คุณภาพของน้ำย่อมหมายถึงคุณภาพและรสชาติของกาแฟถ้วยนั้นๆ
นอกจากเรื่องรสชาติแล้ว คุณภาพน้ำยังมีผลต่อการดูแลรรักษาของตัวเครื่องชงกาแฟเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
น้ำที่คุณภาพไม่ดี จะส่งผลเสียมากมาย ทำให้เกิดตะกรันสะสมในหม้อต้ม ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำความร้อนและ ทำให้การทำงานของเซนเซอร์ต่างๆในเครื่องกาแฟผิดเพี้ยนได้
ตะกรันสะสมในบอยเลอร์
ตะกรันหินปูนเกาะแน่นแท่งฮีตเตอร์
คราบสกปรกที่แท่งฮีตเตอร์
ค่า TDS อยู่ระหว่าง 90-150 ppm
ค่าความกระด้าง Total Hardness (TH) == 70-100 ppm
ค่า PH == 6.5-8
ค่า Alkalinity == 40-80 ppm
ค่า คลอรีนรวมทั้งหมด ไม่เกิน 0.1 ppm
น้ำสะอาดที่มีขายตามท้องตลาดแบบถังขนาด 5-6 ลิตรเช่น สปริงเคิล (ราคาเฉลี่ยประมาณ 3-4 บาทต่อลิตร) น้ำถังสีเขียวของ 7-11 (ราคาเฉลี่ยประมาณ 5-6 บาทต่อลิตร) เป็นต้น
ใช้เครื่องกรองน้ำแบบฟิลเตอร์ สำหรับเครื่องชงกาแฟ ที่เน้นความสำคัญของ กลิ่น รส โลหะหนัก นอกเหนือไปจากการกรองสิ่งสกปรกทั่วไป (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม)
หากสภาพน้ำประปาในพื้นที่มีค่า TDS หรือ มีค่าความกระด้างสูง เกินกว่า 300 ppm ควรจะต้องใช้เครื่องกรองน้ำแบบ RO และเพิ่มด้วยตัวเพิ่มแร่ธาตุเพื่อไม่ให้กระทบกับการทำงานของระบบเซนเซอร์ในเครื่องชงกาแฟ
เครื่องกรองน้ำ RO ต้องมีการกรองแบบละเอียดมากเพื่อกรองเอาแร่ธาตุที่ละลายในน้ำออกจนค่า TDS เกือบเป็น 0 ซึ่งน้ำ RO ถือได้ว่าเป็นน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุเลย
การที่ไม่มีแร่ธาตุหรือมีน้อยมาก ทำในน้ำ RO มีค่าการนำไฟฟ้าต่ำมากซึ่งจะมีผลต่อระบบเซนเซอร์ในเครื่องกาแฟทำให้ตรวจจับการนำไฟฟ้าไม่เจอทำให้ทำงานผิดพลาดได้ เช่นเซนเซอร์วัดระดับน้ำในบอยเลอร์เพื่อสั่งเติมน้ำอัตโนมัติ ถ้าข้างในเป็นน้ำ RO เครื่องอาจจะตรวจจับไม่เจอและตีความว่าไม่มีน้ำเลยสั่งเปิดวาล์วเติมน้ำจะน้ำล้นบอยเลอร์ได้
อัตราการไหลของน้ำที่ผ่านเครื่องกรองน้ำ RO ค่อนข้างต่ำ อาจจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่ต้องใช้น้ำชงกาแฟปริมาณมากได้