ธรรมชาติของมนุษย์
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของกลุ่มจิตวิทยาเกสตอล เช่น Frederick Solomon Perls ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา “กลุ่มจิตวิทยา
เกสตอล” อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี 7 ประการคือ
1. มนุษย์เป็นส่วนเต็มที่ประกอบขึ้นด้วยส่วนต่างๆ ที่ทำงานประสานกัน คือ ร่างกาย ความคิด ความรู้สึก การรับรู้ ซึ่งส่วนต่างๆเหล่านี้ จะเข้าใจในแต่ละส่วนเฉพาะไม่ได้ ต้องเข้าใจในลักษณะของเต็มส่วนทั้งตัวบุคคล
2. มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมจะเข้าใจบุคคลได้โดยปราศจากการเข้าใจสภาพแวดล้อมของเขาไม่ได้
3. มนุษย์เป็นผู้เลือกว่าเขาจะตอบสนองกับสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัวเขาอย่างไร มนุษย์เป็นผู้แสดงพฤติกรรม
4. มนุษย์มีศักยภาพที่จะรับรู้ สัมผัสในตัวเองได้เกี่ยวกับความคิดความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง
5. มนุษย์สามารถตัดสินใจได้ เพราะเขาเกิดการรับรู้
6. มนุษย์สามารถรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. มนุษย์ไม่สามารถนำตนเองกลับไปสู่อดีตหรืออนาคตได้ เขาสามารถรับรู้เหตุการณ์ต่างๆได้ในสภาวะปัจจุบันเท่านั้น
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มจิตวิทยาจิตวิเคราะห์” กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Sigmund Freud ซึ่งเป็นนักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี คือ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณ ( instinctual drives ) แรงขับดังกล่าวเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่ได้ สัญชาตญาณพื้นฐานคือ สัญชาตญาณแห่งชีวิต และสัญชาตญาณแห่งความตาย พฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ ของมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจที่เป็นไปตามธรรมชาติ พฤติกรรมบางอย่างที่บุคคลแสดงไปโดยไม่รู้สึกตัวเป็นเพราะพลังจากจิตไร้สำนึกกระตุ้นให้บุคคลแสดงออกไปตาม หลักความพึงพอใจของตนอาการป่วยของบุคคลจึงเกิดขึ้นในระดับจิตไร้สำนึก( unconscious ) ทำให้มนุษย์ใช้กลไกในการป้องกันตัวเอง ( defense mechanism )
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มพฤติกรรมนิยม”กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Pavlov และ B.F. skinner ธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาไม่ทั้งดีและเลวมนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมทั้งที่ปกติและผิดปกติเป็น ผลมาจากการเรียนรุ้ซึ่งการเรียนรู้นี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมภายใต้เงื่อนไขต่างๆและ การเรียนรู้เก่าสามารถ ทำให้หมดไป และสามารถสร้างระบบการเรียนรู้ใหม่ขึ้นได้ มนุษย์มีความสามารถที่จะควบคุมเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของตนเอง แม้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล ในเรื่องนี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ ( 2541 : 40-42 ) อธิบายว่าธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล พอสรุปได้ดังนี้คือ
1. มนุษย์มีธรรมชาติของความเป็นผู้มีเหตุผลและการใช้อารมณ์ บุคคลที่ถูกมองว่า เป็นผู้มีเหตุผลเหมือนคอมพิวเตอร์ ที่มีชีวิต คนเป็นผู้มีระบบในการรวบรวมข่าวสารตามที่ต้องการ สามารถวิเคราะห์งานได้ละเอียด และระมัดระวัง สามารถชั่งน้ำหนัก และประเมินสถานการณ์และรวมถึง ความมีเหตุผลในการใช้ความคิด เอ็ดเวิร์ด ( Edward . 1954 , ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ . 2541: 41 ) นักจิตวิทยาได้ให้สมญานามมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลในกระบวนการของข่าวสารใน แนวคิดที่ตรงข้ามมนุษย์เป็น ผู้ใช้อารมณ์ หรือมนุษย์เป็นผู้ใช้อารมณ์หลากหลายบางคนก็ควบคุมตนเองไม่ได้และขาดสติ ตัวอย่างเช่น งานของ Freud ได้ชี้ให้เห็น จิตไร้สำนึก ของบุคคลเต็มไปด้วยความคับข้องใจซึ่งมีผลมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กคือ มีการคิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหมือนกับพ่อกับลูก
2. มนุษย์มีธรรมชาติในลักษณะพฤติกรรมนิยมกับปรากฏการณ์นิยม นักจิตวิทยา กลุ่มพฤติกรรมนิยม อธิบายว่า การมองบุคคลใน การแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆและเชื่อว่าพฤติกรรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าถูกวางเงื่อนไขให้กระทำได้ วัตสัน ( Watson. 1930, อ้างอิงจากปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) ได้อธิบายว่า “ให้เด็กทารกที่มีสุขภาพสมบูรณ์สักกลุ่มหนึ่ง ฉันสามารถอบรมเลี้ยงดู ให้เด็กเป็นไปตามที่ฉันต้องการได้ ตั้งแต่เป็นนายแพทย์ จิตกร แม้แต่ขอทานและโจร โดยดูจากความสามารถ ความถนัดในอาชีพ ตลอดจนเชื้อชาติของบรรพบุรุษ” และ สกินเนอร์ ( Skiners. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) อธิบายว่า “พฤติกรรมของมนุษย์สามารถปรับได้ แต่ก็มีนักจิตวิทยาบางท่านที่อาจเห็นว่า บุคคลมีความสามารถตามระดับสติปัญญาของเขาเอง เราไม่สามารถทำนายได้ว่าเขาเป็นอย่างไร เขาอยู่ในโลกของเขา เขามีความเป็นตัวของเขาเอง บุคคลแต่ละคนมีบุคลิกภาพเฉพาะตัว การศึกษาเกี่ยวกับคนต้องศึกษาทุกๆ ด้าน บุคคลเป็นผู้มีสมรรถภาพมากกว่าที่เรารู้จัก
3. มนุษย์มีธรรมชาติที่จะคำนึงเศรษฐกิจและการรู้จักตนเอง ในหัวข้อนี้อธิบายว่า มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและใช้เหตุผล การคำนึงถึง สิ่งที่จะสร้าง ความพึงพอใจของตนเองในการลงทุนและลงแรงน้อยที่สุด ความพึงพอใจไม่ได้หมายถึงความภูมิใจในงานเท่านั้น หากแต่เป็นความรู้สึกถึง ความสามารถกระทำสิ่งใดๆได้สำเร็จและบางคนอาจหมายถึงเงินหรือเศรษฐกิจนั่นเอง การที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองได้ มนุษย์ก็ต้องศึกษา เรื่องของตนเองอย่างละเอียด ว่าตนเองต้องการอะไร มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ตนเองสามารถพัฒนา พฤติกรรมที่เรากระทำอยู่นี้ เป็นเหตุเป็นผล เรื่องใด แต่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากเรื่องเศรษฐกิจนั่นเอง
ธรรมชาติของมนุษย์
แนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แนวคิดในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ผู้เขียนขอสรุปแนวคิด เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ไว้ดังนี้ คือ
1. มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี แนวความคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์มีความดีงามติดตัวมาตั้งแต่เกิด และมนุษย์มีความสามารถ ที่จะพัฒนาตนเอง ให้เต็มศักยภาพเท่าที่ตนเองต้องการ การเคารพและให้เกียรติกันจึงเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
2. มนุษย์มีความแตกต่างกัน แตกต่างในเรื่องพันธุกรรม ในเรื่องสิ่งแวดล้อม แตกต่างกันในเรื่องการอบรมเลี้ยงดู รวมไปถึงวัฒนธรรม ที่ตนเองอยู่ เราไม่เหมือนคนอื่นและคนอื่นก็ไม่เหมือนกับเรา เราก็มีความรู้ความสามารถ ความถนัดอย่างหนึ่ง คนอื่นก็มีความรู้ความสามารถ อีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างมีความรู้ความสามารถ ที่แตกต่างกันจะให้เขา เหมือนเรา และจะให้เราเหมือน เขาคงเป็นไปไม่ได้ หรือในเรื่องเพศต่างกันการกระทำ ความคิด ความสนใจ เจตคติก็แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อรู้ว่า มนุษย์มีความแตกต่างกัน เราก็ยอมรับธรรมชาติ ของแต่ละคน ไม่เอาเขามาเปรียบกับเรา ไม่เอาตัวเราไปตั้งเกณฑ์ประเมินค่าตามคนอื่น อยู่แบบเขาเป็นเขาและเราก็เป็นเรา เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันชีวิตก็มีค่า ชีวิตก็มีความสุข
3. มนุษย์มีแรงจูงใจในทางที่ดี ที่สูงขึ้นมนุษย์ต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น มนุษย์มีแรงจูงใจ จะทำให้มนุษย์กระทำ สิ่งต่างๆ เพื่อให้ตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
4. พฤติกรรมของมนุษย์ทุกอย่างต้องมีสาเหตุ มีที่มามีที่ไปบุคคลจะไม่กระทำสิ่งใด ๆ แบบไร้สติ ไร้ความนึกคิด แต่การกระทำของบุคคล มีเหตุผลแห่งการกระทำโดยทั้งสิ้น เช่น คนที่ขยันทำงานอาจมาจากความต้องการผลสัมฤทธิ์ในงาน ต้องการความภูมิใจในตนเอง หรือแม้บางคนอาจต้องการเงินเป็นต้น อย่างไรก็ดีเราไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมของคนอื่นว่ามาจากสาเหตุใด แต่ว่าเราทราบ สิ่งที่ตัวเราเป็น ตัวเรากำลังจะทำอะไร การที่จะเป็นและการที่จะทำจะต้องมีพื้นฐานที่ชอบธรรม มีคุณธรรมกำกับ มีมโนธรรมสอนใจ ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนที่ดีมีสุข และมนุษย์ก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำมีสาเหตุมาจากอะไร
5. มนุษย์มีความต้องการ ความต้องการของมนุษย์จะเริ่มจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต และเมื่อความต้องการนั้นๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะมีความต้องการในลำดับที่สูงขึ้นตามลำดับ เช่น ต้องการความรัก ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ฯลฯ
6. มนุษย์มีความต้องการพัฒนาการชีวิต การพัฒนาการของมนุษย์จะพัฒนาการเป็นไป ตามช่วงวัย วัยต่างๆของมนุษย์ จะทำให้เห็นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ตามช่วงวัย ถ้าบุคคลที่มีการพัฒนาการปกติ พัฒนาการบุคลิกภาพก็จะเพิ่มขึ้น หรือพัฒนาตามอายุ หรือตามช่วงวัยเช่นเดียวกัน เช่น พัฒนาการบุคลิกภาพของวัยผู้ใหญ่ย่อมจะดีกว่าวัยรุ่น แต่อย่างไรก็ดีพัฒนาการที่เป็นไปตามลำดับขั้นก็จะสร้างเสริมบุคลิกภาพของบุคคลให้เป็นรอยประสบการณ์ของบุคคลด้วย
7. มนุษย์ต้องการการผักผ่อน การนอนหลับหรือแม้แต่การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจก็ เป็นการทำให้ชีวิตสดชื่นขึ้น ยามใดที่บุคคล ทำงานจนลืมนึกถึงตนเอง ยามนั้นความเหนื่อยความเมื่อยล้าทำให้ประสิทธิภาพของบุคคลลดน้อยถอยลง นั่นเป็นสิ่งที่เตือนว่า ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว
8. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ต้องการเพื่อน ต้องการกลุ่ม ต้องการสมาคม ไม่มีใครอยู่คนเดียวในโลก เราไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ เราทุกคนมีพ่อมีแม่ มีคนหลายคนเลี้ยงดูเรา มีหลายคนที่ดูแลอบรมให้การศึกษาเรา การมีเพื่อน การมีกลุ่มจะทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ยามทุกข์หรือสุข มีใครสักคนที่พร้อมจะฟังเราอยู่ข้างๆ เรา นี่แหละที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
9. มนุษย์ต้องการขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมี กรอบในการดำเนินชีวิต ตามกระแสของสังคม และประเทศชาติ และสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยในการปลูกฝังเจตคติ ค่านิยม แนวคิด การตัดสินใจ รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้บุคคลแตกต่างกันด้วย
10. มนุษย์มีความต้องการ การอยากรู้อยากเห็น การอยากเข้าใจในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ดังนั้นมนุษย์ต้องเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง และตอบคำถามความอยากรู้ การใคร่จะรู้ด้วยตนเอง และการอยากรู้อยากเห็น ในแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันด้วย
ในเรื่องการรับรู้เกี่ยวกับ ตนเองเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพนั้นยังมีแนวคิดอื่น ๆ อีก ที่ช่วยให้การ ศึกษาเรื่อง การพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลนั้นๆ แต่สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจร่วมกัน กล่าวคือความหมายของคำว่า บุคลิกภาพหมายถึงอะไร บุคลิกภาพ หมายถึง ทุก ๆ อย่าง ที่เป็นตัวเรา ทั้งที่ปรากฏและที่ซ่อนเร้น หรือในส่วนที่เป็นแนวคิด ค่านิยม ความเชื่อ คุณภาพทางจิต จิตแบบยึดติด หรือจิตแบบสารธารณะ คือจิตที่รู้จักให้ รู้จักอภัย รู้จักปล่อยวางและรู้จักที่จะเกื้อกูล ในสังคมมีคนหลากหลายมากมายท่านรู้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความต้องการอะไรเขาอาจจะต้องการเงิน ต้องการเกียรติ ต้องการอำนาจ หรือไม่ก็ขอให้ถูกรางวัลกับเขาสักงวด บางคนอาจขอแค่มีกินก็มีความสุขแล้ว บางคนอาจขอแค่ลูก ๆ เป็นคนดีเท่านี้ก็พอใจแล้ว หลากหลายคำตอบหลากหลายความคิดซึ่งทุกคนคิดได้ ฝันได้และหวังได้ ส่วนจะเป็นตามที่หลายคนฝัน หรือหลายคนหวังหรือไม่นั้น จะเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับแนวคิดของนักจิตวิทยา หลายท่านเชื่อว่า มนุษย์มีความต้องการ และได้อธิบายว่า มนุษย์มีความต้องการอะไร
ความต้องการของมนุษย์
แนวความคิดของมาสโลว์ ( Maslow ) เชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการที่จะบรรลุถึงขีดสูงสุดของศักยภาพ มาสโลว์ เรียกความต้องการนี้ว่า การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า “Self Actualization” คำนี้เป็นความต้องการสูงสุดของมนุษย์ ( สำหรับของ Roger มนุษย์ต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “fully functioning self”และ Frederick Solomon Perlsบอกว่ามนุษย์ต้องการที่จะรับรู้ตนเองอย่างมีประสิทธิภาพตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Self-awareness”) ความต้องการขั้นสูงสุดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความต้องการในขั้นแรก ๆ ได้รับการตอบสนอง ถ้าพูดกันถึงเรื่องความต้องการ มาสโลว์ แบ่งความต้องการของมนุษย์ ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ
ความต้องการลำดับที่ 1 ได้แก่ ความต้องการทางด้านสรีระ เป็นความต้องการพื้นฐานที่ใช้ในการดำรงชีวิต ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่นห่ม รวมไปถึงการพักผ่อน การรักษาสภาวะสมดุลภายในร่างกาย
ความต้องการลำดับที่ 2 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับความมั่นคง ความปลอดภัย สวัสดิการต่างๆ การคุ้มครองรวมไปถึงความช่วยเหลือจากผู้อื่น การรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง
ความต้องการลำดับที่ 3 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ การรวมกลุ่มเป็นสมาคม กลุ่มร่วมงาน การมีมิตรภาพที่ดีกับคนอื่นๆ
ความต้องการลำดับที่ 4 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียง การยกย่องนับถือและการยอมรับจากสังคม
ความต้องการลำดับที่ 5 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับ การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง การซื่อสัตย์ต่อตนเอง การประพฤติปฏิบัติ ในแนวทางที่เหมาะสม การกระทำสิ่งต่างๆ ตามความสามารถของตน
เมื่อใดที่บุคลิกภาพของคนได้รับการพัฒนาจนถึงขั้นที่ 5 หรือมีความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง บุคคลจะมีลักษณะบุคลิกภาพดังนี้ คือ สามารถรับรู้ความจริงได้อย่างถูกต้อง
ยอมรับตนเอง ผู้อื่น และความเป็นไปของโลก ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของตนเองได้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง มีความอดทนและอดกลั้นต่อสถานการณ์ต่างๆได้ มีความสันโดษและต้องการอยู่ลำพังอย่างเสรี มีอารมณ์ที่มั่นคง มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีกับบุคคลทั่วไป มีความเป็นประชาธิปไตย มีความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น มีความซาบซึ้งในคุณค่าของความดีงาม แต่การจะเกิดบุคลิกภาพที่พัฒนาดังกล่าวข้างตันได้บุคคลจะต้อง มีลำดับขั้นการพัฒนา ตั้งแต่ความต้องการทางร่างกาย ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงขั้นสุดท้ายบางท่านการก้าวกระโดด บางท่านอาจวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ในช่วงใดก็ได้ แต่ความต้องการลำดับแรก อันได้แก่ความต้องการทางร่างกาย จะมีอำนาจมากกว่าความต้องการทางสังคม และความต้องการทางสังคม ก็จะรุนแรงกว่าความต้องการความสำเร็จ ถ้าบุคคลยัง ไม่ได้รับการตอบสนองในความต้องการลำดับแรกๆ บุคคลก็จะไม่เกิดความต้องการ ที่จะเข้าใจ ตนเองอย่างแท้จริง
ในเรื่องทฤษฎีความต้องการนั้นยังมีแนวคิดของนักจิตวิทยาอีกท่าน ที่น่าสนใจคือ ทฤษฎีของเมอร์เรย์ นักจิตวิทยาท่านนี้เชื่อว่า ความต้องการของมนุษย์แบ่งออกเป็น สองประเภทคือ
ประเภทที่หนึ่ง ความต้องการขั้นปฐมภูมิ หรือความต้องการทางร่างกาย ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำ ความต้องการทางเพศ ความหิว ความกระหาย ความต้องการการพักผ่อน ความต้องการขับถ่าย
ประเภทที่สอง คือความต้องการขั้นทุติยภูมิหรือความต้องการทางจิตใจ ได้แก่ ความต้องการในขั้นนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ร่างกายไม่ได้รับ ความพึงพอใจ หรือขบวนการของอินทรีย์ไม่สมดุลกัน และมนุษย์จะพัฒนาบุคลิกภาพ เพื่อให้สนองความต้องการของตนเอง ออกมาโดยจะมีลักษณะดังนี้ คือ
· ความต้องการถ่อมตน เป็นบุคลิกภาพที่ยอมต่อบุคคลอื่น ยอมรับความเจ็บปวด ยอมรับคำตำหนิ ยอมแพ้ ยอมรับการถูกวิพากวิจารณ์เป็นผู้ยอมรับว่า ตนเองด้อย เป็นผู้ที่สามารถยอมรับสภาพและแก้ตัว ปรับตัวใหม่ได้
· ความต้องการผลสัมฤทธิ์ เป็นความต้องการที่จะทำสิ่งที่ยากๆ ท้าทาย ต้องการเป็นผู้นำ ชอบกระทำสิ่งต่างๆที่รวดเร็ว และชอบเป็นอิสระเท่าที่จะเป็นได้ ชอบเอาชนะ อุปสรรคและชอบตั้งความหวังไว้สูง รวมไปถึงชอบเอาชนะคนอื่น อยากให้คนอื่นเห็นคุณค่าของตนเองโดยการใช้ความสามารถทางสติปัญญา
· ความต้องการผูกไมตรีกับคนอื่น เป็นลักษณะของการชอบให้ความร่วมมือกับบุคคลอื่น และชอบตอบแทนบุญคุณใครดีกับเราเราก็จะลึกได้ มีลักษณะชอบทำให้คนอื่นรัก ชอบติดสอยห้อยตามไปไหนๆกับเพื่อนฝูง
· ความต้องการเชิงรุก เป็นความต้องการ ที่ถ้าใครมามีทีท่าว่า จะรุกรานเรา บุคคลก็จะแสดงให้เห็นว่า ไม่ยอมกล่าวโทษคนอื่น ทำโทษคนอื่น ไม่พูด ไม่สนใจไม่ไยดี ทำทุกอย่างให้รู้ว่าโกรธ
· ความต้องการเป็นอิสระ เป็นลักษณะของการหนีจากการถูกบังคับ การต่อต้านการใช้อำนาจ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้อำนาจ ชอบทำอะไรที่สบายๆ อิสระ ไม่ผูกมัด
· ความต้องการเอาชนะ เป็นพวกที่ต้องการเอาชนะความล้มเหลวโดยการหันหน้าเข้าต่อสู้ พยายามลบล้างความอับอาย โดยการกระทำพฤติกรรมซ้ำ ชอบเอาชนะความอ่อนแอโดยการเก็บความกลัวเอาไว้ พฤติกรรชอบเอาชนะเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างไม่ซื่อสัตย์ บางครั้งอาจชอบแสวงหาความยากลำบากและอุปสรรคเพื่อเอาชนะ ต้องการคงไว้ซึ่งความเคารพตนเองและภูมิใจในตนเอง
· ความต้องการป้องกันตัว เป็นการป้องกันตัวจากการถูกทำร้าย หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการแก้ตัวจากความเป็นจริง ความล้มเหลว การเสียเกียรติโดยการป้องกันตนเอง
· ความต้องการยกย่องผู้อื่น เป็นความนิยมชมชอบ สรรเสริญ ชื่นชมคนอื่นว่าดีแล้วเราก็ทำตามอย่างเขา เช่น มีเพื่อนใจเย็น พูดจาไพเราะเราก็ปรารถนาเป็นแบบเขา เพื่อต้องการให้คนอื่นยกย่องเราบ้าง
· ความต้องการแสดงออกเป็นความต้องการให้ผู้อื่นเห็น ได้ยินตนเอง ชอบตื่นเต้น ชอบคำชมเชย ทำทุกอย่างให้คนพอใจพฤติกรรมตนเอง แสดงให้คนอื่นเห็น
· ความต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่น เป็นลักษณะการชอบควบคุมมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ชอบมีอิทธิพลเหนือคนอื่น มักใช้คำสั่งหรือบังคับ มักเป็นบุคคลที่พยายามเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่นไม่ได้ด้วยเลห์ก็เอาด้วยกล พยายามทุกวิถีทางที่ให้คนฟังตน จนทำร้ายคนอื่นก็ไม่สนใจ ทำร้ายทางตรงไม่ได้ ก็ทำร้ายผู้อื่นทางอ้อม เดินนินทาคนโน้น คนนี้ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ดี ใครอยู่ด้วยปวดหัว
· ความต้องการหลีกเลี่ยงอันตราย เป็นความต้องการที่มนุษย์ไม่ต้องการให้ตนเองเจ็บตัว ความเจ็บป่วย ความตาย หรือแม้แต่อันตรายต่างๆ
· ความต้องการหลีกเลี่ยงความอับอาย เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียชื่อเสียง หลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ทำให้ตนเองรู้สึกตกต่ำ
· ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นความต้องการเห็นใจทำให้คน พึงพอใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ ช่วยคนอื่นที่อ่อนแอกว่า ช่วยคนอื่นที่อ่อนประสบการณ์และช่วยคนอื่นที่ไม่มีเกียรติเท่าเราและเราปรารถนาที่จะช่วยเขาจริงๆ และช่วยอย่างจริงใจ
สิ่งที่มนุษย์ต้องการตามแนวคิดของนักจิตวิทยา คืออะไร ความต้องการเหล่านั้นได้รับการตอบสนองแล้วหรือยัง ถ้าเราใช้แรงปรารถนาของตนเองแล้วผักดันความต้องการของตนเอง สร้างสรรค์ความต้องการนั้นๆให้เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ เมื่อนั้นเราจะพบว่า ชีวิตในช่วงหนึ่งของเรามีคุณค่าทีเดียว จงหาความต้องการของตนเองให้ได้ จงรู้จักตนเองให้ดี ใครจะมารู้จักตัวเราดีเท่าตัวเราเองไม่มีอีกแล้ว และเมื่อเราเข้าใจความต้องการและความปรารถนาของตนเองเราก็จะพัฒนาบุคลิกภาพตามทิศทางที่เราต้องการได้ สำหรับเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ศึกษาควรเข้าใจเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่ององค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพ ทางสมบูรณ์นั้น มีลักษณะอย่างไร ดังจะอธิบายดังต่อไปนี้
การวิเคราะห์ตนเอง
การวิเคราะห์ตนเองมีหลักการ 4 ประการคือ การที่บุคคลจะต้องรู้จักตนเอง รู้จักความต้องการของตนเอง รู้จักที่จะยอมรับตนเอง และพัฒนาตนเองไปให้เต็มศักยภาพของตน ทั้งสี่ประการจะทำให้บุคคลสามารถวิเคราะห์ตนเองได้และเมื่อเราสามารถวิเคราะห์ตัวเราได้เราก็สามารถพัฒนาตนไปตามทิศทางที่เราต้องการ ซึ่งในแง่ของการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อช่วยให้การวิเคราะห์ตนสมบูรณ์เราควรสนใจศึกษาเรื่ององค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพทางกายสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาตนในที่สุด
องค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพทางกายสมบูรณ์ ได้แก่เรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยสรุปคือ สถิต วงศ์สวรรค์. ( 2540 : 185-187 )
1. สุขภาพกาย เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน จะว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด สำหรับ บุคลิกภาพทางกายที่สมบูรณ์ ก็คงไม่ผิดนัก เพื่อให้มองเห็นความสำคัญของบุคลิกภาพว่าทำให้บุคลิกภาพทางกายดีขึ้นอย่างไร จะแยกกล่าวไว้สามประการดังนี้
1.1 คนมีสุขภาพดีย่อมมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ สามารถทำงานได้คล่องแคล่วว่องไว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ทางสังคมได้อย่างสะดวก เป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นๆ โดยทั่วไปเข้ากับคนได้ง่าย มีมนุษยสัมพันธ์ดี พูดเก่งคุยสนุก เพราะมีสุขภาพดีนั่นเอง
1.2 สุขภาพที่ดีย่อมทำให้ดูมีน้ำมีนวล หน้าตาแจ่มใส มีกิริยาท่าทางรื่นเริงและเป็นสุขมี
ผลทำให้จิตใจดีด้วย จึงเป็นคนน่าคบหาสมาคมด้วย นับว่าเป็นบุคลิกภาพที่ดึงดูดความสนใจคนอื่นๆได้มาก
1.3 คนที่มีสุขภาพดีย่อมปราศจากโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจ สุขภาพที่ดียังทำให้
ส่วนอื่นของร่างกายสง่างามไปด้วยเช่น ผิวพรรณ ผม เล็บย่อมมีลักษณะงาม สัดส่วนของร่างกายสมบูรณ์เป็นที่ชื่นชมแก่ผู้พบเห็น บุคคลที่ปราศจากโรคเป็นคนที่มีลาภอันประเสริฐ ( อโรคยา ปรมา ลาภา ) สุขภาพของบุคคลขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1.3.1 การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จะช่วยส่งเสริมความเจริญเติบโตของคนต้อง
รับประทานให้ได้สัดส่วนและครบ 5 หมู่ อาหารดีมีประโยชน์ไม่จำเป็นต้องรสดี ราคาแพงแต่เน้นที่ธาตุอาหาร ให้ผลดีแก่สุขภาพต้องสร้างนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหาร รับประทานเป็นเวลา ไม่รับประทานจุบจิบไม่เลือกเวลา รับประทานไม่มากหรือน้อยเกินไปไม่ตามใจปากตามใจท้อง ไม่ใช่ว่าชอบอะไรก็รับประทานแต่อย่างนั้น คนที่ชอบรับประทานขนมหวานมากๆจะทำให้อ้วน บางคนไม่ชอบผักก็ไม่แตะต้องเลย ทำให้ขาดธาตุอาหารเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ
1.3.2 การออกกำลัง จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตด้วยดี มีสุขภาพสมบูรณ์ อวัยวะส่วนใดไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆจะไม่เจริญเติบโตและแข็งแรงเท่าที่ควร แขนขา ถ้าไม่ได้ใช้นานๆ จะไม่เจริญเติบโตและแข็งแรงเท่าที่ควร แขนขาถ้าไม่ใช้งานนานๆก็จะลีบเล็กลง เดินไม่ได้ จึงควรออกกำลังสม่ำเสมอ ด้วยการเล่นกีฬา หรือการทำงาน กายบริหาร วิ่ง เป็นต้น แต่ต้องไม่มากนักและไม่หยุดไปนานๆ
1.3.3 การพักผ่อน ที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ วัยรุ่นควรนอนวันละ 8 ชั่วโมง บางคนอาจมากน้อยกว่านี้ นอนเท่าไรจึงเพียงพอก็สังเกตได้ง่ายๆ ถ้าไม่ง่วงในเวลากลางวันเป็นใช้ได้ ถ้าง่วงอ่อนเพลียแสดงว่านอนพักผ่อนไม่พอ การพักผ่อนที่ดียังมีวิธีต่างๆอีกหลายวิธี เช่นดูมหรสพ หรือ ดูการแสดงต่างๆ ฟังหรือแสดงดนตรี ร้องเพลง ทำให้เกิดอารมณ์ชื่นบาน การอ่านหนังสือ ทำงานอดิเรกทำให้เกิดความสุข ความสบายใจได้มาก แต่คนที่ใช้เวลาพักผ่อนมากเกินไปจัดว่าเป็นคนไม่เสียดายเวลาสำหรับทำประโยชน์
1.3.4 ขนาดของร่างกาย คนที่อ้วนหรือผอมเกินไปควรปรึกษาแพทย์ ส่วนเตี้ยหรือสูงนั้น การบริหารร่างกายช่วยได้บ้างแต่ก็น้อยเต็มที
1.3.5 ทรวดทรงและสัดส่วนของร่างกาย ผู้ชายชอบสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ล่ำสัน มีกล้ามเนื้องาม การเพาะกายช่วยได้ง่าย ผู้หญิงนิยมคนรูปร่างสมส่วนเพรียว ไม่อ้วน การบริหารร่างกาย การรักษาอนามัยจะช่วยให้มีเอกลักษณ์ของเอกบุรุษและสตรีได้
1.3.6 การทรงตัวและอิริยาบถ มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพทางกายอยู่มาก ลักษณะการนั่ง นอน เดิน การเคลื่อนไหวของร่างกายในตัวคน บางคนก็น่าดู บางคนก็เก้งก้างน่ารำคาญบางคนนั่งงอตัว เดินก้มหน้า ต้องรีบแก้ไขฝึกหัดใหม่ในลักษณะที่ส่งเสริมให้บุคลิกภาพดี
1.3.7 คุณภาพของผิวและส่วนอื่นๆของร่างกาย คนไทยนิยมผิวขาว ละเอียดอ่อนปราศจากผดผื่น ตำหนิ ผม เล็บ ฟัน ควรรักษาให้ดี
1.3.8 ความสะอาด เป็นสิ่งที่ส่งเสริมบุคลิกภาพและสุขภาพอย่างมาก ควรรักษาและทำความสะอาดร่างกายอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดโรคและทำให้ตนมีคุณค่าสูงขึ้น จะต้องรักษาความสะอาดของร่างกาย เครื่องแต่งตัว อาหาร เคหสถาน
2. สุขภาพจิต สำหรับเรื่องสุขภาพจิตที่สมบูรณ์นั้น ย่อมจะส่งเสริมสุขภาพของร่างกายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและทำนองเดียวกัน สุขภาพของร่างกายก็ส่งเสริมให้บุคคลมีสุขภาพจิตดีขึ้นตามลำดับ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต จะเป็นตัวส่งเสริมซึ่งกันและกัน ที่ทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ บุคคลจึงควรแสวงหาวิธีการที่จะทำให้จิตที่ดีเกิดขึ้นได้จาก ความพึงพอใจในตนเอง การมีอารมณ์สดชื่นหรือชื่นบาน ความสดชื่นแจ่มใส ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ประพฤติผิดทั้งต่อกฎของสังคมและหลักศาสนา มีความเมตตา กรุณา สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม และไม่เป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย จนเกินไปไม่เห็นคนอื่นเป็นศัตรูกับตน บุคคลในลักษณะดังกล่าวย่อมจะไม่เสียสุขภาพจิต หรือมีบุคลิกภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจนั่นเอง
ธรรมชาติของมนุษย์
ธรรมชาติของมนุษย์
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของกลุ่มจิตวิทยาเกสตอล เช่น Frederick Solomon Perls ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา “กลุ่มจิตวิทยา
เกสตอล” อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี 8 ประการคือ
1. มนุษย์เป็นส่วนเต็มที่ประกอบขึ้นด้วยส่วนต่างๆ ที่ทำงานประสานกัน คือ ร่างกายความคิดความรู้สึกการรับรู้ ซึ่งส่วนต่างๆเหล่านี้ จะเข้าใจในแต่ละส่วนเฉพาะไม่ได้ ตั้งเข้าใจในลักษณะของเต็มส่วนทั้งตัวบุคคล
2. มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมจะเข้าใจบุคคลได้โดยปราศจากการเข้าใจสภาพแวดล้อมของเขาไม่ได้
3. มนุษย์เป็นผู้เลือกว่าเขาจะตอบสนองกับสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัวเขาอย่างไร มนุษย์เป็นผู้แสดงพฤติกรรม
4. มนุษย์มีศักยภาพที่จะรับรู้ สัมผัสในตัวเองได้เกี่ยวกับความคิดความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง
5. มนุษย์สามารถตัดสินใจได้ เพราะเขาเกิดการรับรู้
6. มนุษย์สามารถรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. มนุษย์ไม่สามารถนำตนเองกลับไปสู่อดีตหรืออนาคตได้ เขาสามารถรับรู้เหตุการณ์ต่างๆได้ในสภาวะปัจจุบันเท่านั้น
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มจิตวิทยาจิตวิเคราะห์” กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Sigmund Freud ซึ่งเป็นนักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี คือ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณ ( instinctual drives ) แรงขับดังกล่าวเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่ได้ สัญชาตญาณพื้นฐานคือ สัญชาตญาณแห่งชีวิตและสัญชาตญาณแห่งความตาย พฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ ของมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจที่เป็นไปตามธรรมชาติ พฤติกรรมบางอย่างที่บุคคลแสดงไปโดยไม่รู้สึกตัวเป็นเพราะพลังจากจิตไร้สำนึกกระตุ้นให้บุคคลแสดงออกไปตาม หลักความพึงพอใจของตนอาการป่วยของบุคคลจึงเกิดขึ้นในระดับจิตไร้สำนึก( unconscious ) ทำให้มนุษย์ใช้กลไกในการป้องกันตัวเอง ( defense mechanism )
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มพฤติกรรมนิยม”กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Pavlov และ B.F. skinner ธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาไม่ทั้งดีและเลวมนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมทั้งที่ปกติและผิดปกติเป็น ผลมาจากการเรียนรุ้ซึ่งการเรียนรู้นี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมภายใต้เงื่อนไขต่างๆและ การเรียนรู้เก่าสามารถทำให้หมดไป และสามารถสร้างระบบการเรียนรู้ใหม่ขึ้นได้ มนุษย์มีความสามารถที่จะควบคุมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองแม้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล ในเรื่องนี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ ( 2541 : 40-42 ) อธิบายว่าธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล พอสรุปได้ดังนี้คือ
1. มนุษย์มีธรรมชาติของความเป็นผู้มีเหตุผลและการใช้อารมณ์ บุคคลที่ถูกมองว่า
เป็นผู้มีเหตุผลเหมือนคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิต คนเป็นผู้มีระบบในการรวบรวมข่าวสารตามที่ต้องการ สามารถวิเคราะห์งานได้ละเอียดและระมัดระวังสามารถชั่งน้ำหนักและประเมินสถานการณ์และรวมถึง ความมีเหตุผลในการใช้ความคิด เอ็ดเวิร์ด ( Edward . 1954 , ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ . 2541: 41 ) นักจิตวิทยาได้ให้สมญานามมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลในกระบวนการของข่าวสารใน แนวคิดที่ตรงข้ามมนุษย์เป็นผู้ใช้อารมณ์หรือมนุษย์เป็นผู้ใช้อารมณ์หลากหลายบางคนก็ควบคุมตนเองไม่ได้และขาดสติ ตัวอย่างเช่น งานของ Freud ได้ชี้ให้เห็นจิตไร้สำนึกของบุคคลเต็มไปด้วยความคับข้องใจซึ่งมีผลมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กคือ มีการคิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหมือนกับพ่อกับลูก
2. มนุษย์มีธรรมชาติในลักษณะพฤติกรรมนิยมกับปรากฏการณ์นิยม นักจิตวิทยา กลุ่มพฤติกรรมนิยม อธิบายว่าการมองบุคคลในการแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆและเชื่อว่าพฤติกรรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าถูกวางเงื่อนไขให้กระทำได้ วัตสัน ( Watson. 1930, อ้างอิงจากปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) ได้อธิบายว่า “ให้เด็กทารกที่มีสุขภาพสมบูรณ์สักกลุ่มหนึ่ง ฉันสามารถอบรมเลี้ยงดูให้เด็กเป็นไปตามที่ฉันต้องการได้ ตั้งแต่เป็นนายแพทย์ จิตกร แม้แต่ขอทานและโจร โดยดูจากความสามารถ ความถนัดในอาชีพตลอดจนเชื้อชาติของบรรพบุรุษ” และ สกินเนอร์ ( Skiners. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) อธิบายว่า “พฤติกรรมของมนุษย์สามารถปรับได้ แต่ก็มีนักจิตวิทยาบางท่านที่อาจเห็นว่า บุคคลมีความสามารถตามระดับสติปัญญาของเขาเอง เราไม่สามารถทำนายได้ว่าเขาเป็นอย่างไร เขาอยู่ในโลกของเขา เขามีความเป็นตัวของเขาเอง บุคคลแต่ละคนมีบุคลิกภาพเฉพาะตัว การศึกษาเกี่ยวกับคนต้องศึกษาทุกๆ ด้าน บุคคลเป็นผู้มีสมรรถภาพมากกว่าที่เรารู้จัก
3. มนุษย์มีธรรมชาติที่จะคำนึงเศรษฐกิจและการรู้จักตนเอง ในหัวข้อนี้อธิบายว่า
มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและใช้เหตุผล การคำนึงถึงสิ่งที่จะสร้างความพึงพอใจของตนเองในการลงทุนและลงแรงน้อยที่สุด ความพึงพอใจไม่ได้หมายถึงความภูมิใจในงานเท่านั้น หากแต่เป็นความรู้สึกถึง ความสามารถกระทำสิ่งใดๆได้สำเร็จและบางคนอาจหมายถึงเงินหรือเศรษฐกิจนั่นเอง การที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองได้มนุษย์ก็ต้องศึกษาเรื่องของตนเองอย่างละเอียด ว่าตนเองต้องการอะไร มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ตนเองสามารถพัฒนา พฤติกรรมที่เรากระทำอยู่นี้เป็นเหตุเป็นผลเรื่องใด แต่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากเรื่องเศรษฐกิจนั่นเอง
ธรรมชาติของมนุษย์
แนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แนวคิดในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ผู้เขียนขอสรุปแนวคิด
เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ไว้ดังนี้ คือ
1. มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี แนวความคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์มีความดีงามติดตัวมาตั้งแต่เกิด
และมนุษย์มีความสามารถที่จะพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพเท่าที่ตนเองต้องการ การเคารพและให้เกียรติกันจึงเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
2. มนุษย์มีความแตกต่างกัน แตกต่างในเรื่องพันธุกรรม ในเรื่องสิ่งแวดล้อม แตกต่าง
กันในเรื่องการอบรมเลี้ยงดู รวมไปถึงวัฒนธรรมที่ตนเองอยู่ เราไม่เหมือนคนอื่นและคนอื่นก็ไม่เหมือนกับเรา เราก็มีความรู้ความสามารถ ความถนัดอย่างหนึ่ง คนอื่นก็มีความรู้ความสามารถอีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างมีความรู้ความสามารถที่แตกต่างกันจะให้เขาเหมือนเราและจะให้เราเหมือนเขาคงเป็นไปไม่ได้ หรือในเรื่องเพศต่างกันการกระทำ ความคิด ความสนใจ เจตคติก็แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อรู้ว่ามนุษย์มีความแตกต่างกันเราก็ยอมรับธรรมชาติของแต่ละคน ไม่เอาเขามาเปรียบกับเรา ไม่เอาตัวเราไปตั้งเกณฑ์ประเมินค่าตามคนอื่น อยู่แบบเขาเป็นเขาและเราก็เป็นเรา เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันชีวิตก็มีค่า ชีวิตก็มีความสุข
3. มนุษย์มีแรงจูงใจในทางที่ดี ที่สูงขึ้นมนุษย์ต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ายิ่ง
ขึ้น มนุษย์มีแรงจูงใจจะทำให้มนุษย์กระทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
4. พฤติกรรมของมนุษย์ทุกอย่างต้องมีสาเหตุ มีที่มามีที่ไปบุคคลจะไม่กระทำสิ่งใด ๆ
แบบไร้สติ ไร้ความนึกคิด แต่การกระทำของบุคคลมีเหตุผลแห่งการกระทำโดยทั้งสิ้น เช่น คนที่ขยันทำงานอาจมาจากความต้องการผลสัมฤทธิ์ในงาน ต้องการความภูมิใจในตนเอง หรือแม้บางคนอาจต้องการเงินเป็นต้น อย่างไรก็ดีเราไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมของคนอื่นว่ามาจากสาเหตุใด แต่ว่าเราทราบสิ่งที่ตัวเราเป็น ตัวเรากำลังจะทำอะไร การที่จะเป็นและการที่จะทำจะต้องมีพื้นฐานที่ชอบธรรม มีคุณธรรมกำกับ มีมโนธรรมสอนใจซึ่งจะทำให้เราเป็นคนที่ดีมีสุข และมนุษย์ก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำมีสาเหตุมาจากอะไร
5. มนุษย์มีความต้องการ ความต้องการของมนุษย์จะเริ่มจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานในการ
ดำรงชีวิตและเมื่อความต้องการนั้นๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะมีความต้องการในลำดับที่สูงขึ้นตามลำดับ เช่น ต้องการความรัก ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ฯลฯ
6. มนุษย์มีความต้องการพัฒนาการชีวิต การพัฒนาการของมนุษย์จะพัฒนาการเป็นไป
ตามช่วงวัย วัยต่างๆของมนุษย์จะทำให้เห็นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ตามช่วงวัย ถ้าบุคคลที่มีการพัฒนาการปกติ พัฒนาการบุคลิกภาพก็จะเพิ่มขึ้น หรือพัฒนาตามอายุ หรือตามช่วงวัยเช่นเดียวกัน เช่น พัฒนาการบุคลิกภาพของวัยผู้ใหญ่ย่อมจะดีกว่าวัยรุ่น แต่อย่างไรก็ดีพัฒนาการที่เป็นไปตามลำดับขั้นก็จะสร้างเสริมบุคลิกภาพของบุคคลให้เป็นรอยประสบการณ์ของบุคคลด้วย
7. มนุษย์ต้องการการผักผ่อน การนอนหลับหรือแม้แต่การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจก็
เป็นการทำให้ชีวิตสดชื่นขึ้น ยามใดที่บุคคลทำงานจนลืมนึกถึงตนเอง ยามนั้นความเหนื่อยความเมื่อยล้าทำให้ประสิทธิภาพของบุคคลลดน้อยถอยลง นั่นเป็นสิ่งที่เตือนว่าถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว
8. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ต้องการเพื่อน ต้องการกลุ่ม ต้องการสมาคม ไม่มีใคร
อยู่คนเดียวในโลก เราไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ เราทุกคนมีพ่อมีแม่ มีคนหลายคนเลี้ยงดูเรา มีหลายคนที่ดูแลอบรมให้การศึกษาเรา การมีเพื่อน การมีกลุ่มจะทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ยามทุกข์หรือสุข มีใครสักคนที่พร้อมจะฟังเราอยู่ข้างๆ เรา นี่แหละที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
9. มนุษย์ต้องการขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมี
กรอบในการดำเนินชีวิตตามกระแสของสังคมและประเทศชาติ และสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยในการปลูกฝังเจตคติ ค่านิยม แนวคิด การตัดสินใจ รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้บุคคลแตกต่างกันด้วย
10. มนุษย์มีความต้องการ การอยากรู้อยากเห็น การอยากเข้าใจในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ดัง
นั้นมนุษย์ต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง และตอบคำถามความอยากรู้ การใคร่จะรู้ด้วยตนเอง และการอยากรู้อยากเห็น ในแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันด้วย
ในเรื่องการรับรู้เกี่ยวกับตนเองเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพนั้นยังมีแนวคิดอื่น ๆ อีก ที่ช่วยให้การ
ศึกษาเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลนั้นๆ แต่สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจร่วมกัน กล่าวคือความหมายของคำว่า บุคลิกภาพหมายถึงอะไร บุคลิกภาพ หมายถึง ทุก ๆ อย่างที่เป็นตัวเราทั้งที่ปรากฏและที่ซ่อนเร้น หรือในส่วนที่เป็นแนวคิด ค่านิยม ความเชื่อ คุณภาพทางจิต จิตแบบยึดติด หรือจิตแบบสารธารณะ คือจิตที่รู้จักให้ รู้จักอภัย รู้จักปล่อยวางและรู้จักที่จะเกื้อกูล ในสังคมมีคนหลากหลายมากมายท่านรู้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความต้องการอะไรเขาอาจจะต้องการเงิน ต้องการเกียรติ ต้องการอำนาจ หรือไม่ก็ขอให้ถูกรางวัลกับเขาสักงวด บางคนอาจขอแค่มีกินก็มีความสุขแล้ว บางคนอาจขอแค่ลูก ๆ เป็นคนดีเท่านี้ก็พอใจแล้ว หลากหลายคำตอบหลากหลายความคิดซึ่งทุกคนคิดได้ ฝันได้และหวังได้ ส่วนจะเป็นตามที่หลายคนฝันหรือหลายคนหวังหรือไม่นั้น จะเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับแนวคิดของนักจิตวิทยาหลายท่านเชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการ และได้อธิบายว่า มนุษย์มีความต้องการอะไร
พัฒนาการของมนุษย์ Development Theories
พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรือการเจริญงอกงาม ทั้งในโครงสร้าง (Structure) และแบบแผน (Pattern) ของอินทรีย์ทุกส่วน มนุษย์ทุกคนต้องผ่านขั้นตอนของพัฒนาการตลอดชีวิต ดังนั้นเรื่องพัฒนาการจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นักจิตวิทยาให้ความสนใจศึกษา
องค์ประกอบที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์ คือ
1. พันธุกรรม (Heredity)
2. วุฒิภาวะ (Maturation)
3. การเรียนรู้ (Learning)
4. สิ่งแวดล้อม (Environment)
1. พันธุกรรม คือ ลักษณะต่าง ๆ ทั้งทางกายและทางพฤติกรรมที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน การถ่ายทอดนี้ผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่ ลักษณะต่าง ๆ จากพ่อและแม่จะถ่ายทอดไปสู่ลูกโดยทางเซลล์สืบพันธุ์นี้ ซึ่งเรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) สำหรับมนุษย์จะมีโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 ตัวมีอยู่คู่หนึ่งที่ทำหน้าที่กำหนดเพศหญิงหรือเพศชาย
อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อมนุษย์คือ เป็นตัวกำหนดเพศ รูปร่าง ชนิดของโลหิต สีผม ผิว ตา และระดับสติปัญญาเป็นต้น นักจิตวิทยาหลายคน เช่น แอนนาตาซี (Anastasi) ได้กล่าวว่าพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยีน (Gene) ที่แตกต่างจะเป็นตัวกำหนดให้แต่ละบุคคลมีพัฒนาการที่แตกต่างกันส่วนใหญ่แล้วพันธุกรรมจะมีผลต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายมากที่สุด
2. วุฒิภาวะ เป็นกระบวนการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของบุคคลโดยไม่ต้องอาศัยการฝึกหัดหรือประสบการณ์ใด ๆ เช่น การยืน การเดิน การวิ่ง การเปล่งเสียง ซึ่งเป็นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นไปตามปกติเมื่อถึงวัยที่สามารถจะกระทำได้
3. การเรียนรู้ เป็นพัฒนาการที่เกิดจากประสบการณ์และการฝึกหัด หรือความสามารถทางทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกหัดเป็นพื้นฐานสำคัญ ดังนั้นนักจิตวิทยาที่สนใจเรื่องการเรียนรู้ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องความพร้อม (Readiness) ว่าเป็นสิ่งสนับสนุนในเรื่องการเรียนรู้เป็นอย่างมาก จากการศึกษาเรื่องความพร้อมนักจิตวิทยาได้บ่งแนวความคิดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
3.1 ความพร้อมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (Natural Readiness Approach) กลุ่มนี้มีความเห็นว่า ความพร้อมของบุคคลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อถึงวัยหรือเมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสมที่จะทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ดังนั้นในกลุ่มนี้จึงเห็นว่าการทำอะไรก็ตามไม่ควรจะเป็น "การเร่ง" เพราะการเร่งจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้ามอาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ความท้อถอย และความเบื่อหน่าย เป็นต้น
3.2 ความพร้อมเกิดจากการกระตุ้น (Guided Experience Approach) กลุ่มนี้มีความเห็นตรงข้ามกับกลุ่มแรก คือ เห็นว่า ความพร้อมนั้นสามารถเร่งให้เกิดขึ้นได้ โดยการกระตุ้น การแนะนำ การจัดประสบการณ์อันจะก่อให้เกิดเป็นความพร้อม ได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็ก ซึ่งจะเป็นวัยที่มีช่วงวิกฤติ (Critical Period) ของการเรียนรู้และการปรับตัว เป็นอย่างมาก
4. สิ่งแวดล้อม ได้แก่ สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้น ๆ ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต นอกจากนั้นสิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เช่น ระบบครอบครัว ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม เป็นต้น
การแบ่งพัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ ๆ คือ
1. พัฒนาการทางกาย เป็นการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ตามขั้นตอนในแต่ละวัย
2. พัฒนาการทางด้านความคิดหรือสติปัญญา (Cognitive Development) ของเพียเจท์
3. พัฒนาการทางด้านจิตใจ ซึ่งแบ่งย่อยเป็น
3.1 พัฒนาการทางด้านจิตใจ - เพศ (Psychosexual Development) ของฟรอยด์ (Freud)
3.2 พัฒนาการทางด้านจิตใจ - สังคม (Psychosocial Development) ของอีริคสัน (Erikson)
4. พัฒนาการทางด้านจริยธรรม (Moral Devlopment) ของโคลเบิร์ก (Kohlberg)
พัฒนาการด้านต่างๆ ในแต่ละช่วงวัย
พัฒนาการด้านต่างๆ ในแต่ละช่วงวัยของมนุษย์นั้นโดยทั่วไปมี 5 ช่วงคือ วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยชราดังจะอธิบายเรื่องแรกคือกระบวนการพัฒนาการภายในครรภ์เพื่อนักศึกษาจะได้เข้าใจในพัฒนาการขั้นต่อๆ ไป
กระบวนการพัฒนาการภายในครรภ์
ระยะไข่ ( Ovum )
ไข่ที่มีการปฎิสนธิเป็นขั้นแรกเรียกว่า Fertilized ovum โดยมีมดลูก ( Uterus )เป็นอวัยวะที่อยู่ด้านหลังของกระเพาะปัสสาวะ มดลูกติดต่อกับท่อนำไข่ เมื่อถึงวัยสาว ไอโอไซด์ระยะแรกหนึ่งเซลล์จะเริ่มเกิด เปลี่ยนแปลง โดยการแบ่งเซลล์แบบ ไมโอซิส ครั้งที่ 1 กลายเป็น ไอโอไซด์ระยะที่ 2 ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและค่อย ๆ เคลื่อนมาที่ผิวของรังไข่ในระยะนี้ฟอลลิเคิลจะสร้างฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น เมื่อเซลล์ไข่ในฟอลลิเคิลเจริญเต็มที่แล้ว ผนังฟอลลิเคิล จะแตกออก ทำให้เซลล์ไข่หลุดออกมา และเซลล์ไข่ที่ตกออกมาจากรังไข่จะเข้าไปในปีกมดลูก เซลล์ไข่ที่ตกออกมาจากรังไข่นี้ยังเป็น ไอโอไซด์ระยะที่ 2 อยู่ ส่วนเซลล์ที่เป็นฟอลลิเคิลก็จะกลายเป็นเนื้อเยื้อสีเหลืองเรียกว่า คอร์ปัสสูเทียม (Corpus Iuteum) เมื่อเซลล์ไข่นี้ได้รับการผสมกับอสุจิที่ท่อนำไข่ ก็จะได้ไซโกด (Zygote) ซึ่งจะพัฒนาเป็น เอ็มบริโอ (embryo) ต่อไปเอ็นบริโอ จะเคลื่อนที่มาฝังอยู่กับผนังของมดลูก ( Uterine wall ) ในขณะเดียวกัน คอร์ปัสลูเทียมจะสร้างฮอร์โมน ซี่งจะทำงานร่วมกับฮอร์โมน จากฟอลลิเคิล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังมดลูก ด้านใน หรือ เอนโดมีเทรียมให้หนาขึ้น และมีเส้นฝอยมากขึ้น ถ้าหากเซลล์ไข่ไม่ถูกผสมคอร์ปัสลูเทียมจะสลายตัวภายในเวลาสองสัปดาห์ และหยุดสร้างฮอร์โมนทำให้เกิดสลายตัวของ เนื้อเยื่อเอนโดมีเทรียม ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วขับออกมาจากมดลูกเป็นผลให้มีรอบประจำเดือนใหม่
ระยะตัวอ่อน ( Embryo )
ระยะ 2 สัปดาห์แรก เราเรียก Zygote ว่า Ovum เป็นระยะที่เซลล์มีการแบ่งตัวไปในลักษณะเดียวกันหมด และแบ่งทุกทิศทุกทาง ไม่ได้มีการแบ่งเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง ดังแสดงในรูป 3.2
ถัดจากระยะ Ovum ก็มาถึงระยะ Embryo ระยะนี้จะเกิดเวลา 6 สัปดาห์ และสิ้นสุดเมื่ออายุได้ 2 เดือน ระยะนี้เซลล์เริ่มแบ่งแยก (differentiate) และแจกแจงหน้าที่ไปตามตำแหน่งที่เซลล์ นั้นอยู่ และการเปลี่ยนแปลงของสารชีวเคมีในตัวเซลล์เอง ทำให้เซลล์พร้อมที่จะรับหน้าที่เจริญเติบโตออกไปเป็นอวัยวะต่าง ๆ ทั่วตัวเรา การแบ่งแยกนี้จะแบ่งเนื้อเยื่อออกเป็น 3 ชั้น คือ
เซลล์ นั้นอยู่ และการเปลี่ยนแปลงของสารชีวเคมีในตัวเซลล์เอง ทำให้เซลล์พร้อมที่จะรับหน้าที่เจริญเติบโตออกไปเป็นอวัยวะต่าง ๆ ทั่วตัวเรา การแบ่งแยกนี้จะแบ่งเนื้อเยื่อออกเป็น 3 ชั้น คือ
1. ชั้นในสุด (Endoderm) ชั้นนี้จะเจริญเติบโตต่อไปเป็นอวัยวะย่อยอาหาร คือ กระเพาะ ลำไส ปอด หัวใจ เป็นต้น
2. ชั้นกลาง (Mesoderm) ชั้นนี้จะเจริญเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก เลือด เส้นเลือด
3. ชั้นนอกสุด (Ectoderm) ชั้นนี้จะเจริญเป็นผิวหนัง อวัยวะรับสัมผัส (sense organ) และระบบประสาท
ทารกย่างเข้าสู่เดือนที่ 3 ถึงคลอด เราเรียกระยะนี้ว่า Fetus ทารกในครรภ์จะเจริญขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นเวลาประมาณ 9 เดือนหรือ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน จึงจะคลอดออกจากครรภ์มารดามาสู่โลกภายนอก
ระยะ Embryo นี้มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก จึงเรียกรระยะนี้ว่า เป็นระยะวิกฤติ (Criitical perod) ในระยะนี้ถ้ามารดาของเด็กเกิดเป็นโรคขึ้นในขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์จะมีผลต่อทารกอย่างมาก และก่อให้เกิดอันตรายแก่มารดา หรือสร้างความพิกลพิการในรูปต่างๆ ให้แก่ทารก ทำให้การเจริญเติบโตและพัฒนาการต้องหยุดชะงักหรือไม่สมบูรณ์ เมื่อเด็กคลอดออกมาอาจเสียชีวิต หรือเป็นเด็กปัญญาอ่อน หรือรร่างกายไม่สมประกอบดังนั้น มารดาจะต้องระมัดระวังไม่ให้ป่วยไข้ด้วย โรคต่างๆ เพราะจะกระทบกระเทือนถึงทารกในครรภ์ด้วย เช่น ถ้ามารดาเป็นโรคหัวใจพิการหรือมีอาการหูหนวกได้
ระยะฟิตุส (Fetus) มีอายุประมาณ 2 เดือน หลังจากการผสมของไข่ไปจนคลอดในช่วงนี้จะพัฒนาในส่วนที่เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับส่วน ของร่างกาย เป็นระยะที่เพิ่มความยาวให้กับลำตัว
ระยะทารก
นีโอเนท (NEONATEO) ชีวิตในระยะเดือนแรกหลังจากคลอดออกมานั้น เราให้ชื่อว่าระยะ นีโอเนท
ตามปกติเรามักจะจัดลำดับพัฒนาการของมนุษย์ตามวัย ตั้งแต่ระยะหลังเกิด ช่วงชีวิตของมนุษย์อาจแบ่งได้เป็น 5 ระยะใหญ่ ๆ คือ วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา โดยถือว่าแต่ละวัยเหล่านี้ มีลักษณะพัฒนาการเฉพาะวัยแตกต่างจากวัยอื่น ๆ
วัยทารก วัยเด็ก
วัยทารก (Infancy)
วัยทารกเริ่มตั้งแต่เกิด - 2 ปี เด็กวัยนี้จะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วทางด้านร่างกาย ในปีแรกพัฒนาการทางร่างกายจะเพิ่มเป็นสองเท่าจากเมื่อแรกเกิด และในปีที่ 2 จะเพิ่มเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ในระยะนี้เด็กทุกคนจะเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ และตามแบบแผนของการพัฒนา จะแตกต่างกันก็เฉพาะอัตราความเร็วเท่านั้น
ทารกที่เกิดมาได้ 1 เดือน เราเรียกทารกระยะนี้ว่า นีโอเนท (Neonate) ในระยะนี้ทารกจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ของตนก่อน พฤติกรรมโดยทั่ว ๆ ไปจะมีดังนี้ - เมื่อจับนอนคว่ำ จะกระดิกแขนและขาได้
-เมื่อจับนอนหงาย จะผงกศรีษะได้เล็กน้อย แต่นาน ๆ ครั้ง
-รู้จักฟังเสียง และมีปฏิกิริยากับเสียงรอบ ๆ ตัว
-สามารถมองตามแสงทีผ่านหน้าไป
-เมื่อเอาของใส่มือสามารถกำไว้ได้
-รู้จักทำเสียงร้องเมื่อหิว รู้สึกเจ็บ ฯลฯ ต่าง ๆ กัน
เด็กในวัยทารกนี้จะพัฒนาร่างกายให้มีความสามารถเบื้องต้นในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ รู้จักสำรวจ ทำความเข้าใจ และปรับปรุงตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม อวัยวะสัมผัสต่าง ๆ จะเริ่มใช้การได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ความเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ กระดูก ระบบประสาท จะช่วยให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวใช้ร่างกายได้ดีขึ้น วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มมีการเรียนรู้จาก สิ่งแวดล้อม เป็นวัยที่ต้องอาศัยความดูแลจาก พ่อ แม่ คนเลี้ยง มากที่สุด
นักจิตวิยากลุ่มจิตวิเคราะห์ยืนยันว่า ช่วงอายุระหว่างแรกเกิดถึง 2½ ปี เป็นระยะวิกฤติของมนุษย์ ถ้าทารกไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีแล้ว จะเป็นผลร้ายต่อการพัฒนาทางกายและทางใจของเด็กอย่างแก้ไขได้ยาก
การเจริญเติบโตของเด็กในวัยทารกนี้จะเป็นไปอย่างรวดเร็วเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูว่าถูกต้องและเหมาะสมแค่ไหล นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับ เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเด็กอีกด้วย
ขั้นตอนของการพัฒนาของทารก ตั้งแต่เดือนที่ 1 –15 มีขั้นพัฒนาการดังนี้ไว้ดังนี้
1 เดือน ชันคางได้
2 เดือน ยกอกขึ้นได้
3 เดือน ชูมือไขว่คว้าของเล่น ยกเท่าขึ้น
4 เดือน นั่งตัวตรงได้ ถ้าใช้มือช่วยพยุง
5 เดือน นั่งตักมือจับของเล่นได้
6 เดือน นั่งเก้าอี้สูง
7 เดือน นั่งตามลำพังได้
8 เดือน ตั้งไข่
9 เดือน ยืนใช้มือจับโต๊ะ
10 เดือน คลานได้
11 เดือน เดินเมื่อมีคนจูง
12 เดือน ลุกขึ้นยืนโดยการยึดเก้าอี้
13 เดือน ปีนบันไดได้
14 เดือน ยืนได้ลำพัง
15 เดือน เดินได้ตามลำพัง
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวเฉลี่ย 3000 ถึง 3300 กรัม ตัวยาวประมาณ 50 ถึง 52 ซ.ม. เอาแต่กินและนอน สายตายังใช้ไม่ได้ แต่แยกแสงสลัวกับแสงจ้าได้ รู้จักฟังเสียง โดยมีพฤติกรรมดังนี้คือ
เดือนแรก จำเสียงแม่ได้ ชัดคอได้เมื่อนอนคว่ำ ยิ้มเป็น
เดือนที่สอง รู้จักมองหน้าผู้ที่อุ้ม รู้จักงอแขน และเหยียดแขนได้อย่างส่วนสัดรับกันเมื่อมี ผู้อุ้ม ชันคอได้เป็นเวลา สองสามวินาที
เดือนที่สาม เพ่งมองดูสีที่ฉูดฉาดอยู่เป็นเวลาสองหรือสามวินาที เล่นเมื่อตัวเองหัวร่อ หันหัวไปตามเสียงได้
เดือนที่สี่ เมื่อนอนคว่ำมักทำกิริยาคล้ายว่ายน้ำ ผงกศีรษะได้เมื่อนอนหงาย รู้จักหัวเราะและหาว รู้จักเล่นด้วยมือของตนเอง
เดือนที่ห้า ซอยเท้าและพลิกคว่ำเองได้ น้ำหนักตัวเป็นสองเท่าของเมื่อแรกเกิด เมื่อได้ยินเสียงดนตรีก็ตั้งใจฟัง
เดือนที่หก นั่งได้เมื่อช่วยพยุง ถือของเล่นได้ด้วยมือทั้งสอง เมื่อมีคนพูด้วยจะตอบด้วยเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ฟันเริ่มขึ้น คืบได้
เดือนที่เจ็ด รู้จักหยิบและวางของเล่น รู้จักใช้ช้อนตักอาหารเหลว เวลาร้อนไห้หากผู้เลี่ยง ปลอบโยนมักจะนิ่ง นั่งเองและพูดพยางค์เดียวได้
เดือนที่แปดเมื่อของเล่นตกลงบนพื้นจะมองตามไป คลานได้ ดื่มอะไรในถ้วยได้ถ้ายื่นส่งให้
เดือนที่เก้า ชอบแตะต้องตนเองในกระจกนั่งเองได้นานประมาณ 1 นาที หากใช้มือยันพื้นก็จะสามารถนั่งได้
เดือนที่สิบ รู้จักมองดูมือของตนเอง หมุนสิ่งของเล็ก ๆ กลับไปกลับมา เกาะเก้าอี้พยุงตัวลุกขึ้นยืนได้ และเกาะขาเก้าอี้ยืนได้ครู่หนึ่ง
เดือนนี่สิบเอ็ด สามารถคุกเข่าตั้งตัวตรงได้สิบวินาที ตั้งไข่ได้ คลานได้ดี เข้าใจความหมายของคำเป็นคำ ๆ
เดือนที่สิบสอง รู้จักเลือกอาหาร สอนเดินได้แต่ต้องพยุง หัวเราะเก่ง น้ำหนักตัวประมาณสามเท่าของเมื่อแรกเกิด
เดือนที่สิบสามถึงเดือนที่สิบแปด ชอบเล่นของเล่นอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ รู้จักสังเกตความ แตกต่างระหว่างบุคคลใกล้ชิดรู้จักเข็นรถ สำหรับเด็กเล็ก ๆ พูดได้ เข้าใจคำพูดมากขึ้น ชอบดูภาพในสมุดภาพ ขึ้นลงบันได้ได้โดยใช้ทั้งสองมือและเท้าช่วยกัน เดือนที่สิบเก้าถึงเดือนที่ยี่สิบ เด็กจะเริ่มรู้จักจัดสิ่งของที่เหมือนกันเข้าไว้ด้วยกัน บอกสิ่งที่ตนเองต้องการได้ รู้จักปฏิเสธด้วย การสั่นศีรษะ เรียกชื่อบุคคลในครอบครัวได้ ถอดเสื้อได้โดยลำพัง สามารถแตะลูกบอลขนานย่อม ๆ ได้ ดังรูปที่ 3.6
รูปที่ 3.6 แสดงเรื่องพัฒนาการการเคลื่อนไหวของทารก
ความคิดของ Bruner แตกต่างจาก Piaget ตรงที่ทฤษฎีของ Bruner เน้นในเรื่องพัฒนาการทางสติปัญญา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเป็นสำคัญ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมจะชักนำไปในแนวทางใด ส่วนทฤษฎีของ Piaget กล่าวคือ พัฒนาการแต่ละขั้นอย่างละเอียดและข้อจำกัดของความสามารถของเด็กแต่ละวัย ดังแสดงในรูปที่ 3.7
รูปที่ 3.7 แสดงเรื่องพัฒนาการการเคลื่อนไหวของทารก
วัยเด็ก
วัยเด็กจะต่อจากวัยทารกเรียกช่วงนี้ว่าวัยเด็กตอนต้นและจะสิ้นสุดเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบเป็นระยะที่เด็กกำลังเจริญเติบโต อย่างเป็นอิสระพึงตนเองมากขึ้นบางทีเรียกระยะนี้ว่า ระยะก่อนเข้าเรียนวัยเด็กเริ่มมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา หลายอย่างซึ่งมัก จะทำความลำบากใจ ให้กับพ่อแม่มือใหม่อย่างมาก ในระยะนี้พัฒนาการทางร่างกายและบุคลิกภาพจะแตกต่างออกไป บางครั้งเด็กมักทำตัวออกนอกกรอบบ่อยๆ เพื่อทดสอบพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าเด็กสอนยาก บอกไม่ค่อยฟัง ดื้อเด็กบางคนตามใจตนเอง ขัดขืน โมโหร้าย อิจฉาน้องๆ ถ้าในครอบครัวมีสมาชิกใหม่และละเมอกลางคืน จะแสดงความหวาดกลัว
พัฒนาการทางร่างกายของเด็กในวัยนี้จะพบว่าศีรษะที่ดูยาวในวัยทารกจะเริ่มกลมเล็กลงได้ขนาดกับลำตัว จมูกเล็กค่อนข้างแบน ปากยังคงเล็กไม่ได้ส่วนเพราะฟันน้ำนมยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ แก้มจะกางออกอย่างเห็นได้ชัดเพราะส่วนคางเจริญขึ้นและคอก็ยาวขึ้น ไหล่กว้างขึ้น มีผมขึ้นบ้างตั้งแต่สีน้ำตาลไปจนเข้มและค่อยๆ มีผมดกขึ้น แขนขายาว มือและเท้าเริ่มโตขึ้นตามขนาดของร่างกายโครงกระดูกแข็งแรงขึ้นกว่าวัยทารกมากรวมไปถึงกล้ามเนื้อและโครงกระดูกเจริญเติบโตขึ้นมาก ในวัยเด็กจะมีฟันน้ำนมขึ้นและก่อนสิ้นวัยเด็ก เด็กจะมีฟันน้ำนมประมาณ1-2 ซี่ การพัฒนาการทางด้านร่างกายจะเร็วหรือช้าอย่างไรทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและอาหารที่เด็กได้รับด้วย
การรับประทานอาหารของเด็กวัยนี้ เด็กวัยนี้จะไม่หิวบ่อยเหมือนเด็กทารกเพราะว่าอัตราการเจริญเติบโตเริ่มช้าลง เด็กจะเริ่มเลือกอาหารที่ตนชอบและไม่ชอบ การเลือกอาหารของเด็กในวัยนี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมการกินของคนในครอบครัวหรือพ่อแม่นั่นเอง พ่อแม่ควรจะสอนให้เด็กกินอาหารให้ครบทุกหมู่ซึ่งจะทำให้ร่างกายของเด็กเจริญเติบโต สิ่งที่พ่อแม่พึงระมัดระวังคือในช่วงนี้การพัฒนาสมอง ของเด็กจะพัฒนาถึงร้อยละ80 ทีเดียวดังนั้นอาหารที่พ่อแม่ควรให้เด็กรับประทานควรจะเป็นอาหารกลุ่มโปรตีน เนื้อ นม ไข ตับ พักสีเขียว ผลไม้ต่างๆ หลากหลายกันไปมากๆ ในขณะเดียวกันกลุ่มข้าว แป้งและไขมันเกลือแร่ก็ไม่ควรขาด อาจกล่าวได้ว่าต้องได้รับสารอาหารครบทั้ง ห้าหมู่อย่างเพียงพอไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป เพราะอาหารจะช่วยพัฒนาทางด้านร่างกายด้วย
การนอนหลับของเด็กในวัยนี้มักจะนอนไม่เป็นเวลา ซึ่งพ่อแม่ควรเริ่มฝึกหัดได้ การนอนที่ไม่เป็นเวลานี้เอง จะทำให้เด็กเครียดถ้าถูกบังคับให้นอน และมักจะเรียกร้องสิ่งที่ตนเองต้องการก่อนนอนเช่นให้คุณแม่เล่านิทาน เล่นของเล่นตัวโปรด ถ้าไม่ทำตามเด็กก็จะโยเยและจะงอแงเรื่องนอนไปจนอายุประมาณ 4 ขวบ วิธีการที่ดีคือคุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาให้ลูกอาจสลับกันก็ได้เข้าไปอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน กอดเข้าไว้ ลูบเนื้อลูบตัว เด็กก็จะหลับง่าย เด็กวัยนี้จะมีพฤติกรรมติดของเล่นตัวโปรด เช่นตุ๊กตาหมี หมอนข้าง ผ้าห่ม เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้จะหมดไปเมื่อเด็กโตขึ้น การละเมอในวัยเด็กเป็นเรื่องปกติ อาจมีการละเมอบ้างแต่ไม่ใช่ปัญหามากนัก ถ้าเด็กนอนละเมอก็ปล่อยให้ละเมอไปแต่ถ้าฝันร้ายร้องไห้คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบปลอบทันที การละเมออาจมีหลายสาเหตุเช่น ตอนกลางวันอาจเล่นมาก หรือดูภาพยนต์ในทีวีที่หน้ากลัวทำให้เกิดความเครียดทางอารมณ์ การได้รับสัมผัสที่อบอุ่นจะทำให้เด็กผ่อนคลายขึ้น
การขับถ่าย เด็กในวัยนี้สามารถควบคุมระบบการขับถ่ายได้ตั้งแต่ช่วงวัย 1 ขวบและจะสามารถควบคุมการขับถ่ายอุจจาระได้ก่อนปัสสาวะ แต่ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะตอนกลางวันได้ อย่างไรก้ดีผู้ใหญ่ไม่ควรเร่งเด็กให้ฝึกขับถ่ายถ้าเด็กไม่พร้อมซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีเพราะเด็กจะเกิดความเครียดทางอารมณ์ได้ สำหรับเรื่องการขับถ่ายเมื่อถึงวุฒิภาวะเด็กจะสามารถควบคุมได้เอง อย่างไรก็ดีพ่อแม่ควรฝึกหัดขับถ่ายให้และใช้วิธีที่ผ่อนคลายที่สุด
ความเจ็บป่วยในวัยเด็กเนื่องจากเด็กจะมีภูมิต้านทานยังไม่มากนักประกอบกับเด็กเริ่มมีสังคมเริ่มวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นหรือเริ่มเข้าเนสเซอรี ทำให้มีโอกาสติดเชื้อไข้ต่างๆได้เช่น ไข้หวัด อีสุกอีไส้ ตาแรง หัด การป้องกันโรคเหล่านี้พ่อแม่ควรพ่อเด็กพบแพทย์และฉีดวัคซีนให้ครบ แต่ถ้าเป็นไข้พ่อแม่ก็ไม่ต้องตกใจเกินเหตุเช่นเด็กตัวร้อน พ่อแม่ก็ลดความร้อนด้วยการเช็ดตัว ให้เด็กบ่อยๆ ถ้าความร้อนสูงอาจให้ยาพาราเซ็ตตามอลชนิดน้ำตามขนาดจำนวนที่ระบุในฉลากแต่ถ้าสองวันไข้ยังไม่ลดควรรีบพบแพทย์ ในวัยนี้เด็กอาจ มีโรคอื่นที่ปรากฏเช่นโรคที่เกี่ยวกับทางพันธุกรรมบางชนิดเด็กควรพบแพทย์เพื่อทราบการปฏิบัติตนเองที่ถูก นอกจากนี้แล้วยังมีโรคที่เกิดมากจากความเครียดที่เด็กได้รับจากครอบครัวที่แตกแยก อาจทำให้เด็กเป็นโรคประสาทได้ ดังนั้นครอบครัวควรจะพร้อมถึงจะมีลูกเพื่อให้ลูกเกิดมาไม่มีปัญหาสุขภาพจิตตั้งแต่เด็ก
สำหรับเรื่องอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่มักจะเกิดกับเด็กตอนต้นมักจะพบบ่อยมากดังนั้นพ่อแม่ควรจัดบ้านให้โล่ง และฝึกให้เด็กเก็บของให้เป็นระเบียบจะได้ไม่เดินเหยียบล้ม อย่างไรก็ดี การเกิดบาดแผลต่างๆ ตั้งแต่ทะหลอก มีดบาด น้ำร้อนลวก หนามตำ กระดูกหัก ก็รักษาตามอาการที่สำคัญคือพ่อแม่อย่าแสดงอาการตกอกตกใจมากเกินเหตุจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ
พัฒนาการกล้ามเนื้อ เด็กวัยนี้จะมีพัฒนาการทางกล้ามเนื้อที่เร็ว เด็กจะเริ่มใช้มือโดยการใช้ช้อนป้อนอาหารใส่ปากตนเองได้ ติดกระดุมเสื้อเองได้ มัดเชือกรองเท้าเองได้ เด็กในวัยนี้เป็นวัยเข้าโรงเรียนอนุบาลเขาจะช่วยเหลือตัวเองได้มากแต่ถ้าบางช่วงพ่อแม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแต่งกายของเขาเด็กก็จะมีความสุข เด็กในวัยนี้สามารุจับดินสอลากตามเส้นปะได้ ตัดกระดาษได้แต่ไม่ตรงทีเดียวนักรวมไปถึงปั้นดินน้ำมันเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่เขาชอบ เด็กในวัยนี้ชอบวาดรูป พ่อแม่ควรเสริมด้วยการหากระดาษดินสอสีให้เขาได้วาดรูปตามจินตนาการของเขา ในเรื่องของขา เด็กวัยนี้สามารถวิ่งได้ กระโดดได้ บางครั้งก็กระโดดขาเดียวเล่นห้อยโหนตามเครื่องเล่นที่สนามเด็กเล่น พ่อแม่ควรปล่อยให้ลุกฝึกขี่จักรยาน โดดเชือก การปีนบ่าย โดยพ่อแม่ยืนดูอยู่ห่างๆ อย่าปล่อยซะทีเดียวเพราะกล้ามเนื้อเด็กยังไม่แข็งแรงมากนัก
พัฒนาการทางด้านภาษาเด็กในวัยนี้จะรู้ภาษามากมาย เด็กจะชอบซักถามเริ่มใช้คำต่างๆ มากขึ้น เด็กจะพัฒนาตั้งแต่การใช้ประโยคสั้นๆ ไปจนถึงประโยคยาวๆ ได้ ถ้าครอบครัวใช้ภาษาพูดที่สุภาพเด็กก็จะเลียนแบบภาษาของคนในครอบครัว อาจมีเด็กบางกลุ่มที่ติดอ่าง พ่อแม่ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เวลาพ่อแม่พูดก็พูดประโยคปกติกับเด็กอย่างแกล้งพูดติดอ่างกับเด็กจะทำให้เด็กพัฒนาด้านภาษาได้ช้าและไม่ถือว่าเป็นปมด้อยเมื่อเด็กมีวุฒิภาวะ ถึงอาการติดอ่างก็จะค่อยๆ หมดไป เช่นเดียวกับพฤติกรรมนั่งกัดเล็บ แต่ทั้งนี้พ่อแม่ต้องแน่ใจว่าตนเองไม่ใช่เป็นตัวสร้างปัญหาให้เด็กมีพฤติกรรมเช่นนี้เอง วิธีการส่งเสริมให้เด็กใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องก็คือพ่อแม่ใช้ ภาษาที่ถูกต้อง โรงเรียนสอนพื้นบานการผสมคำและอ่านเป็นปกติอยู่แล้ว กลับมาตอนเย็นเด็กก็หัดอ่านนิทาน โดยการส่งเสริมการอ่านทั้งครอบครัวไม่ใช่บังคับให้เด็กอ่านหนังสือแต่พ่อแม่ดูทีวีพฤติกรรมที่สวนทางกันก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้นการส่งเสริมเรื่องการอ่านที่ถูกวิธีจะทำให้พัฒนาการด้านการอ่านของเด็กเป็นไปด้วยดี
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ เด็กในวัยนี้จะเจ้าอารมณ์อาจสังเกตได้ส่าเด็กวัยนี้จะเจ้าโทสะ ขี้อิจฉา ก้าวร้าวและขี้กลัวมากๆ อารมณ์ของเด็กเกิดขึ้นจากครอบครัวที่วางแบบแผนของอารมณ์โดยไม่รู้ตัวเช่น ครอบครัวที่พ่อแม่โมโหใช้อารมณ์ปกครองลูกๆ เด็กก็เลียนแบบอารมณ์โมโหร้ายมาจากครอบครัว หรือการบังคับเด็กมากเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดการต่อต้าน หรือบาง ครอบครัวตามใจเด็กมากเกินไป พอไปขัดใจเด็กก็แสดงความก้าวร้าว การพัฒนาการทางด้านอารมณ์อยู่ที่ครอบครัวจะต้องฝึกให้เด็กรู้จักเหตุผลอย่างนี้ทำได้อย่างนี้ทำแล้วไม่ดี และต้องบอกด้วยว่าที่ไม่ดีนะไม่ดีอย่างไร การบอกเหตุผลจะทำให้เด็กเข้าใจและสามารถพัฒนาอารมณ์ได้ดี เช่นเด็กต้องการได้ของเล่นมากแต่มีอยู่ที่บ้านแล้วเด็กร้องไห้จะเอาพ่อแม่ก็อธิบาย ให้เขายืนดูเฉยๆ สักพักแล้วก็จุงมือเดินออกไม่ซื้อให้ต่อให้เด็กอ้อนอย่างไรก็ไม่ซื้อพร้อมทั้งบอกว่าที่บ้านก็มียังเล่นได้อยู่เราช่วยกัน หากระดาษสีมาแต่งให้สวยเท่าคันนี้เลยเด็กอาจจะพอใจและได้เรียนรู้การประหยัด การใช้เหตุผลอีกด้วย
พัฒนาการทางด้านสังคม เด็กในวัยนี้เริ่มเข้ากลุ่มโรงเรียนอนุบาลมีเพื่อนมากมายทุกคนเป็นเพื่อนเล่นกัน การเข้าสังคมยังเริ่มกว้างไปอีกเช่นในวันพระพ่อแม่พาเด็กไปทำบุญตักบาตรฟังธรรมเด็กก็จะได้เรียนรู้ระบบของสังคม เรียนรู้การเข้าหาปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา เป็นต้นเด็กจะสามารถเข้ากับบุคคลต่างๆ ได้อย่างดีสามารถรู้สถานภาพของตนเองว่าตนเองอยู่ในตำแหน่งใด เรียนรู้การวางตัวให้เป็นที่รักของเหล่าเครือญาติ ในสังคมโรงเรียนก็รู้ว่าตนอยู่ห้องใดมีคุณครูประจำชั้นชื่ออะไร มีสัมพันธภาพที่ดีกับคุณครูทุกคนที่สอนและจำชื่อคุณครูได้ จำชื่อเพื่อนได้ เด็กจะได้รับการพัฒนาการอยู่ร่วมในสังคมกว้างขึ้นและสามารถเรียนรู้สังคมอย่างมีระเบียบแบบแผน
วัยเด็กตอนกลาง
วัยเด็กตอนกลางเป็นวัยที่เด็กเข้าโรงเรียน ตั้งแต่อนุบาลไปจนเข้าประถมศึกษา ดังนั้นเด็กจึงต้องปรับตัวมากในการไปอยู่ในสังคมใหม่ที่ต่างจากบ้านที่เคยคุ้นเคย แต่สิ่งที่เด็กได้รับคือการรู้จักคำมากขึ้นสามารถ พูดได้ประโยคยาวๆ แต่ละประโยคมีความสอดคล้องกัน นอกจากนี้เด็กอาจได้รับคำใหม่ๆ จากเพื่อน เช่น เด็กสาระ เด็กแนว ดูว่าเป็นคำที่แปลกๆ แต่พอแปลออกมาพ่อแม่บางท่านอาจรับได้ยากเช่นเด็กสาระแปลว่าเด็กสารเลว เด็กแนวแปลว่าเด็กชายตะเข็บชายแดน ดังนั้นในวัยนี้ เด็กอาจได้ภาษาจากกลุ่มเพื่อนๆ มาก นอกจากนี้แล้วในวัยเด็กตอนกลางเด็กจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างตนกับเพื่อนได้มากขึ้น ทำให้เด็กต้องปรับตัวตั้งแต่ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาเพื่อให้สามารถพัฒนาตนได้สมกับวัย ฉะนั้นพ่อแม่ควรเตรียมเด็กก่อนที่จะเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาเพื่อให้เด็กชินและสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กตอนปลายจะพัฒนาการในส่วนสูงมากว่างส่วนกว้าง เด็กจะมีลำตัวแบนแขนขายาว หน้าตาเริ่มเปลี่ยนไป ระบบต่างๆทำงานพัฒนาเป็นอย่างดียกเว้นการพัฒนาการทำงานของหัวใจเป็นไปค่อนข้างช้า เด็กจะเริ่มมีฟันแท้ขึ้นพร้อมๆกับฟันน้ำนมก็ค่อยๆหักจากไป ฟันหน้าจะขึ้นก่อน กล้ามเนื้อเริ่มแข็งแรงและสามารถทำงานประสานกันได้อย่างคล่องแคล้ว
สมองของเด็กจะหนักเกือบเต็มที่ สายตายังพัฒนาไม่ดีนักช่วงนี้ยังเป็นสายตายาวซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติและยังทำงานไม่ประสานกันดีนัก เมื่อเด็กอายุ8-10 ปี สายตาก็จะปรับเข้าระดับปกติ ส่วนการพัฒนามือจะช้าและเด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาการที่มือช้าเร็วแตกต่างกันพ่อแม่อาจช่วยเสริมทักษะการใช้มือเช่น ให้ปั้นดินน้ำมัน ให้หัดคัดลายมือเป็นต้น เด็กแต่ละคนจะมีอัตราการพัฒนาการแตกต่างกันไปแล้วแต่วุฒิภาวะของแต่ละคนว่าจะพัฒนาการรวดเร็วอย่างไร แต่พบว่าเด็กหญิงมีพัฒนาการค่อนข้างเร็วกว่าเด็กชาย
พัฒนาการทางร่างกายในเด็กตอนกลาง พ่อแม่ควรเอาใจใส่ให้มากๆ เพราะเด็กบางคนได้รับการตามใจมากอาจทำให้มีน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน เด็กอ้วนไม่ใช่เด็กมีสุขภาพดีหรือเด็กบางคนอาจชอบอมข้าว กินอะไรก็อมทำให้อิ่มเร็ว หรือเลือกอาหารเด็กอาจมีพัฒนาการร่างกายผิดปกติเป็นโรคขาดอาหารเป็นต้น ดังนั้นในวัยนี้พ่อแม่ควรฝึกเด็กให้เข้าใจ เรื่องสุขนิสัยจะได้รู้วิธีการรักษาร่างกายของตนเองตั้งแต่เรื่องผม เรื่องการแปรงฟัน การทำความสะอาดร่างกาย เล็บไปจนถึงการฝึกระบบขับถ่าย เราอาจสรุปได้ว่าพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กอยู่ที่อาหารที่ครบห้าหมู่ไม่มากหรือน้อยเกินไป สิ่งแวดล้อมดีและเอื้อต่อการเรียนรู้ รวมถึงมีโอกาสออกกำลังกายและเล่นในกิจกรรมที่เด็กสนใจ
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ เด็กวัยนี้เข้าโรงเรียนแล้วดังนั้นคนที่มีอิทธิพลต่อเด็กวัยนี้คือคุณครูและเพื่อนๆ เด็กวัย 6 ขวบเป็นวัยที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ อารมณ์ของเด็กในวัยนี้มักจะควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนักเด็กจะแสดงออก ตรงไปตรงมา แต่เด็กในวัยนี้ถ้าอธิบายให้เขาเข้าใจเหตุผลเด็กก็จะสามารถใช้เหตุผลได้อย่างดี ในครอบครัวที่ตามใจเด็กมากๆ อาจทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ชอบทำตามใจตนเอง บางครอบครัวไม่เคยดุเด็กพอไปเดินที่ห้างเมื่อพบของเล่นถูกใจอยากได้ขอให้คุณแม่ซื้อคุณแม่ไม่ซื้อ เด็กเรียกร้องความสนใจโดยการ เอาน้ำแข็งปาหัวคุณแม่ให้อับอายไปทั่วร้าน ถ้าคุณแม่ตีก็จะยิ่งทำให้อารมณ์เด็กร้ายลงไปอีก คุณแม่คงต้องค่อยๆ อธิบายและชี้ให้เขาเห้นว่าไม่มีใครที่มาเดินในห้างเพื่อซื้อของเขาทำแบบหนู ชี้ชวนให้เขามองรอบๆ เด็กก็จะเรียนรู้ได้จากพฤติกรรมของคนอื่นและการพัฒนาทางอารมณ์ก็จะพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง เด็กวัยนี้เป็นวัยที่ทดสอบพ่อแม่ว่า ในสถานการณ์อย่างนี้พ่อแม่จะทำอย่างไร ดังนั้นเพื่อไม่ให้เด็กตามใจตนเองมากนักพ่อแม่ควรชมว่าเขาเป็นเด็กเก่งยอมรับในตัวเขาและ ให้ความสนใจเขา ในกรณีที่คุณแม่มีน้องใหม่ การจะช่วยให้เด็กไม่เป็นเด็กขี้อิจฉาคือต้องให้เขามีส่วนร่วมในการเลี้ยงน้องและชมเขามากๆ พร้อมกับเอาใจใส่เขามากๆเพื่อให้เขามั่นใจในตนเอง อย่างไรก็ดีในช่วงวัยเด็กตอนกลางเด็กจะมีความกลัวเพิ่มมากขึ้น พ่อแม่ต้องพยายามเข้าใจ เขาและไม่ควรหลอกหรือขู่ยิ่งจะทำให้เด็กขลาดกลัวเพิ่มขึ้น พ่อแม่ควรช่วยเหลือเขาและอยู่ใกล้เขา ในวัยนี้ควรอ่านนิทานให้ฟังแต่นิทานควรแทรกหลักธรรมเพื่อปูพื้นฐานการเป็นคนที่มีคุณธรรม ปูพื้นฐานจิตสำนึกที่ดี
พัฒนาการทางด้านสังคม เด็กวัยนี้จะเข้าสังคมเก่ง รู้จักผู้คนเพิ่มขึ้นเป็นต้นว่าคุณครู เพื่อนๆ ในห้องเดียวกัน เพื่อนต่างห้องกัน เพื่อนๆในชมรมเดียวกัน แม่ค้าพ่อค้าที่ขายของในโรงอาหารหรือกระทั่งพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของหน้าโรงเรียนเด็กจะรู้จักชื่อหมดพ่อค้าคนไหนใจดี คนไหนมีของเล่นถูกใจนอกจากนี้เด็กยังรู้จักคนงานภารโรงไปจนถึงคุณครูในห้องสมุด คุณครูในห้องคอมพิวเตอร์ คุณครูที่สอนพิเศษ จะเห็นว่าสังคมเด็กเริ่มกว้างขึ้น พ่อค้าแม่ค้าสมัยนี้ฉลาดจำชื่อเด็กได้เรียกชื่อเล่นทำให้เด็กติดใจตกเย็นก็จะต้องซื้อซาลาเปาร้านนี้ น้ำหวานร้านนั้นเป็นต้น อย่างไรก็ดีเด็กในวัยนี้จะเล่นรวมกันได้ไม่แกล้งกัน สามารถทำกิจกรรมต่างได้ ในวัยนี้เด็กจะเริ่มเลียนแบบผู้ใหญ่หรือดาราที่ชื่นชอบ การเรียนรู้ของเด็กวัยนี้จะสามารถทำได้ดีก็ต่อเมื่อเด็ก มีประสบการณ์ทางบ้านดี มีโอกาสไปเล่นกับเพื่อนๆที่สนามเด็กเล่นและ ครูเป็นทั้งผู้สอนและเพื่อนที่เด็กสามารถพูดคุยได้
วัยเด็กตอนปลาย
เด็กในวัยนี้จะเริ่มพัฒนาความรู้ความคิดมากขึ้น รู้จักว่าเป้าหมายว่าตนต้องการอะไร ก็สามารถทำตามที่ตนตั้งใจได้เช่นตั้งใจว่าจะเก็บสตางค์ไว้ซื้อแผ่นเกมใหม่โดยไม่รบกวนเงินจากพ่อแม่ก็สามารถเก็บสตางค์ได้ พอเงินเก็บมากจริงๆ บางครั้งเด็กก็สามารถเรียนรู้ได้ว่าจะใช้เงินอย่างไรให้เกิดประโยชน์ที่สุดโดยไม่ทำตามความพอใจของตนเองแต่จะดูว่าควรจะทำอะไร อยู่ในระดับมากน้อยแค่ไหน ในวัยนี้เด็กจะสามารถปรับตัวในสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ เด็กจะเริ่มฝึกกิจกรรมที่ใช้สมองเช่นเล่นหมากรุก เล่นหมากล้อมรวมไปถึงการเล่นเกมที่ตั้งค่าย หรือสร้างบ้านสร้างเมืองอย่างเกมซิม (The Sims ) เป็นต้น ดังนั้นในวัยเด็กตอนปลายพ่อแม่ควรส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมใดๆที่สามารถพัฒนาสมองให้มากๆ สิ่งสำคัญคือกิจกรรมที่เด็กทำต้อง สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก โดยมีพ่อแม่สนับสนุนและเด็กเป็นผู้ได้กระทำในกิจกรรมนั้นๆ ด้วยตนเองจะทำให้เขาภูมิใจในความสามารถและเด็กยังจะได้รับประสบการณ์ตรงจากการทำกิจกรรมนั้นๆ อีกด้วย ในระยะนี้เด็กจะเรียนรู้มากขึ้น การเรียนรู้จะเรียนรู้จากสิ่งใกล้ๆ ตัวไปจนถึงสิ่งรอบๆ ตัว เด็กจะมีคำถามลับสมองลองปัญญาให้ผู้ใหญ่ได้ขบคิด นอกจากนี้เด็กยังต้องการฝึกทักษะมือให้ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วครูอาจช่วยเสริมโดยการ ให้ปั้นดินน้ำมัน ฉีกรูปตัดแปะ ระบายสีรูปต่างๆ จากปูนโปสเตอร์และงานไม้ นอกจากนี้เด็กยังจะเริ่มสนใจรายการโปรด ดูการ์ตู ดูละครและนั่งดูข่าวกับคุณพ่อคุณแม่ได้ บางครั้งร่วมในการวิเคราะห์ข่าวได้บ้างซึ่งพ่อแม่ก็ควรช่วยเด็กให้วิเคราะห์ในแง่มุมที่ถูกจะช่วยพัฒนาสติปัญญาได้ทั้งนี้ควรนั่งดูโทรทัศน์กับลูกๆ เพราะสื่อต่างๆ อาจมีทั้งผลดีและผลเสีย บางสื่อแค่ให้คนดูตลกและจำสินค้าได้อย่างเดียวไม่สนใจว่าคุณธรรมจะเป็นเช่นไร การได้คำแนะนำที่ดีจะทำให้เด็กสามารถพัฒนาความคิดได้เป็นอย่างดี
การอ่านเด็กในวัยนี้สนใจซื้อหนังสือที่ตนชอบมาอ่านเช่นหนังสือวิทยาศาสตร์ 108 คำถามอะไรเอย หรือเลยไปจนถึงหนังสือการ์ตู ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายจะชอบหนังสือมากเด็กในช่วงอายุ 9 ปีจะนั่งจับกลุ่มเล่าถึงเรื่องที่ตนอ่านให้กันฟัง ใครอ่านเรื่องอะไรก็จะเล่าให้ฟังใครที่ยังไม่เคยอ่านก็จะหาหนังสือนั้นมาอ่าน ในวัยนี้เด็กจะสนใจทำบัตรห้องสมุด ต้องการยืมหนังสือแต่มัจะลืมคืนพ่อแม่ต้องคอยเตือนๆ เรื่องนี้ อย่างไรก็ดีในวัยนี้เป็นช่วงของการเตรียมพื้นฐานการเรียนรู้ในขั้นสูงต่อๆ ไป พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ถูกวิธีจะทำให้สมองของเด็กเจริญอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เด็กวัยนี้ยังเป็นวัยที่ของสะสมเช่น สะสมบัตรโทรศัพท์ที่ใช้แล้ว สะสมภาพการ์ตูนที่แจกแถมมากับขนม สะสมของเล่น การสะสมเป็นสิ่งที่ดีจะทำให้เด็กรู้ค่าของสิ่งของรู้พัฒนาการและแนวความคิดในแต่ละช่วงแต่ทั้งนี้ความสนใจของเด็กวัยนี้ เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยามและก็เริ่มไปสนใจของใหม่ ของเก่าบางครั้งก็ไม่สนใจและไม่เก็บอีกด้วย
ในวัยนี้สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือเด็กจะรับผิดชอบเรื่องเวลาได้เองและไม่โยเย พอเช้าเด็กก็จะตื่นอาบน้ำแต่งตัวเอง รับประทานอาหารเช้า ให้คุณแม่หอข้าวไปกินโรงเรียน ตกเย็นไปเรียนพิเศษ กลับมาว่ายน้ำ ถึงบ้าน อาบน้ำนั่งกินของว่างกับดูรายการโปรด เช่นสารคดีต่างๆ ของชีวิตสัตว์ต่างๆ พอถึงเวลาเด็กก็จะเข้านอนโดยไม่มีการต่อรอง แต่ถ้าเป็นวันศุกร์เด็กจะรู้ว่าตนสามารถนอนดึกได้ ได้เล่นเกมเด็กก็จะทำกิจกรรมต่างๆ ที่ตนชอบได้ เด็กวัยนี้สามารถรับผิดชอบตนเองได้เช่นเช้าขึ้นมาบางครั้งเขาไม่ชอบอาหารที่พ่อแม่เตรียมให้ เขาอาจจะไปทอดไข่ดาวสองฟองมาแทนข้าวราดหมูหยองก็ได้
ความสนใจของเด็กวัยนี้ เด็กวัยนี้ต้องการการยอมรับจากคนอื่นให้เชื่อว่าเขาทำได้เด็กก็จะมีความพยายามทำสิ่งนั้นๆ ให้สำเร็จได้ พ่อแม่ต้องคุยกับเขาแล้วเขาจะเล่าสิ่งต่างๆ ให้เราฟัง บางครั้งอาจเล่าเรื่องผีที่โรงเรียน เช่นไปเข้าห้องน้ำแล้วห้องน้ำห้องที่สามจะปิดอยู่เสมอๆ สังเกตหลายครั้ง เพื่อนๆก็ช่วยกันสังเกตหลายๆ ครั้งเข้าเด็กก็สรุปว่ามีผีแล้วมาเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็อธิบายตามหลักการไปว่า ผีไม่มีหรอกลูกอาจเป็นไปได้ว่าห้องน้ำนั้นอาจชำรุดรอการซ่อมอยู่อย่างนี้เป็นต้น ในวัยนี้เด็กอยากรู้อยากเห้นอยากเข้าใจเรื่องที่ตนยังไม่เข้าใจ ถ้าพ่อแม่สามารถอธิบายให้เด็กเข้าใจก็จะเป็นการเพิ่มทักษะและการเรียนรู้มากขึ้น มีนักจิตวิทยาได้สรุปความต้องการของเด็กไว้หลายประการเช่น เด็กต้องการการเล่นและการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ อาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อน ความปลอดภัย ความรักและความอบอุ่น ความสำเร็จ การทำกิจกรรมร่วมกัน ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ให้บริการรับใช้กับบุคคลใกล้ชิด คำแนะนำไปสู่ความเจริญเติบโตทางปัญญา ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การกระทำของตนเองเป็นต้น
วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่
วัยรุ่น
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อเด็ก ทั้งนี้เพราะร่างกายทั้งของผู้หญิงและผู้ชายจะเตรียมเปลี่ยนจาก ลักษณะความเป็นเด็กเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แต่ร่างกายจะเจริญเติบโตไม่พร้อมกัน เช่นความเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กันดังนั้นจะเห็นได้ว่า พอเข้าวัยรุ่นเด็กจะตัวยาวแขนยาวเก้งก้างไปหมด มีเสียงที่เปลี่ยนไปเช่นถ้าเป็นเด็กชายก็จะเสียงแตก มีสิว บางคนมีกลิ่นตัวเป็นต้นหงุดหงิดง่าย วิตกกังวลซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย การเข้าสู่วัยรุ่นเด็กแต่ละคนจะเจริญเติบโต ไม่พร้อมกันแต่พบว่าเด็กชายจะเจริญเติบโตช้ากว่าเด็กหญิงประมาณ 1-2 ปีสำหรับวัยรุ่นเริ่มนับตั้งแต่ร่างกายของหญิงและชายพร้อมที่จะเจริญพันธุ์ ในผู้ชายจะแสดงอาการให้เห็นคือการที่สามารถหลั่งอสุจิออกมาเป็นระยะที่ร่างกายถึงวุฒิภาวะ การทำงานต่างๆ ของร่างกายและระบบประสาทรวมทั้งอวัยวะอื่นๆ ทำงานประสานงานกันอย่างดี ในผู้หญิงเริ่มที่การมีรอบเดือน ได้แก่ การที่ไข่สุกพร้อมที่จะรอการผสมและเมื่อไม่มีสเปิมร์เข้าไปผสมไข่จะหมดอายุและจะสลายตัวพร้อมๆ กับการหลุดลอกตัวของผนังมดลูกทำให้มีเลือดไหลออกมาซึ่งเรียกว่า ประจำเดือน
ลักษณะเด่นของระยะนี้คือการโตวันโตคืน ลักษณะทางกาย อารมณ์ สังคมจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก ส่วนที่สังเกตได้ชัดได้แก่น้ำหนัก ส่วนสูง แขน ขา ลำตัว เค้าหน้า หนวดเครา และขน เสียงแตกพร่า นมแตกพานในผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็จะเพิ่มส่วนที่เป็นหน้าอก สะโพก ในวัยนี้ชายหญิงจะมีความรู้สึกทางเพศ รวมไปถึงความต้องการทางเพศด้วย ดังนั้นการคบเพื่อนจึงเปลี่ยนไปจากเดิมอาจจะคบเพื่อนเป็นกลุ่มๆ พอเข้าวัยรุ่นเด็กจะเริ่มคบเฉพาะคนที่ตนสนใจ หรืออาจกล่าวได้ว่าเริ่มสนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น จากสาเหตุนี้เอง ทำให้เด็กมีบุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งหญิงและชายจะเริ่มหันมาสนใจรูปร่างหน้าตามากขึ้น เนื่องจากในระยะนี้เป็นระยะของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเด็กอาจจะรู้สึกรำคาญกับเรื่องสิว อย่างไรก็ดีวัยรุ่นจะมีลักษณะการพูดจาที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้นสามารถเข้าสมาคมได้อย่างมั่นใจ อย่างไรก็ดีวัยรุ่นจะชอบอิสระไม่ต้องการให้ใครมาบังคับควบคุม เริ่มมีปรัชญาชีวิตของตนเองและพัฒนาปรัชญาชีวิตที่ตรงกับความต้องการของตนเองมากขึ้น นักจิตวิทยาส่วนใหญ่เชื่อว่า วัยรุ่นเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เพราะช่วงนี้ทั้งหญิงและชายอาจมีอารมณ์ที่รุนแรงพอๆ กันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนในครอบครัวด้วย ครอบครัวต้องไม่เลี้ยงดูลูกๆ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความกดดัน ถ้าวัยรุ่นเก็บกดมากและหนีไปสู่การเรียนเด็ก อาจจะเป็นเลิศทางการเรียนแต่มีวัยรุ่นหลายคนที่หนีความกดดันไปสู่วิธีการอื่นทำให้เกิดการทำร้ายตัวเอง ติดยาเสพติด เป็นต้น พ่อแม่ควรสร้างแบบแผนชีวิตที่ดีให้วัยรุ่นได้เลียนแบบพฤติกรรม ดังนั้นสัมพันธภาพที่อบอุ่นจะทำให้ลูกๆ หรือสมาชิกในครอบครัวสามารถปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้และอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข เมื่อมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นพ่อแม่ควรแก้ไขปัญหาตามเหตุตามผลและพร้อมที่จะช่วยเด็กให้สามารถแก้ปัญหาได้ อย่าใช้มาตรฐานทางสังคมหรือมาตรฐานของตนเองแก้ปัญหาวัยรุ่นจนกระทั่งวัยรุ่นไม่เข้าหา นั่นจะทำให้การแก้ปัญหายุ่งยากลงไปอีก
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ของวัยรุ่น เนื่องจากระยะนี้เป็นระยะเปลี่ยนแปลงทางด้านการทำงานของระบบต่อมต่างๆ ทำให้อารมณ์วัยรุ่นแปรปรวนง่าย และบางครั้งอารมณ์อาจรุนแรง อย่างไรก็ดีวัยรุ่นสามารถยอมรับ ตนเองและยอมรับผู้อื่นได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ วัยรุ่นต้องการให้คนอื่นยอมรับตัวเขามากกว่า วัยรุ่นต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนรุ่นเดียวกันทั้งที่เป็นเพศเดียวกันและต่างเพศ วัยรุ่นทั้งชายหญิงมีความสามารถที่จะแสดงพฤติกรรมให้เหมาะสมกับเพศของตนและสามารถเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ โดยวัยรุ่นชายจะเลียนแบบบทบาทของผู้ชายที่ตนชื่นชอบ ส่วนวัยรุ่นหญิงจะเลียนแบบพฤติกรรมของผู้หญิง ที่ตนชื่นชอบตั้งแต่คุณแม่ไปจนถึงดาราคนโปรดเป็นต้น อย่างไรก็ดีวัยรุ่นสามารุควบคุมอารมณ์ได้ดี ชอบช่วยเหลือตนเอง สามารถรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น รุ้จักที่จะตัดสินใจเลือก เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่จะยึดมา เป็นแบบในการดำรงชีวิตและมีการเตรียมตัวที่จะพัฒนาตนไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น รวมทั้งอาจชอบการสร้างจิตนการและสร้างความฝันให้เป็นจริง เพราะวัยนี้เป็นวัยที่จะเตรียมตนเองไปสู่โลกของอาชีพ เขาจึงต้องศึกษาหาความรู้ และสำรวจตนเพื่อจะได้รู้ว่าตนเองต้องการอะไร นอกจากนี้วัยรุ่นยังเป็นช่วงแห่งการยึดมั่นในหลักการหรืออุดมการณ์เพื่อเข้าใจปรัชญาชีวิตที่สมบูรณ์ต่อไป
อย่างไรก็ดีวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความรับผิดชอบสูง สามารถตัดสินใจที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้วัยรุ่นผ่านช่วงนี้ไปได้ วัยรุ่นต้องได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว โดยพ่อแม่ให้การยอมรับเขา ให้กำลังใจเขาวัยรุ่นก็จะมีความมั่นใจขึ้น เราอาจเรียกวัยรุ่นว่าเป็นวัยที่หญิงชายทำการสำรวจอาชีพ เพื่อน คนรักเพื่อก้าวไปสู่วัยผู้ใหญ่อย่างมั่นใจ แต่ถ้าจะพูดกันให้ชัดนัก วัยรุ่นแม้จะต้องการอิสระแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเข้าจะต้องการอิสระจากครอบครัวจริง เพียงแต่ต้องการรู้ว่าถ้อิสระเข้าจะเป็นอย่างไร วัยรุ่นยังต้องการกำลังใจจากพ่อแม่และคนใกล้ชิดเพื่อให้เข้ดำเนินพัฒนาการไปอย่างปกติ
วัยผู้ใหญ่
วัยผู้ใหญ่อยู่ในช่วงตั้งแต่สิ้นสุดวัยรุ่นไปจนถึงอายุ 60 ปี ในช่วงนี้พัฒนาการจะค่อนข้างยาวเราอาจแบ่งวัยผู้ใหญ่ให้เป็น 3 ช่วงคือ
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 20-40 ปี วัยผู้ใหญ่ตอนกลางอายุ 40-60 ปีและวัยผู้ใหญ่ตอนปลายอายุตั้งแต่60 ปีขึ้นไป ซึ่งในที่นี้จะอธิบายเป็นวัยๆ ไป
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในวัยนี้พัฒนาการทางด้านร่างกายเริ่มสมบูรณ์เต็มที่ อวัยวะทุกอย่างทำงานสมบูรณ์และมีการเจริญเติบโตถึงขีดสุด พร้อมที่ก้าวออกสู่โลกของความเป็นตัวตนโดยสมบูรณ์ เป็นช่วงที่บุคคลก้าวไปสู่การแสวงหาครอบครัวใหม่ สังคมใหม่ความรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่น รวมถึงการพัฒนาอารมณ์ มีความสามารถควบคุมตนเป็นอย่างดี สามารถตัดสินใจในเรื่องใดบนพื้นฐานของมาตรฐานทางสังคม มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมอย่างเห็นได้ชัด มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สามารถพัฒนางานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในวัยนี้หลายคนมีชีวิตคู่ และสามารถสร้างครอบครัวให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ หญิงชายคู่ใดที่ผ่านช่วงชีวิตนี้ไปได้ก็จะพัฒนาตนไปสู่วัยผู้ใหญ่ตอนกลางอย่างมั่นคง
วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง เป็นช่วงวัยที่ร่างกายเริ่มถอยลง เรามักจะได้ยินกันจนค้นหูว่าเป็นช่วงที่วัยของผู้หญิงวัยทอง แต่เราอาจจะไม่ได้ยินคำว่า ผู้ชายวัยทอง ไม่บ่อยนัก แต่ในความเป็นจริงผู้ชายก็มีสิทธิเข้าสู่วัยทองเช่นเดียวกับผู้หญิง ทั้งนี้ไม่ใช่การมีสิทธิทางการเมือง สิทธิทางสังคม หรือสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แต่เป็นการพัฒนาการทางร่างกาย ตามปกติของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม เมื่อถึงวัย หรือถึงวุฒิภาวะในช่วงอายุนั้นๆ คือตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป
การเข้าสู่ภาวะวัยทองของผู้หญิงมักจะอยู่ในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่สำหรับบางท่านอาจจะก่อนหรือหลังจากนี้ได้ สาเหตุที่คุณผู้หญิง เข้าสู่วัยทองเร็วนั้น อาจมีสาเหตุหลายประการเช่น สาเหตุทางพันธุกรรม และสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมภายนอก สำหรับผู้ชายการเข้าสู่วัยทอง โดยส่วนใหญ่จะเข้าสู่วัยทองช้ากว่าผู้หญิง บางคนอาจเริ่มที่เลขสี่ปลายๆ หรือบางคนอาจเริ่มที่เลขห้าต้นๆ ก็ได้ หรือบางคนอาจจะเข้าสู่วัยทองตั้งนานแล้ว แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเอง คนที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอาจเป็นคน ใกล้ชิด เป็นภรรยา หรือลูกๆ ดังนั้นการเข้าสู่วัยทองของผู้ชาย เป็นสันญาณเตือน จึงไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงทางสรีระ ที่เราจะสังเกตได้เช่นเดียวกับผู้หญิงเพราะผู้หญิง เมื่อมีอาการรอบเดือนผิดปกติ ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตก ใจสั่น ปวดหัวไม่มีสาเหตุ อาการเหล่านี้เป็นสันญาณเตือน แต่สำหรับผู้ชายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายไม่ชัดเจนนัก เรียกว่าค่อยๆ เปลี่ยนไปจนเจ้าตัวค่อยๆ คุ้น เพราะไม่มีอาการใดบ่งชัดว่าผู้ชายเข้าวัยทอง เลยคิดว่าตัวไม่เข้าวัยทอง คุณผู้ชายที่คิดเช่นนี้จงเปลี่ยนความคิดได้เลยเพราะนักจิตวิทยาเชื่อว่า เมื่อถึงภาวะความเจริญสุกงอม การทำงานต่างๆ ภายในร่างกายมนุษย์ย่อมจะทำงายลดลงเป็นปกติยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนได้ยืนยันแล้วว่า ผู้ชายก็มีวัยทองเช่นกันกับผู้หญิงและเราสามารถสังเกตได้จากอาการต่างๆ ของหญิงและชายวัยทองดังนี้คือ
1. ความเปลี่ยนแปลงทางด้านชีววิทยา ได้แก่การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างจะเสื่อมถอยลงทีละน้อยทีละน้อย ที่เห็นชัด ๆ ได้แก่ เส้นผม จากผมที่เคยดกดำ เป็นมันเส้นนิ่มก็จะเริ่มร่วง หยาบขึ้น และขาวแซมเห็นชัดประปราย และอาการเหล่านี้จะ ปรากฏ มากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น รองลงมาก็ดวงตา เคยอ่านหนังสือชัดแจ๋วตอนนี้ต้องยื่นสุดมืออ่านหรือสายตายาวนั่นเอง ใช้สายตามากๆ พานจะมึนหัวแบบไม่รู้สาเหตุอีกด้วยความล้าทางสาตาจะเกิดเร็วขึ้น พอถึงเวลานี้คงต้องหาแว่นส่วนตัวใช้สักอัน และจำให้ได้ว่า ตนมีแว่วตาจะได้ไม่ลืม และวิ่งหาทุกครั้งที่ใช้ จากดวงตาก็มาดูที่ผิวหนัง ธรรมดาอายุมากผิวที่เคยใส ผิวที่มีน้ำหล่อเลี้ยง ดูเปล่งปลั่ง ดูมีกล้ามเนื้อแข็งแรงก็จะเริ่มสีซีดลง ค่อยๆเหี่ยว ความย่นเริ่ม ปรากฏ มากขึ้น ....มากขึ้น ไม่ต้องตกใจ ถึงท่านจะเป็นนักกีฬาก็เกิดอาการนี้เพียงแต่ว่าช้าหรือเร็ว และถ้าคุณบำรุงรักษาแค่ไหน การเป็นนักกีฬา หรือการเล่นกีฬาทั้งของหญิงและชายก็อาจช่วยให้เข้าวัยทองช้าหน่อย แต่อาการที่กล่าวข้างต้นมาเยือนแน่ ท่านเคยสังเกตตัวเองบ้างหรือไม่ นอกจากนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สุขภาพฟัน ช่องปาก อายุมากขึ้น ฟันมักจะเริ่มมีปัญหา ท่านควรหาหมอฟัน หกเดือนต่อหนึ่งครั้งหรือเมื่อปวดฟันก็น่าจะดูแลเป็นพิเศษ และควรแปรงฟันหลังจากรับประทานอาหารทุกครั้งเพราะวัยของท่านจะเริ่มมีกลิ่นปากถ้าลมหายใจมีกลิ่นท่านไม่ควรรีรอ น่าจะรีบพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ และในเรื่องปากนี่เองท่านอาจรู้สึกว่าการรับรส การสัมผัสกลิ่นต่างๆ ไม่ดีเท่าไรไม่เหมือนช่วงวัยหนุ่มวัยสาว เท่านั้นคงไม่พอ อาการที่เรารู้สึกหรือคนใกล้เคียงรู้สึกอีกอย่างหนึ่งคือ เรียกไม่ค่อยได้ยิน หรือพูดง่ายๆ คือหูเริมตึงหรือบางทีมีเสียงอื้อในหู อย่างไรเสียท่านก็พยายามดูแลหู รักษาความสะอาด แต่ก็ไม่ใช่ใช้น้ำยาล้างหูทุกวัน ความจริงในช่องหู จะมีสารที่หลั่งออกมาป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าและแปรรูปเป็นขี้หูอย่างที่เรารู้จักกัน ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงก็มีสภาพเสื่อมเช่นเดียวกัน
2. ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์ ผู้ชายและผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยทองจะแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ ชายและหญิง ที่ประสบความสำเร็จ ในอาชีพการงาน และกลุ่มชายและหญิงที่ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ถ้าท่านเป็นผู้ชายผู้หญิงในกลุ่มแรกคือ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ท่านค่อนข้างจะมีจิตใจที่เข้มแข็งสามารถพัฒนาตนและการเข้าสู่พัฒนาการ ในช่วงชีวิตวัยทองได้อย่างมีวุฒิภาวะ คือจะมีความมั่นคงทางอารมณ์ มีความสามารถในการควบคุมตนเอง เป็นผู้ใหญ่ สุขุม มีหลักการ มีการปฏิบัติที่ถูกธรรมนองคลองธรรม มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มองเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกับตน สามารถนำตนเองได้ ชายหญิงกลุ่มนี้ค่อนข้างเป็นที่รักของคนทั่วไป และคนใกล้ชิด อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มชายหญิงที่ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ผู้ชายและผู้หญิงกลุ่มนี้รวมไปถึงคนที่ไม่มีความมั่นคงทางจิตใจและอารมณ์ ในที่ทำงานก็ไม่รู้สึกมั่นคงใดๆ ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ความหวั่นไหวทางอารมณ์บ่อยๆ หรือทำงานอะไรมักจะสะดุด ไม่ถูกตาถูกใจ มองทิศทางงานของตนเองไม่มั่นคงนัก คนวัยนี้จะรู้สึกเสียหน้า น้อยเนื้อต่ำใจ บางคนอาจก้าวร้าวในคำพูด หรือพฤติกรรมเช่น การใช้อำนาจที่ตนมีอยู่อันน้อยนิดกดขี่คนอื่น ยึดหลักการแบบไม่ผ่อนคลาย จู้จี้จุกจิก เจ้าอารมณ์ จับผิดคนอื่นบ่อยๆ อภัยไม่เป็น พฤติกรรมเหล่านี้เป็นปัญหาของชายและหญิงวัยทอง ที่ปรับตัวไม่ได้และมีพัฒนาการปรับตัวไม่ดีตั้งแต่วัยต้นๆ ซึ่งจะส่งผลถึงวัยผู้ใหญ่ด้วย
มีแนวคิดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของงานวิจัย ต่างประเทศเขาทำการวิจัยเรื่องพฤติกรรมเพศ
หญิงและพฤติกรรมเพศชายเมื่อเข้าสู่ผู้ใหญ่ ผู้หญิงเมื่อแต่งงานมีครอบครัว และมีอายุพอสมควรผู้หญิงจะสนใจการเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัว ให้อยู่ดีมีสุข แต่ผู้ชายกลับสนใจในเรื่องความต้องการทางเพศ การคบหาสมาคม การทำงานอันนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นในช่วงวัยเดียวกันเช่น ชายอายุ 45 ปีและหญิงอายุ 45 ปี ผู้หญิงจะสนใจเรื่องครอบครัว เรื่องสุขภาพและการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระของตนเอง แต่ผู้ชายจะสนใจเรื่องงานและความก้าวหน้าในงานเรียกว่า วัยกำลังขยันโบราณว่า แรงดี ฝีเท้ายังไม่ตก ถ้าเผอิญงานเป็นไปตามความมุ่งหมาย ผู้ชายก็จะพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และสังคมได้เต็มศักยภาพ แต่ถ้าในกรณีกลับกันผู้ชายที่ค่อนข้างล้มเหลวในงาน อาจจะเลือกทางเดินอย่างอื่นที่เหมาะกับตน เช่น คุณอาจเลือกกิจกรรมที่ลดเป้าหมายลงมา หรือ เลือกเป้าหมายใหม่ แต่บางคนอาจมีพฤติกรรมตรงกันข้าม คือไม่กระตือรือร้นเลย อย่างไรก็ได้ อะไรก็ได้ วิธีการตัดสินใจในการเลือกแบบแผนการดำเนินชีวิตจะมีผลต่ออาการวัยทองของผู้ชายโดยทั้งสิ้น การเลือกเป้าหมายใหม่แล้วพยายามเดินไปสู่เป้าหมายใหม่ย่อมทำให้ความคับข้องใจลดลง ความรุนแรงในการเข้าวัยทองก็จะเบาบางลงด้วย เราอาจกล่าวได้ว่า วัยทองของผู้ชายค่อนข้างขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ อารมณ์ และความรู้สึกมากกว่าสิ่งอื่น ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระนั้น เป็นเรื่องที่ร่างกายดำเนินอยู่เช่นนั้นเอง อยู่ที่ว่าชายและหญิงจะควบคุมจิตใจและอารมณ์ได้หรือไม่ จิตใจที่ดีย่อมอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ ถ้าชายหญิงสามารถควบคุมให้ใจดี ใจมีพลัง ใจจะนำกายไห้คิดและทำในสิ่งดีๆ ปัญหาวัยทองในชายหญิงจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
3. ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม สำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้ชะลออาการวัยทองได้ หรืออาจจะเป็นตัวเร่งให้เกิดวัยทองของผู้ชายและผู้หญิงเร็วขึ้น เป็นต้นว่ารายรับไม่พอกับรายจ่าย มีหนี้สินรุงรัง หนี้จากเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ต้องครุ่นคิด มีฐานะทางสังคมด้อยกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ ความวิตกกังวล โดยทั้งสิ้น ถามว่าวัยนี้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงหนีปัญหาเหล่านี้ได้มั๊ยคำตอบคงไม่ได้เพราะเป็นภาระและหน้าที่ ดังนั้นการเข้าสู่วัยนี้อย่างสมบูรณ์คือการยอมรับทุกเรื่องที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งสุขและสมหวังทั้งทุกข์และผิดหวังเราคงต้องค่อยๆ หาทางแก้ไข ค่อยๆ คิด ทำอย่างไรก็ได้ที่ตัวชายและหญิงไม่เป็นผู้สร้างปัญหาขึ้นมาใหม่ แล้วสะสางปัญหาเก่าๆ ด้วยวิธีการชาญฉลาด แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ บ้างครั้งการยอมรับความจริงมันอาจทำให้ไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าเราจะยอมรับความจริง
วิธีการปฏิบัติเมื่อเข้าวัยทอง มีดังนี้
1. ดูแลรักษาสุขภาพกายให้ถูกสุขอนามัย อวัยวะของร่างกายส่วนใดต้องดูแลเป็นพิเศษ อย่ารีรอรีบพบแพทย์ เช่น ฟัน ดวงตา ความเจ็บแปลบภายในทรวงอก อาการปวดศีรษะแบบไม่รู้สาเหตุ อาการต่างๆที่ผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์ ถึงไม่เป็นอะไร ท่านก็ควรตรวจสุขภาพประจำปี แล้วปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
2. ดูแลเรื่องอาหารการกิน ผู้ชายวัยทองควรงดเครื่องดื่มที่มีแองกอฮอล์ เหล้ายา บุหรี่น่าจะห่างไกลได้แล้ว หรือแม้แต่กาแฟ ก็ควรดื่มแค่วันละแก้ว และควรดื่มในช่วง สิบโมงเช้าน่าจะดี หลังจาก บ่ายสองแล้วท่านไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะกาแฟจะทำให้ท่านนอนไม่หลับ การดื่มกาแฟที่ดีของชายวัยทองควรเติมนมสดที่เพิ่มแคลเซี่ยมและไม่มีครอเลสทอรอล น่าจะดีกว่า ถ้าติดหวานก็ใช้น้ำตาล 1 ช้อนชาพอ ท่านควรรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ สิ่งที่ควรทานมากๆ คือ โปรตีนจากเนื้อปลา ผักสดที่ให้แคลเซียม เช่นใบชะพลู เม็ดบัว ใบยอ ยอดแค ขี้เหล็ก ผักสมุนไพรพื้นบ้านดีทั้งสิ้น รวมไปถึงผลไม้ เช่นกล้วยน้ำหว้า มะละกอ ผลไม้ที่ไม่หวานจัด เพราะความหวานของผลไม้เมื่อเรารับประทานแล้วร่างกายสามารถซึมผ่านเส้นเลือดได้ทันที นอกจากนี้ท่านควรจะออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารเล็กน้อยเพื่อให้ระบบการย่อยดี การออกกำลังควรออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ร่างกายสดชื่น เช่น การเดิน การขี่จักรยาน ไม่แนะนำให้วิ่งเพราะวัยนี้สุขภาพข้อเข่าท่าน อาจไม่ดี ต้องระวังอย่าให้ล้ม อาหารกับการออกกำลังจะเป็นของคู่กัน กินอาหารได้ไม่ออกกำลังกายก็จะทำให้ระบบการย่อยไม่ดี การเผาผาญอาหารก็ทำได้ช้า ดังนั้นชายวัยทองจึงเริ่มอ้วนไง
3. รักษาสุขภาพจิตและอารมณ์ ในการรักษาสุขภาพจิต และอารมณ์ ให้จำประโยคนี้ “ใจเป็นของเราใยเราทำร้ายใจเรา” ฉะนั้น จงอย่าทำร้ายจิตใจตนเอง จงเคารพตนเอง เมื่อใดที่ตัดสินใจแล้วให้เคารพการตัดสินใจแม้ว่า จะล้มเหลวก็ยอมรับความจริง และสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ เป้าหมายนี้ยากไป เราไปไม่ถึง ดวงดาวเราก็ไม่ทำร้ายคนอื่น หันกลับมามองตนเองแล้ว ลองเลือกเป้าหมายใหม่ พยายามมองอะไรให้ง่ายๆ ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ระแวง ไม่อาฆาต รักษาจิตรักษาใจ รักษาอารมณ์ จนสามารถควบคุมตนเองได้ ถ้าท่านทำได้ อาการเหล่านี้จะชะลอการเข้าสู่วัยทองให้ช้าลง
การเข้าสู่วัยทองของเพศชายและเพศหญิง แบบไม่ทำให้คนใกล้ตัวหงุดหงิดตามไปด้วยต้อง รักษาจิตรักษากาย รักษาอารมณ์ ให้อยู่อย่างรู้ตัว มองโลกในแง่ดี มองความดีของคนอื่นๆ บ้าง ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลพยายามเข้าใจคนอื่น เช่นเดียวกับเข้าใจตนเองเมื่อนั้น ท่านจะเป็นที่รักทั้งของคนที่บ้านและที่ทำงาน
วัยชรา
วัยชรา คือ วัยแห่งความสุขหรือวังวนแห่งความทุกข์ อะไรเอ่ยยิ่งแก่ก็ยิ่งหวาน หลายท่านคงทายได้ ท่านเคยเฝ้ารอมะม่วงอกร่องตั้งแต่ตกช่อไปจนถึงเป็นลูกอ่อนผลแก่พอหัวมะม่วงเริ่มเหลือง เราก็สอยมาวางไว้ให้ลืมต้นอีกสองสามวันต่อมา เมื่อเราจับเบาๆ เราก็จะรู้ว่ามะม่วงผลนั้นสุกได้ที่ นำมาปลอกกิน รสชาติหวานเย็นชื่นใจ นั้นคือผลไม้ สำหรับคนก็เช่นกัน คนหรือมนุษย์ยิ่งแก่ยิ่งขาดความหวานหรือบางท่าน อาจขาดรสชาติในชีวิตก็อาจเป็นได้ ถ้าพูดถึงความแก่หลายๆท่าน คงไม่ต้องการได้ยินดังนั้นในที่นี้ขอใช้คำว่า “ชรา” ก็แล้วกัน ท่านคิดอย่างไรกับประโยคต่อไปนี้วัยชราเป็นวัยแห่งความสุขหรือวังวนแห่งความทุกข์ ท่านตอบคำถามได้หรือยัง ลองถามตัวท่านเองว่าถ้าท่านไม่ใช่คนชราท่านจะตอบว่าอย่างไรและถ้าวันหนึ่งท่านพัฒนาตนมาสู่วัยชราท่านคิดว่า วัยชราคืออะไร ท่านจะเลือกข้อความใดระหว่าง “วัยชรา คือช่วงวัยแห่งความสุข” หรือ “วัยชราคือวังวนแห่งความทุกข์”
วัยชราเป็นวัยสุดท้ายของพัฒนาการของบุคคล เป็นวัยที่สั่งสมประสบการณ์มาตลอดชีวิตโดยเริ่มจากวัยเด็กมาเป็นวัยรุ่น จากนั้นก็เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แล้วทุกคนไม่ว่าเราหรือท่านต้องมาถึงช่วงเวลานี้ด้วยกันทั้งสิ้น พอถึงวัยนี้จะลุกจะนั่งก็โอย มันปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด สามวันดี สี่วันไข้ บางทีแค่มีกำลังใจคนชราบางท่านอาจลุกมานั่งคุยจ้อได้ทั้งวัน และก็มีหลายๆครั้งที่คนชราเห็นหรือได้ยินอะไรที่ไม่ถูกตา ฟังคำพูดไม่เลื่อนหูนักอาการไข้อาจกำเริบจนทำให้ลูกหลานต่างใจหายตามๆ กัน และกล่าวโทษคนนั้นคนนี้ให้เซ็งแซ่กันไปหมด ครอบครัวใดที่มีคนชราอยู่ร่วมในชายคาเดียวกัน เห็นทีจะต้องกลับมาทบทวนบทบาทกันใหม เพื่อให้คนชรา หรือญาติผู้ใหญ่ของเรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
“วัยชรา คือช่วงวัยแห่งความสุข” แม้ว่าตัวท่านอาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บ ในวัยนี้ต้องพบแพทย์เป็นประจำ ถ้าท่านมีสุขภาพจิตดี มีอารมณ์ดีลูกหลานปรารถนาที่จะเข้าใกล้ เพราะความมีเมตตา การมีรอยยิ้มที่ดีใจเมื่อเห็นลูกหลาน การมีความสุขที่ได้ทำอะไรๆหลายอย่าง ที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือการปักชุนเสื้อผ้าเล็กๆน้อยๆ ให้กับลูกหลาน ความสดชื่นจากญาติผู้ใหญ่จะมีมาก เพราะจะรู้สึกว่าตนมีค่า การมีอารมณ์ที่แจ่มใสของท่านเหล่านี้เป็นเสน่ห์ให้ลูกหลานอยากเข้าใกล้ อยากพูดคุย อยากได้รับคำชี้แนะในเรื่องที่ท่านเหล่านั้นได้มีประสบการณ์ ในวัยนี้ท่านจงภูมิใจว่าท่านคือห้องสมุดชีวิตที่ลูกหลานอยากจะค้นคว้าอยากจะอยู่ใกล้
วัยชราที่จะพบความสุขแบบนี้ได้ท่านต้องมาจากการพัฒนาการชีวิตช่วงแรกและช่วงกลางชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น มีการวางแผนชีวิต เข้าใจธรรมชาติของชีวิต เข้าใจความแตกต่างระหว่างคนรุ่นใหม่ กับคนรุ่นท่าน เข้าใจความต้องการของตนเอง โดยไม่เรียกร้องอย่างไร้ขอบเขต อยู่บนโลกของความจริง มีเหตุผล ท้ายสุดคือต้องเป็นผู้มีความสามารถพัฒนาอารมณ์ได้อย่างมั่นคง มีวุฒิภาวะสมวัย ถ้าท่านเข้าลักษณะนี้ไม่ว่าจะอยู่กับลูกคนใด ลูกเขยหรือลูกสะใภ้คนไหน หลานๆเป็นอย่างไรท่านก็ปรับตัวได้ มนุษย์ปกติ ต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่มีสิ่งแวดล้อมใดจะวิ่งมาปรับตัวตามท่าน เพราะสิ่งแวดล้อมนั้นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งที่เป็นคน สัตว์ และสิ่งของ การปรับตัวของวัยชราโดยส่วนมากมักจะปรับตัวค่อนข้างอยาก เพราะ เป็นการสั่งสมบุคลิกภาพมายาวนาน มีการยึดติด และคิดว่าความคิดของตนถูก จึงไม่รู้จักปล่อยวาง จู้จี้ขี้บ่น ทำตัวให้ผู้อื่นห่วงใย ขาดความยืดหยุ่นในชีวิต ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่ฉันคิด เรียกว่าไม่ฟังใคร ถ้าไม่สนฉันๆก็จะเจ็บป่วย หรือ ไม่ยอมกินข้าว งอนไปงอนมา ในที่สุดสุขภาพของคนชราเปราะบาง อ่อนแออยู่แล้ว คราวนี้เลยยิ่งอ่อนแอลงไปอีก โรคต่างๆก็รุมเร้าเข้ามาไม่ว่าจะเป็น โรคความดัน โรคหัวใจ โรคไขข้อต่างๆ เป็นมากๆอาจจะลามไปถึงโรคอื่นๆที่รุนแรงกว่า ทำให้ไม่อาจเยียวยาได้ ในกรณีนี้เรียกว่า “วัยชราคือ วังวนแห่งความทุกข์” คนชราในกลุ่มนี้มักต้องการการดูแลและเอาใจใส่สูง เพราะฉะนั้นปัญหาของคนชราประเภทนี้ จึงเป็นปัญหาทางด้านจิตใจ เป็นปัญหาในเรื่องของความรู้สึกนึกคิด หรือแม้กระทั่งมีปัญหาทางอารมณ์ รวมไปถึงการมีสัมพันธภาพกับ บุคคลในครอบครัวไม่ดีนักในกรณีนี้ บุคคลที่จะช่วยให้คนชรามีอายุยืน คนแรกน่าจะเป็นตัวคนชราเอง ในวัยนี้คนชราต้องเตรียมตัว เตรียมใจ พร้อมที่จะต้องรับสถานการณ์ ที่จะเกิดต่อการเปลี่ยนแปลงที่มาจากตัวท่านเอง ตั้งแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความปวดเมื่อยต่างๆทุกส่วนของร่างกาย หรือปัญหาต่างๆ ที่อาจมาจากคนใกล้ตัว คนที่ตนรัก รวมไปถึงการจากไปอย่างไม่อาจหวนคืนของคนที่ท่านรัก เป็นการปิดฉากพัฒนาการชีวิตขั้นสุดท้ายของคนทุกคน “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่คืน หนีไม่พ้น ” ในวัยนี้ก็คงต้องปลง และยอมรับว่านี่คือความจริง ที่ทุกชีวิตต้องพบเพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น
สำหรับผู้ที่เลี้ยงดูคนชรา คนกลุ่มนี้จะต้องพยายามอย่างมากที่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของคนชรา ต้องรู้จักการเอาใจใส่ การดูแล การให้ความสำคัญ การเคารพยกย่องและให้ความรักที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ การสัมผัสที่แสดงให้รู้ว่าท่านรักปู่ ย่า ตา ยาย จะช่วยให้สุขภาพจิตของท่านเหล่านั้นดีขึ้น
คนชรามักไม่สนใจกิจกรรมกลุ่มมากนัก การทำกิจกรรมทางสังคมจะลดลง ดังนั้นในวัยชราควรหางานอดิเรกทำเพลินๆ ดูแลตนเองอย่าให้ถูกละอองฝน หาเสื้อหนาๆมาใส่ อย่าตากลมแรงมากนักทำให้ร่างกายอบอุ่น
ในเรื่องอาหารก็เช่นกัน คนในวัยนี้ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายได้แก่ ข้าวหุงนิ่ม ๆ น้ำซุป เนื้อปลา ผักต้ม เช่น บวบ น้ำเต้า ฟักทอง บางวันเบื่ออาหารลองทำอาหารกลุ่ม มันเผาหอมๆ หรือเผือกนึ่ง ก็จะเปลี่ยนรสชาติของอาหารได้ ที่สำคัญอย่างลืม ผลไม้ พวกกล้วยน้ำว้า มะละกอ แอบเปิ้ล แตงโม มะเฟืองหวานคั้นเอาแต่น้ำ หรือสับปะรดสดๆ อย่ากินมากนะเดี๋ยวน้ำตาลขึ้น ผลไม้ที่กล่าวมาอาจกินกับข้าวก็ได้ บางครั้งก็ทำให้ชื่นใจเหมือนกัน ผู้เขียนเคยลองถามคุณย่าทวด อายุ 96 ซึ่งจะย่างเข้า 97 ปี ถามท่านว่า “คุณย่าทวดกินอะไรถึงอายุยืน ” คำตอบที่ได้คือท่านไม่กินอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำมันกับกะทิและจะกินแค่รู้สึกว่าอิ่ม ไม่กินมาก ออกกำลังกายโดยทำงานโน้นบ้างนี่บ้างอย่าให้หนักเกินแรง ไม่วิตกปัญหาของคนอื่น นั่งเล่นบ้าง บางทีก็ท่องคาถาสวดมนต์ทำใจให้สบายๆ เมื่อใจนิ่ง ความเบาก็เกิดขึ้นอายุก็ยืน วิธีนี้ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไร เราท่านต้องทำให้คนชรารู้สึกว่า คนในวัยชราเป็นวัยที่มีคุณค่าเป็นคนที่ทุกคนรักเห็นความสำคัญ เท่านี้สุขภาพจิตของคุณ ปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ก็จะดี คุณภาพจิตที่ดี จะส่งผลถึงพฤติกรรมที่แสดงออกของคนในวัยนี้ก็สมวัยด้วย
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา คุณ ปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ทำเพื่อลูก หลานมามากแล้ว พอท่านสูงอายุขึ้นถึงเวลาหรือยังที่เราจะรักษา ท่านเหล่านี้ ให้มีความสุข และสามารถผ่านพัฒนาการชีวิตขั้นสุดท้ายได้เป็นอย่างดี และเมื่อเข้าสู่ วัยชราท่านเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า ท่านจะเป็นคนชราที่มีความสุข หรือวัยที่เกิดวังวนแห่งความทุกข์ คนที่จะเลือกปรับแต่งชีวิตก็คือคนชราเองอย่าฝากหัวจิตหัวใจไว้กับคนอื่น จงสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง เพื่อก้าวสู่ช่วงชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง
“ส่วนท่านที่ต้องอยู่กับคนชรา ท่านควรปรับแต่งพฤติกรรมให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลเหล่านั้นหรือให้คิดเสียว่าคนชรา คือบทเรียนสำเร็จรูปที่เราต้องเปิดตำราอ่านทีละตัว ทีละขั้น อย่างแผ่วเบา ทั้งคำพูด และพฤติกรรมที่แสดงออกของเรา เมื่อใดที่ตำราถูกปิดลง เราอาจจะหาเปิดไม่ได้อีกเพราะมันคือบทเรียนสำเร็จรูปของชีวิตนั้นเอง ซึ่งในไม่ช้าตัวเราก็จะได้แบบแห่งพฤติกรรมที่จะก้าวเดินไปในเส้นทางสายเดียวกับท่านเช่นกัน ”
การเรียนรู้กับบุคลิกภาพ
1. การเรียนรู้พฤติกรรมกับการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ
1.1 ทัศนะต่าง ๆ ที่มีต่อ พฤติกรรมมนุษย์
· กลุ่มที่ 1 มีความเชื่อว่า พฤติกรรมมนุษย์นั้นเกิดมาจากปัจจัยภายในตัวของมนุษย์เอง คือ จิตใจ (mind) เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม
· กลุ่มที่ 2 มีความเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาแล้วถูกกำหนดโดยสิ่งแวดล้อม และมีความเชื่อว่า ประสบการณ์ของมนุษย์ จะมีบทบาทสำคัญ ที่ทำให้คนเรา เกิดการเรียนรู้ที่จะกระทำพฤติกรรมเมื่อเกิดมานั้นมนุษย์ มนุษย์มิได้มีความรู้ติดตัวมา แต่อย่างใด ล้วนจะต้อง เรียนรู้ภายหลังจาก เกิดมาแล้วทั้งสิ้น และจะจดจำประสบการณ์นั้นเอาไว้เป็นแนวทางสำหรับ การแสดงพฤติกรรมในอนาคตต่อไป
· กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่มีความเชื่อโดยประสมประสานระหว่างกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 คือให้ความสำคัญแก่ ลักษณะภายในตัวมนุษย์ และ สิ่งแวดล้อม ว่าเป็น ตัวก่อให้เกิดพฤติกรรม แนวความคิดนี้ นับเป็นแนวความคิด ที่ได้รับความสนใจ และมีการนิยมที่จะอธิบายปรากฏการณ์ของ การเกิดพฤติกรรมของมนุษย์ ในปัจจุบันนี้
1.2 การเรียนรู้พฤติกรรม
การเรียนรู้พฤติกรรมเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการจะแก้ใขหรือสร้างพฤติกรรมของบุคคลอื่นหรือของตนเอง ซึ่งในการแก้ไขหรือสร้างพฤติกรรมควรจะได้รู้และเข้าใจวิธีการที่คนเราเรียนรู้ว่า มีกี่ประเภท เพื่อว่าตนเองจะได้นำมาใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวเอง
ในการเรียนรู้พฤติกรรมนั้น มนุษย์เราเรียนรู้แตกต่างกันแต่ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยเรียนรู้ด้วยวิธีการ 3 อย่างดังต่อไปนี้
1. การเรียนรู้แบบเชื่อมโยงความสัมพันธ์
2. การเรียนรู้จากผลกรรม
3. การเรียนรู้จากตัวอย่างหรือตัวแบบ
ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบเงื่อนไข (Conditioning Theories)
นักจิตวิทยาที่ยึดถือทางพฤติกรรมนิยม แบ่งพฤติกรรมของมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1) พฤติกรรมเรสปอนเด้นท์ (Respondent Behavior) หมายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้า เมื่อมีสิ่งเร้าพฤติกรรมตอบสนอง ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถจะสังเกตได้
(2) พฤติกรรมโอเปอแรนท์ (Operant Behavior) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลหรือสัตว์แสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา (Emitted) โดยปราศจากสิ่งเร้าที่แน่นอน และพฤติกรรมนี้มีผลต่อสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีที่อธิบาย กระบวนการเรียนรู้ประเภทแรกหรือ Respondent Behavior เรียกว่าทฤษฎีการเรียนรู้ระบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning Theory) ส่วนทฤษฎีการเรียนรู้ที่ใช้อธิบาย Operant Behavior เรียกว่า Operant Conditioning Theory
พื้นฐานความคิด (Assumption) ของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม คือ
1. พฤติกรรมทุกอย่างเกิดขึ้นโดยการเรียนรู้และสามารถจะสังเกตได้
2. พฤติกรรมแต่ละชนิดเป็นผลรวมของการเรียนที่เป็นอิสระหลายอย่าง
3. แรงเสริม (Reinforcement) ช่วยทำให้พฤติกรรมเกิดขึ้นได้
2. การเรียนรู้พฤติกรรมโดยการวางเงื่อนไขสิ่งเร้า
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก(Classical Conditioning Theory)
พาฟลอฟ (Pavlov, 1849-1936) พาฟลอฟได้พบหลักการเรียนรู้ที่เรียกว่า Classical Conditioning ซึ่งอาจจะอธิบายโดยย่อ ได้ดังต่อไปนี้ พาฟลอฟได้ทำการ ทดลองโดยสั่นกระดิ่งก่อน ที่จะเอาอาหาร (ผงเนื้อ) ให้แก่สุนัข เวลาระหว่าง การสั่นกระดิ่ง และให้ผงเนื้อแก่สุนัข จะต้องเป็นเวลาที่กระชั้นชิดมาก ประมาณ .25 ถึง .50 วินาที ทำซ้ำควบคู่กันหลายครั้ง และในที่สุดหยุด ให้อาหารเพียงแต่สั่นกระดิ่ง ก็ปรากฏว่า สุนัขก็ยังคงมีน้ำลายไหลได้ ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า พฤติกรรมของสุนัข ถูกวางเงื่อนไข หรือที่เรียกว่า สุนัขเกิดการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก
สรุปแล้ว การตอบสนองเพื่อวางเงื่อนไข (Conditioned Response หรือ CR) เป็นผลจากการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก การวางเงื่อนไขเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus หรือ CS) กับการสนองตอบ ที่ต้องการให้เกิดขึ้น โดยการนำ CS ควบคู่กับสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus หรือ UCS) ซ้ำ ๆ กัน หลักสำคัญ ก็คือจะต้องให้ UCS หลัง CS อย่างกระชั้นชิดคือเพียงเสี้ยววินาที (.25 - .50 วินาที) และจะต้องทำซ้ำ ๆ กัน สรุปแล้ว ความต่อเนื่องใกล้ชิด (Contiguity) และความถี่ (Frequency) ของสิ่งเร้า เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อ การเรียนรู้แบบ การวางเงื่อนไข แบบคลาสสิก การทดลองของ พาฟลอฟเกี่ยวกับ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก เป็นการทดลอง ทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด พาฟลอฟให้รายละเอียดเกี่ยวกับ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกหลายอย่าง จนได้หลักการเกี่ยวกับ การเรียนรู้หลายประการ เป็นหลักการที่นักจิตวิทยา ยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้
3. การเรียนรู้พฤติกรรมจาการวางเงื่อนไขการกระทำ
ทฤษฎีการเรียนรู้วางเงื่อนไขแบบการกระทำหรือผลกรรม (Operant Conditioning Theory)
การวางเงื่อนไขการกระทำ หรือผลกรรม มีแนวคิดว่าการกระทำใด ๆ (Operant ) ย่อมก่อให้เกิดผลกรรม (Consequence หรือ Effect ) สกินเนอร์ (Skinner, 1966) เป็นผู้พัฒนาขึ้นมา ซึ่งแนวความคิดนี้เชื่อว่า "พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลพวง เนื่องมาจาก การปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม พฤติกรรมที่เกิดขึ้นของบุคคล จะแปรเปลี่ยนไปเนื่องจาก ผลกรรม (Consequences)
ผลกรรม 2 ประเภท
(1) ผลกรรมที่เป็นตัวเสริมแรง (Reinforcer) การเสริมแรง หมายถึงการทำให้มีพฤติกรรมเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากผลกรรม
(2) ผลกรรมที่เป็นตัวลงโทษ (Punshment) การลงโทษ หมายถึง การให้ผลกรรมที่อินทรีย์ไม่ต้องการหรือถอดถอนสิ่งที่อินทรีย์ต้องการหลังการกระทำ
การเสริมแรง ( Reinforcement)
การเสริมแรง คือการทำให้ความถี่ของพฤติกรรมเพิ่มขึ้อันเป็นผลเนื่องมาจากผลกรรมที่ตามหลังพฤติกรรมนั้น
1. การเสริมแรงทางบวก ( Positive Reinforcement)หมายถึง สิ่งของ คำพูด หรือสภาพการณ์ที่จะช่วยให้พฤติกรรมเกิดขึ้นอีก หรือสิ่งทำให้เพิ่มความน่าจะเป็นไปได้ของการเกิดพฤติกรรม
2. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การเปลี่ยนสภาพการณ์หรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็อาจจะ ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมได้
การเสริมแรงทางลบเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมใน 2 ลักษณะคือ
1. พฤติกรรมหลีกหนี (Escape Behavior)
2. พฤติกรรมหลีกเลี่ยง(Avoidance Beh.)
จากการวิจัยเกี่ยวกับการเสริมแรงสกินเนอร์ได้แบ่งการให้แรงเสริมเป็น 2 ชนิดคือ
1 การเสริมแรงทุกครั้ง คือการให้แรงเสริมแก่บุคคลเป้าหมายที่แสดงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ทุกครั้ง
2 การเสริมแรงเป็นครั้งคราว คือไม่ต้องให้แรงเสริมทุกครั้งที่บุคคลเป้าหมายแสดงพฤติกรรม
ตารางการเสริมแรง
1. การเสริมแรงตามอัตราส่วนที่แน่นอน Fixed-Ratio (FR)
2. การเสริมแรงตามอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน Variable-Ratio (VR)
3. เสริมแรงตามช่วงเวลาที่แน่นอน Fixed-Interval (FI)
4. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน Variable-Interval (VI)
วิธีการเสริมแรง
1. การเสริมแรงแบบทุกครั้ง เช่น การเสริมแรงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เด็ก ล้างมือก่อนรับ ประทานอาหาร
2 . การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น การเสริมแรงทุก ๆ 1 ชั่วโมงหลังจากทำ พฤติกรรมไปแล้ว
3. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน เช่น บางทีก็ให้เสริมแรง 1 ชั่วโมง บางทีก็ให้ เสริมแรง 2 ชั่วโมง
4. ครั้งที่แน่นอน เช่น แสดงพฤติกรรมออกกำลังกาย 3 ครั้ง ให้การเสริมแรง 1 ครั้ง
5. การเสริมแรงตามจำนวนครั้งที่ไม่แน่นอนหรือแบบสุ่ม (Random) คือ บางครั้งก็ให้ การเสริมแรง บางครั้งก็ไม่ให้การเสริมแรง
4. การเรียนรู้พฤติกรรมจากตัวแบบ
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา (Social Cognitive Learning Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีของศาสตราจารย์บันดูรา แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford) ประเทศสหรัฐอเมริกา บันดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมาก เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ (Bandura 1963) จึงเรียกการเรียนรู้จากการสังเกตว่า "การเรียนรู้โดยการสังเกต” หรือ "การเลียนแบบ” และเนื่องจากมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ บันดูราอธิบายว่าการเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมในสังคม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน บันดูรา (1969, 1971) จึงเปลี่ยนชื่อทฤษฎีการเรียนรู้ของท่านว่า การเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น การเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา (Social Cognitive Learning Theory) อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ เนื่องจากบันดูราพบจากการทดลองว่า สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ด้วยการสังเกต คือ ผู้เรียนจะต้องเลือกสังเกต สิ่งที่ต้องการเรียนรู้ โดยเฉพาะ และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้เรียนจะต้องมีการเข้ารหัส (Encoding) ในความทรงจำระยะยาวได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ผู้เรียนต้องสามารถที่จะประเมินได้ว่าตนเลียนแบบได้ดีหรือไม่ดีอย่างไร และจะต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ด้วย (metacognitive) บันดูรา Bandura, 1986 จึงสรุปว่า การเรียนรู้โดยการสังเกตจึงเป็นกระบวนการทางการรู้คิดหรือพุทธิปัญญา (Cognitive Processes)
การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ (Observational Learning หรือ Modeling)
บันดูรา (Bandura) มีความเห็นว่าทั้งสิ่งแวดล้อม และตัวผู้เรียนมีความสำคัญเท่า ๆ กัน บันดูรากล่าวว่า คนเรามีปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเราอยู่เสมอการเรียนรู้เกิดจาก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลต่อกันและกัน พฤติกรรมของคนเราส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สำหรับตัวแบบไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่อาจจะเป็นตัวสัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์หรืออาจจะเป็นรูปภาพการ์ตูนหนังสือก็ได้ นอกจากนี้ คำบอกเล่าด้วยคำพูด หรือข้อมูลที่เขียนเป็ นลายลักษณ์อักษรก็เป็นตัวแบบได้ การเรียนรู้โดยการสังเกตไม่ใช่การลอกแบบจาก สิ่งที่สังเกตโดยผู้เรียนไม่คิด คุณสมบัติของผู้เรียน มีความสำคัญ เช่น ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถที่จะรับรู้สิ่งเร้า และสามารถสร้างรหัส หรือกำหนดสัญลักษณ์ของ สิ่งที่สังเกตเก็บไว้ใน ความจำระยะยาว และสามารถเรียกใช้ในขณะที่ผู้สังเกตต้องการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
บันดูราได้เริ่มทำ การวิจัยเกี่ยวกับ การเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ได้ทำการวิจัยเป็น โครงการระยะยาว และได้ทำการพิสูจน์สมมติฐานที่ตั้งไว้ทีละอย่าง โดยใช้กลุ่มทดลองและควบคุมอย่างละเอียด และเป็นขั้นตอน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการวิจัยที่บันดูรา และผู้ร่วมงานเกี่ยวกับ การเรียนรู้โดย การสังเกตผลการวิจัยที่ได้รับ ความสนใจจากนักจิตวิทยา เป็นอันมาก และมีผู้นำไปทำงานวิจัยโดยใช้สถานการณ์แตกต่างไป ผลที่ไดรับสนับสนุนข้อสรุปของ ศาสตราจารย์บันดูราเกี่ยวกับ การเรี่ยนรู้โดยการสังเกต การทดลองอันแรกโดย บันดูรา ร็อส และร็อส (Bandural, Ross&Roos, 1961) เป็นการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยการสังเกต
บันดูราและผู้ร่วมงานได้แบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้เห็นตัวอย่างจากตัวแบบที่มีชีวิต แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เด็กกลุ่มที่สองมีตัวแบบ ที่ไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว และเด็กกลุ่มที่สามไม่มีตัวแบบแสดงพฤติกรรมให้ดูเป็นตัวอย่าง ในกลุ่มมีตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว การทดลองเริ่มด้วยเด็กและตัวแบบเล่นตุ๊กตา (Tinker Toys) สักครู่หนึ่งประมาณ 1 – 10 นาที ตัวแบบลุกขึ้นต่อย เตะ ทุบ ตุ๊กตาที่ทำด้วยยางแล้วเป่าลม ฉะนั้นตุ๊กตาจึงทนการเตะต่อยหรือแม้ว่าจะนั่งทับหรือยืนก็ไม่แตก สำหรับเด็กกลุ่มที่สอง เด็กเล่นตุ๊กตาใกล้ ๆ กับตัวแบบ แต่ตัวแบบไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวให้ดูเป็นตัวอย่าง เด็กกลุ่มที่สามเล่นตุ๊กตาโดยไม่มีตัวแบบ หลังจากเล่นตุ๊กตาแล้ว แม้ผู้ทดลองพาเด็กไปดูห้องที่มีตุ๊กตาที่น่าเล่นมากกว่า แต่บอกว่าห้ามจับตุ๊กตา เพื่อจะให้เด็กรู้สึกคับข้องใจ เสร็จแล้วนำเด็กไปอีกห้องหนึ่ง ทีละคน ซึ่งมีตุ๊กตาหลายชนิดวางอยู่และมีตุ๊กตายางที่เหมือนกับตุ๊กตาที่ตัวแบบเตะต่อย และทุบรวมอยู่ด้วย ผลการทดลองพบว่า เด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีตัวแบบ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เตะต่อยทุบ รวมทั้งนั่งทับตุ๊กตายาง เหมือนกับที่สังเกต จากตัวแบบแสดงและค่าเฉลี่ย (Mean) ของพฤติกรรมก้าวร้าวที่แสดงโดยเด็กกลุ่มนี้ทั้งหมดสูงกว่า ค่าเฉลี่ยของพฤติกรรม ก้าวร้าว ของเด็กกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สาม
การทดลองที่สองก็เป็นการทดลองของบันดูรา ร็อส และ ร็อส (1963) วิธีการทดลองเหมือนกับการทดลองที่หนึ่งแต่ใช้ภาพยนตร์แทนของจริง โดยกลุ่มหนึ่งดูภาพยนตร์ที่ตัวแบบ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว อีกกลุ่มหนึ่งดูภาพยนตร์ที่ตัวแบบไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ผลของการทดลองที่ได้เหมือนกับการทดลองที่หนึ่ง คือ เด็กที่ดูภาพยนตร์ที่มีตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากกว่า เด็กที่อยู่ในกลุ่มที่ดูภาพยนตร์ที่ตัวแบบไม่แสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว
บันดูรา และเม็นลอฟ (Bandural & Menlove, 1968) ได้ศึกษาเกี่ยวกับเด็ก ซึ่งมีความกลัวสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข จนกระทั่งพยายามหลีกเลี่ยง หรือไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง บันดูราและเม็นลอฟได้ให้เด็กกลุ่มหนึ่งที่มีความกลัวสุนัขได้สังเกตตัวแบบ ที่ไม่กลัวสุนัข และสามารถจะเล่น กับสุนัขได้อย่างสนุก โดยเริ่มจากการค่อย ๆ ให้ตัวแบบเล่น แตะ และพูดกับสุนัขที่อยู่ในกรง จนกระทั่งในที่สุดตัวแบบเข้าไปอยู่ในกรงสุนัข ผลของการทดลองปรากฏว่าหลังจากสังเกตตัวแบบที่ไม่กลัวสุนัข เด็กจะกล้าเล่นกับสุนัขโดยไม่กลัว หรือพฤติกรรมของเด็ก ที่กล้าที่จะเล่นกับ สุนัขเพิ่มขึ้น และพฤติกรรมที่แสดงว่ากลัวสุนัขจะลดน้อยไป
การทดลองของบันดูราที่เกี่ยวกับ การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบมีผู้นำไปทำซ้ำ ปรากฏผลการทดลองเหมือนกับบันดูราได้รับ นอกจากนี้มีนักจิตวิทยาหลายท่านได้ใช้แบบการเรียนรู้ โดยวิธีการสังเกตในการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ
ความคิดพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา
1. บันดูราได้ให้ความสำคัญของการปฏิสัมพันธ์ของอินทรีย์และสิ่งแวดล้อม และถือว่าการเรียนรู้ก็เป็นผลของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียน และสิ่งแวดล้อม โดยผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน บันดูราได้ถือว่าทั้งบุคคลที่ต้องการ จะเรียนรู้และสิ่งแวดล้อม เป็นสาเหตุของ พฤติกรรมและได้อธิบายการปฏิสัมพันธ์ ดังนี้
B = พฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งของบุคคล
P = บุคคล (ตัวแปรที่เกิดจากผู้เรียน เช่น ความคาดหวังของผู้เรียน ฯลฯ)
E = สิ่งแวดล้อม
2. บันดูราได้ให้ความแตกต่างของการเรียนรู้ (Learning) และการกระทำ (Performance) ถือว่าความแตกต่างนี้สำคัญมาก เพราะคนอาจ จะเรียนรู้อะไรหลายอย่างแต่ไม่กระทำ เป็นต้นว่า นักศึกษาทุกคนที่กำลังอ่านเอกสารประกอบการสอนนี้คงจะทราบว่า การโกงในการสอบนั้น มีพฤติกรรมอย่างไร แต่นักศึกษาเพียงน้อยคนที่จะทำการโกงจริง ๆ บันดูราได้สรุปว่าพฤติกรรมของมนุษย์อาจจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท
2.1 พฤติกรรมสนองตอบที่เกิดจากการเรียนรู้ ผู้ซึ่งแสดงออกหรือกระทำสม่ำเสมอ
2.2 พฤติกรรมที่เรียนรู้แต่ไม่เคยแสดงออกหรือกระทำ
2.3 พฤติกรรมที่ไม่เคยแสดงออกทางการกระทำ เพราะไม่เคยเรียนรู้จริง ๆ
3. บันดูราไม่เชื่อว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจะคงตัวอยู่เสมอ ทั้งนี้ เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และทั้งสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวก็คาดหวังว่า ผู้อื่นจะแสดงพฤติกรรม ก้าวร้าว ต่อตนด้วย ความหวังนี้ก็ส่งเสริม ให้เด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว และผลพวงก็คือว่าเด็กอื่น (แม้ว่าจะไม่ก้าวร้าว) ก็จะแสดงพฤติกรรมตอบสนองแบบก้าวร้าวด้วย และเป็นเหตุให้เด็ก ที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวยิ่งแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการย้ำความคาดหวังของตน บันดูรา
สรุปว่า "เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวจะสร้างบรรยากาศก้าวร้าวรอบ ๆ ตัว จึงทำให้เด็กอื่นที่มีพฤติกรรมอ่อนโยนไม่ก้าวร้าว แสดงพฤติกรรม ตอบสนองก้าวร้าว เพราะเป็นการแสดงพฤติกรรมต่อสิ่งแวดล้อมที่ก้าวร้าว”
ขั้นของการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบ
บันดูรากล่าวว่า การเรียนรู้ทางสังคมด้วยการรู้คิดจากการเลียนแบบมี 2 ขั้น คือ ขั้นแรกเป็นขั้นการได้รับมาซึ่งการเรียนรู้ (Acquisition) ทำให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ ขั้นที่ 2 เรียกว่าขั้นการกระทำ (Performance) ซึ่งอาจจะกระทำหรือไม่กระทำก็ได้ การแบ่งขั้นของการเรียนรู้แบบนี้ทำให้ทฤษฎีการเรียนรู้ของบันดูราแตกต่างจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยมชนิดอื่น ๆ การเรียนรู้ที่แบ่งออกเป็น 2 ขั้น อาจจะแสดงด้วยแผนผังดังต่อไปนี้
แผนผังที่ 1 ขั้นของการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ
ขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้ ประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญเป็นลำดับ 3 ลำดับ ดังแสดงในแผนผังที่ 2
แผนผังที่ 2 ส่วนประกอบของการเรียนรู้ขึ้นกับการรับมาซึ่งการเรียนรู้
จากแผนผังจะเห็นว่า ส่วนประกอบทั้ง 3 อย่าง ของการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางพุทธิปัญญา (Cognitive Processes) ความใส่ใจที่เลือกสิ่งเร้ามีบทบาทสำคัญในการเลือกตัวแบบ
สำหรับขั้นการกระทำ (Performance) นั้นขึ้นอยู่กับผู้เรียน เช่น ความสามารถทางด้านร่างกาย ทักษะต่าง ๆ รวมทั้งความคาดหวังที่จะได้รับแรงเสริมซึ่งเป็นแรงจูงใจ
กระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกต
บันดูรา (Bandura, 1977) ได้อธิบายกระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเรียนรู้โดยตัวแบบว่ามีทั้งหมด 4 อย่างคือ
1. กระบวนการความเอาใจใส่ (Attention)
2. กระบวนการจดจำ (Retention)
3. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (Reproduction)
4. กระบวนการการจูงใจ (Motivation)
แผนผังที่ 3 กระบวนการในการเรียนรู้โดยการสังเกต
กระบวนการความใส่ใจ (Attention)
ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าผู้เรียนไม่มีความใส่ใจในการเรียนรู้ โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้แบบนี้ความใส่ใจจึงเป็น สิ่งแรกที่ผู้เรียนจะต้องมี บันดูรากล่าวว่า ผู้เรียนจะต้องรับรู้ส่วนประกอบที่สำคัญของ พฤติกรรมของผู้ที่เป็นตัวแบบ องค์ประกอบที่สำคัญของตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมีหลายอย่าง เช่น เป็นผู้ที่มีเกียรติสูง (High Status) มีความสามารถสูง (High Competence) หน้าตาดี รวมทั้งการแต่งตัว การมีอำนาจที่จะให้รางวัลหรือลงโทษ
คุณลักษณะของผู้เรียนก็มีความสัมพันธ์กับกระบวนการใส่ใจ ตัวอย่างเช่น วัยของผู้เรียน ความสามารถทางด้านพุทธิปัญญา ทักษะทางการใช้มือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งตัวแปรทางบุคลิกภาพของผู้เรียน เช่น ความรู้สึกว่าตนนั้นมีค่า (Self-Esteem) ความต้องการและทัศนคติของ ผู้เรียน ตัวแปรเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งจำกัดขอบเขตของการเรียนรู้โดยการสังเกต ตัวอย่างเช่น ถ้าครูต้องการให้เด็ก วัยอนุบาลเขียนพยัญชนะไทยที่ยาก ๆ เช่น ฆ ม โดยพยายามแสดงการเขียนให้ดูเป็นตัวอย่าง ทักษะการใช้กล้ามเนื้อใน การเคลื่อนไหวของ เด็กวัยอนุบาล ยังไม่พร้อมฉะนั้นเด็กวัยอนุบาลบางคนจะเขียนหนังสือตามที่ครูคาดหวังไม่ได้
กระบวนการจดจำ (Retention Process)
บันดูรา อธิบายว่า การที่ผู้เรียนหรือผู้สังเกตสามารถที่จะเลียนแบบหรือแสดงพฤติกรรม เหมือนตัวแบบได้ก็เป็น เพราะผู้เรียนบันทึก สิ่งที่ตนสังเกตจากตัวแบบไว้ในความจำระยะยาว บันดูรา พบว่าผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรม หรือการกระทำของตัวแบบด้วยคำพูด หรือสามารถมีภาพพจน์สิ่งที่ตนสังเกต ไว้ในใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจำ สิ่งที่เรียนรู้โดย การสังเกตได้ดีกว่าผู้ที่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หรือทำงานอื่น ในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย สรุปแล้วผู้สังเกตที่สามารถระลึกถึงสิ่งที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ (Visual Imagery) และสามารถเข้ารหัส ด้วยคำพูดหรือถ้อยคำ (Verbal Coding) จะเป็นผู้ที่สามารถแสดงพฤติกรรมเลียนแบบจากตัวแบบได้แม้ว่า เวลาจะผ่านไปนาน ๆ และนอกจากนี้ถ้าผู้สังเกตหรือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวแบบ แสดงสิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ซ้ำก็จะเป็น การช่วยความจำให้ดียิ่งขึ้น
กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ (Reproduction Process)
กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบเป็นกระบวนการที่ผู้เรียน แปรสภาพ (Transform) ภาพพจน์ (Visual Image) หรือสิ่งที่จำไว้เป็นการเข้ารหัสเป็นถ้อยคำ (Verbal Coding) ในที่สุดแสดงออกมาเป็นการกระทำหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ ปัจจัยที่สำคัญของกระบวนการนี้คือ ความพร้อมทางด้านร่างกายและทักษะที่จำเป็น จะต้องใช้ในการเลียนแบบของผู้เรียน ถ้าหากผู้เรียนไม่มีความพร้อมก็จะไม่สามารถที่จะแสดงพฤติกรรมเลียนแบบได้
บันดูรา กล่าวว่า การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือ การเลียนแบบไม่ใช่เป็นพฤติกรรมที่ลอกแบบอย่างตรงไปตรงมา การเรียนรู้โดย การสังเกต ประกอบด้วยกระบวนการทางพุทธิปัญญา (Cognitive Process) และความพร้อมทางด้านร่างกายของผู้เรียน ฉะนั้นในขั้นการแสดง พฤติกรรมเหมือนตัวแบบ (Reproduction) ของแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกันไป ผู้เรียนบางคนก็อาจจะทำได้ดีกว่า ตัวแบบที่ตนสังเกต หรือบางคนก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนมาก บางคนก็อาจจะทำได้ไม่เหมือนกับ ตัวแบบเพียงแต่คล้ายคลึง กับตัวแบบมีบางส่วน เหมือนบางส่วน ไม่เหมือนกับตัวแบบ และผู้เรียนบางคนจะไม่สามารถแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ ฉะนั้น บันดูราจึงให้คำแนะนำ แก่ผู้ที่มีหน้าที่เป็นตัวแบบ เช่น ผู้ปกครองหรือครูควรใช้ผลย้อนกลับที่ต้องตรวจสอบแก้ไข (Correcting Feedback) เพราะจะเป็นการช่วยเหลือให้ผู้เรียนหรือผู้สังเกตมีโอกาสทบทวนในใจว่า การแสดงพฤติกรรมของตัวแบบมีอะไรบ้าง และพยายามแก้ไขให้ถูกต้อง
กระบวนการจูงใจ (Motivation Process)
บันดูรา (1965, 1982) อธิบายว่า แรงจูงใจของผู้เรียนที่จะแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ ที่ตนสังเกต เนื่องมาจากความคาดหวังว่า การเลียนแบบจะนำประโยชน์มาใช้ เช่น การได้รับแรงเสริมหรือรางวัล หรืออาจจะนำประโยชน์บางสิ่งบางอย่างมาให้ รวมทั้งการคิดว่า การแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบจะทำให้ตนหลีกเลี่ยงปัญหาได้ ในห้องเรียนเวลาครูให้รางวัล หรือลงโทษพฤติกรรม ของนักเรียน คนใดคนหนึ่งนักเรียนทั้งห้องก็จะเรียนรู้โดยการสังเกตและเป็นแรงจูงใจ ให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมหรือไม่แสดงพฤติกรรม เวลานักเรียนแสดง ความประพฤติดี เช่น นักเรียนคนหนึ่งทำการบ้านเรียบร้อยถูกต้องแล้วได้รับรางวัลชมเชยจากครู หรือให้สิทธิพิเศษก็จะเป็น ตัวแบบให้แก่นักเรียน คนอื่น ๆ พยายามทำการบ้านมาส่งครูให้เรียบร้อย เพราะมีความคาดหวังว่าคงจะได้รับแรงเสริมหรือรางวัลบ้าง ในทางตรงข้าม ถ้านักเรียนคนหนึ่งถูกทำโทษเนื่องจากเอาของมารับประทานในห้องเรียน ก็จะเป็นตัวแบบของพฤติกรรม ที่นักเรียนทั้งชั้นจะไม่ปฏิบัติตาม
แม้ว่าบันดูราจะกล่าวถึง ความสำคัญของแรงเสริมบวกว่า มีผลต่อพฤติกรรมที่ผู้เรียนเลียนแบบตัวแบบ แต่ความหมายของความสำคัญ ของแรงเสริมนั้นแตกต่างกันกับของสกินเนอร์ (Skinner) ในทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ (Operant Conditioning) แรงเสริมในทฤษฎี การเรียนรู้ในการสังเกตเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้ผู้สังเกตแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ แต่แรงเสริมใน ทฤษฎีการวางเงื่อนไข แบบโอเปอแรนท์นั้น แรงเสริมเป็นตัวที่จะทำให้ความถี่ของ พฤติกรรมที่อินทรีย์ ได้แสดงออกอยู่แล้ว ให้มีเพิ่มขึ้น อีกประการหนึ่งใน ทฤษฎีการเรียนรู้ด้วย การสังเกตถือว่า ความคาดหวังของผู้เรียนที่จะได้รับรางวัล หรือผลประโยชน์จาก พฤติกรรม ที่แสดงเหมือนเป็นตัวแบบ เป็นแรงจูงใจ ที่ทำให้ผู้สังเกตแสดงออก แต่สำหรับการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ แรงเสริมเป็นสิ่งที่มาจาก ภายนอกจะเป็นอะไรก็ได้ไม่เกี่ยวกับ ตัวของผู้เรียน
ปัจจัยที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกต
1. ผู้เรียนจะต้องมีความใส่ใจ (Attention) ที่จะสังเกตตัวแบบ ไม่ว่าเป็นการแสดงโดยตัวแบบจริงหรือตัวแบบสัญลักษณ์ ถ้าเป็นการอธิบายด้วย คำพูดผู้เรียนก็ต้องตั้งใจฟังและถ้าจะต้องอ่านคำอธิบายก็จะต้องมีความตั้งใจที่จะอ่าน
2. ผู้เรียนจะต้องเข้ารหัสหรือบันทึกสิ่งที่สังเกตหรือสิ่งที่รับรู้ไว้ในความจำระยะยาว
3. ผู้เรียนจะต้องมีโอกาสแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ และควรจะทำซ้ำเพื่อจะให้จำได้
4. ผู้เรียนจะต้องรู้จักประเมินพฤติกรรมของตนเองโดยใช้เกณฑ์ (Criteria) ที่ตั้งขึ้นด้วย ตนเองหรือโดยบุคคลอื่น
ความสำคัญของการควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง (Self-Regulation)
ความสามารถที่จะควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง โดยการที่เข้าใจถึง ผลที่เกิดตามมาของพฤติกรรม (Consequences) มีความสำคัญมาก บันดูรา (1977) กล่าวว่า ถ้าผลที่เกิดตามมาของพฤติกรรมของผู้เรียนคือรางวัล ผู้เรียนก็จะมีความพอใจ ในพฤติกรรมของตนเอง แต่ถ้าผลที่ตามมาเป็นการลงโทษก็จะก่อให้เกิดความไม่พอใจ ทั้งความพอใจหรือไม่พอใจ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ มาตรฐานของพฤติกรรมที่ผู้แสดงพฤติกรรมได้ตั้งไว้ ผลของการวิจัยเกี่ยวกับ การตั้งมาตรฐาน หรือเกณฑ์ที่จะประเมินพฤติกรรม ของตนเองพบว่าเด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีตัวแบบ ซึ่งตั้งเกณฑ์หรือ มาตรฐานของพฤติกรรมที่ต่ำ จะเป็นเด็กที่ไม่พยายามที่จะทำให้ดีขึ้น เพียงแต่ทำพอไปได้ตามที่ตัวแบบได้กำหนดไว้เท่านั้น ส่วนเด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีตัวแบบ ที่ตั้งเกณฑ์หรือ มาตรฐานของพฤติกรรมไว้สูง จะมีความพยายามเพื่อจะพิสูจน์ว่าตนเองทำได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่า การตั้งเกณฑ์ของพฤติกรรมไว้สูง จะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม ผู้ตั้งเกณฑ์จะต้องคำนึงว่า จะต้องเป็นเกณฑ์ที่ผู้เรียน จะสามารถจะทำได้เหมือนจริง (Realistic) เพราะถ้าตั้งเกณฑ์เกินความสามารถจริงของเด็ก เด็กก็จะประสบความผิดหวัง มีความท้อแท้ใจ ไม่พยายามที่จะประกอบพฤติกรรม (Kalory, 1977) ในกรณีที่เกณฑ์ที่ตั้งไว้สูงพอที่จะท้าทายให้ผู้เรียนพยายามประกอบพฤติกรรม ถ้าผู้เรียนทำได้ก็จะเกิดความพอใจเป็นแรงเสริมด้วยตนเอง (Self-Reinforcement) และทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ (Bandura, 1982)
ความสำคัญของแรงจูงใจของผู้เรียนในการเรียนรู้โดยการสังเกต
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า แรงเสริมด้วยตนเอง เป็นตัวแปรที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดแรงจูงใจ ที่จะแสดง พฤติกรรม ตามเกณฑ์ของ ความสัมฤทธิผล ที่ตั้งไว้ บันดูรา (1977) เชื่อว่า การเรียนรู้โดยการสังเกตเกิดขึ้นในขั้นการจดจำ ในขั้น การแสดงพฤติกรรม เหมือนตัวแบบ ผู้เรียนอาจจะไม่แสดงพฤติกรรม หรือแสดงพฤติกรรมเพียงบางส่วนของการเรียนรู้ในขั้นการเก็บจำก็ได้ ฉะนั้น ครูที่ทราบความสำคัญ ของแรงจูงใจของผู้เรียน ก็ควรจะสร้างสถานการณ์ในห้องเรียน ที่นักเรียนสามารถจะประเมินพฤติกรรมของตนเองได้ โดยใช้เกณฑ์ของสัมฤทธิ์ผลสูงแต่อยู่ในขอบเขตความสามารถของผู้เรียน เพื่อผู้เรียนจะได้ ประสบความสำเร็จ และ มีความพอใจ ซึ่งเป็น แรงเสริมด้วยตนเองและเกิดมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ต่อไป
สรุป
การเรียนรู้พฤติกรรมสำคัญต่าง ๆ ทั้งที่เสริมสร้างสังคม (Prosocial Behavior) และพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสังคม (Antisocial Behavior) ได้เน้นความสำคัญของการเรียนรู้แบบการสังเกตหรือเลียนแบบจากตัวแบบ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งตัวบุคคลจริง ๆ เช่น ครู เพื่อน หรือจากภาพยนตร์โทรทัศน์ การ์ตูน หรือจากการอ่านจากหนังสือได้ การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบด้วย 2 ขั้น คือ ขั้นการรับมาซึ่ง การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางพุทธิปัญญา และขั้นการกระทำ ตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลมีทั้งตัวแบบในชีวิตจริง และตัวแบบที่เป็นสัญญลักษณ์ เพราะฉะนั้นพฤติกรรมของผู้ใหญ่ในครอบครัว โรงเรียน สถาบันการศึกษา และผู้นำในสังคมประเทศชาติและ ศิลปิน ดารา บุคคลสาธารณะ ยิ่งต้องตระหนักในการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เพราะย่อมมีผลต่อพฤติกรรมของเยาวชนในสังคมนั้น ๆ
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
1. การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง คือ การยอมรับว่าตนมีสภาพ เช่นนั้นไม่ว่าจะ เป็นที่นิยมชมชอบของบุคคลอื่นหรือไม่ บุคคลย่อมมีโอกาสแสวงหา ความสุขความสำเร็จ ได้จากสิ่งที่ตนมี เช่น หน้าตาไม่สวย แต่เป็นคนร่าเริง ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า สวยข้างใน
2. การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ ดังได้กล่าวแล้วว่า องค์ประกอบของบุคลิกภาพ หลายอย่างย่อมอยู่ในวิสัย ที่แต่ละคน จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ถ้าได้ วิเคราะห์ตนเอง โดยละเอียดแล้วก็จะมองเห็นสิ่งที่ควรปรับปรุงอยู่หลายประการ เมื่อเราทราบความจริงเช่นนั้น บุคคลควรพยายามปรับปรุง ในสิ่งที่ทำได้และ ข้อสำคัญจะต้อง กระทำด้วยตนเอง จะให้คนอื่น ทำแทนไม่ได้ และที่ควรเริ่มปรับปรุงก่อนคือ การปรับจิตปรับใจ ให้ยอมรับได้ อภัยได้ หลังจากนั้นจะปรับเรื่องใดๆ ก็ง่ายแล้ว
3. การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ เป็นธรรมดาคนที่หน้าตาผิวพรรณดี ย่อมจะมี กำไรได้เปรียบผู้อื่น แต่กิริยามารยาท และ การวางตัวในสังคม ย่อมเป็นส่วนประกอบอันสำคัญ ที่ทำให้บุคลิกภาพของคนแตกต่างกัน คนสวยที่ขาดมารยาทอันดีงามอาจเป็น คนที่น่ารังเกียจ ของสังคม คนหน้าตาไม่สวย แต่ประพฤติดี ย่อมเป็นที่นิยมชมชอบ ของคนทั่วไป คนรูปหล่อนิสัยเลว กับคนขี้เหล่นิสัยดี เราจะเลือกใคร ความสวยเป็นคุณสมบัติเบื้องต้น ซึ่งถ้าบุคคลส่งเสริม ด้วยวิธีการอันถูกต้อง จึงจะเกิดประโยชน์ ถ้าส่งเสริมไม่ดี ก็จะเป็นผลร้ายแก่ตนเอง สิ่งที่จะนำมาใช้ หรือส่งเสริมรูปธรรมของตนนั้นมีอยู่เป็นอันมากเช่น มารยาทอันดี น้ำใจที่กว้างขวาง การยึดมั่นในศีลธรรมที่ถูกต้อง การวางตัวที่ถูกที่ควร ไมตรีจิตที่มีต่อคนอื่น ความรับผิดชอบ ความโอบอ้อมอารีล้วน แต่เป็นคุณสมบัติ ที่ดีใน การส่งเสริมบุคลิกภาพ พฤติกรรมเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพทั้งสิ้น
การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดี ควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่า บุคคลได้ส่งเสริม หรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง
4. การรู้สึกความท้อถอย บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้ว ทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ความท้อถอย แม้ว่า เป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกใน ความรู้สึกนึกคิด ทำให้พลัง และศักยภาพของเรา ลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนมีหลายเรื่องที่เราสมหวัง และก็มีอีกหลายเรื่องเหมือนกัน ที่เรารู้สึกเสียใจพูดไม่ออก บอกกับใครก็ไม่ได้ หรือถ้าบอกไปแล้ว อาจทำให้ความทุกข์ที่มีอยู่ มีมากกว่าเดิม อาการที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก บางครั้งเหนื่อย เบื่อ อ่อนล้า มีความคับข้องใจ ตัดสินปัญหาง่ายๆที่น่าจะทำได้ แต่ก็ทำไม่ได้ และในทางจิตวิทยาเราเรียกว่า อาการท้อ หรือถ้าพูดให้เป็นวิชาการ เราเรียกอาการเช่นนี้ว่า ความท้อถอย
ในเรื่องความท้อถอย มักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บุคคลในช่วงอายุอื่น จะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิด อาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ แต่มีหลายท่านที่รู้จักและมีคนจำนวนมาก ที่กำลังท้อถ้ามีอาการเหล่านี้ แนวทางที่จะช่วยให้บุคคลบรรเทาความท้อลงได้อาจพิจารณาได้ดังนี้คือ
มนุษย์เรามีความท้อถอยซึ่งสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์
2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มีเจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย ระแวง ไม่ไว้ใจคนอื่นมองเห็นเพื่อนไม่ใช่เพื่อน คิดทำร้ายตนเอง และคิดว่าคนอื่นจะทำร้ายตน เช่นกัน บุคคลในกลุ่มนี้จะรู้สึกว่า ตนเองด้อยค่า มีความรู้สึกทางด้านลบ
3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของตน บางท่านอาจจะรู้สึกเองว่า ตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมอง คุณค่าของตนเองต่ำ
ความท้อถอยของมนุษย์แบ่ง ได้ 3 ระดับ คือ ความท้อถอยในระดับสูง ความท้อถอยในระดับปานกลาง และความท้อถอยในระดับต่ำ โดยในแต่ละระดับบุคคลจะมีบุคลิกภาพดังนี้คือ
1. ความท้อถอยในระดับสูง คนที่ท้อถอยในระดับนี้นั้น จะมีความอ่อนล้าทางอารมณ์ค่อนข้างมาก และมีความรู้สึกด้อย ในคุณค่าของ ตนเองมาก เช่นกัน แต่ในเรื่องความ สำเร็จของงานบุคคลในกลุ่มนี้จะ รู้สึกว่างานของตนไม่พัฒนา หรือไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร หรืองานอยู่ในระดับต่ำนั่นเอง บุคลิกภาพที่พบคือ มักไม่พอใจในสิ่งที่ตนเอง กระทำรวมทั้งไม่พอใจใน สภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ขาดความมั่นใจในตนเอง
2. ความท้อถอยในระดับปานกลาง บุคคลประเภทนี้ จะมีความท้อในในสามลักษณะ ที่กล่าวมาในระดับปานกลาง เรียกได้ว่า อาการท้อถอยมีเหมือนกันแต่มีในระดับกลางๆ ยังไม่เข้ามาทำลายอารมณ์และความรู้สึกมากนัก บุคลิกภาพของคนกลุ่มนี้ มีความเชื่อมั่นกลางๆ
3. ความท้อถอยในระดับต่ำ บุคคลในกลุ่มนี้น่าสนใจ เพราะ บุคคลในกลุ่มนี้จะมีความท้อถอยในเรื่อง ความอ่อนล้าทางอารมณ์ และ ความรู้สึกด้อยคุณค่าในตนเองต่ำ สิ่งที่น่าสนใจคือ บุคคลในกลุ่มนี้ จะมีความสำเร็จส่วนบุคคลสูง มีบุคลิกภาพ เชื่อมั่นในตนเอง
สาเหตุของความท้อถอย ผู้เขียนขอสรุปเรื่องความท้อถอยมีสาเหตุดังต่อไปนี้
ประการแรกสาเหตุทางด้านบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้บุคคลมีอาการท้อถอย บุคลิกภาพที่ทำให้บุคคลท้อถอย คือ
1. บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่นเป็น บุคคลที่กลัวง่ายวิตกกังวลง่าย ชอบที่จะขอความช่วยเหลือ จากคนอื่น ทำงานตามคำสั่ง กลุ่มคนพวกนี้ถ้าเกิดอาการท้อเมื่อไรก็จะท้อถอยอย่างรุนแรง
2. บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น บุคคลประเภทนี้ มักเป็นคนหัวดื้อบอกไม่ฟัง เคารพความคิดเห็นของตนเองว่า ถูกต้องปฏิเสธความคิดเห็นของคนอื่นๆ บุคคลประเภทนี้มักไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว และชีวิตงาน เพราะความดื้อของตน จึงเป็นสาเหตุให้สะสมความท้อไว้ในตัวค่อนข้างมาก
3. บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง คิดแต่ว่าตนเองเก่งชอบเอาแต่ใจตนเอง จนเป็นนิสัย มั่นใจจนทำงานผิดพลาดบ่อยๆ แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาของตน นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ตัวเองเชื่อว่าตนเองถูก ตนเองทำดี พอท้ายสุดไม่ถูก ไม่ดี ไม่เก่ง อย่างที่ตนเองคิด ความท้อถอยก็เกิดขึ้น
4. บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในทุกเรื่อง ทำอะไรก็รู้สึกผิดไปทุกอย่าง คนในกลุ่มนี้มีความท้อถอยแน่นอน
ประการที่สองสาเหตุทางด้านอายุ
การวิจัยจากหลายหน่วยงานทั้งจากต่างประเทศและในประเทศพบว่า บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้ เพราะ ความท้อถอยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น รวมไปถึงบุคคลที่มี ความสามารถใน การปรับตัวได้ ย่อมมีความท้อถอยในระดับต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีอายุ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จะไม่มี ความท้อถอย เราทุกคนอาจเกิด อาการท้อถอยได้เช่นกันแล้ว แต่ระดับความรุนแรงของปัญหา และวิธีการเลือกแนว ทางแก้ไขของแต่ละคน
แต่สำหรับข้อนี้ เชื่อว่าอายุน้อยความรุนแรงของความท้อ ก็มีมาก ถ้าเรามีเด็ก ๆ ในปกครอง เราอย่าสร้างความกดดันให้บุคคลมากนัก อย่าแสดงคาดหวังว่า เขาต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นสิ่งที่เราขีดเส้นให้เดิน ความคิดเช่นนี้จะทำให้สร้างความกดดันให้กับเด็กๆ ในปกครอง จงให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น สอนเรื่อง คุณธรรม และการดำรงตนอย่างถูกทำนองคลองธรรม เท่านี้ ความท้อก็ไม่เกิด กับเด็กๆในปกครอง แต่ถ้าท่านยิ่งมีอายุสูง หน้ากากทางสังคมยิ่งสูง มีพฤติกรรมเสแสร้ง ตัวตนภายนอก กับตัวตนภายใน ไม่สอดคล้องกัน นานวัน อายุมากขึ้นบุคคลประเภทนี้ก็จะกลายเป็นคนเริ่มท้อ เหนื่อย ล้า และอ่อนเปลี้ยใจในที่สุด พอถึงเวลานี้แม้อายุจะมาก ประสบการณ์จะมาก สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้ช่วยท่านเลย
ประการที่สามสาเหตุทางด้านสถานภาพการสมรส
ความท้อมักเกิดกับ คนโสดมากกว่า คนสมรสแล้ว ความท้อยังสัมพันธ์กับความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนานและค่อนข้างรุนแรง แต่สำหรับบุคคลสมรสแล้ว ถ้าสภาพการสมรส เป็นไปด้วยดี มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ครอบครัวเข้าใจกัน ครอบครัวมีความรักความเข้าใจเป็นพื้นฐาน เมื่อมีปัญหาใดในครอบครัว ก็สามารถจัดการได้ในเวลาไม่นานนัก บุคคลที่มีครอบครัวอย่างที่กล่าว ความท้อย่อมอยู่ในระดับต่ำ แต่ถ้าบุคคลที่มีครอบครัวดี แต่ชีวิตการทำงานล้มเหลว หรือไม่ประสบ ความสำเร็จ ในเรื่องงาน บุคคลก็จะมีความท้อถอยมาก และผู้ชายจะมีอาการท้อถอยมากกว่าผู้หญิงในกรณีนี้ เพราะเมื่อผู้ชาย มีอายุมากขึ้น ฐานะครอบครัวดีขี้น ลูกๆดี สิ่งทีผู้ชายปรารถนาคือ การก้าวไปสู่ตำแหน่งของงานที่สูงกว่า แต่ถ้าเผอิญงานล้มเหลว ผู้ชายจะมีระดับความท้อถอยมาก ความสุขของครอบครัว ความสำเร็จของงาน เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ในการมีชีวิตบางครั้งเรา คงไม่ได้ทั้งสองอย่างใน เวลาเดียวกัน ถ้าบุคคลยอมรับสภาพ และพยายามลด ความต้องการ ของตนมา ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจาก การเล่นเกม จริงใจต่องาน จริงใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ ทำงาน เพราะงานนั้นเป็นงานของเรา ไม่คาดหวังอะไรมากนัก บางครั้งอาจเกิด ความสุขได้เช่นกัน การแข่งขันที่ดีที่สุด คือ การแข่นขันกับตัวเอง ไม่เอาคนอื่น ไม่เอาสิ่งอื่นมาเป็นเงื่อนไขของสิ่งใดๆทั้งสิ้น เท่านี้ ความท้อก็ห่างไกล และการที่บุคคลมีครอบครัวดี ความสำเร็จในชีวิต ก็มีมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ประการที่สี่สาเหตุทางด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ
อาการท้อของบุคคลมีสาเหตุมาจาก การปฏิบัติงานอยู่หลายเปอร์เซ็นเช่นกัน ถ้าเป็นช่วงแรก ๆ ของการทำงาน เริ่มตั้งแต่สองปีแรก ของการทำงานบุคคล จะเกิดความท้อได้ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิด อาการท้อมากขึ้น แต่ก็มีบางท่าน ที่เข้าสู่ระบบงาน โดยมีเพื่อนร่วมงาน มีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือดี บุคคลประเภทนี้นับว่า เป็นคนที่โชคดีที่สุด เพราะจะมี อาการท้อถอยน้อยมาก เมื่อมีปัญหาใดๆ ก็มีเพื่อนคอยแนะ มีพี่คอยชี้ทาง สำหรับบุคคลที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ยืนอยู่ด้วยขาของตนอง มีปัญหาใดๆมากระทบ ความท้อถอยจึงเกิดขึ้นได้ง่าย แก้ปัญหาความท้อไม่ได้ งานก็ทำไม่สำเร็จ เดี๋ยวก็เกิดปัญหานั่น เดี๋ยวก็เกิดปัญหานี่ งานในความรับผิดชอบ ก็ตกต่ำลง บางทีงานยังไม่ถึงกับตกต่ำ แต่ก็เกิดอาการท้อได้
แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย สามารถกระทำได้ดังนี้ คือ
1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น อาการท้อถอยเกิดขึ้น จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อย อ่อน ล้า เกิดความหวั่นไหว ทางอารมณ์ ความวิตกกังวลอยู่ในระดับสูงขึ้น ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร เราต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า ที่ท้อ ๆ อยู่นี่มันมาจากสาเหตุของครอบครัว สาเหตุจากงาน เพื่อนร่วมงาน ระบบงาน หรือสาเหตุอะไร พอได้สาเหตุนั้นแล้ว เริ่มแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เรียงลำดับของปัญหาก่อนหลัง ปัญหาใดที่มีความรุนแรงน้อยเอามาแก้ก่อน พอเริ่มแก้ไขได้ ก็เริ่มแก้ไขปัญหาลำดับถัดไป บางท่านมีสไตล์ไม่เหมือนใคร ท่านอาจแก้ที่ปัญหาใหญ่เลย ความท้ออันใหญ่หมดก่อนค่อยๆ แก้สาเหตุแห่งความท้อเล็กๆ ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่าน เพราะคนที่รู้ดีว่า วิธีการใดดีที่สุดก็คือ ตัวท่านเอง
2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม เพราะสิ่งต่างๆในชีวิตเรานั้นไม่สมดุลอย่างที่คิด ยิ่งความคาดหวัง กับผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน บางครั้งมันอาจเดินสวนทางกัน ส่วนปัจจัยใดไม่อาจสรุปได้ หรือไม่อาจเดาใจเจ้านายได้ พอมาถึงขั้นนี้ให้คิดเสียว่า ความหวัง ความปรารถนาของเราสูงไป ทำให้เราไปไม่ถึง ดวงดาว ก็ทำงานกันไป ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ยึดงานเป็นตัวตั้ง อย่ายึดความท้อเป็น เพื่อนร่วมทางชีวิต บางทีหลายสิ่งหลายอย่างในวันนี้ที่ไม่ดี เราอาจได้ดีในส่วนอื่นก็ได้ เรียกได้ว่า เมื่อมีชีวิตก็หวังกันไป ให้กำลังใจตัวเองไป ถ้าเราไม่รู้จักให้กำลังใจตนเอง ใครที่ไหนจะคอยมาให้กำลังใจเรา
3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า “งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้ สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน” ถ้าเราทำงานมากๆงานก็จะคุ้มครอง คนทำงานเสมอทำงานแล้ว รักงานที่เราทำ อย่าท้อ เช้าขึ้นมา เรารับประทานอาหารหลายอย่าง แต่เราไม่กินอยู่อย่างหนึ่งคะ คือไม่กินลูกท้อ ไม่กินลูกหมากรากไม้อะไร ที่ทำให้ใจคอเรา ห่อเหี่ยว สร้างเจตคติใหม่ ด้วยตัวเราเอง จงสร้างพลังและศักยภาพด้วยตัวเรา ไม่เอาตัวเราเปรียบเทียบกับคนอื่น เท่านี้ความท้อ ไม่มาเยือนท่านแน่นอน
4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่ จุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายในชีวิตที่เราตั้งไว้ ถ้ามีอุปสรรค หรือถูกสกัดกั้น อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ อย่าพึ่งท้อเราอาจไม่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่ง แต่ในชีวิตเรามีตั้งหลายเรื่อง ที่เราจะประสบความสำเร็จ เราก็เอาความสำเร็จ ตรงนั้นมานั่งนึกมา สร้างกำลังใจ มาสร้างจุดมุ่งหมายใหม่ ชีวิตใหม่ก็จะมีพลัง จิตใจก็จะเข้มแข็ง
การที่บุคคลเกิด ความรู้สึกท้อถอย ซึ่งเป็นอาการภายใน หรือบุคลิกภาพภายในที่ผลักดันให้ บุคลิกภาพภายนอกไม่สง่า ขาดความเชื่อมั่นใน ตนเอง หมดกำลังใจ ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในอาการของความท้อ สาเหตุแห่งความท้อ และ วิธีการสร้างพลัง และ ศักยภาพใน การเสริมสร้าง กำลังใจให้ตนเอง บุคคลจะมีแนวทางที่ดีใน การพัฒนาบุคลิกภาพ ให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป สร้างพลังภายในให้เข้มแข็ง สร้างกำลังใจให้ตนเองแล้ว ความฝัน ความหวังก็จะใกล้แค่เอื้อม
สำหรับเรื่องบุคลิกภาพภายใน สุเมธ แสงนิ่มนวล ( 2545 : 108 ) อธิบายไว้ว่าบุคลิกภาพภายในมี 9 ประการคือ
1. ความเชื่อมั่นในตนเอง
2. ความกระตือรือร้น
3. ความรอบรู้
4. ความคิดริเริ่ม
5. ความจริงใจ
6. ไหวพริบปฏิภาณ
7. ความรับผิดชอบ
8. ความจำ
9. อารมณ์ขัน
ทั้งหมดนี้ถ้าอยากมีบุคลิกภาพดีต้องพยายามสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น
การเสริมสร้างบุคลิกภาพ สุเมธ แสงนิ่มนวล ( 2545 : 108-109 )
1. The way you look ยามที่มองใครอย่าจ้องหน้าใครนานอย่ามองแต่ตาให้มองทั้งหน้า
2. The way you dress การแต่งกายดี
3. The way you talk พูดแต่เรื่องดีๆ
4. The way you walk เดินมองไปข้างหน้าอย่าก้มหน้า
5. The way youact การแสดงออกทางท่าทาง เช่น การไหว้ ต้องไม่กางแขนหรือเก็บแขนจนเกินไป
6. The skill with which you do ทำอะไรทำให้เกิดทักษะความชำนาญ
7. Your health สุขภาพสำคัญ สุขภาพดี บุคลิกก็ดีด้วย การออกกำลังกายช่วยได้อย่างมาก
สำหรับกลวิธีปรับปรุงบุคลิกภาพ
1. จงเป็นคนใจกว้าง
2. จงให้ความร่วมมือกับผู้อื่น
3. จงเป็นตัวของตัวเอง
4. จงแสวงหาคำแนะนำ
5. จงลงมือทำจนกว่าจะถูกต้อง
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก
· การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก
· มารยาทในการแนะนำตัว
· มารยาทในการแต่งกาย
· มารยาทในการรับประทานอาหาร
มารยาทในการแนะนำตัว
มารยาทในการแนะนำตัวนับเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะบุคคลจะต้องอยู่ในเหตุการณ์ที่จะต้องแนะนำตัวบ่อยครั้ง เช่น เมื่อเราพาเพื่อนไปร่วมงานเลี้ยง โดยมารยาทแล้วจะต้องแนะนำคนใหม่ให้รู้จักกับเพื่อนของเราด้วย ถ้าเราเป็นเจ้าภาพในงานนั้น เราจะต้องแนะนำแขกให้รู้จักซึ่งกันและกัน สำหรับงานเลี้ยงใหญ่ๆ เจ้าภาพจะแนะนำเพียงแขกกลุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ เราเท่านั้น จากนั้นก็เป็นเรื่องของแขกผู้นั้น จะต้องหาทางแนะนำตัวเองให้รู้จักกับคนอื่น ๆ ในงานต่อไป
การแนะนำตัวเราเอง เราเพียงแต่จะพูดง่าย ๆ ว่า
“สวัสดีครับ ผมชื่อ………….” “สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ………….”
แต่ถ้าเราบังเอิญเคยพบบุคคลนั้นมาก่อน เราอาจจะพูดต่อท้ายว่า
“เราเคยพบกันมาแล้วครับ ที่………” หรือ “ผมเป็นเพื่อนของ………..”
“เราเคยพบกันมาแล้วค่ะ ที่………” หรือ “ดิฉันเป็นเพื่อนของ………..” เป็นต้น
เมื่อเราแนะนำให้คนสองคนได้รู้จักกัน ก็เท่ากับเป็นการเสนอคนหนึ่งให้รู้จักกับอีกคนหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งเรากำลังขออนุญาตบุคคลผู้นั้นแนะนำอีกคนหนึ่งให้รู้จักกัน เช่น
ในกรณีที่เป็นผู้ชาย “คุณภูมเรศ ผมขอแนะนำให้รู้จักกับคุณนิด…ครับ”
“คุณนิดครับ นี่คือคุณภูมเรศ…ครับ”
ในกรณีที่เป็นผู้หญิง “คุณนิดคะ ดิฉันขอแนะนำให้รู้จักกับคุณหน่อย…ค่ะ”
“คุณหน่อยคะ นี่คือคุณนิด…ค่ะ”
มารยาทในการแนะนำให้บุคคลรู้จักกันในสังคม จะต้องคำนึงสิ่งต่าง ๆ 4 ข้อดังต่อไปนี้
1. จะต้องแนะนำคนที่อ่อนวัยกว่าต่อผู้อาวุโสกว่าเสมอ
2. จะต้องแนะนำผู้ชายก่อนให้ผู้หญิงรู้จักก่อนเสมอ
3. การแนะนำผู้ที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าต่อผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเสมอ
4. ในทางธุรกิจ จะต้องแนะนำพนักงานระดับต่ำกว่าต่อพนักงานระดับสูงกว่าเสมอ
ในกรณีที่เราเป็นผู้ถูกแนะนำ เราก็ควรแสดงอาการรับรู้ด้วยการกล่าวคำทักทาย เช่นใช้คำว่า
“สวัสดีครับ” และจะเป็นการช่วยให้เราจำชื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ดีขึ้น ถ้าเราจะเอ่ยชื่อของเขาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เช่น “สวัสดีครับ คุณสมชาย…ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ในสังคมไทยเราไม่นิยมการจับมือกัน ยิ่งถ้าเป็นการแนะนำให้รู้จักกับสุภาพสตรีด้วยแล้ว ประเพณีไทย อาจจะมีการยกมือไหว้ ถ้าบุคคลมีความอาวุโสต่างกันมาก หรือผู้หญิงอาจจะเพียงแต่ยิ้มพร้อมพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับกล่าวคำทักทายว่า “สวัสดีค่ะ” ถ้าหากเป็นการแนะนำกับชาวต่างประเทศก็จะมีการสัมผัสมือด้วย ผู้หญิงส่วนใหญ่จะยื่นมือให้สัมผัสโดยอัตโนมัติ และฝ่ายชายก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องรอให้ฝ่ายหญิงยื่นมือมาให้ แต่จะยื่นมือให้ก่อนและฝ่ายหญิงก็ไม่ควรลังเลที่จะสัมผัสมือกับฝ่ายชาย เพราะหากไม่ยอมสัมผัสมือ เมื่อฝ่ายหนึ่งยื่นมือมาแล้ว มารยาทตะวันตกถือว่า เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง
ในการสัมผัสมือ บุคคลไม่ควรบีบมือของอีกฝ่ายหนึ่งแรงจนเกินไปนักแต่ก็ไม่ปล่อยมือให้อ่อนปวกเปียกจนไม่มีกระดูก การสัมผัสมือไม่ควรจะเนิ่นนานเกินไปควรเขย่ามือสั้น ๆ 2 – 3 ครั้งไม่ทำแรงเกินไป และจับมือให้กระชับให้เกิดความรู้สึกที่เป็นกันเอง ก็เพียงพอแล้วข้อเสนอแนะในการสร้างความประทับใจเมื่อพบครั้งแรก
1. แต่งตัวให้เหมาะสมกับความคาดหวังของที่เราจะมาพบหรือ แต่งตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่คนอื่นคาดหวังว่า เราควรจะแต่งกายอย่างไร
2. ยิ้มกับบุคคลที่พบเห็นเสมอ การยิ้มเป็นภาษาสากล การยิ้มเป็นการทักทายกับคนที่รู้จัก
3. การพูดคุยต้องประสานสายตาของผู้ที่เราจะคุยด้วยให้ความสนใจในรายละเอียดแต่ไม่ใช่จ้องหน้าเวลาพูดต้องมองหน้าคนไม่ก้มดูพื้น หรือมองไปที่อื่นในขณะที่ท่านคุยกับคู่สนทนา อย่าจ้อง หน้าคู่สนทนามากเกินไป
4. อย่าลืมกล่าวทักทายกล่าวคำว่า “สวัสดีคะ” หรือ การจับมือซึ่งต้องจับมืออย่างเต็มใจ จริงใจ ใส่ความรู้สึกที่ดีๆขณะจับมืออย่าบีบมือแรง
5. ให้การต้อนรับอย่างจริงใจพร้อมกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ…คุณสบายดีหรือครับ ดีใจที่ได้พบคุณมาร่วมงาน” “เชิญข้างในก่อนคะ”
6. เรียกชื่อผู้ติดต่อด้วย ให้ถูกต้องชัดเจน จะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็ได้ดูว่าสนิทระดับใด
7. อย่าพูดค่อยหรือพูดดังจนเกินไป การพูดเสียงค่อยเกินไปอาจจะตีความได้ว่าท่านไม่ค่อยมั่นใจ และไม่ต้องการสนทนาด้วย ในทางตรงกันข้ามถ้าพูดเสียงดังเกินไปอาจจะดูไม่สุภาพนัก
8. ถ้าเป็นเจ้าของบ้านทำหน้าที่รับแขก อาจจะต้องหาน้ำหรือกาแฟมาให้แขกดื่มถ้าแขกของท่านต่างวัฒนธรรม ต้องแสวงหาความคาดหวังของเขาตามรูปแบบวัฒนธรรมของเขา
9. ถ้าเป็นการประชุมในที่ทำงานของท่าน ให้ท่านยืนต้อนรับที่หน้าประตูทางเข้าห้องประชุมให้ท่านยืนต้อนรับแขกและส่งแขก
10. ถ้าเป็นแขกไปเข้างานให้สังเกตวัฒนธรรมเจ้าของบ้าน สังเกตวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แสดงออกและวางตนให้เหมาะกับวัฒนธรรมนั้นๆ
11. ศึกษาประวัติบุคคล และหน่วยงานที่ท่านจะไปเข้าร่วมประชุม ศึกษานิสัยใจคอบุคคลที่เราจะไปพบ สิ่งที่เขาชอบไม่ชอบความสนใจเรื่องวัฒนธรรมองค์การควรศึกษาก่อนไปพบ
12. การรู้จักสังเกตกฎเกณฑ์พื้นฐาน ความสุภาพ และพฤติกรรมที่ถูกต้องทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสนทนากับใครอย่าพูดตัดบท
13. การฝึกเป็นนักฟังมากกว่านักพูดแบบไร้สาระการฟังจะทำให้บุคคลฉลาดขึ้น ดูน่านับถือมากขึ้น จะได้รับความสนใจ มีเสน่ห์มากขึ้น ในทางตรงกลับกันถ้าผู้ที่เราสนทนาด้วยเป็นผู้ฟังที่ดีเราก็อยากจะพูดด้วย จงเป็นได้ทั้งผู้พูดที่ดีและผู้ฟังที่ตั้งใจจะฟัง
14. การพูดไม่ควรนำเรื่องเครียดมาพูดในงานรื่นเริง รู้จักเลือกหัวข้อที่จะพูด มีศิลปะในการพูดและพูดให้ถูกเวลา ถูกสถานที่และถูกเรื่อง การพูดคุยเพื่อการสร้างมิตรภาพต่างจากการพุดเพื่อเสนอขายสินค้า จงอย่าใช้เวลาแห่งมิตรภาพ ลงมือพูดเพื่อขายของ ถ้าทำเช่นนั้นท่านอาจจะไม่มีมิตรต่อไปหรือพอเห็นหน้าท่านเพื่อนอาจจะเปลี่ยนกลุ่มทันทีก็ได้
15. การพูดควรมีอารมณ์ขัน รู้จักแทรกข้อคิดตลก ทำให้บรรยากาศในการรู้จักกันผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่พูดตลกแบบหยาบทะลึ่ง จนฟังแล้วไม่งามนัก เช่นตั้งคำถามว่า “คุณเคยไปนรกมั๊ย” คำถามนี้ทำให้คนฟังนิ่ง จะมาทางไหน...แน่ นรกกับสวรรค์ห่างกันไม่ถึง 10 เมตร แต่เราไปสวรรค์ยากกว่ามาก ( คนฟังชักงง ตั้งใจฟังต่อ ) นรกกับสวรรค์เขาตกลงสร้างถนนโดยแบ่งกันสร้างคนละ 5 เมตรไม่ถึงสองวันฝ่ายนรกก็สร้างเสร็จ ปรากฏว่าฝ่ายสวรรค์ยังสร้างไม่เสร็จ เดือนผ่านไป ฝ่ายนรกก็ถามว่าทำไม่สร้างถนนไม่เสร็จสักที สวรรค์บอกว่าผู้รับเหมาบนสวรรค์ไม่มี จึงสร้างถนนไม่ได้นะซิ” เป็นต้น
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก
· การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก
· มารยาทในการแนะนำตัว
· มารยาทในการแต่งกาย
· มารยาทในการรับประทานอาหาร
มารยาทในการแต่งกาย
สิ่งที่จะทำให้คนเราประทับใจครั้งแรกเมื่อพบเห็นและเกิดความรู้สึกว่า บุคคลมีบุคลิกภาพดีหรือบุคคลนั้น มีลักษณะเป็นผู้นำ หรือมีศักยภาพใน การเป็นผู้นำก็คือ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราสวมใส่ และวิธีที่เราเลือกเสื้อผ้าแต่งเรือนกาย ถึงแม้ว่าบางคนไม่ได้มีเครื่องแบบ เหมือนเช่นทหาร หรือข้าราชการแต่การที่เขาแต่งกายแล้วสามารถมองดูว่ามีบุคลิกภาพดีได้นั้น ก็มีกฎเกณฑ์บางอย่าง เช่น คนที่เป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้นำการแต่งกายของเขา ควรจะต้องเป็นแบบอนุรักษ์นิยมและเรียบร้อยลักษณะของเสื้อผ้า หรือชุดควรจะเป็น ทางการเสมอ เสื้อผ้าที่ตัดเย็บอย่างดีรับกับเรือนร่างของผู้สวมใส่ทั้งชายและหญิงจะบอกผู้คนรอบข้างว่าคนๆ นั้นเป็นคนเอาจริงเอาจัง กับการงานและมุ่งมั่นก้าวสู่ความสำเร็จ การแต่งกายให้สอดคล้องตามกฎเกณฑ์สังคม จะทำให้บุคคลเข้าสังคมได้อย่างไม่ขัดเขิน
การแต่งกายทำให้บุคลิกภาพดี การพิจารณาเลือกเสื้อผ้าที่จะใช้ให้เข้ากับรูปร่างหน้าตา สีผิว คุณภาพของการตัดเย็บ การเลือกสีเสื้อผ้าให้เข้ากับ วิธีการแต่งกายมีแนวทางในการพิจารณาดังนี้
วิธีการเลือกชุดทำงาน
นอกจากเสื้อผ้าชุดหลักดังกล่าวแล้ว ยังมีสิ่งที่ควรพิจารณาประกอบอีกเล็กน้อย เช่น เสื้อกันฝน รองเท้า ถุงน่อง เข็มขัด ผ้าพันคอ ที่ติดเสื้อ สร้อยคอ และเนคไท ดังอธิบายคือ
1. ในการเลือกเสื้อผ้าชุดไปทำงานจะต้องพิจารณาถึงสไตส์การแต่งกายหากไม่มีกฎเกณฑ์ บังคับเคร่งครัด สามารถเลือกเสื้อสูทกับ กางเกงคนละสีได้ แต่ถ้าหน่วยงานนั้นมีกฎเกณฑ์ให้ใช้สูทกับกางเกงสีเดียวกัน เสื้อตัวในใช้สีอ่อนและควรจะเป็นโทนสีเย็น
2. เสื้อเชิ้ต และเสื้อครึ่งท่อนสำหรับผู้หญิงที่เป็นชุดทำงานควรจะเป็นแบบเรียบๆ ไม่สมควร ประดับลูกไม้จนรุงรัง หรือติดระบายจนรู้สึกรุ่มร่าม ผู้หญิงควรเลือกเสื้อแขนยาวเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงเสื้อคอคว้านลึก ผู้ชายควรจะเลือกเสื้อเชิ้ต ที่ไม่เน้นลำตัว เสื้อเชิ้ตควรเป็นเสื้อแขนยาวเสมอสิ่งที่ไม่เหมาะใช้ในที่ทำงานคือเสื้อยืดรัดรูป (สตรี) หรือสเวตเตอร์ ไม่เหมาะสมจะเป็นชุดใส่ไปทำงาน เพราะเสื้อยืดรัดรูปจะเน้นสัดส่วนเรือนกายให้เด่นชัด หากจะนำมาใช้กับชุดทำงานจะต้องมีสูทใส่ทับอีกชั้น
กางเกง ผู้หญิงไม่ควรจะสวมกางเกงไปทำงาน ( เว้นแต่กรณีอากาศหนาว หรือในบริษัท ไม่มีกฎเกณฑ์บังคับ ) คุณอาจจะรวมกางเกงไว้กับเสื้อผ้าทำงานชุดหลักก็ได้ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า การเลือกซื้อเสื้อผ้าชุดทำงานที่ดี ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้โดยง่ายใน ความประณีตในการตัดเย็บ เสื้อผ้าที่มีคุณภาพนั้น จะต้องคงรูปตามเดิมอยู่ได้เป็นเวลาปลายปี จะสังเกตเห็นฝีมือและความประณีตในการเย็บเสื้อผ้าได้จากสิ่งเหล่านี้ เช่น
1. ปกและคอเสื้อ ควรจะตั้งขึ้น พับลงหรือติดแนบกับตัวเสื้อตามแบบที่ผู้ออกแบบกำหนดและเมื่อผ่านการซักรีดเพียงครั้งหรือสองครั้ง ปกและคอเสื้อไม่ควรเสียงรูปทรง ควรตรวจดูว่าของตะเข็บของปกเสื้อได้เย็บซ่อนไว้อย่างเรียบร้อย
2. แผ่นรองซับในควรจะทำด้วยวัสดุที่คงรูปร่างได้ดี เมื่อลองใช้มือขยำเสื้อดู แผ่นรองซับในที่ทำด้วยวัสดุที่ดีก็ควรจะคืนรูปได้ดังเดิมทันที
3. ซิปและรังดุม ควรตรวจดูว่าไม่มีรอยย่นตามขอบซิป ไม่จำเป็นต้องสนใจกระดุมมากนัก เพราะส่วนใหญ่เราจะดึงออกและติดเม็ดใหม่แทน แต่ที่รังดุมควรจะดูให้ดีว่าเย็บไว้เรียบร้อยดีหรือไม่ รังดุมที่เย็บไว้รุ่ยร่าย ทำให้เสื้อผ้าดูไม่มีราคา
4. สำหรับเสื้อสูท ควรตรวจดูความเรียบร้อยของซับใน และดูว่าแผ่นรองซับในตรงบริเวณรอยต่อแขนเสื้อซึ่งช่วยไม่ให้ซับในบริเวณนั้นขาดง่าย
5. กระโปรงควรจะมีซับใน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระโปรงที่มีเนื้อผ้าที่อาจจะเสียรูปทรงได้ง่าย เช่น กระโปรงถัก กระโปรงที่ตัดเย็บอย่างดีควรจะมีซับในแยกต่างหากเย็บติดอยู่ด้านใน
6. ควรตรวจดูตะเข็บว่าแข็งแรงพอที่จะไม่ปริแตกง่ายเวลาสวมใส่ และตะเข็บควรจะเป็นตะเข็บคู่ เพื่อกันไม่ให้รอยเย็บหลุดลุ่ยได้ง่าย
7. ถ้าใช้ผ้าลาย ควรตรวจดูให้แน่ว่า ลายผ้าต่อกันพอดีตรงรอยตะเข็บ
8. เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าเนื้อดีที่สุดเท่าที่คุณจะมีกำลังซื้อได้ จะพูดถึงเรื่องเนื้อผ้าโดยละเอียดอีกครั้ง
การเลือกเสื้อผ้าให้รับกับเรือนร่าง
เสื้อผ้าซึ่งตัดเย็บอย่างประณีตแล้วจะไม่มีประโยชน์อันใดหากไม่รับกับเรือนร่างได้อย่างเหมาะเจาะถึงจะเลือกซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อดีขนาดไหน แต่ถ้าหลวมหรือคับเกินไปก็จะไม่ช่วยให้ภาพพจน์เด่นขึ้น ขนาดของเสื้อผ้าของแต่ละยี่ห้อจะไม่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งยี่ห้อเดียวกัน แต่ต่างแบบกัน ขนาดก็อาจจะต่างกันไปด้วย ฉะนั้น เมื่อจะเลือกซื้อเสื้อผ้าจะต้องลองสวมก่อนเสมอ
ในการลองเสื้อผ้า นอกจากจะดูว่าขนาดพอดีกับตัวแล้ว ก็ต้องดูว่าเสื้อผ้านั้นสวมใส่สบายหรือไม่ โดยลองนั่ง ลุก ยืน และเดินไปมา ในขณะเดียวกันก็ตรวจดูคอเสื้อ ไหล่ เอว ความยาวของเสื้อ รอยต่อแขน แขนเสื้อ และความยาวของกระโปรง หรือขากางเกง
มีข้อแนะนำบางประการในการช่วยให้เลือกเสื้อผ้าที่เข้ารูปได้ดังนี้
การเลือกเสื้อสูท และเสื้อสูทลำลอง คอเสื้อและปกเสื้อควรจะแบะแนบเรียบอยู่กับตัวเสื้อ ตอนลองเสื้อควรจะส่องดูในกระจกทั้งสามด้านและตรวจดูด้านหลังเสื้อ หากมีรอยย่นเป็นแนวอยู่ใต้ปกเสื้อแสดงว่าเสื้อหลวมเกินไป แต่ถ้าเห็นรอยตึงขวางอยู่บนแนวปีกไหล่ก็แสดงว่าเสื้อคับเกินไป ตรวจดูความกว้างของแขนเสื้อ คุณจะขยับแขนได้อย่างอิสระ โดยไม่รั้งเอาตัวเสื้อตามไปด้วย ตรวจดูที่ปลายแขนเสื้อด้วย ความยาวของแขนเสื้อสูทผู้ชายควรจะยาวพอให้เห็นปลายแขนเสื้อเชิ้ตโผล่ออกมา ¼ นิ้ว ½ นิ้ว สำหรับผู้หญิง แขนเสื้อควรจะยาวถึงข้อมือตรงบริเวณต่อกับนิ้วหัวแม่มือ
ลองติดกระดุมเสื้อดู ถ้าเห็นรอยตึงเป็นรูปกากบาทตรงบริเวณกระดุม ก็แสดงว่าเสื้อตัวนั้นคับเกินไป ตรวจดูความยาวชายเสื้อ สำหรับผู้ชายทำได้ง่าย ๆ ด้วยการยืนตัวตรง และทิ้งแขนลงมาข้างลำตัวมือกำหลวม ๆ ปลายแขนเสื้อสูทควรจะอยู่ในอุ้งมือพอดี ส่วนความยาวของเสื้อสตรีนั้นจะขึ้นกับสมัยนิยมเป็นส่วนใหญ่ แต่ควรจะดูให้เหมาะสมด้วย เพราะเสื้อสูทที่สั้นหรือยาวเกินไปจะทำให้ส่วนสัดดูผิดเพี้ยนไป
กางเกง เป้ากางเกงควรจะเรียบไม่มีรอยย่นเลย ขอบกางเกงควรฟิตกับเอวพอดี และไม่คับจนเกินไป ถ้าเอวหลวมจะทำให้ตัวกางเกงหย่อนยานโป่งพอง แต่ถ้าคับจนเกินไปจะรั้งตัวกางเกงขึ้นมาหมดทำให้สวมใส่ไม่สบายก้น และเป้ากางเกงไม่ควรจะตึงหรือหย่อนยานจนเกินไป
ควรจะลองกางเกงพร้อมกับรองเท้าที่ใส่เป็นประจำ ชายขากางเกงที่ยาวพอดีนั้นควรจะจรดรองเท้าพอดี สำหรับกางเกงของผู้หญิงนั้น การเลือกก็ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับของผู้ชาย แต่ให้จำไว้เสมอว่ากางเกงไม่เหมาะที่ผู้หญิงจะใส่ไปทำงานในเกือบจะทุกโอกาส
กระโปรง ความยาวของชายกระโปรงขึ้นลงได้ทุกปีตามสมัยนิยม แต่ถ้าจะเลือกการแต่งกายแบบอนุรักษ์นิยม ชายกระโปรงก็ควรจะยาวคลุมเข่าเล็กน้อย พอที่จะปิดเข่ามิดพอดีเวลานั่ง อย่าซื้อกระโปรงที่สั้นจนเกินไป ลองให้แน่ใจว่า ขอบกระโปรงฟิตกับเอวพอดี ขอบกระโปรงที่รัดแน่นเกินไปจะใส่ไม่สบาย และดูไม่สวย พยายามเลือกกระโปรงเผื่อตะเข็บข้างและชายกระโปรงไว้มากพอที่จะขยายไว้ภายหลัง
เสื้อเชิ้ต เมื่อติดกระดุมคอแล้วปกเสื้อควรจะกระชับ แต่พยายามอย่าเลือกคอเสื้อที่คับจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดรอยย่น ตะเข็บขอบไหล่ควรจะอยู่ตรงบริเวณหัวไหล่พอดี และวงแขนควรจะกว้างพอที่จะเคลื่อนไหวได้สะดวก อย่าให้รอบอกและเอวคับจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรเลือกเสื้อตัวใหญ่มากตนดูโคร่ง ผู้ชายควรจะเลือกเสื้อที่ลำตัวเรียวเล็กลง นอกจากว่า จะเป็นคนที่อ้วนมาก ๆ ข้อมือควรจะฟิตพอดี
การแต่งกายให้เหมาะสมตามรูปร่างแต่ละแบบ
คนเตี้ยรูปร่างเล็ก
1. ใส่เสื้อคอวี ถ้าเตี้ยมากไม่ควรสวมสร้อยคอ
2. แบบเสื้อเรียบที่สุดโดยเฉพาะบริเวณอกอย่าเสริมไหล่เสื้อที่แขนพองที่หัวไหล่
3. เอวเรียบ ถ้าจำเป็นต้องใช้เข็มขัดให้ใช้เล้นเล็กมากๆ
4. เสื้อกระโปร่งชนิดปล่อยทิ้งแนบตัว
5. ใส่รองเท้าส้นสูงเสมอ
6. ชายกระโปร่งสั้นหน่อย
7. พยายามใช้ผ้าพื้น ถ้ามีลายหรือดอกให้ใช้ลายเล็กๆ
คนสูง
1. คอเสื้อปกสูง ปกเสื้อกว้าง
2. เน้นส่วนเอวให้เด่นด้วยสีสด หรือเข็มขัดผ้าพันเอวใหญ่
3. ใช้กระโปร่งแนบสะโพก มีเสื้อตัวยาวคลุมสโพกจะดูดี
4. ชายกระโปร่งต่ำกว่าเข่า
คนอ้วน
1. อย่าใช้ปกเสื้อสูงใช้คอแหลม
2. ใช้สีแก่หรือคล้ำ ถ้ามีลายให้ใช้ลายเล็กแคบสีเดียวกันหมด
3. อก เอว แขน เรียบไม่สะดุดตา ใช้เข็มขัดเส้นเล็กหัวเข็มขัดหุ้มผ้าสีเดียวกับเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้สะดุดตา
4. ใช้ชุดสองท่อนเสื้อปล่อยรอบเอวกระโปรงตรงอย่าใช้เสื้อตึงแนบตัว
5. ชายกระโปร่งต่ำกว่าเข่าเสมอ
คนผอม
1. ใช้เสื้อคอสูงหรือแคบแนบคอ ถ้ามีปกใช้ปกกว้างมากๆ แขนสามส่วนดีกว่าแขนสั้น
2. อย่าใช้ชุดรัดตัว ผ้าลายขวางดีกว่าผ้าลายยาว
3. ใช้เสื้อจีบหรือพองส่วนนอก
4. บังส่วนเอวที่เล็กด้วยผ้าคาดเอวหรือเข็มขัดแถบใหญ่
5. กระโปร่งจีบพองอย่าให้สั้นมากไป
6. ใช้เครื่องประกอบการแต่งกายค่อนข้างใหญ่ เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ต่างหู
7. ไม่จำเป็นต้องสวมรองเท้ามีส้นเสมอไป
คนรูปหน้าเล็ก
เสื้อเป็นแบบเรียบไม่มีปก ท่อนเสื้อซึ่งอยู่ใกล้กับหน้าที่สุดควรให้เรียบ ที่ว่าเรียบคือ ไม่มีปกที่ระบายจนดูตัวใหญ่ ไม่ให้มีสิ่งดึงดูดความสนใจในส่วนบน เพราะจะข่มหน้าให้ดูเล็กลงไปอีก ถ้าจะเล่นแบบควรเล่นแบบที่กระโปร่งยึดหลักว่าข้างบนเรียบแต่งด้านล่าง
คนรูปหน้าใหญ่
เช่นมีกรามใหญ่หรือกระดูกหน้าใหญ่ หน้ากับตัวเป็นส่วนที่ใกล้ชิดกันมาก ถ้าหน้าใหญ่
นอกจากจะทำผมช่วยแล้วจะใช้เสื้อช่วยโดยการแต่งตัวเสื้อให้เต็มที่ เช่น คอตั้ง คอระบายหรือมีโบว์ได้เต็มที่ บางคนคิดผิดว่า ถ้าหน้าใหญ่ใส่เสื้อแต่งมกจะทำให้ดูใหญ่เข้าไปอีกซึ่งเป็นความคิดที่ผิด
ไหลตั้ง
ใส่เสื้อแขนล้ำได้สวยมาก สังเกตว่าไหล่ใหญ่กับไหลตั้งไม่เหมือนกัน ไหล่ตั้งมักจะผอม อก
เล็ก ถ้าจะใส่เสื้อมีแขนต้องให้รอยต่อของแขนบริเวณหัวไหล่ล้ำเข้ามามากกว่าไหล่จริง หรือถ้าใส่เสื้อแบบมีแขนไม่ต่อไหลก็ให้ใช้สีเข้มและเทคนิคการตัดเข้าช่วย ใช้ผ้าหนา
ไหล่ใหญ่และอกใหญ่ ใช้สีเข้มดีที่สุด ผ้านิ่มเนื้อจอร์เจีย ชีพอง เครฟหรือผ้าป่าน การตัด
เย็บเทคนิคต่างๆ ช่วยได้มาก เช่นตะเข็บที่เรียบร้อย การวางผ้าตัดผ้า การวางลายใช้สีอ่อนสีแก่เข้ามาช่วยพรางรูปร่างได้มาก โดยยึดหลักที่ว่าส่วนที่ใหญ่ใช้สีเข้มส่วนที่เล็กใช้สีอ่อน
เอวสั้น พลางได้โดยไม่ว่าจะใส่ชุดคนละท่อนหรือติดกันก็ตามจะต้องเป็นสีเดียวกัน อย่าเล่น
สีตัดกันเป็นอันขาด สีตัดกันจะเน้นช่วงบนมาก แต่ถ้าจะใช้คนละสีก็ให้ใช้สีแนวเดียวกันโดยด้านบนสีอ่อนด้านล่างสีเข้ม ให้แนวเอวต่ำกว่าเอวจริง จะโดยการปล่อยตัวเสื้อลงมาหรือถ้าเป็นเครื่องแบบที่เอาเสื้อใส่ในกระโปรงก็ดึงเสื้อให้หย่อนลงมาหน่อย การใช้สีอ่อนเวลามองเสื้อดูกระจายออก ทำให้ดูช่วงบนใหญ่มากขึ้นกว่าที่เป้นจริงนิดหน่อย
เอวบาง หลักการตรงกันข้ามกันคือ เสื้อเข้มกระโปรงอ่อน ถ้าเป็นชุดติดกันควรมีเข็มขัดคาด หรือผ้าคาด
เอวใหญ่ ใช้สีเข้มตลอด อย่าเน้นเอวเป็นอันขาด ถ้าเอวใหญ่ไม่มากนักและตัวสูงพยายามทำ
เสื้อกระโปรงให้พองนิดหน่อยจะดูเอวเล็ก แต่ถ้าเอวใหญ่และตัวเตี้ยไม่ควรทำวิธีเดียวคือเลือกเสื้อผ้าสีเข้ม
ต้นขาใหญ่ อย่าใช้แบบที่ฟิตช่วงล่างถ้าจะใส่กางเกงให้แนบขาโดยใช้ผ้าหนาคุณภาพดี
หน่อยจะช่วยได้มาก กางเกงยีนก็ใช้ได้ดี แต่ค่อนข้างลำลองเกินไป ถ้าเวลาเดินทางควรใช้ผ้าเนื้อกามาดิน ดีที่สุดส่วนงานกลางคืนถ้าจะใช้ให้ใช้ผ้าเครฟ ทั้งกระโปรงและกางเกงควรหลวมหรือ คลือๆ ตัว อย่าให้ตึงเกินไปหรือพอดีเกินไป กรโปรงพีทน้อยๆ กระโปรงย้วยแล้วเวลาเดินพีทแยกออกโดยไม่รู้ว่าพีทแยกออก เพราะต้นขาใหญ่หรือพีทก็ไม่ควรใส่
โคนขาโก่ง ใช้กระโปรงแคบไม่ได้เลยต้องใช้ผ้าหนาและความหลวมของกระโปรง
หน้าท้องใหญ่ แก้ไขได้ยากที่สุดหลังจากพยายามลดจนเต็มที่แล้ว จะใช้เสื้อช่วยโดยตัวเสื้อหลวมที่ปล่อยลงมาให้พอดีกับหน้าท้องที่ยื่นออกมาหรือใช้เสื้อตัวปล่อยไปเลยอย่าเน้นเอว ถ้าต้องใส่เสื้อไว้ในกระโปรงกรณีที่เป็นเครื่องแบบที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้เสื้อตัวใหญ่หน่อยแล้วดึงมาให้เสมอหน้าท้อง ใส่กระโปรงบานทรงเอหรือกระโปรงย้วยเล็กน้อยตามความเหมาะสมแต่จะใส่กระโปรงแคบเลยจะดูไม่สวยนัก
สะโพกใหญ่ ไม่มีสิทธิ์ใช้สีอ่อนเลย ให้ใช้สีเข้มและแบบเรียบอย่ามีรอยย่น กระโปรงย้วยจีบ
รูดรอบตัวใช้ได้ ผ้านิ่มแนบไปกับสะโพก เสื้ออย่าให้เล็กมาก เพราะจะเน้นสะโพก
สะโพกยื่น ใส่เสื้อคลุมสะโพกตัวยาวไม่ได้ต้องให้พอดีกับสะโพก เสื้อตัวหลวมไม่เน้นเอว
ลักษณะที่คู่กับสะโพกยื่นคือ เอวแอ่นพยายามแก้ไขการทรงตัวที่ถูกต้องบังคับตนเองให้ได้ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าเข้ารูป
เลือกสไตล์และสีสันที่เหมาะสม
อาจจะเลือกการตัดเย็บที่ประณีต เนื้อผ้าชั้นดี และเสื้อผ้ารับกับเรือนร่างได้เหมาะเจาะ ปัญหาข้อต่อมาก็คือ เมื่อสวมเสื้อผ้าชุดนั้นแล้ว รูปโฉมที่ปรากฏจะเป็นเช่นใด หากต้องการเลือกเสื้อผ้าที่จะขับเรือนร่างและหน้าตาให้โดดเด่นชวนมอง จำเป็นต้องคำนึงถึงสัดส่วนของเรือนร่างและสีผิวด้วย ลองติดตามดูความสำคัญของเส้นและสีสันที่จะเน้นจุดเด่นของคุณให้ปรากฏชัด
เส้น เราสามารถใช้หลักการของเส้นลวงตาในการเลือกเสื้อผ้าที่จะช่วยให้ดูสูง หรือเตี้ยอวบอ้วนหรือเพรียว ตามความประสงค์ได้
เส้นในแนวดิ่งจะช่วยยืดส่วนสูงและบีบร่างให้เพรียว คนตัวเตี้ยล่ำจึงควรเลือกเนื้อผ้าที่มีเส้นในแนวดิ่ง เสื้อสูทที่มีลายทางในแนวดิ่งจึงเหมาะกับคนตัวเตี้ย
เส้นในแนวนอนจะตัดความสูงและขยายความกว้าง คนตัวผอมสูง ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีเส้นลายในแนวนอน
คอวีหรือชายเสื้อที่สอบเข้าหาเอว จะขับส่วนไหล่ให้กว้างและเน้นทรวดทรง เพราะเหตุนี้เองที่สตรีที่มีหน้าอกค่อนข้างใหญ่ จึงมักจะเลือกเสื้อคอวี เพื่อบีบส่วนเอวให้ดูคอดเล็กเรียวจะช่วยให้สมสัดส่วนไม่หนาเทอะทะไปหมด เสื้อผ้าชุดทำงานคอวีไม่ควรคว้านลึก
นอกจากลายผ้าแล้ว ควรจะให้ความสำคัญกับเส้นสายบนเสื้อผ้าควบคู่ไปด้วย ตัวอย่างเช่น แผ่นรองซับในที่เสริมไหล่หนาเป็นพิเศษ จะช่วยให้ไหล่ของคุณดูกว้างขึ้น ตะเข็บแขนเสื้อในแนวทแยงจะทำให้ไหลดูแคบลง
ในการเลือกชุดทำงาน ควรเลือกเส้นลายบนเสื้อผ้าที่จะช่วยขับลักษณะเด่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ควรจะเลือกเสื้อผ้าแบบเรียบที่สุด เพื่อให้สมกับลักษณะของมืออาชีพ
สีสัน สีสันนับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดอีกอย่างที่ต้องนำมาพิจารณาเสื้อผ้าชุดทำงาน หากคุณเลือกสีสันได้อย่างชาญฉลาด สอดคล้องกัน สีสันจะขับรูปลักษณ์ของคุณให้โดดเด่นชวนมอง นั่นก็หมายความว่า สีสันของเสื้อผ้าจะช่วยเน้นสีผิว และสีผิว หากสามารถที่จะเลือกใช้สีใด ๆ ก็ได้ขอให้ระลึกเสมอว่า คุณกำลังมองหาเสื้อผ้าที่จะใช้ในโลกธุรกิจ สีที่ถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายคลาสสิคในวงการธุรกิจได้แก่ สีดำ เทา เบจ น้ำตาล น้ำเงิน และขาว ส่วนสีแดงเข้มบางกลุ่ม เช่น เบอร์กันดี และสนิมเหล็กก็ถือว่าเป็นสีคลาสสิคสำหรับสตรีนักธุรกิจ
วิธีเลือกสีสันที่เหมาะกับตัวคุณมากที่สุด คือ ยกชิ้นผ้าขึ้นมาทาบกับใบหน้า เนื้อผ้าชิ้นนั้นขับสีเส้นผมของคุณให้ดูสดใสขึ้นหรือไม่? หน้าตาสดใสขึ้น หรือถูกสีนั้นข่มให้หมอง?
เสื้อผ้าและเส้นลวงตา
สีสันมีคำศัพท์เฉพาะในการเรียน สี หมายถึงชื่อเรียก เช่น แดง เหลือง น้ำเงิน ความเข้ม หมายถึง ความจางหรือเข้ม หากคุณเติมสีขาวเข้ากับแม่สีจะได้ สีจางหรืออ่อนลง แต่เมื่อเติมสีดำเข้าไปจะได้สีเข้ม ส่วน intensity หรือ chromo หมายถึง ความสว่าง หากเป็นสีผสม ความสว่างจะลดลง สีสันอาจจะแยกเป็นสีร้อน เช่น สีเหลือง เหลืองส้ม ส้ม แดงเพลิง และแดง ส่วนสีเย็น ได้แก่ สีม่วง ม่วงคราม น้ำเงิน เขียวน้ำเงิน และเขียว
สีสันสามารถนำมาปรับใช้ร่วมกันได้ในการเลือกเสื้อผ้าชุดทำงานได้หลายทาง
1. เสื้อผ้าในกลุ่มทีเดียว โดยยืดกลุ่มสีใดสีหนึ่งเป็นหลักและมีสีจางหรือเข้มเป็นส่วนประกอบ เช่น ชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม เชิ้ตหรือเบลาส์สีฟ้าอ่อน เนคไทหรือผ้าพันคอมีเส้นลายสีน้ำเงินระดับต่าง ๆ กัน การแต่งกายด้วยสีกลุ่มเดียวนี้ จะเน้นที่ความเข้มจาง หากใช้สีระดับเดียวกันทั้งตัวจะจืดชืดไม่ชวนมอง
2. สีตัดกัน หมายถึง สีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงสี เช่น สีน้ำเงินตรงข้ามกับสีส้ม สีตัดกันจะเพิ่มความเข้มให้ซึ่งกันและกัน ขอให้ใช้สีคลาสสิคในวงธุรกิจเป็นหลัก โดยมีสีตัดกันเป็นส่วนเน้น
3. สีใกล้เคียงกัน หมายถึง สีที่อยู่ถัดกันในวงสีการผสมสีที่ชวนมองที่สุดจะเป็นสีที่อยู่ระหว่างกลางของแม่สี เช่น สีน้ำเงินจะไปได้ดีกับสีเขียว
4. สีตัดกันสามสี หมายถึง สีสามสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงสี เช่น สีเหลือง แดง และน้ำเงินซึ่งเป็นแม่สี ในการแต่งกายโดยใช้สีตัดกันสามสี จะยืดสีหนึ่งเป็นหลัก และให้อีกสองสีเป็นจุดเน้น เช่น สูทเป็นสีน้ำเงินเข้ม เสื้อเชิ้ตขาว เนคไทที่มีเส้นลายสีน้ำเงิน เหลือง แดง จะไปด้วยกันได้ดีในการเลือกเสื้อผ้า ขอให้ยึดสีคลาสสิคเป็นหลัก การหาส่วนประกอบเพิ่มเติมได้ในภายหลัง เช่น เสื้อเชิ้ตหรือเทคไท จะทำได้โดยง่ายและไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ ข้อแนะนำในการเลือกเสื้อผ้าสีคลาสสิค มีดังนี้
1. สีเข้ม ขรึม บ่งถึงพลังอำนาจและระดับชั้นมากกว่าสีอ่อน สดใส หากต้องการเสนอภาพพจน์ของผู้นำทางธุรกิจ ยึดสีเข้มเป็นหลัก
2. เลือกสีผสมแทนแม่สี แม้ว่าเครื่องแต่งกายสีสดใสฉูดฉาดจะดึงดูดสายตาได้ดีกว่าชุดสีเข้มแต่สีสดใสเหล่านั้นก็ไม่เหมาะที่จะนำมาเป็นเสื้อผ้าของผู้นำ
3. เสื้อผ้าชุดทำงาน ผู้ชายควรเลือกเชิ้ตสีขาว ฟ้าอ่อน น้ำตาลอ่อน หรือลายทางสีอ่อน หากเกิดความลังเลว่าควรจะใช้สีใด ให้ยึดสีขาวไว้เป็นหลัก สีขาวเข้าได้กับทุกสี เสื้อเชิ้ตจะต้องสีอ่อนกว่าสูทถ้าเป็นหญิง เสื้อเบลาส์จะสีอ่อนหรือแก่กว่าสูทก็ได้
กฎเกณฑ์ของการใช้เส้นและสีสัน
1. สายตาจะกวาดมองตามเส้นสาย
2. สีอ่อนที่สุดในชุดเสื้อผ้าจะดึงดูดสายตาได้มากที่สุด
3. สีอ่อนจะโดดเด่นออกมา ภายนอกและขับวัตถุให้ขยายใหญ่ขึ้น ส่วนสีเข้มจะกระถดกลับเข้าข้างใน ทำให้วัตถุดูเล็กลง
อุปกรณ์ประกอบเสื้อผ้า
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หากไม่มีเครื่องประกอบ ประดับตกแต่งเป็นขั้นสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน เครื่องประกอบ เช่น ผ้าพันคอ จะช่วยให้ชุดทำงานของคุณโดดเด่นขึ้นมาผิดตา เกร็ดความรู้ต่อไปนี้ คงพอจะช่วยในการคัดเลือกเครื่องประกอบของเครื่องแต่งกาย
รองเท้า รองเท้าจะต้องสวมสบาย เพราะไหน ๆ คุณก็จะต้องสวมใส่ติดเท้าทั้งวัน เวลายามบ่ายเหมาะสมที่สุดในการเลือกหาซื้อรองเท้า เพราะเป็นช่วงที่เท้าบวมขยายใหญ่
รองเท้าที่จะใส่ไปทำงาน ควรมีอย่างน้อยสองคู่เพื่อใส่สับเปลี่ยนกัน จะช่วยยืดอายุรองเท้าให้ทนทาน อย่าเลือกรองเท้าล้ำยุคตามสมัยนิยม รองเท้าในโลกธุรกิจควรจะเป็นแบบเรียบ ๆ ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม รองเท้าสตรีควรเป็นแบบส้นเตี้ย
รองเท้าหนังจะทนทานและสวมสบายมากกว่าวัสดุชนิดอื่น สีของรองเท้าจะต้องรับกับสีของเครื่องแต่งกาย รองเท้าชายควรเป็นสีดำ สีน้ำตาล หรือสีหนังอ่อน ผู้หญิงสามารถเลือกสีรองเท้าได้กว้างยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงิน สีเบจ หรือสีน้ำตาลไหม้
รองเท้าจะต้องขัดจนเป็นเงาวับ ส้นจะต้องไม่สึกหรือเผยอ รองเท้าขมุกขมัวหรือส้นบิ่นจะแสดงถึงความไม่ใส่ใจ ในขณะที่เครื่องแต่งกายส่วนอื่นใหม่เอี่ยม
ถุงน่องถุงเท้า ถุงเท้าผู้ชายจะต้องเป็นสีเข้ม และสูงถึงกลางน่อง ถุงน่องและกางเกงถุงน่องสำหรับสตรีมีให้เลือกตั้งแต่โปร่งใสเรื่อยไปจนถึงสีทึบในชุดแต่งกายอนุรักษ์นิยมควรเลือกสีอ่อนที่เข้ากับ สีผิวเนื้อหากทางบริษัทไม่จำกัดสีของถุงน่อง ควรจะใช้สีดำ น้ำตาลเข้ม สีถ่าน หรือสีน้ำเงิน เก็บถุงน่องแฟนซีสีสันประหลาดไว้ในนอกเวลางาน
ในปัจจุบัน ราคาถุงน่องถูกลงมากแล้ว อย่าปล่อยให้มีรอยฉีกขาดหลุดลุ่ยปรากฏ ซื้อถุงน่องอีกคู่เก็บสำรองไว้ในลิ้นชักเผื่อเวลาฉุกเฉิน สตรีนักธุรกิจควรจะสวมถุงน่องตลอดทั้งปี เพราะสำนักงานส่วนใหญ่จะติดเครื่องปรับอากาศ คุณไม่จำเป็นต้องถอดถุงน่องเพื่อให้เย็นขึ้น
เข็มขัด เข็มขัดสำหรับผู้ชายควรจะทำด้วยหนัง สีของเข็มขัดจะต้องเข้ากับสีของรองเท้า ซึ่งก็หมายถึงว่าต้องกลมกลืนไปกับสีของเครื่องแต่งกาย
ผู้หญิงอาจจะถือว่าเข็มขัดเป็นเครื่องประดับตามสมัยนิยมอย่างหนึ่ง ถ้าเข็มขัดเข้ากับชุดแต่งกายเข็มขัดสตรีจะต้องทำด้วยหนังหรือเนื้อผ้าเดียวกับชุด หากคุณเป็นคนเอวสั้น ควรจะเลือกเข็มขัดหนังเส้นเล็กหรือเข็มขัดผ้าเนื้อเดียวกับชุด หากคุณเป็นคนเอวยาวก็พอจะใช้เข็มขัดเส้นโตได้ แต่อย่าปล่อยให้เข็มขัดข่มเครื่องแต่งกาย
เนคไทและผ้าพันคอ เนคไทเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของเครื่องแต่งกายชายที่ครบถ้วนสมบูรณ์ส่วนผ้าพันคอจะเพิ่มความชวนมองให้ชุดสวยของคุณผู้หญิงได้
ในชุดอนุรักษ์นิยม ควรจะเลือกเนคไทเส้นเล็ก สีเข้ม มีลวดลายเพียงเล็กน้อย ลวดลายและสีสันของเนคไทจะต้องเข้ากันกับเสื้อเชิ้ตและสูท อย่าปล่อยให้มีลวดลายสองแห่งบนเสื้อผ้า หากเสื้อเชิ้ตเป็นสีขาว สูทไม่มีลวดลาย คุณสามารถเลือกใช้เนคไทมีลายขีดขวางหรือมีลวดลายได้ หากเสื้อเชิ้ตหรือสูทมีลายทางยาว ควรเลือกใช้เนคไทสีเรียบ ไม่มีลวดลาย
กระเป๋าเอกสารและกระเป๋าถือ พอจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรแสดง “ความสำเร็จ” ให้เด่นชัดได้เท่ากับกระเป๋าเอกสารทำด้วยหนังมันขลับ กระเป๋าเอกสารหนังแสดงศักดิ์ศรีทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่เพียงเป็นที่เก็บเอกสารกระเป๋าเอกสารมีหลายลักษณะ ตั้งทรงเหลี่ยม มีหูหิ้วเรื่อยไปจนถึงกระเป๋าหนีบมีฝาปิด หรือมีซิปรูดปิด
สตรีอาจจะเก็บกระเป๋าเล็ก ๆ ไว้ในกระเป๋าเอกสาร เพื่อหลีกเลี่ยงการถือกระเป๋าอีกใบ หากต้องการลงทุนซื้อกระเป๋าถือสักใบ ขอให้เลือกกระเป๋าหนังที่มีคุณภาพดีสักใบ อาจจะเป็นสีดำ สีแดงเข็ม น้ำตาลแก่ หรือสีหนังธรรมชาติ สีของกระเป๋าถืออาจจะเลือกให้เข้ากับสีรองเท้า แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในทุกกรณี
อัญมณี อัญมณีเป็นเครื่องตกแต่งที่จะช่วยแต้มสีสันแพรวพรายให้เครื่องแต่งกาย แต่กฎพื้นฐานสำหรับบุรุษ คือ ใช้อัญมณีให้น้อยที่สุด เช่น นาฬิกา กระดุมข้อมือ แหวนแต่งงาน นาฬิกานักธุรกิจมืออาชีพจะเป็นเรือนบาง สีเงินหรือทอง เรียบ ๆ ใช้สายหนังหรือสายโลหะ กระดุมข้อมือควรจะเรียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สตรีสามารถเลือกอัญมณีประดับเครื่องแต่งกายได้มากกว่า แต่กฎพื้นฐานก็ยังนำมาปรับใช้ด้วย วัตถุประสงค์ของการประดับอัญมณีคือ เน้นจุดเด่นให้เครื่องแต่งกาย มิใช่ข่มเครื่องแต่งกายต่างหูไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินเหรียญบาท นาฬิกาควรเป็นแบบคลาสสิค ไม่ควรสวมแหวนเต็มครบทุกนิ้ว เพียงหนึ่งหรือสองวงก็เพียงพอแล้ว คุณอาจต้องการสวมสายสร้อยหรือเข็มกลัดเพื่อเน้นเครื่องแต่งกาย แต่ก็ขอให้ยืดแบบคลาสสิค ซึ่งหมายถึงทอง เงินหรือไข่มุก สร้อยข้อมือตุ้งติ้งหรือกำไลข้อมือเต็มแขนไม่เหมาะสำหรับสตรีนักธุรกิจ เก็บเครื่องประดับนานาชนิดไว้สำหรับการชุมนุมสังสรรค์นอกเวลางาน
ข้อแนะนำในการแต่งกายของท่าน
1. แต่งตัวให้สมกับบทบาทในตำแหน่งสายงาน แต่งตัวเพื่องานที่ทำ
2. อย่าแต่งตัวให้ทันสมัยเกินไป ซื้อเครื่องแต่งกายวันนี้ เพื่อแนวโน้มแฟชั่นในอนาคต
3. เลือกเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดี จะใช้ได้ร่วมสมัย เลือกอัญมณีและเครื่องแต่งตัวที่ไม่ล้าสมัย
4. ส่องกระจกดูภาพลักษณ์ของตนเอง ทำอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง เริ่มงาน ตอนกลางวันและก่อนเลิกงาน
5. การเลือกสี เสื้อผ้า กางเกง รองเท้าต้องเข้ากันได้ ขอคำแนะนำจากช่างตัดเสื้อผ้ามืออาชีพ
6. ดูผู้อื่นเขาแต่งตัว
7. ซักเสื้อผ้าให้สะอาด ขัดรองเท้าให้เป็นเงา เป็นเรื่องที่น่าประหลาดที่คนส่วนมากตัดสินผู้อื่นด้วยรูปแบบการแต่งกาย และการขัดรองเท้าเป็นเงา
8. ซื้อหนังสือแนะนำการแต่งกาย และแฟชั่นมาดูบ้าง เช่น Successful style ของ Dorix Poosen หรือ Professional Development
9. รักษาอนามัยส่วนตัว ท่านต้องสะอาดทั้งตัว ดูสะอาดตา กลิ่นสะอาด เรียกว่าสวยทั้งตัว
10. สนใจ คำวิจารณ์ในเรื่องการแต่งกายของเรา ดูวัตถุประสงค์การให้ข้อมูลย้อนกลับจากเพื่อนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้
11. ถ้านายหรือลูกค้านั่งรถของเรา ต้องแน่ใจว่ารถต้องสะอาด
การปรับปรุงบุคลิกภาพขั้นพื้นฐาน Basic Personality Improvement
การปรับปรุงบุคลิกภาพขั้นพื้นฐาน
การดูแลร่างกาย
การดูแลร่างกาย หมายถึง การดูแลเรื่อง เสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว ผิวพรรณ ทรงผม กลิ่นตัว ตลอดจนอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ดีสวยงาม และแข็งแรง เพื่อให้ตัวเองเป็นคนหน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างดี มีบุคลิกภาพดี เป็นที่นิยมของคนที่ได้พบเห็น
การดูแลผิวพรรณ
ผิวที่นุ่มนวลสดใสละมุนละไม จะเป็นผิวที่น่ามอง น่าจับต้อง น่าลูบไล้ทะนุถนอม ไม่ว่าจะเป็นผิวสีขาว สีขาวอมชมพู สีแทน สีกลีบกระดังงา สีดำแดง หรือสีน้ำตาลแก่แน่นอนส่วนหนึ่งของผิวสวยได้มาจากพันธุกรรม แต่สิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่มีผลต่อผิวก็ คือ แสงแดด เครื่องสำอาง น้ำสบู่ ตลอดจนฝุ่นละอองเชื้อโรคที่อยู่ในบรรยากาศก็มีสิทธิทำให้ผิวเสียได้ ดังนั้นจึงควรดูแลถนอมรักษาผิวดังต่อไปนี้
1. รับประทานผักสด ผลไม่สดเป็นประจำ
2. หลีกเลี่ยงอาหารจำพวก นม เนย ครีม ขนมหวาน และไขมันจากเนื้อสัตว์
3. งดเครื่องดื่มประเภท แอลกอฮอล์ บุหรี่ เพราะเป็นศัตรูร้างของผิวพรรณ
4. ดื่มน้ำสะอาด 8 – 10 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
5. ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น
6. หลีกเลี่ยงรังสีอุลตร้าไวโอแลตในแสงแดดจัด
7. อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ ควรใช้ยากำจัดกลิ่นตัวเป็นประจำ
8. ควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิดความเครียด ทำให้มีริ้วรอยที่หัวคิ้ว มุมปากตก และเกิดสิว
9. พักผ่อนให้เพียงพอ หน้าตาจะสดชื่น จะไม่มีรอยคล้ำใต้ดวงตา
10. รับประทานอาหารเสริม เช่น วิตามิน เอ อี ซี และเบต้าแคโรทีน
11. ใช้ครีมบำรุงผิวในรูปแบบต่างๆ
วิธีบำรุงรักษาผิวหน้า อาจไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวหรือเครื่องสำอางอื่นๆ เสมอไป มีวิธีบำรุงผิวด้วยสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติมากมาย และล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับผิวหน้าเลยแม่แต่น้อย เราสามารถเลือกวิธีหนึ่งวิธีใดก็ได้
สูตรถนอมผิวจากธรรมชาติ
มะเขือเทศ
หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ วางให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกให้หมดหรือจะใช้วิธีผ่าครึ่งมะเขือเทศตามยาว และถูเบา ๆ ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 3 – 4 นาที แล้วล้างออกให้หมดจะช่วยให้รูขุมขนบนใบหน้ากระชับและทำให้สิวหัวดำจางลง
มะละกอ
นำมะละกอสุกยีให้ละเอียดพอกหน้าทิ้งไว้ 5 – 10 นาที จึงล้างออกช่วยให้ใบหน้าที่มีรอยด่างดำ ดูดีขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ
ว่านหางจระเข้
ปอกเปลือกล้างยางออกให้หมด ผ่ากลาง ใช้วุ้นข้างในทาผิวให้ทั่ว (อย่าให้เข้าตา) ทิ้งไว้ 10 - 15 นาที แล้วล้างออกผิวจะกระชับอ่อนนุ่มสดใส
น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันให้ทั่วผิวหน้า (อย่าให้เข้าตา) ทิ้งไว้ 5 – 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น (ไม่อุ่นจัด) ตามด้วยน้ำเย็น นอกจากช่วยให้ผิวนุ่มเนียนสดใสแล้ว ยังช่วยลดความมันบนใบหน้าสำหรับคนผิวมัน
ไข่ขาวผสมน้ำผึ้ง
ผสมไข่ขาว 1 ฟอง กับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ตีให้เข้ากันบ่อย ๆ ไม่ต้องให้ขึ้นฟองมาก ทาผิวหน้าให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที ล้างออก ช่วยให้ผิวหน้านุ่มนวลแต่งตึง และช่วยให้ลดความมันบนใบหน้าสำหรับคนผิวมัน
ไข่แดง
ตีไข่เฉพาะไข่แดงให้แตก ทาผิวหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้จนหน้าแห้งเอง ล้างออกด้วยน้ำอุ่นไม่จัด จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง
การดูแลเส้นผม
เส้นผมเป็นส่วนประกอบของร่างกาย ถ้าหากเส้นผมได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ก็จะช่วยเสริมบุคลิกของคนเรา ให้ดูดีขึ้น
การดูแลผมแห้ง
ผมแห้ง คือ ผมที่แตก เปราะ หยาบ หวีหรือจัดทรงได้ยาก การดูแลผมแห้ง ทำได้ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงไม่ให้ผมได้รับความร้อนจากแสงแดด ไดร์เป่าผม ไฟฟ้า
2. แปรงผมบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นเซลล์เส้นผม ให้สร้างน้ำมันตามธรรมชาติ
3. สระผมให้น้อยครั้งลง อย่าสระบ่อย
4. ใช้ครีมนวดคอนดิชั่นเนอร์ทุก ๆ ครั้ง หลังสระผม
5. น้ำมันมะกอกอุ่น ๆ นวดโคนผม ใช้หมวกพลาสติกคุม นวดพันทับด้วยผ้าขนหนูทิ้งไว้ 1
ชั่วโมงแล้วสระออก
6. ใช้ไข่แดงนวดผม แล้วสระด้วยน้ำอุ่น นวดหน้าศรีษะด้วยปลายนิ้ว ให้ทั่วเพื่อกระตุ้น
การไหลเวียนโลหิตที่ไปเลี้ยงโคนผม ใช่แชมพูชนิดอ่อน เช่น เบบี้แชมพู หรือ ชนิดที่มีส่วนผสมของไข่ ลาโนลิน น้ำมันมะกอก หรือส่วนผสมที่บำรุงเส้นผมอ่อน ๆ ผสมไข่แดง กับแชมพูอย่างอ่อนก็ใช้ได้
7. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนสีผมหรือดัดผม
การดูแลผมมัน มีวิธีดูแลดังนี้
1. อย่าหวีหรือแปรงผมให้บ่อยจนเกินไป
2. อย่าสระผมบ่อย อาทิตย์ละ 2 ครั้งพอ
3. ใช้แชมพูสำหรับผมมันโดยเฉพาะ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมะนาว น้ำมะกรูด กำมะถัน ในระหว่างสระผมให้ใช้ผ้าฝ้าย ชุบน้ำยาโทนิคซับให้ทั่วศรีษะ แล้วสระกับน้ำมะนาวผสมน้ำส้มสายชู น้ำสุดท้ายแล้วใช้ครีมนวดที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาว
1. อย่าสวมหมวก และหลีกเลี่ยงแสงแดด
2. อย่าใช้น้ำเย็นมาก ๆ กับหนังศรีษะ
3. อย่าถูนวดบริเวณหนังศรีษะ
4. หลีกเลี่ยงแชมพูผสมครีมนวดผม
การดูแลผมแตกปลาย มีวิธีดูแลรักษาดังนี้
1. ใช้กรรไกรเล็มปลายผมทุกอาทิตย์ ถ้าไว้ผมยาวควรเล็มปลายผมทิ้ง
2. ควรแปลงผมเบา ๆ ไม่ควรใช้หวีที่มีซี่แหลมคม
3. อย่าใช้เครื่องเป่าผมที่มีความร้อนสูง
4. ถ้าผมมีประจุไฟฟ้ามาก ควรใช้เบียร์ หรือน้ำลูบผมพอหมาด
การดูแลผมร่วง มีวิธีดูแลดังนี้
1. ใช้น้ำยานวดโคนผม ใช้มือรวบเส้นผมแล้วกระตุกเบา ๆ
2. รับประทานน้ำมันตับปลาเป็นประจำ
3. รับประทานอาหารประเภท ผักกะหล่ำปลีต้น เนื้อแดงไม่สุกเกินไป ถั่วแขก ผักขม มันฝรั่ง ถั่ว แครอท หัวหอม ขนมปังโฮลวีท น้ำตาลปึก ข้าวซ้อมมือ โยเกิรต์ เนย
4. ควรปรึกษาแพทย์โรคผิวหนัง
การดูแลผมที่มีรังแค มีวิธีดูแลรักษาดังนี้
1. ใช้แชมพูรักษารังแคโดยเฉพาะ ซึ่งมีส่วนผสมซังค์โพธิไธโอนและเซเลเนียมซัลไฟด์
2. เวลาสระทิ้งแชมพูไว้บนหนังศีรษะไว้ 2 – 3 นาที แล้วจึงล้างออก
3. รับประทานอาหารพวกนม และตับ วิตามินบี 1 บี 12
4. ยาที่ใช้กำจัดรังแคใช้กำมะถันป่น 2 ช้อนโต๊ะ แอลกอฮอล์ชนิดที่ใช้ล้างแผล 4 ช้อนโต๊ะ กลีเซอรีน 1 ช้อนชา น้ำกุหลาบ 2 ช้อนชา น้ำกลั่น 1 ถ้วยตวง นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันใช้ลูบโคนผมก่อนนอนซักประมาณ 2 อาทิตย์
น้ำยาเคมีที่นำเอามาใช้กับผม ที่ควรทราบมีดังนี้
· สเปรย์ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผมที่ต้องการให้คงความเป็นรูปทรงได้นาน แต่มีข้อหลังจากฉีดสเปรย์อย่าหวีหรือแปลงผมต่อไปอีก เพราะอาจทำให้ผมอยู่ตัวและมองเป็นธรรมชาติมากกว่า
· มูส น้ำยาวิทยาศาสตร์ นิยมใช้กับผม สำหรับหนุ่มสาวที่เสริมสวย ทรงผมกันมากวิธีใช้ส่วนใหญ่จะฉีดลงบนฝ่ามือ แล้วถูในลักษณะจับผม ขยำให้ทั่วศีรษะตามรูปทรง ที่ต้องการหรือจะใช้เครื่องเป่าผม ช่วยก็ได้ รวมทั้ง หวีแปรงตามทรงที่ต้องการ
· เจล เป็นน้ำยาวิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง ช่วยสร้างความอ่อนหวานของเส้นผมให้ดูที่คลื่น รูปทรงดี มีอยู่หลายชนิด เจล ช่วยทำให้ผมแห้งจัดเข้ารูปทรงได้ง่ายเหมาะสำหรับผมสั้น
1. ทรงผม
ไม่ว่าหญิงหรือชาย กฏข้อแรกของทรงผมก็คือ ความเรียบร้อย ไม่ว่าคุณจะไว้ผมทรงใดก็ตามวิธีเดียวที่จะทำให้ทรงผมของคุณดูเรียบร้อยได้ก็คือ คุณต้องไปร้านตัด – แต่งทรงผม
ผมที่ตัดไว้ดี จะจัดรูปทรงและเข้าที่เองได้ง่าย ช่างผม ฝีมือดีควรจะสามารถแนะนำทรงผมที่รับกับคุณที่สุด การเลือกทรงผมควรจะเลือกตามบุคลิกการทำงาน แทนที่จะเลือกตามแฟชั่นสมัยนิยม ทรงผมแบบที่จะรับกับคุณที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับหน้าของคุณ จุดเด่นที่คุณต้องการจะเน้นหรือจุดด้อยที่คุณต้องการอำพราง และขึ้นอยู่กับส่วนสูงของคุณด้วย
การเลือกทรงผม
ทรงผมสำหรับบุรุษ
ทรงผมที่เหมาะสำหรับธุรกิจ ไม่ควรเป็นทรงผมที่ยาวเกินปกเสื้อ ตารางเลือกทรงผมที่กล่าวมาแล้วจะช่วยให้คุณเลือกทรงผมที่เหมาะที่ช่วยเสริมบุคลิกของคุณ โดยการเลือกทรงผมที่รับรูปหน้าของคุณ แต่ควรคำนึงลักษณะของเส้นผมของคุณเองด้วย ข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อไปนี้เกี่ยวกับแบบและการตัดแต่งทรงผมให้เหมาะกับลักษณะของเส้นผม
ถ้าคุณมีผมดกหนา -ซอยผมไล่เป็นชั้นลงมา จะช่วยให้ผมจัดรูปทรงได้ง่าย
ถ้าคุณมีผมเส้นเล็กและบาง -ให้ตัดตรง จะช่วยให้ผมดูหนาขึ้น
ถ้าคุณมีผมเส้นใหญ่ -ตัดให้สั้น ถ้าอยากจะไว้ยาวให้ซอยไล่เป็นชั้นและให้บางโดย ปกติ ผมสั้นหนาจะคงรูปได้นานกว่าอยู่แล้ว
ถ้าคุณมีผมหยิกมาก -ตัดให้สั้น เพื่อว่าจะได้จัดรูปทรงได้ง่าย
ทรงผมสำหรับสตรี
ทรงผมสำหรับสตรีนักธุรกิจที่ดูเป็นการเป็นงาน ควรยาวไม่เกินระดับไหล่ แบบผมที่คุณเลือกขึ้นอยู่กับรูปหน้าของคุณ ขึ้นอยู่กับจุด หรือส่วนบนใบหน้าที่คุณต้องการจะเน้นหรืออำพราง และขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นผมของคุณด้วย มีข้อแนะนำบางอย่างสำหรับการเลือกแบบผมให้เข้ากับลักษณะของเส้นผมดังนี้
ถ้าคุณมีผมดกหนา -ซอยผมไหล่เป็นชั้นลงมาจะช่วยให้ผมจัดรูปทรงได้ง่าย
ถ้าคุณมีผมเส้นเล็กและบาง -ให้ตัดตรง จะช่วยให้ผมดูดกหนาขึ้น แต่ผมคุณจะดูบางขึ้นถ้าหาก ตัดสั้นมากหรือไว้ยาวมากเกินไป
ถ้าคุณมีผมเส้นใหญ่ -ตัดให้สั้น ถ้าอยากจะไว้ยาวให้ซอยไล่เป็นชั้นและให้บางโดยปกติ ผมเส้นหนาจะคงรูปทรงได้นานกว่าอยู่แล้ว
ถ้าคุณมีผมเส้นเล็กมาก -อย่าไว้ยาวเกินไหล่ คุณอาจจะดัดอ่อน ๆ เพื่อให้ผมดูสลวยและมี น้ำหนักแต่ควรจะซอยไล่เป็นชั้น เพื่อให้ผมดูหนาขึ้น
ถ้าคุณมีผมหยิกมาก -ตัดให้สั้น เพื่อว่าจะได้จัดรูปทรงได้ง่าย
1.3 หนวดเคราและการโกน
การไว้หนวดเครา หรือเคราข้างแก้ม ในบางยุคอาจจะเป็นที่นิยม แต่ในบางยุคอาจดูน่าเกลียด
หากคุณต้องการไว้หนวดหรือเครา หรือเคราข้างแก้ม ขอให้สอบถามนโยบายของบริษัทเสียก่อนการไว้หนวดจะต้องขริบให้เรียบร้อย และไม่ควรเลือกแบบหนวดที่พิสดารเกินไปหากเป็นการไว้เคราข้างแก้มขอให้พิจารณาความยาวของเครา และรูปลักษณะใบหน้าของคุณประกอบด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาเป็นที่ยอมรับในวงการธุรกิจ
การโกนหนวดอาจจะใช้เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า หรือใบมีดโกนหนวด เครื่องโกนหนวดไฟฟ้าอาจจะโกนได้ไม่เกลี้ยงเกลาเท่ามีดโกนบางคนอาจจะจำเป็นต้องโกนซ้ำสองครั้งต่อวัน
น้ำยาทาก่อนโกนหนวดสำหรับเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าจะช่วยให้หนวดแข็งโกนได้ง่าย ถ้าเป็นการโกนด้วยมีดโกนควรจะใช้โฟมเยลหรือสบู่ซึ่งจะช่วยให้หนวดอ่อน
น้ำยาทาหลังโกนหนวด ไม่ควรจะมีกลิ่นฉุนจัด คนที่มีใบหน้าแห้งไม่ควรใช้โลชั่น หลังจากโกนหนวดที่มีแอลกอฮอล์ผสม
1.4 การกำจัดขนที่ไม่พึงปรารถนา
ผู้หญิงส่วนใหญ่ถือว่าขนตามรักแร้ หน้าแข้งและเหนือริมฝีปากเป็นสิ่งที่ไม่น่าดู ผู้ชายที่มีขนมากเกินไปในรูจมูกและรูหูก็ดูน่าเกลียด วิธีกำจัดขนที่ไม่พึงปรารถนามีอยู่หลายวิธี คือ
1. การโกน ผู้หญิงใช้วิธีโกนขนรักแร้และหน้าแข้ง แต่ไม่ควรโกนขนบนใบหน้า
2. การดึงหรือถอนขนโดยใช้แหนบ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายควรถอนขนคิ้ว ที่มีมากเกินไป สำหรับผู้ชายให้ใช้กรรไกรขริบขนในรูจมูกและรูหู
3. การใช้ขี้ผึ้ง ใช้ขี้ผึ้งอุ่นทาบนผิวหนังรอให้เย็นจนแข็งตัวจึงดึงออก ขนก็จะหลุดตามออกมาด้วย วิธีนี้จะใช้ได้กับขนที่แขน ขนหน้าแข้งและบนใบหน้า วิธีนี้ขนจะงอกได้ช้ากว่าการโกน
4. การใช้ครีมกำจัดขน ครีมบางอย่างทำให้ผิวหนังระคายเคืองได้ ฉะนั้นก่อนใช้ควรอ่าน วิธีใช้ให้ดี ครีมกำจัดขน ส่วนใหญ่ใช้กำจัดขนบนใบหน้าและตามลำตัว
5. การจี้ด้วยไฟฟ้า วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะกำจัดขนได้อย่างถาวร ซึ่งทำได้โดยใช้เข็มไฟฟ้า สอดลงไปในรูขุมขน เพื่อทำลายรากขน ในต่อมขุมขนปกติ วิธีนี้ใช้เฉพาะกับการขจัดขนบนใบหน้าเท่านั้น เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก และจะต้องทำหลายครั้งจึงได้ผล
เรื่องกลิ่นตัว
กลิ่นตัว คือ กลิ่นที่แสดงจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่
จมูก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคโหรา จมูกอักเสบ จะมีกลิ่นเหม็นจากจมูกและมีกลิ่น
ปากด้วยควรปรึกษาแพทย์ทำการรักษา
ศีรษะ ต่อมไขมันใต้ผิวหนังบริเวณศีรษะ เมื่อขับไขมันออกมา อาจมีจุลินทรีย์ ต่าง ๆ เกาะบนไขมันที่หลั่งออกมาทำให้เกิดเป็นกลิ่นผม นอกจากนั้นแล้วผมยังเก็บกลิ่นต่าง ๆ เช่น กลิ่นบุหรี่ไว้ได้ง่ายจึงควรทำความสะอาดสระผมให้สะอาดอยู่เสมอ
ปาก กลิ่นปากมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น
1. โรคระบบทางร่างกาย เช่น โรคไซนัสอักเสบควรปรึกษาแพทย์
2. บ้วนปากแรง ๆ และหลาย ๆ ครั้ง หลักรับประทานอาหารแล้ว ควรแปรงฟันให้สะอาด ทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังรับประทานอาหารและก่อนนอน หรือใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน
3. หมั่นสำรวจฟัน โดยไปหมอฟัน ตรวจเช็คฟันทุกซี่ ถ้ามีก็ทำการอุด ก่อนที่จะผุและเป็นที่สะสมของเศษอาหาร ทำให้เกิดกลิ่นปาก
4. เกิดโรคอักเสบ เกิดจากการสารพิษที่ขับออกมาแฝงคราบจุลินทรีย์ที่เกาะอยู่รอบตัวฟันจะทำลายเนื้อ
5. แปรงฟันทุกครั้งหลังกินอาหาร หรือบ้วนปากแรง ๆ หลาย ๆ ครั้ง
6. โรคไซนัสอักเสบ วัณโรคปอด ควรไปพบแพทย์รักษาให้หาย
7. การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน จะทำให้เกิดสารปรอท กำมะถันในช่องปาก
การแก้ไขคือ
1. เมื่อแปรงฟันแล้วควรล้างแปรงฟันให้สะอาดด้วย
2. การควบคุมอาหาร เมื่อกินอาหารแล้ว การหลั่งของน้ำลายในปากก็ลดลงจึงทำให้เกิดกลิ่นปาก ควรแก้ไขโดยดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ปากมีความชุ่มชื้นเป็นการควบคุมจุลินทรีย์
3. การใส่ฟันปลอมที่ไม่ดี อาจกดทับเหงือกจนเป็นแผลทำให้เกิดการอักเสบของเหงือก เมื่อไม่ทำความสะอาดฟันปลอม หลังกินอาหาร หรือแปลงฟันปลอมไม่สะอาด ควรแก้ไขที่ต้นเหตุ
รักแร้ รักแร้มีต่อมเหงื่ออยู่มาก และจะขับกลิ่นอยู่ เป็ฯกลิ่นที่ผสมกับไขมันที่ขับออกจากผิวหนังเชื้อโรคจะเจริญเติบโตทำให้เกิดกลิ่นรุนแรง และกำจัดขนด้วยวิธีการโกน, ถอน
หู กลิ่นเหม็นอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าหากเป็นหูน้ำหนวก หูชั้นกลาง อักเสบ เชื้อราหรือมีขี้หูมากเกินไปควรปรึกษาแพทย์ให้หาย ไม่ควรใช้สิ่งใด ๆ แหย่ในรูหูเล่น
เท้า กลิ่นที่เกิดจากเท้า เนื่องจากการสวมถุงเท้าที่ไม่ระบายอากาศรองเท้ามีฝุ่นผง
1. ควรทำความสะอาด ถุงเท้า รองเท้า บ่อย ๆ
2. และควรทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำอุ่นถูให้ทั่ว
3. ใช้มะนาวถูขาตลอดจนส้นเท่า เพื่อให้หนังที่ตายแล้วหลุดออกไปได้จนสบายเท้า
4. เมื่อใช้น้ำหอมพรมบริเวณสันเท้าแล้ว หรือมาใช้โคโลญหรือโลชั่นให้เท้าเพื่อจะได้มีกลิ่นสะอาด
5. อย่าปล่อยให้เล็บยาวจนเกินไป ตัดปลายเล็บให้เสมอนิ้วเท้า
6. เลือกรองเท้าอย่าให้หลวมหรือคับจนเกินไป
7. รองเท้าควรมีการนำออกตากแดด และโรยแป้งหอมก่อนใส่ด้วย
อวัยวะเพศ บริเวณอวัยวะเพศ จะมีต่อมเหงื่อกระจายอยู่ เมื่อกลิ่นเหงื่อผสมกับขี้ไคล จะทำให้เกิดกลิ่นรุนแรง จึงควรอาบน้ำ และทำความสะอาดบ่อย ๆ
กลิ่นตัวชนิดต่าง ๆ เป็นปัญหาใหญ่ของคนหนุ่มสาวทำให้มีปมด้อยทำให้รู้สึกอาจและเป็นที่รังเกียจของเพื่อนฝูง แต่สามารถดูแลป้องกัน และรักษาให้หายไปได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. การรับประทานอาหารที่ไม่ทำให้เกิดกลิ่น ได้แก่
· รับประทานน้ำมันพืชที่มีคุณภาพ
· รับประทานพืช ผักใบเขียว ใบเหลือง สาหร่ายทะเล และน้ำส้มสายชูที่หมักตามธรรมชาติ
· งดรับประทานอาหารรดจืดที่ร้อนและเย็นเกินไป งดอาหารรสจัด
· รับประทานอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ และเคี้ยวให้ละเอียด
· รับประทานน้ำผัก ผลไม้ ลดปริมาณเกลือและน้ำตาล และรับประทานอาหารต่างชนิดกัน
· รับประทานอาหารให้เพียงพอเป็นเวลา ก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง ไม่ควรรับประทานอาหารอีก
· งดบุหรี่ สุรา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
2. อาบน้ำ การอาบน้ำเพื่อรักษา และกำจัดกลิ่นตัวมีวิธีอาบได้หลายแบบ คือ
· อาบน้ำต้มใบไผ่ เป็นวิธีอาบน้ำของคนญี่ปุ่น เพราะในใบไผ่มีสารคลอโรฟิลล์ โพลีซัดคาไรค์ ซึ่งช่วยในการกำจัดกลิ่นเหงื่อโคลนได้
· อาบน้ำผสมน้ำสัมหรืออาบน้ำต้นผลส้มโอ เป็นวิธีอาบน้ำของคนญี่ปุ่น วิธีการคือ ผสมน้ำส้มธรรมชาติในน้ำอุ่น หรืออาบน้ำต้นผลส้มโอ ซี่งเป็นการอาศัยกรดซิทริคและอะเซติด ช่วยการเผาผลาญในร่างกาย
· อาบน้ำต้มผลมะกอก เป็นวิธีการอาบน้ำของคนทางแถบเมดิเตอร์เรเนียน
· อาบน้ำยาสมุนไพร เป็นวิธีอาบน้ำของคนจีน ด้วยการใช้ชายุนนาน ใส่ลงในน้ำร้อนที่ใช้อาบ ใช้ชามีเอนไซน์สำหรับแยกสลายไขมันและกำจัดกลิ่นตัวได้
· อาบน้ำผสมเอนไซม์ เป็นวิธีอาบน้ำที่นิยมกันมาก สารเอนไซม์จะย่อยสลายไขมันและฝุ่นละอองในร่างกาย จึงทำให้รู้สึกสะอาดสดชื่น
การอาบน้ำทั้ง 5 วิธีแนะนำมานี้จะต้องอาบโดยวิธีแช่ทั้งตัวลงไปในน้ำจึงจะช่วยขจัดสิ่ง
สกปรกและไขมันที่สะสมอยู่ในต่อมเหงื่อเป็นการขจัดกลิ่นตัวโดยตรงได้
3. การรักษากลิ่นรักแร้ กลิ่นรักแร้เป็นปัญหาใหญ่ที่หลาย ๆ คนกำลังหนักใจ วิธีรักษากลิ่นรักแร้ ทำได้ไม่ยาก คือ
· การรักษาด้วยยา ยาที่นิยมใช้กันคือ ครีมทารักแร้ สเปรย์หรือแบบลูกกลิ่ง ซึ่งยาพวกนี้จะมีตัวยา2 ชนิด คือ ยาลดเหงื่อ และยาฆ่าเชื้อโรค หรืออาจใช้ผงสารส้มถูทาให้ทั่วรักแร้ก็ได้ผลดี
· การรักษากลิ่นแบบถาวร เป็นการรักษาด้วยการผ่าตัด วิธีนี้ควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
4. การรักษาสุขภาพของช่องปาก โพรงจมูก และรักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง ปราศจาก โรคอยู่เสมอ การรักษาสุขภาพช่วยให้เราไม่มีกลิ่นตัวที่น่ารังเกียจ และช่วยให้เราเข้าสังคมอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุขอีกด้วย
1.6 กิจวัตรในการรักษารูปลักษณ์
ลองทำตารางเวลาของกิจวัตรที่จะต้องปฏิบัติในการแต่งตัวที่ดี คุณอาจจะใช้รายการต่อไปนี้
ช่วยคุณทำตารางเวลาของคุณเอง
พยายามทำตามที่วางแผนไว้ให้ได้มากที่สุด
1.7 การดูแลรูปร่าง
รูปร่างเป็นสิ่งที่สะดุดตาผู้พบเห็น ไม่มีใครอยากให้ตัวเองอ้วนจนน่าเกลียด และคงไม่มีใครอีกเหมือนกันที่อยากเห็นตัวเองผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ซึ่งจะทำให้มีผลต่อความมั่นใจในบุคลิกของตนเอง
แต่การจะมีรูปร่างสมส่วน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนเพราะสิ่งที่คิดว่ายากที่สุดที่แก้ไขไม่ค่อยได้ ก็คือเรื่องพันธุกรรม ซึ่งยากจะแก้ไข
ความอ้วนที่ไม่เกี่ยวกับพันธุกรรม และระบบเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีแต่กำเนิด สามารถปรับปรุงแก้ไขได้
การลดความอ้วน คนอ้วนที่มีน้ำหนักมาก เกือบทุกคนต้องการลดน้ำหนักตัวเอง ซึ่งสิ่งสำคัญ คือ การควบคุมอาหารจะทำให้น้ำหนักลดลงได้
การควบคุมอาหาร ไม่จำเป็นต้องลดอาหารทุกอย่าง เพียงลดบางอย่างและรับประทานให้ได้สารอาหารครบถ้วน ควรรับประทานให้ครบ 3 มื้อ แต่ลดปริมาณอาหารบางอย่างในแต่ละมื้อดีกว่าลดมื้ออาหารเหลือ 2 มื้อ และในจำพวก 3 มื้อ มื้อเย็นเป็นมื้อที่ควรลดปริมาณอาหารให้น้อยลงกว่ามื้ออื่น ๆ
อาหารที่ลดน้ำหนัก แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
1. อาหารที่ควรงด ได้แก่
· อาหารที่มีไขมันสูง เช่น เค้กหน้าครีม พาย คุ้กกี้ ช็อกโกแลต ไอคกรีม มันสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมันมาก
ของทอดทุกชนิด อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสม ครีมต่าง ๆ เป็นต้น อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ขนมหวาน โดยเฉพาะขนมหวานที่มีแต่แป้งและน้ำตาลเป็นส่วนผสม เครื่องดื่มที่มีรสหวาน น้ำอัดลม น้ำหวาน เป็นต้น
2. อาหารที่รับประทานได้ในปริมาณจำกัด
· ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี และอาหารที่ทำจากแป้ง
· อาหารผัดที่มีน้ำมันค่อนข้างมาก
· เนื้อสัตว์ที่ติดมันไม่มาก
· ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน เป็นต้น
· อาหารที่กินได้ไม่จำกัด
· ผัก
· ผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง มะละกอ มังคุด เป็นต้น
นอกจากอาหาร 3 มื้อ แล้วไม่ควรรับประทานอาหารในระหว่างมื้อ เช่น อาหารว่าง ของขบเคี้ยว
ต่าง ๆ
การออกกำลังกาย จะช่วยในการลดน้ำหนักได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ ควรออกกำลังกายควบคู่กับการ
ควบคุมอาหาร
การใช้ยาลดความอ้วน
1. ยาลดความอ้วน เป็นอันตรายต้องอยู่ในความควบคุมของหมอไม่ควรซื้อยากินเอง
2. ชาลดความอ้วน มีสมุนไพรมะขามแขกใช้เป็นยาระบายรับประทานและทำให้ถ่ายท้องทำ
ให้ร่ายกายสูญเสียและร่างกายได้สารอาหารเข้าสู่ร่างกายอย่างผิดปกติ เนื่องจากอาหารถูกขับออกเป็นอุจจาระ เร่งกลับไปทำให้เกิดสภาวะของสารอาหารกลับได้ และจะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารผิดปกติเคยชินกับยาระบาย ถ้าไม่รับประทานเกิดอาการท้องผูก
อยากอ้วน
คนที่มีรูปร่างผอมมากไป จะรู้สึกอ่อนเพลียเป็นลมง่ายไม่มีแรง ควรที่จะเพิ่มน้ำหนักได้ ไม่เช่นนั้น นานจะทำให้ไม่มีความต้านทานโรคต่าง ๆ และเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
สิ่งที่คนผอมควรปฏิบัติเพื่อให้น้ำหนักเพิ่มดังนี้
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่มากกว่าที่เคยรับประทาน
2. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอทุกวัน
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
4. ทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ ไม่วิตกกังวลหรือเครียด
5. ไม่ควรเชื่อคำโฆษณา ซื้อยาบำรุงความอ้วนมารับประทานเอง เพราะจะเป็นอันตราย
การแต่งตัวพรางรูปร่าง
การปรับปรุงรูปร่างของตนเอง อีกวิธีหนึ่งก็คือ การแต่งตัวพรางรูปร่างโดยใช้ลวดลายของเสื้อผ้า สีของเสื้อผ้า เนื้อผ้าตลอดจนการออกแบบเสื้อผ้า ล้วนมีส่วนช่วยพรางรูปร่างของคนอ้วนให้ผอมหรือคนผอมให้ดูดีขึ้นได้
คนอ้วนควรหลีกเลี่ยงลักษณะเสื้อผ้า ดังนี้
1. ผ้าสีอ่อน
2. ลวดลายขนผ้าที่เป็นดอกใหญ่
3. ลวดลายแบบเสื้อหรือกระโปรงที่มีลายขวางเต็มตัว
4. เสื้อคอตั้ง ติดคอ
5. เสื้อหรือกระโปรงที่มีระบายตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
6. แขนเสื้อพองโต หรือแขนเสื้อที่จีบ รูด เป็นแบบแขนตุ๊กตา
7. กระโปรงต่อสะโพก
8. เนื้อผ้าที่มีน้ำหนักทิ้งตัวมากเกินไป เนื้อผ้าประเภทนี้ใส่แล้วจะแนบตัว ทำให้เห็นสัดส่วนรูปร่าง เป็นการเน้นรูปร่างให้เห็นว่าอ้วน
9. เนื้อผ้าที่เบาบาง
คนอ้วนควรเลือกเสื้อผ้าที่มีลักษณะ ดังนี้
1. ผ้าสีเข้ม
2. ลวดลายตามยาว
3. เนื้อผ้าไม่ทิ้งตัว ใส่แล้วไม่แนบตัว
4. แบบเสื้อที่อยู่นอกกระโปรง เหมาะกว่าเสื้อที่ใส่สอดในกระโปรง
5. กระโปรงทรงตรงที่ไม่สอบเข้ารูป และแนบตัวจนเกินไป เพราะจะเน้นสัดส่วนความอ้วนมากเกินไป
6. แขนเสื้อควรเป็นทรงตรง แต่ไม่แนบเนื้อเกินไป
คนผอมควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าลักษณะ ดังนี้
1. เสื้อผ้าสีเข้ม
2. เสื้อผ้าดอกเล็ก
3. ลายผ้าตามยาว
4. แบบเสื้อที่รัดรูป หรือแนบตัวเกินไป
5. แบบเสื้อคอกว้างเกินไป
คนผอมควรเลือกเสื้อผ้าลักษณะ ดังนี้
1. เสื้อผ้าสีอ่อน
2. เสื้อผ้าดอกใหญ่
3. ลายตามขวาง
4. เสื้อหรือกระโปรงเป็นแบบ จีบรูด หรือติดระบาย
5. แขนเป็นแบบแขนพอง หรือแขนธรรมดาที่ไม่รัดรูปแนบแขนเกินไป
6. คอเสื้อมีปก มีการตกแต่งระบายหรือลูกไม้
7. กระโปรงบานดีกว่ากระโปรงแคบ หรือถ้าจะเป็นกระโปรงแคบ ก็ควรมีจีบรูดที่เอว เล็กน้อย ตัวกระโปรงไม่แนบตัวเกินไป อาจเป็นทรงตัวเอ
8. เนื้อผ้าค่อนข้างหนาจนถึงหนาใส่ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับภูมิอากาศ หรือจะใช้เนื้อผ้าที่บางก็ได้ แต่ต้องเป็นแบบ ที่มีระบายหรือจีบรูด
การใช้เครื่องประดับ
คนผอมได้เปรียบกว่าคนอ้วนในการเลือกใช้เครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัด สร้อยคอ ที่ติดเสื้อ
เข็มขัด
คนผอม จะใช้เข็มขัดเส้นกว้าง หรือเส้นเล็กก็ได้ แต่ถ้าผอมแล้วเตี้ยก็อาจจะใช้เข็มขัดเส้นเล็กแทน
คนอ้วน ควรหลีกเลี่ยงการคาดเข็มขัด แต่ถ้าต้องการกับชุดบางชุด ควรใช้เข็มขัดเส้นเล็ก เพื่อไม่ให้ดูเทอะทะจนเกินไป
ที่ติดเสื้อ
คนอ้วน ไม่ควรใช้ที่ติดเสื้อเล็กจนเกินไป หรือใหญ่เกินไป เพราะถ้าใช้เล็กมากก็จะดูไม่เหมาะสมกับสัดส่วนของร่างกาย แต่ถ้าใหญ่เกินไปก็จะดูเทอะทะใหญ่โตไปหมดทั้งตัว โดยเฉพาะการใส่ที่ติดเสื้อที่เป็นดอกไม้ดอกใหญ่
คนผอม จะติดเสื้ออันโตหรืออันเล็กก็ได้
สร้อยคอ
คนอ้วน ควนใช้ลักษณะของสร้อยคอเส้นยาว เพราะเส้นตามยาวจะพรางรูปร่างให้ดูผอมลง รูปร่างของสร้อยคอไม่ควรเป็นชิ้นใหญ่ ควรใช้ลูกปัดยาวรี หรือจะเป็นสร้อยไข่มุกกลมเส้นยาวก็ได้ ไม่ควรเป็นจี้อันกลมใหญ่กลางคอ และไม่ควรเป็นเส้นสั้น ๆ หลาย ๆ เส้น ใส่รุงรังไปหมดเต็มคอ
คนผอม ไม่ควรใส่สร้อยคอเส้นยาวเส้นเดียวโดด ๆ เพราะเส้นตามยาวจะทำให้รูปร่างสูงและผอมลง ควรเป็นสร้อยคอที่มีลักษณะเส้นค่อนข้างสั้น หรือถ้าอยากใส่เส้นยาว ควรใส่หลาย ๆ เส้น รวมกัน ลักษณะของสร้อยคอ จะเป็นวัสดุชิ้นใหญ่หรือเล็กก็ได้
ต่างหู
คนอ้วน ไม่ควรใช้ต่างหูที่ทำเป็นดอกไม้ดอกโต ๆ เพราะจะทำให้ดูหน้าอ้วนกลมมากขึ้น ต่างหูที่เป็นห่วงกลม ๆ ก็ไม่ควรใช้ ควรเป็นต่างหูเรียบ ๆ เป็นมุกเม็ดเดียว หรือพลอย หรือเพชรเม็ดเดียวก็ได้หรืออาจจะเป็นแบบหลายเม็ด ที่ไม่ใหญ่นักเรียงเป็นแนวห้อยลงมาตกติ่งหู
คนผอม ค่อนข้างง่ายต่อการเลือกแบบของต่างหู เพราะจะเป็นต่างหูค่อนข้างโต เป็นห่างเป็นเม็ดหรือเป็นดอกใหญ่ก็ได้ แต่ไม่ควรเลือกชนิดที่เป็นเส้นยาวห้อยลงมาจากหู เพราะจะทำให้ดูผอมสูงแต่ถ้าคนผอมเตี้ยก็อาจใช้ได้
ประจำวัน
ออกกำลังกาย
อาบน้ำ
ผม
สระผม
แปรงและหวีผม
ใช้น้ำยาระงับกลิ่นตัวและเหงื่อ
ล้างมือ
ล้างหน้า
แปรงฟันและใช้ไหมขัดซอกฟัน
โกนหนวด (สำหรับผู้ชาย)
ประจำสัปดาห์
แต่งเล็บ
ใช้น้ำยาปรับสภาพเส้น