ความรู้เกี่ยวกับการอยู่ค่ายพักแรม
1. การอยู่ค่ายพักแรม คืออะไร
การอยู่ค่ายพักแรม คือ การเดินทางจากโรงเรียนของลูกเสือไปยังที่ใดที่หนึ่งตามมติของที่ประชุมนายหมู่ได้กำหนดไว้ เพื่อฝึกความอดทน รู้จักการช่วยตนเอง รู้จักการอยู่ร่วมกันและการทำงานร่วมกับผู้อื่น ฝึกให้เป็นผู้มีระเบียบ วินัย ตลอดจนเน้นการให้ประสบการณ์แก่ลูกเสือมากยิ่งขึ้น
การอยู่ค่ายพักแรมเป็นกิจกรรมสำคัญยิ่งของลูกเสือ การฝึกอบรมลูกเสือเพื่อให้เกิดการพัฒนาควรจัดให้มีการอยู่ค่ายพักแรมเสมอ บี.พี. กล่าวไว้ว่า "ลูกเสือผู้ใดไม่เคยอยู่ค่ายพักแรม ลูกเสือผู้นั้นไม่ใช่ลูกเสือที่แท้จริง"
2. การอยู่ค่ายพักแรมมีประโยชน์อย่างไร
ประโยชน์ของการอยู่ค่ายพักแรมพอจะจำแนกออกได้ดังนี้
1. ประโยชน์ด้านการฝึกอบรม
- เพื่อให้ลูกเสือเป็นผู้มีระเบียบวินัย
- เพื่อการฝึกอบรมและการทดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพื่อให้ลูกเสือได้สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง
2. ประโยชน์ทางด้านการพัฒนาลูกเสือ
- เพื่อฝึกให้มีความอดทน กล้าหาญ และมีการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
- เพื่อฝึกให้รู้จักการแก้ปัญหา และการพึ่งตนเอง
- ฝึกให้รู้จักบังคับใจตนเอง และปรับตัวให้เข้ากัยผู้อื่นได้
- ฝึกให้รู้จักเป็นผู้เสียสละ ลดความเห็นแก่ตัว
- ฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต ละเอียด รอบคอบ
- ฝึกให้มีสุขภาพ พลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง
- ฝึกให้ลูกเสือกล้าแสดงออกในที่ชุมชน ในทางที่ถูก
3. ประโยชน์ทางด้านสังคม
- เป็นการฝึกระบบหมู่ ให้รู้จักการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย
- เป็นการฝึกให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น และการบริการ
- เป็นการฝึกให้เกิดการสามัคคีในหมู่คณะ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
4. ลักษณะพื้นที่ภูมิประเทศอย่างไรที่เหมาะสมที่จะตั้งค่ายพักแรม
สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปควรเป็นที่โล่งแจ้ง สงบเงียบ ไม้มีคนพลุกพล่าน อยู่ห่างจากชุมชนพอสมควร มีทิวทัศน์สวยงาม มีต้นไม้พอที่จะให้ความร่มรื่นได้ นอกจากนี้ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ
1. พื้นดินควรเป็นดินปนทราย และอยู่ในที่ดอน
2. มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับดื่มและอาบ รวมถึงการประกอบอาหารด้วย
3. ไม่ควรกางเต็นท์ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพราะอาจเกิดอันตรายจากการหักของกิ่งไม้
4. คำนึงถึงทิศทางลมด้วย ควรหันด้านข้างเต็นท์เข้าปะทะลม
5. ควรอยู่ใกล้บริเวณที่หาเชื้อเพลิงได้ง่าย
6. ไม่ควรไกลจากตลาด และสถานที่ที่จะอำนวยความสะดวกแก่ลูกเสือได้ เช่น สถานีตำรวจ สถานีอนามัย ที่ทำการไปรษณีย์ ชุมสายโทรศัพท์
7. ต้องแน่ใจว่าจะได้รับการสนับสนุนจากบุคคลในท้องถิ่นนั้น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้านผู้บังคับบัญชาลูกเสือในท้องที่นั้น บุคลเหล่านี้อาจอำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ ความปลอดภัย แหล่งน้ำ และอื่น ๆ
5. อาหารที่ควรนำไปในการอยู่ค่ายพักแรม
การไปอยู่ค่ายพักแรมมักจะเดินทางไปในชนบท ซึ่งห่างจากที่เจริญ ดังนั้นการจะจัดซื้อของสดจึงไม่สะดวกนัก และในการประกอบอาหาร ลูกเสือจะต้องเป็นผู้ประกอบเอง จึงควรคิดรายการอาหารไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าจะต้องรับประทานอาหารกี่มื้อ แต่ละมื้อจะรับประทานอะไรบ้าง โดยจัดทำเมนูอาหาร และต้องคำนึงถึงว่าอาหารใดที่จะเอาไปได้บ้าง เช่น อาหารแห้ง เครื่องกระป๋อง สิ่งใดที่ต้องซื้อเองทีหลัง อีกทั้งต้องคำนึงถึงฤดูกาลของพืชผักผลไม้ด้วย
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการประกอบอาหารด้วย เพราะลูกเสือต้องปฏิบัติกิจกรรมของตนให้บรรลุเป้าหมาย ไม่มีเวลามากพอที่จะเสียไปกับการประกอบอาหารมากนัก ดังนั้นการประกอบอาหารต้องใช้เวลาน้อย ประกอบง่าย ประหยัด มีคุณค่าทางโภชนาการ สะอาดถูกหลักอนามัย เพื่อร่ายกายจะได้มีสุขภาพดีแข็งแรง และมีภูมิต้านทานโลก
6. หน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิกในหมู่
ให้มีนายหมู่ รองนายหมู่ คนครัว พลาธิการ คนหาน้ำ คนหาฟืน คนงานเบ็ดเตล็ด หากมีจำนวนที่มากกว่านี้ก็ให้เป็นฟู้ช่วยในตำแหน่งที่หนัก ๆ และอาจจะให้มีการเปลี่ยนแปลง และหมุนเวียนกันทำหน้าที่ตามโอกาสอันควร
7. การปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการอยู่ค่ายพักแรม
1. การปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นการแสดงออกทางวินัยที่สำคัญของลูกเสือ เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งห้ามหรือให้ปฏิบัติในเรื่องใด ลูกเสือจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยเคร่งครัด
2. อย่าออกห่างจากค่ายพักแรมตามรำพัง ยิ่งสถานที่ที่ไปนั้นไม่คุ้นเคยด้วยแล้ว ลูกเสือยิ่งมีความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ดังนั้นเวลาจะไปไหนก็แล้วแต่ต้องมีเพื่อนไปด้วย หากมีเหตุร้ายจะได้ช่วยเหลือได้ทัน หรือกลับมาบอกผู้กำกับให้มาช่วยได้
3. การใช้มีด ขวาน และอุปการณ์สนามอื่นๆ ต้องระมัดระวังที่สุด เพราะอาจเกิดอันตรายได้ทุดขณะ เมื่อใช้เสร็จแล้วให้เก็บเข้าที่ หายก็รู้ ดูก็งามตา อย่านำมาหยอกล้อกันเป็นอันขาด อย่าทำลายต้นไม้ด้วยความคะนอง มักง่าย อาจเป็นผลเสียต่อกองลูกเสือ และตัวลูกเสือเอง
4. การปฏิบัติกิจกรรมต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะกิจกรรมลูกเสือเป็นกิจกรรมที่โลดโผน
5. การอออกนอกบริเวณค่าย จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อนเป็นลายลักษณ์อักษร
6. การจัดสถานที่ในค่ายพักไม่ควรให้ระเกะระกะ เช่น การตอกสมอบก หรือรั้งของค่ายต้องไม่ให้แหลมคม ยื่นออกมา อุปกรณ์การทำครัวต้องเก็บให้เข้าที่
7. ลูกเสือต้องสังเกตให้ดีเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นพิษ เช่น พืชบางชนิด สัตว์บางชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อเราได้ การหลับนอนทุกครั้งต้องดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมเข้ามาในเต็นท์
8. การอาบน้ำ ถ้ามีแม่น้ำหรือลำคลองต้องมีผู้บังคับบัญชาคอยควบคุม อย่าอาบน้ำตามลำพังโดยเด็ดขาด ทางที่ดีควรตักขึ้นมาอาบ และควรมีบทลงโทษหนักสำหรับผู้ฝ่าฝืน เพราะถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาอย่างยิ่ง
8. การปฏิบัติเพื่อสุขภาพอนามัยของลูกเสือขณะอยู่ค่ายพักแรม
1. น้ำดื่มต้องสะอาด ถ้าไม่แน่ใจต้องต้มเสียก่อน
2. ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะในที่ที่จัดไว้ ไม่ควรถ่ายใกล้ที่พัก
3. นอนอย่าให้ดึกเกิน ควรมีผ้าปิดหน้าอกอย่าให้ลมโกรก เพราะอากาศในแถบชานเมืองจะเย็นเร็วมาก
4. เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จ รอให้เหงื่อแห้งก่อนจึงอาบน้ำ
5. ภายในเต็นท์ควรจะสะอาด ขณะที่ปฏิบัติกิจกรรมไม่ควรนำสิ่งของเข้าเต็นท์ เต็นท์ควรใช้เพื่อการพักผ่อนอย่างเดียว
6. อย่านอนในเต็นท์ขณะแดดร้อน เพราะอุณหภูมิในเต็นท์จะสูงกว่าข้างนอก
7. อย่านอนบนหญ้าที่มีกลิ่นผิดปกติ อาจเป็นพิษแก่ร่างกายได้
8. ที่นอนควรมีใบไม้ปูรองพื้นก่อน แล้วจึงใช้ผ้าปูทับอีกที
9. กลางวันควรเปิดกระโจมเพื่อให้อากาศผ่าน และมีแสงส่องได้พอสมควร
10. ถ้าอากาศหนาวให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์รองใต้ที่นอน หรือปิดหน้าอก ช่วยให้อบอุ่นได้
11. อย่าทิ้งเชื้อเพลิงไว้ใกล้เต็นท์
9. สิ่งที่ต้องทำขณะอยู่ค่ายพักแรม
1. ต้องมีการรักษาการ จัดเวรยาม
2. จัดหมู่บริการแต่ละวัน
3. สร้างเครื่องใช้เพื่ออำนวยความสะดวกขณะอยู่ค่ายพักแรม
การก่อกองไฟ
การเลือกสถานที่จุดไฟ
1. เป็นบริเวณที่แห้ง อาจอยู่บนโขดหิน หรือเนินดินแห้ง
2. เป็นที่โล่งแจ้ง ห่างจากต้นไม้ อาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งที่อาจเป็นเชื้อเพลิง
3. เก็บกวาด และถางหญ้าแห้งรอบๆ บริเวณที่จะก่อกองไฟเสียก่อน
การเลือกเชื้อเพลิง
1. เลือกกิ่งไม้เล็กๆ แห้งๆ โดยเฉพาะกิ่งไม้ที่แห้งคาต้น
2. หากเป็นกิ่งไม้ที่มีขานาดใหญ่ ควรผ่าไม้ออกเป็นซีกๆ เสียก่อน
3. หากเป็นกิ่งไม้ที่เปียกชื้น ควรนำไปผึ่งแดดให้แห้งเสียก่อน
การก่อกองไฟ สามารถก่อเป็นรูปต่างๆ ได้หลายแบบ ดังนี้
1. แบบกระโจมอินเดียแดง ขั้นแรกต้องเอาเชื้อไฟมาสุมกันก่อน จึงนำกิ่งไม้เล็กๆ มากองซ้อนกันขึ้นมา โดยที่ชั้นบนสุดจะเป็นฟืนท่อนใหญ่ การก่อกองไฟแบบนี้จะให้ความร้อนมากและให้แสงสว่างดี
2. แบบเชิงตะกอน หรือแบบคอกหมู เป็นการก่อกองไฟโดยนำฟืนท่อนใหญ่มาวางเรียงกัน ส่วนฟืนท่อนเล็กจะอยู่ข้างบน เมื่อกองฟืนสูง 2 ถึง 3 ชั้นแล้ว จึงซ้อนฟืนท่อนเล็กขึ้นไปอีก 2 ถึง 3 ชั้น การก่อไฟแบบนี้จะให้ความร้อนมาก และให้แสงสว่างดีเช่นเดียวกับแบบกระโจมอินเดียแดง
3. แบบไฟดาว เป็นการก่อกองไฟโดยนำท่อนไม้มาวางเรียงซ้อนกัน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายซี่ล้อจักรยาน การก่อกองไฟแบบนี้จะทำให้ไฟมีเปลว เพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่น
4. แบบผสม เป็นการก่อกองไฟโดยการเรียงท่อนฟืนแบบเชิงตะกอน ส่วนตรงกลางจะใช้กิ่งไม้เล็กๆ เรียงแบบรูปกระโจม การก่อกองไฟแบบนี้เหมาะสำหรับการเล่นรอบกองไฟ
ราวตากผ้าสำหรับการอยู่ค่ายพักแรม
การสร้างอุปกรณ์ ในการอยู่ค่ายพักแรมที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 วัน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการใช้ชีวิตในค่ายพักแรมแบบลูกเสือนั้น เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็ก ถ้าการอยู่ค่ายพักแรมไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก อาจทำให้การดำเนินการฝึกอบรม ในระหว่างการอยู่ค่ายพักแรมไม่บรรลุผล เนื่องจากสภาพจิตใจของลูกเสือเสีย อีกประการหนึ่ง คือ การส่งเสริมให้ลูกเสือแสดงความสามารถ ดัดแปลงธรรมชาติให้ใกล้ตัวยิ่งขึ้น ในที่นี้จะเสนอแนะ เฉพาะราวตากผ้าที่ลูกเสือจะสามารถประดิษฐ์ขึ้นในค่ายพักแรมของท่านได้
วิธีการกางเต๊นท์
- ตรวจดูสภาพเบื้องต้นก่อนคลี่ออกว่าถูกพับอยู่ในลักษณะใด เพื่อเวลาเก็บจะได้เก็บเข้าที่เดิมได้
- คลี่ผ้าเต๊นท์ออกวางกับพื้นตามตำแหน่งที่จะตั้งเต๊นท์ โดยหันหน้าเต๊นท์ให้ถูกต้อง ด้านหน้าจะมีผ้าใบยาวออกมานอกเต๊นท์
- เมื่อได้ที่แล้ว ให้ยึดพื้นเต๊นท์ด้วยสมอบกให้ตึงเสมอกัน ตามจำนวนห่วงที่พื้นเต๊นท์แต่ละรุ่นทำไว้
- นำชุดอลูมิเนียมส่วนที่เป็นเสาเต๊นท์ และคานหลังคามาต่อไว้ให้พร้อม
- สอดคานหลังคาเข้าภายในเต๊นท์ ให้หัว-ท้ายคานโผล่ออกมาที่จั่วเต๊นท์
- ใช้เสา 2 ต้นค้ำหัว-ท้าย โดยสอดเข้าในรูหัว-ท้ายหน้าจั่วเต๊นท์ และอีก 1 ต้นจะอยู่ส่วนกลางเต๊นท์ ส่วนกลางจะมีที่สำหรับสอดเสาค้ำกลาง ตั้งเสาทั้งสามต้นให้เป็นแนวเดียวกัน
- ยึดชายเต๊นท์ด้วยสมอบกทุกจุดให้ตึงเสมอกัน
- ใช้เชือกรั้งหัว-ท้าย กับสมอบก (บางรุ่นก็ไม่จำเป็นต้องใช้)
- เก็บถุงใส่เต๊นท์และอุปกรณ์อื่นๆ ไว้ในถุง แขวนไว้ที่ท้ายเต๊นท์ หรือเก็บให้เป็นที่
การรื้อเต๊นท์ที่พักแรม
เมื่อจะเก็บเต๊นท์ต้องสำรวจความเรียบร้อยของผ้าใบเต๊นท์ ดูว่ามีการชำรุดที่ใดหรือไม่ แม้แต่เล็กน้อยก็ควรซ่อมแซมเสียก่อน ปัดฝุ่นและทำความสะอาด ถ้าเปียกต้องผึ่งจนแห้ง ก่อนที่จะพักเก็บให้เข้าที่เดิม ซึ่งมีวิธีการรื้อดังนี้
- ใช้ไม้กวาดอ่อนกวาดภายในเต๊นท์ และใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดหลังคาเต๊นท์ก่อน
- ถอนสมอบกที่ยึดชายคาเต๊นท์ทุกจุดออก
- ถอดเสาและคานพับเก็บเป็นชุดๆ
- เก็บเชือกรั้งหัว-ท้ายเต๊นท์ และถอนสมอบกที่ยึดออก
- ถอนสมอบกที่ยึดพื้นเต๊นท์ออกทุกจุด แล้วพับตามรอยเดิมเป็นช่วงๆ ขณะพับก็ต้องทำความสะอาดพื้นเต๊นท์ไปด้วย
- ถ้าการพักแรมมีฝนตกพื้นเปียกแฉะให้ใช้ผ้าเปียกทำความสะอาด ซักผ้าบ่อยๆ เช็ดพื้นเต๊นท์ และเมื่อกลับถึงโรงเรียน ให้นำเต๊นท์ออกกางและทำความสะอาดอีกครั้ง เพื่อป้องกันความอับชื้นและเชื้อรา
การระวังรักษาอาหารและน้ำดื่มน้ำใช้ขณะอยู่ค่ายพักแรม
การระวังรักษาอาหาร
การประกอบอาหารขณะอยู่ค่ายพักแรม เป็นการประกอบอาหารแบบชาวป่า เครื่องมือเครื่องใช้ในการหุงต้มไม่ครบ เนื่องจากไม่สะดวกที่จะขนครัวจากบ้านได้ทั้งหมดจึงต้องอาศัยการดัดแปลงจากธรรมชาติมาใช้แทน เช่น การใช้เตาหลุม เตาสามเสา เตาราง ใช้มะพร้าวอ่อนแทนหม้อข้าว ใช้อลูมิเนียมฟรอยด์แทนกะทะใช้ดินพอกเผาแทนการต้มหรือปิ้ง
แต่เนื่องจากลูกเสือต้องมีการเดินทางไกลและอยู่ค่ายพักแรม ซึ่งต้องไปตามชนบทและต้องใช้ชีวิตอยู่ในค่ายพักแรมเป็นเวลานาน อาหารที่นำติดตัวไปด้วยจึงอาจมีการถนอมอาหารสด ที่นิยมกันในการอยู่ค่ายพักแรม คือ การรวน
การรวน คือ การทำให้อาหารพวกเนื้อสัตว์สุกด้วยน้ำหรือน้ำมัน โดยใส่น้ำหรือน้ำมันแต่น้อยลงในกะทะพอร้อนก็ใส่เนื้อที่หั่น หรือสับแล้วลงไปคนพอสุก แล้วเก็บไว้ในที่ที่มิดชิดสามารถที่จะนำไปประกอบอาหารในมื้อต่อๆ ไป
นอกจากนี้ควรเก็บรักษาอาหารให้พ้นจากการหมายปองของสัตว์ที่อยู่บริเวณที่เราตั้งค่าย เช่น มดหรือสุนัข ในค่ายลูกเสือนิยมเก็บรักษาอาหาร 2 วิธีคือ
1. ทำกระเช้าแขวน
2. ขุดหลุมเก็บ
วิธีที่ 1 การทำกระเช้าแขวน สามารถป้องกันได้ทั้งสุนัขและมด โดยนำไม้ไผ่มาผูกหรือขัดจนเป็นแผงสี่เหลี่ยม (หรือวงกลม) แล้วผูกแขวนในที่ที่เหมาะสม แต่ต้องแขวนให้สูงพ้นศรีษะเพื่อป้องกันการชน อาจเกิดทำให้เกิดอันตรายกับลูกเสือได้ และเชือกที่ขึงกระเช้าควรรั้งไปในทิศทางที่ไม่มีใครเดินผ่าน ก่อนแขวนควรทาน้ำมันก๊าดไว้ที่เชือก เพื่อป้องกันมด ของที่จำเป็นต้องแขวนควรเป็นของสด เช่น เนื้อหมู น้ำตาล ของแห้ง เช่น เครื่องกระป๋องไม่จำเป็น
วิธีที่ 2 การขุดหลุมเก็บ
น้ำดื่ม-น้ำใช้
สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับสุขภาพในการอยู่ค่ายพักแรม ก็คือ "น้ำดื่ม" ท่านต้องดื่มน้ำที่สะอาดอยู่เสมอและต้องแน่ใจด้วยว่าสะอาด และบริเวณที่ตั้งค่ายนั้นมีแหล่งน้ำที่ใช้เพียงพอหรือไม่ น้ำในแต่ละที่จะแตกต่างกัน เพื่อความปลอดภัย จึงควรต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที แล้วปล่อยให้เย็นโดยใส่ภาชนะที่กว้าง จึงเก็บในที่เฉพาะน้ำดื่ม ในค่ายพักแรมอาจเก็บน้ำดื่มเป็นที่เฉพาะ
การกำจัดขยะ
ความสะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อให้ค่ายสะอาด ถูกสุขลักษณะ การไปอยู่ค่ายพักแรม จะต้องจัดสุขาภิบาลในค่ายให้ถูกต้อง ลูกเสือที่มีระเบียบวินัยย่อมไม่ทิ้งขยะไม่เป็นที่ในค่าย ซึ่งจะทำให้ค่ายมองดูไม่สวยงาม ต้องฝึกวินัยในการไม่ทิ้งขยะโดยไม่เลือกที่ นอกจากนี้ยังต้องรู้จักวิธีทำหลุมขยะไว้ใช้ในค่าย โดยทำหลุมแห้ง หลุมเปียก ดังนี้
1. หลุมแห้ง สำหรับทิ้งขยะมูลฝอย
ขนาดของหลุมแล้วแต่ความเหมาะสมที่ควรนำมาพิจารณา เช่น จำนวนคนในหมู่ จำนวนวันที่อยู่ค่าย เป็นต้น แต่ส่วนมากที่จะขุด จะใช้หลุมกว้างประมาณ 40-50 ซ.ม. และควรขุดให้ลึกประมาณ 2-3 ฟุต ดินที่ขุดนำมากองไว้ที่ปากหลุม เพื่อจะได้นำมากลบหลุมหลังจากที่กลับจากค่ายพักแรมแล้ว เวลาทิ้งกระป๋องควรทุบให้แบน เพื่อจะได้ไม่เปลืองที่
2. หลุมเปียก
ขนาดหลุมพอ ๆ กับหลุมแห้ง ที่ปากหลุมทำเป็นตะแกรงตาห่าง ๆ กรุด้วยใบไม้ เพื่อกรองเศษอาหารที่ยังติดอยู่ อาหารที่ติดอยู่บนใบไม้นำมาเทลงในหลุมแห้ง และควรจะเปลี่ยนใบไม้ที่ใช้กรุหลุมทุกวัน
หมายเหตุ กรณีหลุมแห้งเต็มอาจใช้วิธีเผาก่อนก็ได้ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องไฟด้วย
การสร้างส้วมในค่ายพักแรม
ส้วมมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การทำส้มมีหลายแบบ ควรเลือกทำในบริเวณที่สมควร และอยู่ใต้ลม ลักษณะหลุมควรเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวประมาณ 1 เมตร ควรหาผ้าพลาสติกมาล้อมเพื่อความเป็นส่วนตัว
ควรมีกองดินและพลั่วตัก ไว้สำหรับกลบเพื่อไม่ให้ดูอุจจาดตาต่อตัวเองและผู้อื่น และเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็น และแมลงเพราะจะเป็นแหล่งที่แพร่เชื้อโรคได้
การใช้ขวานและการรักษาขวาน
ขวานมีหลายชนิด ในแต่ละชนิดจะเหมาะกับงานแต่ละอย่าง
การใช้ขวาน
1. ใช้ให้ได้งาน คือต้องหมั่นลับให้คมใช้ขวานให้เหมาะกับขนาดของงาน ฟันให้ถูกวิธี
2. ใช้ให้ได้นาน คือรู้จักเก็บรักษาให้ดี ใช้เสร็จแล้วล้างให้สะอาด ทาน้ำมัน อย่าให้เกิดสนิม
3. ใช้ให้ได้ปลอดภัย คือนำไปให้ดี ไม่ให้เกิดอันตรายแก่ตัว ส่งและรับให้ถูก ถือและพกให้ถูก รู้จักฟัน ตัดท่อนไม้
กฎแห่งความปลอดภัยในการใช้ขวาน
- เก็บเข้าหีบเครื่องมือ หรือซอง หรือสับไว้ที่ท่อนไม้
- รักษาขวานให้คมอยู่เสมอ ถ้าขวานทื่อเมื่อใช้จะฟันไม่เข้า และอาจแฉลบไปทางอื่น
- หันขวานออกนอกตัว เวลาถือหรือแบกขวาน
- ขวานเล็ก จับที่ตัวขวาน ปล่อยด้ามชี้ลง หันคมไปทางด้านหลัง บิดคมออกนอกตัว
- ขวานชนิดมีหน้ากาก หรือซองให้สวมหรือห้อยที่เข็มขัด ทางด้านหลังข้างก้นข้างขวา ตัวขวานแนบกับ
ลำตัว หันคมไปทางซ้าย
- การแบกขวาน เอาด้านคมไว้นอกตัว เราจะปลอดภัยเวลาเหลียวหลังหรือเวลาก้ม
- การส่งขวานให้จับปลายด้ามยื่นตัวขวาน (หันคมออกนอกตัว) ให้ผู้รับรับใกล้ ๆ มือ แล้วกล่าวขอบคุณ
- การถือขวานใหญ่ ให้หันคมออกนอกตัว
การใช้ขวานตัดไม้ (ล้มไม้)
ก่อนโค่นควรตัดกิ่งไม้ที่เกะกะรอบ ๆ ตัวให้พ้นรัศมีการเหวี่ยงของขวาน และต้องระวังอย่าให้คนอื่นอยู่ในรัศมีขวาน หรืออยู่ด้านแนวเหวี่ยงของหัสขวาน และแนวต้นไม้ล้ม
ผู้โค่นต้องสำรวจตัวเองก่อนว่ามีอะไรเกะกะรุงรังหรือไม่ เช่น สายนกหวีด หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเครื่องแต่งกาย เป็นต้น
ก่อนลงมือตัดควรหาทิศทางที่ต้นไม้เอนเอียง โดยเอามือจับปลายด้ามขวานแล้วเล็งดูด้วยตา ก็จะทราบว่าต้นไม้เอนไปทางใด
การฟัน
1. อย่าฟันตั้งฉาก จะไม่มีกำลัง ให้ฟันในแนว 45 องศา ของลำต้น หรืออย่าฟันให้ต่ำกว่า 45องศา อาจเกิดอันตรายได้
2. การบากไม้จะทำ 2 บาก ตรงกันข้ามกัน ไม้จะล้มไปทางบากแรก
การลับขวาน
1. การลับขวานด้วยหิน มือขวากดขวานวางอยู่บนหินหนุน มือซ้ายรองรับจับขวานไว้ให้แน่น กลับลับทั้ง 2 ด้านให้คมราบเท่ากัน
2. การลับขวานด้วยตะไบ พิงหัวขวานกับหลัก คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เท้าอีกด้านหนึ่งเหยียบด้ามขวานไว้ให้ด้ามคงที่ ใช้ตะไบถูที่คมมีดเบา ๆ จับตะไบให้แน่น ระวังอย่าให้ถูกนิ้ว เมื่อเสร็จให้กลับขวานอีกด้านหนึ่งถู
การใช้เลื่อย
เลื่อยที่ใช้ในการล้มไม้ จะใช้เลื่อยขนาดใหญ่ เพื่อให้เหมาะกับการล้มไม้ เลื่อยที่นิยมใช้ทั่วไป คือ เลื่อยยมพบาล เลื่อยคันศร และเลื่อยยนตร์
1. เลื่อยยมบาล เป็นเลื่อยมือแบบใช้ 2 คน มีฟันเหลี่ยมเท่ากันตลอด ความยาวของเลื่อยแล้วแต่ขนาดของต้นไม้ที่จะตัด มีตั้งแต่ 4 ฟุต จนถึงขนาด 8 ฟุต
2. เลื่อยคันศร (Bow saw) เป็นของใหม่ที่เพิ่งจะนำเข้ามาใช้ในกิจการทำไม้ เมื่อใน พ.ศ. 2507 แต่
เป็นที่นิยมในการทำไม้ในประเทศยุโรป โดยเฉพาะสวีเดน และสวิสเซอร์แลนด์ ขนาดของเลื่อยคันศรที่เหมาะสำหรับต้นไม้ คือ ขนาดใบเลื่อยยาว 39 นิ้ว และมีช่องว่าสำหรับใบเลื่อยกับคัน ราว 10 นิ้ว ใช้ล้มไม้ขนาดเล็กได้ดี และประหยัด ใช้คนเลื่อยลนเดียว นอกจากนี้ ยังมีการทุ่นแรงโดยมีสปริงเกาะติดอยู่กับใบตรงที่จะเลื่อย ปลายสปริงอีกด้านหนึ่งมาเกาะไว้ที่คันเลื่อยตรงมือถือ การยืดหดตัวของสปริงทำให้ผ่อนแรงการตัดไม้ไปได้มาก
3. เลื่อยยนตร์ (Power Chainsan saw) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ลำปางได้นำเลื่อยยนตร์มาใช้ในกิจกรรมไม้สักขององค์การอย่างเป็นล่ำเป็นสันเมื่อปี พ.ศ. 2505 ซึ่งการทำไม้ด้วยเลื่อยยนตร์นี้มีบริษัทต่างๆ ผลิตออกามมากมายหลายแบบ และหลายชนิด
การล้มไม้ด้วยเลื่อยยนตร์ ก็เช่นเดียวกับการล้มไม้ด้วยเลื่อยและขวานธรรมดา คือ ต้องมีบากหน้า(Notch) และลัดหลัง (Felling cut) ในขั้นแรกก่อนที่ไม้จะล้ม เราจะต้องทำความสะอาดรอบ ๆ ต้น ทำความสะอาดเปลือกไม้ที่ตรงรอยตัด ถ้าไม้มีเปลือกหนา ควรจะทำการลอกหรือควั่นเปลือกออกตรงรอยตัดด้วยมีดหรือขวาน เสร็จแล้วก็เริ่มเดินเครื่องยนตร์ให้กดกับลำต้นของต้นไม้ตรงที่จะตัด ค่อย ๆ เร่งเครื่องยนตร์ให้ใบเลื่อยกินไปในต้นไม้อย่างสม่ำเสมอ การเดินเครื่องตัดไม้ครั้งแรกนั้นเป็นการบากหน้า (Notch) ซึ่งต้องบากเป็นรูปลิ่มไปในทิศทางที่เราต้องการจะให้ไม้ล้ม การบากหน้าไม้นั้นโดยปกติแล้วควรจะบากให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรจะลึกราว ๆ 1/3 ของต้นไม้ อย่างไรก็ดี ความลึกและความสูงของการบากหน้านี้ขึ้นอยู่กับสภาพของต้นไม้ด้วย เช่น ต้นไม้เอนต้องการล้มฝืน ก็ต้องบากหน้าให้ลึกกว่าปกติ เป็นต้น
ในการลัดหลัง(Felling cut) นั้นจะต้องพยายามให้คลองเลื่อยได้ระดับและตั้งฉากกับต้นไม้ให้มากที่สุดและรอยลัดหลังควรอยู่สูงกว่าส่วนแหลมของบากหน้าราว 2 ถึง 4 เซนติเมตร และในการลัดหลังนี้ควรให้มีแกนกลาง (Hinge) เหลือไว้ ระหว่างรอยลัดหลังและบากหน้าเป็นแถบกว้างราว 2-4 นิ้ว แถบนี้จะทำหน้าที่ช่วยยึดลำต้นไว้ไม่ให้ฝืนล้มไปทางอื่น เมื่อไม้เอนจะล้มลงและคลองเลื่อยลัดหลังเริ่มเปิดอ้า แล้วก็ใช้ปลายเลื่อยยนตร์ช่วยตัดแกนกลางให้ขาดไป การมีแกนกลางช่วยยึดนี้ทำให้ไม้ที่ล้มไม่แตกหรือฉีกง่าย
การตัดทอนไม้
การตัดทอนไม้ หมายถึง การตัดต้นไม้ซึ่งล้มลงแล้วให้เป็นท่อน ๆ คือ ทำเป็นซุง หรือทำอย่างอื่นตามความประสงค์ของผู้ทำไม้ โดยปกติการทอนไม้ที่ทำกันอยู่โดยทั่ว ๆ ไปในประเทศไทยนั้น ใช้เลื่อยมือชนิด 2 คน หลักในการทอนไม้เพื่อเป็นซุงนั้น มีอยู่กว้าง ๆ ดังนี้
1. ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรทอนไม้โดยใช้เลื่อยทอนจาก 2 ด้านหรือหลายด้านไปบรรจบกัน เพราะแนวเลื่อยจะไม่เรียบ
2. ในการทอนไม้นั้นจำต้องระวังมิให้แตกร้าวหักเสียหาย ถ้าไม้ที่จะทอนนั้นพาดหรือเกยบนก้อนหิน, กองหิน หรือพาดห้วย, คู, แอ่งน้ำ ควรหาทางเลื่อนไม้ให้ไปอยู่ในที่ราบ ถ้าทำไม่ได้และไม้พาดอยู่ในห้วย ให้หาไม้ง่ามซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งมาค้ำไว้ทั้งสองข้างให้มั่นคง แล้วจึงใช้เลื่อยท่อน ไม่ควรใช้วิธีเลื่อยจากข้างล่างขึ้นข้างบน เพราะเลื่อยมืองานได้ช้ากว่าจะขาดได้ น้ำหนักของไม้จะถ่วงลงมาทำให้เนื้อไม้ตรงกลางฉีกออก สำหรับไม้ที่พาดอยู่ตรงมูลดินหรือหินตรงจุดที่จะทอนพอดีนั้น ควรหาก้อนหินหรือไม้ค้ำปลายส่วนที่ลอยให้แน่นเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วไม้จะฉีกเมื่อทอนใกล้จะขาด
ปกติการทอนไม้ด้วยเลื่อยมักจะเลื่อยจากด้านบนลงไป แล้วใช้ลิ่มตอกลงไปจากด้านบนเพื่อกันไม่ให้บีบคลองเลื่อยและต้องจำไว้เสมอว่า การทอนไม้บนลาดเขานั้น ผู้ใช้เลื่อยต้องอยู่ส่วนบนของท่อนไม้เสมอไป มิฉะนั้นจะได้รับอันตรายจากไม้กลิ้งทับ
เครื่องมือสำหรับริดกิ่งไม้
การริดกิ่งไม้มีหลักการทั่วไป คือ
1. อย่ายืนคร่อมต้นไม้
2. อย่าฟันย้อนกิ่ง
3. อย่าริดกิ่งเข้าหาตัวหรือมือ
4. ควรยืนด้านตรงข้ามกับกิ่งที่จะริด
เครื่องมือที่ใช้ส่วนมากเช่น
1. เลื่อย
2. มีด
3. ขวาน