บ้านนิชาเดินถือถาดอาหารเข้ามาในห้อง

“แข็งแรงดีแล้วสินะ” แม่บ้านนิชาพูด ดวงตามองเศษแก้วน้ำบนพื้นสลับกับสาวไทยบนเตียงหิน “ฉันเอาอาหารเช้ามาให้กิน แล้วจะเปลี่ยนผ้าพันแผลด้วย”

“น้ำใจดีเหลือเกินที่แทงฉัน แล้วยังทำแผลให้อีก” หล่อนพูดประชด

แม่บ้านนิชายิ้มเย็น “จะกินก่อนทำแผลหรือตรงข้ามกันล่ะ ?”

“ฉันมีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ ?”

“วันนี้ฉันใจดีไง”

“ทำแผลก่อนเถอะ”

แม่บ้านนิชาเดินไปหยิบถาดทำแผลมาวางบนเตียง แล้วปลดเงื่อนผ้าแพรอย่างเบามือ ดวงตามองบาดแผลที่มีเลือดซึมเล็กน้อยอย่างพอใจ

“แผลสมานตัวเร็วทันใจแล้ว”

“ฉันควรขอบใจคุณใช่ไหม ?”

“ตามมารยาทแล้วก็ใช่” แม่บ้านนิชาตอบ แล้วเริ่มทายาและพันแผลใหม่ด้วยผ้าแพร

“คุณถอนพิษด้วยความทารุณมาก รู้ไหม ?”

“ถ้าเป็นบ้านเมืองของคุณต้องฉีดยาชาหรือยาสลบก่อน แต่ฉันไม่ใช่หมอตะวันตก”

“มันเจ็บมากนะ” หล่อนขมวดคิ้วแน่น ยามคิดถึงความเจ็บปวดในคืนที่ผ่านมา

“ฉันต้องการให้คุณหลั่งฮอร์โมนจากความตื่นเต้นหรือตื่นกลัวเพื่อช่วยขับไล่พิษในกายด้วย ฉันเรียกว่าเป็นการพึ่งพาธรรมชาติของมนุษย์ร่วมกับยาโบราณ คุณเห็นเลือดสีเข้มที่มีกลิ่นเหม็นของตัวเองแล้วใช่ไหม ?”

“นั่นเป็นเลือดพิษหรือ ?”

“ใช่”

“พิษอะไร ?” หล่อนถามด้วยความอยากรู้

แม่บ้านนิชาเก็บถาดทำแผลไปจากเตียงหิน พลางเลื่อนถาดอาหารวางไว้เบื้องหน้า

“สี่ต้น หนึ่งสัตว์”

สริตามีสีหน้างง “ฟังไม่เข้าใจ”

“ต้นไม้พิษสี่ชนิด และเลือดงูพิษ..........” แม่บ้านนิชาพูดอธิบาย สีหน้าขรึม “.......ปกติแค่ต้นไม้พิษก็ฆ่าคุณได้ง่ายๆแล้ว คนวางยายังเพิ่มเลือดงูพิษเข้าไปกระตุ้นฤทธิ์ยาอีก คงอยากรู้ว่าจะเสริมพิษให้ตัวยาทั้งสี่มากแค่ไหนล่ะมัง”

สาวไทยหดคอด้วยความสยองใจ รอยยิ้มเจื่อน “ฉันคงไม่มีพิษตกค้างในร่างใช่ไหม ?”

“พิษพวกนี้ถือเป็นระดับพื้นฐานสำหรับฉันเท่านั้น”

“คุณเก่งขนาดนั้นเชียว”

“ถ้าไม่วางใจ ก็ให้หมอตะวันตกตรวจซ้ำก็ได้” แม่บ้านนิชาเอ่ยท้าทาย

สริตาลูบไล้ผ้าแพรพันแผลแล้วยิ้ม “ฉันไม่รู้สึกเจ็บและทรมานอย่างเมื่อวานนี้แล้ว มันรับประกันฝีมือของคุณได้”

“กินข้าวให้อิ่มท้อง แผลจะสมานตัวเร็วขึ้นด้วยยาขมถ้วยนี้”

สาวไทยนิ่วหน้า ยามมองถ้วยกระเบื้องสูงประมาณหนึ่งคืบซึ่งมีน้ำยาสีเข้ม กลิ่นฉุน

“ฉันอยากขอให้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งในยาถ้วยนั้นได้ไหม ?”

“อะไร ?”

“น้ำตาลไง”

แม่บ้านนิชายิ้มเล็กน้อย “ยิ่งขม ยิ่งหายเร็ว ฉันมีเมตตาลดความขมลงแล้วนะ”

“ลดอย่างไร ?” สาวไทยมองงง

“ฉันลดตัวยาบางอย่างลงเพราะมันจะขมพิเศษ ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป ก็รับได้สบาย แต่คนเมืองเจริญอย่างคุณคงติดคอกลืนไม่ลงแน่”

สริตาพยักหน้าเห็นด้วย “คุณทำถูกแล้ว”

“ถ้าหิวน้ำ ก็เดินมาหยิบแก้วเอง หรือรอให้ฉันเข้ามาก็ได้ เสียดายของ”

แม่บ้านนิชาก้มเก็บเศษแก้วบนพื้นอย่างใจเย็น สริตาตักอาหารเช้าใส่ปากด้วยความหิว สมองครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายเห็นสิ่งที่หล่อนทำไปมากน้อยเพียงใด ครู่ใหญ่แม่บ้านนิชาซึ่งนำเศษแก้วออกไปทิ้งนอกห้องเดินกลับเข้าห้องอีกครั้ง สีหน้าเรียบเฉย แล้วเก็บถาดอาหารไปวางบนโต๊ะไกลออกไป

“คุณมองอะไร ?” หล่อนมองระแวงใจกับสายตาของแม่บ้านนิชา

“ประเทศมฆวันมีกฎเหล็กที่สืบทอดเป็นร้อยปีแล้วว่า ผู้มีพลังพิเศษไม่ว่าจะรับจากสวรรค์หรือนรกล้วนถือเป็นคนต้องห้ามจะอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ โทษของพวกเขาคือ ถูกเผาทั้งเป็น ขอให้ระวังตัวมากขึ้นด้วย”

“คุณเห็น..........”

“ฉันรู้ด้วยพลังไพ่สามใบที่ให้คุณเลือกนั่นแหละ” แม่บ้านนิชาบอก ดวงตาเจิดจ้า

“ไพ่รึ ?” หล่อนหวนนึกถึงวันที่อีกฝ่ายอาสาดูดวงด้วยไพ่หน้าตาแปลก

“พลังพิเศษของเธอยังไม่สมบูรณ์พอจะปกป้องตัวเองได้ ถ้าสนใจจะหาครูฝึก ฉันอาสาทำหน้าที่นี้ได้”

“คุณมี.......เอ่อ.......แบบเดียวกับฉันหรือ ?”

แม่บ้านนิชาส่ายหน้า “ฉันไม่ได้รับอนุญาตใช้พลังนอกเขต แต่รู้จักอำนาจของมันดีพอ”

“รู้จักอำนาจรึ ?”

“การเรียนรู้จากบรรพชนที่ถ่ายทอดสู่หลายรุ่น ย่อมสั่งสมศาสตร์แห่งความลับและความรอบรู้หลากหลายไว้ ฉันเป็นคนหนึ่งที่รับรู้อย่างดี”

“เผ่าชุษณะ ! มันถูกฆ่าล้างเผ่าไปแล้วมิใช่หรือ ?”

“คุณรู้รึ ?”

“ตอนที่คุณลิปิการ์พาชมห้องสมุด แล้วเห็นทักษาสนใจหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับเผ่าชุษณะเป็นพิเศษ เขายังบอกว่าทักษาเลือกอ่านเล่มนั้นบ่อยมาก เขาเล่าคร่าวๆเท่านั้น”

แม่บ้านนิชาเปิดแขนเสื้อด้านขวาขึ้น รอยสักรูปคฑาร้อยด้วยรวงข้าวอยู่บนท่อนแขน

“มันเป็นสัญลักษณ์ของผู้รับเลือกเป็นเณรีในเผ่าชุษณะ........” แม่บ้านนิชาถอนใจยาว แววตาเศร้าสร้อย “...........ฉันเป็นเณรีคนสุดท้ายแล้ว”

“คุณเป็นเณรีของเผ่าชุษณะรึ ?”

“ใช่ แต่ละรุ่นจะมีเณรีเพียงคนเดียว และเณรีจะเป็นผู้คัดเลือกคนสืบทอดเมื่อไรก็ได้”

“ทำไมจึงเล่าให้ฉันฟัง ? คุณไม่กลัวว่าฉันจะบอกให้คนอื่นรับรู้ แล้วมาจับคุณไปเหมือนชาวเผ่าชุษณะที่ถูกฆ่าล้างไปแล้วรึ ?”

แม่บ้านนิชาส่ายหน้า พลางตอบเสียงขมขื่นว่า “เมื่อแปดปีก่อนพ่อเมืองประกาศอภัยโทษแก่เชื้อสายชุษณะแล้ว ตอนนี้ทุกคนใช้ชีวิตปกติได้ แต่ห้ามการตั้งชุมชนเผ่าชุษณะขึ้นใหม่เท่านั้น”

“พ่อเมืองรึ ?”

“พ่อเมืองเป็นคำเรียกพระเจ้าชเยนทราของชาวบ้าน”

“คุณแค้นท่านที่ออกคำสั่งฆ่าล้างเผ่าไหม ?”

แม่บ้านนิชานิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ฉันโกรธที่พระองค์ละเลยดูแลข้าหลวง ปล่อยให้ทำร้ายชาวชุษณะและเชื่อใจพยนต์จึงออกคำสั่งห้ามการสร้างชุมชนชุษณะใหม่”

“ทำไมจึงฆ่าล้างเผ่าด้วย ?” ดวงตาของสริตาบอกความอยากรู้ชัด

“เณรีของเผ่าเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่เราปกปิดเรื่องนี้ไว้จนกระทั่งเขา...........”

สริตาเห็นใบหน้าเครียดของแม่บ้านนิชาซึ่งมีท่าทีเย็นชาทุกครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเล่าต่อไปว่า “เพื่อนของพ่อเข้ามาคลุกคลีและรักษาตัวที่เผ่าของเรา นอกจากเรียนรู้ศาสตร์ของเราด้วยความไว้วางใจของพ่อแล้ว เขายังรู้ความลับนี้ด้วยและใช้เป็นข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าของเราในภายหลัง”

“เพื่อนของพ่อ คือ มหาอำมาตย์พยนต์ใช่ไหม ?” สาวไทยคาดเดา

“ใช่”

“ท่านพยนต์เคยเรียนศาสตร์ของเผ่าชุษณะหรือ ?”

“ใช่”

“เขาเป็นผู้มีความโลภและต้องการครองอำนาจลับนั้นเพียงคนเดียว แต่พ่อได้ทำสิ่งหนึ่งไว้โดยขอร้องให้เณรีใช้ศาสตร์ลับต้องห้ามของบรรพชนเพื่องานสำคัญชิ้นหนึ่ง”

“งานอะไร ?”

แม่บ้านนิชาถอนใจเฮือกใหญ่ “คุณพักผ่อนให้หาย แล้วระวังการแสดงตนในสายตาของผู้อื่นด้วย ถ้าอยากหายใจต่อไป อีกอย่างหนึ่งคุณกำลังอยู่ในสายตาของคนหนึ่งที่อันตราย”

“คนที่อันตรายรึ ? ใคร ?”

“ด้านมืดของพลัง คือ การทำลายชีวิตของเจ้าของ คุณต้องคุมพลัง มิใช่ปล่อยให้มันครอบงำ ถ้าสนใจข้อเสนอของฉัน ก็บอกได้ตลอดเวลา”

“คุณเล่าเรื่องนี้ ก็ต้องมีจุดประสงค์ใช่ไหม ? มันคืออะไร ? ฉันเบื่อความลับมากเลย” หล่อนพูดฉุนเฉียวหลังจากพบการข่มขู่จากทักษาและข้อเสนอของแม่บ้านนิชา

แม่บ้านนิชาเดินออกจากห้องยาโดยไม่ปล่อยให้สาวไทยมีโอกาสซักถามอีก สริตาถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วเอนตัวนอนบนเตียงหิน แววตาครุ่นคิด

“ฉันหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า ?” หล่อนพึมพำด้วยความหวั่นใจ

โชตกยืนรื้อค้นห้องหนังสือของบิดาสักพักใหญ่ แต่ไม่พบเบาะแสที่ต้องการเลย เขารู้สึกท้อใจแล้วเริ่มคิดถึงข้อสังเกตของรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ที่บอกว่าอดีตมหาเสนาบดีนฤวรอาจไม่รู้ที่ซ่อนพระพินัยกรรมก็ได้ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว เขาจึงเห็นแม่บ้านนิชาก้าวเท้าเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเย็นชา

“พี่นิชา !” เขามองประหลาดใจ

“ท่านค้นหาของหรือ ?”

“ใช่”

“พระพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราใช่ไหม ?”

โชตกขมวดคิ้วแน่น “พี่รู้ได้อย่างไร ?”

“ความสามารถพิเศษ !”

โชตกตั้งสติได้ แล้วถามต่อไปว่า “พี่รู้ไหมว่าพ่อซ่อนพินัยกรรมฉบับนั้นไว้ที่ไหน ?”

“ท่านเก็บมันไว้ในสถานที่ปลอดภัยและอันตรายที่สุดเพื่อให้พ้นจากมือของพยนต์”

“ที่ไหน ?”

“สถานที่ซึ่งเข้าง่าย ออกยาก ต้องแลกด้วยชีวิต” หล่อนบอกเสียงเย็นเฉียบ

“สถานที่แบบนั้นมีด้วยหรือ ?” เขามีสีหน้างง

“ท่านสั่งให้ซ่อนมันไว้ที่นั่น ถ้ำไตรภพ !”

“ตอนนี้เจ้าชายต้องใช้พระพินัยกรรมฉบับที่สองเพื่อยืนยันผู้สืบทอด พี่ช่วยเอามันมาให้เราด้วย” โชตกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อทราบที่ซ่อนของพระพินัยกรรมอีกฉบับแล้ว

“ข้าไม่มีความสามารถพอ”

“ทำไม ? พี่เป็นคนเอาไปซ่อนนี่นา”

“กลไกของถ้ำเปิดใช้แล้ว คนทั่วไปไม่มีทางเข้าถ้ำได้”

“กลไกรึ ?” เขาคิดถึงบันทึกโบราณที่พูดเกี่ยวกับกลไกของถ้ำไตรภพไว้ “มันมีจริงหรือ ?”

“บรรพชนของเณรีทำไว้เพื่อปกป้องความลับในถ้ำ พวกเณรีรู้เส้นทางเข้าและออก ถ้าเปิดกลไกแล้ว จะพ้นการควบคุมของพวกเราทันที ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้า”

“ลิขิตฟ้ารึ ?” โชตกเริ่มโมโหบ้าง “พี่เอาไปซ่อน แล้วบอกว่าเอามาคืนไม่ได้ เจ้าชายจะเชื่อใจพวกเราได้หรือ ?”

“มันเป็นวิธีเดียวที่ท่านนฤวรเลือกใช้เพื่อปกป้องพระพินัยกรรมให้พ้นมือของพยนต์”

“ผมต้องการคำแนะนำ”

“ท่านมีกุญแจเปิดถ้ำไตรภพแล้ว แต่ต้องหาวิธีให้เกิดการยอมเสียสละชีวิต”

“ถึงตายเลยรึ ?” โชตกมีสีหน้าตกใจ

“แน่นอน” แม่บ้านนิชายืนกราน

“พี่บอกมาสิ”

โชตกรับฟังวิธีการจากแม่บ้านนิชาด้วยความหนักใจพักใหญ่ หล่อนจึงเดินออกจากห้อง

“โอกาสล้างแค้นมาถึงแล้ว” แม่บ้านนิชาคิดในใจ รอยยิ้มเหี้ยม

************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์