จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

17.

เช้าวันหนึ่งทักษาเดินผ่านห้องยาของติชิลา เสียงถ้วยแตกดังลั่นต่อเนื่องเรียกความสนใจของชายหนุ่มให้เดินเข้าไปข้างใน ผู้เป็นน้องสาวยืนหน้าบึ้งแล้วโยนข้าวของลงพื้นด้วยความโมโหท่ามกลางสายตาหวั่นกลัวของคนรับใช้ เขาโบกมือไล่พวกเขาออกไป แล้วเดินไปหาน้องสาว

“ถ้าเดาไม่ผิดเธอคงโกรธที่สริตารอดชีวิตจากยาพิษของเธอสินะ”

“พี่รู้ ไม่ใช่เดา” ติชิลาบอกกระแทกเสียง แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้

“ทีแรกเธอตั้งใจทดสอบฝีมือของนิชา ตอนนี้ก็รู้คำตอบแล้ว ทำไมต้องโกรธด้วย ?”

“ฉันเสียหน้าและอยากให้มันตาย ทำไมนิชาต้องเป็นคู่แข่งของฉัน ?”

“คู่แข่งทำให้เธอพัฒนาตัวเอง ชีวิตไม่จืดชืดดี”

“พี่.......” หล่อนมองตาขวาง “.........พี่ชื่นชมนิชามากสิ”

“พี่ชมคนมีฝีมือ ไม่เลือกหน้าตาหรอก” เขาตอบเย้าในที

“ฉันต้องฆ่ามันให้ได้ คอยดูนะ”

“ฆ่าใคร ?”

ดวงตาของติชิลาเจิดจ้าขึ้น “นิชากับนังคนต่างชาติ !”

“เหตุผลที่ฆ่านิชาก็พอรู้ แต่ทำไมต้องรวมสริตาด้วยล่ะ ?”

“เจ้าชายสนใจมันไง”

ทักษายิ้ม “เข้าใจแล้ว หึงเจ้าชายงั้นสิ”

“ใช่”

“เธอทำร้ายเพื่อนของท่าน แล้วจะมองหน้ากันได้หรือ ?”

สีหน้าของติชิลาบอกความเศร้าเล็กน้อย “ท่านพ่อต้องสำคัญอันดับหนึ่ง เรื่องของเจ้าชายแก้ไขทีหลังได้ ฉันเจ็บใจมากที่เคยคิดว่าจะมีศัตรูหัวใจแค่เจ้าหญิงพิณทองน่าเบื่อคนนั้น ตอนนี้ยังเพิ่มนังคนต่างชาติอีก”

“ทำไมคิดว่าเจ้าชายสนใจสริตา ?”

“เขาปกป้องเธอออกหน้า พี่ก็เห็นที่กรมวังแล้วนี่นา”

“ทั้งสองเป็นเพื่อนกัน”

“ฉันสัมผัสบางอย่างได้” หล่อนพูดยืนยัน

“คิดมากไปล่ะมัง”

“ฉัน..........” หล่อนถอนใจเฮือกใหญ่ “........พี่เป็นพวกหัวใจด้าน จะเข้าใจคนมีความรักอย่างฉันได้อย่างไร ?”

“หัวใจด้านหรือ ?” เขาทวนคำ แล้วหัวเราะ “ยิ่งด้าน ก็ยิ่งสบายใจ เธอควรฝึกไว้ จะทำงานกับท่านพ่อได้สบายใจขึ้น”

“ชีวิตของฉันต้องสุขสันต์ ฉันเลือกตามใจตัวเองดีกว่า” หล่อนบอกปัด แล้วชักชวนไปหาบิดาที่ห้องทำงาน แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ

“พี่จะไปท่องเที่ยวหย่อนใจ”

“เที่ยวรึ ?” น้องสาวมองสงสัย “หมู่นี้พี่ออกนอกบ้านบ่อยมาก ติดสาวหรือเปล่า ?”

“ถ้าพี่เป็นแบบนั้น พ่อคงรู้ก่อน แล้วด่าเปิงไปแล้ว” เขาตอบ แล้วโบกมืออำลา

ปกติทักษาเป็นคนชอบเก็บตัว และทำงานตามคำสั่งของมหาอำมาตย์พยนต์เป็นหลัก แต่ระยะหลังผู้เป็นพี่ชายจะออกนอกบ้านเกือบทุกวัน แล้วกลับค่ำมืด ผู้เป็นบิดาไม่แสดงทีท่าสงสัยลูกชาย หล่อนค่อนข้างมั่นใจว่าบิดาทราบจุดประสงค์ของพี่ชาย แต่ไม่บอกให้รับทราบ หล่อนจึงไม่สนใจพฤติกรรมของเขาอีก แล้วตัดสินใจไปหาเจ้าชายอัคนีซึ่งรับคำเชิญร่วมดื่มน้ำชาจากเจ้าหญิงพิณทองเพื่อขัดขวางความใกล้ชิดของทั้งสอง

วันที่สามของการพักฟื้นรักษาตัวที่บ้านโชตกนั้นสริตาได้รับอนุญาตจากแม่บ้านนิชาให้เดินเล่นในสวนสมุนไพรซึ่งอยู่ด้านหลังห้องยาโดยมีคนรับใช้ยืนเฝ้าห่างออกไป ทำให้หล่อนมีความเป็นส่วนตัวพอควร แม่บ้านนิชาตอบปัญหาคาใจที่เจ้าชายอัคนีกับโชตกไม่ยอมมาเยี่ยมหล่อนสักวันว่า ไม่ต้องการให้ทั้งสองเห็นบาดแผลจากกริชเงินประกอบการถอนพิษ ระหว่างเดินชมต้นสมุนไพรด้วยความเพลิดเพลินใจเงาดำปรากฏด้านหลัง หล่อนหันขวับไปเห็นชายหนุ่มคุ้นตา พลันสติดับวูบเมื่อเขาบีบลำคอของหล่อนอย่างแรง เขาอุ้มร่างสาวไทยแล้วกระโดดหายไปทางกำแพงหลังบ้านชั่วพริบตาเดียว เสียงกรีดร้องของสาวรับใช้ดังลั่นขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนนอนหมดสติอยู่ใกล้สวนสมุนไพร โชตกกับแม่บ้านนิชารีบรุดไปดูสถานการณ์ทันใด จึงพบว่าสริตาหายสูญไปแล้ว

“ไม่มีคนเห็นว่าเธอหายไปได้อย่างไร ?” แม่บ้านนิชาพูดหลังจากสอบปากคำสาวรับใช้แล้ว

โชตกกวาดตามองหาทั่วสวนสมุนไพรซึ่งมิได้มีอาณาเขตกว้างขวางนัก สีหน้าวิตกกังวล

“เขาทำร้ายคนรับใช้และลักพาสริตาไปโดยคนในบ้านไม่รับรู้สักคน มันต้องไม่ธรรมดาแน่ พี่มีทางสืบรู้ไหมว่าสริตาอยู่ที่ไหน ?”

แม่บ้านนิชาใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ข้ามีทางรู้ว่าสริตาอยู่ที่ไหน ?”

“ทำเลย” โชตกบอกร้อนใจ

แม่บ้านนิชาหันไปทางสาวรับใช้ที่เริ่มฟื้นสติ แล้วถามว่า “เธอเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนตรงไหนเป็นที่สุดท้าย”

เมื่อได้รับคำตอบจากสาวรับใช้แล้ว โชตกเห็นแม่บ้านนิชาเดินไปหยุดยืนที่จุดนั้น แล้วใช้มือแตะใบไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด มืออีกข้างนับนิ้วคำนวณบางอย่าง ทำปากขมุบขมิบ จากนั้นจึงเดินกลับมาหาชายหนุ่มซึ่งรอฟังคำตอบอยู่

“เธออยู่ที่ป่าช้า !”

“ป่าช้าไหน ?” เขามีสีหน้าประหลาดใจ

“สุสานคนไร้นามทางตะวันตกของวังไวชยันต์” หล่อนบอกละเอียดขึ้น

“พี่แน่ใจหรือ ?”

แม่บ้านนิชายิ้มเย็น “ข้าเชื่อต้นไม้”

“ต้นไม้บอกพี่รึ ?”

“ใช่ เธอกำลังลำบาก รีบไปกันเถอะ” สีหน้าของแม่บ้านบอกความหนักใจชัด

“เกิดอะไร ?” เสียงหนึ่งดังขึ้น

ทั้งสองหันไปเห็นเจ้าชายอัคนีเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าสงสัย โชตกจำต้องตอบว่า “บางคนเพิ่งลักพาสริตาไป”

ณ ด้านหน้าเรือนพักของเจ้าหญิงพิณทองนั้นติชิลายืนขัดเคืองใจหลังรับแจ้งว่า เจ้าชายอัคนีเลื่อนนัดรับประทานน้ำชาไปกะทันหัน หล่อนสืบทราบว่าเขาเดินทางไปที่บ้านโชตกเพื่อเยี่ยมสริตาซึ่งกำลังพักฟื้นอยู่ มันยิ่งเพิ่มความต้องการกำจัดสาวไทยขึ้น นอกเหนือจากเป็นคำสั่งของบิดาแล้ว แต่มันเป็นความหวาดระแวงว่าจะมีผู้หญิงอีกคนขึ้นมาเป็นคู่แข่งของหล่อน

สริตาเริ่มรู้สึกตัวและเจ็บที่ลำคอซึ่งจำได้ว่ามือผู้ชายบีบอย่างแรง พลางลืมตาขึ้นเห็นท้องฟ้าที่มีแสงแดดแรงพอควร กลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งอยู่รอบกาย เมื่อก้มมองตัวเองจึงเห็นเลือดเต็มเสื้อผ้า มือรู้สึกหนืดแฉะด้วยของเหลวบางอย่าง หล่อนยกมือขึ้นมองจึงเห็นเลือดเปื้อนมือ

“เลือด...........” หล่อนอุทาน แล้วลุกขึ้นนั่งทันใด

สริตาเห็นตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางเลือดและซากสัตว์ตายเกลื่อนทั้งหมู ไก่ งู กวาง และนก พวกมันเริ่มส่งกลิ่นเน่าแล้ว หล่อนพยายามคลานหนีจากกองเลือดเหม็นสะอิดสะเอียนอย่างร้อนรน แต่กำแพงใสกีดกันหล่อนไว้

“ปล่อยฉัน..........” หล่อนร้องลั่น พลางทุบสิ่งที่กีดขวางซึ่งมองไม่เห็นสภาพแท้จริงของมัน น้ำตาร่วงด้วยความกลัว “..........ปล่อยฉันนะ”

“กลัวมากรึ ?” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น

สริตาหันขวับไปมองเจ้าของเสียงซึ่งยืนกอดอกมองห่างไปเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาแย้มกว้าง

“นาย.......ปล่อยฉัน.........” หล่อนพูด แล้วคลานลื่นไถลไปยังทิศที่ชายหนุ่มยืนอยู่ “......นายบ้าแล้วหรือ ? นายจับฉันใช่ไหม ?”

“การคลุกเลือดทำให้เธอเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทุกสิ่งต้องตาย !”

“ไอ้โรคจิต !” หล่อนตวาดเสียงห้วน ความกลัวแล่นจับหัวใจ

ทักษามองใบหน้าเปื้อนเลือดของสาวไทยแล้วอมยิ้ม “ชินแล้วจะไม่รู้สึกอะไรกับเลือดของคนตาย สริตา”

“ไอ้บ้า.......นายคิดทำบ้าอะไร ?”

“ลองคิดหาทางออกจากกำแพงของผมสิ” ทักษาบอก

“ไอ้...........”

ดวงตาของทักษาเจิดจ้าขึ้น “คำด่าทำให้เธอต้องคลุกเลือดต่อไป ถ้าไม่ออกมา ก็ต้องนอนอยู่ที่นั่นทั้งคืน”

“บ้า..........”

ทักษาใช้พลังจิตสาดเลือดของสัตว์ทั้งของเหลวและดินกระหน่ำเข้าใส่ร่างสาวไทยโดยไม่สนใจเสียงร้องของสริตาซึ่งกำลังคลานหนีไปทุกทิศทาง

“แสดงพรสวรรค์ของเธอสิ” เขาพึมพำ ดวงตาวาวโรจน์ขึ้น

“ไอ้โรคจิต.........บ้า.........” หล่อนสบถลั่น

สริตาคลานหนีไปทิศใดจะปะทะกำแพงใสที่กีดขวางไว้ พื้นที่บีบแคบลงเรื่อยๆ สติของหล่อนเริ่มควบคุมไม่ได้เมื่อกลิ่นเลือดคละคลุ้งติดกายเพิ่มขึ้น

“ปล่อยฉัน !” หล่อนตะโกนสุดเสียง แล้วทุบตีกำแพงที่มองไม่เห็นอย่างบ้าคลั่ง

ทักษาเหยียดยิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ยเตือนว่า “ไม่มีพลังใดต่อต้านสิ่งที่พลังจิตสร้างขึ้นได้ นอกจากพลังจิตเท่านั้น”

“พลัง.......ไอ้บ้า.........” หล่อนขบกรามแน่น ดวงตาลุกวาว

“ใช้มันสิ สริตา” เขาพูดกระตุ้น

สาวไทยก้มหน้าลง พลางสะอื้นไห้หนัก “ไม่.......ไม่ใช่.........”

ทักษามองขัดเคืองใจ พลันเสียงกลุ่มคนเดินใกล้ป่าช้าทำให้เขาต้องตัดสินใจบางอย่าง

“เราต้องพบกันอีก สริตา”

สาวไทยเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มมิได้ยืนอยู่จุดเดิม ทักษาหายตัวไปแล้ว หล่อนกวาดมือไปข้างหน้าซึ่งเคยมีกำแพงกั้นไว้ บัดนี้ มันไม่มีอีกแล้ว สริตาร้องไห้โฮออกมา

“ไอ้บ้า.......ไอ้โรคจิต........” หล่อนพึมพำ ท่าทางตกใจกลัว

เจ้าชายอัคนี โชตก กับแม่บ้านนิชายืนตะลึงมองสาวไทยซึ่งเปื้อนเลือดทั้งตัวและนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวท่ามกลางซากสัตว์ที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า

“สริตา !” โชตกร้องเรียก แล้ววิ่งเข้าไปหาหล่อนพร้อมกับเจ้าชายอัคนี

“ท่าน...........” หล่อนมองดีใจที่เห็นพวกเขา พลางซบใบหน้ากับท่อนแขนของโชตกซึ่งเข้าไปถึงหล่อนก่อน “.........ช่วยฉันด้วย............ช่วยด้วย..........”

เจ้าชายอัคนีเอ่ยว่า “พาเธอกลับบ้านก่อน”

โชตกพยักหน้าเห็นด้วยหลังจากสังเกตเห็นอาการสติแตกของสริตาที่ร้องไห้ฟูมฟายและด่าทอสลับไปมา เจ้าชายอุ้มร่างเปื้อนเลือดของสริตาออกจากป่าช้าโดยเร็ว

แม่บ้านนิชามองซากสัตว์และกองเลือดอย่างใช้ความคิด แววตากังวล เมื่อสัมผัสกับพลังบางอย่างที่เจ้าของทิ้งรอยไว้

“นายต้องการทดสอบเธอสินะ ทักษา”

เจ้าชายอัคนีกับโชตกยืนรออยู่นอกห้องยาขณะที่แม่บ้านนิชาตรวจอาการของสริตาอยู่ ทั้งสองหารือเรื่องที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ควรทำต่อไปสำหรับสาวไทย ประตูห้องเปิดกว้างสาวรับใช้บอกให้พวกเขาเข้าไปได้

“สริตา” โชตกครางในลำคอ ยามเห็นสาวไทยนอนเงียบอยู่บนเตียงหิน ใบหน้าซีด

เจ้าชายอัคนีเข้าไปยืนใกล้เตียงหิน พลางถามว่า “คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม ?”

“ดีแล้ว........ทำไมเขาต้องทำร้ายฉันอย่างนั้น ? ทำไม ?” หล่อนถาม แววตาสงสัยเจือหวั่นกลัว ยามมองรัชทายาทหนุ่ม

แม่บ้านนิชาบอกเสริมว่า “เธอบอกว่าทักษาจับไปคลุกเลือด”

“ทักษารึ ?” โชตกทวนคำด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเขาต้องทำแบบนั้น ?”

“ถ้าฉันรู้ ก็ไม่ต้องถามหรอก.........” สาวไทยพูดเสียงห้วน นัยน์ตาดุ “......ฉันเป็นแขก ทำไมทำกับฉันแบบนี้ ? ฉันอยากกลับบ้าน”

เจ้าชายถอนหายใจหนักหน่วง ยามสัมผัสกับความหวาดกลัวของหล่อน

“ผมขอโทษ” เจ้าชายบอกเสียงเบา พลางก้มลงโอบกอดสาวไทยไว้ “มันไม่ควรเป็นอย่างนี้ ผมปกป้องเพื่อนไม่ได้”

“เจ้าชาย..........” หล่อนอึ้งไป สติเริ่มมั่นคงขึ้น เมื่อสัมผัสกับความอบอุ่นจริงใจที่เจ้าชายอัคนีถ่ายทอดให้หล่อน “ฉัน.......เอ่อ.........”

โชตกยืนมองหนักใจ พลางเอ่ยว่า “ช่วงนี้พวกเรามีเรื่องวุ่นวายมาก การดูแลเธออาจบกพร่องไปบ้าง ผมขอโทษด้วย”

“ผมจะทวงถามกับทักษา” เจ้าชายบอกเน้นเสียง “คุณต้องได้รับคำตอบนี้”

สริตาจับแขนของเจ้าชาย แล้วส่ายหน้า “ขอให้จบลงในห้องนี้เถอะ”

“ทำไม ?”

“เขาจะให้คำตอบแก่ฉันเอง” หล่อนบอก ท่าทีหวั่นกลัว “แม้จะกลัวเขา แต่เขาต้องบอกจุดประสงค์ของเขาแน่”

“แต่เขาทำร้ายคุณ...........” เจ้าชายไม่เห็นด้วย

สริตาลุกขึ้นนั่ง ริมฝีปากแย้มเล็กน้อย “ฉันเริ่มเชื่อว่ารับมือความบ้าของเขาได้”

“คุณ.........คิดอะไร ?” เจ้าชายมองงง

“ฉันต้องอยู่ที่นี่อีกนาน แค่กำลังปรับตัวเท่านั้น” หล่อนบอกกลบเกลื่อน

“เจ้าชายอยากให้คุณกลับไปอยู่เรือนศักเรนทร์ คิดอย่างไร ?” โชตกถามตอนท้าย

“ฉันอยากกลับ” หล่อนพูดเน้นเสียง

แม่บ้านนิชาถามรัชทายาทหนุ่มว่า “พระสนมมีคำสั่งไล่เธอมิใช่หรือ ?”

“เราจัดการเปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นแล้ว คุณกลับได้ทุกเวลา” เจ้าชายตอบ

“มันเป็นการกลับไปอยู่ในเงื้อมมือของพยนต์และทักษา” แม่บ้านนิชาพูดติง

“ผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายคุณอีก” เจ้าชายบอกหนักแน่น

แม่บ้านนิชานิ่งเงียบด้วยตระหนักใจดีว่า คนที่จะปกป้องสริตาได้มีเพียงคนเดียว คือ สริตา เท่านั้น

คำพูดของเจ้าชายอัคนีสร้างความปลื้มปิติและอบอุ่นใจแก่สริตาอย่างมาก หล่อนรู้สึกเข้มแข็งมากพอจะกลับไปอยู่เรือนศักเรนทร์ได้แล้ว แม้จะรู้ว่าทักษาอาจเข้าใกล้หล่อนง่ายขึ้น แต่หล่อนเริ่มคิดถึงข้อเสนอของแม่บ้านนิชาแล้ว

“เมื่อสริตาเห็นด้วยจะกลับเรือนศักเรนทร์ ก็ให้เวลาจัดเตรียมข้าวของก่อน พวกเราไปรอที่ห้องรับแขกเถอะ” โชตกบอกไปทางเจ้าชาย

เมื่อประตูห้องยาปิดแล้วแม่บ้านนิชาเดินเข้าไปใกล้เตียงหิน พลางถามว่า “คุณคิดอะไรอยู่ ?”

“คุณรู้ไหมว่าทักษาพาฉันไปคลุกเลือดด้วยเหตุผลใด ?” สริตาถามตรง

“ฉันไม่แน่ใจ”

สาวไทยถอนหายใจ “ฉันเป็นเป้าหมายบางอย่างของเขา และคนที่ให้คำตอบได้มีแค่ทักษาเท่านั้น”

“ชะตาลิขิตให้เงาติดตามเธอ จะสลัดเงาได้ด้วยความตั้งใจของเธอ” แม่บ้านนิชาบอกเป็นนัย

“ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ไม่ชอบวิธีของเขา แค้นใจมาก”

แม่บ้านนิชายิ้มเครียด “คุณแค้น แต่พลังเป็นรองอยู่ รักษาตัวให้แข็งแรงก่อน”

“ฉันจะถูกรบกวนต่อไปใช่ไหม ?”

“แน่นอน”

“ฉันเริ่มสนใจข้อเสนอเป็นครูฝึกของฉันแล้ว”

แม่บ้านนิชาเลิกคิ้วสูง ริมฝีปากแย้มยิ้ม “ฉันดีใจ แต่ยังไม่ถึงเวลา”

“อ้าว..........”

“เมื่อได้เวลาเหมาะสม ฉันจะบอกเอง”

“คนรับการฝึกเลือกเวลาไม่ได้รึ ?”

“ฉันไม่เคยบอกว่าเธอ.........เอ๊ย.........คุณเลือกเวลาได้ คนเลือกรับศิษย์คือ ฉัน ต่างหาก”

สริตาเบ้ปากเล็กน้อย ปากบ่นพึมว่า “ลีลาเยอะจัง เห็นฉันจนตรอกงั้นรึ ?”

“คุณหมั่นฝึกสมาธิอย่างที่เคยทำไว้ มันเป็นเรื่องดี อย่าให้เกิดสติแตกเหมือนวันนี้อีก ถือว่าชนะตัวเองได้แล้ว”

“น่าอายจัง” ใบหน้าของสาวไทยร้อนผ่าว ยามหวนคิดถึงสภาพจมกองเลือดที่เจ้าชายอัคนีกับโชตกพบเห็นหล่อน

แม่บ้านนิชากล่าวปลอบใจว่า “คุณเป็นคนมีลมหายใจย่อมเกิดภาวะสติแตกได้ หากคิดจะเผชิญหน้ากับทักษาซึ่งมีพลังจิตที่ฝึกฝนจนคล่องและใช้ได้ราวกับเป็นลมหายใจของเขา ก็ต้องมีสติมั่นคงมากกว่านี้ เขาไม่ปล่อยคุณด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ฉันรอฟังคำตอบนั้นเช่นกัน”

“ทำไมต้องเจอเรื่องแปลกด้วยนะ ? ตัวฉันก็แปลกมากพอแล้ว” หล่อนบ่น แล้วลุกเดินออกจากห้องยาเพื่อเตรียมตัวกลับเรือนศักเรนทร์

แม่บ้านนิชารู้สึกกังวลกับการจู่โจมเข้าใกล้สริตาของทักษา เนื่องเพราะคาดว่าจะเกี่ยวพันกับถ้ำไตรภพซึ่งชายหนุ่มหมั่นเพียรจะบุกทำลายกับดักมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยทำสำเร็จ บางทีทักษาอาจต้องการให้สริตามีส่วนในแผนทลายถ้ำไตรภพครั้งใหม่ก็ได้ ทั้งสองมีพลังจิตเหมือนกัน แค่ต่างระดับขั้นเท่านั้น

มหาอำมาตย์พยนต์ยืนมองความมืดเข้าครอบครองท้องฟ้าอย่างช้าๆที่หน้าต่างห้องทำงาน เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะความคิด ทักษาก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้วค้อมกายนิดหนึ่ง

“พ่อเรียกพบผมหรือ ?”

“ใช่” บิดาหันไปสนใจลูกชาย รอยยิ้มเย็น “หมู่นี้ไม่ค่อยอยู่บ้าน หาตัวลูกก็ยาก มีคำชี้แจงไหม ?”

“ผมกำลังเตรียมแผนบุกถ้ำไตรภพตามคำสั่งของพ่อ”

ท่านพยนต์เลิกคิ้วสูง “แผนบุกถ้ำรึ ? พ่อรู้สึกว่าครั้งนี้ลูกมั่นใจมาก”

“ผมเชื่อว่าจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังแน่”

“เล่าได้ไหม ?”

ทักษาส่ายหน้า “ผมอยากมั่นใจมากกว่านี้ จึงบอกให้พ่อรับทราบครับ”

“พ่อไม่ขัดใจลูก แต่...........” บิดาทำสีหน้าเคร่งขึ้น แล้วยื่นแฟ้มให้ลูกชาย “.........นี่เป็นงานสำคัญต่อพ่อ ลูกจะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด”

ทักษาเปิดดูแฟ้มซึ่งมีภาพชายแก่คนหนึ่งติดไว้ แววตาสงสัย “เขาเป็นใคร ?”

“คนที่สร้างปัญหาให้พ่อ..........” บิดาตอบเน้นเสียง แววตาดุ “..........เขาคือ ทองเก้า อดีตเลขาของพระเจ้าชเยนทราซึ่งเป็นคนนำหลักฐานพิสูจน์พระพินัยกรรมทั้งสองฉบับไปต่างประเทศ ลูกต้องกำจัดเขาก่อนพรุ่งนี้เช้าที่เป็นกำหนดเดินทางของเขา”

“พระพินัยกรรมสองฉบับ ?” เขาทวนคำ แล้วอมยิ้ม “ผมจัดการตามคำสั่งของพ่อเอง”

“ฝากด้วยนะ”

ทักษาก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องนั้นพร้อมกับแฟ้มในมือ มหาอำมาตย์พยนต์ยิ้มเหี้ยมยามคิดถึงชะตาชีวิตของทองเก้าต่อพระพินัยกรรมที่กำหนดให้เจ้าชายเอกทัศน์เป็นผู้ครองบัลลังก์แดนมฆวัน เขามิอาจให้ชายคนนั้นมีลมหายใจต่อไปได้

“แผนต่อไปควรเริ่มต้นได้แล้ว” ท่านพยนต์ยิ้มมาดหมาย

ค่ำคืนเดือนมืดทองเก้าจัดเสื้อผ้าและของส่วนตัวเพื่อเดินทางไปต่างประเทศหลังได้รับคำอนุญาตจากกรมวังแล้ว เขามองกล่องเก็บพระพินัยกรรมทั้งสองฉบับซึ่งส่งผลต่อผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์แดนมฆวันด้วยแววตาหนักใจก่อนใส่ในกระเป๋าเดินทาง

“เขาต้องรู้ว่าผลลัพธ์ที่เรานำกลับมาครั้งนี้จะส่งผลร้ายต่อเขา บางที...........” เขาถอนใจหนักหน่วง แล้วปิดกระเป๋าเดินทาง จากนั้นไปนั่งเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง

ทองเก้าปิดผนึกซองจดหมายแล้วใส่ในลิ้นชัก ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงเพื่อพักผ่อน พลันดวงตาเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งก้าวออกจากม่านหน้าต่าง

“ทักษา !” เขาครางในลำคอ แววตาตื่นตระหนก

ลูกชายของมหาอำมาตย์เฒ่ายิ้มเหี้ยม “ท่านคงรู้ชะตากรรมแล้ว”

“เป็นที่รู้กันดีว่านายเป็นมือสังหารของท่านพยนต์ ฉันย่อมรู้ว่านายมาที่นี่เพื่ออะไร ?”

“ยอมรับง่ายๆ ผมก็ไม่เหนื่อย” ทักษายืนกอดอกมองเหยื่อเบื้องหน้า

“ท่านพยนต์คิดว่าจะบงการทุกอย่างให้เป็นไปตามต้องการได้ด้วยการเปลี่ยนฟ้าให้เป็นสีเดียวกับตน เขาทำเกินตัวไปแล้ว”

“ถ้าไม่มีท่าน พ่อก็ทำงานง่าย ท่านรู้ดีว่าพ่อมีอำนาจมากแค่ไหนในวังไวชยันต์ ไม่มีใครต่อต้านท่านได้ แม้แต่องค์รัชทายาท แต่ท่านสอดเข้ามาขวางเส้นทางของพ่อ จึงต้องรับคำตัดสินจากเขา คือ ตาย สถานเดียว”

“ฉันขอถามสักข้อก่อนตาย”

ทักษายิ้มเย็น “ถามสิ”

“ท่านเชื่อว่าพระพินัยกรรมที่อยู่ในมือของท่านพยนต์เป็นคำสั่งเสียขององค์ประมุขแน่หรือ ? ช่วยตอบความจริงสักครั้งเถอะ”

ทักษาอึ้งไปอึดใจหนึ่ง พลางส่ายหน้า “เราต่างรู้คำตอบแก่ใจ ถ้าไม่พิสูจน์ สิ่งที่ท่านพ่อทำย่อมถูกต้องเสมอ เขาเป็นมหาอำมาตย์ของวังไวชยันต์”

“คนที่รู้ว่าพระพินัยกรรมที่อยู่กับท่านพยนต์เป็นเรื่องไม่จริง แต่ไม่กล้าต่อต้านความเท็จนี้มีอยู่มิน้อย และกำลังรอการพิสูจน์ของฉัน แม้จะไม่มีฉันในวันนี้ ก็จะมีคนที่มีอุดมการณ์เดียวกับฉันสานต่อแน่นอน นายจะฆ่าทุกคนหรือ ?”

“พ่อจะฆ่าทุกคน !” ทักษาบอกเน้นเสียง ดวงตาวาวโรจน์

“ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งนายจะรู้คุณค่าของตัวเองที่มีมากกว่าเครื่องมือสังหารของท่านพยนต์ นายถูกรับเลี้ยงเป็นลูกของท่านพยนต์ก็เติบโตมาด้วยจุดประสงค์เดียวของเขา มิใช่ความรักของพ่อลูก แต่เป็นนักฆ่าเท่านั้น”

“พูดจบแล้วใช่ไหม ?”

“ฝากให้คิดด้วยว่า จงชั่งน้ำหนักว่าเครื่องมือสังหารกับเด็กกำพร้าในอดีต อย่างไหนมีเกียรติมากกว่ากัน ?”

“ลาก่อน”

ทักษาพูดจบ พลางชี้นิ้วไปที่ร่างของทองเก้า จุดแสงแดงวาบขึ้นที่ปลายนิ้ว มันพุ่งตรงเข้าทรวงอกด้านซ้ายของเหยื่อในพริบตาเดียว เจ้าของห้องล้มหงายหลังบนเตียง ลมหายใจขาดหายในบัดดลด้วยฤทธิ์ของกระสุนพลังจิตที่พุ่งแทรกเข้าหัวใจของทองเก้าอย่างแม่นยำ

“ฉันเลือกเส้นทางนี้ด้วยความเต็มใจ” ทักษาบอกกับศพทองเก้า แล้วเดินกลับไปที่หน้าต่างห้อง

เช้าวันต่อมาเจ้าชายอัคนีรับแจ้งข่าวการตายของทองเก้ากะทันหัน จึงเร่งรุดออกจากเรือนศักเรนทร์เพื่อไปร่วมพิธีศพของเขาโดยกำชับมิให้สริตาออกจากเรือนของเขาเด็ดขาด แต่รัชทายาทออกไปได้มินานนัก พ่อบ้านต้องหนักใจเมื่อนางกำนัลจากตำหนักพระสนมแจ้งคำเชิญของพระสนมกุลนาถให้สาวไทยไปรับประทานของว่างเป็นกรณีพิเศษ

“ฉันควรไปไหม ?” สริตาถามเชิงหารือกับพ่อบ้าน

“คำเชิญจากพระสนมเป็นเรื่องใหญ่ ยากจะปฏิเสธได้ แต่ท่านอัคนี............”

สาวไทยใช้เวลาคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ท่านรับปากไป ฉันขอเวลาเตรียมตัวเล็กน้อย จึงตามพวกเขาไปตำหนักพระสนม”

“แต่...........”

“จากนั้นท่านก็แจ้งให้ท่านอัคนีรับทราบเพื่อให้ไปรับฉันที่นั่น”

พ่อบ้านรับคำ แล้วเดินออกจากห้องพักของสาวไทย สริตาถอนใจยาว “คราวนี้ต้องเจออะไรล่ะเนี่ย มันหวั่นๆชอบกล”

การเตรียมต้อนรับสริตาเข้าสู่ตำหนักพระสนมซึ่งมหาอำมาตย์พยนต์สั่งให้ติชิลาจัดรอไว้อันเป็นไปตามคำสัญญาที่เขาให้แก่พันธวัช มิตรสหายจากประเทศบ้านเกิดของสาวไทย โดยมีเป้าหมายเดียวคือ สริตาจะออกจากตำหนักแห่งนี้อย่างมีลมหายใจไม่ได้

************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์