ทักษาบอกกำชับติชิลาให้อยู่ในห้องนอนจนกว่าเขาจะไปเรียกเท่านั้น สาวสวยรับคำพลางปรายตามองสริตาซึ่งเดินออกจากห้องไปสมทบกับพี่ชาย
“พี่ไม่ต้องการคำถาม” ทักษาบอกรู้ทัน
ติชิลามองค้อนแล้วเดินเข้าห้องนอนอย่างไม่สบอารมณ์ สริตาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทำไมเธอไม่ช่วยพวกเราด้วย ?”
“แค่เราสองคนก็เหลือเฟือแล้ว” ทักษาพูดยืนกราน แล้วเดินนำไปยังห้องรับแขก
สริตามองแปลกใจที่เห็นห้องรับแขกเงียบ ไม่มีทหารของเจ้าชายอัคนีซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันทุกคนในบ้าน ส่วนทักษาวาดภาพบนกระดาษแล้วส่งให้สาวไทย
“ทหารหายไปไหน ?”
“ผมให้แยกกันทำงาน พวกเขาป้องกันหลังบ้าน พวกเราจัดการทางหน้าบ้าน”
สริตามองภาพธนูไฟด้วยความสงสัย “ทำไม..........”
“มันเป็นอาวุธของพวกเรา”
“จะให้ฉัน..............”
“จำภาพไว้ แล้วสร้างมันขึ้นมาให้สัมผัสได้ มันฆ่าคนได้”
“ธนูไฟ...........” หล่อนหนาวเยือกในใจ
ทักษาเหยียดยิ้ม ดวงตาวาวโรจน์ “ผมเรียกว่า ธนูวิญญาณ เพราะมันจะเกิดขึ้นด้วยพลังจิตและวิญญาณของผู้สร้าง ถ้าเธอทำไม่ได้ ทุกคนในบ้านต้องตายหมดแน่”
“ฉัน.....เอ่อ......ไม่คิดว่าจะทำได้........” สีหน้าของสาวไทยบอกความลังเลใจ
“พวกมันรอที่หน้าประตูแล้ว” ทักษาพูด สีหน้าขรึม หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่ด้านหน้าบ้าน แล้ววิ่งไปยังหน้าต่าง
“ฉัน..............” หล่อนมองภาพวาดของทักษานิ่ง พลางถอนหายใจ “..........เกิดมายังไม่เคยทำแบบนี้เลย จะไหวไหมเนี่ย ?”
พลันลูกธนูแล่นทะลุหน้าต่างไปปักที่ผนังห้องเฉียดแก้มของสาวไทยไปเล็กน้อย สริตาสะดุ้งเฮือกแล้วก้มหลบต่ำ ทักษาปรายตามองนิดหนึ่ง ริมฝีปากเหยียดออก
“มันเป็นเวลาสนุกแล้ว” ทักษาบอก แววตาดุกร้าว ยามมองไปนอกหน้าต่าง
สริตาตะลึงมองชายหนุ่มเมื่อเขาสะบัดมือไปทางหน้าต่าง หล่อนเห็นธนูไฟปรากฏขึ้นแล้วพุ่งออกไปข้างนอกต่อเนื่อง เสียงร้องโวยวายดังมาจากข้างนอก
“เขาทำเก่งจัง” หล่อนมองทึ่งใจ
ทันใดนั้นประตูถูกถีบเปิดออกชายชุดดำสามคนกรูเข้ามาในบ้านแล้วตรงไปที่สาวไทยซึ่งนั่งหมอบอยู่บนพื้น หล่อนตกใจจึงคลานถอยหนีไปจนติดผนังห้อง ใบหน้าซีด
“ฉัน............ช่วยด้วย” หล่อนร้องลั่น แต่ทักษาไม่สนใจหญิงสาว
ชายทั้งสามเข้าไปฉุดลากหล่อน คนหนึ่งเงื้อมีดสั้นหมายแทงใส่ร่างของหล่อน สริตาหลับตาเพ่งภาพธนูไฟของทักษา พลันรู้สึกร้อนผ่าวในมือ หล่อนกระตุกมือขึ้น เสียงชายคนหนึ่งร้องลั่น
“ธนู......ร้อน............”
สริตาลืมตามองทั้งสามเมื่อพวกเขาปล่อยร่างของหล่อนยามเห็นธนูไฟลุกโชนในมือ
“มัน............” ชายคนหนึ่งอ้าปากค้าง ดวงตามองตระหนกใจกับธนูไฟ
สริตาขว้างธนูไฟไปหาชายทั้งสามซึ่งกระโดดหลบทันที เมื่อหล่อนสะบัดมืออีกครั้งเพื่อขว้างธนูไฟ แต่คราวนี้มันไม่มีสักดอก
“ทำไม............” หล่อนตกใจที่ปราศจากธนูไฟในมือ
ชายทั้งสามแสยะยิ้มเมื่อเห็นสาวไทยมองมือว่างเปล่าของตัวเอง จึงรุกเข้าจับหล่อนอีกครั้ง
“ใจเย็นไว้” หล่อนพึมพำ แล้วเพ่งภาพธนูไฟด้วยพลังจิตอีกครั้ง
“เฮ้ย..........”
เสียงร้องของชายทั้งสามดังขึ้น สริตามองธนูไฟในมือ ริมฝีปากแย้มยิ้ม
“คราวนี้ไม่พลาดแน่” หล่อนพูด พลางมองชายชุดดำทั้งสาม “เอาไปเลย !”
สริตาสะบัดธนูไฟไปหาชายทั้งสามอย่างต่อเนื่องเมื่อภาพธนูไฟปรากฏอยู่ในสมองตลอดเวลา พวกเขาพยายามหลบธนูจนล้มลุกคลุกคลาน เมื่อธนูไฟปักเข้าร่างกายจะมีเสียงร้องโหยหวนดังลั่น
“โยนมันออกไป !” ทักษาตะโกนสั่ง พลางเปิดประตูไว้
สริตาจ้องเขม็งที่ชายทั้งสามซึ่งกำลังคลานหนีธนูไฟ พลันร่างพวกเขาถูกพลังลึกลับเหวี่ยงลอยออกจากบ้านไปหล่นบนพื้นข้างม้าท่ามกลางสายตาของโจรคนอื่นที่กำลังหนีตายอลหม่าน
“เผามัน !” ทักษาพูด ดวงตามองต้นไม้ที่อยู่รายรอบขบวนม้าของโจร
สริตาเห็นต้นไม้สะบัดใบร่วงจากต้น พริบตานั้นใบไม้แต่ละใบเริ่มลุกเป็นไฟร่วงตกใส่กลุ่มโจรและม้าต่อเนื่องราวกับห่าฝน เสียงร้องตกใจดังระงมทั่วบริเวณนั้น ในที่สุดหัวหน้าสั่งถอยทันที หล่อนมองตะลึงกับพลังจิตของทักษา
“ทำไมเธอไม่เผามัน ?” ทักษาหันไปถามสาวไทยซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง
“ฉัน......เอ่อ.........ฉันไม่โหดอย่างนาย” หล่อนตอบสะบัดเสียง แล้วเดินไปนั่งสงบสติที่เก้าอี้
ทักษายิ้มที่มุมปาก “เธอมีเมตตาต่อโจรงั้นรึ ?”
“ฉัน........” หล่อนหาคำตอบไม่ได้ พลางเบือนหลบสายตาของเขา
“เมื่อมันได้โอกาส ก็จะฆ่าเธอ เห็นแล้วใช่ไหม ?”
“มันก็ใช่ แต่ไม่จำเป็นต้องเผาโหดขนาดนั้นก็ได้”
ทักษามองสมเพช “พวกมันตกใจว่าผีทำร้ายมัน หากมันมีเวลาคิดทบทวน และสงสัยว่าพวกเรามีพลังต้องห้าม ต่อไปก็ดูกันว่าโจรจะทำอย่างไรกับพวกเรา”
“นายรู้ผลของการใช้พลังต้องห้าม แล้วยังให้ฉันใช้พลัง มันหมายความว่าอย่างไร ?”
“หาเรื่องสนุกทำไง” ทักษาลอยหน้าตอบ ท่าทางผ่อนคลาย
“นายมีแผนอะไร ?” หล่อนเดือดดาลเมื่อคิดว่าตกหลุมพรางของชายหนุ่ม
“ไม่อยากกำจัดพวกโจรรึ ?” เขาย้อนถาม
“ฉัน.....เอ่อ......มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”
“เธอกำจัดโจรได้โดยไม่ต้องให้ใครไปเสี่ยง จะไม่ทำรึ ?”
“นาย............” หล่อนอึกอัก พลางพูดยืนยันว่า “..........หน้าที่จับโจรเป็นของท่านอัคนี ไม่ใช่ฉัน”
“ถึงอย่างไรพวกโจรต้องล้างแค้นแน่ เธอค่อยตัดสินใจจับโจรหรือไม่ก็ได้” ทักษาบอก แล้วเดินจากไป
“เขาต้องมีแผนร้ายแน่........” หล่อนถอนหายใจ พลางนึกทวนภาพการต่อสู้ด้วยธนูไฟเมื่อกี้นี้ด้วยหัวใจเต้นระทึก “..........พลังจิตสร้างภาพให้เป็นอาวุธ ฉันทำมันได้ ถ้าแม่รู้ ต้องห้ามใช้มันแน่ ฉันควรทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะทักษาคิดควบคุมฉัน ขณะที่ฉันเริ่มชอบการใช้พลังจิตต่อสู้มากขึ้น”
สริตาสัมผัสความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆด้วยแรงกระตุ้นของทักษา มันคือความตื่นเต้นเมื่อได้ต่อสู้และเห็นการหลั่งเลือดจนชินตา หล่อนเริ่มหวั่นกลัวจะกลายเป็นนักฆ่าเลือดเย็นในไม่ช้า หากไม่หาทางปกป้องตัวตนของสริตาไว้โดยเร็ว
ช่วงใกล้เที่ยงคืนเมียกับลูกสองคนของหัวหน้าภูไทรเข้าไปในบ้านพักของเจ้าชายอัคนีโดยอ้างคำสั่งของรัชทายาทเพื่อหลบภัยโจรหลังจากกองทหารส่วนใหญ่ถูกล้อมไว้แถวเชิงเขาและเจ้าชายอัคนีกับหัวหน้าหมู่บ้านนำกำลังคนไปช่วยปลดปล่อยกองทหาร ติชิลากับสริตารับฟังด้วยความห่วงใยความปลอดภัยของรัชทายาทแห่งแดนมฆวัน ส่วนทักษามีสีหน้าเรียบเฉยกับข่าวนั้น เมื่อนับลำดับผู้มีอำนาจในบ้านรองจากเจ้าชายอัคนีแล้ว ติชิลาจึงต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยินยอมรับครอบครัวของหัวหน้าภูไทรไว้ในบ้านหรือไม่ สริตาหวั่นเกรงว่าหล่อนจะขับไล่พวกเขา แต่กลับประหลาดใจที่ติชิลาตกลงให้ครอบครัวของหัวหน้าภูไทรพักหนีภัยโจรได้ ทักษามองด้วยความแปลกใจเช่นกัน
“พี่คิดว่า เธอจะไล่พวกเขาไป” ทักษาถามเสียงเบา เมื่อคนรับใช้พาครอบครัวนั้นเข้าไปด้านในแล้ว
ติชิลายิ้ม “ท่านอัคนีคงชอบที่เห็นความใจกว้างของฉันไง”
“ภาพพจน์ของเธองั้นสิ” พี่ชายมองล้อ
“ใช่แล้ว” ติชิลาหัวเราะ พลางปรายตาไปทางสาวไทยซึ่งลุกเดินห่างไปโดยไม่พูดจา “ฉันหมั่นไส้เธอที่ดูห่วงใยท่านอัคนีนัก”
ทักษานิ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อสังหรณ์ใจบางอย่าง
“ฉันอยากช่วยท่านอัคนี พี่ทำอะไรได้บ้าง ?”
“หากองค์รัชทายาทตายด้วยน้ำมือของโจร น่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านพ่อ เธอแน่ใจที่ขอให้พี่ช่วยเหลือท่านอัคนีแล้วหรือ ?”
ติชิลานิ่งอึดใจหนึ่ง ก่อนถอนใจ “ฉันยังตัดใจไม่ได้ที่จะเห็นเขาตายต่อหน้า ถ้าพี่รักใครสักคน จะข้าใจความรู้สึกของฉัน พี่ช่วยเขาด้วย”
“ท่านอัคนีอาจไม่เป็นอะไร ท่านนำกองทหารไปช่วยพวกที่ถูกล้อม ต้องมีแผนรับมือไว้แล้ว”
“พี่..........”
ทักษามองใบหน้ากังวลของน้องสาว แล้วถอนหายใจ “พี่จะไปดูลาดเลาที่นั่น ถ้าช่วยได้ จะทำเพื่อเธอ”
“ขอบใจนะ” ติชิลายิ้มกว้าง เมื่อพี่ชายรับปาก
สองพี่น้องแยกกลับเข้าห้องนอน ทักษาหยุดยืนหน้าห้องนอนของสริตา แววตาครุ่นคิด ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนเดินผ่านไป ส่วนสริตาเปิดแผนที่ซึ่งหล่อนเขียนขึ้นหลังจากเดินชมหมู่บ้านช่วงที่เจ้าชายอัคนีกับหัวหน้าภูไทรปรึกษาแผนกำจัดโจรกัน สาวไทยจดจำทิศทางบนแผนที่ไว้แล้วหยิบไฟฉายกับมีดสั้นซึ่งหล่อนซื้อจากตลาดนัดเหน็บติดเอว
“ฉันร้อนใจเกินกว่าจะนิ่งเฉยได้ เสี่ยงยังดีกว่าอยู่เฉย” หล่อนพึมพำ ดวงตามองฝ่าความมืดผ่านหน้าต่างห้องด้วยจิตมุ่งมาดบางอย่าง
สริตาเดินเล็ดลอดออกจากบ้านพักทางด้านหลังซึ่งมีทหารยืนเฝ้าภายนอกน้อยเนื่องเพราะทักษาสั่งเน้นให้ความปลอดภัยภายในบ้านเป็นหลัก ความมืดช่วยเหลือหล่อนให้พ้นสายตาของทหารง่ายดาย เมื่ออยู่ห่างบ้านพักพอควรสาวไทยเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าสลับกับต้นไม้เบื้องหน้า ภาพแผนที่บ้านโมกแคนผุดขึ้นในสมองอย่างรวดเร็ว หล่อนขยับกายไปทางซ้ายเมื่อมั่นใจว่าเป็นทิศทางนำไปสู่ภูเขาของโจรซึ่งเป็นเส้นทางเข้าปล้นหมู่บ้านบ่อยครั้ง บัดนี้ กองทหารของเจ้าชายอัคนีกำลังถูกล้อมจากกลุ่มโจร
“สนใจทางลัดของผมไหม ? รับรองว่าถึงเป้าหมายเร็วทันใจแน่”
สาวไทยหันขวับไปมองเจ้าของเสียงซึ่งก้าวออกจากต้นไม้ใหญ่ แล้วเดินเข้ามาหาหล่อนด้วยรอยยิ้ม
“นาย.......นายมาทำอะไรแถวนี้ ?” สริตาถาม แววตาสงสัย
“ผมคาดว่า เธอต้องไปหาท่านอัคนี จึงตามมา”
“นายเป็นหมอดูไปแล้วรึ ?”
ทักษายักไหล่ พลางเหยียดยิ้มเล็กน้อย “ถ้าไม่ใช่คำขอร้องของน้องสาว ก็น่าจะรู้ว่าผมควรทำอย่างไร ?”
“ขัดขวางฉันงั้นสิ”
“แน่นอน”
“ทางลัดไปไหน ?” หล่อนถามเข้าเรื่องอีกครั้ง
“ทางลัดไปถึงกองทหารของท่านอัคนี !”
“ฉันไม่แน่ใจว่า นายไปช่วยหรือฆ่าเขากันแน่”
“ถ้ามัวยืนพูดกัน ผมไม่ต้องเหนื่อยจะทำอย่างนั้น โจรทำแทนแล้ว”
สริตาเม้มปาก แววตาครุ่นคิด “นำทางไปสิ”
“มีแผนอย่างไร ?” เขาถาม ขณะเดินนำทางเข้าป่าด้านขวามือ
“ยังไม่ได้คิดค่ะ”
ทักษาเหลียวมองสาวไทย ริมฝีปากแย้มออก “คิดไปตายร่วมกันงั้นรึ ?”
“เข้าป่า ไม่ถามหาเสือ ไปรบ ไม่พูดถึงความตาย ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย” หล่อนมองค้อน พลางมองสำรวจรอบกาย “แน่ใจว่าไม่ไปผิดทางนะ มันมืดมากเลย”
“ผมเคยมาใช้บริการป่าแถวนี้บ่อยเพื่อการฝึกฝนตน ถ้าหลงป่าก็เสียชื่อหมดสิ”
“ฉันกลัวว่านายแกล้งถ่วงเวลาต่างหาก”
“เธอมีทางเลือกอีกทางเดียว”
“ทางไหน ?”
“หันหลังเดินกลับไปทางเดิมไง” เขาทำเสียงหึในลำคอ
สาวไทยนิ่ง แล้วเดินตามชายหนุ่ม พลางได้ยินเสียงบางอย่าง
“คนเหยียบกิ่งไม้ ?” ทักษามองรู้ทัน แล้วใช้นิ้วแตะริมฝีปากเชิงเตือนมิให้ใช้เสียงอีก
สริตาพยักหน้ารับรู้ แล้วก้มต่ำไว้ ทักษาเงี่ยหูฟังเสียงเดินของคนสักครู่ จึงดึงมีดมาถือไว้ในมือ ชั่วพริบตาเดียวเขาใช้ท่อนแขนที่ไร้มีดฟาดใส่คนที่โผล่ออกจากดงหญ้าห่างจากเขาไม่เกินสองฟุต
“โอ้ย.......”
ทักษาใช้ความเร็วเข้าประกบร่างชายคนนั้นแล้วปิดปาก มีดสั้นจ่อลำคอไว้ ดวงตามองสำรวจเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
“ทำไมนาย............” สริตาอ้าปากค้าง ยามเห็นทักษาเก็บมีดสั้น
ชายคนนั้นมีสีหน้าตกใจ แล้วถอนหายใจ “ท่านทักษา...............”
“เขาสวมเครื่องแบบทหารของท่านอัคนี” ทักษาบอกเสียงเย็น พลางมองชายคนนั้น “เจ้าหนีจากกองทหารหรือ ?”
“เจ้าชายสั่งให้หนีออกมาขอกองหนุนไปช่วยพวกเขา”
“ท่านอัคนีส่งทหารไปช่วยมิใช่หรือ ?” สริตาถาม สีหน้ากังวล
“พวกโจรวางหลุมพรางไว้แล้วล้อมจับกองทหารทั้งสองกองไว้ ชัยภูมิของมันอยู่บนเขา อีกพวกมาตั้งรับที่ด้านล่างแล้วล่อกองทหารเข้าไปในกับดัก”
“ทำไมถูกหลอกง่ายนัก ?” ทักษาถาม
“มันส่งกองโจรส่วนหนึ่งลงจากเขาไปล่อทหารที่เฝ้าดูไว้ พอกองทหารได้ข่าวจึงออกไปล้อมจับโจร แต่ถูกมันล้อมไว้ ตอนนี้กองทหารของท่านอัคนีถูกล้อมไว้ด้วย”
“วงล้อมสองชั้นรึ ?”
สริตามองสบนัยน์ตาของทักษา แล้วบอกว่า “ชายในหมู่บ้านออกไปกับกองทหารของท่านอัคนีทั้งหมดแล้ว ถ้าจะไปร้องขอจากหมู่บ้านอื่น ต้องรอรุ่งเช้าและใช้เวลานานมาก อาจไม่ทันกาลก็ได้”
“เธอคิดทำอะไร ?”
“แม่ทัพมีความสำคัญต่อกองทหาร หัวหน้าสำคัญต่อกลุ่มโจร”
“เธอจะขึ้นเขาจับหัวหน้าโจรรึ ?” ทักษาถามทึ่งใจ
สริตาพยักหน้า แล้วยืนขึ้น ทักษาถามว่า “จะไปไหน ?”
“ฉันรู้ทิศทางขึ้นเขาแล้ว”
“รู้ได้อย่างไร ?”
“ฉันทำแผนที่ไว้ตอนที่เดินชมหมู่บ้าน คุยกับชาวบ้านบ้าง ข้อมูลละเอียดดี”
สริตาเร่งเดินไปตามแผนที่ในสมองอย่างร้อนใจ ทักษาสั่งให้ทหารกลับไปรายงานสถานการณ์ให้ติชิลารับทราบ ส่วนเขาวิ่งตามสาวไทยไป แล้วรั้งแขนของหล่อนไว้
“เธออาจรู้ทิศทางขึ้นเขา แต่รู้ที่ตั้งของกลุ่มโจรหรือ ?”
“ฉันไม่ได้เข้าไปในบ้านโจร แต่ไปหากองโจรแถวเชิงเขาต่างหาก”
“เธอคิด..............” เขาเข้าใจแผนของสาวไทยชัดขึ้น
“พวกโจรล้อมกองทหารที่เชิงเขา แสดงว่ากองกำลังของพวกเขาต้องอยู่ไม่ห่างนักและต้องเป็นทำเลที่มองเห็นกองทหารชัดเจนด้วย ฉันคำนวณทิศทางไว้แล้ว จึงต้องปีนเขาขึ้นไปดูให้แน่ใจก่อน”
“คำนวณรึ ?”
“ฉันอาจใช้พลังได้ไม่ดีเท่านาย แต่เรื่องคำนวณรับรองชนะนายสบายๆแน่” หล่อนเร่งการเดินไปตามทิศทางที่กำหนดในใจด้วยท่าทีมุ่งมั่น
ทักษาแย้มยิ้ม พลางยักไหล่ “คงต้องลองเชื่อสักครั้ง”
“ฉันนำทางรึ ?” หล่อนมองฉงน
“เดินไปเลย” เขาตอบยืนยัน แล้วติดตามไป “ถ้าเห็นผิดเส้นทาง จะท้วงเอง”
“ถ้าจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดี กรุณาคิดแผนจับหัวหน้าโจรไว้ด้วยสิ”
ทักษาหัวเราะ “ไม่มีปัญหา”
ทักษาทึ่งใจเมื่อสาวไทยสามารถชี้ทิศที่กองโจรดักซุ่มโจมตีกองทหารของเจ้าชายอัคนีจากบนเขาได้ทั้งที่ไม่เคยมาที่ภูเขาแห่งนี้ หล่อนแค่เขียนแผนที่จากคำบอกเล่าของชาวบ้านแล้วคำนวณมุมและทิศที่ตั้งของกองโจรขึ้นมา เขาเห็นด้วยที่หล่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังกองโจรและคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมเท่านั้น ต่อมาทั้งสองนอนซุ่มห่างจากค่ายกองโจรห้าเมตร
“นอกจากเดินและปีนเขาใช้ได้แล้ว เธอยังคำนวณแม่นยำดีแฮะ” ทักษาเอ่ยชมจากใจ
สริตายิ้มปลื้ม “ฉันเคยเรียนคอร์สเดินป่ามาปีหนึ่ง เขาสอนการคำนวณทิศและระยะทาง มันสนุกดี จึงไม่ลืม มินึกว่าจะได้นำมาใช้คราวนี้ด้วย”
“ทำอย่างไรต่อไป ?”
“นายบอกว่าจะคิดแผนจับหัวหน้าโจรมิใช่หรือ ?” หล่อนทวงถาม หน้างอเล็กน้อย
ทักษาอมยิ้ม พลางมองโจรที่เฝ้ายามอยู่ตามจุดต่างๆ
“แน่ใจว่าจะจับหัวหน้าโจรหรือ ?”
“นายมีแผนอื่นเจ๋งกว่านี้ไหม ?” หล่อนย้อนถาม แววตาวิตกยามเห็นพวกโจรมีจำนวนไม่น้อยในการดูแลระวังค่าย
“ถ้าทลายค่ายให้ราบ น่าจะจบปัญหานี้เร็วขึ้น..........” เขาบอก พลางโบกมือปรามเมื่อสาวไทยทำท่าจะพูดขัด “............นอกจากนั้นหัวหน้าโจรอาจไม่อยู่ในค่ายก็ได้ ค่ายป่นปี้ย่อมทำลายขวัญพวกโจร มันต้องถอนกำลังกลับขึ้นเขาก่อน ตอนนั้นทหารจะปลอดภัย”
สริตานิ่งคิดทบทวนข้อเสนอของเขา แล้วถอนใจ “นายจะใช้พลังจิตทำลายล้างค่ายอีกใช่ไหม ?”
“เธอกับผมต้องทำร่วมกันเพื่อช่วยกองทหารของท่านอัคนี”
“ฉัน............” หล่อนมีสีหน้าลังเลใจ
“ผมทำคนเดียวไม่ได้”
“เมื่อก่อนก็ไม่มีฉัน นายยังทำงานคนเดียวได้”
“ผมต้องการทำลายทั้งคนและค่ายพร้อมกัน มิใช่แค่คนเท่านั้น”
“ฉัน...........” หล่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางเอ่ยว่า “............ฉันไม่เคยใช้พลังจิตทำลายล้างใคร แนะนำด้วยสิ”
ทักษาเหยียดยิ้ม “งานสร้างสรรค์ยากกว่าทำลายนัก”
“ฉันไม่ใช่คนโรคจิตอย่างนายนี่นา” หล่อนพูดประชด แล้วมองค้อน
“เธอไร้ประสบการณ์ก็รับงานทำลายค่าย ผมจัดการพวกโจรเอง......” เขาหัวเราะ พลางพูดอีกว่า “.......ขอระบายโรคจิตให้เต็มที่ไปเลย”
“ทำอย่างไร ?” หล่อนมีสีหน้าข้องใจ
ทักษาเคาะที่ขมับ พลางบอกว่า “เพ่งภาพในหัว สร้างพลังเป็นรูปร่าง ทำลายทุกอย่างราบในพริบตา เธอทำได้แน่”
“ฉัน..........” หล่อนนึกตามด้วยความสยองใจ
“เริ่มต้นได้ !” เขาพูดเสียงเข้ม
สริตาเห็นดวงตากร้าวของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นในความมืด ความหนาวเหน็บแล่นจับในหัวใจของหล่อนทันใด
“เขาเริ่มใช้พลังจิตเพื่อทำลายชีวิตคนแล้ว” หล่อนนึกสยองใจ
ทักษาเหยียดยิ้มเหี้ยม แล้วกระตุกมือทีหนึ่ง ธนูไฟปรากฏที่ปลายนิ้วทั้งสิบ เมื่อเขาสะบัดมือไปข้างหน้า ธนูไฟแล่นทะยานพุ่งไปยังพวกโจรในพริบตาเดียว ความโกลาหลเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงร้องของคนบาดเจ็บและคนตายนอนเกลื่อนพื้น ทุกอย่างสับสนยิ่งขึ้นเมื่อทักษาสะบัดธนูไฟออกไปต่อเนื่อง สริตาสังเกตเห็นว่าธนูไฟพุ่งเข้าหาทุกคนอย่างแม่นยำ ส่วนใหญ่ล้มตายทันใด พวกที่บาดเจ็บมักมาจากความโชคดี เหตุไฉนมันจึงฆ่าคนได้แม่นยำเพียงนั้น ? หล่อนคิดสยองในใจยามเหลียวมองชายหนุ่มควบคุมลูกธนูไฟด้วยแววตาเหี้ยมกร้าว
“เธอควรทำหน้าที่ของตัวเอง แทนที่จะมองผม” เขากล่าวเตือนโดยไม่ละสายตาจากพวกโจรที่กำลังวิ่งหนีธนูไฟของเขาอย่างอลหม่าน
สริตาเห็นพวกโจรหลายคนกำลังมุ่งมายังที่ซ่อนตัวของทั้งสอง พลางถอนหายใจ หล่อนเริ่มเพ่งภาพเปลวไฟไปที่กองไฟหน้ากระโจมอันหนึ่งอย่างแน่วแน่ อึดใจเดียวประกายไฟรวมตัวใหญ่ขึ้นและลุกลามสูงขึ้น หล่อนเพ่งภาพพายุอีก ทันใดนั้นลมแรงพัดหอบท่อนฟืนติดไฟกระจายไปเผาแต่ละกระโจมต่อเนื่อง เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนลามเผาโยงไปจนกระทั่งหล่อนสัมผัสถึงความร้อนได้
“แก..............”
สริตาตระหนกใจเมื่อได้ยินเสียงโจรตะโกนด้วยความแค้นจัด แล้วพุ่งดาบเข้ามาที่หล่อนกับทักษา สาวไทยเบี่ยงกายหลบคมดาบได้หวุดหวิด แล้วฟาดสันมือไปที่ข้อมือของโจรเพื่อให้ดาบหลุดมือ โจรคนนั้นคะมำไปข้างหน้า
“ระวัง..........” หล่อนตะโกนเตือนทักษาซึ่งยังสนใจกับการส่งธนูไฟเท่านั้น
สริตาตัดสินใจเพ่งจิตกระชากร่างโจรเพื่อมิให้เข้าใกล้ทักษา หล่อนคว้าลำคอไว้ ดวงตาจ้องเข้าไปในแววตาของโจรคนนั้น
ทักษาปรายตามองสาวไทย แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “กระชากวิญญาณของมัน ! คิดถึงตอนฉีกกระดาษสิ สริตา”
“กระชาก..........ฉีก............” หล่อนพึมพำ พลางนึกถึงตอนที่หล่อนฉีกกระดาษ “........ฉีกวิญญาณ.......ตายเสีย ไอ้คนรกโลก”
ทักษายิ้มพอใจ ยามเห็นสาวไทยตะโกนลั่น นัยน์ตาวาวโรจน์ ร่างโจรทรุดฮวบลงกับพื้น หมดลมหายใจทันที
“ฉัน...........” หล่อนนั่งหอบหนัก ดวงตาเพ่งมองศพโจรด้วยสีหน้าตกใจ
“เธอลงโทษโจรได้สวยงามมาก” เขาทำเสียงหึในลำคอ แล้วหันไปสนใจพวกโจรอีกครั้ง
บัดนี้ เสียงร้องของพวกโจรเงียบไปแล้ว ทักษามองสำรวจอย่างละเอียด แล้วหันไปทางสาวไทยซึ่งยังนั่งตะลึงงัน
“เธอไม่เคยฆ่าคนมาก่อนใช่ไหม ?”
“ไม่......ไม่เคย......ถ้าแม่รู้ ต้องด่าฉันยับแน่” หล่อนบอกเสียงอ่อย หลังจากระงับความตื่นตกใจได้
“เธอฆ่าโจร มิใช่คนบริสุทธิ์”
“ฉัน............”
“ดูผลงานของพวกเราสิ”
สริตามองตามมือของเขาชี้ไปยังค่ายโจรซึ่งเคยมีคนเฝ้ายามหลายคน บัดนี้ เหลือเพียงกลุ่มควันจากเปลวเพลิงของหล่อนและซากศพโจรที่โดนธนูไฟของทักษา
“โอ ฉัน.......เป็นฆาตกรไปแล้วหรือ ?” หล่อนมองน้ำตาคลอ
“งานนี้ต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสูญเสีย เธอเลือกให้โจรเป็นฝ่ายแพ้ พวกมันต้องพบจุดจบเช่นนี้”
“ฉัน............”
“อีกไม่นานกลุ่มโจรที่ล้อมกองทหารไว้ต้องถอนตัวแน่ พวกเราควรกลับบ้านโมกแคนได้แล้ว” ทักษาพูดเตือน แล้วแตะที่แขนของสาวไทย
สริตามีท่าทางซวนเซด้วยความอ่อนเพลียกะทันหัน “ฉัน...........”
ทักษาเข้าประคองร่างสาวไทยไว้ทันก่อนทรุดเข่าลงกับพื้น พลางบอกว่า “ต้องรีบไปแล้ว เสียงฝีเท้าม้าของพวกโจรใกล้เข้ามาเต็มที”
“ฉัน........อ่อนแรง........ทำไม..........”
“พลังจิตกับสภาพร่างกายไม่สัมพันธ์กัน เธอสร้างไฟมหาประลัย แต่ร่างกายไม่แข็งแรงพอ.........” เขาบอก แล้วพาสาวไทยออกจากจุดนั้นโดยเร็ว “.........ตอนนี้คงรู้แล้วว่าจุดอ่อนของเธอคืออะไร ?”
“ร่างกายของฉัน !”
“ใช่แล้ว”
สริตาสังเกตเห็นชายหนุ่มเดินนำไปคนละทิศกับขามา จึงถามว่า “นายไม่ได้กลับทางเก่านี่”
“ผมมีทางลัดลงเขาเร็วกว่าทางขึ้นของเธอ”
“เมื่อลงเร็ว ก็น่าจะขึ้นเร็ว ทำไมไม่บอกฉัน ?”
“ผมอยากให้เธอเป็นฮีโร่สักครั้งไง” เขาหัวเราะ ขณะประคองร่างอ่อนแรงของสาวไทยลงเขาด้วยความชำนาญเส้นทาง
สริตาส่ายหน้า “นายบ้าเกินคาดจริงๆ”
“สักวันพวกเราอาจต้องบ้าร่วมกันก็ได้” เขาพูดปนยิ้ม แล้วกระตุ้นให้สาวไทยเดินเร็วขึ้นก่อนที่พวกโจรจะไล่ตามทั้งสองทัน
เปลวไฟในค่ายโจรบนเขาทำให้กองทหารของเจ้าชายอัคนีถอนตัวกลับบ้านโมกแคนอย่างปลอดภัย หลังจากกลุ่มโจรถอนกำลังกลับขึ้นเขากะทันหัน หลายคนเชื่อว่าสวรรค์ช่วยเปิดทางรอดให้กองทหาร แต่เจ้าชายอัคนีคิดสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับค่ายโจร