กิจการของคณะลูกเสือโลกและความสัมพันธ์ระหว่างลูกเสือนานาชาติ
กิจการขององค์การลูกเสือโลก
การลูกเสือเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1907) โดยอาศัยความคิดเห็นและหนังสือ “Scouting for boys (การลูกเสือสำหรับเด็กชาย)” ของ ลอร์ด เบเดน โพเอลล์ เป็นบรรทัดฐาน ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้ได้เป็นที่สนใจของเยาวชนอย่างกว้างขวางและกระจายไปยังประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็ว
แม้ว่ากำหนดการในบางประการจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศทั่วโลก แต่หลักการที่เกี่ยวกับคำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ ได้เป็นจุดรวมภราดรภาพของลูกเสือทั้งมวลเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
องค์การลูกเสือโลก
ปัจจุบัน การลูกเสือได้เจริญเติบโตและแพร่ขยายไปทั่วโลก ซึ่งมีสมาชิกกว่า 30 ล้านคน ใน 161 ประเทศ และเขตปกครอง อาณานิคมแคว้นต่างๆ ทั่วโลก มีองค์การลูกเสือโลก (World Organization of the Scout Movement) โดยสำนักงานลูกเสือโลก (World Scout Bureau) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขาธิการฯ ผู้ดูแลการดำเนินงานของประเทศสมาชิกให้พัฒนาไปตามกรอบนโยบายและแนวทางขององค์การลูกเสือโลก และตามมติของที่ประชุมสมัชชาลูกเสือโลก (World Scout Conference) ซึ่งจัดให้มีขึ้นในทุก ๆ 4 ปี
นอกจากสำนักงานลูกเสือโลก (World Scout Bureau) กรุงเจนีวา แล้วยังมีสำนักงานลูกเสือภาคพื้นอยู่ในภูมิภาคทั่วโลก อีก 6 แห่ง ได้แก่
1. ภาคพื้นยุโรป (Europe) - มีประเทศสมาชิก 41 ประเทศ
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และกรุงบร้สเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม
2. ภาคพื้น ยูเรเชีย (Eurasia) - มีประเทศสมาชิก 9 ประเทศ
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่สาธารณรัฐยูเครน และสำนักงานสาขา ที่กรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย
3. ภาคพื้นอินเตอร์อเมริกา (Interamerica) - มีประเทศสมาชิก 32 ประเทศ
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงซานติเอโก ประเทศชิลี
4. ภาคพื้นอาหรับ (Arab) - มีประเทศสมาชิก 18 ประเทศ
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์
5. ภาคพื้นอาฟริกา (Africa) - มีประเทศสมาชิก 37 ประเทศ
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา
- สำนักงานสาขา 1. ตั้งอยู่ที่กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล
- สำนักงานสาขา 2. ตั้งอยู่ที่ กรุงเคปทาวน์ ประเทศอาฟริกาใต้
6. ภาคพื้น เอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific) - มีประเทศสมาชิก 24 ประเทศ
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
สมัชชาลูกเสือโลก (World Scout Conference)
สมัชชาลูกเสือโลก คือ ที่ประชุมใหญ่ของผู้แทนจากองค์การลูกเสือแห่งชาติต่าง ๆ ทั่วโลก
ที่เป็นสมาชิกขององค์การลูกเสือโลก (ประเทศหนึ่งมีองค์การลูกเสือแห่งชาติได้เพียงหนึ่งองค์การ) ซึ่งในปัจจุบันนี้มีองค์การสมาชิก (Member Organizations) รวมทั้งสิ้น 156 องค์การ โดยปกติแล้วจะมีการประชุมสมัชชาลูกเสือโลกทุก ๆ 3 ปี ต่อหนึ่งครั้ง สมัชชาลูกเสือโลกเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุด และเป็นองค์กรที่กำหนดนโยบาย (Policy – making Body) จัดระเบียบการบริหารกิจการลูกเสือโลก เพื่อให้เกิดเอกภาพ (UNITY) ที่มั่นคง ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญลูกเสือโลก (Constitution and By – Law of the World Organization of the Scout Movement)
สมัชชาลูกเสือโลกนี้ ประกอบขึ้นด้วยผู้แทนขององค์การลูกเสือสมาชิก (Member Organizations) หรือกาจกล่าวได้ว่า ผู้แมนจากประเทศสมาชิกฯ ประเทศละไม่เกิน 6 คน มาร่วมประชุมตามกำหนดวัน และสถานที่ในประเทศสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่ง ตามที่สมัชชาลูกเสือโลกได้อนุมัติในระหว่างการประชุมสมัชชาลูกเสือโลกล่วงหน้าไว้ก่อน 2 สมัย ตัวอย่างเช่น ในการประชุมสมัชชาลูกเสือโลกครั้งที่ 31 ซึ่งจัดขึ้นที่นครเมลเบอร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2531 ที่ประชุม ฯ ได้มีมติอนุมัติให้คณะลูกเสือแห่งชาติ (ประเทศไทย) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาลูกเสือโลก ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 19 – 23 กรกฎาคม 2536 ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย (ได้เว้นช่วงการประชุมสมัชชาลูกเสือโลก ครั้งที่ 32 ซึ่งได้จัดขึ้นที่กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส มาหนึ่งสมัย) เป็นต้น
หมายเหตุ : การประชุมสมัชชาลูกเสือโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1 (พ.ศ.2436) ถึงครั้งที่ 31 (พ.ศ. 2531) จัดประชุมฯ ทุกๆ 2 ปีต่อครั้ง หลังจากครั้งที่ 31 ซึ่งจัดประชุมที่นครเมลเบอร์น ประเทศออสเตรเลียแล้ว ธรรมนูญลูกเสือโลกได้รับการแก้ไขใหม่ ให้มีการประชุมสมัชชาลูกเสือโลก ทุก 3 ปีต่อครั้ง
คณะกรรมการลูกเสือโลก (World Scout Commitee)
คณะกรรมการลูกเสือโลก ประกอบด้วยบุคคล 12 คน จากประเทศสมาชิก 12 ประเทศ เลือกตั้งโดยที่ประชุมสมัชชาลูกเสือโลก กรรมการลูกเสือโลกอยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี และเลือกตั้งกันเองเป็นประธาน และรองประธานในการประชุมสมัชชาลูกเสือโลก ทุกๆ 2 ปีจะมีกรรมการพ้นจากตำแหน่ง 4 คน และจะเลือกตั้งกรรมการลูกเสือเข้าแทนที่โดยวิธีออกเสียงลงคะแนนลับจากที่ประชุมใหญ่ ซึ่งมีผู้แทนมาจากประเทศสมาชิก
โดยปกติคณะกรรมการลูกเสือโลก จะมีการประชุมกันอย่างน้อยปีละครั้ง ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หรือตามที่ที่ประชุมเห็นสมควร
คณะกรรมการลูกเสือโลก มีหน้าที่โดยย่อดังนี้
1. ส่งเสริมกิจการลูกเสือทั่วโลก
2. แต่งตั้งเลขาธิการ และรองเลขาธิการของสำนักงานลูกเสือโลก
3. ควบคุมปฏิบัติงานของสำนักงานลูกเสือโลก
4. จัดหาเงินทุนสำหรับส่งเริมกิจการลูกเสือ
5. ให้เครื่องหมายลูกเสือสดุดี Bronze Wolf ของคณะลูกเสือ แก่ผู้ที่ได้มีส่วนช่วยเหลือกิจกรรมลูกเสืออย่างดีเด่น
สำนักงานลูกเสือโลก
สำนักงานลูกเสือโลก ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการขององค์การลูกเสือโลก ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือมติของสมัชชาลูกเสือโลก มีเลขาธิการคนปัจจุบัน คือ Mr Ahmad Alhendawi ค.ศ. 2018 ได้ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงลอดดอน ประเทศอังกฤษ
ค.ศ. 1985 ได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนนาดา
ค.ศ. 1961 ในการประชุมสัมนาครั้งที่ 18 ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ได้เปลี่ยนชื่อการประชุมสมัชชาจาก International Conference เป็น World Conferenceค.ศ. 1968 ย้ายสำนักงานไปอยู่เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จนปัจจุบันนี้
นอกจากนี้ยังมีสำนักงานเขตอีก 5 เขต คือ
เขตอินเตอร์-อเมริกา ตั้งอยู่ที่เมืองซานยโฮเซ่ ประเทศคอสตาริกา
เขตเอเชีย-แปซิฟิค ตั้งอยู่ที่เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
เขตอาหรับ ตั้งอยู่ที่เมืองไคโร ประเทศอียิปต์
เขตยุโรป ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เขตแอฟริกา ตั้งอยู่ที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา
(หมายเหตุ) ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่7/2532 มีมติให้แก้ไขว่า เขตเอเชีย-แปซิฟิก เป็น ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค
สำนักงานลูกเสือโลกมีหน้าที่โดยย่อดังนี้
1. ดำเนินการตามมติของสมัชชาและคณะกรรมการลูกเสือโลก
2. ติดต่อกับประเทศสมาชิกและองค์การที่เกี่ยวข้อง
3. ประสานงานกับประเทศสมาชิก
4. ส่งเสริมกิจการลูกเสือโดยทั่วไป
ความสัมพันธ์ระหว่างลูกเสือนานาชาติ
กิจการลูกเสือของทุกประเทศ มีหลักการที่สำคัญอย่างเดียวกัน ดังนี้
- หน้าที่ต่อพระเจ้าและศาสดา
- ความจงรักภักดีต่อประเทศชาติของตน
- มีความศรัทธาในมิตรภาพและความเป็นพี่น้องของลูกเสือทั่วโลก
- การบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
- การยอมรับและปฏิบัติตามคำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ
- การเข้าเป็นสมาชิกด้วยความสมัครใจ
- มีความเป็นอิสระต่ออิทธิพลทางการเมือง
- มีกำหนดการพิเศษสำหรับการฝึกอบรม โดยอาศัย
- ระบบหมู่/กลุ่ม
- การทดสอบเป็นขั้นๆ
- เครื่องหมายวิชาพิเศษ
- กิจกรรมกลางแจ้ง
การลูกเสือดำรงไว้ซึ่งเอกภาพแห่งความมุ่งประสงค์และวิธีการ โดยมีรากฐานมาจากหลักการแห่งอุดมการณ์ของลูกเสือ ซึ่งมีคำปฏิญาณและกฎของลูกเสือเป็นพื้นฐาน ซึ่งในแต่ละประเทศยึดถือหลัก “การพัฒนาลูกเสือ 8 ประการ” ดังนี้
1. ความคิดเรื่องศาสนา
- ในศาสนาคริสต์ นิกกายคาทอลิก มีสมาคมลูกเสือไอร์แลนด์คาทอลิก สมาคมลูกเสือฝรั่งเศส สมาคมลูกเสือเหล่านี้จะสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวัดคาทอลิก
- สมาคมลูกเสือในประเทศสวีเดน จะไม่ใช้คำว่า “ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า” ในคำปฏิญาณเลย แม้กระนั้นเขายังคงยึดมั่นในหลักการของลูกเสือทางด้านจิตใจ เพื่อให้บรรลุผลอย่างเดียวกัน โดยวิธีการอื่นๆ
- ในประเทศไทย การลูกเสือฝึกอบรมให้เด็กทุกคนเคารพนับถือศาสนาตามที่บิดามารดาของตนนับถืออยู่ และให้มีความจงรักภักดีต่อศาสนาด้วย
2. พัฒนาให้มีความรู้สึกด้านค่านิยม สมาคมลูกเสือเกือบทุกแห่งจะเน้นพัฒนาทางด้านนี้ และให้เอาใจใส่ ระมัดระวังในการเผชิญปัญหาสถานการณ์ปัจจุบันเป็นพิเศษ
3. การพัฒนาทางร่างกาย สมาคมลูกเสือส่วนมากจะเน้นมากที่สุด โดยการจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง
4. การพัฒนาทางสติปัญญา เน้นให้เด็กทำงานอดิเรก การฝีมือ การรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
5. การพัฒนาทางสังคม เน้นให้รู้จักการปฏิบัติให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
6. สัมพันธภาพทางสังคมในกลุ่มลูกเสือ เน้นให้รู้จักการทำงานระบบหมู่ ตามลักษณะการปฏิบัติงานของลูกเสือ
7. ความรับผิดชอบต่อชุมชน เน้นถึงความรับผิดชอบต่อผู้อื่นเสมอ ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์
8. ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เน้นให้เด็กมีความสนใจในสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ธรรมชาติ
การประชุมสมัชชาลูกเสือภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก
เดิมเรียกว่า Far East Scout Conference ประชุมครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1958 หลังจากนั้นได้มีการประชุมกันทุกๆ 2 ปี และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นประชุมทุกๆ 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา และในปี ค.ศ. 1970 เปลี่ยนชื่อเป็น Asia-Pacific Regional Scout Conference
คณะกรรมการลูกเสือภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกลูกเสือภาคพื้นเอเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 10 คน อยู่ในตำแหน่งได้เทอมละ 6 ปี คณะกรรมการลูกเสือภาคฯจะดำเนินการเลือกประธานและรองประธานกันเอง ในการประชุมสมัชชาลูกเสือภาคฯทุกครั้ง กรรมการ 5 คน จะพ้นจากตำแหน่งตามวาระ และจะมีการเลือกตั้งกรรมการคนใหม่ จำนวน 5 คน เข้ามาแทนที่ผู้ที่ออกหรือลาออก หรือถึงแก่กรรม
การลูกเสือระหว่างประเทศ
ประเทศสหรัฐอเมริกามีลูกเสือมากที่สุดในโลก เป็นผู้มีความสำเร็จในกิจการลูกเสืออย่างมาก
ประเทศแคนนาดา มีลูกเสือ 310,849 คน (2531)
เขตลาตินอเมริกานั้นมีจำนวนน้อยมาก
ในยุโรปมีลูกเสือ 1.5 ล้านคน แม้ว่าจำนวนลูกเสือจะไม่เพิ่มพูนแต่ก็ยังสามารถยืนหยัดจำนวนคงอยู่ได้ และเน้นในทางสมาคมร่วมกันระหว่างลูกเสือกับลูกเสือหญิงซึ่งเป็นความมุ่งประสงค์และวิธีการของลูกเสือ ประเทศเยอรมันนี มีสมาชิกน้อยมาก สมาคมลูกเสือต่างๆควรจะได้รับความช่วยเหลือเรื่องการจัดเตรียมโปรแกรมที่ยั่วยุ และน่าสนใจแกเด็กหนุ่มให้มากขึ้น
ในแอฟริกาใต้มีลักษณะที่แตกต่างกันไป แต่เขาเหล่านั้นก็พยายามส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน และเข้าใจกันเป็นอย่างดี
ในเขตเอเชีย-แปซิฟิก เป็นเขตที่มีความเจริญงอกงามมากที่สุดกว่าทุกเขต มีประชากรลูกเสือเกินกว่า 5 ล้านคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการลูกเสือได้ตอบสนองความต้องการของประเทศที่กำลังพัฒนาได้ตรงเป้าหมาย ที่ประชุมสมัชชาลูกเสือภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก เป็นผู้พิจารณากำหนดสถานที่ประชุมล่วงหน้าตามคำเชิญของประเทศเจ้าบ้าน
ครั้งที่ 1 1958 (2501) ประชุมที่ประเทศฟิลิปปินส์
ครั้งที่ 2 1960 (2503) ประชุมที่ประเทศพม่า
ครั้งที่ 3 1962 (2505) ประชุมที่ประเทศไทย
ครั้งที่ 4 1964 (2507) ประชุมที่ประเทศมาเลเซีย
ครั้งที่ 5 1966 (2509) ประชุมที่ประเทศจีนไต้หวัน
ครั้งที่ 6 1968 (2511) ประชุมที่ประเทศเกาหลีใต้
ครั้งที่ 7 1970 (2513) ประชุมที่ประเทศนิวซีแลนด์
ครั้งที่ 8 1972 (2515) ประชุมที่ประเทศฟิลิปปินส์
ครั้งที่ 9 1974 (2517) ประชุมที่ประเทศสิงคโปร์
ครั้งที่ 10 1976 (2519) ประชุมที่ประเทศอิหร่าน
ครั้งที่ 11 1978 (2521) ประชุมที่ประเทศฮ่องกง
ครั้งที่ 12 1980 (2523) ประชุมที่ประเทศออสเตรเลีย
ครั้งที่ 13 1982 (2525) ประชุมที่ประเทศอินโดนิเซีย
ครั้งที่ 14 1984 (2527) ประชุมที่ประเทศนิวซีแลนด์
ครั้งที่ 15 1986 (2529) ประชุมที่พัทยา ประเทศไทย
ครั้งที่ 16 1989 (2532) ประชุมที่ไทเป ไต้หวัน
ครั้งที่ 17 1992 (2535) ประชุมที่ประเทศอินโดนิเซีย