เครื่องหมายลูกเสือชั้นพิเศษ (ตามข้อกำหนดหลักสูตรลูกเสือเหลวง)
สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อม คือ สิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัวมนุษย์ ช่วยอำนวยประโยชน์ในการดำรงชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือเป็นอุปสรรคในเมื่อสิ่งแวดล้อมนั่นเป็นพิษ เช่น น้ำไว้ใช้อุปโภค และบริโภค เมื่อมนุษย์ปล่อยของเสียหรือเทขยะลงไป จะทำให้น้ำเน่าเสีย เป็นที่เกิดของจุลินทรีย์นานาชนิด
การอนุรักษ์ธรรมชาติ หมายถึง การรักษาสิ่งที่ปรากฏอยู่ตามธรรมชาติหรือเกิดขึ้นเอง ซึ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ และสภาวะธรรมชาติด้วยกันเอง เช่น มนุษย์ใช้ไม้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยแล้วปลูกต้นไม้ทดแทน เป็นการอนุรักษ์ดินและต้นไม้ลำธาร ใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชผลและใช้น้ำรดต้นไม้ บริโภค ประเทศใดมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จะช่วยส่งเสริมพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
มลภาวะ หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ซึ่งมีผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ พืชและสัตว์ เช่น อากาศเป็นพิษ น้ำเสีย ป่าไม้ถูกทำลาย แร่ธาตุถูกขุดขึ้นมา ใช้โดยไม่ได้ประโยชน์ตามควร ดินเสื่อมมีการพังทลายของดิน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้นอกจากเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแล้ว การกระทำของมนุษย์ยังนับว่าเป็นตัวการสำคัญที่สุด ทั้งนี้เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความมักง่าย ฯลฯ
จากความหมายของคำว่าสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติ และมลภาวะจะเห็นได้ว่าสิ่งแวดล้อมมอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์มาก เช่น ถ้าอากาศที่มนุษย์หายใจเข้าไปเป็นอากาศเสียมีสิ่งที่มีพิษเจือปนอยู่ก็เท่ากับมนุษย์หายใจเอาอากาศเป็นพิษเข้าไป ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์ได้ ไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์เท่านั้น ยังทำลายชีวิตของพืชและสัตว์ได้อีกด้วย หรือถ้าโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำลำคลองจะทำให้สัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง ซึ่งเป็นอาหารของมนุษย์และพืชน้ำเล็ก ๆ เป็นอันตรายต่อชีวิต หากมนุษย์นำเอาพืชและสัตว์น้ำมาบริโภคก็จะได้รับสารพิษสะสมในร่างกายก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและแม้กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด
น้ำ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายไม่ได้ การใช้น้ำในกิจการต่าง ๆ ของมนุษย์ก็มีมาก นอกจากการอุปโภค บริโภค และการเกษตรกรรมแล้ว ยังนำมาเป็นน้ำระบายความร้อนจากเครื่องจักร รวมทั้งใช้ชะล้างโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้น ความร้อนสิ่งสกปรก เช่น น้ำมัน สารเคมีจะระบายลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้น้ำเสีย
ประโยชน์ของน้ำ
1. ทางด้านเศรษฐกิจ ใช้ในกิจกรรมการผลิต เช่น การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การประมง ใช้ในการผลิตทางอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเหล็กกล้า กระดาษ ยางเทียม และอื่น ๆ ใช้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ยังใช้ในการบริโภคในชีวิตประจำวัน คือ ใช้ดื่ม อาบ ทำอาหาร ชำระล้างสิ่งสกปรก รวมถึงในการคมนาคม ขนส่ง
2. ในด้านสังคม ได้แก่ การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มักจะเลือกในบริเวณลุ่มน้ำเพราะเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ต่อการดำรงชีวิต เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฯลฯ
3. ในด้านการเมือง ได้แก่ การใช้แม่น้ำเป็นแนวพรมแดนธรรมชาติ เป็นเส้นทางเดินทัพใช้ในการป้องกันประเทศ เช่น ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาใช้ระดับน้ำป้องกันการรุกรานจากข้าศึก เป็นเส้นทางบุกเบิกทรัพยากรจากท้องทะเลได้อีกด้วย
การเกิดน้ำเสียมีสาเหตุทั้งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ และเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังนี้
1. การทิ้งขยะลงสู่ในแม่น้ำลำคลอง หนอง บึง ก่อให้เกิดความเน่าเสียสกปรกไม่เหมาะแก่การอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ยังส่งกลิ่นเหม็นทำลายสุขภาพของผู้อยู่ใกล้เคียงกับแหล่งน้ำเน้าเสียนั้น
2. การระบายน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ได้แก่ น้ำล้างเครื่องจักร น้ำที่ใช้ในขบวนการผลิต เช่น น้ำที่ใช้ในการหล่อเย็นเครื่องจักร หรือน้ำที่ใช้ในการล้างวัตถุดิบ รวมทั้งสารเคมีซึ่งเป็นของที่เหลือทิ้งที่เกิดขึ้นในขบวนการผลิต เป็นสาเหตุที่ทำใฝห้สิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลา เต่า กุ้ง ฯลฯ ถูกทำลาย รวมทั้งต้นไม้ที่ปลูกอยู่ใกล้บริเวณแหล่งน้ำเสียนั้น
3. ของเสียจากกิจกรรมการเกษตร เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดน้ำเสีย ทั้งนี้ เพราะประเทศไทยเราเป็นประเทศเกษตรกรรม เช่น น้ำเสียจากการเลี้ยงสุกร สารเคมี พวกยาปราบศัตรูพืชที่เกษตรกรใช้ล
4. กิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่การทำเหมืองแร่ การรั่วไหลหรือหกของน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมัน
ผลเสียที่เกิดจากการที่น้ำเสีย มีหลายประการดังต่อไปนี้
1. ด้านสาธารณสุข น้ำที่ถูกปนด้วยสิ่งสกปรกหรือสารพิษต่าง ๆ ย่อมไม่ปลอดภัยต่อการนำมาใช้ในการอุปโภค เป็นอุปสรรคในการทำการเกษตรและอุตสาหกรรม ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวน สกปรกไม่น่าดู นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และแพร่กระจายของเชี้อโรคต่าง ๆ
2. ด้านเศรษฐกิจ น้ำที่มีคุณภาพต่ำ ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ และสัตว์น้ำไม่สามารถอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นได้ เพราะจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นอาหารของสัตว์น้ำไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เป็นเหตุให้เกิดการขาดแคลนอาหารประเภทสัตว์น้ำ
3. ด้านสังคม เป็นผลกระทบจากผลด้านสาธารณสุข และด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวโยงกัน เช่น สุขภาพไม่ดี แรงงานก็ลดลง เศรษฐกิจก็ลดลงด้วย
การแก้ไขปัญหาน้ำเสียอาจทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
1. ให้การศึกษาแก่ประชาชน ให้เข้าในจถึงประโนยชน์ในการช่วยกันป้องกันรักษาแหล่งน้ำให้สะอาดและโทษที่เกิดจากแหล่งน้ำเสีย
2. การก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ควรจัดระบบการระบายน้ำให้ถูกหลักสุขาภิบาลไม่ปล่อยให้มีน้ำขังเน่า
3. ควบคุมและดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2484 อย่างจริงจัง ห้ามประชาชนทำส้วมและถ่ายหรือทิ้งขยะมูลฝอยลงในแม่น้ำลำคลอง
4. รัฐบาลจะต้องกำหนดนโยบายและวางแผนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำเน่าให้แน่นอนและมีประสิทธิภาพ
5. สนับสนุนให้มีการค้นคว้าวิจัย หาวิธีใหม่ที่เหมาะสมในการค้นหาสารที่จะมาแทนสารพิษอันตรายต่าง ๆ เช่น ดี.ดี.ที. หรือยาฆ่าแมลงอื่น ๆ
6. จัดระบบการกำจักน้ำโสโครกจากครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ และมีจำนวนมากพอ น้ำใสโครกที่ผ่านระบบการกำจัดน้ำใสโครกจนเป็นน้ำดีแล้ว จึงปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ รวมทั้งคิดค้นหาวิธีน้ำเสียไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วย
อากาศ อากาศเป็นทรัพยากรชนิดที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ซึ่งชีวิตจะขาดเสียไม่ได้ โดยปกติมนุษย์ต้องการอากาศสำหรับหายใจประมาณวันละ 14 – 15 กิโลกรัม ซึ่งมกกกว่าอาหารและน้ำ 6 – 8 เท่า การมีอากาศบริสุทธิ์หายใจทำให้สิ่งมีชีวิต มีความสมบูรณ์และแข็งแรง แต่ในปัจจุบันตามแหล่งชุมชนใหญ่ ๆ ที่มีการจราจรแน่น หรือตามแหล่งที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่มาก ๆ อากาศเริ่มมีความบริสุทธิ์น้อยลงเพราะมีสารอื่นเจือปนในอากาศมากขึ้น
1. เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ ซึ่งจะออกมาเป็นควันจากท่อไอเสียของเครื่องยนต์เป็นก๊าซพิษออกมาสู่อากาศ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฯลฯ ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ อาจทำให้เกิดวิงเวียน หน้ามืดเป็นโรคทางเดินหายใจ โรคปอด ถ้าสูดเข้าไปมาก ๆ อาจตายได้
2. เกิดจากการสูบบุหรี่ ควันพิษจากบุหรี่มีผลต่อสุขภาพของมนุษย์ในลักษณะค่อย ๆ มีผลเสียทีละน้อยนอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการเป็นมะเร็งในปิดอีกด้วย
3. เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า ซึ่งปล่อยควันและสารพิษต่าง ๆ ในรูปที่เป็นกรดและด่างเข้าสู่อากาศ
4. เกิดจากกัมมันตภาพรังสีในอากาศ กัมมันตภาพรังสีเป็นพลังงานที่แผ่รังสีออกไปเป็นคลื่นละอองเล็ก ๆ อาจติดอยู่กับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในโลกฝุ่นละอองจากกัมมันตภาพรังสีที่ตกลงมาจะติดตามวัตถุและสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ผู้ได้รับกัมมันตภาพรังสี เกิดเจ็บป่วยและตายในที่สุด
5. เกิดจากกิจกรรมทางด้านเกษตร เช่น การฉีดยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช การเผาไร่นา ทำให้เกิดฝุ่นละออง และสารพวกไฮโดรคาร์บอน
ผลเสียที่เกิดจากอากาศเสียมีทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
ผลเสียทางตรง ได้แก่
1. ผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์
2. ทำให้เกิดความเสียหายต่อวัตถุและทรัพย์สิน เช่น เกิดการผุกร่อนของโลหะสีของอาคารจะซีดจางกระเทาะง่าย
3. ทำอันตรายต่อพืช โดยทำลายส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช ใบพืชจะเหี่ยวแห้ง พืชไม่เจริญเติบโต ผลผลิตจะลดลง สีของต้นพืชหรือใบเปลี่ยนแปลงไป
4. ทำให้ท้องฟ้ามือครึ้มจำกัดการมองเห็น เพียงจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ส่องลงสู่พื้นได้ในปริมาณน้อยลง
5. ทำให้เกิดความสกปรกไม่น่าดูแก่พื้นผิวสิ่งของเครื่องใช้ เช่น เสื้อผ้า ตัวอาคาร เป็นต้น
ก่อให้เกิดความรำคาญ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
1. จัดหาเครื่องมือในการวิเคราะห์วิจัย อุปกรณ์ทดสอบ และควบคุมรถยนต์ที่ปล่อยควันดำ
2. ศึกษาปัญหาอากาศเสีย และอันตรายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการปล่อยอากาศเสียของโรงงาน เช่น โรงงานกลั่นน้ำมัน โรงงานโม่หิน ฯลฯ แล้วออกระเบียบหรือวางหลักเกณฑ์ในการควบคุมอันตรายเหล่านั้น
3. เผยแพร่ให้ประชาชนรู้ถึงอันตรายที่เกิดจากสาร และก๊าซพิษของท่อไอเสียรถยนต์ที่มีต่อสุขภาพอนามัย เพื่อให้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดก๊าซพิษ หรือหลีกเลี่ยงจากแหล่งที่เกิดก๊าซพิษเหล่านั้น
ดิน ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญมาก การเป็นอยู่ของมนุษย์มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับดินหรือเกือบจะพูดได้ว่า ดินเป็นแหล่งที่เกิดอาหารของมนุษย์ คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมักจะไม่เห็นความสำคัญของดินเท่ากับชาวกสิกร ชาวนา ชาวสวน และความอุดมสมบูรณ์ มนุษย์เรารู้จักมานานแล้ว เช่น รู้จักเลือกที่ทำการเพาะปลูก แต่การที่ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้นนั้นยังมีคนรู้จักกันน้อยมาก
1. ทางธรรมชาติ
- ความลาดชันของพื้นที่ คือ พื้นดินที่มีความชันมาก ในเวลาฝนตกน้ำจะไหลเร็วมากทำให้น้ำกัด
เซาะดินได้มากขึ้น
- ลมฟ้าอากาศ ความร้อน ความชื้น ฝน ลม น้ำค้าง มีมากจะพังทลายง่าย
- ธรรมชาติของดิน เช่น ดินร่วนหรือเป็นดินเหนียว ถ้าเป็นดินร่วนหรือดินทรายทำให้เกิดการพัง
ทลายได้ง่าย
2. มนุษย์
- ทำลายพืช ปกคลุมดิน เช่น การทำไร่เลื่อนลอย หรือปล่อยให้สัตว์เข้าไปแทะเล็มหญ้ามากเกิน
ไป เมื่อไม่มีพืชปกคลุมดินก็จะทำให้ดินพังทลายง่ายขึ้น
- ทำลายความสมบูรณ์ของดิน เช่น ทำการเพาะปลูกพืชซ้ำ ๆ กัน นานจนทำให้ดินขาดความอุดม
สมบูรณ์ไป จึงทำให้ดินเกิดการพังทลายขึ้น
- การไถพรวนดิน การไถพรวนดินที่ผิดวิธี ทำให้เกิดการพังทลายได้ง่าย เพราะการไถรวนดินทำ
ให้ดินร่วน น้ำเซาะได้ง่าย
- การทำถนนหรือทางเดิน เกิดร่องน้ำเซาะ
ผลที่เกิดจากผิวดินเสีย
1. ทำลายผิวดิน เพราะดินชั้นบนมีฮิวมัส แร่ธาตุ อินทรีย์วัตถุทำลายไป
2. ทำลายน้ำ น้ำขุ่น นำไปใช้การไม่ได้
3. สิ้นเปลือง ดินพังทลาย ทำให้เกิดตะกอนตื้นเขิน
4. การขุดลอกคลองสันดอน เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
5. กระทบกระเทือนสวัสดิภาพสังคม อาณาจักรในสมัยก่อน บางอาณาจักรต้องเสื่อมสลายลงเพราะดินไม่ดีผลผลิตไม่เพียงพอ รายได้ต่ำ พัฒนาบ้านเมืองไม่ได้
การป้องกันและแก้ไขผิวดินเสีย
1. ลดการทำลายหญ้าที่ปกคลุมดิน
2. ระงับการระบายน้ำออก และลดการใช้น้ำที่ดูดซึมจากดิน
3. ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมีบำรุงดิน
4. ปลูกต้นไม้ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ปกคลุมดิน ทำกำบังลม
5. ดัดแปลงพื้นที่ปาดให้เป็นขั้นบันได แล้วทำการเพาะปลูกบนขั้น ๆ เหล่านั้น
6. ควบคุมร่องน้ำ โดยการสร้างเขื่อนเล็ก ๆ กั้นเป็นดอน ๆ เพื่อให้น้ำไหลช้าลง
7. การไถดิน ไม่ให้ป่นเกินไป
8. นำดินที่ถูกพัดพาไป กลับไปไว้ที่เดิม
9. ไม่ทำไร่เลื่อนลอย ปลูกพืชหมุนเวียนไถกลบ
10. ปลูกพืชคลุมดินเช่นพืชตระกูลถั่ว
11. ปลูกสร้างสวนและป่า ช่วยปกคลุมดิน และทำความชุ่มชื้นให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ดิน
12. ปลูกพืชสลับเป็นแปลง ๆ ไป
วิธีการอนุรักษ์สัตว์
สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีบทบาทสำคัญในวัฎจักรของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญในตัวเองในการรักษาดุ
แห่งธรรมชาติ ถ้าหากชีวิตสัตว์ป่าถูกทำลายจะก่อให้เกิดผลเสียต่อดุลธรรมชาติ เช่น ในด้านการเกษตร นกบางชนิดกินแมลงที่เป็นศัตรูกับพืช หรือสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กเป็นอาหารและสัตว์ใหญ่เป็นอาหารต่อมนุษย์ เป็นต้น
ตาม บ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ได้แยกสัตว์ป่า ออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันคือ
ก. สัตว์ป่าสงวนหาดูได้ยากห้ามล่าโดยเด็ดขาด เว้นแต่การกระทำเพื่อศึกษาและวิจัยทางวิชาการ หรือกิจการสวนสาธารณะและได้รับหนังสืออนุญาติจากอธิบดี (กรมป่าไม้) นอกจากห้ามล่าหรือห้ามมีไว้ในครอบครองแม้แต่เนื้อของมันได้แก่
1. แรด
2. กระซู่
3. กรูปรี
4. ควายป่า
5. ละอง
6. สมัน เนื้อสมัน
7. ทราย เนื้อทราย
8. เลียงผา
9. กวางภูเขา
ข. สัตว์ป่าคุ้มครอง ประเภทที่ 1 หมายถึงสัตว์ป่าที่ไม่ให้เนื้อเป็นอาหาร หรือไม่ล่าเพื่อการกีฬา หรือสัตว์ป่าที่ทำลายศัตรูพืช หรือขจัดสิ่งปฏิกูล หรือสัตว์ป่าที่ควรสงวนไว้เพื่อประดับความสวยงามตามธรรมชาติ หรือสงวนไว้ไม่ให้ลดจำนวนลง
ประเภทห้ามล่าด้วยวิธีทำให้ตาย เว้นแต่ทำเพื่อการศึกษาวิจัย และได้รับหนังสือจากอธิบดีกรมป่าไม้
ห้ามมีไว้ในครอบครองแม้แต่มีเนื้อสัตว์ประเภทนี้ไว้เพื่อการค้า ได้แก่
1. หมีขาวหรือพตุรง 2. นกตระกรุม 3. นางอายหรือลิงลม
4. นกกุลาหรือนกช้อนหอย 5. นกกาบบัว 6. นกกระสาคอยาว
7. นกกระเรียน 8. นกหว้า 9. นกยาง
10. นกกาน้ำทุกชนิด 11. สมเสร็จหรือผสมเสร็จ 12. นกกระแตแต้แว้ด
13. นกกะจกหรือกำจังหรืออีงา 14. นกกระเต็น นกกำกวม นกปักหลัก 15. นกแซงแซวทุกชนิด
16. นกเป็ดน้ำ นกเป็ดหงส์ 17. นกกระสาคอดำ 18. นกกางเขนบ้าน
19. นกขมิ้น 20. นกกางเขนดง 21. นกยูง
22. ชะนี 23. นกกระทุง 24. นกงั่ว
25. นกแว่น 26. นกกวัก 27. นกดุเหว่า
28. นกหัวขวาน 29. นกขุนทอง 30. ไก่จุก
31. นกตะกราม 32. นกปากห่าง 33. นกกะสาดำ
34. นกตะขาบทุ่ง 35. ไก่ฟ้าต่างๆ 36. นกกะปูด หรือนกกอ
37. นกสาริกา 38. นกเอี้ยง 39. นกกิ้งโคลง
ค. สัตว์ป่าคุ้มครองประเภท 2 หมายถึงสัตว์ป่าซึ่งตามปกติให้เนื้อเป็นอาหาร หรือล่าเพื่อการกีฬา คือ
1. เป็ดน้ำทุกชนิด ยกเว้นเป็ดกา เป็ดหงส์ 2. วัวแดง วัวดำ หรือแพะ 3. อีเก้ง ฟาน หรือสมัน
4. นกกระสานวล 5. นกอีดำ นกอีล้ำ 6. กะทิง หรือเมย
7. นกอีลุ้ม 8. นกกระสาแดง 9. กระจง หรือไว้
10. นกพริก 11.นกปากซ่อม 12.ไก่ป่า
13.นกแขวก 14.นกอีโต้ง 15.นกเขา
16.นกโป่งวิด 17.กวาง
ประเภทนี้ล่าไว้ได้ภายในกำหนดเวลา ท้องที่ที่กำหนดไว้การล่าต้องขออนุญาตห้ามล่ามาครอบครอง แม้แต่เนื้อสัตว์ป่าจำพวก นี้มีไว้เพื่อการค้าก็ไม่ได้
ก. ประโยชน์ทางตรง ประโยชน์ทางตรงที่ได้จากสัตว์ป่านั้นมีดังนี้คือ
1. เนื้อสัตว์ มนุษย์เราได้เนื้อสัตว์เป็นอาหาร
2. ขนและหนังใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องใช้ เช่น กระเป๋า รองเท้า
3. กระดูก งา และเขา ใช้ทำเป็นเครื่องใช้
4. ใช้แรงงาน
ข. ประโยชน์ทางอ้อม
1. ช่วยด้านเกี่ยวกับวิจัยค้นคว้า
2. ช่วยให้ความเพลิดเพลิน เช่น สวนสัตว์
3. ทำรายได้ให้กับประเทศ เช่น ทำเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
ก. สาเหตุในด้านธรรมชาติเป็นตัวการ
ข. สาเหตุเนื่องจากมนุษย์เป็นตัวการ
ก. สาเหตุที่สัตว์ป่าถูกทำลาย เนื่องจากธรรมชาติเป็นตัวการ สัตว์ป่าที่ถูกทำลายในสาเหตุนี้ไม่ค่อยมีความเสียหายมากนัก ได้แก่
1. เกิดโรคระบาด เช่น โรคอหิวาห์ไก่
2. สัตว์ป่าทำลายกันเอง เช่น สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กเป็นอาหาร
3. เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ตกเหวตาย
ข. สาเหตุที่สัตว์ป่าถูกทำลายเพราะมนุษย์เป็นตัวการ สาเหตุอันนี้เป็นอันตรายต่อสัตว์ป่ามาก ซึ่งสัตว์ป่าถูกล่า เพราะเหตุ
1. มนุษย์ล่าเป็นอาหาร
2. ล่าเพราะเป็นเกม กีฬา
3. สัตว์ป่าเป็นสินค้าอย่างดี ทำให้มนุษย์ล่ามากขึ้น
4. ทำลายทรัพยากรอย่างอื่น เช่น ป่าไม้ ทำให้สัตว์ป่าไม่มีที่อาศัย
5. สัตว์ป่าถูกทำลาย เพราะเป็นอันตรายต่อพืชผลและสัตว์เลี้ยง
1. โดยการถนอมเอาไว้ ซึ่งอาจจะทำได้โดย
ก. ถนอมพวกที่จะสูญพันธุ์ไว้ เช่น นำมาเลี้ยงไว้
ข. พยายามรักษาที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าไว้ เช่น ไม่ทำลายป่า
ค. หาทางป้องกันอันตรายจากธรรมชาติที่จะเกิดแก่สัตว์ป่า
2. คัดเลือกและทำการส่งเสริมพันธุ์สัตว์ประเภทดี ๆ เพราะการสงวนเราไม่ได้สงวนสัตว์ป่าทุกประเภท แต่จะทำการสงวนเฉพาะชนิดที่มีประโยชน์เท่านั้น
3. การควบคุมโดยตรงเกี่ยวกับจำนวนมี
ก. การเพาะเพิ่มพันธุ์ คือ การเพราะพันธุ์สัตว์ป่า และนำไปปล่อยไว้ในป่า เพื่อให้มีจำนวนมากขึ้นจะได้มีจำนวนพอกับการล่า
ข. เข้มงวดในการล่าให้มาก คือ ออกกฎหมายบังคับในการล่า ไม่ให้มีมากจนเกินไป
ค. ตรวจตรา เมื่อมีจำนวนมากเกินไป ถ้าสัตว์ป่ามีจำนวนมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อทรัพยากรอื่น ๆ หรือสัตว์ป่าเอง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจำกัดจำนวนให้น้อยลง เพื่อความสมดุลทางธรรมชาติ
พืชทำหน้าที่เป็นตัวการช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น โดยขบวนการสังเคราะห์แสงต้องการดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปใช้ในการสร้างอาหาร คือ แป้ง และน้ำตาลแล้วคายออกซิเจนสู่อากาศ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพืชได้ดำเนินมาอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่สมัยโบราณ มนุษย์ได้ใช้เป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
ประโยชน์ที่ได้จากพืช
1. ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้กับดิน
2. ใช้เป็นที่เลี้ยงปศุสัตว์
3. มีบทบาทต่อวัฏจักรของอากาศ
4. ช่วยสงวนรักษาน้ำ
5. การสงวนสัตว์ป่า
6. ประโยชน์ในทางการค้า
7. ให้ประโยชน์ในทางพักผ่อนหย่อนใจ
สาเหตุที่พืชถูกทำลาย
1. ทำการโค่นถางเพื่อทำการเพาะปลูก เพราะพลเมืองมากขึ้น ก็ต้องการเพาะปลูกมากขึ้นหรือการ
ทำไร่เลื่อนลอย
2. การตัดไม้ไปขายเพื่อการค้า หรือการตัดไม้เพื่อนำไปทำที่อยู่อาศัย
3. สูญไปเพราะไฟป่า ไฟป่าอาจจะเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติ หรืออาจจะเกิดเพราะความเผอเรอของมนุษย์
4. สูญเสียไปโดยที่สัตว์แทะเล็มหญ้า ปัญหาอันนี้ยังไม่เกิดขึ้นมากนักในประเทศไทย
5. สูญไปเพราะโรคของต้นไม้และแมลง ต้นไม้ส่วนมากถูกเชื้อโรคทำลาย หรือแมลงเจาะทำให้ต้นไม้เกิดความเสียหายขึ้นได้
วิธีการควบคุม
1. ป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ป่า
2. ป้องกันแมลงและโรคของต้นไม้
3. ป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายเข้าไป และเล็มหญ้าจนเกิดอันตราย
4. ปรับปรุงวิธีการตัดไม้
5. ทำการปลูกต้นไม้เพิ่มเติม
6. การใช้ไม้ให้มีประโยชน์มากขึ้น
7. หาสิ่งอื่นมาใช้แทนไม้ เช่น แซลโลกรีต มาทำฝาแทนไม้
ข้อปฏิบัติในการอยู่ค่ายพักแรมและเดินทางไกล เพื่อเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ
การเดินทางไกลและอยู่ค่ายพักแรม เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งมีวัตถุเพื่อฝึกลูกเสือให้มีความอดทนต่อ
ความลำบากเส้นทางเดิม และที่ตั้งค่ายพักแรมส่วนใหญ่ผู้บังคับบัญชาจะกำหนดสถานที่ในสภาพธรรมชาติมากที่สุด ลูกเสือต้องไม่เป็นผู้ทำลายธรรมชาติ และควรอนุรักษ์ธรรมชาติดังต่อไปนี้
1. อย่าหักหรือถอนพืชต่าง ๆ ที่ปลูกไว้
2. เชื้อเพลิงที่ใช้ในการหุงต้ม ควรเป็นกิ่งไม้ ใบไม้ที่ตายและแห้งแล้ว
3. ไม่ควรก่อกองไฟชิดโคนต้นไม้จนเกินไป
4. วัสดุที่นำมาตบแต่งค่ายพัก ควรใช้ไม้ประเภทไม่หวงห้าม และใช้ประโยชน์ได้มาก
5. ไม้ประเภทหวงห้าม ห้ามตัดโดยเด็ดขาด
6. ก่อนเดินทางกลับออกจากค่ายควรปลูกต้นไม้เพิ่มเติม เพื่อเป็นการขยายให้ต้นไม้มีจำนวนมากขึ้น
7. ก่อนออกจากที่พักไปปฏิบัติกิจกรรม ต้องตรวจตราเรื่องไฟถ้ายังระอุอยู่ต้องดับให้สนิทเสียก่อน
8. การก่อกองไฟสำหรับการชุมนุมรอบกองไฟ ควรขุดหลุมให้ลึกประมาณ 1 ฝ่ามือแล้วนำหญ้าส่วนบนมาเก็บไว้ เมื่อทำกิจกรรมเสร็จกลบดินให้เรียบร้อย แล้วนำหญ้าส่วนที่เก็บไว้มาทับดังเดิม
9. จัดเตรียมอุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่จะใช้ดับไฟ เพื่อรีบตัดต้นไฟเสียก่อน
วิธีจัดทำโครงการ
การจัดทำโครงการเพื่อดำเนินการตามแผนอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติงานทำงาน
อย่างมีขั้นตอนและมองเห็นปัญหาในการทำงานได้ชัดเจน รวมทั้งมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาด้วย การเสนอแนะให้ลูกเสือจัดทำโครงการ การอนุรักษ์ธรรมชาตินั้น จำเป็นจะต้องระดมความสามารถ งบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ มากเพียงใด เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้เกิดความรู้สึกหวงแหนไม่ทำลาย ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามโครงการที่เขียนไว้ แต่การเขียนโครงการจะต้องทำให้ถูกขั้นตอน จึงขอเสนอแนะวิธีเขียนโครงการไว้เป็นแนวทาง ดังต่อไปนี้
1. โครงการ คืองานหรือกิจกรรมที่ระบุรายละเอียด ที่จะนำไปปฏิบัติให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในแผน บางครั้งวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ อาจจำเป็นต้องมีหลายโครงการก็ได้ โครงการหนึ่ง ๆ จะต้องมีส่วนประกอบที่ระบุรายละเอียดชัดเจนและความแน่นอนดังนี้
(1) ชื่อโครงการ
(2) หลักการและเหตุผล
(3) วัตถุประสงค์ทั่วไป
(4) วัตถุประสงค์เฉพาะ
(5) เป้าหมายความสำเร็จ
(6) ชื่อผู้รับผิดชอบโครงการ หรือชื่อผู้ทำโครงการ
(7) ระยะเวลาหรือช่วงเวลาดำเนินการ
(8) การดำเนินงานหรือวิธีดำเนินงาน
(9) งบประมาณหรือวิธีดำเนินงาน
(10) ผลที่คาดว่าจะได้รับ
(11) การประเมินผล
(12) ปัญหาและแนวทางการแก้ไข
(13) เอกสารอ้างอิง
2. แนวทางในการเขียนโครงการ
(1) ชื่อโครงการ กำหนดชื่อโครงการให้เฉพาะเจาะจงในเรื่องที่จะทำ
(2) หลักการและเหตุผล ระบุหลักการอย่างกว้าง ๆ ว่ามีความจำเป็นและมีความเหมาะสมอย่างไร จะให้ประโยชน์อย่างไร
(3) วัตถุประสงค์ สิ่งที่จะกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ คือสิ่งที่ผู้ทำโครงการต้องการจะได้และผลต่อเนื่องของโครงการนั้น
(4) เป้าหมาย เป็นการระบุชนิด คุณภาพ และขอบข่ายของงานที่จะทำ
(5) ชื่อผู้ทำโครงการ ระบุชื่อผู้ทำและผู้รับผิดชอบโครงการนั้น ๆ
(6) ระยะเวลาดำเนินการ วันเริ่มโครงการ วันสิ้นสุดโครงการ ช่วงเวลาที่ใช้ในการดำเนินการ และถ้าจะระบุสถานที่ แบะผังบริเวณที่จะทำโครงการมีไว้ในข้อนี้ด้วยก็ได้
(7) การดำเนินงาน บอกรายละเอียดการดำเนินงาน หรือวิธีดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ เริ่มตั้งแต่การเตรียมงาน การศึกษาวิธีการต่าง ๆ สำรวจข้อเท็จจริงต่าง ๆ การเสนออนุมัติโครงการ การเริ่มงาน การปฏิบัติงาน
(8) งบประมาณ แยกประมาณการรับจ่ายทั้งหมดไว้ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
(9) ผลที่คาดว่าจะได้รับ ควรระบุผลของโครงการที่คาดว่า เมื่อสิ้นโครงการแล้วจะได้อะไรบ้าง
(10) การประเมินผล บอกแนวทางในการประเมินผลว่าจะทำอย่างไรในช่วงเวลาใด
(11) ปัญหาในการดำเนินงานและแนวทางในการแก้ไข ในการเขียนโครงการนั้นจะต้องคำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วย และจะต้องระบุแนวทางในการป้องกันแก้ไขไว้ในโครงการ
(12) เอกสารอ้างอิง ผู้เขียนโครงการควรได้สืบดูว่า ในการผลิตสิ่งนั้น ๆ มีเอกสารอะไรบ้างที่จะให้ความรู้แก่ผู้ทำโครงการต้องระบุไว้ให้หมด