จอมบงการ

บทประพันธ์ของ ช่อมณี

เฉพาะอ่านออนไลน์

24.

สริตาลืมตามองสำรวจรอบกาย แล้วหยุดที่ใบหน้าของแม่บ้านนิชาซึ่งยืนข้างเตียง คิ้วขมวดเล็กน้อย หล่อนยันกายขึ้นนั่ง ท่าทางอ่อนเพลีย

“ฉัน......วูบไปรึ ?” หล่อนนึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“คุณนั่งพิงต้นไม้แล้วสลบไป” แม่บ้านนิชาบอก พลางนั่งบนเตียง “มันเกิดขึ้นกี่ครั้ง ?”

“ครั้งแรก !” หล่อนตอบ แววตาวิตก “หลังจากใช้พลังจิตแล้วฉันเพลียสุดๆ อยากหลับไปเลย มันไม่เคยเป็นอย่างนี้ ทำไม ?”

“มันเป็นผลสืบเนื่องจากพิษตกค้างในร่างกาย”

“คุณยังถอนพิษไม่หมดหรือ ?”

แม่บ้านนิชาส่ายหน้า “ฉันเคยเตือนให้พักผ่อนมากๆ เลี่ยงการใช้พลังจิตสักระยะ เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลแบบนี้”

“ฉันจะหายไหม ?”

“ถ้าไม่รับพิษซ้ำ ก็หายแน่”

สริตามีท่าทีหงุดหงิด “ใครจะรับรองได้ว่า ฉันไม่โดนวางยาพิษอีก”

“ต้องดูแลตัวเอง”

“ไม่มีทางเลือกอื่นนี่นา”

แม่บ้านนิชาส่งกล่องเล็กใบหนึ่งให้สาวไทย พลางพูดกำชับว่า “กินยาในกล่องวันละหนึ่งเม็ดจนหมด จะเร่งถอนพิษในกายเร็วขึ้น”

“ทำไมไม่ให้กินเร็วกว่านี้ ?” หล่อนทำหน้างอ

“ปกติแค่นอนพักผ่อนให้มาก มันก็หายแล้ว แต่การเดินไปโน่นไปนี่ จึงใช้วิธีปกติไม่ได้”

สริตากลืนเม็ดยาสีดำลงคอ จึงรู้สึกเฝื่อนคอมาก ปากบ่นว่า “ทุกวันต้องทรมานกินยาขมพวกนี้ ถือเป็นความทุกข์อย่างมาก”

“ทุกข์แค่นี้ยังรับไม่ได้ แล้วจะทนการฝึกจากฉันได้อย่างไร ?” แม่บ้านนิชาบอก

“ฉันไม่สบาย ยังต้องฝึกอีกหรือ ?”

“เมื่อฟื้นสติแล้ว ทำไมฝึกไม่ได้ ?” แม่บ้านนิชาย้อนถาม

สริตาถอนหายใจ บางทีการฝึกพลังจิตจากแม่บ้านนิชาอาจช่วยควบคุมพลังและส่งเสริมการอ่านใจที่หล่อนติดขัดมานานก็ได้

“ฉันเลือกเองนี่นา”

“มันต้องมีภารกิจใหญ่แฝงไว้ สวรรค์มิให้คุณรับพรง่ายนักหรอก”

“มันคืออะไร ?”

แม่บ้านนิชาประคองสาวไทยให้ลุกจากเตียง พลางบอกเปลี่ยนเรื่องว่า “ท่านอัคนีกับเจ้าหญิงพิณทองรอฟังอาการของคุณอยู่ในห้องรับแขก คุณไปบอกคำตอบด้วยตัวเองดีกว่า”

“ท่านโชตกเป็นอย่างไรบ้าง ?”

“ทำแผลแล้วก็คุยกับท่านอัคนี พวกเขาห่วงคุณมาก”

“ฉันควรตอบอย่างไร ?”

“ตกใจจนสลบไง” แม่บ้านนิชาตอบหน้าตาเฉย

สริตาหัวเราะคิก “คำตอบฟังไม่เข้าท่า แต่เป็นตัวเลือกที่ดี”

“ผู้หญิงทั่วไปตกใจก็มักหมดสติ คุณต้องเป็นแบบนั้นบ้างจะได้เหมือนผู้หญิงหน่อย” แม่บ้านนิชาพูดเหน็บในที แล้วชี้ที่ประตูห้อง “พวกเราควรไปกันได้แล้ว”

สริตากับแม่บ้านนิชาเดินเข้าไปในห้องรับแขกซึ่งเจ้าชายอัคนี เจ้าหญิงพิณทอง กับโชตกนั่งพูดคุยกัน ทั้งสามหันไปมองสาวไทยด้วยความห่วงใย เจ้าหญิงพิณทองเดินเข้าไปหาสริตาด้วยรอยยิ้มเมตตาและเป็นมิตร

“เธอดูสดชื่นขึ้นมากกว่าตอนแรกที่กลับเรือนศักเรนทร์ ตอนนั้นหน้าซีดมาก”

สริตาปรายตามองแม่บ้านนิชา พลางตอบว่า “พี่นิชาดูแลเก่งมาก พอตื่น โลกก็สว่างสดใส”

เจ้าหญิงหัวเราะ “ทุกคนหายห่วงกันได้แล้วสินะ”

“ฉันขอโทษที่ทำให้ทุกคนห่วงใย” หล่อนหันไปบอกหนุ่มทั้งสอง

“น้องหญิงเล่าว่า เห็นคุณนั่งสลบพิงต้นไม้ ไม่สบายหรือ ?” เจ้าชายถาม แววตาค้นหา

“ฉันตกใจที่เห็นท่านโชตกต่อสู้กับชายชุดดำค่ะ”

แม่บ้านนิชาลอบยิ้ม ยามได้ยินคำตอบของสริตา โชตกมองสาวไทยโดยไม่ซักถาม

“อาการบาดเจ็บของท่านโชตกเป็นอย่างไรบ้าง ?”

“พี่นิชาช่วยทำแผลให้แล้ว ไม่มากนัก” โชตกตอบเสียงเย็น ดวงตาพราววับ “ผมต้องขอโทษที่มีส่วนทำให้คุณตกใจจนสลบ”

สริตายิ้มเจื่อน “ตอนนี้ฉันก็สบายดีแล้ว และเริ่มหิว”

เจ้าชายอมยิ้ม “ผมสั่งพ่อบ้านเตรียมอาหารให้คุณแล้ว ส่วนตอนบ่ายผมต้องไปดูชาวบ้านที่ถูกปล้น คงต้องค้างที่นั่นหลายวันและฝากให้น้องหญิงช่วยดูแลคุณด้วย”

“ฉันได้ยินข่าวปล้นหมู่บ้าน หนักมากหรือ ?” สริตาถาม

“ก็หนักพอควร” เจ้าชายตอบ สีหน้ากังวล

โชตกปรายตามองรัชทายาทแห่งแดนมฆวัน พลางเอ่ยว่า “ผมไปเป็นเพื่อนด้วยนะ”

“นายบาดเจ็บ ควรรักษาตัวก่อน งานทางนี้ต้องให้นายดูแลใกล้ชิดด้วย” เจ้าชายตอบแฝงความนัยที่รู้กันระหว่างเขากับโชตก

โชตกพยักหน้ารับรู้ พลางหันไปทางแม่บ้านนิชา “พวกเราควรกลับบ้านได้แล้ว”

“พรุ่งนี้จะมาตรวจอาการของคุณใหม่” แม่บ้านนิชาบอกกับสริตา

“ฉันไปหาที่บ้านก็ได้ ถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ” สริตาตอบพร้อมรอยยิ้ม

เจ้าชายพูดสวนทันทีว่า “คราวหน้าจะไปนอกเรือน ต้องพาทหารติดตามด้วย ผมไม่อยากเสียชื่อว่าดูแลเพื่อนไม่ดี”

สริตาเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนเดินตามเจ้าชายอัคนีกับเจ้าหญิงพิณทองไปยังห้องอาหาร ส่วนโชตกกับแม่บ้านนิชาออกไปจากเรือนศักเรนทร์

“นางปลอดภัยใช่ไหม ?” โชตกถาม ขณะเดินไปยังประตูวังไวชยันตร์

“ร่างกายอ่อนแอเพราะพิษของติชิลา ส่งผลต่อพลังจิตไม่แข็งแกร่งเพียงพอ”

“มีทางแก้ไขไหม ?”

“ฉันให้ยาถอนพิษอีกขนาน ถ้าไม่ถูกวางซ้ำ ก็หายเร็วแน่” แม่บ้านนิชาตอบมั่นใจ

โชตกถอนหายใจ ยามคิดถึงการต่อสู้กับชายชุดดำเมื่อกี้นี้ “ผมเชื่อว่าพวกนั้นโดนรังมดแดงที่เธอโยนไปด้วยพลังจิต อันเป็นการช่วยเหลือผมทางอ้อม มันแสดงว่าเธอไม่อยากให้ผมรู้ความลับนี้”

“เธอคงกลัวถูกลงโทษจากกฎระเบียบของเรา มฆวันเป็นที่ซ่อนตัวสุดท้ายของเธอแล้ว”

“เรื่องที่ผมวานพี่ช่วย ไปถึงไหนแล้ว”

แม่บ้านนิชายิ้มเรียบ “ข้านำเอกสารฉบับนั้นไปอยู่ที่เดียวกับพระพินัยกรรมแล้ว”

โชตกโล่งใจขึ้นเมื่อรับรู้เรื่องนี้ อย่างน้อยเขาแน่ใจได้ว่าใบตรวจเลือดฉบับจริงจะปลอดภัยเยี่ยงเดียวกับพระพินัยกรรมซึ่งบิดาของเขาให้ความไว้วางใจต่อสถานที่เก็บรักษาแห่งนั้น

เมื่อการรับประทานอาหารกลางวันเสร็จสิ้นสริตาเดินไปส่งเจ้าหญิงพิณทองที่หน้าเรือนศักเรนทร์ตามคำสั่งของรัชทายาท สาวไทยสอบถามที่ตั้งห้องนอนของเจ้าชายอัคนีจากพ่อบ้าน แล้วเดินไปที่นั่น หล่อนยืนลังเลใจนิดหนึ่งก่อนเคาะประตู

“คุณควรพักผ่อนนะ” เขาบอก แววตาแปลกใจ

สริตามองสบนัยน์ตาของอีกฝ่าย พลางบอกโพล่งว่า “ฉันอยากไปที่หมู่บ้านด้วยค่ะ”

“ผมไปทำงาน ไม่ใช่เที่ยว”

“ฉันอยากเปิดตาดูสิ่งอื่น นอกจากเรือนหลังนี้ ฉันขอตามท่านด้วยนะคะ”

“มันอันตรายนะ”

“ติชิลาคอยหาเรื่องฉัน ถ้าไม่มีท่านอยู่ใกล้ๆ ฉันต้องไม่สบายแน่” หล่อนบอกตรง

เจ้าชายยิ้มเย็น “ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจแก่ผม แต่............”

“หลายวันมานี้ฉันจำบทเรียนหนึ่งแบบขึ้นใจว่า ถ้าจะอยู่อย่างปลอดภัย ก็ต้องเลือกอยู่กับคนมีอำนาจ ฉันเลือกท่าน !”

“คุณพูดตรง ผมอึ้งไปเลย” เขาหัวเราะ แววตาอ่อนโยน “ผมให้เวลาสิบนาทีในการเตรียมกระเป๋า แล้วไปรอที่รถ”

“ขอบคุณมากค่ะ” สริตามีสีหน้ายินดี แล้ววิ่งจากไป

เจ้าชายอัคนีใช้มือถือบอกข่าวการเดินทางร่วมกับสริตาให้โชตกรับทราบ แล้วกลับไปจัดเสื้อผ้า

“เธอต้องมีความคิดบางอย่าง จึงขอไปด้วย มันคืออะไร ?” เขาคิดสงสัย

สริตาเดินกลับไปที่ห้องนอน แล้วปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อมิให้คนภายนอกเห็นความเคลื่อนไหวในห้อง หล่อนดึงเสื้อผ้าหลายชุดจากในตู้เข้าไปในกระเป๋าเดินทางแล้วปิดอย่างเร็ว

“นายตามดูฉันอยู่ ถ้าเป็นที่เปลี่ยวๆ เราน่าจะคุยกันมันส์กว่านี้” หล่อนพึมพำ แววตามาดหมาย แล้วหิ้วกระเป๋าออกจากห้อง

ติชิลาเดินตามหาทักษาไปถึงห้องพักในสวนสมุนไพร พลางขมวดคิ้วสงสัยที่เห็นพี่ชายหิ้วกระเป๋าเดินทางเตรียมจะออกนอกบ้าน

“พี่จะไปไหน ?”

“หมู่บ้านโมกแคน”

ดวงตาของติชิลาพราววับขึ้น “พ่อสั่งให้เจ้าชายไปแก้ปัญหาโจรที่หมู่บ้านนั้น พี่ตามเขาหรือ ?”

“ไม่ใช่”

“ทำไม............”

“พี่ไม่มีเวลาตอบข้อซักถาม” ทักษาทำท่าจะเดินจากไป

“ฉันไปด้วย”

“ทำไม ?” เขามองฉงน

“ฉันรู้ว่าสริตาตามเกาะท่านอัคนี จึงอยากไปขัดคอมัน”

“ขัดคอมันรึ ?”

“ไปอย่างเปิดเผยด้วย” น้องสาวบอกอย่างมั่นใจ พลางชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น “พ่อส่งทีมหมอกับยารักษาโรคในนามของวังไวชยันต์ ฉันเป็นคนคุมทีม พี่ต้องคุมนังนั่นด้วยมิใช่หรือ ?”

“ใช่”

“ฉันปรุงยาพิษไว้แล้ว รับไป !”

ทักษารับถุงสีดำใบเล็ก คิ้วขมวดแน่น “ยาอะไร ?”

“ฉันเพิ่งตั้งชื่อว่า ยาสิบวันลงนรก”

“ฟังชื่อแล้วสยองมาก” พี่ชายทำเสียงหึในลำคอ พลางเปิดดูเม็ดยาสีแดงในถุง

“ฉันผสมยาพิษสูตรใหม่ และพี่ควบคุมเธอด้วยเสียงใบไม้เสียดสีกันเท่านั้น มันจะเจ็บเหมือนไส้ถูกบิดเชียว” ดวงตาของติชิลาฉายแววเหี้ยม ยามบอกเล่าพิษของยาที่หล่อนปรุงขึ้น

“ยาถอนพิษล่ะ ?”

“กำลังปรุงอยู่”

ทักษาขมวดคิ้วแน่น “เธอแน่ใจว่าจะมียาถอนพิษไหม ?”

“ฉันปรุงยาพิษได้ ก็ต้องแก้ได้สิ แค่ช้าหน่อยเท่านั้น” น้องสาวตอบ รอยยิ้มกว้าง

“เธอต้องเดินทางไกล แล้วจะมีเวลาปรุงยาหรือ ?” เขาถามสงสัย

“พี่จะไปกับฉัน หรือ ไปเดี่ยว ?” หล่อนถามเปลี่ยนเรื่อง

ทักษายิ้ม “น่าจะรู้คำตอบของพี่แล้วมิใช่หรือ ?”

ติชิลากับทักษาเดินออกไปสมทบกับกลุ่มหมอจากวังไวชยันต์

โชตกเดินตามหาแม่บ้านนิชาเพื่อแจ้งข่าวการเดินทางของสริตา แต่ไม่พบ จึงไปที่ห้องพักของหล่อน เขาเห็นประตูเปิดแง้มอยู่จึงเคาะเรียก เมื่อได้ยินคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง เขาเดินเข้าไปข้างใน

“พี่ดูไพ่ทำนายอยู่หรือ ?” เขามองไปที่ไพ่สามใบบนโต๊ะ

“ใช่”

โชตกสังเกตเห็นสีหน้าวิตกของแม่บ้านนิชา พลางเอ่ยว่า “พี่ดูกังวลนะ”

“ใช่”

“อยากเล่าไหม ?”

แม่บ้านนิชาส่ายหน้า “การแพร่งพรายความลับของสวรรค์ โทษคือ ความตาย ข้ายังอยากอยู่อีกสักหน่อย”

“สีหน้าของพี่............”

“ท่านมีเรื่องอะไร ?” หล่อนถามตัดบท

“ท่านอัคนีแจ้งว่า สริตาขอติดตามไปหมู่บ้านโมกแคนด้วย”

ดวงตาของแม่บ้านนิชาฉายแววครุ่นคิด “เธอมีเป้าหมายบางอย่างที่อาจเกินตัวก็ได้”

“อะไร ?”

“ฉันไม่รู้ แต่สริตาเป็นคนห่ามดิบ” หล่อนทำเสียงหึในลำคอ

“ผมกลัวว่า สิ่งที่เธอทำจะทำลายแผนของเรา”

“อาจไม่ก็ได้ อย่าระแวงไปเลย”

“ผมทราบว่า ทักษากับติชิลาไปที่นั่นด้วย มันเป็นคำสั่งของท่านพยนต์”

“งั้นรึ ?” แม่บ้านนิชามีสีหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากแย้มออกเล็กน้อย “มันไม่น่าบังเอิญที่พวกเขาจะไปสถานที่เดียวกัน”

“ผมเกรงว่าสริตากับ..............”

“เมื่อพวกเขาต้องเจอกัน ก็ให้รู้ผลไปเลย”

“แต่..............”

“ตอนนี้เราต้องเป็นฝ่ายรอคอยให้สริตาพร้อม ทักษาอาจเป็นตัวทดสอบที่ดีก็ได้”

โชตกถอนหายใจ “หวังว่าพี่จะคาดไม่ผิด”

เจ้านายหนุ่มกล่าวขอตัว แล้วเดินจากไป แม่บ้านนิชาจ้องไพ่ทำนายทั้งสามใบ แล้วถอนใจเฮือกใหญ่

“ฉันจะประคองชะตากรรมของตัวเองได้นานแค่ไหน ?” หล่อนกล่าว พลางตัดสินใจหยิบกระดาษมาเขียนบางอย่างแล้วพับใส่ซองสีขาว “หวังว่ามันจะช่วยชี้ทางให้เธอได้ สริตา”

แม่บ้านนิชาถือซองสีขาวแล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของโชตก แต่คนรับใช้แจ้งว่าเขาออกไปทำธุระนอกบ้าน หล่อนจึงวางซองนั้นบนหนังสือเล่มใหญ่บนโต๊ะ จากนั้นกลับไปทำงานตามปกติ เวลาเดียวกันมหาอำมาตย์พยนต์ออกคำสั่งให้หัวหน้าปัจฉิมทำงานลับบางอย่างก่อนจะเข้าประชุมคณะผู้แทนอำนาจพระราชาร่วมกับรัฐบาล

ขบวนเดินทางของเจ้าชายอัคนีซึ่งมีสริตาติดตามด้วยเข้าสู่หมู่บ้านโมกแคนในตอนเย็น โดยหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นชายสูงวัย ร่างผอม ผิวคล้ำ เป็นผู้ต้อนรับและนำไปยังบ้านพักที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จด้วยเวลาเพียงวันเดียวจากฝีมือของชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาทำงานนี้ สริตาสังเกตเห็นแววตาหวาดระแวงและสิ้นหวังของชาวบ้านบางส่วนที่ยืนต้อนรับรัชทายาทแห่งวังไวชยันต์

“โจรเข้าปล้นหมู่บ้านหลายวันติดต่อกัน ชาวบ้านต่างหวาดกลัว จึงเลือกอยู่ในบ้านเท่านั้นขอรับ”

เจ้าชายพยักหน้ารับทราบ “น่าเห็นใจพวกเขา”

“ข้า.......เอ่อ........กระหม่อมจัดเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านบอก ท่าทีหวั่นกลัว

“เราอนุญาตให้ใช้สรรพนามทั่วไป พูดคุยตามปกติได้ ไม่ต้องใช้พิธีรีตองใดอีก” เจ้าชายบอกด้วยความเมตตา

“ขอรับ”

“เจ้ายังไม่ได้บอกชื่อเลย”

“ภูไทร !”

“เราอยากฟังรายละเอียดของโจรมากกว่ากินอาหาร หัวหน้าภูไทร”

“ได้ขอรับ” หัวหน้าภูไทรตอบรับ แล้วกางแผนที่หมู่บ้านบนโต๊ะ

เจ้าชายหันไปทางสริตา พลางเอ่ยว่า “เราจะคุยเรื่องงาน คุณออกไปดูรอบหมู่บ้านก็ได้ เอาทหารติดตามไปด้วย จะได้ไม่เบื่อไง”

สริตายิ้มรับ แล้วเดินออกจากบ้านไม้พร้อมทหารวังสามคนเพื่อดูสภาพความเสียหายของหมู่บ้านและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ประสบเคราะห์กรรมร้ายแรง

ระหว่างที่สริตากับทหารสามคนเดินสำรวจหมู่บ้านอันเงียบสงบ หลายบ้านจะเปิดแง้มหน้าต่างออกดูหล่อนด้วยความอยากรู้ สาวไทยโบกมือทักทายพร้อมรอยยิ้มไมตรีจิตให้บ้านเหล่านั้น พวกเขารีบปิดหน้าต่างทันใดด้วยความหวั่นกลัว

“ทำไมพวกเขาต้องกลัวฉันด้วย ?” หล่อนหันไปถามทหารซึ่งเดินตามหลัง

“พวกเขาไม่ค่อยเจอคนแปลกหน้าและเพิ่งโดนปล้นหมู่บ้าน จึงยังกลัวอยู่.........” ทหารคนหนึ่งตอบเป็นภาษาอังกฤษตะกุกตะกัก รอยยิ้มเขิน “..........ปกติคนในวังไม่ค่อยมาไกลถึงที่นี่ ครั้งนี้พวกเขาทราบข่าวว่ารัชทายาทเดินทางมาจัดการเรื่องโจรด้วยตัวเอง คงเกรงกลัวบารมีด้วยขอรับ”

สริตาพยักหน้าเข้าใจ พลางหยุดยืนภูเขารกครึ้มซึ่งอยู่ด้านหลังหมู่บ้านและห่างจากบ้านหลังสุดท้ายแค่ห้าสิบเมตรเท่านั้น

“โจรลงจากเขาหรือมาทางอื่น ?”

“ตามข้อมูลแจ้งว่าพวกโจรลงเขาและเข้าทางนี้” ทหารชี้ไปยังช่องทางเล็กๆที่เป็นดินสีแดง

สาวไทยก้มมองรอยเท้าม้าและคนเหยียบย่ำผืนดินแดงด้วยความสนใจ ปากพึมพำว่า “น่าจะมีม้าสักสิบตัว ห้าคนวิ่งบนพื้น”

สริตายืนมองภูเขาสูงทมึนเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด “โจรอยู่บนเขา ถ้าจะกำจัดโจร ก็ต้องเข้าไปหาโจรก่อน”

“ท่านอัคนีกำลังวางแผนกำจัดโจรอยู่ขอรับ”

สริตาเดินกลับไปเส้นทางเดิมซึ่งมีหญิงชายชาวบ้านหลายคนเริ่มโผล่หน้าทางหน้าต่างเพื่อดูหล่อนและสาวไทยก็ไม่ลืมโบกมือทักทายพร้อมรอยยิ้มไมตรีจิต

สาวไทยเดินกลับไปถึงบ้านพักของเจ้าชายอัคนี พลันสะดุ้งวาบในใจยามเห็นทักษายืนกอดอกรออยู่ที่ระเบียงบ้าน ส่วนคนแปลกหน้ากลุ่มใหม่นั่งกระจัดกระจายอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้บ้านพัก

“นายไม่แอบติดตามฉันแล้วรึ ?”

ทักษาส่ายหน้า “ผมมาทำงานตามคำสั่งของพ่อ”

“ท่านพยนต์สั่งรึ ?” หล่อนมองฉงน

“พ่อส่งทีมหมอจากวังมาช่วยดูแลรักษาชาวบ้านโมกแคนและเสริมการทำงานขององค์รัชทายาทให้รอบด้านมากขึ้น”

“สร้างคะแนนเสียงให้ท่านพยนต์หรือท่านอัคนีกันแน่”

ทักษายิ้มเย็น “คงต้องดูกันต่อไป”

“นายบอกว่ามารักษา แต่นายไม่รู้เรื่องการรักษา ก็หมายความว่า..............”

“ติชิลาคุมทีม ผมมาดูแลความปลอดภัยให้น้องสาว” เขาตอบแทรกอย่างรู้ใจ

สริตาสะดุ้งวาบในใจ พลันนึกขยาดกลัวเมื่อพี่น้องที่มีอันตรายสูงมาอยู่พร้อมหน้ากัน หล่อนน่าจะไม่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

“ฉันคิดว่า มาคุมฉันเสียอีก” หล่อนถามเหน็บในที

“ผลพลอยได้ของผม เพราะเธอตายไม่ได้” เขาบอกย้ำเสียง แววตาจริงจัง

เจ้าชายอัคนีกับติชิลาเดินออกมาที่ระเบียงบ้าน สริตามองสบนัยน์ตาเกลียดชังของติชิลาแล้วเบือนหลบไป

“ติชิลากับทักษาจะอยู่ร่วมทำงานในหมู่บ้านโมกแคนด้วย” เจ้าชายบอกกับสาวไทย แล้วหันไปสั่งหัวหน้าภูไทรจัดบ้านพักหลังใหม่เพิ่มเติมให้สองพี่น้องและทีมงาม

เมื่อลูกชายหญิงของมหาอำมาตย์พยนต์เดินห่างสายตาไป สริตาถามว่า “ท่านพยนต์ส่งพวกเขามาคุมท่านใช่ไหม ?”

“คงใช่”

“ทำไมท่าน.............”

เจ้าชายเอ่ยขัดเสียงเคร่งว่า “พวกเขาจะมาด้วยจุดประสงค์อะไร เป็นเรื่องหนึ่ง ผมตั้งใจมาขจัดปัญหาให้ชาวบ้าน เรื่องนี้ต้องมาก่อน”

สริตาจำใจเงียบ แล้วขอตัวไปพักผ่อนที่ห้องนอน ส่วนเจ้าชายอัคนีเรียกหัวหน้าทหารไปคุยหารือเรื่องแผนกำจัดโจร

ตอนค่ำสริตาเห็นทหารจัดเวรยามแน่นหนาเพื่อป้องกันภัยร้ายรอบบ้านพักของเจ้าชายอัคนี เขายังเชิญทักษากับติชิลามารับประทานอาหารค่ำร่วมกันด้วย มันเป็นความน่าอึดอัดใจสำหรับสาวไทยที่ต้องเผชิญหน้ากับติชิลาที่เคยวางยาพิษใส่หล่อน ส่วนทักษาก็ทำร้ายสริตาหลายครั้ง เมื่อรับประทานอาหารมื้อนั้นเสร็จเจ้าชายชวนทั้งสองไปดื่มน้ำชาที่ห้องรับรองด้านหน้า ติชิลาพูดคุยซักถามสารพัดเรื่องกับรัชทายาทอย่างอารมณ์ดี ส่วนสริตาแยกไปยืนมองที่หน้าต่างบานหนึ่ง หล่อนเห็นทหารเดินยามสับเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา โดยมีคบไฟจุดสว่างไสวรอบบ้านพัก

“ทำไมไม่ร่วมวงสนทนากับพวกเขาล่ะ ?” ทักษาถาม พลางมองไปที่ชุดรับแขกซึ่งเจ้าชายอัคนีกับติชิลากำลังพูดคุยกัน

“ไม่มีอารมณ์คุย” หล่อนตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้าต่าง

“ไม่ชอบหรือกลัวติชิลา ?”

สริตาหันขวับไปมองชายหนุ่มซึ่งยืนยิ้ม พลางตอบเสียงห้วนว่า “ฉันไม่อยากเสวนากับคนที่คิดร้ายกับฉัน ทำไมต้องกลัวเธอ ทั้งที่ฉัน............”

“อยากพูดว่าเธอมีพลังจิตที่เล่นงานติชิลาได้ไม่ยากใช่ไหม ?”

สาวไทยยักไหล่ “นายพูดเองนะ”

“คนที่มีพลังแบบนี้ มักทะนงตนเสมอ”

“ฉันถูกบังคับให้ใช้มันต่างหาก”

ทักษายิ้มเย็น พลางมองนอกหน้าต่างด้วย “คิดอย่างไรกับเรื่องข้างนอก ?”

“ไม่คิด”

“ทำไม ?”

“มันไม่ใช่เรื่องของฉัน” หล่อนตอบสะบัดเสียง

“ผมสงสารชาวบ้านที่ต้องอยู่อย่างหวาดผวาโจรมาเป็นเดือนแล้ว ทางการเพิ่งลงมือทำงาน เมื่อไรชีวิตสงบจะกลับคืนมาได้”

“ฉันฟังแล้วสยองมากกว่า”

“ทำไม ?” เขาหันไปสนใจสาวไทย

“ฉันไม่เชื่อว่านายสงสารคนอื่นเป็นไง”

“ผมคงทำให้เธอเห็นภาพแบบนั้นสิ”

“ใช่แล้ว”

ทักษาเดินเข้าไปเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้น แล้วเงี่ยหูฟังบางอย่าง สริตามองสงสัย

“ความสงบกำลังหมดไปแล้ว !”

“อะไรนะ ?”

ทักษาวิ่งกลับไปหาเจ้าชายอัคนีกับติชิลา แล้วบอกเสียงร้อนรนว่า “คนกลุ่มใหญ่ลงจากเขามาที่หมู่บ้านแล้ว !”

“พี่รู้ได้อย่างไร ?” ติชิลาถาม

“พี่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าในความมืด”

อึดใจต่อมาหัวหน้าทหารวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานว่า “หัวหน้าภูไทรแจ้งว่าโจรลงเขามาปล้นแล้วขอรับ”

“เตรียมทหารรับมือตามแผนได้หรือยัง ?” เจ้าชายถาม

“ยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซนต์ขอรับ”

“ใช้ทหารเท่าที่พร้อมก่อน” เจ้าชายตอบ แล้วทำท่าจะออกไปนอกบ้าน

รัชทายาทแห่งวังไวชยันต์หันมองสริตา พลางพูดกำชับว่า “อย่าออกนอกบ้าน ทหารจะดูแลบ้านอย่างแน่นหนา เข้าใจนะ สริตา”

“เข้าใจค่ะ” สาวไทยรับปากทันใด

เจ้าชายอัคนียิ้ม ก่อนจะเดินตามหัวหน้าทหารออกจากบ้านพัก ส่วนติชิลามองค้อนขวับที่เจ้าชายแสดงความห่วงใยสาวไทยมากกว่าหล่อน

“พวกเราทำอะไรกันล่ะ ?” ติชิลาถามกระแทกเสียงไปทางพี่ชาย

“นั่งรอฟังข่าวไง”

ทักษาปรายตามองสาวไทยซึ่งยืนเงียบ สักครู่สริตาทำท่าจะเดินเข้าไปในห้องนอน

“เธอควรอยู่สงบในห้องเท่านั้น” ทักษาบอก

“เป็นคำสั่งรึ ?” สริตาย้อนถาม น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจ

“ใช่”

สริตาเหยียดยิ้มเล็กน้อย “ฉันไม่รับคำสั่งของใคร”

สาวไทยเดินกระแทกเท้าเข้าห้องนอน ติชิลากระซิบกับพี่ชายว่า “ถ้าไม่ควบคุมตามคำสั่งของพ่อ เธอจะเป็นอันตรายกับงานของพ่ออย่างมาก”

สริตายืนมองที่หน้าต่างอย่างใช้ความคิด ขณะนี้โจรภูเขากำลังลงมาปล้นหมู่บ้านโมกแคนด้วยความย่ามใจและทหารของเจ้าชายอัคนียังจัดเตรียมกองกำลังไม่ครบถ้วนตามแผน พวกเขาจะรับมือกลุ่มโจรได้แน่หรือ ? หล่อนห่วงใยความปลอดภัยของเจ้าชายอัคนี พลันสายตามองเห็นเงาดำวิ่งผ่านอย่างรวดเร็วไปทางด้านหลังบ้าน มันมีหลายเงาซึ่งหล่อนมั่นใจว่าต้องเป็นคน มิใช่สัตว์ป่า ลางสังหรณ์บางอย่างบอกหล่อนว่าอันตรายคืบคลานเข้าใกล้แล้ว เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หล่อนเดินไปเปิดประตู คิ้วขมวดแน่นเมื่อเห็นทักษายืนอยู่

“โจรบุกมาแล้ว เธอจะปกป้องบ้านพักไว้ไหม ?” ทักษาถามเสียงขรึม

“นายรู้ว่ามีคนเข้ามารึ ?”

“ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขา”

“ฝีเท้ารึ ? นายเก่งขนาดนั้นเชียว”

“ถ้ารู้จักพัฒนาตัวเอง เรื่องแค่นี้ก็ไม่ยาก” เขาพูดเหน็บในที ดวงตาพราววับ

“คนปากจัด” หล่อนมองค้อน พลางถอนหายใจ “นายมีแผนรึ ?”

“เฉพาะเราสองคนเท่านั้น”

“ทำไมไม่บอกทหารนอกบ้าน ?”

“แค่เราสองคนก็เพียงพอแล้ว” ทักษายิ้มเป็นนัย

สริตาทำท่าใช้ความคิด ก่อนตอบว่า “ฉันรอฟังแผนของนายอยู่”

************** โปรดติดตามตอนต่อไป ********************

ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์