หลักสูตร
(1) สอบได้เครื่องหมาย “ผู้ให้การปฐมพยาบาล” ตามหลักสูตรวิชาพิเศษลูกเสือสามัญ
(2) รู้จักวินิจฉัย และสาธิตการปฏิบัติต่อผู้ที่แขนหัก และขากรรไกรเคลื่อน
(3) สาธิตวิธีปฏิบัติต่อเลือดกำเดาออก
(4) สาธิตวิธีเคลื่อนย้ายคนเจ็บ ๔ วิธี คือ ปฏิบัติตามลำพัง ๒ วิธี กับปฏิบัติร่วมกับเพื่อนลูกเสืออีก ๒ วิธี
(5) รู้จักวิธีปฏิบัติในกรณีที่สงสัยว่าคนเจ็บกิน หรือถูกยาพิษ
(6) สามารถนำเพื่อนลูกเสือเป็นคณะไปช่วยผู้ประสบอุบัติเหตุ ที่กรรมการสอบจะเป็นผู้สมมุติขึ้น กรรมการสอบจะต้องดูแลการปฏิบัติให้ใกล้กับความเป็นจริง เช่น ในเรื่องการแจ้งข่าวไปยังแพทย์, ตำรวจ, ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ และบิดามารดา เป็นต้น ตลอดจนการปฏิบัติต่อคนเจ็บทุกระยะไป
(7) สาธิตวิธีผายปอดตามแบบฮอลเกอร์ นิลเสน และใช้หุ่นสาธิตวิธีผายปอดตามแบบปากต่อปาก (ห้ามสาธิตกับคน) มีความรู้เกี่ยวกับการนวดหัวใจ เพื่อทำให้กล้ามเนื้อหัวใจกลับทำงานได้ตามปรกติ
การปฐมพยาบาลแขนหัก
ถ้าพบว่ากระดูกต้นแขนหัก ควรทำดังนี้
- ผู้ช่วยเหลือคนที่หนึ่งจบแขนข้างที่บาดเจ็บให้ข้อศอกงออย่างช้าๆ และให้แนบไว้ข้างลำตัว
- ผู้ช่วยเหลือคนที่สองประเมินชีพจรความเคลื่อนไหวและความรู้สึกของข้างที่บาดเจ็บ
- ผู้ช่วยเหลือคนที่สองใช้ผ้าสามเหลี่ยมคล้องแขนไว้กับคอ โดยใช้ผ้านุ่มๆรองระหว่างแขนที่่หักกับบริเวณลำตัวไว้
- ผู้ช่วยเหลือคนที่สองใช้ผ้าสามเหลี่ยมชนิดพับกว้างพันทับแขนข้างที่บาดเจ็บไว้โดยพันให้รอบลำตัวประเมินชีพจรความเคลื่อนไหวความรู้สึกอีกครั้งหนึ่งก่อนนำส่งโรงพยาบาล
ที่มา : http://school-medicines.com/home/th/home-th/articles-th/33-fracture-broken-bones.html
ถ้าพบว่ากระดูกปลายแขนหัก ควรปฎิบัติดังนี้
- ใช้ไม้ 3 อันทำเฝือกชั่วคราว อันหนึ่งยาวตั้งแต่หัวไหล่ถึงปลายศอก ทาบที่แขนด้านนอก อีก 2 อันยาวตั้งแต่รักแร้ถึงข้อศอก ทาบด้านใน เอาสำลีรองเฝือกทุกอันแล้วเอาผ้าพันแผลพันทับไว้ แล้วใช้ผ้าผูกเฝือก 2 เปราะ เหนือและใต้รอยกระดูกหัก
- ถอดเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นออก งอปลายแขนขึ้นเล็กน้อย ประมาณ 60 - 70 องศา
- ดึงต้นแขนให้กระดูกอยู่ในตำแหน่งปกติ (หากไม่จำเป็นควรเป็นหน้าที่ของแพทย์)
- ใช้ผ้าสามเหลี่ยมทำสลิงคล้องแขนท่อนล่างไว้ไม่ให้รับน้ำหนักมาก และใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งผูกยึดแขนให้แนบกับลำตัวเอาไว้
ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/learning/detail/11642/020522
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=9_Qo1YB0j6s
การปฏิบัติต่อผู้ที่ขากรรไกรเคลื่อน
1. ใช้ผ้ายืดพันที่ศรีษะก่อนสัก 2 - 3 รอบ แล้วหักผ้าเหนือหูใช้นิ้วมือกดไว้ แล้วพันมาพันที่คาง ข้ามศีรษะอ้อมผ่านใต้คางอีก 2 - 3 รอบ แล้วกลับมาพันที่ศีรษะอีกครั้ง ล๊อคปลายผ้าไว้ไม่ ให้หลุด หรือ
2. ใช้ผ้าแถบยาวตัดกลางตามแนวกลางผ้า เว้นส่วนกลางของผ้าไว้รองใต้คาง ชายผ้าส่วนล่าง ดึงขึ้นมามัดไว้บนศีรษะ ชายผ้าส่วนบนมัดไว้ที่ท้ายทอย หรือที่ศีรษะส่วนหน้าก็ได้
วิธีปฏิบัติต่อผู้ป่วยเลือดกำเดาออก
สาเหตุ เกิดจากเส้นโลหิตฝอยในโพรงจมูกตอนใน ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง หรือ เกิดจากการมีอากาศร้อนจัดเกินไป
วิธีปฐมพยาบาล
1. ให้แก้สิ่งที่รัดคอออกให้หมด เช่นขยายคอเสื้อ ให้คนไข้นั่งแหงนหน้าแล้วเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย ให้หายใจทางปาก ห้ามสั่งน้ำมูก ซึ่งจะทำให้เลือดออกมาก
2. ใช้ก้อนน้ำแข็งห่อผ้า หรือใช้ผ้าชุบน้ำเย็น วางหรือลูบระหว่างโคนจมูกกับหัวคิ้ว หรือลูบระหว่างสะบักกับต้นคอ และบนศีรษะ
3. ใช้ผ้าซับโลหิต ใช้ผ้าพันแผล กระดาษซับ หรือกระดาษฟางที่สะอาด ม้วนอุดจมูกให้แน่น
4. เมื่อทำการปฐมพยาบาลสัก 2-3 นาทีแล้วเลือดยังไม่หยุด ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
หลักการอย่างหนึ่งในการปฐมพยาบาลคือ ไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น เพราะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยนั้น อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายมากขึ้น เช่น กระดูกที่หักอยู่จะทิ่มแทงเนื้อ หรือทำให้หักมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้อาจมีการตกเลือด หรืออาจทำให้เลือดออกมากยิ่งขึ้น เกิดการอุดตันที่หลอดลม เป็นต้น
เหตุจำเป็นที่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 ถ้าไม่เคลื่อนย้าย ผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายเพิ่มมากขึ้นอีก เช่น อาจถูกไฟที่ลุกไหม้ใกล้เข้ามาครอก ถูกสายไฟที่ปัดไปปัดมาช็อต หรือถูกรถที่วิ่งไปวิ่งมาทับ หรือชน เป็นต้น
กรณีที่ 2 จำเป็นต้องนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล หรือไปพบแพทย์ ซึ่งต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมาที่ถนนหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้น-ลงจากรถ
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ลูกเสือจะต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างมากโดยให้ผู้ป่วยได้รับความกระทบกระเทือนน้อยที่สุด
หลักการทั่วไปในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
1. ถ้ายังมีเวลาพอ ก่อนทำการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ให้ตรวจดูว่ามีอาการที่อาจทำให้ผู้ป่วยต้อง เสียชีวิตไปโดยเร็วหรือไม่ เช่น หมดสติ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ เลือดไหลออกมาก ถ้ามีอาการเหล่านี้ต้องรีบแก้ไขก่อน และถ้าพบว่าผู้ป่วยมีกระดูกหักส่วนใด ต้องเข้าเฝือกชั่วคราวไว้ก่อน
2. ระมัดระวังอย่าให้ผู้ป่วยได้รับความกระทบกระเทือนจาการเคลื่อนย้าย พยายามจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในลักษณะที่ส่วนศีรษะ ลำตัว ลำคอ แขน และขาอยู่ในแนวราบตรง ไม่มีส่วนใดถูกบีบ ห้อย ทับ และหลีกเลี่ยงที่จะให้ผู้ป่วยต้องช่วยออกแรง ช่วยยัน หรือช่วยทรงตัวโดยไม่จำเป็น
3. พยายามใช้อุปกรณ์ และคนหลายๆ คนช่วยในการเคลื่อนย้าย จะให้ผลดีกว่าการเคลื่อนย้ายตามลำพัง และปราศจากอุปกรณ์
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมีหลายวิธี การจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย เหตุการณ์ สถานที่ มีผู้ช่วยกี่คน มีอุปกรณ์อะไรบ้าง การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมีหลายวิธีดังนี้
1. การอุ้มเดี่ยว
1.1 การอุ้มแบก ถ้าเราคนเดียวไปพบผู้ป่วย ก็ใช้วิธีนี้ ซึ่งเหมาะสำหับการย้ายผู้ป่วยในระยะใกล้ๆ
ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4
1.2 การอุ้มพยุงเดิน ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยนั้นขาข้างใดข้างหนึ่งเจ็บ วิธีนี้ใช้สำหรับประคอง ผู้ป่วยบาดเจ็บเล็กน้อย และยังมีสติอยู่สามารถช่วยตนเองได้บ้าง เช่น บาดเจ็บที่ฝ่าเท้า หรือหัวเข่า แต่ไม่ใช่ท่อนขาส่วนบน และเดินด้วยตนเองไม่ได้โดยให้ขาข้างที่เจ็บของผู้ประสบภัยอยู่ข้างลำตัวของผู้ช่วยเหลือ
ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4
1.3 อุ้มกอดด้านหน้า เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ตัวเล็กกว่าผู้ช่วย และเคลื่อนย้ายในระยะใกล้ๆ อย่าใช้วิธีนี้กับผู้ป่วยที่กระดูกสันหลังหัก หรือขาหัก
ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4
ภาพจาก : http://www.firstaid-cpr-training.com/move3.html
1.4 อุ้มกอดด้านหลัง (Back Carry) กระทำได้ทั้งผู้ป่วยที่ยังรู้สึกตัว และไม่รู้สึกตัว ในกรณีที่ไม่รู้สึกตัวทำตามระยะต่างๆ ดังนี้คือ
ภาพ A แสดงการอุ้มกอดด้านหลัง โดยจับให้ผู้ป่วยนอนหงาย ผูกมือทั้งสองไว้ หรือจับไว้ แล้วสอดศรีษะผู้ทำการปฐมพยาบาลเข้า ระหว่างแขนทั้งสองข้างของผู้ป่วย ภาพ B แสดงการอุ้มกอดด้านหลังระยะที่ 2 ภาพ C ผู้ทำการพยาบาลค่อย ลุกขึ้นจะอยู่ในท่านั่งหรือท่าคุกเข่าในท่าคลานก็ได้ ภาพ D ภาพแสดงการอุ้มกอดด้านหลัง ผู้พยาบาลยืนขึ้น ผู้ป่วยอยู่ในลักษณะกอดด้านหลัง
1.5 อุ้มทาบหลัง (Pack Strap Carry) ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่ง หรือนอน ผู้พยาบาลหันหลังให้ ผู้ป่วย จับแขนผู้ป่วยคร่อมไหล่ ดึงมือทั้งสองของผู้ป่วยลงต่ำมากที่สุด ผู้พยาบาลเดินโดยหลังโค้งมาด้านหน้าเล็กน้อย ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยรูปร่างใหญ่กว่า อย่าใช่วิธีนี้กับผู้ป่วยที่กระดูกสันหลังหัก หรือขาหัก
1.6 ลากแบบนักดับเพลง (Fireman' Drag) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว และผู้ที่ไม่สามารถยืนได้
การอุ้มคู่ คือการอุ้มที่มีผู้พยาบาล 2 คนขึ้นไป และสามารถอุ้มได้ไกลมากขึ้น ใช้ในกรณีที่มีคนช่วยในการเคลื่อนย้าย มีวิธีต่างๆ กันคือ
2.1 การอุ้มเคียง (Two-Men Arms Carry) ผู้ทำการพยาบาลอยู่ด้านเดียวคนหนึ่งยกบริเวณศีรษะ และไหล่ ส่วนอีกคนหนึ่งยกตะโพก และยกปลายขา
2.2 การอุ้มคนละด้าน (Human Stretcher) ใช้ได้ทั้งผู้ป่วยที่รู้สึกตัวและผู้ป่วยที่หมดสติ โดย ผู้ทำการพยาบาลอยู่คนละด้านกับผู้ป่วยโดยผู้พยุงคนหนึ่งสอดแขนประคองที่คอและก้น ผู้พยุงอีกคนสอดแขนประคองที่หลัง และข้อหัวเข่า
2.3 การอุ้มคู่กอดหลัง (Fore-Arms Carry) โดยผู้พยาบาลคนหนึ่งอยู่ระหว่างขาผู้ป่วยใช้มือทั้งสองข้างจับบริเวณหัวเข่า ส่วนอีกคนอยู่ทางศีรษะ ใช้แขนทั้งสองข้างสอดเข้าใต้รักแร้ ผู้พยาบาลทั้งสองลุกขึ้นพร้อมๆ กัน ท่านี้ห้ามใช่ในรายที่สงสัยว่ากระดูกสันหลังจะหัก
2.4 การอุ้มประสานแคร่ ผู้พยาบาล 2 คนใช้มือจับกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รู้สึกตัว โดยให้ผู้ป่วยนั่งบนมือของผู้พยาบาล แล้วมือของผู้ป่วยกอดผู้พยาบาลไว้ด้วย
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ผู้ป่วยไม่สามารถกอดคอพยาบาลได้ อาจใช้วิธีเดียวกันนี้ ผู้พยาบาลจับมือกันเป็นที่นั่ง โดยต่างคนต่างจับข้อมือกันไว้ หรืออาจจะจับแบบตะขอก็ได้ ส่วนมือที่เหลือของผู้พยาบาลทั้งสอง โอบหลังผู้ป่วยไว้
การทำเปล
1. การทำเปลนั้นให้ใช้ผ้าห่ม, ผ้าใบบางหรือหนาก็ได้ (หรือใช้เสื่อก็ได้) มีขนาดที่พอเหมาะ แล้วใช้ไม้พลองที่มีความแข็งแรง 2 อัน วิธีทำก็คือ ปูผ้าห่มหรือผ้าใบ หรือเสื่อลงบนพื้นก่อน เอาไม้พลองวางทับตามส่วนของความกว้าง ประมาณ 1/3 จากนั้นพับริมทั้งสองข้างเข้าหากัน ให้มีส่วนซ้อนกันเท่ากับความกว้างของเปล จากนั้นยกผู้ป่วยขึ้น แล้วสอดเปลเข้าใต้ตัวผู้ป่วย แล้วจึงวางผู้ป่วยลงบนเปล
2. การทำเปลโดยใช้เสื้อลูกเสือ 2 ตัว โดยการเอาเสื้อลูกเสือสองตัวที่เหนียว ติดกระดุมเสื้อให้หมด เอาชายเสื้อซ้อนกัน สอดไม้พลอง 2 อันผ่านแขนเสื้อทั้งสองข้าง ใช้เป็นเปลได้
3. การทำเปลโดยใช้ผ้าขาวม้า 3-4 ผืน โดยการเอาผ้าขาวม้ามาผูกชาย สอดไม้พลอง 2 อันไว้ในวงผ้าขาวม้า ดังรูป ใช้เป็นเปลได้
การผายปอด
เมื่อลูกเสือพบผู้บาดเจ็บหยุดหายใจ ให้รีบทำการช่วยเหลือ โดยวิธีผายปอด โดยทันที การ ผายปอดเป็นวิธีการช่วยให้ปอดได้รับออกซเจนได้เพียงพอแก่ความต้องการ และ เป็นการถ่ายเทอากาศเข้าสู่ปอดด้วย วิธีที่ใช้ได้ดี คือ การผายปอดโดยวิธีเป่าปาก (Mouth to Mouth) หรือปากเป่าจมูก (Mouth to Nose)ซึ่งวิธีนี้เป็นการทำให้ลมเข้าสู่ปอดได้โดยตรง มีวิธีการปฏิบัติเป็นขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. ปากเป่าปาก (Mouth to Mouth)
ก. จัดท่าให้คนไข้นอนหงาย แล้วใช้นิ้วมือกวาดเอาเสมหะ และน้ำลายออกเพื่อให้ทางเดินหายใจสะดวก
ข. จัดศีรษะคนไข้ ให้อยู่ในท่าแหงน เอาผ้าหนุนที่ไหล่ทั้งสองข้าง เพื่อให้ส่วนคอแอ่น พร้อมทั้งจับ คางยกขึ้น
ค. ผู้ปฐมพยาบาลหายใจเข้าลึก ๆ ใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูก แล้วทาบปาก ปิดปากผู้ป่วยให้สนิท เป่า ลมเป็นจังหวะประมาณ 16 ครั้งต่อนาที แต่ถ้าไม่สามารถอ้าปากผู้ป่วยได้ให้ปิดปากแล้วเป่า ลมเข้าจมูกแทน
ง. ขณะที่นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลนั้น ให้ทำการผายปอดติดต่อกันเป็นครั้งคราวจนกว่าผู้ป่วยจะถึงมือแพทย์ หมายเหตุ ถ้าการปฏิบัติได้ผลจะพบว่าหน้าอกของผู้ป่วยจะกระเพื่อมขึ้น ในขณะที่ทำการเป่าลมเข้าไป แต่ถ้าสังเกตเห็นว่า การช่วยเหลือผู้ป่วยไม่ได้ผล คือไม่สามารถทำการเป่าลมเข้าไปในปอดของผู้ป่วยได้ ให้ผู้ทำการพยาบาลจับผู้ป่วยนอนตะแคง ตบที่หลังระหว่างสะบัก หรือที่บริเวณไหล่ทั้ง 2 ข้างของผู้ป่วย ค่อนข้างแรงหลาย ๆ ครั้ง เผื่อว่ามีสิ่งอุดตันทางเดินหายใจจะได้หลุดออกมา แล้วรีบทำการผายปอดต่อไป
การนวดหัวใจ
เป็นการช่วยเหลือเพื่อให้หัวใจของผู้ป่วยมีการเต้นเป็นปกติ เพื่อจะได้สูบฉีดโลหิตออกไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ อาจมีสาเหตุที่เนื่องมาจาก ลิ้นหัวใจพิการ หรือกล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง หรือร่างกายเสียเลือดมาก อาการที่แสดงว่าหัวใจหยุดทำงาน อาจพบว่ามีการหยุดหายใจ ชีพจรจับไม่ได้ ม่านตาขยาย การช่วยเหลือเมื่อหัวใจหยุดทำงาน ช่วยเหลือโดยการกระตุ้นหัวใจ สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นใช้วิธีกระตุ้นหัวใจภายนอก
วิธีนวดหัวใจ
1. ให้ผู้ป่วยนอนราบกับพื้นที่แข็ง
2. ตรวจดูอาการเดินของหัวใจ โดยเอาหูแนบฟังบริเวณหัวใจของผู้ป่วย ซึ่ง อยู่ระหว่างหัวนม ข้างซ้ายกับกระดูกหน้าอก ถ้าไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ผู้ป่วยจะแสดงอาการให้เห็นว่ามีการ หยุดหายใจ ชีพจรจับไม่ได้ ม่านตาขยาย ให้ลงมือนวดหัวใจทันที
3. ผู้ทำการปฐมพยาบาลวางฝ่ามือทั้งสองข้างซ้อนกัน บริเวณทรวงอก เหยียดแขนตรงทั้ง 2 ข้าง ใช้น้ำหนักตัวกดลงบนมือทั้ง 2 ข้าง เป็นจังหวะประมาณ 60-80 ครั้งต่อนาที ใน ผู้ใหญ่ และ 80-100 ครั้งต่อนาที ในเด็ก
4. จะหยุดนวดหัวใจเมื่อหัวใจกลับเต้นขึ้นมาอีก หรืออย่างน้อยควรนวดให้ถึงครึ่งชั่วโมง
5. ถ้ามีการหยุดหายใจ ให้ทำการช่วยเหลือโดยการผายปอดแบบปากเป่าปาก โดย เป่าปาก 1 ครั้ง นวดหัวใจ 5 ครั้ง ขณะนำส่งโรงพยาบาล ให้ทำการนวดหัวใจไปด้วย
วิธีโฮลเกอร์ - นีลเสน
ก. ให้ผู้ป่วนนอนคว่ำศีรษะต่ำ ข้อศอกทั้ง 2 ข้างพับเข้าหากัน วางศีรษะลงบนมือ และให้เอียงหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง
ข. ให้ผู้ทำการผายปอดนั่งคุกเข่าทั้ง 2 ข้าง อยู่ทางด้านศีรษะของผู้ป่วยหันหน้าไปทางเท้าของ ผู้ป่วย
ค. วางมือบนหลังตรงบริเวณต่ำกว่าสะบักเล็กน้อย ให้หัวแม่มือทั้ง 2 ข้างจรดกัน
ง. วางแขนให้ตรง กดมือพร้อมทั้งโน้มตัวไปข้างหน้า ให้น้ำหนักกดที่แขนทั้ง 2 ข้าง นับ 1-3 เป็นระยะที่ผู้ป่วยหายใจออก
จ. ให้ผ่อนมือเมื่อนับ 4 พร้อมกับโยกตัวไปข้างหลังช้า ๆ ขณะที่โยกตัวกลับให้จับเหนือ ข้อศอกผู้ป่วยยกขึ้นเล็กน้อย แล้วดึงเข้าหาตัว นับ 5-7 เป็นการทำให้ผู้ป่วยหายใจเข้า
ฉ. ให้ทำอย่างนี้นาทีละ 12-16 ครั้ง
ภาพจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=8&chap=7&page=t8-7-infodetail13.html
สรุปท่าเคลื่อนบ้ายผู้ป่วย
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=TIGxCdxQEhs
การแก้พิษต่าง ๆ
การที่ผู้ป่วยได้รับพิษต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยทางใดก็ตาม ย่อมเป็นอันตรายมาก อาจถึงแก่ชีวิตหากได้รับการช่วยเหลือช้าไปในบางราย หรือพิษบางประเภทแม้ช้าไปเพียง 30 วินาที ก็หมดทางแก้ไขแล้ว ดังนั้นการปฐมพยาบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในการให้การช่วยเหลือขั้นต้นจนกว่าผู้ป่วยจะถึงมือแพทย์ ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือจึงต้องรู้จักวิธีช่วยเหลือจากสาเหตุและอาการเป็นอย่างดี การช่วยเหลือจึงจะได้ผลดี
ลักษณะที่ผู้ป่วยได้รับพิษ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
1. ทางปาก โดยการกิน
2. ทางจมูก โดยการสูดดม
3. ทางผิวหนัง โดยการสัมผัส
4. ทางลูกตา
5. ทางใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ โดยการฉีดเข้า หรือเข้าทางบาดแผล
พิษที่เข้าทางปาก
สาเหตุ 1. หยิบยาผิด
2. อาหารเป็นพิษ
3. รับประทานยาเกินขนาด โดยไม่มีแพทย์สั่ง หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
4. จงใจทำลายชีวิต
วิธีป้องกัน
1. ไม่ควรเก็บยาให้เด็กหยิบเล่นได้
2. ที่เก็บยาควรมีแสงสว่างพอที่จะอ่านสลากกำกับได้
3. ยาอันตรายควรแยกเก็บ ใส่กุญแจปิดให้มิดชิด
4. ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่ง
5. ไม่ควรซื้อยาหรือวินิจฉัยโรคเองโดยไม่ได้ผ่านการตรวจร่างกายจากแพทย์
วิธีปฐมพยาบาล
1. ทำให้พิษเจือจาง หรือทำให้การดูดซึมของพิษช้าลง โดยให้รับประทานไข่ดิบ ตีให้เข้ากัน(ใช้ได้ทั้งไข่ขาวและไข่แดง) แป้งผงละลายน้ำ แป้งเปียก มันฝรั่งบดละลายน้ำ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ ตามอายุดังนี้ ถ้าต่ำกว่า 5 ขวบ ให้ดื่มน้ำไม่เกิน 2 ถ้วย ถ้าเกิน 5 ขวบขึ้นไป ให้ดื่ม 2 - 5 ถ้วย หรือประมาณ 1 ลิตร
2. ให้ยาแก้พิษโดยตรง เฉพาะในรายที่มีสติ และไม่อาเจียร ดังนี้คือ
ก. แป้งผงละลายน้ำ
ข. ไข่ขาว 2 - 3 ฟอง ตีผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว
ค. นมสด 1 แก้ว
ง. ขนมปังเผาเป็นถ่าน 2 แผ่น
จ. ถ่านเตาไฟตำให้ละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
ฉ. ผงชา 1 ช้อนโต๊ะ
ช. กาแฟดำ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 ถ้วย
ซ. โซดาชนิดรับประทานได้ 1 ช้อนโต๊ะ (เบรกกิ้งโซดา)
ญ. ดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
3. ถ้าเป็นคนไข้กินยาพิษมาหลายชั่วโมง และหมดสติ
ก. ต้องผายปอด และให้ความอบอุ่น
ข. ห้ามให้อาหาร น้ำ หรือยาแก้พิษ
ค. ห้ามทำให้อาเจียร เพราะสิ่งที่เข้าไปอาจตกลงในปอดทำให้หายใจขัด
ง. รีบพาไปพบแพทย์
4. การกระตุ้นให้อาเจียร ควรทำควบคู่กับการทำให้พิษเจือจาง วิธีกระตุ้นให้อาเจียรทำได้ดังนี้
ก. ใช้นิ้วสะอาดล้วงคอ
ข. ให้กินน้ำมาก ๆ เพื่อให้อาเจียรออกมา
ค. เกลือ 1 ช้อนกาแฟ ต่อน้ำอุ่น 1 แก้ว (น้ำอุ่นช่วยให้อาเจียรได้ดีกว่าน้ำเย็น)
ง. ผงมัสตาร์ต 1 ช้อนกาแฟ ต่อน้ำอุ่น 1 แก้ว
จ. ถ้าเป็นเด็ก ให้นอนคว่ำบนตัก แล้วเอามือล้วงคอให้อาเจียร อย่าให้นอนหงาย เพราะสิ่งที่ออกมาอาจตกลงไปในปอดได้
5. การล้างท้อง การล้างท้องจะช่วยเหลือผู้ป่วยได้ดีที่สุด เพราะพิษจะออกมาจากกระเพาะอาหารโดยตรงหลังจากกินเข้าไป 3 - 4 ชั่วโมง
วิธีทำ ให้คนไข้กลืนสายยางขนาดเล็กลงไปจนถึงกระเพาะอาหาร แล้วใช้กระบอกฉีดยาฉีดน้ำเปล่าเข้าไปทางสายยาง แล้วดูดออกทิ้ง ทำเช่นนี้เรื่อยไป แต่ต้องระมัดระวังให้มาก ในขณะที่คนไข้กลืนสายยาง เพราะถ้าบังเอิญสายยางที่กลืนเข้าไปตกลงในหลอดลม จะทำให้สำลักและหน้าเขียว ถ้าเป็นเช่นนี้ต้องดึงออกแล้วใส่เข้าไปใหม่ ดังนั้นการล้างท้องควรมีผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์เป็นผู้ทำให้จะดีกว่า น้ำที่ใช้ ไม่ควรเป็นน้ำอื่นนอกจากน้ำเปล่า และควรเก็บน้ำให้แพทย์วินิจฉัยดูว่าผู้ป่วยกินยาพิษชนิดใดเข้าไป
6. ให้ยาถ่ายหลังจากปฏิบัติตัวตามข้างต้นแล้ว ยาถ่ายที่เหมาะที่สุดคือ ดีเกลือ เพราะได้ผลเร็วและขับพิษออกมาดี
7. ทำให้ร่างกายอบอุ่น โดยการใช้ผ้าคลุมให้มิดชิด แล้วนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว พร้อมกับเก็บตัวอย่างยาพิษไปให้แพทย์ดู เพื่อรักษาได้อย่างถูกทาง
คำแนะนำในการแก้ไขผู้ที่กินยาพิษประเภทต่าง ๆ
1. พวกกินน้ำกรด หรือด่าง เฉพาะที่รู้สึกตัว
ก. ถ้าเกินครึ่งชั่วโมงแล้วไม่ต้องล้างท้อง เพราะกระเพาะอาหารจะอักเสบ และหลอดอาหารจะทะลุ หรือเป็นแผลลึกได้ง่าย
ข. ไม่ทำให้อาเจียร เพราะกรดหรือด่างจะกัดเนื้อเยื่อต่าง ๆ ตามทางที่อาเจียรไหลออกมา
ค. ให้สารที่ออกฤทธิ์ตรงกันข้าม เช่น ถ้ากินด่าง ให้กินน้ำส้มสายชู ซึ่งเป็นกรด 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 แก้ว ถ้ากินกรด ให้ใช้เบรคกิ้งโซดาหรือโซดาไบคาร์บอนเนต ซึ่งเป็นด่าง 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 แก้ว หรือ กินอาหารจำพวก นม ไข่
2. พวกดื่มน้ำมันก๊าด
ห้ามทำการล้างท้อง เพราะผู้ป่วยอาจสำลักน้ำมันก๊าดลงปอด ทำให้ปอดบวมได้ ควรให้น้ำอุ่นมาก ๆ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
3. พวกดื่มทิงเจอร์ไอโอดีน
ให้อาหารจำพวกข้าวเจ้า ข้าวโพด หมี่ ข้าวเหนียว ละลายน้ำข้น ๆ และน้ำธรรมดาเพื่อละลายไอโอดีน
4. พวกกินยานอนหลับ
ถ้าคนไข้รู้สึกตัว ให้ล้วงคอทำให้อาเจียร ถ้าคนไข้อยากหลับให้ปลุกเอาไว้อย่าให้นอน ถ้าการหายใจยังดีอยู่ควรให้ดื่มกาแฟแก่ ๆ แต่ถ้าคนไข่ไม่มีสติต้องรีบนำส่งแพทย์โดยด่วน
5. พวกกินยาฆ่าแมลง
พวกนี้จะหายใจลำบาก ต้องช่วยการหายใจ ให้ดื่มกาแฟ น้ำแข็ง เบรคกิ้งโซดา ให้ความอบอุ่น ยาฆ่าแมลงมีฟอสฟอรัสอยู่มาก ห้ามให้น้ำมันพืช หรือไขใด ๆ เพราะฟอสฟอรัสจะละลายเร็วในไขมัน
6. พวกกินยาแอสไพริน
ทำให้อาเจียรแล้วใช้ด่างแก้พิษ เพราะแอสไพรินมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น น้ำ นม ไข่ หรือดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 1 แก้ว
7. พวกกินน้ำมันระกำ
ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เบรคกิ้งโซดา ดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้ถ่ายออก
8. พวกดื่มเหล้ามากจนเป็นพิษ
ส่วนมากมักพบในวัยรุ่น การช่วยเหลือโดยการทำให้อาเจียร ให้กินกาแฟดำแก่ ๆ ร้อน ๆ น้ำ นม ไข่
9. พวกกินอาหารเป็นพิษ
คือกินแบคทีเรียเข้าไปมาก เช่นพวกของหมักดอง และเครื่องกระป๋องที่ไม่สะอาด ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เป็นตะคริวที่หน้าท้อง ท้องร่วง อาเจียร
การช่วยเหลือโดยการให้น้ำอุ่น และให้ยาแก้ท้องร่วง เช่น บิสมัส ซัลฟากัวนาดีน (ห้ามกินซัลฟาโฟนาไมด์, ซัลฟาไดอาซีน ผู้หยิบยาให้ต้องสังเกตให้ดี) ทั้งนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
10. พวกกินเห็ดเป็นพิษ
พวกที่กินเห็ดเป็นพิษเข้าไปจะมีอาการหายใจขัด หายใจยาก กล้ามเนื้ออ่อน การช่วยเหลือโดยทำให้ผู้ป่วยอาเจียร แล้ให้ยาแก้พิษ ถ้าอาการรุนแรงต้องนำส่งแพทย์
11. พวกแพ้ยา
การแพ้ยานี้เป็นเฉพาะบางคน และเฉพาะยา บางคนแพ้ยาชนิดหนึ่งแต่ไม่แพ้ยาอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งคนอื่นอาจแพ้ยาที่ตัวเองไม่แพ้ ซึ่งอาจเกิดจาก ได้รับยาที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลย หรืออีกพวกหนึ่งคือพวกที่เคยใช้ยาชนิดนี้มาแล้วแต่ใช่อีกเป็นจำนวนมากเกินไป อาการของผู้ป่วยอาจแสดงออกหายลักษณะ เช่น เป็นเม็ดผื่นหรือเป็นจุด เป็นรอยไหม้ บวม แดงขึ้นตามผิวหนัง บางคนเป็นหนอง มีน้ำเหลือง และลุกลามไปอย่างรวดเร็ว บางรายปวดแสบปวดร้อน อาจมีอาการคันตามผิวหนังที่เห่อ คล้ายลมพิษ บางรายวิงเวียนศรีษะ ตาลาย บางรายอาจรุนแรงมากจนถึงหายใจขัด หน้าเขียว ความดันโลหิตต่ำ และอาจตายได้
การให้การช่วยเหลือ คือต้องแก้ไขไปตามอาการที่แสดงออกก่อน เช่นถ้าหายใจขัดก็ช่วยผายปอด แล้วรีบนำผู้ป่วยพบแพทย์ทันทีแล้วนำยาชนิดนั้นไปด้วย แล้วครั้งต่อไปถ้าต้องใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าตนแพ้ยาชนิดใด
คำแนะนำในการแก้ไขผู้ที่ได้รับพิษต่าง ๆ ทางลมหายใจ
1. นำผู้ป่วยออกจาบริเวณที่มีแก๊สพิษ และให้ได้รับอากาศบริสุทธ์ทันที
2. ผายปอดด้วยวิธีต่าง ๆ ถ้าผู้ป่วยหายใจขัด และทำให้ร่างกายอบอุ่น และนำส่งโรงพยาบาลทันที
ในการที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มอาหาร ปรากฎอยู่เสมอว่ามีการรั่วไหลของท่อส่งแก๊สและเจ้าของบ้านมักหลับและสูดหายใจเข้าไป ยิ่งสูดเข้าไปมากยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนเพลียลง และหลับลึกยิ่งขึ้นและ เสียชีวิตในที่สุดหากไม่มีผู้พบเห็น
ภาพจาก : http://www.vcharkarn.com/images/varticle/thumbnail/chemacal.jpg
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000141841
https://plus.google.com/104624255234702027655/posts/civsU8ZuMXM
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ได้รับพิษต่าง ๆ ทางผิวหนัง
1. ล้างผิวหนังที่ถูกสารพิษ โดยลาดผ่าน หรือล้างจากก๊อก ไม่ควรล้างจากอ่างและไม่ควรใช่สารเคมีใด ๆ ล้าง ใช้น้ำเปล่าดีที่สุด
2. ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนสารพิษออกให้หมด
3. ถ้าผู้ป่วยมีอาการ หรือผลจากพิษ ให้รักษาตามอาการ ก่อนนำส่งแพทย์ อย่าปล่อยให้อาการลุกลาม
ภาพจาก : http://www.celicagroup.com/index.php?mo=23&node=14092
http://dpm.nida.ac.th/main/index.php/articles/chemical-hazards/item/118
http://www.kasetkawna.com/article/269/
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ได้รับพิษทางตา เช่นถูกกรด หรือด่าง
1. แยกเปลือกตาออกแล้วล้างด้วยน้ำสะอาด 5 นาที หรือจนแน่ใจว่าไม่มีกรด หรือด่างติดอยู่แล้ว
2. ห้ามใช้สารเคมี เช่น กรดหรือด่างแก้กัน
3. รีบพบแพทย์เพื่อให้ตรวจตาอย่างละเอียด และให้ยาป้ายตาต่อไป
ที่มา : https://youtu.be/QBnL1ijN0N4
ทำแบบทดสอบ