จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

19.

โชตกพาสริตาซึ่งไร้สติกลับไปยังเรือนศักเรนทร์ของเจ้าชายอัคนีแล้วตรวจอาการเบื้องต้นพบว่า สาวไทยได้รับพิษบางอย่าง จึงเรียกแม่บ้านนิชามารักษาทันที พักใหญ่เจ้าชายอัคนีเดินทางกลับถึงเรือนพักด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง และสอบถามอาการของสาวไทยอย่างห่วงใย

“พี่นิชากำลังรักษาเธออยู่ คงต้องรอฟังนอกห้อง” โชตกบอก

เจ้าชายอัคนีมองห้องพักของสริตาแล้วตัดสินใจไปที่ห้องรับแขกโดยมีโชตกติดตามด้วย

“การประชุมเป็นอย่างไร ?” โชตกถาม แววตาอยากรู้

“พระสนมกับท่านพยนต์ชนะมติ”

โชตกมีสีหน้าตกใจ “ทำไม.......พระญาติต่างสนับสนุนท่านมิใช่หรือ ?”

“พวกเขารู้ว่าท่านลุงพิชาญกับท่านอาไม่เข้าร่วมประชุมกะทันหัน ก็พากันกลัวท่านพยนต์แล้ว” เจ้าชายบอกกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ

“ทำไมพวกเขาไม่ร่วมประชุม ?”

เจ้าชายถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนเล่าว่า “ก่อนกลับเรือนท่านอาชยาศีร์วิ่งมาบอกว่าถูกขังไว้ในห้องที่พระสนมนัดพบ ส่วนท่านลุงพิชาญนอนสลบอยู่ในห้องน้ำ หมอตรวจพบว่าน่าจะหายใจติดขัดกะทันหัน จึงเป็นลม”

“สองเรื่องเกิดขึ้นพร้อมกัน มันแปลกมาก”

“เรารู้สึกเช่นเดียวกัน”

“ท่านพยนต์กำจัดพวกเขา !”

“ท่านอายืนยันว่าต้องเป็นแผนของท่านพยนต์ แต่อาการของท่านลุงอาจเป็นเรื่องธรรมชาติก็ได้ ท้ายที่สุดก็เป็นไปตามแรงผลักดันของพระสนมกับเขา คือ มีคณะผู้แทนอำนาจของพระราชา ส่วนตัวแทนเป็นใครจะมีประชุมอีกครั้ง”

โชตกมีสีหน้ายุ่งยากใจกับมตินี้ซึ่งต่อไปจะมีอำนาจเหนือรัชทายาทอย่างแน่นอนในนามของพระราชา ซึ่งมหาอำมาตย์พยนต์ต้องการอำนาจนี้อย่างยิ่งเพื่อกำจัดศัตรูแย่งบัลลังก์ของเจ้าชายเอกทัศน์

“ตอนนี้ต้องสนใจกับการเลือกตัวแทนฝ่ายเราก่อน” เจ้าชายมีสีหน้าหนักใจ

“คงต้องฟังความเห็นของท่านรองฯกับท่านพิชาญด้วย”

เจ้าชายพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเปลี่ยนเรื่องว่า “ท่านเจอติชิลาที่ตำหนักของพระสนมใช่ไหม ?”

“ขอรับ”

“เรารู้สึกไม่สบายใจที่พระสนมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารสริตา”

“ผมแปลกใจเช่นกัน........” โชตกนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “.........ทำไมท่านพยนต์จึงมุ่งหมายสังหารสาวไทยคนนี้ ทั้งที่เป็นคนธรรมดาเท่านั้น หากติชิลาเป็นต้นคิด ผมก็ไม่แปลกใจเลย”

“หมายความว่า........”

“ติชิลาหลงรักท่านมานาน เป็นที่รู้กันดีในวังไวชยันต์ จึงมีเหตุจะสังหารสริตาที่มีความใกล้ชิดกับท่านมากพิเศษในระยะนี้ แต่ท่านพยนต์ไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน จะมีเรื่องเคืองแค้นแทนลูกสาวหรือ ? มันไม่สมเหตุสมผลนัก”

“ทักษายังป้วนเปี้ยนใกล้เธอด้วย”

โชตกสังเกตสีหน้าของเจ้าชายยามเอ่ยถึงชายอีกคนที่พยายามเข้าใกล้ชิดกับสริตา แต่ไม่พบความรู้สึกหึงหวงหรือเกลียดชังบนใบหน้าของรัชทายาทแห่งวังไวชยันต์ เขาโล่งใจลึกๆ

“ผมไม่รู้คำตอบนั้น”

“เราให้สัญญากับผู้นำวรุตม์ว่าจะดูแลความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้......ไม่แน่ใจว่าคิดถูกที่พาเธอมาที่นี่” เจ้าชายบอกหนักใจ ยามคิดถึงความไม่ปลอดภัยของสริตานับแต่ย่างเท้าเข้าสู่วังไวชยันต์

“พวกเราทำให้ดีที่สุด เชื่อว่าท่านวรุตม์ต้องเข้าใจแน่นอน” โชตกกล่าวปลอบใจ

แม่บ้านนิชาเพิ่งป้อนยาสีเข้มในถ้วยใส่ปากของสริตาซึ่งยังไม่ฟื้นสติ พลางเปิดดูฝ่ามือซ้ายซึ่งเปื้อนสีดำจางด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก แล้วพลิกมือคว่ำลงไว้ ร่างสาวไทยเริ่มขยับเขยื้อน หล่อนเปิดตาขึ้นมองรอบตัว แล้วหยุดที่ใบหน้าของแม่บ้านนิชา

“ดีใจที่เห็นคุณ แต่ไม่สบายใจที่ยืนยันว่าฉันโดนยาพิษอีกแล้ว” หล่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน พลางยันกายขึ้นนั่งอย่างอ่อนระโหย

“ใบหน้าของฉันเป็นสัญลักษณ์ของยาพิษไปแล้วหรือ ?” แม่บ้านนิชาพูด พลางทำเสียงหึในลำคอ “ฉันรักษาคนก็ได้ ไม่ใช่แก้พิษอย่างเดียวนะ”

“คราวนี้โดนพิษอะไร กลิ่นนั่นหอมจริง แต่อ่อนแรงหมดทั้งตัวเลย”

“ไม้ยางชีตาผสมทำเป็นกำยาน มันทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ถ้าเทียบกับยาตะวันตก ก็เป็นยาชาได้สบายๆ แต่มีเรื่องหนึ่งอยากเตือนไว้”

“พูดสิ” สริตามองอยากรู้

“ตอนนี้ร่างกายของคุณเริ่มสะสมพิษหลายขนานไว้ในเวลาไล่เลี่ยกัน มันเกิดจากการไม่มีเวลาคลายพิษที่ยาวนานพอ”

“คุณรู้ได้อย่างไร ?” หล่อนฟังด้วยความไม่สบายใจ

แม่บ้านนิชาพลิกฝ่ามือซ้ายของสาวไทยขึ้น แล้วชี้ที่รอยเปื้อนสีดำจางๆ

“ถ้าสีดำเกิดเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง ตายสถานเดียว !”

“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียว” หล่อนทำหน้าตกใจ “มีทางแก้ไขไหม ?”

“อย่ารับพิษอีก”

“ฉันไม่อยากรับ แต่คนอื่นอยากส่งให้ต่างหาก” หล่อนกล่าวโต้

แม่บ้านนิชาถอนหายใจ “ติชิลาไม่ละมือจากคุณแน่ ห่างไว้ก็แล้วกัน”

“พูดง่าย ทำยาก ฉันไม่อยากเข้าใกล้ผู้หญิงสวยคนนั้น แต่เธอชอบวางยาพิษให้ฉันเรื่อย แย่จัง” หล่อนพยายามยืดแขนขาเพื่อทดสอบพละกำลัง แล้วพบว่ามันฟื้นกลับมาเกือบปกติแล้ว “ยาของคุณเยี่ยมยอด ฉันสบายตัวขึ้นมากเลย”

“ติชิลาใช้คุณทดลองความรู้ของฉันอยู่”

“คุณกับเธอ.....เอ่อ.......ฉันเป็นหนูทดลองยาของพวกคุณงั้นรึ ?”

“คิดว่าใช่”

“บ้ากันไปแล้ว ฉันเป็นแขกของเจ้าชายนะ” หล่อนบอกอย่างฉุนเฉียว

แม่บ้านนิชาเหยียดยิ้มที่มุมปาก “ในสายตาของติชิลาแล้วการลองยากับคุณให้ผลสะใจหลายอย่าง ข้อแรก ได้รู้ภูมิความรู้ของฉันว่าลึกแค่ไหน ข้อสอง ถ้าคุณตาย ก็เป็นโชคของฝ่ายนั้นที่กำจัดศัตรูหัวใจไปได้”

“ศัตรูหัวใจรึ ?” หล่อนทวนคำ หัวใจเต้นระทึก

“ติชิลาแสดงตนว่าชอบองค์รัชทายาทมานานแล้ว ไม่ว่าสาวไหนในวังไวชยันต์ก็ไม่กล้าทำตัวเป็นคู่แข่งกับเธอคนนั้น บางคนกล้าท้าทายก็ตายอย่างไร้สาเหตุ แต่ฉันรู้ว่าเป็นผลจากยาพิษของติชิลานั่นแหละ” แม่บ้านนิชาเล่าเสียงขรึม

“แน่ใจรึ ?”

“ฉันรับรู้อาการก่อนตายของสาวพวกนั้น ก็รู้แล้วว่ามาจากเหตุตายธรรมชาติหรือยาพิษ”

“คุณเก่งนี่นา” หล่อนเอ่ยเย้า ใบหน้าแจ่มใสขึ้น “มีคำแนะนำอย่างอื่นไหม ?”

“ตอนนี้คิดไม่ออก”

สริตาเบ้ปากเล็กน้อย “ฉันเดือดร้อนอีกแล้ว ถ้าพูดอธิบายกับติชิลา จะดีไหม ?”

“เธอไม่ฟังหรอก ฆ่าอย่างเดียว คือ ความแน่นอน”

“ถ้าฉันไม่มีทางเลือก ก็ต้องสู้เท่านั้น”

“สู้อย่างไร”

สริตาทำท่าคิด พลางแย้มยิ้ม “ฟ้องเจ้าชายเหมือนฟ้องแม่ เวลามีคนรังแกฉันไง”

แม่บ้านนิชาหัวเราะ “เข้าใจคิดนี่นา”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเจ้าชายอัคนีกับโชตกเดินเข้ามาในห้องด้วยความดีใจที่เห็นสาวไทยมีใบหน้าสดชื่น ไม่แสดงอาการโดนพิษแล้ว

“ได้ยินว่าใครจะฟ้องเรา” เจ้าชายเอ่ยเย้า พลางมองสำรวจสาวไทย “คุณดูเกือบปกติแล้ว”

“เกือบรึ ? ฉันคิดว่าสบายดีเสียอีก” สริตาตอบยิ้มๆ พลางเหยียดแขนขาประกอบด้วย “คุณนิชาเป็นหมอยอดเยี่ยมจริงๆนะ ท่านโชตก”

“ผมยินดีรับคำชมนี้” โชตกตอบ พลางมองชื่นชมไปที่แม่บ้านของเขา

แม่บ้านนิชายืนขรึม เจ้าชายกล่าวด้วยความเสียใจว่า “ผมขอโทษที่ไม่อาจดูแลคุณได้ดีนัก”

“เรื่องเข้าใจผิดธรรมดา อย่าคิดมากเลย ท่านอัคนี” หล่อนพูด พลางมองทั้งสามด้วยความซึ้งใจ “ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว ชะตาฟ้ากำหนดให้ฉันต้องพบเรื่องนี้เท่านั้น ฉันปลงใจแล้ว”

“ปลงรึ ?” เจ้าชายยิ้มขำ

“ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆนะ แต่.......” หล่อนทำท่าอึกอัก พลางลดเสียงลงยามพูดกับเจ้าชายว่า “............แต่คราวหน้าฉันต้องฟ้องท่านให้ช่วยลงโทษหรือตำหนิพวกเขามิให้ยุ่งกับฉัน จะได้ไหม ?”

“ถ้าอยู่ในอำนาจของผม ก็ยินดีทำเพื่อคุณแน่”

“ฟังดูดีหน่อย” หล่อนทำท่าจะลุกจากเตียง

“จะไปไหน ?” โชตกถามสงสัย

“ไปห้องน้ำ”

ชายทั้งสองอมยิ้ม แม่บ้านนิชาพูดอาสาว่า “ฉันจะไปเป็นเพื่อนนะ”

“ฉันไปคนเดียวได้ รับรองไม่เป็นลมแน่ค่ะ”

“พวกเขาคงอยากให้ฉันไปด้วย” แม่บ้านนิชาพูดยืนกราน

“ไม่ขัดน้ำใจก็ได้” หล่อนตอบรับ แล้วปล่อยให้แม่บ้านนิชาเดินประคองออกจากห้องนั้น

โชตกส่ายหน้า “เธอดูปกติแล้ว”

“ปากคอโต้เถียงฉับพลันแบบนี้ ค่อยสบายใจหน่อย” เจ้าชายบอก แล้วชวนกลับไปคุยที่ห้องรับแขกอีกครั้งเพื่อให้สาวไทยพักผ่อนเต็มที่

ท่ามกลางความมืดในป่ารกทึบสริตาวิ่งหนีเงาดำที่ไล่ตามหล่อน ไม่ว่าจะหลบซ่อนที่จุดใดมันก็ตามไล่หลังหรือดักหน้าเป็นระยะ จนกระทั่งมาถึงหน้าถ้ำกว้างแห่งหนึ่ง ด้านซ้ายมีตัวอักษรที่หล่อนอ่านภาษาไม่ออกสลักบนหินก้อนใหญ่ หล่อนหนาวเยือกทั้งกายและใจยามมองลึกเข้าไปในถ้ำอันดำมืดเบื้องหน้าขณะที่เสียงฝีเท้าย่ำบนยอดหญ้าของเงาดำใกล้เข้ามาเต็มที สัญชาตญาณเตือนมิให้ย่างกรายเข้าไปในถ้ำ แต่การรุกไล่ของเงาดำกระตุ้นให้หล่อนหนีเข้าไปในถ้ำ

“ฉันไม่อยาก..........” หล่อนมองอึดอัดใจ

สริตาตัดสินใจปีนป่ายไปตามต้นไม้ซึ่งขึ้นอยู่ข้างถ้ำเพื่อหาทางหนีต่อไป แทนที่จะวิ่งเข้าถ้ำเบื้องหน้า เงาดำยืนมองจากด้านล่างแล้วไม่ขยับเขยื้อนกายราวกับรู้ว่าสาวไทยต้องพบทางตันอย่างแน่นอน

“บ้าจัง” หล่อนสบถ เมื่อไม่เห็นทางหนีต่อไปนอกจากยอดไม้ข้างเคียงเท่านั้น

ทันใดนั้นสริตาเหยียบกิ่งไม้ที่คิดว่าแข็งแรงพอในการรับน้ำหนักตัว แต่มันหักลงกะทันหัน ร่างสาวไทยลอยลิ่วลงสู่เบื้องล่างท่ามกลางเสียงกรีดร้องของตัวเอง

“โอย.........” สริตาร้องลั่น

สาวไทยสะดุ้งตื่นแล้วผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจสุดขีด พลางจับเนื้อตัวเพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่ครบถ้วน จึงตระหนักใจว่าหล่อนแค่วิ่งหนีในความฝันเท่านั้น

“แค่ฝันเท่านั้น” หล่อนถอนใจยาว

เมื่อรู้ว่านอนไม่หลับแล้วสริตาจึงคว้าเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีสดใสมาสวมแล้วเดินออกจากห้องไปยืนที่ระเบียงเพื่อมองดวงดาวบนท้องฟ้า แล้วอดคิดถึงหมอจารุมน มารดาของหล่อนไม่ได้

“แม่จะรู้ไหมว่า หนูเจอทั้งเสือและจระเข้เลย แม่ล่ะ ?” หล่อนถามไปทางดวงดาว

เงาดำเคลื่อนไหววูบวาบไปตามทิวไม้ในสวนหน้าห้องของหล่อน สริตาขมวดคิ้วคิดชั่งใจว่าควรติดตามไปหรือกลับห้องนอน ครู่ต่อมาหล่อนหมุนกายเดินกลับเข้าห้อง แต่ขาไม่ยอมขยับก้าวต่อไป หล่อนตกใจอย่างมากเมื่อรู้สึกมีพลังบางอย่างยึดขาทั้งสองของหล่อนไว้

“ใคร.......ปล่อย........ฉัน.........ปล่อย” หล่อนบอก พลางเหลียวมองรอบกาย

สริตาเหลียวกลับมาที่เดิม พลันดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งคว้าลำคอของหล่อนไว้ รอยยิ้มขรึม

“ทักษา !” หล่อนครางในลำคอ

“เธอไม่ควรปฏิเสธคำเชิญของผม สริตา”

ทักษาพลิกมืออย่างแรงเพื่อดึงร่างสาวไทยให้นั่งลง สริตาร้องครวญอย่างเจ็บปวด

“เบามือไม่เป็นหรือ ?” หล่อนพูดต่อว่า พยายามควบคุมสติไว้

ทักษายังไม่คลายมือจากลำคอของหล่อน พลางแสยะยิ้ม “เธอไม่ควรต้อนรับการมาเยี่ยมของแขกแบบนี้”

“เยี่ยมรึ ?”

“ใช่แล้ว”

“ปล่อยคอของฉันสิ”

“ถ้าเธอรับปากไม่ร้องโวยวาย”

“ก็ได้”

ทักษาปล่อยลำคอของหล่อน แล้วคุกเข่าจ้องมองใบหน้าของสาวไทย

“นิชารักษาเธอได้เยี่ยมมาก” เขาพูด พลางคว้ามือของสริตาไปพลิกดูบางอย่าง “นึกแล้วว่าจะต้องเจอสีดำที่ฝ่ามือ”

“นายรู้ ?”

“ถ้าเจอพิษร้ายอีกสองสามครั้ง เธอตายแน่”

“นายควรห้ามติชิลายุ่งกับฉันสิ”

ทักษายิ้ม “เราพี่น้องไม่ยุ่งเกี่ยวกัน”

“ทำไมต้องทำรุนแรงกับฉันด้วย ?”

ทักษาจ้องใบหน้าสาวไทย พลางตอบว่า “คิดว่าเป็นชะตากรรมเถอะ”

“ง่ายเกินไป”

ทักษายอมให้สาวไทยขยับท่านั่งให้สบายขึ้น พลางพูดชวนว่า “อยากรู้จักพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นบ้างไหม ?”

“พลังอะไร ?”

“เธอมีพลังจิต สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างง่ายดาย แต่ยังใช้มันได้ไม่เต็มอานุภาพ”

“จะสอนฉันงั้นรึ ?”

“ใช่”

“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ ?” หล่อนถามรู้ทัน

ทักษายิ้ม “เธอฉลาดมาก”

“ไม่เคยมีใครให้ของโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้แต่ให้เวลาของเขาก็ตาม”

“เธอควรรับปากโดยไม่สนใจว่าจะได้อะไรจากผม” เขาตอบเสียงเข้ม

“มันไม่ยุติธรรม.........” หล่อนกล่าวโต้ พลางเชิดหน้าขึ้น “..........แม่ของฉันเป็นจิตแพทย์ ย่อมฝึกฝนการใช้พลังจิตของฉันได้ฟรีๆ จึงไม่ต้องให้นายสอนเพื่อแลกกับของอะไรที่ฉันไม่รู้จักหรือไม่มีมัน”

“ถ้าแม่ของเธอเก่งจริง เธอโตจนป่านนี้ยังแค่ใช้พลังจิตย้ายสิ่งของไม่คล่องเลย แต่ผมทำหลายอย่างที่เธอเคยเห็นแล้วว่ามันแตกต่างกันใช่ไหม ?”

สริตาอึ้ง พลางส่ายหน้า “ฉันไม่รับข้อเสนอ”

“เธอปฏิเสธไม่ได้”

“ทำไม ?”

“ผมเลือกเธอแล้ว” ทักษาบอกเน้นเสียง แล้วยืนขึ้น “แล้วจะสอนเธอ ส่วนเธอต้องทำงานแลกค่าสอนด้วย”

“ไม่.......”

ทักษาไม่รอฟังคำปฏิเสธใดๆ เขากระโดดหายเข้าไปในความมืดของสวนเบื้องหน้าอย่างเร็ว สริตายันกายยืนขึ้นด้วยสีหน้างุนงงที่ชายคนนั้นบอกว่าจะสอนการใช้พลังจิตแก่หล่อนไม่ว่าหล่อนจะเต็มใจรับการสอนหรือไม่ก็ตาม

“น่าสยองใจเสียแล้ว” หล่อนพึมพำ แล้วตัดสินใจจะเล่าให้แม่บ้านนิชาฟังในวันรุ่งขึ้น

ตอนเช้าเจ้าชายอัคนีแปลกใจที่พ่อบ้านแจ้งว่าสริตาไปที่บ้านพักของโชตกแล้ว เขาคิดจะตามหล่อนไป แต่รองมหาเสนาบดีชยาศีร์ให้คนมาตามเขาไปปรึกษาเรื่องตัวแทนในคณะผู้แทนอำนาจของพระราชา จึงจำใจต้องเลือกไปทำงานก่อนทั้งที่สงสัยว่าเหตุใดหล่อนจึงไปบ้านพักของโชตกโดยไม่แจ้งให้เขาทราบ เวลาเดียวกันสริตาต้องผิดหวังเมื่อทราบว่าแม่บ้านนิชาขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาปรุงยากับสาวรับใช้และมีกำหนดกลับบ้านพรุ่งนี้ ส่วนโชตกเดินทางไปประชุมที่บ้านของรองมหาเสนาบดีชยาศีร์ หล่อนคิดจะกลับเรือนศักเรนทร์ พอดีเห็นบรรณารักษ์หนุ่มนามว่า ลิปิการ์ เดินถือหนังสือหลายเล่มเข้ามาในบ้าน จึงไปทักทายเขาด้วยความดีใจ

“ฉันกำลังเบื่อๆพอดี” หล่อนพูดเป็นภาษาไทย

ลิปิการ์มองสำรวจสาวไทย แล้วตอบด้วยภาษาเดียวกันว่า “ผมได้ข่าวว่าคุณไม่สบาย ตอนนี้ดูดีแล้ว ไม่เป็นไรใช่ไหม ?”

“รู้แค่ไหน ?”

บรรณารักษ์หนุ่มอมยิ้ม พลางลดเสียงลงว่า “คนที่เจอกับท่านติชิลา ก็รู้ดีว่าพบยาอะไรกัน”

“มีอะไรที่คุณไม่รู้บ้าง ?”

“ผมต้องขอเวลานึกหน่อย”

“ท่านโชตกยืมหนังสือหรือ ?” หล่อนมองหนังสือในอ้อมแขนของลิปิการ์

“ใช่”

“ท่านลิมไปส่งหนังสือก่อน เดี๋ยวขอกลับด้วยคน”

“ผมจะกลับห้องสมุดนะ”

“ฉันอยู่ห้องสมุด น่าจะสนุกกว่าเรือนศักเรนทร์ที่เงียบเหงา”

ลิปิการ์ยิ้มน้อยๆ “ผมคิดว่าจะเข็ดแล้วหลังจากเจอเรื่องนั้นที่ห้องสมุด”

“อันที่จริงฉันชอบห้องสมุดที่สุด มันอบอุ่นและให้ค้นหาความรู้หลากหลาย บางทีคำตอบที่ติดค้างในใจอาจรออยู่ที่นั่นก็ได้” หล่อนบอกเป็นนัย

“มีคำถามรึ ?” เขามองงง

“รีบไปทำงานของคุณก่อน แล้วค่อยคุยกันก็ได้”

บรรณารักษ์หนุ่มตอบรับ แล้วเดินนำหนังสือเข้าไปในบ้าน ครู่ต่อมาจึงกลับมาหาสาวไทยแล้วชวนกันไปห้องสมุด

ระหว่างเส้นทางกลับห้องสมุดซึ่งอยู่ในเขตวังไวชยันต์นั้นลิปิการ์บอกเล่าแนะนำสถานที่ข้างทางที่เดินผ่านด้วยความสนุกสนานโดยเฉพาะตลาดสดที่ชาวมฆวันซื้อของจับจ่ายใช้สอย เสียงแนะนำสินค้าของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและการต่อรองราคาของลูกค้าดังลั่นสลับไปมา อันสร้างความตื่นเต้นแก่สริตาซึ่งไม่เคยเห็นชีวิตทั่วไปของชาวมฆวันมาก่อน หล่อนขอร้องบรรณารักษ์หนุ่มให้พาชมหลายสถานที่ทั้งวัดวาอารามและสถานที่หย่อนใจของชาวบ้าน ทำให้ทั้งสองไปถึงห้องสมุดก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว

“วันนี้สนุกมากเลย ทีหลังพาไปเที่ยวอีกนะ” หล่อนบอกเสียงรื่นรมย์

ลิปิการ์ยิ้ม พลางตอบรับ “ถ้าคุณว่าง ก็ยินดีพาไปอีกครับ”

“ฉันว่างตลอดแหละ”

“คนดูแลห้องสมุดไม่ทำงาน ต่อไปคงต้องเสนอเปลี่ยนคนใหม่แล้ว” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นจากห้องหนังสือหายาก

“ท่านทักษา !” บรรณารักษ์หนุ่มคราง สีหน้าไม่ดีนัก

ทักษาปรายตามองสาวไทยซึ่งยืนนิ่ง พลางพูดว่า “ถ้าหนังสือในนี้หายไป คนที่ต้องรับผิดชอบคือ นาย แต่ดูจะสนใจทำงานไกด์ให้เธอคนนี้มากกว่างานในห้องสมุดแล้ว คิดจะเปลี่ยนงานหรือไง ?”

“ไม่.....ผมรักงานที่นี่มาก” ลิปิการ์ตอบลนลาน

“แน่ใจหรือ ?”

“แน่ครับ”

“ต่อไปคงไม่ทำแบบนี้อีก คราวหน้าฉันจะรายงานให้ท่านพ่อรับทราบแน่”

“ขอรับ” ลิปิการ์รับคำเสียงอ่อย

“ถ้าอยากเที่ยวนัก ผมอาสาเป็นไกด์ได้นะ มิสสริตา” ทักษาหันไปทางสาวไทย

“ไม่รับแน่” หล่อนตอบสะบัดเสียง ทำท่าจะเดินไปทางอื่น

“วันนี้ผมอยากพาชมส่วนที่ไม่ค่อยมีคนสนใจของวังนี้ ไปด้วยกันไหม ?”

สริตามองสบนัยน์ตากร้าวของทักษา พลางคิดชั่งใจ เขาพูดอีกว่า “ผมมีอารมณ์ดีไม่บ่อยนัก แถมไม่ชอบคำปฏิเสธด้วย เราเป็นมิตรกันมิดีกว่าหรือ ?”

“ฉัน............”

บรรณารักษ์หนุ่มมองห่วงใยกับการบังคับกรายๆของทักษา แต่มิกล้าช่วยเหลือหล่อน

ทักษายึดข้อศอกของสาวไทยแล้วเดินนำไปนอกห้องสมุด ปากบอกว่า “การใช้ความคิดนานเป็นมารยาทไม่ดีนะ ไปกันได้แล้ว”

สริตาชำเลืองมองลิปิการ์นิดหนึ่งก่อนยอมเดินตามทักษาไปอย่างไม่เต็มใจนัก หล่อนกังวลกับการอยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มที่ชอบใช้ความรุนแรงทุกครั้งที่ทั้งสองพบกัน

“ต้องรายงานให้เจ้าชายรับทราบแล้ว” บรรณารักษ์หนุ่มพูด แล้วตัดสินใจผละจากงาน

ลิปิการ์ทำท่าจะเดินออกจากห้องสมุด พลางเห็นเจ้าหญิงพิณทองเดินตรงมาที่เขา

“วันนี้มีหนังสือใหม่ใช่ไหม ? ฉันมาเลือกอ่านก่อน”

“มีเรื่องต้องขอให้ช่วยเหลือคุณสริตาก่อนขอรับ”

บรรณารักษ์หนุ่มตัดสินใจเล่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เจ้าหญิงรับทราบ หล่อนถามเสียงเคร่งว่า “พวกเขาไปทางไหน ?”

เมื่อรับทราบทิศทางที่ทักษากับสริตาเดินไปแล้ว เจ้าหญิงพิณทองเดินนำสาวรับใช้ไปตามเส้นทางนั้นเพื่อช่วยเหลือสาวไทยตามคำขอร้องของลิปิการ์ด้วยจิตเมตตาทันที

เส้นทางที่ทักษาเดินนำสาวไทยลึกเข้าไปทางด้านหลังของห้องสมุดหลวงซึ่งมีดงไม้สูงใหญ่ปลูกเรียงรายหนาทึบยิ่ง บรรยากาศรอบกายเย็นสบาย ลมเย็นพัดอ่อนๆ ความหวั่นกลัวของสริตาผ่อนคลายลงเมื่อชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีคุกคาม หล่อนเตรียมใจบางส่วนไว้แล้วหากทักษาใช้พลังจิตรุกรานก็จะตอบโต้โดยไม่กลัวผู้ใดจะเห็นท่ามกลางดงไม้แห่งนี้ หล่อนขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อเห็นป้ายสีแดงเขียนภาษามฆวันไว้ ทักษายังก้าวเดินต่อไป พลางหันมองสาวไทยที่หยุดยืนนิ่งหน้าป้ายนั้น

“มันเขียนห้ามไว้ใช่ไหม ?”

“ทำไมจึงคิดอย่างนั้น ?” เขาถาม พลางยืนกอดอก

“มันเขียนด้วยสีแดง แม้อ่านไม่เข้าใจ แต่มันน่าจะเป็นการห้าม” หล่อนตอบ

“มันเป็นคำสั่งห้ามข้ามเขตนี้”

“ฉันไม่อยากละเมิดข้อห้ามใดๆ เพราะพ่อของนายเคยเตือนไว้แล้ว”

“ไม่มีใครลงโทษเธอเพราะมากับผมแน่ ไปกันเถอะ”

“แต่.........”

“ถ้าอยากเห็นของต้องห้ามหลังวังใหญ่โตนี้ เธอต้องเร่งเดินหน่อย”

“ของต้องห้าม ?”

คำพูดของชายหนุ่มกระตุ้นความสนใจของหล่อน สริตาตัดสินใจเดินตามทักษาไปแม้จะมีความกังวลแฝงอยู่

พักใหญ่เจ้าหญิงพิณทองกับนางกำนัลยืนมองป้ายห้ามเข้าเขตหวงห้ามด้วยสีหน้าวิตกและครุ่นคิดหนัก นางกำนัลทัดทานเจ้าหญิงซึ่งทำท่าจะเดินข้ามเขตดังกล่าว

“หากไม่มีคำอนุญาตจากพระราชาหรือพระมเหสีจะข้ามเขตไม่ได้ ทรงไตร่ตรองด้วย โทษรุนแรงมากเพคะ”

เจ้าหญิงพิณทองอึ้ง ดวงตามองเส้นทางนำไปสู่สถานที่ต้องห้ามอย่างครุ่นคิดเมื่อทักษากำลังพาสริตาเข้าไปที่นั่น

“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ฉันจะเข้าไปหาสริตาก่อน”

“แต่..........”

เจ้าหญิงพิณทองนึกบางอย่างได้ จึงเอ่ยว่า “คนที่อนุญาตได้อีกคน คือ รัชทายาท นี่นา”

“ท่านหมายความว่า..........”

“เจ้าไปแจ้งข่าวนี้แก่พี่อัคนีที่บ้านรองเสนาฯชยาศีร์ เรื่องด่วนที่สุด” เจ้าหญิงสั่งเสียงเฉียบขาด นางกำนัลสองคนรีบแยกตัวไปทำตามคำสั่งนั้น

“หวังว่าจะไม่มีคนเห็นพวกเขาก่อนพี่อัคนีมาถึงที่นี่” เจ้าหญิงมองเส้นทางว่างเปล่าเบื้องหน้าด้วยความวิตกกังวล

พระสนมกุลนาถเดินตรวจการทำงานของข้าราชบริพารและผ่อนคลายอารมณ์ พลันเหลือบตาไปเห็นนางกำนัลจากเรือนพักของเจ้าหญิงพิณทองวิ่งผ่านไป จึงสั่งทหารเรียกสองนางมาซักถามทันที ด้วยความหวั่นกลัวโทษกอปรกับคำพูดข่มขู่ของพระสนมทำให้ทราบว่าทักษากับสาวไทยละเมิดข้ามเขตต้องห้ามไปแล้ว ส่วนเจ้าหญิงพิณทองต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าชายอัคนี รัชทายาทแห่งวังไวชยันต์เป็นการด่วน พระสนมทราบว่ามหาอำมาตย์พยนต์ต้องการสังหารสาวไทย แต่ล้มเหลว หล่อนคิดใช้โอกาสนี้ช่วยส่งเสริมความตั้งใจของท่านพยนต์ ส่วนทักษานั้นหล่อนมีทางช่วยให้รอดพ้นโทษประหารชีวิตได้

“ฉันไม่ยอมให้แม่สาวคนนั้นรอดโทษครั้งนี้ได้..........” พระสนมพึมพำ

พระสนมสั่งทหารด้วยเสียงเฉียบขาดว่า “จับนางกำนัลทั้งสองเพื่อรอการไต่สวน”

นางกำนัลทั้งสองนั่งตัวสั่นแล้วร้องไห้เมื่อรับรู้ชะตากรรมเบื้องหน้า ส่วนพระสนมกุลนาถเดินนำข้าหลวงตรงไปยังเขตต้องห้ามซึ่งเจ้าหญิงพิณทองกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากเจ้าชายอัคนีอยู่ แต่ไม่มีวันที่รัชทายาทจะไปถึงที่นั่นได้แล้ว

************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์