9 วิธี เป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่มีความสุข
9 วิธี เป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่มีความสุข
หลายคนอาจมั่นใจในตัวเองว่าเป็นคนมีเสน่ห์ และถูกแวดล้อมด้วยคนรอบข้างตลอดเวลา แต่แน่ใจหรือว่า คุณเป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่มีความสุข ในชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่คนมารุมล้อมคุณเพราะการที่คุณลงทุนทุ่มเงินหรือสิ่งตอบแทนให้เขาเหล่านั้น "หนังสือ 104 วิธีสู่การเป็นคนน่ารัก" ได้ให้แง่คิดการมีชีวิตแบบเป็นสุข จนอดหยิบยกมานำเสนอให้กับสาวเจ้าเสน่ห์ที่อยากมีความสุขที่แท้จริงไม่ได้ว่า จริงๆ แล้ว การหันมามองตัวเองเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองมากที่สุด
1. สร้างเป้าหมายให้กับชีวิต
ดัชนีที่สามารถใช้ชี้วัดความกระตือรือร้นและพลังชีวิตของแต่ละคนคือความสามารถในการสร้างเป้าหมายในชีวิต ลองถามตัวเอง ให้แน่ในเกี่ยวกับเป้าหมายระดับต่างๆ ที่ตั้งไว้ เพราะสิ่งนั้นควรจะเป็นเรื่องที่เราต้องการจริงๆ มีเวลาและพลังงานมากพอ รวมทั้งคุ้มค่าต่อ ความพยายามที่แลกไป เป้าหมายในระดับสูงน่าจะเป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณค่าที่เรายึดถือในชีวิตอย่างแท้จริง เพื่อที่ว่าจะได้เกิดแรงผลักดัน ในการไปให้ถึง
2. กำหนดแต่ละก้าวสู่จุดหมายให้ชัดเจน
แต่ละก้าวที่เรามุ่งไปสู่จุดหมาย เมื่อสิ้นสุดภารกิจแต่ละขึ้นตอน สูดหายใจลึกๆ และทบทวนอีกครั้งว่าก้าวต่อไปจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร ด้วยวิธีนี้จะทำให้เรามองเห็นขึ้นต่อไปชัดเจนขึ้น และมีพลังงานสำรองมากพอที่จะลุยไปข้างหน้า หากเป้าหมายที่วางไว้เป็น สิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยในชีวิต ลองปรึกษากับคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน ใช้คำแนะนำและชัยชนะของพวกเขา มาเป็นแรงกระตุ้นที่มีประโยชน์สำหรับเรา แล้วทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
3. รักษาทัศนคติในแง่บวกและความกระตือรือร้นเอาไว้ให้ดี
กฎทองที่ควรมีไว้เตือนใจตัวเองเป็นประจำคือ พยายามเพ่งมองผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทำอยู่ในแง่ดี มากกว่ามองในแง่ลบ แล้วสิ่งนี้เองที่จะสะท้อนไปถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ที่คุณจะสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความสุขใน การทำงานเพิ่มขึ้น
4. รู้จักใช้ศิลปะในการวิพากษ์วิจารณ์
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้พ้นทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่เราเป็นผู้กระทำและเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนก็ตาม ศิลปะในการวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์มีกฎง่ายๆ อยู่ไม่กี่ข้อ คือ มีจุดประสงค์ในการวิจารณ์ที่เสนอ ทางออก ที่เป็นจริง รวมทั้งให้คำแนะนำที่ดีในการแก้ปัญหา ในการวิพากษ์วิจารณ์ควรทำเป็นส่วนตัวไม่ใช่ในที่สาธารณะ และคำนึงถึง ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ด้วย หากทำได้ตามขั้นตอนเหล่านี้ การวิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ จะให้ผลในแง่ดี
5. พูดคำว่า "ไม่" เสียบ้าง เพื่อลดความเครียดลง
ดูเหมือนว่าความเครียดส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาจากการปฏิเสธคนไม่เป็น หรือการไม่พูดคำว่า "ไม่" ออกไปชัดเจน ในบาง สถานการณ์โดยเฉพาะในชีวิตการทำงาน การปฏิเสธในเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรือทำให้ดูไร้น้ำใจเสมอไป เพียงแต่ต้อง เลือกวิธีการและจังหวะเวลาให้ดี ปฏิเสธอย่างชัดเจนในกรณีที่ทำไม่ได้จริงๆ พูดสั้นๆ แค่ "ไม่ค่ะ ขอบคุณมาก" แต่ในบางกรณีอาจปฏิเสธพร้อมเหตุผลสั้นๆ เช่น "ไม่สะดวกค่ะ ต้องรีบเตรียมรายงานสำหรับวันพรุ่งนี้" การมีท่าทียิ้มแย้มจะทำให้การปฏิเสธนั้นไม่ดูก้าวร้าว
6. มองหาศรัทธาในชีวิต
ในชีวิตคนเราจำเป็นต้องมีศรัทธาต่อบางสิ่งอยู่เสมอ ศรัทธาคือความเชื่อมั่นหรือการให้คุณค่าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความหมายและคำอธิบาย ต่อการได้เกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ง่ายๆ อย่างเช่นความศรัทธาที่มีต่อศาสนา ซึ่งถ้าเราจะยึดถือในเรื่องศาสนาได้อย่างพอดีก็นับเป็นเรื่องดีมาก เมื่อมีศรัทธาแล้ว ก็หันมายอมรับและพอใจกับตัวเอง ด้วยการค้นหาความสำเร็จสูงสุดในชีวิตให้เจอแล้ว แล้วมีความพอใจกับมัน แค่นี้ความพอใจในชีวิตก็จะเกิดขึ้นเอง
7. ดูแลสุขภาพกายใจให้ดีอยู่เสมอ
อย่าหลงลืมเป็นอันขาด การดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราต้องทำให้เป็นวินัยไปชั่วชีวิต เพราะเมื่อ สุขภาพดี เป็นเบื้องต้นแล้ว เท่ากับว่าต้อนทุนชีวิตของเรามีตุนอยู่เต็มกระเป๋า โดยเริ่มด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่ามัวคุมอาหารจนผอมหัวโต ออกกำลังกายเป็นประจก อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาที และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คุณภาพชีวิตเต็มร้อยแน่นอน
8. อิ่มใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
ไม่จำเป็นเสมอไปที่ความอิ่มเอิบใจ จะมาจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะมีตัวอย่างหลายต่อหลายเรื่องที่ทำให้เห็นว่า ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ต่างหากที่จะนำไปสู่ชัยชนะที่สูงที่สุดในชีวิต ดังนั้นลองหันมาชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำสำเร็จดูบ้าง หากรู้จักอิ่มใจแล้ว ทีนี้ก็มอบความรักให้กับผู้อื่นด้วยการให้อภัย และพร้อมที่จะยกโทษให้คนรอบข้างได้เสมอ
9. ฟื้นฟูคุณค่าให้ตัวเอง ในวันที่แสนท้อแท้
คงจะมีบ้างในบางวันที่รู้สึกล้มเหลวและเป็นผู้แพ้ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองหมดแรงนอนซม หรือตามใจตัวเองผิดๆ ด้วยการกินอย่าง ไม่บันยะบันยัง ดังนั้นลองหาวิธีง่ายๆในการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เช่น ใช้เวลายามเย็นเดินชมสวน โทรคุยกับเพื่อนเก่าที่มีคำพูดดีๆ ให้เราเสมอ
คู่มือสะกดใจคน Get Anyone to do Anything
คู่มือสะกดใจคน
คุณเบื่อบ้างไหมกับการถูกหลอกจนหัวปั่นและถูกเอารัดเอาเปรียบ? เคยรู้สึกว่าบางครั้งไม่มีใครยอมรับฟังและร่วมมือกับคุณ อย่างที่ควรจะเป็นบ้างหรือเปล่า? หากคุณอยากจะเป็นผู้ที่สามารถควบคุม ทุกสถานการณ์แล้วละก็ ถึงเวลาแล้วที่คุณจะได้เรียนรู้วิธีการปฏิบัติ !
หนังสือเล่มนี้ คือ กลวิธีทางจิตวิทยาในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งจะช่วยให้คุณเป็นผู้ที่ฉลาดกว่า คิดได้ลึกซึ้งกว่า และตอบโต้ได้ดีกว่ากับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา
ส่วนที่ 1 ทำให้ผู้อื่นชอบคุณ รักคุณ หรือคิดว่าคุณเป็นคนสำคัญ
ขั้นตอนที่ 1 ทำให้ผู้อื่นชอบคุณในทุกโอกาส มีกลวิธีทั้งหมด 5 ประการ
1. อยู่ใกล้ชิดกับเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะความใกล้ชิด ก่อให้เกิดความชอบ เกลียดชัง
2. เมื่อคุณจะพูดกับผู้อื่นพยายามพูดตอนที่เขาอารมณ์ดี เพราะความรู้สึกนี้จะถูกถ่ายทอดมายังตัวคุณทำให้เขามีความรู้สึกทางบวกต่อคุณไปด้วย
3. ทำให้เขารู้สึกดีๆเกี่ยวกับตัวเขาเองด้วยการแสดงความรู้สึกนับถือหรือชื่นชมเขาด้วยความจริงใจ
4. สร้างความรู้สึกคล้ายคลึงกันโดยพูดคุยหรือทำสิ่งที่ทั้งคุณและเขาเป็นเหมือนๆกัน
5. แสดงถึงการมีทัศนคติที่ดีด้วยการเป็นคนกระตือรือร้น มีชีวิตชีวา พึงพอใจกับชีวิต และมีความสุขกับการใช้ชีวิต
ขั้นตอนที่ 2 ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้อื่นประทับใจเมื่อพบกันครั้งแรก
สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด คือ ยิ้มเข้าไว้ เพราะการยิ้มทำให้เกิดสิ่งที่ทรงพลัง 4 อย่าง คือ ความมั่นใจความสุข ความกระตือรือร้น และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและสงบเยือกเย็นลง
ส่วนที่ 2 พอกันทีกับการถูกตบตา ต้มตุ๋น หลอกใช้ โกหก หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ
ขั้นตอนที่ 3 จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้อื่นกำลังปั่นหัวคุณอยู่
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่า “การปั่นหัว” เสียก่อน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อจริงๆแล้วคนๆหนึ่งรู้สึกต่อต้านแต่แสร้งทำเป็นว่าเห็นด้วยกับบางเรื่องเพื่อปิดบังความคิดที่แท้จริงของเขา ด้วยเหตุนี้โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่ต้องการจะปั่นหัวผู้อื่นมักแสดงท่าทีเกินจริงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตัวอย่างเช่นในวงการพนันนักเล่นไพ่โป๊กเกอร์ที่ต้องการจะปั่นหัวคุณ จะวางเงินพนันอย่างรวดเร็วเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้สึกกลัวเลย แต่ถ้าเขาถือไพ่ดีอยู่จริง เขาจะทำท่าทางคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆวางไพ่ลงไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขา
ส่วนที่ 3 เป็นผู้ควบคุมในทุกสถานการณ์และจะให้ใครทำอะไรก็ได้ดังใจ
ขั้นตอนที่ 4 ทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณ
หากคุณมีความคิดดีเยี่ยมแต่กลับไม่มีใครยอมฟังคุณเลย นี่คงเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอย่างยิ่ง ปัจจัยหลัก 3 ประการที่จะช่วยแก้ไขได้ คือ
1) การตัดสินใจเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ ดังนั้นการเน้นถึงผลประโยชน์ที่เห็นได้เป็นรูปธรรมจะช่วยชักจูงอารมณ์ผู้ฟังให้เห็นคล้อยตามได้ดี
2) เสนอแผนการที่ระบุขั้นตอนไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสบายใจและมั่นใจว่าความคิดนี้จะประสบความสำเร็จ
3) เพิ่มเติมให้เขารู้ว่าเขานั่นเองที่เป็นคนกระตุ้นให้คุณ มีความคิดดังกล่าว และแนวคิดนี้สอดคล้องกับความเป็นตัวเขาและสิ่งต่างๆที่เขาเคยทำซึ่งจะทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกแยก ตรงกันข้าม กลับจะยิ่งสนับสนุนแนวคิดนั้นๆ
ขั้นตอนที่ 5 ทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณ
เทคนิคที่สำคัญ คือ การทำให้เขารู้ว่าคุณเชื่อว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด ยกตัวอย่างเช่น คุณได้ขอให้ใครสักคนทำงานชิ้นหนึ่งให้เสร็จภายในเวลา 2 สัปดาห์ จงอย่าพูดว่า “งานไปถึงไหนแล้ว”หรือ “คุณน่าจะลงมือทำได้แล้วนะ” ทางที่ดีควรพูดว่า “นี่คุณรู้ไหม ผมรู้สึกขอบคุณที่คุณช่วยผมทำงานชิ้นนี้ นอกจากคุณจะเป็นคนที่ ชอบให้ความช่วยเหลือคนอื่นแล้ว คุณยังช่วยพวกเขาจนงานเสร็จสิ้นทุกครั้ง”
ส่วนที่ 4 ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ชนะในทุกเวทีการแข่งขัน
ขั้นตอนที่ 6 เปลี่ยนความคิดของคนหัวรั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม
เมื่อคุณต้องติดต่อกับคนหัวรั้น จงจำไว้เสมอว่ามีปัจจัย 4 ประการที่ทำให้เขามีทัศนคติเช่นนี้
1) โดยปกติแล้วเขามักปฏิเสธในทุกๆเรื่องถ้ามันเป็นเรื่องใหม่หรือเขาไม่ชอบความคิดนั้น เพราะมีคติประจำใจ คือ การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่เลวร้าย
2) เขามีปัญหากับคุณ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะชักจูงเขาอย่างไร ไม่ว่าความคิดของคุณจะมีเหตุผลมาก แค่ไหน เขาก็ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ
3) เขาเพิ่งผ่านสถานการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกว่าถูกหลอกหรือโดนเอาเปรียบ เขาจึงเลือกจะทำในสิ่งที่ปลอดภัยไว้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนหลอกอีก
4) เขาเป็นคนไม่ชอบสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม
ถ้าคุณเชื่อว่าการที่เขารู้สึกต่อต้านนั้นมีสาเหตุมาจาก ข้อ 1-3 แล้ว คุณสามารถนำกระบวนการดังนี้ไปใช้เพื่อให้เขาประเมินความคิดของตัวเองเสียใหม่
วิธีการที่ 1 ผลการศึกษาจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ก่อนที่จะขอร้องให้ใครบางคนช่วยเหลือคุณ ถ้าคุณสามารถทำให้เขา
กล่าวคำพูดที่สอดคล้องกับการตกปากรับคำได้ ย่อมมีโอกาสสูงขึ้นที่จะทำให้เขายอมทำตามที่คุณขอได้ เช่น สมมุติว่าคุณต้องการให้เจ้านายของคุณรับฟังแนวคิดใหม่ของคุณ คุณเพียงแค่พูดว่า “คุณเห็นด้วยไหมว่าการปิดกั้นไม่ยอมรับฟังผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าทำอย่างยิ่ง” หลังจากนั้นเมื่อคุณหยิบยกเรื่องที่เตรียมไว้มาพูด เขาจะรับฟังและให้ความร่วมมือกับคุณอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
วิธีการที่ 2 ให้จำกัดความสามารถของเขาที่จะทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ เพราะมันจะยิ่งเพิ่มความต้องการที่จะทำสิ่งนั้น ดังคำกล่าวที่ว่า “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ”
แต่ถ้าใครสักคนไม่ยอมรับฟังผู้อื่นเนื่องจากเหตุผลในข้อ 4 การจะทำให้เขาเปลี่ยนใจจะต้องใช้กลวิธีที่แตกต่างออกไป ด้วยการนำเสนอความต้องการของคุณโดยพยายามผนวกเข้ากับจรรยาบรรณและตัวตนของเขา ซึ่งจะทำให้ความต้องการนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ขั้นตอนที่ 7 ทำให้ผู้อื่นช่วยเหลือคุณเป็นกรณีพิเศษ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของใครบางคนว่าจะช่วยเหลือคุณหรือไม่นั้นมีดังต่อไปนี้
1) จงขอความช่วยเหลือในขณะที่เขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องอื่น และแม้ว่าสิ่งนั้นยังไม่จำเป็นต้องทำในทันทีก็ให้ขอความช่วยเหลือไว้แต่เนิ่นๆ
2) ถ้าคุณนำเสนอบางสิ่งบางอย่างให้กับเขาไม่ว่าจะเป็นเวลา ความสนใจ หรือแม้แต่คำชมเล็กๆน้อยๆ จะทำให้เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ นั่นหมายถึงโอกาสที่เขาจะทำตามคำขอร้องของคุณย่อมจะมีมากขึ้นด้วย
3) บอกให้เขารู้ว่าคุณไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกแล้ว เพราะถ้าเขาคิดว่าไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยคุณได้เขาจะไม่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือคุณ
4) ไม่จำเป็นว่าต้องรอให้เขาอารมณ์ดีเสียก่อนแล้วจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือ เพราะผลการวิจัยบอกว่าคนที่อารมณ์เสียก็อาจเต็มใจช่วยเหลือคุณได้ถ้าการช่วยเหลือนั้นแทบไม่ต้องใช้ความพยายามและทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
5) เขามีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือคุณมากขึ้นถ้าคุณไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าคุณกำลังแข่งขันกับเขา ดังนั้นจงสร้างทัศนคติที่ว่า “คุณและฉันร่วมมือกันเอาชนะบางสิ่งบางอย่าง”
มาถึงตอนนี้ ถ้าเขายังคงดูไม่กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือคุณ คุณก็จำเป็นที่จะต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าเขาจะได้รับอะไรตอบแทนจากการช่วยเหลือคุณ และเปรียบเทียบให้เห็นว่าผลตอบแทนนั้น มีมากกว่าความยากลำบากในการลงแรงช่วยอย่างไรบ้าง
ขั้นตอนที่ 8 สุดยอดเคล็ดลับทางจิตวิทยาของความเป็นผู้นำ
1) การวางตัว : ผู้นำที่มีความสามารถในการปรับตัวและทำตัวให้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่นย่อมจะได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนจากผู้อื่น
2) ความอ่อนน้อมถ่อมตน : จงอย่าตั้งตนให้เหนือกว่าคนอื่น แต่จงมีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำก็เพียงพอ
3) สิ่งที่ควรและไม่ควรทำในฐานะผู้นำที่มีอำนาจและมีความรับผิดชอบ
ประการแรก อย่านำอารมณ์มาเกี่ยวข้องมากเกินไป เพราะผู้นำที่ใช้อารมณ์มากจนเกินเหตุอาจจะดูน่าเชื่อถือแต่ไม่มีใครต้องการปฏิบัติตาม
ประการที่สอง สร้างบารมีด้วยการให้ความเคารพและความเอาใจใส่ต่อทุกๆคน
4) ผู้นำที่อนุญาตให้ผู้ตามมีส่วนร่วมแต่พอควรจะได้รับผลตอบรับที่ดีกว่าผู้นำที่อนุญาตให้ผู้ตามมีส่วนร่วมมากหรือน้อยเกินไป
ส่วนที่ 5 ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น :: เรียนรู้วิธีเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัด น่าลำบากใจ
ขั้นตอนที่ 9 ทำให้ผู้อื่นยกโทษให้คุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม
ถ้าความผิดนั้นอยู่เหนือการควบคุมของคุณ จงบอกให้เขารู้ พร้อมทั้งเอ่ยคำขอโทษด้วยความจริงใจ ข้อพึงระลึกคือ การให้เหตุผลที่ตรงประเด็น จะลดความโกรธเคืองของเขาได้ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุผลที่คลุมเครือ แต่ถ้าความผิดรุนแรงมากกว่านั้นทำให้เขารู้สึกเสีย ความไว้ใจและความนับถือ สิ่งที่คุณจะต้องทำประกอบด้วย 4 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1 แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ อย่าโยนความผิดหรือสรรหาคำแก้ตัวใดๆขึ้นมาอ้าง พร้อมทั้งกล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจ
ช่วงที่ 2 บอกให้เขารู้ว่าคุณพร้อมที่จะยอมรับผลของการกระทำใดๆที่จะเกิดขึ้นตามมา ช่วงที่ 3 อธิบายให้เขาฟังว่าคุณจะทำอย่างไรไม่ให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำอีก พร้อมทั้งให้คำอธิบายที่มีเหตุผลและฟังขึ้นว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น
ช่วงที่ 4 แสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากการกระทำครั้งนี้เลย
ขั้นตอนที่ 10 กล่าวคำวิจารณ์ที่รุนแรงที่สุดโดยไม่สร้างความขุ่นข้องหมองใจ
เวลาที่คุณต้องการวิจารณ์ใครสักคนให้คำนึงถึงหลักดังต่อไปนี้ซึ่งจะช่วยให้คุณแสดงความเห็นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจ
1) บอกให้เขารู้ว่าการที่คุณพูดอย่างนี้เป็นเพราะว่าคุณใส่ใจและเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขา
2) เวลาที่ดีที่สุดในการวิจารณ์ คือ เมื่อทั้งคุณและเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นแล้ว และควรทิ้งไว้สักระยะก่อนจะเริ่มวิจารณ์
3) กล่าวคำชมก่อนจะเริ่มวิจารณ์ และจงวิจารณ์ที่การกระทำไม่ใช่ตัวบุคคล
4) เข้าไปมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วยถ้าคุณสามารถทำได้ พร้อมทั้งเสนอทางออก
5) บอกให้เขารู้ว่าไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นที่มีปัญหานี้
เพียงเท่านี้คุณก็สามารถมีความสุขกับชีวิตใหม่ ที่คุณกำหนดชะตาชีวิตได้ด้วยตัวเอง
วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคน
วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคน
ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะภาพใดหรือประกอบอาชีพใด ต่างต้องมีการติดต่อสื่อสารพบปะพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ดียิ่งขึ้น และหัวใจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน ,ในด้านครอบครัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ก็คือ " การรู้เท่าทันความคิดของผู้อื่น "
การรู้เท่าทันผู้อื่น เพื่อเราจะได้ปรับพฤติกรรมของเราให้เข้ากับ พ่อ แม่ หรือสมาชิกในครอบครัว, เพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้ง
ตามที่เคยนำเสนอ ศาสตร์ในการอ่านใจคน ด้วยหลักจริต 6 ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรารู้แนวโน้มพฤติกรรมของผู้อื่นอย่างกว้าง ๆ และเพื่อให้เราเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น Dr.Dimitrius ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการคัดเลือกคณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาคดีดัง ๆ มากมาย ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอหลักในการอ่านความคิด,แรงจูงใจและพฤติกรรมของผู้อื่น ณ จุดเวลานั้น เช่น อ่านคนจากน้ำเสียง, จากวิธีการพูดจา เป็นต้น แต่การอ่านความคิดมนุษย์เป็นเรื่องที่ละเอียดสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีกรอบความคิดที่ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสน เพราะเบื้องหลังพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แสดงออกมาย่อมเกิดจาก แรงกระตุ้น ที่ต่างกันไป
ดังนั้น เพื่อง่ายต่อการปรับประยุกต์ใช้ Dr. Dimitrius จึงให้หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ ดังต่อไปนี้
1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก หรือสถานการณ์ เกิดขึ้นเป็นประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา, เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก
· พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
· พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง
2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )
ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ
1. พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น
2. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจาก สภาพสังคม เป็นต้น
คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ?
สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น
เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ "
· ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ, พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น
· ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว, มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น
ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา
4. มองหาจุดแตกต่าง
ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง
สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้จากรายละเอียดดังต่อไปนี้
การอ่านคนจากน้ำเสียง และการพูดจา
1. ระดับความดังของเสียง
1.1 คนเสียงดังผิดปกติ แต่มีรูปร่างเล็ก
· ชอบใช้อิทธิพล หรืออำนาจไปควบคุมผู้อื่น
· ขาดความอดทน หรือ
· เป็นผู้ที่มีความมั่นใจสูง
1.2 เสียงเบา และมีโทนเสียงต่ำ
· เป็นผู้ที่มีความสงบภายใน
· มั่นใจในตัวเอง
ข้อสังเกต : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
1. จากปกติพูดเสียงเบา >>> พูดเสียงดังผิดปกติ
· มีแนวโน้มว่าช่วงนั้นอาจตื่นเต้น
2. จากปกติพูดเสียงดัง >>> พูดเสียงเบาผิดปกติ
· มีแนวโน้มว่าอาจมีปัญหาในชีวิต มีความทุกข์ทางกายหรือทางใจ
2. จังหวะของเสียง
1.1 พูดเร็วมาก ๆ แบ่งได้ 2 ขั้ว
· เป็นคนใจร้อน, มุ่งมั่น หรือ
· Self-esteem ต่ำ จะพูดเร็วแต่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ หรือพูดติดอ่างเพราะตั้งใจให้คนฟังไม่ทัน
1.2 พูดช้ามาก ๆ แบ่งตามรูปร่าง
· ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างไม่เล็ก : อาจป่วย หรือ เป็นคนที่ Negative มากจนเกิดอาการอ่อนเพลีย
· ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ : ชอบดูถูกผู้อื่น คิดว่าตัวเองเก่งกว่า และมักมีสายตาเหยียดผู้ฟัง
ข้อสังเกต : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
· จากปกติพูดช้า >>> พูดเร็ว : กำลังโกรธ หรือกำลังโกหก
· จากปกติพูดเร็ว >>> พูดช้า : กำลังคิดหาคำพูดที่จะสื่อความให้เราเข้าใจเร็วขึ้น
3. พูดจาติด ๆ ขัด ๆ
แนวโน้มลักษณะนิสัย แบ่งได้ 2 ขั้ว
· ไม่จริงใจ พยายามหาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อพูดเข้าข้างตัวเอง
· จริงใจ สรรหาคำพูดเพื่อให้คนฟังเข้าใจ
ข้อสังเกต : ให้สังเกตจากร่างกาย
· ท่าทาง ไม่นิ่ง ขาแกว่งไปมา ไม่สงบ ตัวสั่น >>> ไม่จริงใจ
· ท่าทางสงบ สายตานิ่งสงบ >>> จริงใจ
4. น้ำเสียงที่มีการดัด หรือไม่เป็นธรรมชาติ
แนวโน้มลักษณะนิสัย ต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ มีปัญญา ความสามารถสูงกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่
5. น้ำเสียงออดอ้อน แนวโน้มลักษณะนิสัย มี 2 ขั้ว
· เป็นผู้ที่น่าคบ ชอบเป็นผู้ตาม
· คนที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ผู้อื่นทำตาม แต่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าถูกหลอกใช้
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
1. วิธีการตอบคำถาม
· นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
· พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น
2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
· เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
· จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น
3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้
· เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
· ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด
ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง
4. คนที่เปิดเผยตัวมาก
· เขาสนในเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
· อาจต้องการสร้างภาพ
5. คนที่ชอบพูดคำว่า " ลุย
· เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว
กลยุทธ์ชนะใจคน Dealing with difficult People
คุณคิดว่าดีกว่าไหม ถ้าเราจะสามารถอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา แล้วอุปสรรคทั้งหลายก็จะเบาบางลง โดยปราศจากความขัดแย้ง ด้วยการที่เรายินดีรับฟังความคิดที่แตกต่างของคนอื่น แต่ไม่ยึดถือมาเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยก ตามหลักที่ว่า “แตกต่างได้ แตกแยกไม่ได้”
ประเภทที่ 1 พวกรถถัง : เป็นประเภทชนแหลก และไม่สนใจว่าจะทำร้ายความรู้สึกของใคร มักเป็นคนก้าวร้าว เสียงดังมีพลัง หรือเงียบแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาพร้อมที่จะกำจัดคุณ ถ้าคุณขวางทางเขามองสิ่งที่คุณกำลังนำเสนอเป็นปัญหา คุณควรจะสื่อสารกับเขาอย่างสั้นๆ และตรงไปตรงมา และพยายามทำให้เขานับถือคุณ เพราะพวกรถถังจะไม่ต่อสู้กับคนที่พวกเขาให้ความเคารพนับถือ
วิธีการรับมือกับพวกรถถัง
· อย่าพยายามต่อสู้กับคนพวกนี้ คุณอาจเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็แพ้อยู่ดี ถ้าเขาตั้งตนเป็นปรปักษ์กับคุณ
· อย่าแก้ตัว อธิบาย หรือให้เหตุผล คนพวกนี้จะไม่ฟังคำอธิบายหรือข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้นของคุณ
· อย่าถอนตัว เพราะความกลัว ถ้าหากคุณกลัวจะทำให้พวกรถถังเห็นว่า การที่เขาโจมตีเป็นสิ่งที่ควรทำ และอาจกระตุ้นให้เขาทวี ความก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้นไปอีก
ประเภทที่ 2 พวกที่ชอบซุ่มยิง : เป็นประเภทที่ใช้จุดอ่อนของคุณเป็นเครื่องมือในการเล่นงานคุณ ไม่ว่าจะด้วยการซุ่มยิง นินทา หรือวิพากษ์วิจารณ์เมื่อทำงานไม่สำเร็จตามเป้าประสงค์เขาจะเข้าควบคุมคุณ โดยการทำให้คุณต้องอับอาย
วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบซุ่มยิง
· ไม่ควรตีโพยตีพาย คิดเสียว่าคำวิจารณ์ที่ร้ายกาจของเขาเป็นเรื่องน่าหัวเราะ ไม่ควรนำมาใส่ใจ แยกให้ออกระหว่าง พวกซุ่มยิงที่เป็นมิตร และไม่เป็นมิตรพยายามมองว่าคำวิจารณ์เป็นการผูกมิตร
· ถ้าคุณไม่ชอบพฤติกรรมที่เขาล้อเลียนหรือเสียดสี ให้คุณทำให้เขารู้ว่าคุณไม่ชอบ ถ้าคนพวกนี้ชอบคุณเขาอาจเปลี่ยนพฤติกรรมได้ คนพวกนี้จริงๆ แล้วชอบคุณ และสนุกกับการซุ่มยิงเพื่อให้คุณสนใจเขา
ประเภทที่ 3 พวกที่มีอารมณ์ร้าย : สามารถระเบิดอารมณ์ได้อย่างรุนแรง จนคนอื่นต้องหาที่หลบภัย และพากันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้สึกว่า ไม่ได้รับการชื่นชมหรือการเคารพจากผู้อื่น เมื่อความเงียบเฉยจากคนรอบข้างเกิดขึ้น อารมณ์ร้ายๆ ก็จะระเบิดออกมา และระเบิดไปทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาระเบิดออกมาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดอยู่หรือไม่ก็ตาม
วิธีการรับมือกับพวกที่มีอารมณ์ร้าย
· เก็บอารมณ์โกรธของคุณเอาไว้ การที่คุณเพิ่มความโกรธเข้าไปในสถานการณ์ที่เลวร้าย เป็นเหมือนกับการเอาน้ำมันไปราดไฟที่ลุกโชน
· เรียนรู้ที่จะมองพวกอารมณ์ร้ายในทางอื่นบ้าง จะช่วยให้คุณทำใจกับสถานการณ์ที่เลวร้ายได้มากขึ้น
· ตั้งใจรับฟังปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาระเบิดอารมณ์ที่ ร้ายกาจออกมาหรือไม่ คุณอาจช่วยลดความถี่และความตึงเครียดของการระเบิดได้
ประเภทที่ 4 พวกที่รู้หมดทุกอย่าง : เขาจะบอกคุณว่ารู้อะไรบ้าง แต่จะไม่ฟัง “ความคิดที่แย่กว่า” ของคุณ เขาจะควบคุมสถานการณ์ และควบคุมคนอื่นด้วยวิธีการผูกขาดการสนทนา โดยการพูดมาก ให้ข้อคิดเห็นที่ดูฉลาด และพยายามหาข้อผิดพลาด หรือจุดด้อยของคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเขา เพื่อทำให้ ความคิดของคนอื่นดูด้อยค่าลง คนพวกนี้รู้มากและมีความสามารถ ถ้าเกิดข้อผิดพลาด เขาจะบอกอย่างมั่นใจว่า คุณเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ ต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
วิธีการรับมือกับพวกที่รู้หมดทุกอย่าง
· พยายามอย่าเป็นพวกที่รู้หมดทุกอย่างเสียเอง ซึ่งไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
· อย่าทำให้คนพวกนี้ไม่พอใจ เพราะจะทำให้เกิดการโต้เถียง ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
· อย่ายัดเยียดความคิดของคุณให้พวกเขา แต่ให้พยายามทำตัวให้ยึดหยุ่น อดทน และดูฉลาด เวลาที่นำเสนอความคิดเห็น
ประเภทที่ 5 พวกที่คิดว่ารู้หมดทุกอย่าง : เป็นประเภทที่ต้องการให้คนอื่นชื่นชมโดยการเรียกร้องความสนใจ และเข้าไปมีส่วนร่วมในวงสนทนา แม้ว่าจะไม่มีใครอยากฟังก็ตาม ถ้าคุณไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเขากำลังพูดอะไร พวกเขาอาจนำคุณไปผิดทางได้
วิธีการรับมือกับพวกที่คิดว่ารู้หมดทุกอย่าง
· อย่าทำให้พวกเขาไม่พอใจ เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของเขาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจผิดว่า คนพวกนี้กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง
· อย่าตัดสินอะไรเร็วเกินไป อย่าพยายามเบี่ยงเบนความจริง เพียงเพื่อต้องการทำให้คนพวกนี้ขายหน้า เพราะอาจทำให้คุณสูญเสียความน่าเชื่อถือได้ ให้คุณอดกลั้นความอยากนั้นไว้ โดยพยายามมองข้ามสิ่งที่พวกเขาพูด ไปบ้าง
· Tab 2
ประเภทที่ 6 พวกที่ชอบตอบรับ : จะตอบรับอย่างรวดเร็วแต่จะทำงานอย่างเชื่องช้า ไม่รักษาสัญญาและไม่ตั้งใจจริง จะตอบรับไปก่อนโดยที่ไม่ได้คิดอะไร เพียงเพราะต้องการเอาใจ คนอื่น และไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง งานที่รับไว้ ก็ล้นมือจนเกินจะรับไหว เวลาที่เป็นของตัวเองก็เริ่มที่จะหมดไปจนทนไม่ได้ และเกิดหงุดหงิดไม่พอใจก่อให้เกิดความเสียหายในที่สุด
วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบตอบรับ
· อย่ากล่าวโทษ เพราะจะทำให้เขารู้สึกผิด และอับอาย พฤติกรรมแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำอีก เขาคิดว่าการที่ตอบรับไปก่อนว่าทำได้ จะทำให้คุณไม่พูดอะไรให้เขารู้สึกผิด หรือขายหน้า
· มองคนที่ชอบตอบรับเป็นคนที่ไม่มีทักษะในการจัดระเบียบ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ถ้าคุณช่วยเขาพัฒนาทักษะดังกล่าว เขาจะเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีมาก เพราะธรรมชาติของเขาเป็นคนชอบช่วยเหลือ
· ช่วยให้เขาพัฒนาการจัดระเบียบในการทำงาน ถามถึงงานที่เขาต้องรับผิดชอบ รวมทั้งผลเสียที่จะตามมา ถ้าเขาไม่สามารถส่งงานตามกำหนดได้ จากนั้นให้คุณช่วยวางแผนการทำงานให้เขา
ประเภทที่ 7 พวกที่ชอบลังเล : เมื่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เขามักหลีกเลี่ยงโดยการไม่ยอมตัดสินใจ จนคนอื่นตัดสินใจให้แทน หรือไม่กล้าที่จะแก้ปัญหา ก่อให้เกิดความเครียดและความน่ารำคาญ เพราะเขาปิด ตัวเองไม่ยอมรับความสัมพันธ์ที่ดีของผู้อื่น
วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบลังเล
· อย่าเร่งรัดเขา ความรำคาญ การหมดความอดทน หรือความไม่พอใจ จะทำให้เขาตัดสินใจได้ยากขึ้น
· มีความอดทน ถ้าคนพวกนี้รู้สึกกดดัน เขาจะรู้สึกไม่ปลอดโปร่ง และไม่สามารถคิดอะไรได้ถี่ถ้วน
· ใจเย็นๆ ความตึงเครียดและความกลัวจะทำให้เขามีพฤติกรรมดังกล่าวมากขึ้น แม้ว่าคุณจะสามารถ บังคับให้เขาตัดสินใจได้ แต่เขาอาจเปลี่ยนใจอีกเมื่อรู้สึกกดดัน
ประเภทที่ 8 พวกที่ไม่ยอมบอกอะไรเลย : เขาจะไม่ยอมบอกอะไรกับคุณเลยไม่มีข้อเสนอแนะหรือวิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือไม่ จะไม่แน่ใจ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ป้องกันตนเองไม่ให้ทำร้ายความรู้สึกคนอื่น และไม่ให้โกรธใคร มีพฤติกรรมที่พูดตรงๆ จึงทำให้เข้ากับผู้อื่นได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่องาน ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ บางคนจะหงุดหงิดและถอนตัว อาจมีคำพูดทิ้งท้ายไว้ด้วย เช่น “ดี! ทำเองเลย อย่ามาง้อให้ช่วยเวลาที่ไม่ได้ผลก็แล้วกัน” หลังจากนั้นก็จะไม่คิดทำอะไรอีกเลย
วิธีการรับมือกับพวกทีไม่ยอมบอกอะไรเลย
· ต้องให้เวลากับพวกเขา และยังต้องอาศัยความใจเย็นเพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียด
· ถ้าเป้าหมายของเขาคือทำงานให้ถูกต้อง เขาก็จะเป็นคนที่สนใจในเรื่องงาน หรือถ้าเป้าหมายของเขา คือต้องการเข้ากับคนอื่น เขาก็จะสนใจในเรื่องของคน พิจารณาดูว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร
· พยายามอย่าโมโห การที่คุณโกรธหรือโมโหจะยิ่งทำให้เขาตีตัวออกห่างมากขึ้น
ประเภทที่ 9 พวกที่ชอบปฏิเสธ : เขามักพูดว่า “ฉันไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะ แต่มองโลกในแง่ของความเป็น จริงต่างหาก” เป็นคนที่ไม่มีความสุข และชอบทำให้คนอื่นเป็น ทุกข์
วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบปฏิเสธ
โดยการให้เขา อยู่ในสายตาของคุณ และคุณต้องมีความอดทน อาจมีอะไรที่ น่ายินดีเกิดขึ้นบ้างก็ได้ และต้องมีความชื่นชมในตัวเขา
สิ่งที่คุณพูดกับคนอื่น สามารถสร้างความไม่พอใจ หรือความไว้เนื้อเชื่อใจได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถ สร้างการต่อต้าน หรือ ความร่วมมือได้เช่นกัน อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดความ ขัดแย้งหรือความเข้าใจอันดี ได้ด้วย
ประเภทที่ 10 พวกที่ชอบบ่น : เขามีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรช่วยเขาได้ เขาอยู่ในโลกที่ไร้ ซึ่งความยุติธรรมและไม่มีใครคนไหนหรือสิ่งใดจะเทียบเคียงมาตรฐานของเขาได้ ชอบบ่นอย่างไม่ หยุดหย่อน ในหลายๆ ครั้งการบ่นนั้นก็จมอยู่กับเรื่องเดิมๆ และพยายามทำให้คนอื่นเห็นด้วย กับตนเองว่าไม่มีอะไรถูกต้องเลย ทุกอย่างผิดไปหมด
วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบบ่น
· อย่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคนที่ชอบบ่น เพราะถ้าคุณเห็นด้วย จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เขายิ่งบ่น หรือถ้าคุณไม่เห็นด้วย เขาก็จะยิ่งรู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องย้ำถึงปัญหา
· อย่าพยายามแก้ปัญหาให้เขา เพราะคุณไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เขาจะต้องให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหานั้นด้วย
· อย่าถามเขาว่าทำไมเขาถึงบ่น เพราะนั่นจะเป็นการเชิญชวนให้เขาเริ่มบ่นใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
กลยุทธ์ต่างๆ ที่เสนอ ถ้าคุณนำไปปรับใช้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณได้มีทางเลือก ในการรับมือกับ ปัญหามากขึ้น