อุดมคติ (ระดับลูกเสือชั้นพิเศษ)
ความสัมพันธ์ของหลักธรรมทางศาสนากับกฎของลูกเสือ
คำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ
คำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ ไม่มีคำว่า “อย่า” หรือ “ต้อง” ไม่มีการห้ามหรือบังคับ แต่เป็นคำปฏิญาณหรือคำมั่นสัญญาที่ลูกเสือและผู้บังคับบัญชาลูกเสือได้กล่าวรับรองด้วยเกียรติของตนเองและด้วยความสมัครใจ ส่วนกฎของลูกเสือได้กำหนดไว้เป็นกลางๆ เพื่อให้ลูกเสือถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาลูกเสือ จะต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎของลูกเสือเป็นพิเศษ เพื่อบำเพ็ญตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกเสือ คำปฏิญาณและกฎของลูกเสือทำให้ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รู้ว่าบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มีระเบียบวินัย อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม และไม่ก่อให้เกิดความยุ่งยากใดๆ ในบ้านเมือง ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การลูกเสือเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติ คำว่า “ ปฏิญาณ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “การให้คำมั่นโดยสุจริตใจ”
ลูกเสือจะต้องสำนึกว่า เจากล่าวคำปฏิญาณด้วยความสมัครใจของเขาเอง อนึ่ง เขาจะต้องเข้าใจด้วยว่า ผู้จะเรียกได้ว่าเป็น “คนจริง” เพื่อให้ผู้อื่นนับถือ หรือ เชื่อถือได้นั้น จะต้องเป็นผู้รักษาคำพูด โดยเฉพาะที่เป็นคำปฏิญาณ หรือคำมั่นสัญญาของตน กล่าวคือ ถ้าสัญญาว่า จะทำอย่างไรแล้วต้องทำเหมือนปากพูดทุกอย่าง ดังคำกล่าวปฏิญาณที่กล่าวว่า
ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า
ข้อ 1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ข้อ 2 ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ 3 ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ
จากคำปฏิญาณในข้อที่ 1 นั้น แสดงให้เห็นว่าลูกเสือมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
ก. หน้าที่ต่อชาติ
ชาติไทย คือ แผ่นดินและน่านน้ำที่รวมกันเรียกว่าประเทศไทย ประกอบด้วย ประชาชนพลเมืองที่รวมกันเรียกว่า คนไทย
ธงชาติ เป็นเครื่องหมายแทนชาติ ฉะนั้น ธงชาติจึงเป็นสิ่งที่ควรแก่การเคารพ เป็นหน้าที่ของลูกเสือทุกคนจะต้องแสดงความเคารพในโอกาสที่ชักธงขึ้นสูงยอดเสา และเวลาเชิญธงลงจากยอดเสา
พิธีชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา หรือเชิญธงลงจากยอดเสานี้ เป็นพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของลูกเสือ ซึ่งจะต้องกระทำด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้จะต้องระวังไม่ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของธงสัมผัสกับพื้นดินเป็นอันขาด ลูกเสือไม่ควรทำการใดๆ อันที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่เกียรติของธงชาติ เช่นนำผืนธงไปปูพื้น เช็ดสิ่งของหรือเหยียบย่ำ และกองไว้บนเท้า
ธงชาติไทยเรียกว่าธงไตรรงค์ แปลว่า ธงสามสี ลูกเสือควรจะทราบด้วยว่า แต่ละสีมีความหมายอย่างไร
สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของไทยคือเพลงชาติ ลูกเสือและผู้บังคับบัญชาลูกเสือทุกคน จะต้องสามารถร้องเพลงชาติได้อย่างถูกต้อง
ข. หน้าที่ต่อศาสนา
ลูกเสือจะนับถือศาสนาใดๆ ก็ได้ เพราะทุกศาสนาต่างก็มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือ สอนให้บุคคลเป็นคนดี ได้แก่การละเว้นความชั่ว การทำแต่ความดี และทำใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์
ค. หน้าที่ต่อพระมหากษัตริย์
ผู้กำกับลูกเสือพึงหาวิธีการต่างๆ ที่ตจะทำให้ลูกเสือสนใจพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ โดยเน้นถึงเวลาที่พระองค์ทรงอุทิศให้แก่บ้านเมือง และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของชาติ เป็นที่รวมแห่งความเคารพสักการะ และความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ นอกจากนั้น พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติด้วย
การบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งของลูกเสือ และเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้การลูกเสือมีชื่อเสียง ได้รับการยกย่องจากประชาชนโดยทั่วไป แหล่งหรือโอกาสที่ลูกเสือจะบำเพ็ญประโยชน์นั้น ควรเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวเด็กก่อน แล้วขยายออกไปตามวัย และความสามารถของเด็ก กล่าวคือ
1. บ้านของลูกเสือ ควรส่งเสริมให้เด็กทำงานในบ้าน หรือบำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว เพื่อเป็นการเพาะนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก
2. โรงเรียนหรือที่ตั้งกองลูกเสือ ผู้บังคับบัญชาลูกเสือควรส่งเสริมให้เด็ก ได้ทำงานเป็นประโยชน์ต่อเพื่อน ต่อห้องเรียน และต่อโรงเรียนให้มากที่สุด โดยสอนให้ลูกเสือตระหนักว่า งาน เป็นสิ่งที่มีเกียรติ งานเท่านั้นเป็นเครื่องวัดคุณค่าของคน
ข้อ 1 ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้
ข้อ 2 ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และซื่อตรงต่อผู้มีพระคุณ
ข้อ 3 ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น
ข้อ 4 ลูกเสือเป็นมิตรกับคนทุกคน และเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
ข้อ 5 ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
ข้อ 6 ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
ข้อ 7 ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา และผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
ข้อ 8 ลูกเสือมีใจร่าเริงและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
ข้อ 9 ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์
ข้อ 10 ลูกเสือประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
กฎของลูกเสือข้อ 10 ได้ดัดแปลงมาจากกฎของลูกเสือข้อ 10 ตามธรรมนูญของสมัชชาลูกเสือโลกที่ว่า “ ลูกเสือเป็นผู้สะอาดในทางความคิด วาจา และการกระทำ”
ลูกเสือที่แท้จริงถือว่า เกียรติของเขาสำคัญกว่าสิ่งใด เกียรติของเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่รู้จักรักษาเกียรติ เป็นผู้เชื่อถือได้เสมอ เขาจะไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เสียเกียรติเช่นพูดเท็จกับผู้บังคับบัญชา หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา และเขาจะทำตัวให้เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ในฐานะที่เป็นลูกเสือ ท่านต้องไม่ยอมให้สิ่งยวนใจ ไม่ว่าจะลึกลับหรือรุนแรงเพียงไร มาชักจูงใจให้ท่านกระทำการใดๆที่ไม่สุจริต หรือเป็นที่น่าสงสัยและจะไม่ละเมิดคำสัญญาเป็นอันขาด
ในฐานะเป็นพลเมืองดี ท่านจะต้องระลึกเสมอว่า ท่านเป็นคนหนึ่งในคณะ หรือเป็นอิฐก้อนหนึ่งในกำแพง ท่านจะต้องทำหน้าที่ของท่าน ให้ดีที่สุดและซื่อตรงกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ท่านจะต้องไม่ทำลายเกียรติของท่านด้วยการเล่นไม่ซื่อ นอกจากนั้น ท่านต้องไม่ทำให้ผู้ที่ไว้วางใจท่านไม่ว่าชายหรือหญิงต้องผิดหวัง บรรพบุรุษของท่านได้ทำงานด้วยความเข้มแข็ง รบด้วยความทรหด และตายด้วยความองอาจ เพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ให้ท่าน ขออย่าให้บรรพบุรุษของท่านมองลงมาจากสวรรค์และเห็นท่านเที่ยวเตร่ เอามือใส่กระเป๋าโดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เพื่อบ้านเมืองเลย
ข้อ 3 ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น
ลูกเสือจะพยายามให้ความเมตตา กรุณา เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ต่อประชาชนอยู่เสมอ ความคิดเห็นของเขามีว่าทุกคนต้องตาย แต่ท่านควรจะทำใจของท่านว่า ก่อนเวลาจากโลกนี้ไปตามวิถีทางธรรมชาติ ท่านควรจะทำความดีบ้าง ฉะนั้น จงทำทันที เพราะท่านไม่รู้เลยว่าเมื่อไรท่านจะต้องล่วงลับไป
ข้อ 4 ลูกเสือเป็นมิตรกับคนทุกคน และเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
ในฐานะที่ท่านเป็นลูกเสือ ท่านจะต้องยอมรับรู้ว่า คนอื่นเป็นเพื่อนมนุษย์ และท่านต้องไม่รังเกียจความแตกต่างในเรื่องความคิด วรรณะ ศาสนา หรือชาติบ้านเมือง ท่านต้องขจัดอคติของท่าน และมองหาจุดดีของคนอื่น ส่วนจุดชั่วนั้นคนโง่ก็ย่อมวิจารณ์ได้ ถ้าท่านแสดงไมตรีจิตรต่อคนชาติอื่นได้ เช่นนี้ก็นับว่าท่านได้ช่วยก่อให้เกิดสันติภาพและไมตรีจิตรระหว่าประเทศและมวลมนุษยชาติได้
ข้อ 5 ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
ในฐานะที่ท่านเป็นลูกเสือ ท่านจะต้องสุภาพและคำนึงถึงผู้หญิง คนแก่ เด็ก และบุคคลทั่วไป แต่ยิ่งกว่านั้น ท่านจะต้องสุภาพต่อฝ่ายตรงข้ามกับท่านด้วย รวมความว่าท่านจะต้องเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษคือผู้ปฏิบัติตามกฎแห่งการบำเพ็ญประโยชน์ของลูกเสือ
ข้อ 6 ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
สัตว์ทั้งหลายมีความรักและหวงแหนชีวิตของตนยิ่งกว่าสิ่งใด ต่างก็ดิ้นรนต่อสู้ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยจากอันตราย ทุกชีวิตปรารถนาความสุข ความรัก ความอบอุ่นและการช่วยเหลือเกื้อกูล แต่เกลียดกลัวและหวาดระแวงต่อการล่วงเกินเบียดเบียนและทำร้าย
ภาระกิจอันสำคัญที่สุดของลูกเสือ คือการช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ และการบริการผู้อื่นให้ได้รับความสุข ดังนั้น ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ทุกคน จึงควรจะเป็นผู้ที่มีความรักและเมตตากรุณาต่อสัตว์ด้วย
ข้อ 7 ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา และผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
ในฐานะที่เป็นลูกเสือ ท่านย่อมบังคับตนเองและเต็มใจ เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ ครู อาจารย์ นายหมู่ และผู้กำกับลูกเสือโดยชอบด้วยเหตุผล ไม่มีการโต้แย้ง ชุมชนที่มีวินัยเป็นชุมชนที่มีความสุขที่สุด แต่วินัยต้องเกิดมาจากภายใน มิใช่ถูกบังคับจากภายนอก ดังนั้น การปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก
ข้อ 8 ลูกเสือมีใจร่าเริงและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
ในฐานะที่เป็นลูกเสือ คนอื่นๆ จะคอยมองดูท่านและคิดอยู่เสมอว่า ท่านคงจะไม่หัวเสียและจะยืนหยัดต่อสู้ด้วยความเข้มแข็งและร่าเริงอดทนในเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น
ข้อ 9 ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์
ในฐานะที่เป็นลูกเสือ ท่านจะมองไปข้างหน้าและจะไม่ยอมเสียเวลาหรือเสียเงินสำหรับความสุขสำราญในปัจจุบัน แต่จะใช้โอกาสนั้นเพื่อให้ได้บรรลุความสำเร็จในหน้าที่ที่ท่านกระทำ ทั้งนี้เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องเป็นภาระแก่ผู้อื่น แต่กลับจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย
ข้อ 10 ลูกเสือประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
ในฐานะที่ท่านเป็นลูกเสือ ท่านต้องมีใจสะอาดคิดแต่เรื่องที่เป็นมงคล สามารถควบคุมสติและจิตใจของตนเอง ไม่ให้ฟุ้งซ่านในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและของมึนเมาจนเกินกว่าเหตุ ท่านต้องเป็นตัวของตัวเองและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านคิด พูด และกระทำ
ศีล 5 ศีล 8
ศีล แปลว่า ปรกติ คือการปฏิบัติที่เป็นการควบคุมรักษากาย วาจา ของตนไว้ให้บริสุทธิ์หรือสงบเพื่อควบคุมโทสะ ความโหดร้ายหยาบคายทางกาย วาจา รักษาตนไว้ไม่ให้เสียหาย
ถ้าใครรักษาศีลไว้ไม่ได้ครบหรือรักษาไม่ได้เลย ก็ เรียกว่า ผิดปรกติของมนุษย์ เพราะปรกติของมนุษย์จะต้องไม่เบียดเบียนกันด้วยกาย วาจาเยี่ยงสัตว์ทั้งหลาย โดยมีศีล 5 ประจำใจเป็นอย่างน้อย
ศีล เมื่อรักษาไว้ได้ย่อมได้บุญ เพราะ
1. ทำให้สามารถรักษาบุญเก่าไว้ได้ คือไม่ เปิดโอกาส ให้กิเลสรุกคืบเข้ามาได้
2. ทำให้ได้บุญใหม่ คือตั้งใจมั่น พร้อมที่จะรับความดีที่สูงขึ้นอีกต่อไป
ศีล 5
1. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและใช้ให้คนอื่นฆ่า
2. อทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเองและใช้ให้คนอื่นลัก
3. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
5. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่สะอาด
ศีล 8
1. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและใช้ให้คนอื่นฆ่า
2. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเองและใช้ให้คนอื่นลัก
3. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
5. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่สะอาด
6. วิกาละโภชนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
7. นัจจะคัตะวาทิกะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะธาระนะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เว้นจากดู ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้อง และประโคมเครื่องดนตรีต่าง ๆ และดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล และทัดทรงตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับและดอกไม้ของหอมเครื่องทา เครื่องย้อมขัดผิวให้งามต่าง ๆ
8. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เว้นจากนั่งนอน เหนือเตียงตั่ง มีเท้าสูงเกินประมาณ และที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ ภายในใส่นุ่นและสำลี อาสนะอันวิจิตรไปด้วยลวดลายงามด้วยเงินทองต่าง ๆ
วิธีอาราธนาศีล อาราธนาธรรม และอาราธนาพระปริตร
การอาราธนา คือ การเชิญพระสงฆ์ในพิธีให้ศีล ให้สวดพระปริตร หรือแสดงธรรมเป็นธรรมเนียมมีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งจะต้องมีการอาราธนนาก่อน พระสงฆ์จึงจะประกอบพิธีนั้นๆ และการอาราธนาที่ถือเป็นธรรมเนียม มีกันมา 3 กรณีเท่านั้น
คำอาราธนาศีล
มยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ทุติยัมปิ มยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ตะติยัมปิ มยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
คำอาราธนาพระปริตร
* วิปะติ ปะติพาหายะ สัพพะสัมปะติสิทธิยา
สัพพะทุกขะวินาศายะ ปริตตัง พรูถะ มังคะลัง
* วิปะติ ปะติพาหายะ สัพพะสัมปะติสิทธิยา
สัพพะภะยะวินาศายะ ปริตตัง พรูถะ มังคะลัง
* วิปะติ ปะติพาหายะ สัพพะสัมปะติสิทธิยา
สัพพะโรคะวินาศายะ ปริตตัง พรูถะ มังคะลัง
แปลว่า "ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย ได้โปรดสวดพระปริตร อันเป็นมงคลเพื่อความสำเร็จแห่งสมบัติทั้งปวง เพื่อความทุกข์ ภัย และโรคทั้งปวงเถิด"
คำอาราธนาธรรม
พรหมา จะ โลกาธิปปะตี สะหัมปะติ กัตอัญชลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ
สันตีธะ สัตตา ปะระชักขะชาติกา เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง
แปลว่า " ท้าวสหัมบดีพรหม ผู้เป็นใหญ่ยิ่งขึ้น ได้ประคองอัญชลี ทูลอาราธนาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีกิเลสเพียงดังธุลี ในจักขุเบาบางยังมีอยู่ เพราะมิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้จักทั่วถึงธรรมได้ยังมีอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรม"
โอวาทหลักของพระพุทธเจ้า (โอวาทปาฏิโมกข์)
ใจความแห่งโอวาทหลัก หรือโอวาทปาฏิโมกข์ มีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน จึงมักเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โอวาท 3” คือ
การไม่ทำชั่วโดยประการทั้งปวง
การสร้างสรรค์ความดีให้เกิดขึ้น
การทำจิตใจของตนให้หมดจดผ่องใส
โอวาทข้อที่ 1 ที่ว่า การไม่ทำชั่วโดยประการทั้งปวง นั้น หมายถึง การไม่กระทำความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ตลอดจนไม่ประพฤติผิดกฎหมาย ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีต่างๆ และกฎของสังคมที่เราอยู่
โอวาทข้อที่ 2 ที่ว่า การสร้างสรรค์ความดีให้เกิดขึ้น นั้น หมายถึง การกระทำความดีทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ตลอดจนการปฏิบัติตัวตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีต่างๆ และกฎของสังคมที่เราอยู่
โอวาทข้อที่ 3 ที่ว่า การทำจิตใจของตนให้หมดจดผ่องใส นั้น นับว่าเป็นคำสอนที่มีลักษณะพิเศษที่ต่างจากศาสนาอื่น
มิตรแท้ คือ มิตรที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันในยามคับขันเป็นมิตรด้วยจริงใจ ถือว่าเป็นบุคคลที่ควรคบ มี 4 พวก คือ
1. มิตรมีอุปการะ มีลักษณะ 4 ประการ คือ
- ป้องกันมิตรผู้ประมาทแล้ว
- ป้องกันทรัพย์สินของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว
- เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้
- เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพย์เกินกว่าที่ออกปากได้
2. มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข มีลักษณะ 4 ประการ คือ
- ขยายความลับของตนแก่เพื่อน
- ปิดบังความลับของเพื่อนมิให้แพร่งพราย
- ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ
- แม้ชีวิตก็อาจสละแทนกันได้
3. มิตรนำประโยชน์ มีลักษณะ 4 ประการ คือ
- ห้ามมิให้ทำชั่ว
- แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี
- ให้ได้ฟังได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยฟัง
- บอกทางสวรรค์ให้
4. มิตรมีความรักใคร่ มีลักษณะ 4 ประการ คือ
- เพื่อนมีทุกข์ พลอยทุกข์ด้วย
- เพื่อนมีสุข พลอยสุขด้วย
- โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพื่อน
- สรรเสริญเพื่อน
มิตรเทียม คือคนเทียมมิตร คือศัตรูผู้มาในร่างกายของมิตร เรียกคนเทียมมิตร หรืออมิตร ไม่ใช่มิตรแท้ ไม่ควรคบ ควรหนีให้ไกล มี 4 จำพวก
1. มิตรปอกรอก หรือคนปอกรอก คือบุคคลที่ขนเอาของเพื่อไปฝ่ายเดียว มีลักษณะ 4 ประการ คือ
- คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
- เสียแต่น้อยแต่คิดเอาให้มาก
- ไม่รับทำกิจของเพื่อในคราวมีภัย
- คบเพื่อนเพราะเห็นประโยชน์ของตัว
2. มิตรดีแต่พูด หรือคนดีแต่พูด ไม่ควรคบ ไม่ควรปรึกษาหารือ หรือขยายความลับให้ฟัง
- เก็บเอาของล่วงมาแล้วมาปราศรัย
- อ้างเอาของที่มาถึงมาปราศรัย
- สงเคราะห์ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์ไม่ได้
- ออกปากพึ่งไม่ได้ คือเมื่อเพื่อนมีกิจ อ้างแต่เหตุขัดข้อง
3. มิตรหัวประจบ หรือคนหัวประจบ เป็นบุคคลต้องห้ามเด็ดขาดของผู้บริหาร มีศัพท์เฉพาะว่า “อนุปิยภาณี” คือ ช่างพูด ช่างบอกกล่าวหาความดี ความรักเพื่อตัวเอง มีลักษณะ 4 ประการ คือ
- จะทำชั่วก็คล้อยตาม
- จะทำดีก็คล้อยตาม
- ต่อหน้าว่าสรรเสริญ
- ลับหลังตั้งหน้านินทา
4. มิตรชวนในทางฉิบหาย หรือ คนชักชวนในทางฉิบหาย คือ เป็นคนที่ไม่ควรคบอย่างยิ่ง บุคคลผู้หวังในความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ต้องหลีกหนีให้ไกล มีลักษณะ 4 ประการ คือ
- ชักชวนดื่มน้ำเมา
- ชักชวนเที่ยวลางคืน
- ชักชวนเที่ยวดูมหรสพ
- ชักชวนเล่นการพนัน
อบายมุข 6
อบายมุข แปลว่า ทางแห่งความเสื่อม หมายถึง ช่องทางหรือหนทางที่จะพาคนไปสู่ความเสื่อมเสีย ที่สำคัญมี 6 อย่าง คือ
1. ดื่มน้ำเมา หรือการเสพของมึนเมาทุกประการ มีสุราเมรัยเป็นต้น มีโทษ ทำให้เสียทรัพย์ เกิดโรคภัย เสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่รู้จักระอาย ปัญญาเสื่อม ทะเลาะวิวาท
2. นักเลงผู้หญิง เที่ยวกลางคืน หมายถึง ชอบเที่ยวผู้หญิง ประพฤติไม่เหมาะสมทางเพศ คบชู้ มักมากทางกามารมณ์ มีโทษ เสียทรัพย์ เสียครอบครัว เกิดโรคภัย มักถูกใส่ความ เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย
3. ชอบดูการละเล่น หรือดูมหรสพอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่ว่าจะรำที่ไหน ร้องที่ไหน ประโคมที่ไหน เพลงที่ไหน เสภาที่ไหน เถิดเทิงที่ไหน เป็นต้องไปที่นั่น อย่างนี้ไม่รู้จักทำกิน เป็นเหตุแห่งทางเสื่อม
4. ชอบเล่นการพนัน ผลจากการเล่นการพนันก็คือ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมจองเวร เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ไม่มีใครเชื่อถ้อยคำ ไม่มีใครประสงค์จะอยู่ด้วย
5. คบคนชั่วเป็นมิตร เพื่อนเป็นอย่างไรมักนำพาให้เราเป็นตาม เช่นเป็นนักเลงการพนัน นักเลงเจ้าชู้ นักเลงเหล้า นักเลงหัวไม้ หลอกลวงฉ้อโกงเขากิน
6. เกียจคร้านการทำงาน มักมีข้ออ้างอยู่ไม่เว้น หนาวนัก ร้อนนัก ยังเช้าอยู่ สายแล้ว หิวนัก กระหายนัก