ใครที่ยังลังเลสองจิตสองใจว่าจะกินหรือไม่กินยาลดไขมันเพื่อป้องกันโรคหัวใจและอัมพฤกษ์อัมพาต เนื่องจากกลัวผลข้างเคียงของยา..ผมอยากให้ดูข้อมูลนี้ครับ...
..หลังจากยืนแลกหมัดกันกลางเวทีอย่างต่อเนื่อง ถกเถียงกันเรื่องประโยชน์และโทษของยาลดไขมันสเตตินมายาวนานจนครบ 12 ยก..ในที่สุดกรรมการก็ชูมือให้ "กลุ่มผู้สนับสนุนการใช้ยาลดไขมันสเตติน"
เป็น "ผู้ชนะ"
..สู้กันถึงพริกถึงขิง ดุเดือด ทุกยก แต่ผลการชกนั้น ออกมา "ขาดลอย" ครับ..ฝ่ายต่อต้านแพ้ แบบ หมดรูป บอบช้ำ และ เป็นเอกฉันท์ แพ้ทั้งผลสกอร์และรูปทรงรูปมวยวิธีการชก
..กรรมการผู้ตัดสินชี้ขาดบนเวที คือ European Heart Journal 2018 เปิดเผยตัวเลขข้อมูลจากสถิติ
งานวิจัยอย่างเป็นทางการออกมาเรียบร้อย..ดังนี้ครับ
"ผลด้านลบ" ของยาที่ "โลกโซเชียล" ขยี้กันเยอะๆ
และ "เกินจริง" ไปมาก ได้แก่...
1. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
..นี่เป็นประเด็นที่ทำให้คนไข้"กลัว"จน"ไม่อยากกิน"หรือ"หยุดกินยา"กันมากที่สุดเลยครับ
..ตัวเลขสถิติจริงๆ พบน้อยมาก แค่ "1-2 ต่อพันคน" เท่านั้นเอง
..ดังนั้นการที่คนไข้ที่กินยาไปแล้วมักจะบ่นเรื่องนี้กันบ่อยๆ รวมทั้งการที่บางการวิจัยบอกว่าพบถึงร้อยละ 7-29 นั้นมักจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า "โนเซโบ้ เอฟเฟ็ค"
(Nocebo effect) มากกว่าครับ..
.."โนเซโบ้ เอฟเฟ็ค" คือ การที่คนไข้ทราบข้อมูล
อยู่ก่อนว่ายาอาจจะมีผลด้านลบอะไรได้บ้าง จึงเกิดการคิดไปเองก่อนว่าตัวเองมีอาการข้างเคียงแบบนั้น..
นอกจากนี้ หลายรายก็ปวดกล้ามเนื้อจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ออกกำลังกายหนัก ยืนนาน เดินเยอะ ก็มักจะมาโทษว่าเป็นจากยากันด้วยครับ
2. ผลต่อตับ
..พูดกันเยอะ กลัวกันมาก ว่าจะทำให้ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับเสีย นู่น นี่ นั่น..
..ตัวเลขสถิติจริงๆเรื่องผลอันตรายต่อตับ ออกมาแค่ "1 ต่อ แสน" และ ถ้านับเฉพาะที่รุนแรงนั้นแค่ "2 ต่อล้านคนต่อปี" เองครับ..ถือว่า น้อยยยมากๆ
..ส่วนผลเรื่องเจาะเลือดแล้วพบ "เอนไซม์ตับ"
ขึ้นเล็กน้อย ซึ่งพบได้ประมาณ 0.5-2%นี่ยิ่งไม่ต้องกลัวเลยครับ..ไม่มีอันตรายใดๆทั้งสิ้น..มักเจอช่วง 3 เดือนแรก หลังจากนั้นจะลดลงเป็นปรกติเองโดยไม่ต้องหยุดหรือลดยาเลย
3. อาจทำให้เป็นเบาหวาน
..1 ต่อพันคนต่อปี ครับ..ถือว่าน้อยมากและมักพบในคนที่มีแนวโน้มว่าน้ำตาลจะสูงอยู่ก่อนแล้วด้วย
4. ความจำเสื่อม
..ตัวเลขออกมา "ไม่มีนัยสำคัญ" ทางสถิติเลยครับ..ไม่ต้องกลัว!!
5. เลือดออกในสมอง
..ที่พูดกันขึ้นมาก็เพราะมีอยู่ 1 งานวิจัยที่รายงานผลออกมาแบบนั้น แต่ผลการวิจัยอื่นๆอีกหลายๆการวิจัยสรุปว่า ยา "ไม่มีผลต่อการเกิดเลือดออกในสมอง"
เลยครับ
6. ไตวาย
..ตัวเลขสถิติออกมา "ไม่มีนัยสำคัญ" ทางสถิติครับ..เลิกกลัวกันได้เลย
7. ต้อกระจก
..ตัวเลขสถิติออกมา "ไม่มีนัยสำคัญ" ทางสถิติเช่นกัน..ไม่ต้องกลัวครับ
มาดู "ผลด้านบวก" อัน"มหาศาล"ของยากันบ้างครับ
..ลดโอกาสเกิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาต ได้ 33%
..ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้ถึง
ปีละ 5 ครั้ง ต่อคนที่กินยา 1 พันคน
..เมื่อกินยาจนลดไขมันเลวLDL ลงได้ 40 จากค่าตั้งต้น เช่น จาก 140 เหลือ 100 จะสามารถ..
- ลดอัตราการตายรวมจากทุกสาเหตุ 10%
- ลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน 20%
- ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันได้ 23%
..ยิ่งถ้าลดไขมันเลวLDLได้มากกว่านี้อีก ก็จะยิ่งลดอัตราการตายและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันได้มากขึ้นไปอีกเรื่อยๆครับ
..ข้อมูลจากประเทศอังกฤษยังประมาณการว่า ถ้าคนไข้ที่กินยาอยู่ แล้วหยุดกินยาไปซัก 10 จาก 100 คน..ผลที่จะเกิดขึ้น คือ จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มขึ้นถึง 2,000-6,000 ครั้งภายใน 10 ปีข้างหน้า
..สรุปว่าผลข้างเคียงของยาที่ถูก "ฝ่ายต่อต้าน"
กล่าวโทษและขยายความกันจนเกินจริงทางโลกโซเชียลนั้นเมื่อดูตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ออกมาแล้ว
ถือว่า"จิ๊บจ๊อย"มาก..เทียบกันไม่ได้เลยกับ"ประโยชน์มหาศาล"ของยาครับ..อย่ามี "โนเซโบ้ เอฟเฟ็ค" ละกันนะครับ!!!...