"ออกกำลังกายชนิดไหน"จึงจะ"ลดอัตราการตายได้ดีที่สุด" ระหว่าง "วิ่ง".."เล่นฟิตเนส".."ขี่จักรยาน".."ว่ายน้ำ" "ฟุตบอล".."ตีแบด".."เทนนิส".."วิดพื้น".."ซิตอัพ" หรือ "โหนบาร์"..
..ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่าการออกกำลังกายนั้น"ดีต่อสุขภาพ" สามารถ"ลดอัตราการตาย" และ"ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด"ของมนุษย์ได้อย่างมหาศาล
..มาดูกันครับ..ว่าการออกกำลังกาย "แต่ละชนิด" สามารถ"ลดอัตราการตาย"ได้แตกต่างกันเท่าไร.."ชนิดไหน" "ลดอัตราการตาย"ได้ดีที่สุด
..เป็นผลการศึกษาวิจัยโดยอายุรแพทย์โรคหัวใจของ รพ.Frederiksberg ในกรุงโคเปนเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ก ชื่อ นายแพทย์ Peter Schnohr และ คณะ..ลงตีพิมพ์ในวารสารของ Mayo Clinic เมื่อ 4 กย.2561นี้เอง
..ศึกษาติดตามประชากรเกือบ9พันคน มาเป็นเวลานาน 25 ปี พบว่า"คนที่ออกกำลังกาย"ด้วยการเล่น "กีฬาชนิดต่างๆ" จะ "เสียชีวิตได้ช้ากว่า" "คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย"..รายงานตัวเลขการเสียชีวิตที่ช้ากว่าเป็น "จำนวนปี" ออกมาอย่างนี้ครับ..
..อันดับ 8.."การออกกำลังกายเองแบบส่วนตัวในโรงยิม หรือ ฟิตเนสคลับ" เช่น เล่น weight, ยกน้ำหนัก, ยกดัมเบล จะ "เสียชีวิตได้ช้ากว่า" "คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย" "1.5 ปี"
..อันดับ 7.."การออกกำลังกายแบบ "Calisthenics"
(การออกกำลังกายแบบใช้น้ำหนักของตัวเองเป็นแรงต้าน เช่น วิดพื้น, โหนบาร์, ซิตอัพ, ท่าลุกนั่ง หรือ ท่าพิเศษต่างๆ อย่าง วิดพื้นแขนเดียว, ลุกนั่งขาเดียว) ตัวเลขอยู่ที่ "3.1 ปี" ครับ!!
"เหตุผลสำคัญ" ที่ทำให้ "การเล่นเทนนิส", "แบดมินตัน" และ "ฟุตบอล" ติดสามอันดับแรกสุด เชื่อว่าเป็นเพราะการออกกำลังกาย 3 ชนิดนี้ มีการ "สื่อสาร" และ "ปฏิสัมพันธ์กัน" (Social interactive) ระหว่างผู้ที่ออกกำลังกายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งขันหรือเพื่อนร่วมทีม มากกว่าการออกกำลังกายแบบอื่นๆ
ซึ่งในปัจจุบันมีหลายๆงานวิจัยพบว่า คนที่มี "การสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์" (Social interactive) กับคนอื่นๆในสังคม จะมีผลดีในการ "ลดอัตราการตาย" และ "ลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด" ได้ดีกว่าคนที่ชอบแยกตัวอยู่คนเดียวไม่ข้องเกี่ยวกับใคร
.."การเล่นกอล์ฟ" ซึ่งเป็นกีฬาที่มี "การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์" กันกับผู้ร่วมเล่นคนอื่นค่อนข้างมาก ก็เคยมีงานวิจัยพบว่า สามารถทำให้เสียชีวิตได้ช้ากว่าคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายถึง "5 ปี" เช่นกัน
ดังนั้น ณ เวลานี้ ผมขอสรุปคำแนะนำในการออกกำลังกายให้อย่างนี้ครับ
1. ออกกำลังกายอะไรก็ได้ครับ ที่ "ชอบ", "สะดวก", "ง่ายๆ", "ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย" และ "เหมาะกับตัวเอง" มากที่สุด ล้วนได้ประโยชน์ทั้งนั้นแหละครับ ไม่ต้องไปเลือกเฉพาะอันดับต้นๆตามผลการวิจัย อย่าไปฝืนออกกำลังในแบบที่ไม่ชอบ ไม่สะดวก ไม่เหมาะกับตัวเอง, ยุ่งยาก หรือ สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เพราะจะทำให้ออกกำลัง ได้ไม่สม่ำเสมอ หรือ ออกได้น้อยเกินไป จนได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายน้อยกว่าที่ควรจะเป็นซะเปล่าๆ
2. ต้องออกให้ "หนักพอ".."นานพอ"..และ "บ่อยพอ" จึงจะ "ได้ประโยชน์" เต็มๆนะครับ
สำหรับ"คนที่ไม่มีโรคหัวใจ" ให้ออกกำลังความหนักใน
"ระดับปานกลาง" หรือ "ระดับหนัก" ได้เลยครับ
ถ้าความหนัก"ระดับปานกลาง" (เหนื่อยในระดับที่ร้องเพลงไม่ได้ แต่ยังพูดเป็นประโยคสั้นๆได้ในขณะออกกำลังกาย หรือ อัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีขณะออกกำลังอยู่ที่ 50-70% ของค่า 220 ลบด้วยอายุ)
ให้ออก "อย่างน้อยวันละ 30 นาที".."อย่างน้อย 5 วัน ต่อสัปดาห์"
ถ้าความหนัก"ระดับหนัก" (เหนื่อยในระดับที่พูดเป็นประโยคไม่ไหว พูดได้แค่เป็นคำๆในขณะออกกำลังกาย หรือ อัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีในขณะออกกำลังกายอยู่ที่ 70-85% ของค่า 220 ลบด้วยอายุ)
ให้ออก "อย่างน้อยวันละ 25 นาที".."อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์"
สำหรับ"คนที่มีโรคหัวใจ"แนะนำให้ออกใน"ระดับปานกลาง" เท่านั้น และ ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนด้วยครับ
3. ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกการออกกำลังกายในแบบที่มี
"การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์" (Social interactive) กับผู้ร่วมออกกำลังกายคนอื่นๆมากๆ จะยิ่งดีกว่า การออกกำลังแบบส่วนตัวอยู่คนเดียว ครับ
ลองปฏิบัติดูนะครับ..มาเล่นกันเถอะ..มาเล่นกันเถอะ..