จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

23.

เช้าวันต่อมาผู้นำวรุตม์นั่งดื่มกาแฟกับขนมปังทาสังขยาเป็นอาหารเช้าร่วมกับหมอจารุมนซึ่งอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่งเพื่อความปลอดภัย ทั้งสองอ่านหนังสือพิมพ์ซึ่งลงข่าวการเป็นอิสระของกลุ่มประท้วงขับไล่เขาซึ่งพันธวัชอยู่เบื้องหลัง

“พวกเขาใช้คำพูดดูหมิ่นคุณชัดเจน แต่อัยการก็ไม่ฟ้องเขา อิทธิพลของพันธวัชสูงมากนะ” หมอจารุมนส่ายหน้าระอาใจ

“ตอนนี้พวกเขาเริ่มฟ้องผมตามสารพัดศาลในงานที่รัฐบาลทำไปแล้ว รุกหลายทางพร้อมกันเพื่อสร้างภาพความเลวร้ายให้ผม ส่วนกลุ่มผู้นำก็ตระเวณพูดตามงานต่างๆเน้นคุณธรรม จริยธรรมสูงส่งโดยอาศัยเพื่อนๆหรือคนที่นับถือกันเป็นสะพานออกข่าว”

“เขารุมคุณหนักมือขึ้น แถมยังวางระเบิดฆ่าคุณด้วย ทำไมดูนิ่งมาก ?”

“คุณอยากให้ผมตอบโต้งั้นรึ ?”

“บางคนเห็นเรานิ่ง กลับได้ใจ รุกหนัก ถ้าไม่โต้กลับบ้าง ก็ไม่เกรงใจกัน”

ผู้นำวรุตม์ยิ้มเย็น “พวกเขาเลิกเกรงใจผมนานแล้ว ตอนนี้รุกสร้างบารมีให้มากขึ้นด้วยการช่วยเหลือพวกที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมให้พ้นคุกได้ มันก็เป็นประโยชน์แก่เขามากทีเดียว”

“คุณจะปล่อยให้กฎหมายดูไร้ความศักดิ์สิทธิ์เพราะบารมีของเขารึ ?”

“บารมีไม่ยั่งยืน ถ้าใช้ไม่ถูกกาลเทศะ ผมยังเชื่อในหลักสัจธรรมเรื่องความเสื่อมอยู่”

“ผลงานที่มีประโยชน์ต่อชาติของคุณมีมาก แต่พวกนั้นก็ยังเล่นงานหนักเพียงนี้ ฉันเกรงว่าความเสื่อมจะเกิดช้ากว่าที่ควรเป็นนะคะ” หล่อนเตือนเป็นนัย

“คุณเชื่อลิขิตสวรรค์ไหม ?”

หมอจารุมนส่ายหน้า “ถ้ามันมีจริง ลูกปอนด์คงไม่ต้องหนีตายไปนอกประเทศหรอก”

“ผมเสียใจเรื่องของปอนด์ ถ้าผมต้องแพ้พันธวัช มันก็เป็นลิขิตแล้วครับ”

“ฉันอยากเรียกว่า ลิขิตนรก มากกว่า”

“ไม่นึกว่าจะได้ยินหมอจารุมน จิตแพทย์ชื่อดังพูดแบบนี้ได้” เขายิ้ม

“มันเหลืออดที่ต้องเข้ามาขลุกกับการชิงอำนาจของคนสวมหน้ากาก ขณะที่หลายคนไม่เห็นใบหน้าใต้หน้ากากนั้นว่าน่าเกลียดเพียงใด ยังพูดยกย่องราวกับเป็นเทพเจ้ากันอยู่ได้” หล่อนทำท่าขยะแขยง พลางชี้ที่ภาพพันธวัชซึ่งยืนโบกมือด้วยรอยยิ้มในงานปาฐกถาแห่งหนึ่ง

“คนอยู่ในสังคมก็ต้องมีหน้ากาก ขึ้นอยู่ว่าจะเลือกสวมเป็นบทดีหรือบทร้ายเท่านั้น”

“เขาเลือกเป็นบทผู้ดีผู้ร้ายสินะ”

“คงใช่”

“ฉันอยากกลับไปบ้าน มันอึดอัดใจมากค่ะ”

“ผมเข้าใจ แต่............”

“ฉันไม่อยากให้นักข่าวมาขุดคุ้ยเรื่องของเราให้สนุกปากอีก แค่มีคนคุ้มกันอยู่ มันพอเพียงแล้วค่ะ” หล่อนมองด้วยแววตาขอร้อง

“ผมเสียใจที่สร้างความเดือดร้อนแก่คุณ”

“แค่ยอมให้กลับไปใช้ชีวิตเดิม ฉันก็พอใจแล้ว”

“ผมทำตามใจคุณก็ได้ หากเกิดเรื่องขึ้น ต้องเชื่อฟังคนของผมนะ”

“ไม่มีปัญหาค่ะ” หล่อนมีสีหน้าสบายใจ พลางนึกบางอย่างได้ “ฉันอยากคุยกับปอนด์ คุณช่วยเหลือได้ไหม ?”

“ผมจะติดต่อสถานทูตของมฆวัน แล้วจะแจ้งให้ทราบอีกทีครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ”

ทั้งสองนั่งคุยกันอีกพักใหญ่ ผู้นำวรุตม์จึงสั่งคนขับรถและผู้คุ้มกันไปส่งหมอจารุมนที่บ้านพักของหล่อน ส่วนเขาแยกตัวไปทำงานที่ทำเนียบโดยแวะรับเลขาชุมชัยที่บ้านด้วย

นักข่าวกลุ่มใหญ่ดักรอสัมภาษณ์ผู้นำวรุตม์ที่บริเวณทางเข้าอาคารทำเนียบ เมื่อเห็นรถประจำตำแหน่งแล่นไปเทียบหน้าบันไดจึงกรูกันเข้าไป คนคุ้มกันบอกปฏิเสธการให้สัมภาษณ์แล้วกีดกันนักข่าวไว้ ผู้นำวรุตม์กับเลขาชุมชัยเดินเข้าไปด้านในอย่างเร็วโดยมีนักข่าวถ่ายรูปทุกอิริยาบถ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีโอกาสได้คำสัมภาษณ์แล้ว ทุกคนคิดจะแยกย้ายไปทำงานที่ตั้งใจไว้

“เปรี้ยง ! เปรี้ยง !”

นักข่าวหลายคนหันขวับไปยังอาคารทำเนียบซึ่งเป็นต้นเสียงดังสนั่นเมื่อครู่นี้

“เสียงอะไร ?” นักข่าวสาวถาม สีหน้าสงสัย

นักข่าวอาวุโสคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า “เสียงปืน ! ดังมาจากทำเนียบ”

นักข่าวต่างวิ่งกรูกลับไปยังอาคารทำเนียบอีกครั้ง แต่ตำรวจเกือบห้าสิบคนยืนล้อมประตูทางเข้าอาคารไว้แน่นหนา รถพยาบาลเข้าไปจอดหน้าอาคารซึ่งทำให้นักข่าวแน่ใจว่ากำลังมีเหตุร้ายเกิดขึ้นข้างใน บางคนได้รับบาดเจ็บ

“เกิดอะไรขึ้น ?” นักข่าวอาวุโสตะโกนถามตำรวจ

ตำรวจส่ายหน้า แล้วยืนตัวตรง อึดใจต่อมาเจ้าหน้าที่ทำเนียบนำแผ่นโปสเตอร์ขนาดใหญ่มากไปตั้งตามเส้นทางลำเลียงคนเจ็บเข้ารถพยาบาลเพื่อป้องกันมิให้นักข่าวถ่ายภาพคนเจ็บได้

“มีคนยิงกันใช่ไหม ?” นักข่าวชายถาม

ตำรวจส่ายหน้า ช่างภาพกดภาพทันทีเมื่อเห็นการลำเลียงคนเจ็บไปที่รถพยาบาล แม้จะไม่เห็นคนเจ็บเพราะแผ่นโปสเตอร์บังสายตาไว้

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบเดินเข้าไปหากลุ่มนักข่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น พลางบอกว่า “เราจะแถลงรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน ขอให้รอสักนิดครับ”

“บอกคร่าวๆก่อนได้ไหม ?”

“ใครยิงกัน ?” นักข่าวสาวถาม

นักข่าวอาวุโสถามว่า “ทิศทางเสียงปืนมาจากห้องท่านวรุตม์ใช่ไหม ?”

เจ้าหน้าที่หนุ่มใหญ่มองชั่งใจ ก่อนพยักหน้ารับ “เราจะให้รายละเอียดอีกครั้งครับ”

“ท่านวรุตม์ถูกยิงหรือ ?” นักข่าวชายถามย้ำเสียง

กลุ่มนักข่าวเริ่มตื่นตัวที่จะได้ข้อมูลนี้หลังจากรับคำยืนยันข้อสงสัยแล้ว

“ท่านได้รับบาดเจ็บมากแค่ไหน ? ถึงขั้นตายหรือไม่ ?”

“ท่านรักษาที่ไหน ?” นักข่าวสาวถาม

“ผมจะมีคำตอบให้พวกคุณแน่ แล้วจะนัดเวลาอีกครั้ง” เจ้าหน้าที่หนุ่มใหญ่ตอบตัดบทแล้วเดินจากไปทันที

บรรดานักข่าวต่างแยกย้ายกันไปหารายละเอียดการยิงผู้นำวรุตม์ในทำเนียบ และอาการคืบหน้าของเขาเพื่อรายงานไปยังสำนักข่าวของตน

หมอจารุมนนั่งเขียนสรุปรายงานคนไข้อยู่ในห้องทำงาน โดยมีเสียงโทรทัศน์ดังเป็นเพื่อน ข่าวต้นชั่วโมงเรียกความสนใจของหล่อนทันทีเมื่อผู้ประกาศข่าวแจ้งว่าผู้นำวรุตม์ถูกสังหารในทำเนียบ แต่ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดของข่าว หล่อนมีท่าทีร้อนใจมาก ตำรวจคุ้มกันเข้ามาในห้องแล้วบอกให้หล่อนไปกับเขาทันที

“เราจะไปที่ไหน ?” หล่อนถาม หลังจากนั่งในเบาะหลังของรถแล้ว

“ไปเยี่ยมท่านวรุตม์ที่โรงพยาบาลครับ”

“เขา......เอ่อ......เป็นอะไรมากไหม ?” หล่อนพยายามบังคับเสียงมิให้สั่น

ตำรวจส่ายหน้า “หัวหน้าสั่งมิให้ตอบคำถามนี้ครับ”

หมอจารุมนจำต้องนิ่งเงียบไปตลอดทางที่รถเคลื่อนไปยังโรงพยาบาล ทั้งที่ห่วงใยชายหนุ่มมากหลังจากทราบข่าวยิงกันในทำเนียบแล้ว

จิตแพทย์สาวเดินเข้าไปในห้องพักคนไข้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง คิ้วขมวดแน่นยามเห็นชายหญิงประมาณสิบคนนั่งอยู่ที่โซฟา โดยผู้นำวรุตม์นอนหลับตาอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลอยู่รอบหน้าอกและไหล่ซ้าย

“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหาหมอจารุมน พลางกระซิบบางอย่าง จากนั้นพาหล่อนไปที่เตียงคนไข้

“ขอให้สวรรค์คุ้มครองคุณด้วย” หล่อนพูดเบาๆ พลางใช้มือลูบใบหน้าซีดของเขา

ผู้นำวรุตม์ลืมตาขึ้น รอยยิ้มเพลีย “คุณมาแล้ว”

หมอจารุมนยิ้มตอบ พลางใช้นิ้วแตะริมฝีปากของเขา “พักผ่อนเถอะ ถ้ารอดสมบูรณ์ เราค่อยคุยกันก็ได้”

ผู้นำวรุตม์พยักหน้ารับ พลางหลับตาลง หมอจารุมนเดินไปสมทบกับคนทั้งสิบที่โซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ฉันอยากฟังสิ่งที่พวกคุณบอกได้ค่ะ”

คนทั้งสิบมองหน้ากัน แล้วพยักหน้า หมอจารุมนถอนหายใจขณะรับฟังคำบอกเล่าจากพวกเขาด้วยสีหน้าสงบมากขึ้นหลังจากเห็นว่าชายหนุ่มยังมีลมหายใจอยู่

เสียงนกร้องดังนอกอาศรมพยับเมฆบอกให้สริตาทราบเวลาเช้าวันใหม่ซึ่งหล่อนเผลอนอนหลับไปหลังจากทดลองหลากวิธีทั้งใช้พลังจิตกับการงัดแงะเพื่อเปิดประตูกระท่อมเก่าคร่ำ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หล่อนนั่งมองประตูซึ่งมีบานเดียวที่ใช้เข้าและออกอย่างครุ่นคิดหนัก ขณะที่ท้องเริ่มหิวมากขึ้น

“เขายังไม่มาอีกหรือ ?” หล่อนพึมพำ ยามคิดถึงเจ้าชายอัคนีซึ่งหล่อนมั่นใจว่าเขาต้องตามหาหล่อนแน่หลังจากมิได้กลับเรือนศักเรนทร์

แม่บ้านนิชาตะโกนเข้ามาในอาศรมว่า “คุณไม่ต้องคิดว่าท่านอัคนีจะมาช่วยให้ออกจากที่นี่ ฉันจัดการเรื่องนี้ไว้แล้ว จงคิดหาทางออก ฉันยังมีงานรออยู่”

“วางแผนไว้ครบถ้วนเชียวนะ” หล่อนพูดอย่างหมั่นไส้

“พิสูจน์ฝีมือของคุณให้เห็นสิ”

“ฝีมือรึ ?”

สริตาถอนใจเฮือกใหญ่ยามคิดถึงความพยายามตลอดคืนที่ผ่านมาซึ่งบ่งบอกว่าพลังจิตของหล่อนไม่มั่นคงและมากพอจะเปิดประตูอาศรมพยับเมฆได้ หล่อนมองตรวจสอบมันอย่างละเอียดอีกครั้ง อาศรมนี้ทำจากไม้ ไร้หน้าต่าง มีประตูบานเดียว มันยังมีชีวิตที่ตอบโต้พลังจิตของหล่อนได้ด้วย

“เจ้าจะลองวิธีไหนอีก ?” เสียงชายชราดังขึ้น

“แค่ออกจากกระท่อมโทรมหลังนี้เท่านั้นใช่ไหม ?”

“เจ้าใช้สารพัดวิธีแล้ว ยังต้องนอนค้างในนี้ เหลือวิธีไหนอีก ?” ชายชราถามเยาะ

“วิธีสุดท้ายไง”

สริตารวบรวมสมาธิแล้วหลับตาเพ่งภาพการแตกของบ้านไม้ในใจแน่วแน่ เสียงไม้เสียดสีกันเริ่มดังขึ้น

“เจ้า...........” ชายชราอุทาน เมื่อแผ่นไม้ในกระท่อมโยกคลอนมากขึ้น

สริตาได้กลิ่นคาวเลือดจากจมูก ความอุ่นของเลือด จึงรู้ว่าเลือดกำลังไหลจากจมูก

“ปลดปล่อยมัน !” หล่อนพึมพำ แล้วปัดคำเตือนของมารดาเรื่องการควบคุมพลังจิตเพื่อป้องกันชีวิตของตนไว้ “ฉันต้องชนะ !”

อึดใจต่อมาแม่บ้านนิชาซึ่งนั่งรออยู่นอกกระท่อมมองตะลึงงัน ยามเห็นกระท่อมไม้ระเบิดแตกออก ไม้กระเด็นไปคนละทิศทาง สริตากึ่งวิ่งกึ่งคลานออกจากซากไม้ ใบหน้ามอมแมม เลือดยังไหลออกจากจมูกต่อเนื่อง

“ท่านต้านทานพลังของนางไว้ไม่ได้ใช่ไหม ?” แม่บ้านนิชาถามลอยๆ

เสียงชายชราดังตอบว่า “นางปลดปล่อยเต็มกำลังแล้ว หากข้าต้านทานต่อไป นางอาจตาย ครั้งนี้ข้าต้องใช้เวลาซ่อมแซมกระท่อมหลายเดือน”

ดวงตาของแม่บ้านนิชาวาวโรจน์ “นางเป็นคนที่พวกเรารอคอยสินะ”

“ขอให้เจ้าโชคดี นิชา”

“ข้าต้องใช้อาศรมพยับเมฆเป็นที่ฝึกซ้อมให้นาง มีปัญหาไหม ?”

“ข้ายินดีทำเพื่อชนเผ่าชุษณะ” ชายชราหัวเราะเบาๆ

แม่บ้านนิชาเดินเข้าไปหาสริตาซึ่งนั่งหอบห่างจากกระท่อมไม้ที่แหลกสลายด้วยพลังจิต รอยยิ้มเย็น

“ฉันช่วยพยุงลงเขาไหม ?”

สริตาตอบสะบัดเสียงว่า “ไม่ต้อง”

สริตาเดินกะโผลกกะเผลกไปคนเดียว โดยแม่บ้านนิชาส่ายหน้าก่อนติดตามไป สองสาวไม่มีโอกาสเห็นผู้ชายสองคนก้าวออกจากหลังต้นไม้ใหญ่แล้วมองซากกระท่อมไม้

“ตอนนี้ท่านมั่นใจได้แล้วว่า สริตาเป็นคู่ปรับทัดเทียมของทักษาแน่” โชตกบอกเน้นเสียง ดวงตาพราววับ ยามหันมองรัชทายาทของประเทศมฆวัน

เจ้าชายอัคนีถอนหายใจหนักหน่วง พลางเอ่ยว่า “กลับไปคุยถึงแผนต่อไปเถอะ”

สริตานอนพักผ่อนในเรือนศักเรนทร์ตั้งแต่ก่อนเที่ยงจนกระทั่งเย็นด้วยความอ่อนเพลีย พ่อบ้านเรียกให้หล่อนไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกับเจ้าชายอัคนี เมื่อหล่อนเดินเข้าไปในห้องอาหารจึงเห็นเขานั่งอ่านนิตยสารอยู่

“ผมเห็นคุณกลับจากเที่ยวข้างนอกและดูเหนื่อย จึงไม่รบกวน ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นไหม ?”

สริตามองใบหน้าคมเข้มของเจ้าชายอย่างชั่งใจ พลางถามว่า “ฉันออกไปนอกเรือนนานหนึ่งวันเต็ม ท่านไม่สงสัยบ้างหรือ ?”

“โชตกบอกว่านิชาพาเธอไปเที่ยว ผมไว้วางใจแม่บ้านของโชตกเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว จึงไม่กังวลนัก” เขาตอบเสียงเรียบเย็น

สริตานิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนบอกว่า “ฉันควรรู้แค่นี้เพื่อความสบายใจของตัวเอง”

“ทำไมพูดแบบนี้ ?” เขาถาม รอยยิ้มเย็น “ผมควรห่วงใยมากกว่านี้รึ ?”

“ระดับปุถุชนควรเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับท่านแล้วมันอาจเทียบแบบนั้นไม่ได้”

เจ้าชายอมยิ้มยามสัมผัสอารมณ์งอนของสาวไทยได้ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น เมื่อเอ่ยว่า “ผมเห็นคุณเป็นผู้หญิงที่แตกต่างจากคนทั่วไป จึงเชื่อว่าดูแลตัวเองได้ดี ถ้าทำให้เข้าใจผิด ก็ขอโทษด้วยครับ”

“แตกต่างอย่างไร ?”

“คุณไม่ต้องการให้ผู้ชายปกป้องคุ้มครองไง”

“ขนาดนั้นเชียว” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก พลางทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อย “ฉันเป็นผู้หญิงนะ”

“เราจะเถียงกันอีกนานไหม ? ข้าวเย็นชืดแน่”

สริตาเริ่มคิดถึงความหิวของตัวเอง พลางตอบว่า “เรื่องข้าวมาก่อน”

เจ้าชายยิ้ม แววตาเอ็นดู ยามมองสาวไทยตักอาหารใส่ปากด้วยความหิวโหย โดยเฉพาะวันนี้เขาสั่งแม่ครัวให้จัดอาหารไทยเพื่อเอาใจสริตา รสชาติจัดจ้านนี้ทำให้หล่อนสนุกกับการกินยิ่งขึ้นหลังจากเจออาหารประจำชาติมฆวันที่ค่อนข้างจืดมาหลายอาทิตย์แล้ว

“รสชาติอาหารเป็นอย่างไรบ้าง ?” เขาถาม หลังจากสาวไทยรับประทานเสร็จแล้ว

“เหมือนกินที่บ้านเลย” หล่อนตอบ ใบหน้าสดชื่น

“เรามีแม่ครัวไทยด้วย จึงให้จัดอาหารไทยแก่คุณ เมื่อชอบก็ดีแล้ว ต่อไปอยากกินอะไร ก็แจ้งพ่อบ้านได้”

“ดีจัง” หล่อนมีสีหน้ายินดี ความน้อยใจมลายไปอย่างรวดเร็ว

ค่ำคืนนั้น ณ บ้านของโชตก ชายชุดดำเล็ดลอดคนเฝ้ายามในบ้านเข้าไปในห้องทำงานของเจ้าของบ้านแล้วเพ่งมองช่องสี่เหลี่ยมบนผนังห้องครู่หนึ่ง หลังจากปูนระเบิดตัวออกเขากระชากประตูช่องลับเต็มแรง แล้วดึงซองจดหมายและเอกสารออกมา จากนั้นวิ่งกลับออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดเรียกความสนใจจากคนเฝ้ายามให้วิ่งไปยังห้องทำงาน แต่ทุกคนเห็นเพียงความว่างเปล่าและความเสียหายของผนังห้อง โชตกกับแม่บ้านนิชากวาดตามองสำรวจความเสียหายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะชายหนุ่มเข้าไปดูในช่องลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“มันได้อะไรไป ?” แม่บ้านนิชากระซิบถาม แววตาอยากรู้

“คำสั่งเสียของท่านพ่อกับสำเนาตรวจเลือด”

คิ้วของแม่บ้านนิชาขมวดเข้าหากัน “ข้าห่วงสำเนาตรวจเลือดมากกว่า”

“ผมเก็บตัวจริงไว้อีกที่หนึ่ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ฝ่ายเรามีข้อมูลที่เป็นผลร้ายอย่างไรกับเขา” โชตกมีสีหน้าไม่สบายใจ ยามคิดถึงสิ่งที่คนร้ายได้ไป “พี่รู้ไหมว่า คนร้ายเป็นใคร”

แม่บ้านนิชาเหยียดยิ้มที่มุมปาก “ผนังช่องลับระเบิดออกมิใช่มาจากระเบิดทั่วไป เขาน่าจะเป็นทักษา”

“ข่าวลือเรื่องทักษาเป็นคนต้องห้ามก็เป็นความจริงสิ”

“ไม่มีใครกล้าพิสูจน์ ก็ต้องยกประโยชน์ให้จำเลย” แม่บ้านนิชาทำเสียงหึในลำคอ แล้วเดินจากไป

“ท่านพยนต์จะทำอย่างไรต่อไปเมื่อรับรู้เรื่องนี้แล้ว” โชตกคิดกังวลหนัก

ณ โซฟานุ่มในบ้านพักของมหาอำมาตย์พยนต์นั้นทักษานั่งมองผู้เป็นบิดาอ่านเอกสารที่เขาขโมยจากบ้านของโชตก สีหน้าของบิดาบอกความเครียดชัด พักใหญ่ท่านพยนต์กระแทกเอกสารกับโต๊ะ ริมฝีปากเม้มแน่น

“พวกมันคิดใช้ข้อมูลในเอกสารโค่นพ่อ บ้าที่สุด !” บิดาตะโกนลั่น แล้วเดินมานั่งบนโซฟา

“ข้อมูลอะไร ?”

ท่านพยนต์ปรายตามองลูกชาย แล้วบอกตัดบทว่า “เราต้องกำจัดข้อมูลทั้งหมดโดยเร็ว”

“ข้อมูลอีกส่วน ?” ทักษามีสีหน้าสงสัย

“ไอ้นฤวรซ่อนพระพินัยกรรมของพระเจ้าชเยนทราไว้ในถ้ำไตรภพเพราะคาดว่าอาจมีบางคนคิดทำลายมัน เราต้องทำลายมันก่อน จึงสบายใจขึ้นในการส่งเสริมเจ้าชายเอกทัศน์ครองบัลลังก์”

“เขาให้นิชานำมันไปซ่อนในนั้น ทั้งที่...............”

ท่านพยนต์เหยียดยิ้ม “นิชารู้ดีว่า กฎการใช้ถ้ำไตรภพคือ เข้าง่าย ออกยาก พ่อเชื่อว่าเธอต้องมีทางแก้ไขนี้แล้ว แต่มันคืออะไร”

“การเข้าถ้ำไปนำของออกมา ต้องฝ่าด่านเข้าไปและรอดชีวิตออกมาเท่านั้น นิชาคิดใช้ใครทำงานนี้”

“เธออาจมองคนเดียวกับลูกนั่นแหละ”

“พ่อหมายถึง............” ทักษาคิดถึงใบหน้าของสริตาทันใด

ท่านพยนต์พยักหน้ายืนยัน “ลูกรู้ความลับของสาวไทยคนนั้น นิชาไม่ใช่คนโง่นะ”

“พวกเขาต้องการของอย่างเดียวกับเราสินะ”

“เมื่อลูกเลือกสริตาให้ทำงานร่วมกัน พ่อต้องการความมั่นใจว่าเธอจะไม่ทรยศพวกเราจนกว่างานจะสำเร็จ”

“พ่อหมายถึง.............”

“ติชิลาจะให้ความมั่นใจนี้แก่พ่อ และหวังว่าลูกจะร่วมมือด้วย สริตาต้องทำงานให้เราเท่านั้น”

ทักษารู้สึกเย็นเยือกทั้งกายและใจ เมื่อบิดาบอกแกมบังคับให้เขากับติชิลาควบคุมสริตาตามวิธีถนัดของน้องสาวซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ

“ได้ครับ” เขาพูดรับปาก แล้วขอกลับห้องพัก

ดวงตาของมหาอำมาตย์พยนต์วาวโรจน์ “ฉันต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น”

ท่านพยนต์เดินกลับไปจุดไฟเผาคำสั่งเสียของมหาเสนาบดีนฤวรกับสำเนาตรวจเลือดของเจ้าชายเอกทัศน์

“มันต้องเป็นความลับตลอดไป” ท่านพยนต์คิดมาดหมาย ยามนึกถึงใบหน้าของโชตก “นายจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย โชตก”

เช้าวันต่อมาข่าวโจรกลุ่มหนึ่งปิดหมู่บ้านปล้นชิงทรัพย์สินของชาวบ้านสร้างความตื่นตระหนกใจแก่คนในวังไวชยันต์อย่างมาก เจ้าชายอัคนีเข้าประชุมด่วนตามคำเรียกร้องของมหาอำมาตย์พยนต์ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพระราชา ส่วนสริตาเดินไปที่ห้องสมุดซึ่งลิปิการ์ บรรณรักษ์หนุ่มทำงานอยู่เพื่อดูว่าคอมพิวเตอร์ใช้งานได้หรือยัง

“ช่างเลื่อนเวลามาตรวจเครื่อง คงต้องรอสักพัก” ลิปิการ์ตอบ ท่าทางหัวเสีย

สริตาพูดเสนอว่า “ฉันเรียนด้านคอมพิวเตอร์ ขอดูได้ไหม ?”

บรรณารักษ์หนุ่มมีสีหน้าดีใจ ยามตอบว่า “ถ้าคุณช่วยได้ คงเยี่ยมเลย ผมอัดอั้นใจมานานแล้วที่ไม่ได้ใช้คอมพ์”

สริตายิ้ม แล้วลงมือตรวจสอบคอมพิวเตอร์โดยลิปิการ์คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ โชคดีที่ไม่มีสมาชิกห้องสมุดเข้ามาใช้บริการในช่วงนั้น พักใหญ่ทั้งสองยิ้มกว้างเมื่อหน้าจอปรากฏตัวอักษรขึ้น

“คุณเก่งจัง มันใช้ได้แล้ว” เขาพูดชื่นชม พลางคลิกเลือกดูโปรแกรมต่างๆในเครื่อง

“เราควรทดสอบการใช้เนตด้วย” หล่อนพูดเสนอด้วยความหวังบางอย่าง

ลิปิการ์เบ้ปากเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “กระทรวงเทคโนโลยีฯเพิ่งมีหนังสือแจ้งปิดการใช้อินเตอร์เนตชั่วคราว แต่ยอมเปิดเป็นรายกรณีเท่านั้น ผมยื่นคำร้องขอใช้ไปแล้ว ยังไม่ได้รับคำตอบ”

“นานไหม ?” หล่อนรู้สึกผิดหวังลึกๆ

“ผมไม่ทราบครับ.........” เขาสังเกตเห็นสีหน้าไม่ดีของสาวไทย จึงพูดเย้าว่า “.......คุณอยากเล่นเนตใช่ไหม ?”

“เหมือนคุณแหละ”

“ผมไม่ได้เล่นนานแล้ว ตอนนี้กล่องเมล์คงเต็มไปแล้ว” เขามองสนใจคอมพิวเตอร์แล้วหัวเราะ

“ถ้ามันเสียอีก เรียกใช้บริการของฉันได้ค่ะ” หล่อนบอกอย่างมีน้ำใจ

“ผมเกรงใจ”

“ฉันอยู่ว่างๆ.........” หล่อนหันไปมองหนังสือในห้อง พลางพูดหยอกว่า “........ค่าแรงแลกกับการอ่านหนังสือฟรี ไม่ต้องใช้ระเบียบปกติได้ไหม ?”

“นี่เป็นห้องสมุดที่ทุกคนอ่านได้ แม้ไม่ใช่สมาชิก” เขาตอบยืนยัน พลันหันไปเห็นโชตกเดินเข้ามาในห้องสมุด จึงผละจากสริตาก่อน

สองหนุ่มพูดคุยกันครู่หนึ่ง โชตกเดินเข้าไปหาสาวไทยพร้อมรอยยิ้มทักทาย

“พวกเราไม่ได้พูดคุยกันนานแล้วนะ” เขาทักทายก่อน

“ล่าสุดคุยกันเล็กน้อยที่บ้านของคุณ นานหลายอาทิตย์เท่านั้น”

“สบายดีไหม ?”

สริตายิ้ม “ก็ดีค่ะ แต่น่าเบื่อไปหน่อย”

“เบื่ออย่างไร ?” เขาถามชวนคุย

“ฉันอยากเล่นเนต แต่ประเทศของคุณห้ามใช้เนต”

“ความขัดแย้งทำให้เกิดเรื่องนี้ หลายเดือนก่อนที่พระราชายังไม่สิ้นพระชนม์ รัฐบาลให้ใช้อินเตอร์เนตอย่างอิสระ แต่พอเกิดความเปลี่ยนแปลงบางคนมองว่ามันเป็นตัวร้ายที่ต้องควบคุมไว้ คุณเป็นนักคอมพิวเตอร์ต้องหงุดหงิดมากที่ใช้เนตไม่ได้ ลิปิการ์บอกว่าคุณซ่อมคอมพ์ให้เขาใช้งานได้แล้ว ถ้าไม่รังเกียจว่าใช้แรงงาน คุณไม่สนใจทำงานที่ห้องสมุดคลายเหงาหรือ ?”

“คลายเหงารึ ?” หล่อนเกิดความคิดใหม่ทันใด “น่าคิดดี ฉันคงอยู่ที่นี่นาน ถ้าไม่หางานทำ คงบ้าตายแน่”

โชตกอมยิ้ม พลางนึกบางอย่างได้ “คุณจะกลับเรือนศักเรนทร์หรือยัง ?”

“ทำไม ?”

“ผมจะเดินไปส่งคุณเอง”

สาวไทยตอบรับ แล้วกล่าวอำลากับบรรณารักษ์หนุ่ม จากนั้นเดินกลับเรือนศักเรนทร์พร้อมกับโชตก

โชตกพูดแนะนำอาคารต่างๆระหว่างเส้นทางไปยังเรือนศักเรนทร์อันสร้างความสนใจแก่สริตาเกี่ยวกับอดีตและปัจจุบันของสิ่งก่อสร้างและผู้อาศัย

“คุณรู้จักอาคารเหล่านี้มากจัง” สาวไทยเอ่ยชม

โชตกยิ้มเย็น “ผมวิ่งเล่นแถวนี้ตั้งแต่เด็ก พูดคุยกับคนมากมาย จึงรู้จักอดีตของมันอย่างดี พ่อต้องเข้าวังมาพูดคุยหรือร่วมโต๊ะเสวยกับพระราชาบ่อยครั้ง”

“ครอบครัวของคุณสนิทกับพระราชานานมากหรือ ?”

“พระราชากับพ่อของผมเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกัน พระองค์ไว้วางใจพ่อให้เป็นมหาเสนาบดีดูแลการบริหารประเทศต่างพระเนตรพระกรรณมาตลอดชีวิต” น้ำเสียงของโชตกเศร้ายามคิดถึงบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว

ทันใดนั้นชายหนุ่มกระชากร่างสาวไทยเข้ามาแนบตัวแล้วหมุนกายไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ใกล้ที่สุด หล่อนมองตระหนกใจ

“เกิด...........” หล่อนพูดไม่ทันเต็มคำ มีดแล่นมาปักที่ลำต้นไม้เดียวกับที่ทั้งสองหลบซ่อนอยู่

โชตกควบคุมอารมณ์ให้นิ่งที่สุด พลางบอกเน้นเสียงว่า “อย่าออกจากต้นไม้ พวกนั้นไม่หวังดีต่อเราแน่นอน”

“ได้เลย” หล่อนตอบรับ

โชตกมองสบนัยน์ตาของสาวไทยนิดหนึ่ง ก่อนวิ่งออกจากต้นไม้ หล่อนเห็นชายชุดดำห้าคนโผล่พรวดออกมาพร้อมมีดสั้นที่คล้องเชือกยาวไว้ พวกเขาเริ่มหมุนเชือกติดมีดสั้นไว้เพื่อเหวี่ยงมีดปักใส่ร่างของโชตก

“เขาจะรับมือได้หรือ ?” หล่อนมองด้วยความตื่นเต้น

โชตกคว้าเชือกสองเส้นที่พุ่งมีดเข้าใส่เขา แล้วหมุนกายพร้อมตวัดมันมัดเจ้าของเชือกอย่างรวดเร็ว เชือกอีกสามเส้นเริ่มระดมพุ่งมัดร่างชายหนุ่มทั้งที่เขาพยายามหลบหลีกเต็มที่ แต่ถูกมัดในที่สุด สริตามองอย่างร้อนใจ พลางนึกหาวิธีช่วยเหลือโชตกโดยเขาต้องไม่รู้เรื่องพลังจิตของหล่อนเพราะเสี่ยงที่หล่อนต้องรับโทษประหารชีวิตตามกฎหมายของประเทศมฆวัน หล่อนหันไปเห็นขบวนมดแดงซึ่งเดินขึ้นต้นไม้ซึ่งหล่อนยืนหลบซ่อนตัวอยู่ ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในสมอง

“แผนเด็ด !” หล่อนยิ้มกว้าง พลางเพ่งมองที่ขบวนมดแดงเขม็ง

อึดใจต่อมามดแดงเดินเข้าไปเกาะเกี่ยวกันไว้เป็นแถวยาว จากนั้นขบวนมดแดงลอยลิ่วไปยังชายชุดดำสามคนที่กำลังรุมทำร้ายโชตก เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับร่างชายชุดดำเต้นเร่าบนพื้น มือปัดป่ายตามซอกคอ

“โอ๊ย.........” ชายชุดดำร้องลั่น เมื่อมดแดงปีนเข้าไปกัดผิวกาย

ชายชุดดำอีกคนปัดบางอย่างออกจากเสื้อผ้า แล้วยกมาดู พลางร้องบอกว่า “มดแดง !”

สริตามองขำยามเห็นชายทั้งสามที่ถูกมดแดงขบวนใหญ่รุมกัดในเสื้อผ้าต่างมีสีหน้าเจ็บปวดและวิ่งหนีไปทันที โชตกปรายตามองคนทั้งสามด้วยความประหลาดใจ สมาธิของเขาขาดช่วงไปอึดใจหนึ่ง ทำให้คมมีดจากเชือกเส้นหนึ่งเฉือนไหล่ของเขา ชายชุดดำอีกคนสะบัดเชือกให้พุ่งมีดเข้าใส่ร่างชายหนุ่มซึ่งเสียจังหวะล้มกลิ้งบนพื้น

“ท่านโชตก !” หล่อนมองตะลึง ยามเห็นมีดสั้นปักเข้าไปที่ไหล่ซ้ายของชายหนุ่ม

ชายชุดดำอีกคนวิ่งเข้าไปหมายจะใช้มีดสั้นเสียบร่างโชตกซ้ำอีก สริตาถลึงตาจ้องภาพเบื้องหน้าแล้วรวบรวมสมาธิแน่วแน่ เลือดไหลออกจากจมูกของหล่อน ความอ่อนเพลียทวีขึ้นตามพลังจิตที่หล่อนเค้นใช้มัน พลันเสียงจากคนกลุ่มหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นทำให้ชายชุดดำจำต้องผละจากโชตกไป หล่อนโล่งใจที่เห็นเจ้าหญิงพิณทองกับนางกำนัลเดินผ่านมาพอดี

“เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ?” สริตาคิดด้วยความหวั่นกลัวกับเลือดที่ปาดจากจมูก ขณะทรุดนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หลับตาลง

************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์