อานุภาพแห่งจิต
· Tab 1
อานุภาพแห่งจิต
การรักษาที่จิตใจอาจเป็นวิธีรักษาโรคร้ายทางกาย อย่างโรคหัวใจหรือมะเร็งที่ได้ผลชะงัด
Bill Valvo รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติมากๆ กำลังเกิดขึ้นกับสุขภาพของเขา เขาทำงานอยู่ในบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ ใน Fairfax, Virginia มา 10 ปี หลังจาก รับราชการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ มาถึง 22 ปี และรู้สึกว่าทนรับแรงกดดัน ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว "ผมเลยลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง" Valvo ซึ่งขณะนี้อายุ 55 ปีเล่า
"แต่ผมยังคงรู้สึกได้ว่า ความเครียด ทั้งหมดที่ผมผจญมานานหาได้หมดไปไม่ แต่กลับกำลังส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายผม" เขาคิดถูก Valvo เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และต้องเข้ารับการผ่าตัด bypass เมื่อปี 1999
หลังจากการผ่าตัด เขาก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า จนกลายเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด บางครั้งอาการก็จะหายไป แต่แล้วก็จะกลับมาเป็นใหม่อีก สุดท้ายแพทย์ได้ให้ยาต้านอาการซึมเศร้าแก่เขา ซึ่งไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าของเขาได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ Valvo สามารถเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองต่อความเจ็บป่วยและสุขภาพเสียใหม่ "การผ่าตัดหัวใจทำให้ผมกลายเป็นโรคซึมเศร้าอย่างนั้นหรือ?" เขาเขียนไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารของ Mended Hearts ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนไข้โรคหัวใจและครอบครัว "หรือว่าโรคซึมเศร้าต่างหากที่ทำให้ผมเป็นโรคหัวใจ?" คำตอบอาจเป็นใช่ทั้งสองคำถาม
เพียง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ แพทย์อาจลงความเห็นว่ากรณี ของ Valvo เป็นเคสพิเศษของอาการเจ็บป่วยในยุค New Age เท่านั้น แต่มาถึงวันนี้ ความเจ็บป่วยแบบ Valvo ได้กลายเป็นสิ่งที่ วงการแพทย์ให้ความสำคัญเป็นกระแสหลัก
ขณะนี้ทั้งแพทย์และคนไข้ต่างเริ่มตระหนัก กันแล้วว่า สภาพของจิตใจกับการอยู่ดีมีสุขของร่างกาย มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มาก ร่างกายที่ไม่แข็งแรง อาจทำให้จิตใจ เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาได้ และเช่นเดียวกัน จิตใจที่เจ็บป่วยก็อาจ ก่อให้เกิดโรคทางกาย หรือซ้ำเติมโรคทางกาย ที่เป็นอยู่ให้เลวร้ายลงได้ และการรักษาจากด้านใดด้านหนึ่ง ก็อาจสามารถส่งผลดีต่ออีกด้านหนึ่งได้
ร่างกายและจิตใจของเรา เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น สิ่งที่เราเรียกว่า เป็นความรู้สึกแท้จริงแล้ว เป็นปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกิดขึ้น ในสมองของเรา กล่าวคือ เกิดจากการทำปฏิกิริยาต่อกันที่ซับซ้อนในระดับเซลล์ระหว่างสารเคมีกับไฟฟ้าในร่างกายของเรา โรคซึม เศร้า เกิดขึ้นเมื่อเกิดความไม่สมดุลของการทำปฏิกิริยาต่อกันดังกล่าวนี้เอง แม้โรคซึมเศร้าจะเป็น การเจ็บป่วยของจิตใจ ไม่เหมือนโรคร้ายทางกาย อย่างมะเร็งหรือโรคหัวใจที่สามารถคร่าชีวิตผู้ป่วยได้โดยตรง แต่โรคซึมเศร้า อาจเป็นสาเหตุโดยตรง ที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ได้ไม่ต่างอะไรจากมะเร็งหรือโรคหัวใจเลย
ชาวอเมริกันประมาณ 30,000 คนที่ฆ่าตัวตายในแต่ละปี พบสาเหตุส่วนใหญ่สัมพันธ์กับการเป็นโรคซึมเศร้า อานุภาพการทำลายล้างของ โรคซึมเศร้า ใช่จะจบลงเพียงจำนวนผู้ที่กระทำ อัตวินิบาตกรรมดังกล่าวข้างต้น หรือเพียงมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจอเมริกัน 50 พันล้านดอลลาร์ต่อปี อันคำนวณจากการที่สหรัฐฯ ต้องสูญเสียประสิทธิภาพการผลิตไปเนื่องจากประชากรป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเท่านั้น หากแต่โรคซึมเศร้ายังมีอานุภาพซ้ำเติมให้โรคร้ายแรงทางกายที่เป็นอยู่ให้เลวร้ายลงไปอีก
ตัวอย่างเช่น ทันทีที่คุณมีอาการหัวใจวาย ความเสี่ยงที่คุณ จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด จะเพิ่มขึ้นทันที 4-6 เท่า ถ้าหากคุณเป็น โรคซึมเศร้าร่วมด้วย พิษสงของโรคซึมเศร้าดังกล่าว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จิตใจและร่างกายไม่สามารถแยกออก จากกันได้ไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะความจริงแล้วทั้งสองต่างเป็นส่วน หนึ่งของระบบเดียวกัน
โรคซึมเศร้าไม่เพียงเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ล้มป่วยลงด้วยโรคร้ายทางกายที่สามารถคร่าชีวิต หรือจากการหมดกำลังใจที่จะรักษาตัว เท่านั้น แต่โรคซึมเศร้ายังเป็นสาเหต ุหรือปัจจัยเสี่ยงสำคัญตัวหนึ่งของโรคหัวใจด้วย "ความร้ายกาจของมันอาจไม่ต่างอะไรไปจากคอเลสเตอรอลเลย" นายแพทย์ Dwight Evans ศาสตราจารย์จิตเวชศาสตร์ เวชศาสตร์และประสาทวิทยา แห่ง University of Pennsylvania กล่าว
โรคหัวใจเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงทางกายที่ถูกซ้ำเติมให้เลวร้ายลงได้ด้วยโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็ง เบาหวาน ลมบ้าหมู และกระดูกพรุน ต่างก็ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดความพิการหรือเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร หากพวกเขาเป็นโรคซึมเศร้าร่วมด้วย
ผลร้ายต่อโรคทางกายอันมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้านี้ เริ่มเห็นกันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้ จนวงการแพทย์ไม่อาจปล่อยให้ผ่านเลยไปได้ และเริ่มหันมาเอาใจใส่ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อพยายามจะทำความเข้าใจว่า กำลังเกิด ขึ้นอะไรขึ้นกับผู้ป่วย
แม้ว่าการพยายามที่จะพิสูจน์ว่า โรคร้ายทางกายกับโรคซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กันของวงการแพทย์จะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็โชคดีที่นักวิทยาศาสตร์มีความคืบหน้าไปมากใน การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคซึมเศร้า เกือบจะสรุปได้อย่างแน่นอนแล้วว่า สาเหตุของโรคซึมเศร้าเกิดจากข้อบกพร่องในการผสมผสานยีนตัวหลักๆ บวกกับสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยของ ผู้ป่วย
ขณะนี้นักวิจัยก็กำลังพัฒนาวิธีบำบัดรักษาและยาตัวใหม่ๆ ให้ดีขึ้นกว่าวิธีรักษาและยาที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในขณะที่เราแน่ใจ มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า โรคทางกายน่าจะมีความสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้าจริง แต่การแยกโรคทางกายและโรคซึมเศร้าออกจากกัน กลับเป็นเรื่องที่ใหม่และไม่เคยมีใครศึกษามาก่อนเลย
ทั้งนี้ หากแยกโรคซึมเศร้าออกจากโรคทางกายได้ จะทำให้สามารถมุ่งคิดค้นวิธีบำบัดรักษาแต่เฉพาะโรคซึมเศร้าเพียงอย่างเดียวได้ ซึ่งอาจส่งผลช่วยลดความรุนแรงของโรคทางกายที่สัมพันธ์กับมันได้
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์ Dennis Charnay หัวหน้าฝ่ายวิจัยความผิดปกติของอารมณ์และความวิตกกังวลแห่งสถาบัน National Institute of Mental Health (NIMH) กล่าวว่า เรายังไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์แนวคิดนี้เลย
กระนั้นก็ตาม แนวคิดที่ว่า การรักษาแต่เฉพาะโรคซึมเศร้า อย่างเดียว อาจสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคทางกายต่างๆ ที่สัมพันธ์กับมันได้นั้น มีความเป็นไปได้ในเชิงชีวเคมี เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ร่างกายเราเป็นปกติ ในทุกวันนี้ก็ สามารถยืนยันได้ว่า สารเคมีในสมองของเรา ไม่ได้ควบคุมเฉพาะอารมณ์เท่านั้น แต่ยังควบคุมการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เวลาที่เรารู้สึก กลัว ร่างกายจะหลั่งสาร adrenaline เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้เรารู้สึก ท้องไส้ปั่นป่วน สารเคมีในสมองที่เรียกว่า neurotransmitter ซึ่งมีประมาณ 60 ตัว หรือมากกว่าอย่างเช่น serotonin สามารถไหลเวียนไปได้ทั่วร่างกายไม่ใช่เฉพาะในสมองเท่านั้น "โรคซึมเศร้าเป็นความผิดปกติของทั้งระบบ" Evans อธิบาย
"และ neurotransmitter หลายต่อหลายตัวที่เราเชื่อกันว่า เกี่ยวข้องกับการที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำหน้าที่บกพร่องไปอันสืบเนื่องมาจาก โรคซึมเศร้านั้น สามารถส่งผลต่อร่างกายส่วนใดก็ได้ทั่วทั้งร่างกาย"
แต่ยังไม่มีใครรู้ว่า สารเคมีที่ทรงพลังเหล่านั้น ส่งผลอย่างไรกันแน่ต่อโรคหัวใจ โรคมะเร็งและโรคอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผลการ วิจัยซึ่งยัง อยู่เพียง ขั้นเริ่มต้นก็ดูสดใสไม่น้อย ผลการศึกษาพบว่า เมื่อ serotonin ไหลเวียนในกระแสเลือด ดูเหมือนจะทำให้เกล็ดเลือดข้นน้อยลง ซึ่งทำให้โอกาสที่เลือดจะจับตัวเป็นก้อนแล้วอุดตัน หลอดเลือดแดง เป็นไปได้น้อยลง เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่ผู้ป่วย ที่รอดชีวิตจาก หัวใจวายได้รับคำแนะนำให้รับประทานยาแอสไพริน สำหรับเด็กเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ยาอย่าง Prozac ซึ่งช่วยเก็บรักษา serotonin ให้ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ก็ดูเหมือนช่วยให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อนเช่นเดียวกัน
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้ากับโรคหัวใจยังพบว่า อัตราการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าร่วมด้วย มักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติ ทั้งนี้นายแพทย์ Charney อธิบายว่า อัตราการเต้นของหัวใจ ควรจะเปลี่ยนแปลง อย่างเหมาะสมตามกิจกรรมที่แตกต่างกันไป เนื่องจากแต่ละกิจกรรมจะเรียกร้องให้หัวใจทำงานในอัตราที่แตกต่างกัน
สิ่งที่อาจเชื่อมโยงโรคซึมเศร้ากับโรคหัวใจอีกประการได้แก่ สารเคมีที่เรียกว่า C-reactive protein (CRP) ตับจะผลิต CRP เมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรคหรือบาดเจ็บ และ CRP นี้สัมพันธ์กับอาการอักเสบที่เกิดขึ้นหลังจากร่างกายได้รับเชื้อหรือบาดเจ็บ ด้วยเหตุผลที่ยังไม่มีใครรู้ ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ในผู้ป่วยโรคหัวใจที่เป็นโรคซึมเศร้าร่วมด้วย จะมีระดับ CRP เพิ่มสูงขึ้น และในผู้ป่วยที่หลอด เลือดแดงเสียหายเพราะการสะสมตัวของคราบคอเลสเตอรอล อาการอักเสบที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากระดับ CRP เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดแดง เพราะโอกาสที่คราบคอเลสเตอรอล จะหลุดออกจากผนังหลอดเลือดแล้ว ไปอุดตันหลอดเลือด จะมีสูงขึ้น
โรคเบาหวานเป็นโรคร้ายอีกโรคหนึ่งที่อาจถูกซ้ำเติมให้เลวร้ายลงได้ด้วยโรคซึมเศร้า เป็นที่รู้กันดีว่า 10% ของผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นชาย และ 20% ของผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นหญิง มักเป็น โรคซึมเศร้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงกว่าใน ประชากรทั่วไปถึงสองเท่า แน่นอน เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่อาจคร่าชีวิตได้อย่างเบาหวาน จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นมาอีกโรคหนึ่งได้ แต่นั่นอธิบายตัวเลขที่แตกต่างกันข้างต้นได้เพียงบางส่วนเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นโรคซึมเศร้าร่วมด้วย มีโอกาสเผชิญกับโรคแทรกซ้อนร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ โรคระบบ ประสาท และตาบอด มากกว่าผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่มีอาการซึมเศร้า
บางทีอาจเป็นเพราะโรคซึมเศร้าทำให้ร่างกายตอบสนองน้อยลงต่อ insulin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด โดยผ่านการทำงานของฮอร์โมน cortisol ฮอร์โมนตัวหลังนี้สามารถรบกวนการทำงานของ insulin ทั้งนี้พบว่า ระดับของ cortisol ในผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะเพิ่มสูงขึ้น
cortisol ยังอาจทำให้ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการซึมเศร้า มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน ผลการศึกษาของนายแพทย์ Philip Gold และนายแพทย์ Giovanni Cizza แห่ง NIMH พบว่า ผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนที่เป็นโรคซึมเศร้า จะมีอัตราการสูญเสีย มวลกระดูกสูงกว่าผู้หญิงวัยเดียวกันที่ไม่เป็น โรคซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ความแตกต่างนี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไปแล้ว
นายแพทย์ Cizza ประมาณว่า ผู้หญิงอเมริกันประมาณ 350,000 คนต่อปีจะเป็นโรคกระดูกพรุนที่มีสาเหตุมาจากการเป็นโรคซึมเศร้า ทั้งนี้เพราะ cortisol ดูเหมือนจะไปขัดขวางความสามารถของกระดูกในการดูดซึมแคลเซียม และในการทดแทน การสูญเสียแคลเซียม ตามธรรมชาติซึ่งเป็นอาการปกติของผู้หญิงวัยทอง
ในขณะที่โรคซึมเศร้าอาจก่อให้เกิดโรคทางกาย หรือซ้ำเติมโรคทางกายให้เลวร้ายยิ่งขึ้นได้นั้น ในทางกลับกัน โรคทางกายก็อาจเป็น สาเหตุให้เกิดโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน ผลการศึกษาหลายครั้งพบว่า โรคที่สร้างความเสียหายแก่สมองเช่นโรคมะเร็ง โรค Parkinson's ลมบ้าหมู สมองขาดเลือด และ Alzheime's อาจเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า เช่นในกรณีของ Parkinson's ปัญหาเกิดจากการที่เซลล์ในสมองส่วนที่สร้าง neurotransmitter ที่ชื่อ dopamine ตายลง ทั้งนี้ dopamine เป็นสารเคมีในสมอง ที่สำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหว และในขณะเดียวกัน อาจเป็นสารที่สำคัญต่ออารมณ์ด้วย ส่วนโรคลมบ้าหมู สมองขาดเลือด และ Alzheime's ซึ่งก็เหมือนกับ Parkinso's ที่ล้วนแต่สร้างความเสียหายทางกายภาพแก่สมองในรูปแบบต่างๆ ก็อาจสร้างความเสียหายแก่ neurotransmitter ตัวอื่นๆ ในสมอง เช่น serotonin, glutamate และ norepinephrine ได้เช่นกัน ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้า หลายรูปแบบแตกต่างกัน
ดังนั้น แม้อาการของโรคซึมเศร้าแบบต่างๆ จะคล้ายคลึง กัน แต่อาจมีสาเหตุมาจาก neurotransmitter คนละตัว นี่จึงอาจ เป็นเหตุผลที่ใช้อธิบายว่า ทำไมบางครั้งการให้ยารักษาระดับ serotonin ในกระแสโลหิต จึงไม่สามารถรักษาโรคซึมเศร้าในคนไข้บางรายได้ ทั้งนี้ก็เพราะโรคซึมเศร้าของผู้ป่วยรายนั้นไม่ได้ มีสาเหตุมาจาก serotonin แต่มาจาก neurotransmitter ตัวอื่นนั่นเอง
การบำบัดรักษาโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่มักจะมุ่งแก้ไขความไม่สมดุลของปฏิกิริยาระหว่างสารเคมีและไฟฟ้าในร่างกาย ซึ่งทำให้สมอง สร้างความรู้สึกซึมเศร้าและความคิดที่ปรวนแปร ตัวอย่างเช่น ยาต้านโรคซึมเศร้าที่ชื่อ tricyclic antidepressant ซึ่งนิยมใช้ในช่วงทศวรรษ 1960 จะช่วยกระตุ้นการทำงานของ neurotransmitter 2 ตัวคือ serotonin และ norepinephrine กับ neurotransmitter อื่นอีก 2 ตัว ให้ทำงานทั่วร่างกาย ยานี้ช่วยแก้อาการซึมเศร้าได้แต่มีผลข้างเคียงคือ ทำให้ง่วงนอนมากผิดปกติ เห็นภาพไม่ชัด และมีอาการมึนงง ขั้นหนักอาจถึงชีวิตได้ถ้าได้รับยาเกินขนาด
ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นช่วงของความพยายามลด ผลข้างเคียงข้างต้น ด้วยการมุ่งควบคุมแต่การทำงานของ serotonin เพียงตัวเดียว ยาต้านโรคซึมเศร้าที่เรารู้จักกันดีอย่าง Prozac, Paxil และ Zoloft ซึ่งเรียกรวมกันว่า selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) ถูกพัฒนาขึ้นมาในยุคนี้ โดยมุ่งหมายให้ออกฤทธิ์ ควบคุม serotonin ไม่ให้ถูกดูดซึมซ้ำเข้าสู่เซลล์ประสาทเร็วเกินไป หลังจากที่มันถูกผลิตขึ้นมาในร่างกาย
วิธีรักษาอีกอย่างคือวิธีที่เรียกว่า electroconvulsive therapy (ECT) หรือที่เรามักรู้จักกันว่าเป็นการช็อกไฟฟ้า ECT จะ ช่วยปรับสภาพทางไฟฟ้าของสมอง ให้เป็นปกติโดยทำให้เกิดอาการชัก (แม้ว่าการช็อกไฟฟ้าจะมีกิตติศัพท์ไม่ค่อยดี แต่ความจริงแล้ว วิธีนี้ใช้กระแสไฟฟ้าขนาดอ่อนๆ เท่านั้น และให้ผลการรักษาที่ดีอย่างน่ามหัศจรรย์ในคนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อยา) แม้แต่วิธีรักษาแบบโบราณอย่างการพูดคุยกับจิตแพทย ์ก็สามารถปรับสารเคมี ในสมองของผู้ป่วยให้เป็นปกติและช่วยลดความรุนแรงของ โรคซึมเศร้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับวิธีรักษาอื่นๆ ด้วย
น่าเสียดายที่การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้ากับโรคทางกายต่างๆ ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น เราจึงยังมีความรู้น้อยมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า หากเรามุ่งรักษาโรคซึมเศร้าแล้ว จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงใน การเกิดโรคแทรกซ้อน หรือความเสี่ยงในการเสียชีวิต ก่อนเวลาอันควรจากโรคทางกายที่เป็นอยู่
ดังนั้น ในขณะนี้ สิ่งที่นายแพทย์ Charney นายแพทย์ Evans และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ จะทำได้ นอกเหนือจากความพยายาม ศึกษาค้นคว้า และพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้า กับโรคทางกายต่างๆ แล้วก็คือ การเตือนให้นายแพทย์คนอื่นๆ ตระหนักถึง ความสำคัญของ โรคซึมเศร้าที่มีต่อโรคร้ายทางกายที่คนไข้ของพวกเขาเป็นอยู่ให้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน Lydia Lewis ประธานกลุ่ม Depression and Bipolar Support Alliance ก็แนะนำผู้ป่วยว่า ในส่วนตัวผู้ป่วย เองก็ควรจะคิดถึงโรคซึมเศร้าที่ส่งผลกระทบต่อโรคทางกายที่ตนเป็นอยู่ด้วยเช่นกัน และอาจเป็นฝ่ายหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นสอบถามพูดคุยกับแพทย์์ ที่ทำการรักษาตนอยู่ Bill Valvo เห็นด้วยกับคำแนะนำนี้อย่างยิ่ง "ผมคิดว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือ เร่งหา ความรู้ในเรื่องของจิตใจ" และความรู้ที่ว่านั้นก็คือ เยียวยารักษาจิตใจให้ดี แล้วคุณอาจช่วยร่างกายของคุณได้
แปลและเรียบเรียงจาก special Issue, Time, January 20, 2003
โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
กุญแจแห่งความสุข
· Tab 1
กุญแจแห่งความสุข จากหนังสือ The Conquest of Happiness แต่งโดย Bertrand Russell
สาเหตุแห่งความทุกข์ 7 ประการ
1. ทุกข์ที่เกิดจากการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
2. ทุกข์ที่เกิดจากความเบื่อหน่ายในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดในกลุ่มผู้มีฐานะดี สาเหตุที่เบื่อหน่ายก็เนื่องจาก ไม่มีความบันเทิงใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตมากเท่าที่ต้องการ ทำให้ชีวิตเหงาหงอย และขาดพลังชีวิต
3. ทุกข์ที่เกิดจากความเหนื่อยอ่อน คือเหนื่อยใจ มิใช่การเหนื่อยกาย ที่เหนื่อยใจ เนื่องจาก ไม่รู้จักการ แบ่งแยกว่าเรื่องใด ควรคิดในเวลาใด เช่นทำงานอยู่อย่างหนึ่ง กลับคิดถึงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทำอยู่ เป็นต้น
4. ทุกข์ที่เกิดจากการอิจฉาริษยา มักเกิดกับเด็กที่เติบโตมาโดยไม่ได้รับความรักความอบอุ่นเท่าที่ควร
5. ทุกข์ที่เกิดจากความรู้สึกว่า ตนเองทำผิดตลอดเวลา คือ คิดถึงแต่อดีตที่ผิดพลาด
6. ทุกข์ที่เกิดจากวิตกจริต คือจิตที่คิดฟุ้งซ่าน คิดเกิน คิดขาด และมองโลกไม่ตรงตามความเป็นจริง
7. ทุกข์ที่เกิดจากความกลัว กลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ
4 วิธีการเพื่อชีวิตที่มีความสุข
1. มีความกระตือรือร้น (Zest) คนที่มีบุคลิกกระฉับกระเฉง กระตือรือร้น แสดงว่าคนๆ นั้นค่อนข้างมีความสุข เนื่องจาก ความกระตือรือร้นนั้น สะท้อนให้เห็นถึง สภาวะจิต ว่าในจิตนั้นมีเรื่องที่เขา อยากรู้อยากเห็น และอยากศึกษาอีกมากมาย คนเหล่านี้ เมื่อเจอปัญหา มักจะไม่ย่อท้อ เพราะจากการที่เขาสนใจเรื่องต่างๆ หลายด้าน ทำให้มีทักษะในการแก้ปัญหามากกว่าคนอื่นๆ และมองปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา จิตของคนที่มีเรื่องที่เขาสนใจนั้นไม่ต่างไปจากจิตของแมวที่จ้องจะจับหนู คือเป็นจิตที่มีพลังชีวิต มีอารมณ์ มีความรู้สึก ทั้งนี้คนที่จะมีความกระตือรือร้นได้จะต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะกายกับจิตนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง จึงจะมีพลังชีวิตได้ ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า Energy ของความกระตือรือร้นนั้นมีมากกว่า Energy ที่คนๆ หนึ่งทุ่มเทให้กับงานงานหนึ่งด้วยซ้ำเพราะความกระตือรือร้นเป็นพลังขับเคลื่อนที่คิดว่าตนเองมีค่า ทั้งนี้ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ความกระตือรือร้น ที่ก่อให้เกิดพลังชีวิตนั้นต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากการหลบหนีปัญหาอย่างหนึ่ง แล้วแกล้งทำเป็น Active ในอีกเรื่องหนึ่งเพราะ การเป็นเช่นนี้จะเรียกว่า จิตหลอกจิต ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดพลังชีวิตอย่างแท้จริง
2. รู้จักคำว่า ความรัก (Affection) ความรักในที่นี้คือ การให้ความรักแบบไม่หวังผลตอบแทน น้ำใจไมตรี ที่ท่านให้กับผู้อื่น โดยหวังผลตอบแทนนั้น เป็นความคิดที่ไม่มีพลังในตัวเอง แต่ถ้าท่านให้ความรักกับผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแล้วไซร้ ผู้ที่ได้รับก็จะเกิดความรู้สึกซาบซึ้งในตัวท่าน ซึ่งจะทำให้ท่านเกิดพลังชีวิต ผู้เขียนได้ให้แง่คิดที่น่าสนใจว่าการจะรักและช่วยคนใดนั้น ควรช่วยคนที่มีสภาวะปกติ ไม่ใช่ช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน เพราะการช่วยคนที่กำลังเดือดร้อนนั้นจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเป็น Hero ทำให้ความเป็นตัวกูของกูมีมากขึ้น ดังนั้นการจะแสดงความรักกับใคร ให้แสดงอย่างจริงจัง และเพียรพยายาม ต้องจริงใจ และจริงจัง กับอีกฝั่งหนึ่งโดยไม่หวังว่าเขาจะให้ความรักตอบกับเรา
3. ทำงาน (Work) การทำงานจะนำมาซึ่ง ความสุข คนที่ไม่มีงานทำจะเหงาหงอย โดยธรรมชาติของมนุษย์อย่างน้อยที่สุด จะต้องมีสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้เกิดพลังชีวิต บรรดาลูกคนรวยที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไรนั้น พวกเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานมากนัก เขาจะไม่มีจุดมุ่งหมาย แต่จะมีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหาความสุข ในขณะเดียวกันก็มักจะมีคำว่า เบื่อออกมาจากปากเขาตลอดเวลา ผู้เขียนให้แง่คิดว่าคนที่มีงานทำแม้จะไม่รวยมากนัก แต่ก็มีพลังชีวิต เพราะสำหรับคนทำงานแล้ว วันหยุดจะเป็นวันที่มีค่ามาก สำหรับเขา คนที่มีงานทำจึงจะรู้ค่าของวันหยุด คนที่ไม่มีงานทำจะทำให้เกิดความขี้เกียจ และความเบื่อหน่ายในชีวิตก็จะตามมา งานใดๆ ก็ตามที่เป็น งานสร้างสรรค์ และสามารถทำให้ความฝัน ซึ่งเป็นนามธรรมกลายเป็นรูปธรรมได้นั้น จะทำให้เราเกิด ความชื่นชมในฝีมือเราเอง และทำให้เรามีความสุขในการทำงาน พลังชีวิตก็เกิดขึ้น
การทำงานให้มีความสุขที่สุดคือ การเป็นนายตัวเอง คือมีธุรกิจของตนเอง ให้เรารับผิดชอบเอง 100% แต่ทั้งนี้การทำงานก็ต้อง เริ่มจากการทำงานเล็กๆ ก่อน ต้องเริ่มจากการเป็นลูกจ้างก่อนเพื่อเรียนรู้ระบบ
4. มีความรักให้กันภายในครอบครัว (Family) พลังขับเคลื่อนสูงสุดที่สามารถ ทะลายปัญหาต่างๆ และทำให้เราเข้มแข็ง ขึ้นได้ก็คือ พลังความรักที่พ่อแม่มีให้ลูก และพลังความรักที่ลูกมีตอบให้พ่อแม่ เนื่องจากความรักในครอบครัว เป็นความรักที่มีมาก และเข้มข้นที่สุด และความรักในครอบครัวนี่เองที่มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล แต่ทั้งนี้ความรักที่พ่อแม่ให้ลูกนั้น ลูกจะต้องรับรู้ และ ปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ตอบ แล้วพลังชีวิตจึงจะเกิดขึ้น คนในครอบครัวต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันแล้ว ก็จะทำให้ความรุนแรงในการโต้เถียงกันภายในครอบครัวลดน้อยลง
ฝึกจิตรู้ตน บนความเปลี่ยนแปลง
· Tab 1
ฝึกจิตรู้ตน บนความเปลี่ยนแปลง
นิติศักดิ์ โตนิติ - มิถุนายน 2549
การฝึกฝนภายในเบื้องต้น เป็นความพยายามดำรงตนให้จิตตื่นจากหลับ เพื่อรู้ตัวรู้ตนในทุกขณะที่ดำเนินชีวิต ในเดือนมิถุนายน 2549 การเคลื่อนตัวของชีวิตที่เป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ เป็นชีวิตของปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ประสบกับสิ่งที่เป็นสุขและทุกข์ปนเปกันไป รู้ตัวบ้าง ลืมตัวบ้าง แต่ การทบทวนตัวตนในแต่ละช่วงเวลาที่ดำเนินชีวิตผ่านไป ในสมาธิ ช่วยให้เราได้เรียนรู้และบันทึกไว้เป็น ความทรงจำ อันเป็นฐานแห่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราจากภายใน บางเรื่องเป็นการรื้อและแก้อนุสัยที่ฝังจำไว้ในจิตเบื้องลึกทีละเล็ก ทีละน้อย เป็นสิ่งที่ตนสามารถเรียนรู้ได้เองจากการลงมือ ปฏิบัติ พบประสบการณ์ที่น่าสนใจดังนี้
"การมีทรัพย์เป็นทุกข์” อันเป็นจุดเกิดแห่งเวทนาที่รบกวนจิตใจ ทำให้เราไม่สามารถสงบเย็นหรือดำรงจิตในชีวิตความเป็นอยู่ด้วยความว่างได้ เพราะ "เราไปยึดมั่นถือมั่นเอาว่าเรา ว่าของเรา” เมื่อมีเรา มีของเรา ก็เกิดความห่วง ความกังวล ความร่ำไรรำพัน ว่าจะของๆ เราจะยังอยู่ดี หรือไม่ มีใครมาหยิบไปหรือไม่ มีคนดูแลให้หรือไม่ แต่ในความเป็นจริงตามกฎของธรรมชาติ สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป เมื่อได้พิจารณาแล้วก็ได้ทบทวนเอาสติปัญญากลับคืนมา ให้ได้รู้ตามที่เป็นจริงว่า "ทรัพย์ทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง”
ดังนั้นเราจึงควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์ด้วยจิตสงบเย็น ใช้งานทรัพย์นั้นๆ ตามคุณค่าแท้และหน้าที่ที่เป็นอยู่จริง และดูแล รักษาให้สามารถ ใช้งานได้ตามสภาพแห่งความเปลี่ยนแปลงอันเป็นไปตามธรรมดา เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จิตของเราก็จะหาความสงบเย็นจากการมีทรัพย์ ไม่ทุกข์ทนด้วยอาการที่ไม่น่าปารถนา ความไม่สบายใจ ความร่ำไรรำพรรณ
"ความทุกข์อันเกิดจากความอยาก” อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ต่อสิ่งที่แวะเวียนเข้ามากระทบต่อจิตเราในแต่ละขณะลมหายใจ เป็นอาการฟุ้งของจิตในตัวเราที่ก่อกวนความสงบเย็นทั้งยามหลับและยามตื่น เช่น การหมกมุ่นครุ่นคิดว่าต้องทำสิ่งหนึ่ง เพื่อจะให้ได้สิ่งหนึ่ง จิตตกเป็นทาสแห่งกิเลสอันเกิดจากมโนวิญญาณ คือ ความคิด เป็นเหตุของความโลภ ที่มายั่วยวนจิตของเรา ให้เกิดเวทนา และก็ยึดถือเป็น อุปทาน ว่าเรา ว่าของเรา อันฐานแห่งความทุกข์ในที่สุด เป็นไปตามกฏปฏิจจสมุปบาท คือ การอาศัยกันเกิดขึ้น
การปฏิบัติต่อสู้กับกิเลส ดังกล่าว ให้เรามีสติคอยประคับประคองจิตให้สงบเย็นไว้ ในหลักของพุทธศาสนา ใช้การปฏิบัติพรหมจรรย์ 10 เพื่อการดูแลจิตให้ถูกต้อง สามารถฝึกจิตได้ดังนี้
1. มีความพอใจต่อการงาน ต่อการดำรงชีวิต เป็นเหตุเบื้องต้น (ฉันทมูลกา) โดยมีวิชชา ปัญญา เป็นพื้นฐานว่า ต้องกระทำ เพื่อก่อให้เกิด การเรียนรู้ธรรม (ธรรมสโมทาน)
2. การกระทำทางจิต (มนสิการสัมพวา) ด้วยการฝึกอบรมด้วยศีล ด้วยการฝึกสมาธิภาวนา ด้วยการให้ทานการเสียสละ เพื่อแก้กิเลส ในจิตใจของเรา เป็นแดนเกิดของพรหมจรรย์
3. ต้องรู้ภูมิหลังของกิเลส (ผัสสสมุทยา) รู้ว่ากิเลสมาอย่างไร ทำหน้าที่อย่างไร ต้องมีสติปัญญาที่มารับรู้ให้ทัน เมื่อนามรูป(ภายนอก) มากระทบ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะ ๖ ภายใน) เกิดการรับรู้เป็นวิญญาณ ผัสสะ(การกระทบ)
4. การรู้เท่าทันต่อการถูกยั่วยวนให้เราพอใจ ไม่พอใจ (เวทนาสโมรณา) ที่ปรุงต่อให้เป็น ตัณหา (ความอยากได้ อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น) ในที่สุดก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปทาน (ว่าเรา ว่าของเรา มีตัวกู ของกู) เกิดเป็นภพ ชาติ ชรา และทุกข์ในที่สุด สิ่งที่เราควรทำคือ การทำในสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเกิดผัสสะ เวทนา ให้รู้ตัวรู้ตน ว่า ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ต่อสิ่งที่มายวนยั่ว และหยุดเสียให้ได้ไม่ปรุงต่อเป็น ความอยาก(ตัณหา) เพื่อให้จิตมีโพธิปัญญาที่สูงขึ้นในทุกขณะที่ดำรงตน
· Tab 2
5. การจัดทัพต่อสู้กับสิ่งที่มายั่วยุ (สมาธิปมุกขา) ด้วยการฝึกจิตให้มีสติ ด้วยสมาธิ เพื่อใช้สมาธิเป็นแม่ทัพหลวง ให้มีความบริสุทธิ์ จากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายหรือจากนิวรณ์ ๕ (ปริสุทโธ / Cleaness) และการฝึกจิตให้เป็นหนึ่งเดียว หรือ เอกะคะหาจิต ตั้งมั่น เผาปัญหาที่มากระทบได้ (กัมมะหิโต / Fermness) ตลอดจนการฝึกจิตให้อ่อนโยน ว่องไวต่อการงาน(กัมมะนีโย / Activness) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเราสามารถฝึกจิตให้สติสมบูรณ์ ให้จิตเป็นสมาธิได้ด้วยการกำหนดอารมณ์ ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีอากาศปลอดโปร่ง อุณหภูมิพอเหมาะ มีความสงบจากสิ่งรบกวน อีกทั้งร่างกายต้องมีความพร้อม ด้วยศีล และมีกัลยาณมิตรที่บริสุทธิ์ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนตามสมควร การฝึกจิตให้มีสมาธิ สามารถกระทำได้ทั้งในท่ายืน นอน เดิน นั่ง หรือนอนก็ได้ ในเบื้องต้นให้ฝึกตามลมหายใจเข้าลึก ยาว จากปลายจมูก ถึงท้อง แล้วต่อด้วยการตามลมหายใจออกยาว จากท้อง สู่ปลายจมูก ด้วยความผ่อนคลาย ฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเกิดความชำนาญโยเรียนรู้จากการกระทำ จนกระทั่งเกิดความสงบ จิตแน่วแน่ มีสติมั่นคง ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน เพื่อผูกมัดจิตไว้ ให้เกิดความรู้ตัวทั่วพร้อม และเท่าทันเมื่อเกิด ผัสสะ เวทนา ให้สามารถหยุด เย็น และยอมรับใช้ในสิ่งที่ถูก
6. การใช้สติเป็นบุคคลสำคัญในการทำงาน (สตาธิปเตยยา) เช่น การปลูกถั่วดิน (ถั่วลิสง) ที่ต้องใช้แรงงานร่วมกันหลายคน ซึ่งบางครั้งอาจจะมีความเหลื่อมล้ำกันจากการทำงานได้ หากเรามีสติเท่าทัน เราก็จะสามารถพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่ทำงานด้วยกันได้อย่างละเอียด และจะค้นพบสาเหตุแห่งการเหลื่อมล้ำในการทำงานร่วมกันนั้นได้ไม่ยากนัก รวมทั้งจะมีสติค้นพบการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเอง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการทำงานร่วมกัน ด้วยความสุข ไม่เครียด ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่จะและกันอย่างเป็นบรรยากาศการทำงานด้วยกันอย่างอ่อนโยน หนุนเสริมกันและกัน ด้วยการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ กันต่อเนื่อง ซึ่งหากขาดสติเท่าทันในการทำงานร่วมกัน จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง ที่พร้อมจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่โต ขยายวงสู่บุคลที่เกี่ยวข้องแวดล้อมมากมาย และจิตจะขุ่นมัวครุ่นคิดเช้าค่ำ กังวลว่าจะถูกเอาเปรียบ จะถูกดูถูก ยิ่งพยามจะแก้ไขก็เกิดข้อติดขัดตกเป็นทาสแก่ผู้จ้องหาประโยชน์จากความผิดพลาดที่เราสร้างขึ้น ความเสียหายก็จะเพิ่มมากขึ้น อย่างไม่อาจคาดการณ์ได้
7. การใช้ปัญญาเป็นสิ่งสูงสุดเพื่อฆ่ากิเลส (ปัญโญตตรา) เป็นการมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริงอยู่เสมอ (ยถาภูตสมปัญญา) คือเห็นว่าอะไร คือ อะไร ตามเหตุปัจจัย
8. หลุดพ้นจากการปรุงแต่ง แห่งกองทุกข์ หรือกิเลส กิน กาม เกียรติ (วิมุตติสารา) โดยเห็นแก่นสารของสรรพสิ่งว่าตั้งอยู่ใน “วัฏฏะสงสาร” ซึ่งล้วน "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป”
9. การไม่ปรุงแต่งอะไร เป็นจิตว่าง (อมโตคธา) เป็นจิตพุทธะ ไม่ใช้ความคิด ไม่ใช้ความรู้สึกเป็นจิตเดิมแท้ ว่างจากการปรุงแต่งทั้งปวง (จิตประภัสสร) เป็นภาวะแห่งความ "สะอาด สว่าง สงบ”
10. ความสงบเย็น สุดรอบ (นิพพานปริโยสาณา) เป็น การเป็นอยู่โดยจิตว่าง อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่มีตัวกู ของกู ไม่ยึดมั่นตัวตน เป็นการทำงานโดยความว่างด้วยสติปัญญา อันเกิดจากการฟัง (สุตตมปัญญา) ปัญญาอันเกิดจากการใคร่ครวญ (จินตามยปัญญา) และปัญญาอันเกิดจากการรู้แจ้ง เห็นแจ้ง จากการปฏิบัติตน (ภาวนามยปัญญา)
การฝึกจิตเพื่อรู้ตัวตน บนความเปลี่ยนแปลงของชีวิตประจำวัน จึงเป็นไปเพื่อการเรียนรู้ธรรม สำหรับพัฒนาการพึ่งพาตนเอง ในด้านพฤติกรรมความเป็นอยู่อย่างพอเหมาะ ดำเนินชีวิตโดยไม่แตะส่วนเกิน ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ให้เกิดความพร้อมในการฝึกสมาธิเพื่ออบรมจิตให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามที่เป็นจริง สำหรับพัฒนาการอาศัยกันและกันอย่างเกื้อกูล ซึ่งต้องอาศัยความสนใจ ความมีสติ ความพร้อมด้วยศีล และมีความพร้อมในการเรียนรู้ธรรมที่ใช้ทุกโอกาส ทุกขณะลมหายใจ เพื่อยกระดับพัฒนาจิตให้สะอาด สว่าง สงบ เย็น ว่าง และเหมาะควรแก่การงาน
· Tab 3
การทบทวนตัวตนภายใน เป็นการรู้จักตัวเอง ในด้านใน (จิตใจภายใน) ว่าเกิดการยึดมั่นว่าเรา ว่าของเรา เมื่อไร เกิดขึ้นได้อย่างไร แบ่งออกได้เป็น ๓ พวก คือ
1. ตัวกูสีดำ เป็นตัวกูที่เต็มไปด้วยกิเลส มักง่าย ชอบความสะดวกสบาย ไม่รับผิดชอบ ทำงานด้วยอวิชชา มีกิเลสคอยสั่งการ เช่น การกินอาหารที่แม้ว่าเราอิ่มแล้สก็ยังกิน เพราะติดใจในรสชาติของอาหาร ทำใจไม่ได้ เกิดตัวกู เกิดตัณหาคือความอยาก แต่ถ้ากินอาหารด้วยความหิวแต่พอดี โดยสติปัญญาเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย ไม่ถือว่าเป็นตัวกูสีดำ ตัวกูชนิดนี้เป็นตัวกูแห่งกิเลสที่กำกับจิตให้ “ทำบาป”
2. ตัวกูสีขาว เป็นตัวกูที่เต็มไปด้วยกิเลส อยากช่วยเหลือ อยากทำดี เป็นตัวกูเพราะทำด้วยความอยาก (ตัณหา) "ทุกข์เพราะอยากทำดี”
3. ไม่มีตัวกู เป็นการดำรงอยู่ ทำงานด้วยการเห็นความเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นการทำงานตามกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ สบายใจกับการทำงาน "จิตบริสุทธิ์” ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จิตว่าง จึงทำงานได้ดีกว่าตัวกูสีดำ หรือตัวกูสีขาว เพราะไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
ตัวกูแต่ละพวก ใน 1 เดือน เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน เพราะแต่ละลมหายใจเข้าและออก มีโอกาสเกิดตัวกูได้หลายแบบ แต่ตัวกูที่ต้องระวังและจำเป็นต้องละวางลงเสีย เพื่อจะไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น เพื่อเว้นจากการทำบาปทั้งปวง คือ ตัวกูสีดำ ซึ่งละวางได้ด้วย
1. เว้นจากการเพ่งมองด้วยความโลภ ตาลุก (โลภะ)
2. เว้นจากความคิดอยากทำลายผู้อื่น(โทสะ)
3. เว้นจากการโกรธตนเอง(โกรธะ)
4. เว้นจากการผูกโกรธพยาบาท (อุปนา)
5. เว้นจากความโมโหซึ่งเกิดจากความโง่ (โมหะ) ประกอบด้วย
5.1 การไม่รู้บุญคุณคน (มักขะ)
5.2 การยกตนเสมอท่าน (ปราสะ)
5.3 การตระหนี่ขี้เหนียว ไม่แบ่งปัน (มัจฉริยะ)
5.4 ความไม่อยากให้เพื่อมีมากกว่า (อิจฉา)
5.5 การไม่ยอมใคร หัวดื้อ (ถัมภะ)
5.6 การบิดพลิ้ว แก้ตัวเก่ง (สารัมภะ)
5.7 การแสดงออกไม่ตรงกับใจ (มายา)
5.8 การพูดเรื่องไม่จริง โม้ โอ้อวด (สาไถย)
5.9 การแสดงออกว่าเป็นตัวตน (มานะ)
5.10 การเหยียดหยามผู้อื่น ข่มผู้อื่น(อติมานะ)
5.11 การหลงเมาทางจิต (มท)
5.12 ความประมาท (ปมท)
เมื่อทบทวนแล้วพบว่า ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ผมได้พาจิต ผ่านความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันไปแวะเวียนเยี่ยมเยือนตัวกูสีดำ ครบทุกข้อ บางข้อหลายครั้ง ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งยามตื่นและหลับฝัน แต่สิ่งที่ต้องคิดหาวิธีกระทำตนต่อไป ก็คือ จะลดตัวกูสีดำในแต่ละข้อ ให้เหลือน้อยลง และน้อยครั้ง หรือหมดไปได้อย่างไร เป็นปริศนาสำคัญในการพัฒนาภายใน เพื่อเรียนรู้สู่ความเป็นอยู่อย่างว่าง และสงบเย็น