การแสดงออกทางศิลปะ(ลูกเสือชั้นพิเศษ)
การแสดงออกทางศิลปะ (เครื่องหมายลูกเสือชั้นพิเศษ)
กิจกรรมทางลูกเสือมุ่งส่งเสริมให้ลูกเสือได้มีการแสดงความสามารถในเรื่องต่าง ๆ ส่วนหนึ่งเป็นการตอบสนองทางร่างกายตายวัยของลูกเสือ อีกส่วนหนึ่งเป็นการสร้างเสริมให้ลูกเสือได้มีการแสดงความสามารถในเรื่องต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมบุคลิกภาพให้กับตนเอง การแสดงออกทางศิลปะก็มีส่วนร่วมในศิลปะประเภทต่าง ๆ ที่ลูกเสือสนใจเป็นพิเศษ
ศิลปะ หมายถึง งานที่สร้างสรรค์จากอารมณ์ จินตนาการ สติปัญญาและความชำนาญ ก่อให้เกิดความประทับใจซึ่งครอบคลุมกิจกรรมทางวัฒนธรรมแทบทุกอย่าง
ศิลปะอาจแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ ศิลปะการแสดง ทัศนศิลป์ การช่าง ศิลปะทางอักษรศาสตร์ และศิลปะวิจารณ์
เนื่องจากศิลปะในระดับนี้มีหลายกลุ่ม ดังนั้นเพื่อความสะดวกเหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมอย่างอื่น ๆ จึงได้นำมาเป็นตัวอย่างให้ลูกเสือได้เรียนรู้คือ
1. ศิลปะการแสดง
2. ศิลปะอักษรศาสตร์
ใน 2 ข้อนี้ ลูกเสือเลือกเรียนข้อใดข้อหนึ่งและสอบผ่านถือว่าลูกเสือสอบผ่านการแสดงออกทางศิลปะ
สำหรับลูกเสือการแสดงควรเป็นเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ความกล้าหาญ เสียสละ อดทนหรือจากกฎและคำปฏิญาณ การแสดงต้องให้สมกับความเป็นจริงตามที่สมมติขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้า เสียง กิริยา ท่าทางต้องให้สมจริงที่เรียกว่าบทบาทตลอดเวลาที่อยู่บนเวทีหรือที่เราเรียกว่าละครสั้น
การเล่นพื้นเมือง หมายถึงการแสดงใด ๆ อันเกี่ยวกับประเพณีนิยมในท้องถิ่น เล่นกันเพื่อความรื่นเริงตามฤดูกาลไม่เป็นอาชีพหรือหารายได้จะมีดนตรีหรือฟ้อนรำประกอบก็ได้
การแสดงการเล่นพื้นเมือง จะต้องประกอบด้วย
1. เป็นการรื่นเริงตามฤดูกาล
2. สถานที่แสดงต้องให้เหมาะสม ไม่ควรแสดงตามถนนหนทาง
3. การแสดงต้องเป็นไปอย่างสุภาพ ไม่หยาบโลนหรือเสื่อมเสียศีลธรรมและวัฒนธรรม
4. การแต่งกายต้องสะอาด สุภาพเรียบร้อยถูกต้องตามวัฒนธรรมและเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น
เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว งูกินหาง รำกลองยาว เพลงระบำ รองเง็ง ฉุยฉาย ฟ้อนเล็บ หนังตะลุง เซิ้ง ลำเพลิน เป็นต้น
ในหัวข้อนี้ลูกเสือต้องอ่านหนังสือทางศิลปะอย่างน้อย 3 เล่ม เพื่อให้มีความรู้กว้างขวางโดยคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้
การอ่านหนังสือ
1. ความจำเป็นที่ต้องอ่าน เนื่องจากยุคปัจจุบันมีการพัฒนาเร็วทั้งด้านวัตถุ วิทยากรความนึกคิดตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ล้วนแต่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องอ่านเพื่อให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้า ความเปลี่ยนแปลงได้ทันกาล
2. ต้องอ่านเป็น การอ่านเป็นจะต้องมีหลักดังนี้
ก. รู้เรื่องราวตลอดแจ่มแจ้ง
ข. ได้รสชาติจากการอ่าน
ค. วินิจฉัยคุณค่าได้
ง. รู้จักเลือกอ่านได้เหมาะสมตามความต้องการในแต่ละโอกาส
มีปัจจัยหลายประการพอที่จะเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. การมีความรู้ในเรื่องของหนังสือ คือรู้จักลักษณะประเภทของหนังสือได้แจ่มกระจ่าง และลึกซึ้งพอสมควร
2. การมีนิสัยอ่านหนังสือสม่ำเสมอทุกวัน
3. การมีทรรศนะกว้างไกลพอที่จะยินดีอ่านหนังสือได้ทุกประเภท โดยไม่รู้สึกว่าเป็นความทุกข์ใจเพราะต้องฝืนใจอ่าน
4. ความสามารถในการอ่านหนังสือได้เร็ว และสามารถจับใจความของหนังสือได้ถูกต้องด้วย
5. ความสามารถในการวินิจฉัยคุณค่าของหนังสือ
เพื่อให้การอ่านเป็นบรรลุประโยชน์ผู้อ่านควรมีจุดหมายในจุด การอ่านแต่ละครั้ง และเข้าใจวิธีอ่านเพื่อให้ได้ประโยชน์สมความมุ่งหมายอีกด้วย วิธีอ่านโดยย่อมี 3 อย่าง คือ
1. อ่านเพื่อศึกษาค้นคว้า
2. อ่านเพื่อความบันเทิง
3. อ่านเพื่อสนองความต้องการอื่น ๆ
ส่วนต่าง ๆ ของหนังสือ
หนังสือที่ผู้เรียนตั้งใจให้เป็นหนังสือที่ให้ความรู้ เพื่อการศึกษาค้นคว้านั้น ผู้เขียนมักจะจัดสัดส่วนต่าง ๆ อันเป็นส่วนประกอบเพื่อให้สะดวกแก่การที่จะอ่านจับใจความได้รวดเร็วขึ้น ส่วนต่าง ๆ ของหนังสือมีลำดับดังนี้
1. หน้าชื่อเรื่อง อยู่ต่อจากปกใน ในหน้านี้จะมีชื่อเรื่องหนังสือ ซึ่งผู้เขียนพร้อมทั้งคุณวุฒิและ
ประสบการณ์ เพื่อให้ผู้อ่านแน่ใจว่าหนังสือนี้เขียนโดยผู้รู้ด้านนั้น หนังสือจะบอกว่าพิมพ์ปีไหนเก่าหรือใหม่ พิมพ์ครั้งที่เท่าไร บอกสำนักพิมพ์ และสถานที่พิมพ์
2. คำนำ บอกความมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์เอาไว้ สาระสำคัญของเรื่องประโยชน์ที่ผู้เขียนคาด
ว่าจะได้รับ
3. สารบัญ ก่อนอ่านเนื้อเรื่อง ควรอ่านเสียก่อน เพื่อทราบขอบเขตของหนังสือว่าต่อเนื่องกันอย่าง
ไร ผู้เขียนทำสารบัญอย่างละเอียดเพียงไร ผู้อ่านสามารถทราบขอบเขตของหนังสือและเนื้อหาสาระของหนังสือได้ชัดเจนขึ้น
4. ดัชนี จะแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือเรื่องนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรใคร ที่
ไหน อย่างไร โดยเรียงลำดับเรื่องตามด้วยพยัญชนะ
5. บรรณานุกรม คือรายชื่อหนังสือที่ผู้เขียน ได้ใช้ประกอบในการเขียนหนังสือนั้นในรายการ
บรรณานุกรม แต่ละรายการจะให้ชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ และบางทีอาจจะมีบรรณนิทัศน์คือ เนื้อเรื่องย่อ ๆ ของหนังสือสัก 3 – 4 แต่ละรายการนี้ผู้เขียนจะนำมารวมกันแล้วเรียงลำดับตามพยัญชนะชื่อผู้แต่ง มีประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่สนใจจะอ่านเรื่องทำนองนั้นอีกก็ละเลือกหนังสือได้ทันทีจากรายการในบรรณานุกรมนั้น
วิจารณ์หนังสือ
1. เพื่อเสนแนะหนังสือที่ควรซื้อ หรือควรอ่าน และเพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อหนังสือที่ไม่เหมาะสม
หรือไม่มีคุณค่าพอ
2. นำหนังสือที่อาจสนองความต้องการของผู้อ่านให้เข้ามาสู่ความสนใจ
3. เพื่อแสดงให้เห็นว่าหนังสือนั้น ๆ ควรซื้อให้เพิ่มจำนวนฉบับขึ้น
การวิจารณ์หนังสือแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. วิจารณ์ปากเปล่า จุดประสงค์ เพื่อชักชวนให้อ่านหนังสือเล่มนั้น หรือชักจูงใจซื้อหรือไม่ซื้อ
2. วิจารณ์ด้วยการเขียนสังเขปเรื่องโดยย่อ จุดมุ่งหมายเพื่อแนะนำหนังสือที่ควรซื้อหรือหลีกเลี่ยง
หนังสือที่ไม่ควรซื้อเท่านั้น
การวิจารณ์ด้วยปากเปล่านั้น ถ้าจุดมุ่งหมายเพื่อแนะให้ซื้อ หรือไม่ให้ซื้อก็จะเป็นการวิจารณ์สั้น ๆ
เพียง 5 – 10 นาที โดยหยิบยกเอาแต่จุดดี หรือข้อเสียมาชี้ให้เห็น แต่ถ้าเป็นการวิจารณ์เพื่อเรียกร้องให้อ่านจะต้องใช้เวลามากกว่านั้น และต้องการศิลปะในการวิจารณ์มากกว่านั้น
หลักการวิจารณ์หนังสือ
1. การดำเนินเรื่อง ชวนอ่าน ดำเนินการเป็นจังหวะเกี่ยวพันกัน มีต้น มีปลาย มีข้อปมชวนให้คิด
2. ถ้าเป็นนวนิยาย เค้าโครงเรื่องแปลกชวนให้ติดตามอ่าน และมีจุดยอดของเรื่อง
3. การบรรยายเข้าถึงเนื้อหา และเหมาะสมแก่สภาพการณ์ของเรื่องนั้น
4. ความงดงามของภาษา มีคุณค่า ความงามทางวรรณคดีแฝงอยู่
5. มีเนื้อหาและหลักสำคัญอันเป็นจุดเด่นหรือเป็นจุดยืนเรื่องของหนังสือนั้น ๆ
6. ได้เหลือสิ่งใดไว้ให้ผู้อื่นคิดบ้างเมื่ออ่านหนังสือจบแล้ว หรือถ้าเป็นหนังสือวิชาการผู้อ่านได้ข้อ
เท็จจริง หรือหลักวิชาดังต้องการหรือไม่
7. มีคุณลักษณะพิเศษอะไร ในหนังสือเล่มนั้นบ้าง
8. วางใจเป็นกลางขณะวิจารณ์
9. หนังสือนั้นชวนให้เบื่อ หรือว่าโลดโผน ตื่นเต้นจนเกินไป