จอมบงการ

บทประพันธ์ ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

5.

ภายในห้องพักของเจ้าชายแห่งประเทศมฆวันการสนทนาระหว่างเจ้าของห้องและสริตาดำเนินไปอย่างเป็นมิตร ช่วงหนึ่งหญิงสาวคิดหาวิธีคลายข้อสงสัยบางอย่าง

“ท่านมีโน้ตบุ๊คไหม ?”

“คุณต้องการใช้มันรึ ?” เจ้าชายอัคนีถาม

“ใช่ค่ะ” หล่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนบอกต่อไปว่า “สิ่งที่คลายข้อสงสัยของฉันได้ก็คือ โน้ตบุ๊ค ฉันจึงอยากยืมจากท่าน”

“รอสักครู่”

สริตาเห็นเจ้าของห้องเดินหายเข้าไปในห้องนอนครู่หนึ่ง แล้วออกมาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค

“มันน่าจะมีประสิทธิภาพมากพอสำหรับคุณ”

สริตาขออนุญาตเปิดทดสอบก่อน เมื่อเจ้าชายอัคนีพยักหน้า หล่อนเปิดตรวจสอบระบบทั้งหมดเพื่อประเมินก่อนว่าจะใช้กับแผ่นซีดีจิ๋วของหล่อนได้หรือไม่

“มันใช้ได้...........” หล่อนมีท่าทางลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “.........ฉันขอใช้ส่วนตัวได้ไหมคะ ?”

“ได้สิ ในห้องนอนมีโต๊ะทำงาน คุณเข้าไปใช้ได้เลย” เขาตอบอย่างมีน้ำใจ

สริตายิ้มกว้าง พลางเดินหิ้วโน้ตบุ๊คเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชายทันที ส่วนโชตกกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

“ผู้หญิงคนนั้นล่ะ ?”

เจ้าชายอัคนีชี้ที่ห้องนอน พลางตอบว่า “เธอขอใช้โน้ตบุ๊คเพื่อคลายข้อสงสัยของตัวเอง”

“ท่านยอมให้ใช้รึ ?”

“ไม่มีเหตุผลจะขัดขวางนี่นา” เจ้าชายตอบด้วยรอยยิ้ม

โชตกลากเก้าอี้เข้าไปใกล้เจ้าชาย พลางพูดเสียงเบาลงว่า “กลุ่มที่แอบอ้างเพื่อค้นห้องของท่านกับผู้หญิงคนนั้นต้องมีเรื่องไม่ดีกันแน่ ท่านควรให้เธอกลับไปโดยเร็วที่สุด”

“เราเห็นด้วยกับความไม่ปกติของเธอ แต่เธอยืนยันว่าไม่ปลอดภัย จะให้ปล่อยไปทั้งที่รู้เรื่องอันตรายงั้นรึ ?”

“แต่..........”

“เราเชื่อว่าเธอต้องไปจากห้องนี้โดยเร็ว”

“ผมเกรงว่า..........”

“เราจะไม่บังคับเธอ”

เมื่อเจ้าชายอัคนียืนกรานความตั้งใจแล้ว โชตกจำต้องนิ่งเฉยแล้วขอกลับไปห้องก่อนโดยขอร้องให้ทั้งสองอยู่ในสายตาของทีมคุ้มกัน เจ้าชายรับปาก

ภายในห้องนอนของเจ้าชายอัคนีนั้นสริตานั่งดูภาพในแผ่นซีดีจิ๋วด้วยสีหน้าเครียดและหนักใจ บัดนี้หล่อนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเลขาคณินจึงต้องกำชับให้ส่งมันแก่ผู้นำวรุตม์และหล่อนต้องถูกตามล่าจากกลุ่มคนปริศนาซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลในภาพเบื้องหน้า หญิงสาวหยุดภาพใบหน้าของชายทั้งสองหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นคนที่หล่อนรู้จะจริง

“ข่าวลือตามหน้าหนังสือพิมพ์มีเค้าลางแห่งความจริงหรือนี่ ?” หล่อนรู้สึกหนาวเยือกใจ ดวงตาจ้องมองภาพใบหน้าของชายสูงวัยซึ่งเป็นที่นับถือของคนในสังคม “พันธวัชกับนายพลชวนิลคิดจะก่อกบฏรึ ?”

ภาพและเสียงการสนทนาระหว่างพันธวัชกับนายพลชวนิลทำลายความนับถือที่หล่อนเคยมีให้ต่อพวกเขาลงทันตา หล่อนมินึกว่าพันธวัชซึ่งเป็นนักการเมืองอาวุโสและนายทหารเกษียณซึ่งแสดงต่อสาธารณชนเสมอว่าเป็นผู้ที่รักประชาธิปไตยสูงและต่อต้านการใช้อาวุธยึดอำนาจมาตลอด จะเป็นต้นคิดในการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลของผู้นำวรุตม์ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน นอกจากจะเป็นรัฐมนตรีมาหลายรัฐบาลแล้ว พันธวัชยังสอนทหารหลายรุ่นทำให้เขามีลูกศิษย์มากมายและเป็นที่เคารพรักของทหาร รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลมาหลายชุด สื่อมวลชนจึงขนานนามพันธวัชว่าเป็นผู้มีบารมีสูง หลายครั้งที่ผู้นำวรุตม์ขอคำปรึกษาและได้รับคำแนะนำจากเขายามพบปัญหาในการบริหารประเทศ ข่าวลือกันทุกปีว่าการแต่งตั้งนายทหารหรือตำรวจจะมีคำขอร้องจากพันธวัชถึงผู้นำวรุตม์ซึ่งจะได้รับการตอบสนองที่ดี อันเป็นการเพิ่มบารมีและชื่อเสียงแก่พันธวัช อีกทั้งเป็นที่รู้กันดีว่าผู้นำวรุตม์ให้ความเคารพผู้ชายคนนี้อย่างดี แม้แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งกับนายพลชวนิลเรื่องการไม่เห็นด้วยกับงบประมาณซื้ออาวุธหรือการแต่งตั้งพรรคพวกของนายพลเมื่อคราวล่าสุด พันธวัชเป็นผู้ใหญ่ที่ช่วยลดความขัดแย้งให้ทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งหลายสัปดาห์มานี้มีข่าวลือว่าผู้นำวรุตม์ไม่พอใจการเคลื่อนไหวต่อต้านภายในกองทัพด้วยการยุยงและพูดจาเสียดสีผู้นำบ้านเมืองบ่อยครั้งขึ้น จึงต้องการย้ายนายพลชวนิลไปอยู่หน่วยงานที่สูงขึ้นไปแล้วนำคนของเขาดูแลกำลังพลแทน ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่นายพลชวนิลอย่างมาก สื่อมวลชนพยายามติดตามสัมภาษณ์ทั้งสองฝ่าย พวกเขาเลี่ยงจะเอ่ยถึงปัญหาขัดแย้งนี้และข่าวก็เงียบหายไป หล่อนไม่เข้าใจว่าเหตุใดพันธวัชจึงกลายเป็นหนึ่งในผู้วางแผนก่อกบฏ ทั้งที่ผู้นำวรุตม์ให้ความเคารพเขาตลอดเวลา

“ท่านวรุตม์กับพันธวัชต้องขัดแย้งกันหนักชนิดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แน่ จึงวางแผนล้มล้างรัฐบาลโดยร่วมมือกับนายพลชวนิลที่ไม่พอใจก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าภาพนี้อยู่ในมือของท่านวรุตม์ พวกเขาติดคุกไม่ต้องออกแน่” หล่อนมองใบหน้าของพันธวัชกับนายพลชวนิลซึ่งแสดงความพอใจกับแผนที่ตกลงกันได้ “คนถ่ายภาพก็เสี่ยงน่าดูแฮะ เขาเป็นหนึ่งในทีมกบฏแน่ ใครนะ ?”

สริตาเปิดภาพและเสียงการสนทนาของทั้งสองไปมาจนกระทั่งจำทุกคำพูดได้ สมองครุ่นคิดหนักว่าจะทำอย่างไรกับหลักฐานชิ้นนี้

“พวกเขาคุยในหัวข้อนี้ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น แผนก่อกบฏง่ายจริงแฮะ” หล่อนพูดยิ้มๆก่อนปิดภาพนั้น ดวงตามองแผ่นซีดีในมือ “ชีวิตของฉันไม่ปลอดภัยเพราะมัน แต่ภารกิจที่คุณคณิน

มอบไว้ ก็ทิ้งไม่ได้เช่นกัน หนักใจแฮะ”

สริตาคิดแผนหนึ่งได้ พลางมองหาปลั๊กโทรศัพท์และอุปกรณ์ในการต่อเชื่อมอินเตอร์เนต หล่อนเห็นสายต่อของโน้ตบุ๊ควางอยู่บนโต๊ะ จึงต่อเข้ากับเครื่องและปลั๊กโทรศัพท์ติดกำแพงทันที

“ฉันจำเป็นต้องใช้เนตพื้นฐานเพื่อป้องกันการตามล่ามัน” หล่อนพูด มือกดแป้นพิมพ์เพื่อเข้าสู่ระบบอินเตอร์เนตแล้วใช้เทคนิคที่ชำนาญค้นหารหัสเพื่อใช้งานมัน

ครู่ต่อมาหน้าจอบอกสัญญาณว่ากำลังโหลดเข้าสู่เว็บไซด์หนึ่งซึ่งให้บริการเก็บข้อมูลกับสมาชิกทั่วโลกที่ลงทะเบียนไว้ สริตากรอกชื่อและรหัสของหล่อน

“ฉันจะเก็บข้อมูลของซีดีจิ๋วไว้ใน คลาวด์ ฮาร์ดดิสต์กลางอากาศของฉัน มันจะเป็นหลักประกันชีวิตของฉันอย่างดี” หล่อนคิดกระหยิ่มใจ

ระหว่างรอโหลดข้อมูลไปเก็บในกล่องข้อมูลของสริตา หล่อนเตรียมจัดระดับชั้นความลับให้กับข้อมูลเหล่านั้น เมื่อหน้าจอแจ้งการเก็บข้อมูลเสร็จสิ้น หล่อนจึงกำหนดระดับความเป็นส่วนตัวในขั้นพิเศษไว้ซึ่งจะไม่มีการนำเสนอให้คนทั่วไปเห็นนอกจากหล่อนจะใส่รหัสพิเศษเท่านั้น จากนั้นจึงออกจากเว็บไซด์และอินเตอร์เนต

“คราวนี้ก็บอกเล่าเก้าสิบให้พวกที่ชิงซีดีรับทราบว่า ชีวิตของฉันสำคัญไฉน ? ป้องกันความผิดพลาดสักหน่อย” หล่อนพูด ขณะใช้โปรแกรมพิเศษที่โหลดจากอินเตอร์เนตเมื่อกี้นี้เพื่อเขียนข้อความในซีดีจิ๋วเพิ่มเติม จากนั้นลบโปรแกรมจากโน้ตบุ๊ค

ครู่ต่อมาสริตาจึงปิดโน้ตบุ๊ค แล้วหย่อนซีดีจิ๋วลงในกระเป๋า ดวงตามองเวลาจากนาฬิกาข้อมือ

“เกือบเที่ยงคืนแล้ว กลับบ้านได้เสียที” หล่อนพูด พลางมองโทรศัพท์ที่หัวเตียงอย่างชั่งใจ

สริตาตัดสินใจไม่ติดต่อหมอจารุมน ผู้เป็นมารดาเพราะคิดว่าจะพบกันในไม่ช้าแล้ว จึงเปิดประตูออกไปพบเจ้าชายอัคนีเพื่อกล่าวอำลา

เมื่อเจ้าชายอัคนีรับทราบเจตนาจะกลับบ้านของสริตา จึงเดินไปส่งที่ประตูโดยไม่ทัดทานไว้พร้อมส่งตำรวจหนึ่งคนติดตามจนกว่าหล่อนจะขึ้นรถแท็กซี่แล้ว สริตาซาบซึ้งใจในความเมตตาของเขา

“ขอบพระคุณที่ท่านห่วงใย”

“มันเป็นสิ่งที่ควรทำแล้ว” เจ้าชายตอบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

สริตามองชั่งใจ ก่อนถามว่า “ฉันขอพูดบางอย่างที่อาจไม่เสนาะหูของท่าน ได้ไหม ?”

“พูดมาสิ”

“สาวๆที่นี่คลั่งไคล้ท่านมาก ทีแรกฉัน.....เอ่อ........หมั่นไส้ท่านมาก แต่ตอนนี้จึงรู้ว่าท่านเป็นมิตรและมีเมตตายิ่ง สมควรที่พวกเธอจะชื่นชมท่านแล้ว”

“มุมมองของคุณดีขึ้น ผมก็ดีใจนะ”

“ถ้าพวกเธอได้อยู่ใกล้ชิดแบบนี้ ต้องวี้ดว้ายมากขึ้นแน่”

เจ้าชายหัวเราะ “คุณจะบอกเล่าเรื่องในห้องของผมไหม ?”

“ไม่หรอก ขี้เกียจตอบคำถามไร้สาระ”

“คำถามอะไร ?”

“อยู่ในห้องกับท่านแล้วทำอะไรบ้าง ?”

เจ้าชายพยักหน้าเข้าใจ สริตาบอกด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าฉันตอบว่าเรานั่งคุยกันท่ามกลางสายตาผู้คุ้มกันเกือบสิบคน ใครจะเชื่อฉันล่ะ ?”

“คนส่วนใหญ่มักคิดถึงเรื่องไม่เป็นมงคล ไม่พูด ก็ดีแล้ว”

“ฉันต้องขอบคุณอีกครั้งค่ะ” หล่อนบอก พลางค้อมกายลงต่ำก่อนจะหันกายเดินออกจากประตู

เจ้าชายอัคนีมองตามหญิงสาวแปลกหน้าที่ใช้เวลานั่งคุยสารพัดเรื่องด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่คล่องหลายชั่วโมง แต่สร้างความเพลิดเพลินแก่เขามาก เขาหันไปเห็นประตูห้องของโชตกเปิดกว้าง

“เธอไปแล้ว”

โชตกเลิกคิ้วสูง “ไปง่ายจัง”

“เธอต้องกลับบ้านให้เร็วที่สุด ห้องของเราเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น”

“ไปได้ก็ดีแล้ว”

โชตกเดินตามเจ้าชายเข้าไปในห้องด้วยความโล่งใจ ครู่หนึ่งจึงมองแปลกใจเมื่อเจ้าของห้องเอ่ยว่า “นายช่วยลงไปดูให้แน่ใจว่า ตำรวจส่งเธอขึ้นแท็กซี่อย่างปลอดภัยไหม ?”

“ทำไม..........”

“เรารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี” เจ้าชายบอกด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

“สังหรณ์รึ ? แต่...........”

“เราขอร้องให้ช่วย โชตก”

“ผมจะไปครับ” โชตกตอบรับอย่างไม่เต็มใจ แล้วเดินออกจากห้อง

เจ้าชายอัคนียืนมองฝ่าความมืดไปนอกหน้าต่างด้วยจิตใจหวั่นไหว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกห่วงกังวลต่อความปลอดภัยของหญิงแปลกหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ

โชตกเดินออกจากลิฟต์แล้วกวาดตามองไปยังประตูทางเข้าออกของโรงแรม แต่ไม่เห็นวี่แววของสริตากับตำรวจ จึงตัดสินใจเดินออกไปนอกโรงแรม พลันสายตามองเห็นร่างตำรวจนอนฟุบอยู่ข้างถนน ชายอีกสี่คนกำลังลากหญิงสาวไปที่รถตู้ซึ่งจอดรออยู่ เขาหยิบกระบอกไม้ไผ่จากอกเสื้อแล้ววิ่งเข้าไปหาชายทั้งสี่

“ปล่อยฉัน...........” สริตาร้องโวยวายเพื่อหวังจะมีคนช่วยเหลือ

ตอนใกล้เที่ยงคืนไม่มีคนเดินผ่านไปมา แม้แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมก็ไม่อยู่แถวนั้น มันช่างเป็นช่วงปลอดคนจริงๆ สริตาแทบหมดหวังจะพึ่งพาคนอื่น แต่ยังพยายามขืนตัวไว้ จึงโดนต่อยท้องไปหลายครั้ง ทันใดนั้นชายที่ยึดแขนสองข้างของหล่อนทรุดฮวบลงกะทันหัน หล่อนสลัดแขนแล้วผลักชายที่อยู่ใกล้เคียงออกห่าง พลางเห็นโชตกยืนเป่าบางอย่างอยู่ห่างแค่ไม่กี่ฟุต

“คุณ...........”

ชายหนึ่งคนทำท่าจะเข้าไปทำร้ายโชตก แต่กลับทรุดฮวบลงกับพื้นโดยไม่มีเสียงร้องสักคำ ชายอีกคนเข้ามาจับสริตาซึ่งต่อสู้ดิ้นรนเต็มที่ ครู่ต่อมาก็ล้มฮวบ

“เราต้องกลับเข้าโรงแรม เร็ว !” โชตกบอก แล้วเดินเข้าไปหยิบบางอย่างจากร่างชายทั้งสี่

“ทำอะไร ?” หล่อนถาม แววตาสงสัย เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเขา จึงอุทานว่า “ลูกดอก ! คุณยิงเขาด้วยไอ้นี่รึ ?”

“อย่าเสียเวลายืนแถวนี้ ตำรวจกำลังมาแล้ว”

สริตาเร่งฝีเท้าติดตามโชตกกลับเข้าโรงแรมอีกครั้ง ปากถามว่า “คุณรู้ได้อย่างไร ?”

“พวกยามด้านหน้าโรงแรมไม่อยู่ คิดว่าไปแจ้งตำรวจ”

“ทำไมเขาไม่ช่วยฉันก่อน ?” หล่อนถามอย่างฉุนจัด

โชตกถามว่า “เขามีหน้าที่เฝ้าและแจ้งเท่านั้น”

“ฉันเป็นแขกของโรงแรมนะ” หล่อนเถียง ขณะก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์

โชตกกับสริตาหยุดการสนทนาเมื่อมีแขกเดินเข้าลิฟต์ด้วย จนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดที่ชั้น 20 ทั้งสองจึงเดินตรงไปยังห้องพักของเจ้าชายอัคนี ตำรวจคุ้มกันคนหนึ่งโผล่พรวดไปดักหน้าไว้ก่อน

“เจ้าชายสั่งให้ท่านกลับห้องไปก่อน ท่านมีแขกพิเศษในห้องครับ”

โชตกขมวดคิ้ว “ใครรึ ?”

“เขาอ้างว่าเป็นคนของรัฐบาล แต่.........”

“มีอะไร ?” โชตกเริ่มร้อนใจยามเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย

“ท่าทางของพวกเขาไม่น่าจะ...........”

สริตาเห็นโชตกวิ่งพรวดไปที่ประตูห้องของเจ้าชาย โดยไม่รอฟังคำพูดให้จบก่อน หล่อนติดตามไปด้วยความอยากรู้ เสียงปืนดังลั่นจากในห้องหลังจากโชตกหายเข้าไปในนั้น

“เจ้า..........” หล่อนยืนมองตาค้าง

ชายสองคนในชุดซาฟารีสีเข้มวิ่งไล่ยิงเจ้าชายอัคนีกับโชตกอยู่ในห้อง เมื่อเขาหันมาเห็นหล่อนยืนอยู่ที่ประตู จึงเล็งปืนหมายจะสังหารด้วย แต่ตำรวจดึงหล่อนออกจากวิถีกระสุนอย่างหวุดหวิด

“อย่าออกไปไหน” ตำรวจบอก แล้ววิ่งเข้าไปในห้องอีกคน

สริตาสูดหายใจลึกๆเพื่อระงับความตื่นเต้นแล้วชั่งใจระหว่างการหนีเอาตัวรอดกับคิดหาทางช่วยเหลือคนในห้องนั้น พอดีชายในชุดซาฟารีคนหนึ่งวิ่งพรวดออกมาพบหล่อนนั่งคู้ตัวอยู่ ทั้งสองคนมองสบนัยน์ตากัน

“ตายแน่.......” หล่อนพึมพำ พลางรวบรวมสมาธิเมื่อคิดบางอย่างได้

สริตาจ้องใบหน้าของชายคนนั้นแน่วแน่ ปากบอกว่า “กระเด็นไป !”

สิ้นคำพูดนั้นชายเบื้องหน้าทำท่าจะยิงหล่อนก็ลอยกระเด็นไปในพริบตาเดียว เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเขาดังครู่หนึ่งก็เงียบไป หล่อนเพ่งมองร่างที่นอนอยู่ใกล้ผนังอย่างระแวงใจ

“ตายหรือสลบล่ะเนี่ย” หล่อนพูด ทำท่าจะเข้าไปดูอาการของเขา

เสียงปืนดังลั่นจากในห้องทำให้สริตาตัดสินใจวิ่งไปที่ลิฟต์เพื่อหนีก่อน แต่ชายในชุดซาฟารีอีกคนวิ่งออกจากห้อง แล้วเล็งปืนเพื่อยิงหล่อน สริตารวมสมาธิเป็นหนึ่งเดียวหมายจะผลักร่างของเขาให้กระเด็นไปเหมือนกับชายคนแรก พริบตานั้นร่างของเขาลอยไปกระแทกผนังห้องเต็มแรงแล้วนอนนิ่งบนพื้น ปืนลอยมาตกอยู่ใกล้เท้าของหล่อน

“เกือบไปแล้ว” หล่อนพึมพำ มือลูบทรวงอกเพื่อปลอบขวัญของตัวเอง

สริตาตกใจเมื่อเห็นโชตกยืนมองอยู่ ครู่ต่อมาเจ้าชายอัคนีกับตำรวจเดินโผเผตามมาด้วยท่าทางตื่นเต้น

“คุณปลอดภัยใช่ไหม ?” เจ้าชายถามด้วยความห่วงใย

สริตายิ้มเจื่อน “อยู่ครบค่ะ”

“ผมจะแจ้งให้หัวหน้ารับทราบก่อน” ตำรวจคุ้มกันบอก แล้วแยกตัวไป

โชตกบอกกับเจ้าชายว่า “คืนนี้ท่านต้องนอนในห้องของผม”

“เห็นด้วย” เจ้าชายอัคนีตอบรับ พลางหันมองหญิงสาว “นายพาเธอกลับมาใช่ไหม ?”

“ผมไม่มีทางเลือก”

“เล่าให้ฟังด้วยล่ะ” เจ้าชายบอก แล้วกวักมือเรียกสริตา “คุณต้องเลิกรังเกียจที่จะอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายนับสิบแล้วล่ะ”

สริตาทำตาโต “ฉันไม่มีทางเลือกเหมือนกัน”

เจ้าชายอัคนีหัวเราะ หญิงสาวมองประหลาดใจ “ทำไมท่านยังหัวเราะได้ ทั้งที่เพิ่งหนีรอดจากลูกปืน”

“ผมรอดนี่นา”

โชตกขมวดคิ้วแน่น ยามมองหญิงสาวแปลกหน้าซึ่งมาพร้อมกับเรื่องร้ายที่เกี่ยวพันกับคณะเดินทางของเจ้าชายอัคนี โดยเฉพาะภาพการลอยตัวกระแทกผนังห้องของมือปืนเมื่อกี้นี้ เขาแน่ใจว่าไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ ณ ที่นั้นมีแค่เขาและสริตา เมื่อไม่ใช่เขาที่ทำเรื่องมหัศจรรย์นั้น จึงน่าจะเกิดจากฝีมือของหล่อน

“เธอเป็น...........” เขาสะบัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความคิดนั้น “.......ยุคนี้จะมีคนแบบนี้ได้อย่างไร ฉันต้องหาคำตอบจากเธอ”

โชตกบอกเล่าเหตุการณ์ส่วนของเขากับสริตาให้เจ้าชายอัคนีรับทราบ ขณะเดียวกันเจ้าชายก็เล่าถึงมือปืนทั้งสองที่อ้างว่าต้องการซักถามเกี่ยวกับหญิงแปลกหน้าที่หายเข้าลิฟต์ไปกับเขาโดยอ้างว่ามาจากรัฐบาล พอดีโชตกเปิดประตูเข้าไป พวกเขาจึงเริ่มยิงปืนใส่ทั้งสอง

“นายรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ใช่คนของรัฐบาล ?” เจ้าชายถามสงสัย

“ผมเพิ่งคุยกับผู้กำกับที่ดูแลเราว่าจะบอกล่วงหน้าในการสับเปลี่ยนคนรวมทั้งการเข้าพบก็แจ้งกับผมโดยตรงเท่านั้น เราแลกเบอร์มือถือกันแล้ว” โชตกตอบ สีหน้าขรึม

“ทำไมเขาต้องฆ่าฉัน ?”

“คนของเรากำลังตรวจสอบอยู่” โชตกตอบ เสียงมือถือดังขัดจังหวะ

เจ้าชายปล่อยให้โชตกเดินไปคุยที่ริมหน้าต่าง เมื่อหันไปมองสริตา จึงเห็นหล่อนนั่งอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งด้วยสีหน้าตระหนกใจ

“คุณตกใจกับข่าวอะไร ?”

“เขา.......เอ่อ.........” หล่อนชี้ที่ข่าวพบศพในหน้าหนึ่ง ริมฝีปากสั่น “........ฉันรู้จะเขา”

เจ้าชายอัคนีรับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมาอ่านด้วยความสนใจ โดยเฉพาะใบหน้าของศพซึ่งดูคุ้นตายิ่ง

“คุณคณิน เลขาผู้นำนี่นา” เจ้าชายอุทานออกมา

“เขานั่นแหละ..........” หล่อนทำหน้าเศร้ายามคิดถึงวาระสุดท้ายที่ทั้งสองพบกันและเขามอบซีดีจิ๋วให้หล่อนไว้ ตอนนี้เลขาคณินกลายเป็นศพไปแล้ว

โชตกเดินมากระซิบบอกเจ้าชายว่า “มือปืนทั้งสองไม่ใช่คนของมฆวัน แต่เป็นคนที่นี่ เราน่าจะมีปัญหาใหญ่แล้ว”

หากเป็นการลอบสังหารจากคนในประเทศมฆวันเขาจะไม่ประหลาดใจนัก แต่กลับเป็นคนของประเทศนี้ซึ่งเป็นมิตรกัน มันจึงสร้างความสงสัยแก่เจ้าชายอัคนีอย่างมาก

สริตาเดินไปที่หน้าต่างโดยมีสายตาของเจ้าชายอัคนีมองตามอย่างครุ่นคิด

“ผมเชื่อว่ามือปืนต้องเกี่ยวพันกับผู้หญิงคนนี้แน่”

“เราเห็นด้วย”

โชตกมองหญิงแปลกหน้าด้วยความระแวงใจ “เราควรเดินทางกลับให้เร็วที่สุด”

“ตอนนี้ธุระของเราเสร็จแล้ว นายจัดการเรื่องการเดินทางได้เลย”

เมื่อเจ้าชายอัคนีเห็นด้วย โชตกจึงปลีกตัวไปจัดการเรื่องเวลาเดินทางและเตรียมเครื่องบินส่วนตัวเพื่อกลับประเทศมฆวันทันที ตำรวจคุ้มกันเข้าไปบอกบางอย่างกับเจ้าชาย

“ผมต้องไปคุยกับตัวแทนท่านวรุตม์ที่ห้องพักก่อน คุณรอที่นี่ล่ะ”

สริตาพยักหน้ารับ แววตาซึ้งใจ “ขอบพระคุณที่ช่วยเหลือฉันไว้”

“คุณช่วยเล่นงานมือปืนพวกนั้น เราไม่ติดค้างกันแล้ว แต่ผมยังสงสัยว่าคุณล้มผู้ชายสองคนได้อย่างไร” เขากล่าวติดตลก แล้วเดินออกจากห้องนั้น

สริตาถอนใจโล่งอก เมื่อเจ้าชายอัคนีไม่คาดคั้นคำตอบ พลันความคิดบางอย่างเกิดขึ้น หล่อนเดินไปใช้โทรศัพท์ที่โต๊ะ แล้วนั่งรอบางอย่างโดยมีคนคุ้มกันผิวคล้ำของเจ้าชายยืนมองจากประตูห้องเพื่อมิให้หล่อนคลาดสายตาไปตามคำสั่งของโชตก

นายพลชวนิลเดินทางเข้าพบพันธวัชที่บ้านพักตอนเช้ามืดหลังทราบข่าวลูกน้องซึ่งส่งไปสังหารเจ้าชายอัคนีถูกจับได้ ทั้งสองมีสีหน้าเครียดหนักเมื่อรับทราบแผนที่ล้มเหลว และอาจถูกสาวลึกไปถึงทั้งสองได้

“ตอนนี้พวกมันยังสลบอยู่ใช่ไหม ?” พันธวัชถาม

“ตำรวจคุมตัวไว้ ถ้าเขาฟื้น ต้องถูกสอบสวนหนักแน่ บางทีเราอาจ...........” นายพลชวนิลมีสีหน้าไม่สบายใจ

ดวงตาของพันธวัชฉายแววเหี้ยม ยามเอ่ยว่า “เราจะเดือดร้อนหนัก ถ้าตำรวจสอบสวนพวกเขา นายต้องทำลายหลักฐานโดยเร็ว”

“ท่านหมายถึง............” หัวใจของนายพลชวนิลหนาวเยือก

“ตำรวจตรวจสอบอีกไม่นานก็ต้องรู้ว่าพวกมันมาจากหน่วยงานไหน ส่วนนักข่าวสอบลึกเข้าไปอีก มันจะชี้มาถึงพวกเรา วรุตม์จะกำจัดพวกเราโดยอาศัยเหตุผลนี้”

“ผม.........พวกนั้นเป็นลูกน้องของผม”

“งานใหญ่ต้องมีการเสียสละ นี่เป็นคิวของพวกเขา” พันธวัชบอกเสียงเย็นชา ดวงตาวาวโรจน์ขึ้น “เมื่องานสำเร็จ วรุตม์ต้องเป็นของเซ่นสังเวยวิญญาณของพวกเขา”

นายพลชวนิลถอนใจเฮือกใหญ่ “ผมไม่ทราบว่าตำรวจขังไว้ที่ไหน ?”

“ผมหาข่าวนี้เอง รอเดี๋ยวนะ”

นายพลชวนิลเห็นเจ้าของบ้านเดินไปคุยมือถือที่ริมหน้าต่างสักครู่ใหญ่ จึงกลับมาส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา

“นี่เป็นที่อยู่ของเซฟเฮาส์ที่ขังพวกเขาไว้ เก็บกวาดให้เรียบร้อย !”

นายพลชวนิลรับคำ แล้วเดินทางออกจากบ้านของพันธวัชเพื่อไปจัดการตามแผนที่ทั้งสองตกลงกันไว้ ขณะขับรถออกจากบ้านนายพลหนุ่มใหญ่มองกระดาษที่อยู่ลูกน้องของเขาด้วยความหวั่นกลัวกับอิทธิพลของพันธวัชซึ่งใช้เวลาสืบหาที่อยู่เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น หากเขาไม่ยอมทำงานตามคำสั่งของพันธวัช อาจต้องพบความตายด้วยเวลาไม่นานนักเนื่องเพราะผู้มีบารมีคนนี้มีลูกน้องให้ใช้สอยมากมาย แต่ความสำคัญของเขาในวันนี้เกิดเพราะตำแหน่งที่ผู้นำวรุตม์แต่งตั้งตามคำแนะนำของพันธวัช

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ วรุตม์คงไม่เชื่อฟังท่านพันธวัชแน่” นายพลทำเสียงหึในลำคอ

หน้าห้องพักของคนไข้ที่โรงพยาบาลนอกเมืองแห่งหนึ่งมีตำรวจสี่คนยืนเฝ้าด้วยท่าทางขึงขัง พยาบาลสาวถือถาดเครื่องมือตรงไปที่ห้องนั้น

“เราจะตรวจวัดตามปกติค่ะ”

ตำรวจทั้งสี่คนมองสำรวจ เมื่อเห็นว่าเป็นพยาบาลคนเดิมที่มีหน้าที่ดูแลคนไข้พิเศษ จึงพยักหน้าอนุญาตให้เข้าไปข้างใน พอประตูเปิดกว้างชายสามคนโผล่พรวดจากช่องหนีไฟแล้วยิงปืนใส่ตำรวจกับพยาบาลสาวอย่างเร็ว เสียงปืนไม่ดังมากนักเพราะมีการติดอุปกรณ์เก็บเสียงไว้ จากนั้นทั้งสามวิ่งเข้าไปในห้องคนไข้ แล้วลั่นกระสุนใส่ร่างมือปืนทั้งสองซึ่งเคยบุกสังหารเจ้าชายอัคนีที่หน้าอกทันที เสียงฝีเท้าคนนอกห้องดังใกล้เข้ามาพวกเขาจึงวิ่งกลับไปยังช่องหนีไฟอีกครั้ง

นายตำรวจมองตกใจกับสภาพในและนอกห้องคนไข้ จึงเร่งสำรวจเพื่อหาคนที่ไม่ใช่ศพก่อน

“ตำรวจคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส........” เขาตะโกนบอกแพทย์และพยาบาลที่เดินติดตามมา จากนั้นจึงเข้าไปดูมือปืนในห้องซึ่งพบว่าตายคาเตียงแล้ว

แพทย์และพยาบาลพยายามช่วยชีวิตตำรวจคนนั้นแล้วเคลื่อนย้ายไปห้องฉุกเฉิน เมื่อเห็นบาดแผลกระสุนที่ท้องและควบคุมการไหลทะลักของเลือดได้แล้ว ส่วนนายตำรวจเร่งแจ้งเหตุร้ายแก่ผู้ใหญ่ทันที

***************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์