ชีวิตกับการเมือง *
เมื่อเอ่ยถึง “การเมือง” ความรู้สึกแรกของคนทั่วไปก็คือ “เราไม่ควรไปยุ่งกับการเมือง” “อย่าไปยุ่งกับการเมืองนะ” “เบื่อการเมือง-การเมืองน่าเบื่อ” “การเมืองเป็นเรื่องสกปรก” “การเมืองไม่ใช่เรื่องของเรา-เป็นเรื่องของนักการเมือง” และอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่หมายถึง การเมืองเป็นเรื่องยุ่งยาก และเป็นเรื่องที่จะนำความวุ่นวายมาสู่ตัวเรา
ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ใดจะรวมตัวกันตั้งเป็นสมาคม หรือมูลนิธิที่เป็นนิติบุคคลดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลก็ตาม จะต้องมีวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งระบุว่า “ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” ดีแต่ว่าในปัจจุบัน สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่รับจดทะเบียนสมาคมหรือมูลนิธิ ได้ประกาศยกเลิกวัตถุประสงค์ข้อนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง
ดังนั้น การจะให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า การเมือง คืออะไร ? การเมืองมีความสัมพันธ์กับชีวิตเราอย่างไร ? จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและละเอียดอ่อน
แต่ถ้าเราเริ่มตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน เราทำอะไรบ้าง ? และในแต่ละกิจกรรมที่ทำมีอะไรบ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือมีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการเมือง และเกี่ยวข้องในระดับใด คำตอบเกือบจะร้อยทั้งร้อยก็มักจะตอบว่า แทบไม่มีอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น ล้างหน้า การใช้น้ำก็เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งโยงไปสู่ปัญหาว่าจะจัดสรรน้ำอย่างไร ใครเป็นผู้กำหนดราคาน้ำ แบ่งสรรกันอย่างไร
การแบ่งสรร การจัดการน้ำ คือการเมืองนั่นเอง หรือจะพูดถึงการหายใจ หากอากาศที่หายใจเข้าไปไม่บริสุทธิ์ หรืออากาศไม่ดี ก็เป็นการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ก็ย่อมหนีไม่พ้นการเมืองแน่นอน ฉะนั้น ก็คงจะพอสรุปได้ว่า การเมืองเกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราอย่างแนบแน่น ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน แม้กระทั่งเวลาหลับ และเกี่ยวพันตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว และสามารถขยายความคิด ไปสู่ชุมชนและสังคมได้ เมื่อตั้งคำถามว่า
อะไรคือ ปัญหาสำคัญที่สุดของชุมชนที่ท่านอยู่ ผู้ตอบจะแยกแยะปัญหาต่างๆ ออกมา เพื่อให้เข้าใจปัญหาที่เขาประสบอยู่
เมื่อถามต่อไปว่า ใครเป็นผู้ทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้น ? คำตอบสุดท้ายก็มักจะเป็นประชาชน(คู่กรณี) ข้าราชการ นักธุรกิจ นายทุน และนักการเมืองแต่ละระดับ
แก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการใด คำตอบก็มักจะเป็น โดยการกำหนดนโยบายในแต่ละเรื่อง หรือแก้โดยกฎหมาย หรือการจัดการต่างๆ คือ กฎหมาย / นโยบายต่างๆ นั่นเอง
เมื่อถามต่อว่า ทำไมการแก้ไขในหลายๆ เรื่องจึงไม่ได้ผลแม้จะมีกฎหมายบังคับใช้อยู่ก็ตาม ยกตัวอย่าง เช่น ปัญหายาบ้า คำตอบ ก็จะเป็นว่า การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ผล เพราะผู้ปฏิบัติตามกฎหมายไม่เอาจริงเอาจัง หรือบางครั้งคำตอบอาจเป็นกฎหมายบกพร่องหรือละเลย เพราะผู้ปฏิบัติต่างก็เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพรรคพวก ผู้ปฏิบัติไม่เอาจริงเอาจัง ไม่ตรงไปตรงมา มีปัญหาการคอร์รัปชั่น ฯลฯ
นอกจากนี้ คำตอบต่อปัญหาดังกล่าวยังครอบคลุมถึงสาระในด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม ความเคยชินเก่าๆ เช่น มีวัฒนธรรมเกรงใจผู้ใหญ่ ไม่กล้าตรวจสอบ หรือองค์กรประชาชน ไม่เข้มแข็งพอ และข้าราชการหรือนักการเมืองเคยชินกับการใช้อำนาจ ไม่รับฟังประชาชน กระบวนการการทำงาน ไม่โปร่งใส ฯลฯ
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถามต่อว่า ใครให้อำนาจบุคคลเหล่านั้นในการแก้ไขปัญหา หรือบุคคลเหล่านั้นได้อำนาจมาอย่างไร ? คำตอบคือ ประชาชน มอบอำนาจให้โดยเลือกตัวแทนใช้อำนาจ แทนตนโดยผ่านการเลือกตั้ง หรือจำยอมต้องมอบอำนาจให้เพราะถูกบังคับ อาจจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม หรือได้อำนาจมาจากการต่อรอง หรือประชาชนมอบอำนาจให้เขาโดยเกรงใจ เพราะเขาเคยช่วยเหลือ เป็นญาติมิตรเป็นเพื่อน มีคนที่รู้จักกันขอร้องให้เลือกฯลฯ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดก็ตาม คำตอบจะออกมาใกล้เคียงกัน เมื่อมองกว้างออกไปในระดับชาติก็เช่นกัน เมื่อท่านตั้งคำถาม อะไรคือปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศชาติเราขณะนี้ ? คำตอบก็จะใกล้เคียงกัน จริงๆ แล้วเราทุกคนสามารถที่จะตอบคำถามนี้ได้ด้วยตนเอง นั่นก็คือความเข้าใจใน “ปัญหาการเมือง” คืออะไร ? หากไปดูคำจำกัดความจากตำราวิชาการหลายต่อหลายเล่มก็จะได้คำตอบว่า “ การเมือง” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในสังคมมนุษย์ เพราะเป็นเรื่องอำนาจในการจัดสรรผลประโยชน์ในสังคมนั้นๆ
จากโบราณมา การเมืองและอำนาจ จำกัดอยู่ในแวดวงแคบๆ เฉพาะกลุ่มผู้ปกครอง เช่น หัวหน้าเผ่า ต่อมาในสังคมสมัยใหม่ การเมืองหรือเรื่องของอำนาจค่อยๆ ขยายออกไปสู่ประชาชน มีการยอมรับอำนาจของประชาชนมากขึ้น
การเมืองจึงกระจายออกมาสู่ตัวบุคคล จึงเป็นตัวกำหนดกิจกรรมของสังคมนั้นๆ แทบทุกแง่ทุกมุมทีเดียว ซึ่งหากจะให้เป็นคำจำกัดความที่สมบูรณ์จริงๆ “การเมือง น่าจะหมายถึง อำนาจในการจัดสรรผลประโยชน์ในสังคมนั้นๆ อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน”
เมื่อพูดถึง “อำนาจ” ในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับพุทธศักราช ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ซึ่งมีกระบวนการการใช้อำนาจ ทั้งทางตรง และทางอ้อมต่างๆ มากมาย แต่เราจะเห็นพฤติกรรมการใช้อำนาจต่างๆ ซึ่งพอแบ่งได้ เช่น
๑. อำนาจที่พบเห็นได้ชัด เช่น อำนาจในการจัดการทรัพยากร อำนาจในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือการขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชน
๒. อำนาจที่แอบแฝงซ่อนเร้น เช่น การปลูกฝังให้เกิดวัฒนธรรมที่ยอมจำนน การสร้างการยอมรับในความไม่เสมอภาค การปลูกฝังวิธีคิด มุมมองต่างๆ รวมทั้งการแสดงออกทางพฤติกรรม เช่น การเลือกปฏิบัติ การปิดกั้นโอกาส การเอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาสกว่า การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารการขัดขวางการรวมตัวของประชาชน
นอกจากพฤติกรรมการใช้อำนาจที่กล่าวมา ยังมีโครงสร้างระดับบนของการเมืองคือ กฎหมายและนโยบายต่างๆ ในแต่ละระดับ
* กฎหมายยังไม่เป็นธรรมไม่เข้มแข็งในการตรวจสอบ ไม่คุ้มครองจริง
* นโยบายแผนงานไม่ชัดเจน ไม่รัดกุม ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสไม่ชัดเจน ไม่เข้มแข็ง ไม่โปร่งใส
ประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยได้ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ดังนี้
๑. ใช้อำนาจทางตรงด้วยตนเอง โดยการใช้สิทธิ เสรีภาพด้วยตนเองตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น การพูด การเขียน การร้องเรียน การฟ้องร้อง การขอดูข้อมูลข่าวสารราชการ ฯลฯ
๒. ใช้อำนาจทางตรงร่วมกับผู้อื่น โดยการใช้สิทธิ เสรีภาพร่วมกับผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ เช่น การรวมกลุ่ม การชุมนุมประท้วง การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย การเข้าชื่อถอดถอน ฯลฯ
๓. ใช้อำนาจทางอ้อมผ่านทางตัวแทนหรือให้ผู้อื่นใช้อำนาจแทนตน โดยผ่านตัวแทนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ เช่น การเลือกตั้ง อบต./เทศบาล/อบจ./เมืองพัทยา/กรุงเทพมหานคร ไปจนถึงการเลือกตั้ง ส.ส./ส.ว. ฯลฯ เพื่อไปทำหน้าที่นิติบัญญัติ (ออกกฎหมาย) หรือบางครั้งไปทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการบริหาร หรือเพื่อไปตรวจสอบการบริหาร และกระทั่งเพื่อไปผลักดันการแก้ไขปัญหาต่างๆ แทนเราในแต่ละระดับ
มาถึงประเด็นนี้ ก็จะมาถึงคำถามว่า อำนาจต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ เมื่อประชาชนมอบให้ตัวแทนใช้อำนาจแทนไปแล้ว ประชาชนจะเรียกอำนาจคืนได้หรือไม่ ? คำตอบก็คือ ในรัฐธรรมนูญฉบับพุทธศักราช๒๕๔๑ และฉบับพุทธศักราช ๒๕๕๑ เปิดโอกาสให้ประชาชนเรียกอำนาจคืนได้ โดยผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสามารถเข้าชื่อเสนอให้พิจารณาถอดถอน นักการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่า บุคคลเหล่านั้นทำในสิ่งไม่ถูกต้อง คือ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย รวมทั้งมีพฤติการณ์ขัดต่อจริยธรรม หรือหากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ประชาชนก็จะไม่เลือกคนเหล่านั้นเข้ามาอีก เป็นต้น
นอกจากนี้ ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ยังสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ หรือใช้อำนาจตามสิทธิ กลไกตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกระทั่งใช้อำนาจของตนโดยการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ ของสังคม รวมทั้งกระบวนการทางการเมือง
โดยสรุปแล้ว ชีวิตกับการเมือง เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก โดยที่ประชาชนรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในแง่ปัจเจกบุคคล ในระดับชุมชน สังคมตลอดจนถึงระดับประเทศชาติจนอาจกล่าวได้ว่า ชีวิต คือการเมือง หรือ การเมือง คือชีวิต นั่นเอง
ประชาชนควรจะเรียนรู้ เข้าใจสิทธิ เสรีภาพ และอำนาจของตัวเองเพื่อสร้างสรรค์การเมืองให้ถูกต้อง เป็นการเมืองที่เป็นธรรมและยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่บนผลประโยชน์ของส่วนรวม และประชาชนอย่างแท้จริง
จิตสำนึกสาธารณะ *
“พลเมือง” หมายถึง ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญของบ้านของเมืองในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง ประเทศใดมีพลเมืองที่เข้มแข็งจำนวนมาก ประเทศนั้นก็จะมีการพัฒนามาก มีความเข้มแข็งมั่นคงมาก ประเทศใดมีพลเมืองที่เข้มแข็งน้อยก็จะมีการพัฒนาน้อยและมีความเข้มแข็งมั่นคงน้อย ทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับการสร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง ซึ่งจะมีคุณลักษณะสำคัญอย่างน้อย ๓ ประการ คือ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เคารพสิทธิเสรีภาพ และกฎหมาย รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อสังคมพลเมืองจึงเป็นผู้เสียสละทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เป็นผู้มี “จิตอาสา” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “มีจิตสำนึกสาธารณะ” ซึ่งคำสองคำนี้มีความเข้มข้นในเชิงพฤติกรรมที่แตกต่างกัน
พระไพศาล วิสาโล ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่า จิตอาสาว่า “เนื้อแท้ของความเป็นอาสาสมัครนั้นอยู่ที่จิตใจ คือมี ‘จิตอาสา’ ที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น หรือนึกถึงส่วนรวม จะเป็นชาวบ้านครู พ่อค้า แม่ค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ ก็สามารถเป็นอาสาสมัครได้ตลอดเวลาหากมีจิตใจที่คำนึงถึงส่วนรวมอยู่เสมอ เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “อาสาสมัคร” นั้นไม่ใช่เป็นอาชีพ หากคือสำนึกที่สมควรมีอยู่คู่กับความเป็นมนุษย์ของเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของจิตสำนึกสาธารณะว่า คือ การตระหนักรู้และคำนึงถึงส่วนรวมร่วมกัน หรือการคำนึงถึงผู้อื่นที่ร่วมสัมพันธ์เป็นกลุ่มเดียวกัน
สำหรับ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ให้ความหมายจิตสำนึกสาธารณะไว้ว่าการรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความสำนึกและยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัดและมีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
กล่าวโดยสรุป จิตอาสา หมายถึง การสมัครใจเสียสละในการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมส่วนรวม เช่น เด็กคนหนึ่งเห็นคนอื่นทิ้งขยะไม่เป็นที่ ก็เดินไปหยิบเศษขยะนั้นมาทิ้งในถังขยะ ส่วน จิตสำนึกสาธารณะ นั้นหมายถึง สำนึกของประชาชนในการดูแลคุ้มครองประโยชน์และความเป็นธรรมของสังคม จากตัวอย่างข้างต้น เด็กคนนั้น เมื่อเห็นคนอื่นทิ้งขยะไม่เป็นที่ ก็จะกล้าเดินไปเข้าไปพูดคุยด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมแล้วขอร้องให้ช่วยกันรักษาความสะอาดของบ้านเมืองด้วยกันและขอให้นำขยะไปทิ้งในถังขยะนั้น ซึ่งจะเห็นว่าในกรณีเดียวกันแต่มีพฤติกรรมการแสดงความเป็นพลเมืองที่แตกต่างกัน และส่งผลต่อการแก้ปัญหา และการพัฒนาบ้านเมืองที่แตกต่างกันด้วย
ดังนั้น การมี “จิตสำนึกสาธารณะ” ของพลเมือง หรือ “จิตสำนึกพลเมือง” จึงสามารถแสดงออกได้หลายวิธี เช่น
๑. การแสดงความคิดเห็น
พลเมือง ต้องกล้าแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน เพื่อให้ประชาชนตระหนักในปัญหาของชุมชน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม ฯลฯ และกระตุ้นให้ประชาชนในชุมชนตื่นตัวลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตนเอง และด้วยพลังของชุมชนเองก่อน โดยไม่รอความช่วยเหลือจากภายนอกหรือจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว
๒. การคัดค้าน สนับสนุน เสนอแนะ
หากมีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เช่น มีการทุจริตซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง การทุจริตคอร์รัปชั่น พลเมืองต้องกล้าที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแจ้ง เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำความผิด หรือหรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ มีความไม่เป็นธรรมใดๆ คัดค้าน หรือเสนอแนะ หรือเข้ามีส่วนร่วมดำเนินการแก้ปัญหาหรือปรับปรุงแก้ไข
ในขณะเดียวกันก็ต้องกล้าสนับสนุนนโยบาย หรือกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มิใช่นิ่งดูดาย ปล่อยให้
ดำเนินการตามลำพังโดยไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ
๓. การติดตาม ตรวจสอบ การทำงานของภาครัฐและนักการเมือง ทุกระดับ
ในฐานะที่พลเมืองเป็นผู้มีจิตสำนึกสาธารณะ เป็นผู้นำทางความคิดและกระตือรือร้นสนใจกิจกรรมของส่วนรวม รวมทั้งหวงแหนในสิทธิประโยชน์ของส่วนรวม จึงทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐและนักการเมืองทุกระดับ รวมทั้งเข้าร่วมการต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องเป็นธรรมจากรัฐเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
๔. การวิเคราะห์ วิจัย
การศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัยในเรื่องต่างๆที่เป็นปัญหาสาธารณะ เมื่อได้ผลการศึกษาวิจัยแล้วเห็นว่ามีผลกระทบและเป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้วก็จะนำมาเสนอเพื่อให้สังคมได้รับรู้และตระหนักก็ถือว่าเป็นผู้มีจิตสำนึกสาธารณะด้วยเช่นกัน
จิตสำนึกสาธารณะ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ แต่เกิดจากการเอาชนะใจตนเอง มีชีวิตเหนือความโลภ ความหลง และต้องฝึกฝน ประพฤติ ปฏิบัติเป็นประจำ จากเรื่องเล็กๆ ไปสู่เรื่องใหญ่จนเป็นนิสัยประจำตัว ความเป็นพลเมืองผู้มี “จิตสำนึกสาธารณะ” จึงไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้อยู่ที่ฐานะ ชาติตระกูล หรือการศึกษา หากแต่อยู่ที่การฝึกฝนบ่มเพาะความประพฤติพฤติกรรมให้เป็นผู้สมัครใจเสียสละทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ