Mental Health สุขภาพจิต
· Tab 1
กันยา สุวรรณ รศ.ดร. อาจารย์ศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัย ท่านได้ให้ความหมายของ สุขภาพจิต ว่า หมายถึง ความสมบูรณ์ในด้านจิตใจ จิตใจปกติ เข้มแข็งอารมณ์มั่นคง สามารถปรับตัวกาย และใจ ให้ดุลยภาพกับ สิ่งแวดล้อม และสังคม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสุข
นิภา นิธยาย น,รศ. ให้ความหมายสุขภาพจิตว่า สุขภาพจิตเป็นผลของการปรับตัว ซึ่งเป็นวิธีการที่คนเราแสดงปฏิกิริยา ตอบโต้ใน การปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง เพื่อนฝูงหรือสังคม หรือในการเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเอง ตั้งแต่แรกเกิดจนวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นเครื่องที่จะกำหนดแบบของ บุคลิกภาพ ซึ่งรวมทั้ง สุขภาพจิต ที่มีคุณภาพของคนเราด้วย
สุขภาพจิต ที่ดี คือ ความสามารถที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยไม่จำเป็นจะต้องปล่อยให้เป็นไปตาม อำนาจของ สิ่งแวดล้อมทุกอย่าง แต่ไม่เอาแต่ใจตัวเองหรือไม่คำนึงถึงผู้อื่น สุขภาพจิต ย่อมมีความเหมือนกันกับ สุขภาพกาย ย่อมมีเวลาเสื่อมบ้าง โทรมบ้างสลับกันไป เป็นธรรมดาผู้ที่มีปกติทาง สุขภาพจิต ที่สมบูรณ์ตลอดเวลานั้นหายาก บางคน ต้องล้มป่วยเป็นโรคนี้บ้าง โรคนั้นบ้าง อันเป็นผลมาจากสุข
ลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพจิตดี
ผู้ที่มี สุขภาพจิต ดีจะสามารถเผชิญกับ เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดีทั้งในสถานการณ์ปกติ และไม่ปกติและ สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
เกณฑ์ในการพิจารณาผู้ที่มีสุขภาพจิตดีมีดังต่อไปนี้
ก. ความรู้สึกต่อตัวเอง
1. ไม่เกิดอารมณ์ต่าง ๆ รบกวนตนเองมากนัก เช่น โกรธ กลัว กังวล ฯลฯ
2. สามารถควบคุมความผิดหวังได้
3. เข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง เช่น ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง
4. นับถือตนเอง ไม่ยอมให้ผู้อื่นมีอิทธิพลเหนือตนเอง
5. สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้โดยรู้สาเหตุแห่งปัญหา
ข. ความรู้สึกต่อผู้อื่น
1. ให้ความรักแก่คนอื่น และยอมรับพิจารณาความสนใจของคนอื่น
2. คบหาสมาคมกับคนอื่น ๆ ได้
3. ไว้วางใจคนอื่น ๆ ไม่หวาดระแวง
4. ยอมรับนับถือความแตกต่างหลาย ๆ อย่างที่คนอื่นมี
5. ไม่ผลักดันให้ผู้อื่นตามใจตนเอง และไม่ตามใจผู้อื่นตามใจชอบ
6. รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ และมีความรับผิดชอบต่อมนุษย์ทั่วไป
ค. ความสามารถในการดำเนินชีวิต
1. สามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตได้เป็นอย่างดี
2. มีสิทธิและรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง
3. รู้จักทำสภาพแวดล้อมให้ดีที่สุด ในกรณีจำเป็นก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
4. รู้จักวางแผนดำเนินชีวิต ไม่หวาดกลัวอนาคต
5. ยอมรับประสบการณ์ และความคิดใหม่ ๆ
6. ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ถ้าทำอะไรก็ทำอย่างเต็มความสามารถ และพึงพอใจต่อการกระทำนั้น
7. วางเป้าหมายที่นำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิตของตนเองได้
ตามหลักจิตวิทยาถือว่าผู้มีสุขภาพจิตดีจะมีลักษณะดังนี้
1. รู้จักเผชิญต่อความจริงของชีวิต ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ
2. เป็นผู้มีอิสระ มีเหตุผลอันถูกต้องของตนเอง
3. สามารถให้ความรักผู้อื่นโดยทั่ว ๆ ไป
4. รู้จักไว้วางใจอย่างมีเหตุผลต่อผู้อื่น และรับฟังข้อวิจารณ์ที่เกี่ยวกับตนเองได้
5. มีการแสดงออกทางอารมณ์พอสมควร รู้จักโกรธ เกลียด และรู้จักยับยั้งความโกรธเกลียดด้วยเหตุผล ไม่ปล่อยอารมณ์รุนแรง
6. มีความสามารถที่จะคิดถึงอนาคต โดยรู้จักพิจารณาอย่างรอบคอบ
7. รู้จักผ่อนคลายทางใจ ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
8. รู้จักปรับปรุงตนเองให้เข้ากับงานได้ พยายามหาทางก้าวหน้าอยู่เสมอ
9. รู้จักเอ็นดูและอดทนต่อเด็ก ไม่รำคาญเสียงหัวเราะ และร้องไห้ของเด็ก
10. รู้จักปรับปรุงตนเองเกี่ยวกับเรื่องเพศ เข้าใจและไม่มีความผิดปกติทางเพศ
11. สามารถศึกษาและสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ให้เจริญ เข้าใจและรู้จักควบคุมอารมณ์เพื่อความ เจริญแห่งตนได้
ผู้มีสุขภาพจิตดีจะต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ผู้มีสุขภาพจิตดีจึงเป็น ผู้ที่ปรับตัวได้ดี เป็นผู้รู้จักและเข้าใจผู้อื่นได้ดีและสามารถเผชิญกับปัญหา และความจริงแห่งชีวิตได้ดี
ส่วนผู้ที่มีสุขภาพจิตไม่ดีก็คือ ผู้ที่ปรับตัวได้ไม่ดี ( Mal - adjusted person ) จะเป็นบุคคลที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับ ผู้ที่ปรับตัวได้ดี ( Well adjusted person ) นั่นเอง ไม่รู้จักและไม่เข้าใจตนเอง ไม่รู้จักและไม่เข้าใจผู้อื่น ตลอดจนไม่สามารถเผชิญปัญหาและความจริงแห่งชีวิตได้ ทำให้ไม่ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
คนปกติเมื่อตกอยู่ในภาวะหรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดความตึงเครียดเป็นเวลานาน พฤติกรรมอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น มีอารมณ์แปรปรวน มีความคิดสับสน การรับรู้ผิดไปจากปกติ จนทำให้ไม่สามารถ ประกอบกิจกรรม เพื่อดำรงชีวิตที่ปกติได้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดปัญหา สุขภาพจิต ปัญหาจะมีความรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา และระยะเวลาที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ
มีปัจจัยมากมายที่ก่อให้เกิดปัญหา สุขภาพจิต เพราะจิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งละเอียดอ่อน เกิดความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลา แล้วแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมที่แสดงออกนั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งเร้าที่มากระทบ ส่งผลให้มี สุขภาพจิต ในรูปแบบต่าง ๆ กัน คืออาจมี สุขภาพจิตดี สุขภาพจิต ไม่ดีหรือเจ็บป่วยเป็นโรคประสาท โรคจิต หรือมีปัญหา สุขภาพจิต เป็นต้น
อุปนิสัย 7 ประการ The Seven Habit of Highly Effective People
· Tab 1
Fundamental Principles (หลักการพื้นฐาน)
1.1 การพัฒนาอุปนิสัย (Developing Habits) : ประกอบด้วย 3 สิ่งคือ : Knowledge / Skill / Desire (ความอยาก) สิ่งที่ยากในการพัฒนาอุปนิสัย คือการสร้างความอยากที่จะทำ
1.2 คุณลักษณะ (Character) / บุคลิกภาพ (Personality)
· Character : เป็นสิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งมองไม่เห็น เช่น ความเป็นคนมี Service mind , ความเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี (ความเป็นคนดี)
· Personality บุคลิกภาพ : เป็นสิ่งที่มองเห็นจากภายนอก เป็นภาพพจน์ ความรู้ความสามารถ (ความเป็นคนเก่ง) แม้ว่าภาพพจน์ เทคนิค และ ทักษะ สามารถส่งผลให้เกิดความสำเร็จภายนอกก็ตาม แต่น้ำหนักของความมีประสิทธิผลที่แท้จริงจะอยู่ใน คุณลักษณะที่ดี (ไม่ฝืนธรรมชาติ)
1.3 Four Levels of Leadership (4 ระดับแห่งภาวะผู้นำ)
· Personal Trustworthiness
· Interpersonal Trust การไว้วางใจระหว่างบุคคล
· Managerial Empowerment
· Organizational Alignment
การสร้าง Leadership ต้องเริ่มที่ การสร้างความไว้วางใจในตัวบุคคลเองก่อน ซึ่งการที่จะสร้างความไว้วางใจได้ ต้องประกอบด้วย Character และ Competence ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนให้เกิดความสมดุล ก็จะมีภาพที่ทำให้ผู้อื่น เกิดความไว้วางใจ และ จะนำไปสู่ การไว้วางใจระหว่างบุคคล (Interpersonal Trust) และเมื่อเรามีความไว้วางใจกัน ระหว่างบุคคล ก็สามารถมอบหมายอำนาจ ในการบริหารให้ แก่บุคคลหรือกลุ่มคนนั้นได้ และ เมื่อมีการกกระจายอำนาจ และทุกคนมีเป้าหมายร่วมกัน ก็จะเกิดผลใน การบริหารงานขององค์กรที่มีประสิทธิผล ต่อไป
สำหรับหลักสูตร The 7 Habits เป็นการสอนให้เกิดในเรื่องของการสร้าง Level ที่ 1 และ 2 คือเป็นการสร้าง ให้เกิดความไว้วางใจ ในตัวบุคคล และนำไปสู่ความไว้วางใจ ต่อกันกับผู้อื่น ซึ่งประเด็นนี้ จะเห็นได้ว่า คำว่า Empowerment จะต้องมีการพัฒนา ผู้ความรู้ความสามารถ ของคนที่จะมา รับมอบอำนาจก่อน การกระจายอำนาจ จึงจะเกิดประโยชน์แก่องค์กร และเมื่อคนที่รับ มอบอำนาจ มีความสามารถและไว้วางใจได้ ก็จะเกิดการพัฒน ความคิดในการทำงาน ไม่ใช้ทำงานเฉพาะตาม Job ที่ได้รับมอบหมาย
1.4 วงจรวุฒิภาวะ (The Maturity Contunuum) : เป็นการแสดงความสัมพันธ์ ระหว่าง 7 อุปนิสัย โดยแบ่งเป็น
ชัยชนะส่วนตน (Private Victory) ชนะใจตน ประกอบด้วย 3 อุปนิสัย ;
1. Be Proactive
คนที่มีนิสัย "Proactive" คือคนที่เลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำ คือคนที่ "รู้ตัวว่าเลือกได้" คนที่มีนิสัยแบบนี้ จะมีความกระตือรือล้น เป็นคนที่ Active เป็นคนที่รู้ว่า ตัวเองต้องการอะไร คนที่ Proactive จะไม่รอให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา แต่เขาจะเป็น คนทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ด้วยตัวเขาเอง เพราะเมื่อเขาเลือกที่จะเป็น เมื่อเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เขาก็จะมีความริเริ่มที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในทันที
2. Begin with the end in Mind (เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ)
3. Put First Things First (ทำสิ่งทีสำคัญก่อน)
ถ้าเราสามารถฝึก 3 อุปนิสัยแรกทั้ง 3ได้ จะทำให้นำไปสู่ การที่เราสามารถพึงพาตนเองได้ (Independence) และหลุดพ้นจาก การพึ่งพาผู้อื่น (Dependence) เป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ ซึ่งทั้ง 3 นิสัยดังกล่าว เป็นการเรียนรู้การฝึกตนเอง เพื่อให้เกิดการสร้างวินัยให้ตนเอง
ชัยชนะในสังคม (Public Victory) ชนะใจผู้อื่น ประกอบด้วย 3 อุปนิสัย :
4. Think Win-Win (คิดแบบ ชนะ-ชนะ)
5. Seek First to Understand Then to Be Understood (เข้าใจผู้อื่นก่อนแล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา)
6. Synergie (ผนึกพลังประสานความต่าง)
เมื่อเรามีความน่าไว้วางใจและสามารถพึงพาตนเองได้ (dependence) และ มีการฝึกฝนอุปนิสัยที่ 4-6 จะนำไปสู่ ความไว้วางใจระหว่างบุคคล และเกิดการพึงพาซึ่งกันและกัน (Interdependence) และจะนำไปสู่การสร้าง ความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่างบุคคลที่ยืนยาว การฝึกฝน โดยใช้อุปนิสัยสุดท้าย
7. Sharpen the Saw (ลับเลื่อยให้คม)
สำหรับอุปนิสัยที่ 7 เป็นการฝึกฝนในการปฏิบัติอุปนิสัยทั้ง 6 อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถฝึกให้บรรลุ อุปนิสัยทั้ง 7 ได้ตลอดเวลา จะมีการกลับไปกลับมาของนิสัยเสมอ เมื่อมีสิ่งเร้าจากภายนอก แต่ถ้ามีการฝึกฝนอยู่เสมอ การเบี่ยงเบนของอุปนิสัย ต่อสิ่งเร้าก็จะเกิดขึ้นน้อย
1.5 Three-Person Teaching : เป็นหลักที่น่าสนใจและนำมาปฏิบัติในองค์กร กล่าวคือ การเรียนรู้สิ่งใดให้เกิดความเข้าใจ ในขณะเรียน จะต้องสมมุติเสมอว่า เมื่อเรียนจบแล้วจะต้องนำสิ่งที่เราเรียนรู้หรือเข้าใจไปสอนต่อให้ผู้อื่น / และในทางปฏิบัติ มีหลักในการปฏิบัติดังนี้
· Capture : จับประเด็นแนวคิดพื้นฐาน
· Expand : เพิ่มประสบการณ์ หรือความรู้ของตนเองเข้าไป เพื่อเพิ่มความเข้าใจ
· Apply : การนำไปปฎิบัติในชีวิตประจำวัน และถ่ายทอดตัวอย่างต่างๆ ที่นำไปประยุกต์ใช้ได้
1.6 Basic Change Model : (แบบจำลองพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลง)
· See : what we see drive what we do / การมองที่แตกต่างกัน ของแต่ละคน ทำให้เกิดการกระทำ (Do) ที่แตกต่างกัน
· DO : เป็นการกระทำที่เกิดจากการมอง
· GET : ผลที่ได้จากการกระทำ / ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการมองและทัศนะคติใหม่ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยน พฤติกรรม
1.7 องค์ประกอบพื้นฐานของอุปนิสัยทั้ง 7
· Principle (หลักการ) : กฎธรรมชาติ หรือความจริงขั้นพื้นฐานอยู่ภายนอกตัวเรา ซึ่งมาคู่กับคำว่า ค่านิยม (Value) ซึ่งเป็นความเชื่อ หรือ อุคมคติที่เราเลือกขึ้นเอง ซึ่งสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุปนิสัยที่ดี ต้องเลือกปฏิบัติ ในสิ่งที่เป็นค่านิยม ที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการ (Value บางอย่างเป็น Principle บางอย่างไม่เป็น )
· Paradigms (กระบวนทัศน์หรือกรอบความคิด) : เป็นตัวที่ทำให้คนเรามองสิ่งเดียวกันแตกต่างกัน ถ้าเราเปลี่ยนกรอบความคิด จะนำไปสู่การมองที่แตกต่างไป ใน วงจร See / Do / Get และมีคำกล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกือบทุกครั้ง ทางวิทยาศาสตร์ ก่อนอื่นต้องเป็นการฉีกออกจากแนวเดิม วิธีการคิดแบบเดิมๆ หรือ กรอบความคิดแบบเก่านั่นเอง" นอกจากนี้ในเรื่องของกรอบความคิดจะมีอิทธิพลพลมาจาก กระจกเงาสังคม (The Social Mirror) ซึ่งเป็นภาพสะท้อนจาก ความทรงจำของการที่ผู้อื่นมองเห็นเราอย่างไร และ ความเชื่อที่กลายเป็นความจริง (Self-Fulfilling Prophecy) เช่น การทีเราคิดว่าคนๆหนึ่งไม่มีความสามารถ เราจะคอยช่วยเหลือเขา และคอยปกป้องเขามากเกินควร ด้วยความกลัวว่าเขาจะล้มเหลว ทำให้ขาดการให้โอกาสที่จะให้เขาทำอะไรด้วยตนเอง
· Processes (กระบวนการ) ชุดของกิจกรรมทางความคิด หรือ กายภาพซึ่งเชื่อมโยงกัน
1.8 ความสมดุลของ Production (P) และ Production Capability (PC)
เราจะต้องรักษาสมดุลระหว่าง P/PC เช่น ดูแลบำรุงรักษาเครื่องจักรให้มีสภาพดี จึงจะสามารถให้ ผลผลิตที่ดีได้ และคำว่า PC รวมไปถึงบุคลากรในองค์กรด้วยซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในองค์กร
1.9 The Emotional Bank Account (บัญชีออมใจ) เป็นการเปรียบเทียบสำหรับปริมาณของความไว้วางใจที่คนอื่นมีต่อเรา ซึง การกระทำของเรา มีผลกับ การฝาก หรือ ถอน ความมั่นใจในตัวเรา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เราควรจะต้องทำเสอม คือ การเติมบัญชีออมใจของเรากับ เพื่อนๆ หรือบุคคลรอบข้างของเรา
กรอบความคิดของอุปนิสัยทั้ง 7 ประการ The 7 Habits (อุปนิสัย 7 อย่าง)
เริ่มจากการพึ่งพาผู้อื่น นำไปสู่การพึ่งพาตนเอง และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
ชนะใจตน
1. เป็นฝ่ายเริ่มต้นทำก่อน (โปรแอกทีฟ)
2. เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ
3. ทำตามลำดับความสำคัญ
ชนะใจผู้อื่น
4. คิดแบบ ชนะ/ชนะ
5.เข้าใจคนอื่นก่อนจะให้คนอื่นเข้าใจเรา
6. ประสานพลัง
7. ลับเลื่อยให้คม
อุปนิสัยที่ 1 Be Proactive ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำก่อน ( Individuals are responsible for their own choices and have the freedom to choose.) “ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวเอง” “เราเป็นอย่างที่เราเป็น หรือเป็นอย่างที่เขาพูด”การรุก คือ การทำให้ดีที่สุด ตั้งแต่ครั้งแรก (อย่าคิดว่าจะสามารถแก้ไขครั้งที่ 2 ได้อีก “ฉันทำได้”สิ่งที่จำเป็นต้องทำ หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องทำ ให้พยายามทำจิตใจให้ชอบ ทำซ้ำ ๆ จนเข้าไปอยู่ในจิตใจของตนเอง
Be Proactive คือ อะไรไม่เคยทำ ต้องเรียนรู้ ทำให้ได้ ทำให้เกิดความชำนาญ
การคิดแนวรุก คือ การตัดสินปัญหาแก้ไขได้ อย่าให้สิ่งภายนอกตัดสินเรา ฉันเลือกที่จะไป ฉันควบคุมความรู้สึกของฉันได้
แก่นสารของความอยู่รอด
อย่าไปสนใจว่าใครทำอะไร ให้สนใจเฉพาะว่า ตนเองทำอะไร ทำดีหรือยัง เพื่อที่จะเปิดเกมส์รุกได้ เช่น หัวหน้าว่า คือ เรื่องของหัวหน้า เรื่องของเรา คือ งานที่เราต้องทำ ทำไป อย่าสนใจสิ่งที่หัวหน้าว่า จนทำให้เราไม่สามารถทำงานในส่วนที่เรารับผิดชอบ
ความมีอิสระในการเลือก เช่น Self Awareness (เตือนตนเอง ให้รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร) Imagination
(ใช้สมองคิดว่าตอบโต้ให้เป็นการออมบัญชีความรู้สึก) Conscience (สติ) Independent Will (อิสระในความคิด)
อย่าสนใจสิ่งที่มากระทบระหว่างทางก่อนถึงความสำเร็จหรือเป้าหมาย ปล่อยวางมันไป มุ่งไปสู่สิ่งที่เป็นเป้าหมาย
- ตอบสนองตามค่านิยม โดยไม่ยอมให้ อิทธิพลภายนอก (อารมณ์ ความรู้สึก หรือ สภาวการณ์) มาควบคุมการตอบสนองของตน
- รับผิดชอบต่อ พฤติกรรมของตนเอง (ทุกคนมีอิสระในการเลือกที่จะทำอะไร แต่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตามมาจากสิ่งที่เราเลือก)
- มุ่งเน้นที่ Circle of Influence (หาทางแก้ไขปัญหาเพื่อกำจัดความกังวล หรือ ไม่มองหรือคิดกังวลแต่เรื่องปัญหา) และถ้าฝึกไปเรื่อยๆ จะนำไปสู่ระดับ ให้อภัยต่อผู้อื่น (Transition Figure)
ผู้บริหารที่ดี จะต้องมีหลักการบริหาร 5 ข้อ คือ
Personal Mastery มุ่งสู่ความเป็นเลิศ – สมอง (ความคิดสร้างสรรค์) – innovation
Mental Models วิธีคิดมุมมอง – channel (ช่องทาง) เช่น ตัวอย่างสินค้า เช่น แชมพู เป็นต้น
Shared Vision ประสานวิสัยทัศน์ – แบ่งปันความคิด – เรียนรู้นิสัยใจคอกัน
Team Learning เรียนรู้การทำงานเป็นทีม (Top – Down/ Down – Top)
Systems Thinking (คิดเป็นระบบ)
อุปนิสัยที่ 2 Begin with the End in Mind เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ (Mental creation precedes physical creation)
จิต คือผู้เดินทางอยู่เหนือมิติแห่งกาลเวลา ทุกอย่างเริ่มต้นที่จิต
เจตนา เป็นเครื่องชี้กรรม ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม
ความสำเร็จ เริ่มต้นจากก้าวแรก เริ่มสะสมความสำเร็จด้วยระยะเวลาที่ท่านไปอย่างสม่ำเสมอ
You are what you think.
การเรียน คือ ฟังด้วยหู การอบรม การพัฒนา
ความร่วมมือเป็นทีม/ ความคิดที่ช่วยกันแก้ปัญหา/ ความรับผิดชอบหน้าที่ตนเองให้ดี
การที่มนุษย์จะประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ ได้จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่าติดกับกรอบความคิด (สิ่งที่เราเห็นแล้วคิด เกิดความเข้าใจไปเอง ซึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้)
มนุษย์ควรหาความสามารถ เพื่อทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เราจะทำงานให้เหมือนว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
Think smart – ชี้เฉพาะ วัดได้ เป็นไปได้ เชื่อถือได้ มีตัวตน
จินตภาพ = Mind Map
วันใดที่คิดอยากจะทำอะไรที่ดี ให้เขียนไว้เพื่อให้จำได้ และต้องทำให้สำเร็จ ระวังทัศนคติที่ทำลายตัวเอง เช่น ขี้เกียจ ท้อแท้ พลัดวันประกันพรุ่ง วิตกกังวล ฯลฯ เ พราะจะทำให้เราไม่สามารถไปถึงความสำเร็จได้ การปรับเปลี่ยนกรอบความคิด โดยมีหลักการ คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เข้าใจถึง ความไม่เที่ยงแท้ ฯลฯ
สมองมี 2 ซีก คือ ซีกซ้าย (ปัญญา) ซีกขวา (อารมณ์) การฝึกสมองด้านขวาโดยจินตนาการให้แข็งแกร่ง ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจน
อย่ายึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นคนหลงและผิดพลาด ยึดกับกรอบของตนเอง
ยุทธศาสตร์ - วางแผน – ตัดสินใจทำ- คาดการณ์ว่าจะเพิ่มกี่ % - คิดว่าจะทำอย่างไร-ลงมือทำ
- การเริ่มต้นที่จุดมุ่งหมายในใจ คือ การสร้างหรือวางแผน การออกแบบ และ วางโครงร่างสำหรับสิ่งที่เราต้องการจะเป็น ก่อน โดยคิดหลายๆ ทางเลือก และ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดในใจก่อน แล้วค่อยนำความคิดนั้นมาปฏิบัติ ให้เกิดผล ตามความคิดหรือสิ่งที่เราคาดหวังไว้
- การฝึกฝน อุปนิสัยที่ 2 นี้ ต้องเริ่มต้นที่ ต้องตั้ง Personal Mission ก่อน แล้ว จาก Personal Mission ค่อยๆ แตกมาเป็น Activity ย่อยๆ ในการทำอะไรในแต่ละช่วงของชีวิต และ ทบทวนสิ่งที่เรากระทำว่า support หรือ เป็นไปตาม Mission ที่เราอยากได้ หรือ อยากเป็น หรือไม่
- นิสัยข้อนี้เป็นการสร้าง ความปรารถนา และแรงจูงใจ ให้ทำในสิ่งที่เราควรจะทำ แต่เรามัก ผลัดวันกับตัวเองเสมอ
อุปนิสัยที่ 3 Put First Things First ลำดับความสำคัญก่อนหลัง (Effectiveness requires balancing important relationships, roles, and activities.)
- อุปนิสัยนี้เป็นการฝึก การบริหารเวลา โดยต้องจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยจะโยงมาจาก Personal Mission คือทำในสิ่งที่ support mission ชีวิตที่ประสบความสำเร็จนั้น ต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง คือ คิดว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร เริ่มจากอะไรก่อน โดยตอบรับในสิ่งที่ดีและปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดี ทุกคนมีต้นทุน คือ เวลาที่เท่ากัน 24 ช.ม. แต่
ต่างกันในการใช้เวลาให้มีคุณค่าและเป็นประโยชน์อย่างไร
การสั่งสม (คุณลักษณะที่ดีที่ควรสะสมไว้)
· ความเมตตากรุณาและสุภาพ
· รักษาสัญญา
· ทำตามความคาดหวัง
· ซื่อสัตย์ต่อผู้ที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์
· กล่าวขอโทษ คำทักทาย คำขอบคุณ
· เอาใจใส่คนในครอบครัว พูดคุย
· รับประทานอาหารร่วมกัน
· นอนให้ได้วันละ 6 ช.ม. เต็ม
· ออกกำลังกายทุกวัน ๆ ละ 15 นาที
· สงบจิตใจทุกวัน ๆ ละ 15 นาที
· อ่านหนังสือทุกวัน ๆ ละ 30 นาที
การลบล้าง (สิ่งที่ควรเลิก)
· ความโหดร้าย ความหยาบคาย และอบายมุขต่าง ๆ
· ไม่รักษาสัญญา
· ทำลายความคาดหวัง
· ไม่ซื่อสัตย์และตีสองหน้า
· ยโส หลอกลวง
· ทะะเย่อหยิ่งดูละครโทรทัศน์จนดึก
· ผลัดวันประกันพรุ่ง
· ทะเลาะกันในครอบครัว
· เอาความเครียดจากงานมาระบายกับคนในบ้าน
- ใช้หลักในการแบ่ง สิ่งที่ต้องทำออกเป็น 4 ส่วนคือ
I. สำคัญ และ เร่งด่วน (Emergency Job)
II. สำคัญ แต่ ไม่เร่งด่วน (Planing Job) ถ้า Plan ไม่ดี จะกลายไปเป็น ข้อ I
III. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน (Yes Man คือ ใครชวนทำอะไร ทำหมด)
IV. ไม่สำคัญ และ ไม่เร่งด่วน (สิ่งบันเทิง ที่เกินความจำเป็นในชีวิต ) ต้องเลิกทำ
1. Urgent (เร่งด่วน) Important (สำคัญ)
เช่น วิกฤตการณ์ การแก้ปัญหางานเฉพาะหน้า
3.Urgent (เร่งด่วน) Unimportant (ไม่สำคัญ)
เช่น การรับโทรศัพท์ รายงาน ปิดประชุม
2. Unurgent (ไม่เร่งด่วน) Important (สำคัญ)
เช่น การวางแผน การพักผ่อนหย่อนใจ การวางแผน
4. Unurgent (ไม่เร่งด่วน) Unimportant(ไม่สำคัญ)
เช่น การดูละครโทรทัศน์ กิจกรรมเสียเวลาต่าง ๆ
- สรุป คือต้องเลือกทำในข้อ I & II และ พยายามอย่าปล่อยให้ ข้อ II กลายมาเป็นข้อ I (Try to Keep Schedule)
Permanent change – Result/Action/Think/Idea/Conditioning
Strategy – Change Condition/New Idea/Positive Thinking/Focus Action/Better Result
Put First Think First คือ หน้าที่เราทำอะไร ให้ทำตามนั้นเป็นอันดับแรก ให้ได้ Productivity
อุปนิสัยที่ 4 Think Win-Win (Effective long-term relationships require mutual benefit)
- แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน
- ให้ความร่วมมือ ไม่ใช่แข่งขันชิงดีกัน
- เน้นการฟัง ใช้เวลาในการสื่อสารกันให้ยาวนานขึ้น และ พูดคุยกันด้วยความกล้าแสดงออก
- จุดประสงค์ ของ การฝึกนิสัยที่ 4 คือ การสร้าง ความเชื่อซึ่งกันและกัน (Interpersonal Thrust ) หากเราคิดชนะ วันหนึ่งเราก็ต้องแพ้ หากเราปรองดองกันมีแต่ ชนะ-ชนะ เราควรฝึกให้คนคิดและต้องการสิ่งนั้นด้วยตัวเขาเอง
วุฒิภาวะ คือ การแสดงความคิดและความรู้สึกของตนเองด้วยความกล้าแสดงออก และด้วยความเอาใจใส่ต่อความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น
Character (คุณลักษณะ) + Competence (ความรู้ความสามารถ) นำไปสู่ Trustworthiness (ความน่าไว้วางใจ) นำไปสู่ Trust (ความไว้วางใจ) รวมกันเป็น ความสัมพันธ์ (Relationship)
นิสัยที่มีประสิทธิภาพ (Effective Habits Internalized Principles and Patterns of Behavior) ประกอบไปด้วย
Knowledge & Skill (What to, Why to)
Skills (How to) ทำซ้ำ ๆ กลายเป็น Habit (นิสัย)
Desire = I want to (ความต้องการ)
กรอบความคิด คือ สิ่งที่เห็นเข้ากระบวนการความคิด ประสบการณ์เฉพาะบุคคล ค่านิยมเฉพาะคน สิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันของตน ออกมาเป็น กรอบความคิดเฉพาะของตนเอง
กรอบความคิด หรือ กระบวนทัศน์ (Paradigm) เป็นวิธีการที่บุคคลรับรู้ มองเห็นเข้าใจ และตีความโลกที่อยู่รอบตัว เปรียบเสมือนแผนที่ในใจ บุคคล เป็นผลผลิต ของ การเรียนรู้ และ ประสบการณ์ และไม่มีบุคคลที่สองที่จะมีความรู้แบบเดียวกัน ดังนั้น จึง ไม่มีบุคคลสองคน ที่จะตึกรอบความคิดลักษณะเดียวกัน
กรอบความคิด เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดการการกระทำ ส่งผลต่ออนาคตของตนเองและผู้อื่น คนจะต้องคิดและควบคุมความคิดให้ได้
การกระทำอย่างเดียวกัน บางคนมีความสามารถในการทำงานให้เสร็จเร็วหรือช้าต่างกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการตัดสินใจของแต่ละคน คนที่อยู่ข้างหน้า มีผลต่างจากคนที่อยู่ข้างหลัง รางวัลที่ได้ มีผลต่างกันมหาศาล แม้ว่าจะทุ่มสุดตัว เช่น การวิ่งแข่ง ที่ 1 มีความแตกต่างจากที่ 2 ดังนั้น เราจะต้องคิดให้ทันกับการการเปลี่ยนแปลงของโลก
ความผิดที่ไม่ก่อความเสียหายในทางศีลธรรมไม่ถือว่า เป็นสิ่งเลวร้าย ความผิด คือ สิ่งที่ทำให้คนก้าวหน้าจาก การพัฒนาสิ่งที่ผิด ให้ทำถูกและดีขึ้น
ปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องคำนึง คือ เป้าหมายสูงสุดที่ให้ผลประโยชน์สูงสุด ดังนั้น สิ่งที่ต้องเปลี่ยน คือ วิธีการ อย่ายึดวิธีการเดิม ๆ ที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
ความสำเร็จ คือ มีชีวิตเป็นอิสระ ที่เกิดจาก ความมุ่งมั่นให้ได้เป้าหมาย (Mission) + สิ่งที่ต้องการจะไป (Vision) + พลังผลักดัน (Passion)
การเรียนรู้ คือการเปลี่ยนแปลงการกระทำ เกิดเป็นพฤติกรรมแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ ความรู้ ดึงความคิดที่เป็นนามธรรมมาเป็นการกระทำ ซึ่งเป็นรูปธรรม
กรอบความคิดใหม่ คือ ทำวิกฤติให้เป็นโอกาส
การว่าใคร ให้คิดเสมอว่า เราเอากรอบความคิดเราว่าเขา = เราว่าตัวเราเอง
กรอบความคิด สร้างจากอารมณ์ + ความคิด
ทุกสิ่งไม่เที่ยงแท้ ทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา
Principle = หลักการที่เป็นจริงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ขึ้นกับเวลาและสถานที่
ถ้าไม่มีการสูญเสีย จะไม่มีการได้มา ต้องเสียสละ อดทน จึงจะได้มา นี่คือหลักการ
Independence = การพึ่งพาตนเองได้ Interdependence นำไปสู่ Globalization การผูกพันพึ่งพาคนหนึ่งคน มีผลกระทบต่อตนเอง และผู้อื่น ให้ระลึกไว้เสมอว่า “เราจะร่วมกันทำอย่างไรดี”
สงบจิตใจวันละ 15-30 นาที ทบทวนสิ่งที่ทำในแต่ละวันทุก ๆ วัน สร้างภาพความสำเร็จของตนเองให้ชัดขึ้นทุก ๆ วัน – กล้าพูด กล้าทำ
คนพยายามมองโลกอย่างที่ต้องการเห็น ไม่มองอย่างโลกที่เป็นอยู่
คุณลักษณะ (Character) + ความรู้ความสามารถ (Competence) นำไปสู่ ความน่าไว้วางใจ (Trustworthiness) และนำไปสู่ความไว้วางใจ (Trust)
การทำงานร่วมกันอยู่ตรงที่ว่า รู้จักเอาวัตถุประสงค์ของงานเป็นหลัก ไม่ใช่เอาเรื่องใจชอบหรือไม่ชอบเป็นเกณฑ์
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดอยู่กับที่ไม่ว่าบุคคลหรือวัตถุ ปัญหาอยู่ที่ว่า จะคิดและทำให้สอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงอย่างไร นักต่อสู้ที่แท้ ย่อมไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
รากฐานความก้าวหน้า 5 ประการ (5 Pillars) คือ
Productive – ผลผลิตขององค์กร เป็นตัวชี้วัดความสามารถของผู้บริหารและบุคคลในองค์กร
Participate – การร่วมมือการยอมรับ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน การให้ความร่วมมือที่ดีต่อกัน
Positive – ความคิดบวก การมีมุมมองที่กว้างไกล มองโอกาสที่ซ่อนตัวอยู่ในปัญหาทุกปัญหาได้ออก รู้จักคิด ความคิดเป็นตัวเริ่มต้นที่จะจุดประกายไฟทุกอย่าง ความคิดสร้างสรรค์เป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้คนทำอะไรที่เป็นประโยชน์
Patriotic – ความผูกพันความรัก ความเสียสละให้กับองค์กร เพื่อให้บริษัทอยู่ได้ เราก็อยู่ได้
Professionals – การเป็นมืออาชีพ จะต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ คือ ตาถึง - ต้องมองอะไรกว้าง มองไกล มองลึกซึ้ง มองให้เห็นที่มาที่ไป มองเห็นภาพรวมภาพย่อย มองเห็นความชัดเจนของข้อมูล การมองกว้าง – ความลึกซึ้งเป็นเรื่องของประสบการณ์และทักษะจะต้องมีควบคู่กันไป มองเห็นรายละเอียด เห็นที่มาที่ไปโปร่งใส
ใจถึง – กล้าตัดสินใจ แต่จะต้องตัดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
มือถึง – ทำอะไรต้องเก่ง หากเราไม่เก่ง ก็ขอความร่วมมือจากบุคคลอื่น ๆ ได้ เพียงใช้ศิลปะการเข้าไปนั่งในใจคนให้เป็น
เงินถึง – เงินในที่นี้ หมายถึง สมองมนุษย์ คนมีสมองก็เหมือนมีเงิน เศรษฐีของโลกร่ำรวยมาจากการใช้สมองมากกว่าขนเงินมาลงทุน
บุญถึง – เป็นคนมีความสุข จิตใจสงบ ทำดี ผลมาย่อมดี
คนที่เข้มแข็ง อดทน และเชื่อมั่นเท่านั้นที่จะยืนอยู่บนฝั่งแห่งความสำเร็จได้
ทักษะการฟังอย่างตั้งใจ (Responsive Listening Skills)
โดยไม่ใช้คำพูด โดยใช้คำพูด
- ฟังอย่างสนใจ
- มีสีหน้าที่เอาใจใส
- สบตา
- พยักหน้า
- เอนตัวมาข้างหน้า
- เล่าต่ออีกซิครับ/ค่ะ
- อ้อ/ งั้นหรือ/ จริงหรือ
- ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ…กรุณาเล่า อีกครั้งได้ไหมครับ
เทคนิคการใช้สูตร Taking the heat ในการรับฟัง
H - Hear them out (ตั้งใจรับฟัง)
E - Empathize (แสดงความเห็นอกเห็นใจ)
A - Apologize (ให้อภัย)
T - Take responsibility for action (รับผิดชอบในการแก้ไข)
อุปนิสัย 7 ประการ The Seven Habit of Highly Effective People
· Tab 4
อุปนิสัยที่ 5 Seek First to Understand , Then to Be Understood (การวินิจฉัยโรคต้องมาก่อนการจ่ายยา ความเข้าใจได้มาจากการฟัง)
- อุปนิสัยนี้ เป็นการฝึก การฟัง โดยพยายามให้เป็นการฟังแบบ เข้าอกเข้าใจกัน
- มักจะพบว่าในองค์กร มีคนที่มักจะ ตัดสินใจ หรือ ออกคำสั่ง โดยยังไม่ได้ ทำความเข้าใจกับ สิ่ง ที่ผู้สื่อสาร ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือ เพื่อนร่วมงาน ต้องการให้เราเข้าใจ
อุปนิสัยที่ 6 Synergize (ผลรวมที่ได้รับทั้งหมดมีค่ามากกว่าการเอา แต่ละส่วนมาร่วมกัน)
- ถ้าเราสามารถ ฝึก อุปนิสัยที่ 4 และ 5 ผ่านแล้ว จะทำให้เราสามารถ ผนึกพลังแนวความคิด ที่แตกต่างของแต่ละคน มาช่วยกันเป็นจุดเสริม เป็นทางเลือกใหม่ ทีมีประสิทธิผลมากขึ้น
- ผลรวมทั้งปวงจะมากกว่าการเอาแต่ละส่วนประกอบมาบวกกัน เช่น การเกิด Synergize ไม่ใช้การหารือร่วมกันเพื่อเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งของแต่ละคน แต่เป็นการนำ ข้อดีของแนวทางของแต่ละคน มารวมกันเป็นทางเลือกใหม่ ให้มีประสิทธิผลการขึ้น กว่าการนำแนวทางของแต่ละคนมารวมกัน
อุปนิสัยที่ 7 Sharpen the Saw (Production (results) requires development of Production Capability (resources) )
- เป็นการฝึกฝนอุปนิสัยทั้ง 6 ให้คมอยู่เสมอ โดยแบ่งเป็น
การฝึกฝน ด้านกายภาพ (ทำร่างกายให้สมบูรณ์)
การฝึกฝน ด้านสติปัญญา (อ่าน หนังสือ หาความรู้ใหม่อยู่เสมอ)
การฝึกฝน ด้านจิตวิญญาณ ( ทำสมาธิ หรือ การใช้เวลากับธรรมชาติ)
เสียอะไรเสียได้อย่าเสียใจ เพราะมันหมายถึงการสูญสิ้นทุก ๆ อย่าง
อดีตจบไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบัน ขณะจิตให้ดีที่สุด
ความคิดมีตัวตน คนจะเป็นอย่างที่คิด จงพูดอย่างที่คิดและทำอย่างที่พูด
เชาวน์อารมณ์ E.Q. (Emotional Quotient)
· Tab 1
ความหมายของ E.Q.
“E.Q.” คือ ชื่อย่อของ Emotional Quotient หรือ เชาว์อารมณ์ (Emotional Intelligence) ซึ่งหมายถึง ความสามารถใน การตระหนักรู้ถึง ความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น เพื่อการสร้างแจงจูงใจในตนเองบริหารจัดการอารมณ์ต่าง ๆ ได้ (Goleman, 1998) ในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ E.Q. ได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อและมุมมองต่อสูตรแห่งความสำเร็จในเรื่อง การเก่งคน เก่งคิด และเก่งดำเนินชีวิต (Cooper, and Sawaf, 1997) คนที่คิดแก้ปัญหาเฉาะทางได้ดี หรือ มี I.Q. (Intelligent Quotient) สูง หรือความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญาสูงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจหรืองานทางด้านบริหาร (Gibbs, 1995) ตัวอย่างเช่น วิลเลียม ชอกลีย์ (William Shockley) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ประจำปี พ.ศ. 2499 ของสหรัฐอเมริกา จากการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ซึ่งเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำคัญได้เป็นคนแรกของโลก ชอกลีย์ ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ปฏิวัติโลก อิเล็กทรอนิกส์ และได้ชื่อว่า เป็น “บิดาแห่งทรานซิสเตอร์” แต่เมื่อเขามาเปิด โรงงานผลิตทรานซิสเตอร์ ณ ซิลิกอน แวลลีย์ สหรัฐอเมริกา ก็ไม่เป็นที่ยอมรับในเชิงการบริหารและ การมีวิสัยทัศน์ทางด้านธุรกิจจากผู้ร่วมงาน
นอกจากนี้ E.Q. ยังมีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตทำงาน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัวและสังคม เรื่องที่น่าสนใจและน่าดีใจก็คือ E.Q. สามารถเพิ่มพูนได้ฝึกฝนได้ เพิ่มทักษะได้ การเสริมสร้าง E.Q. โดยวิธีการฝึกใช้ E.Q. ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยเพิ่มพูน ความฉลาดทางอารมณ์ แม้ว่า E.Q. จะเป็นของใหม่สำหรับเมืองไทย แต่หากมองเข้าไปลึก ๆ ถึง ข้อคิดของการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ ที่ปู่ ย่า ตา ยาย หรือบรรพบุรุษของไทยเราได้ฝากคติเตือนใจไว้ในสำนวน สุภาษิต คำคมและโวหาร เช่น “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” อันเป็นข้อคิดที่ให้ลูกหลานรู้ ระวังรักษาควบคุมอารมณ์ รู้ระวังความคิด ไม่ให้กระเจิดกระเจิง กระจัดกระจาย อารมณ์และความคิดซึ่งโบราณหมายรวมถึง จิตหรือใจเป็นต้นแห่งการกระทำ และคำพูด ตลอดจนการเลือกตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยกาย หากมองในแง่นี้ แม้ว่า E.Q. จะดูเป็นของใหม่แต่ การใช้ E.Q. สำหรับคนไทยในหลายเรื่องได้รับการปลูกฝังกันมานานทีเดียว
ความสำคัญขององค์ประกอบ อีคิว
องค์ประกอบพื้นฐาน 5 ประการของ อีคิว ได้แก่
1) ความตระหนักรู้ตนเอง (Self Awareness)
2) การจัดการกับอารมณ์ (Managing Emotion)
3) การจูงใจตนเอง (Motivating Oneself )
4) การเห็นอกเห็นใจ (Empathy)
5) ทักษะทางสังคม (Social Skills)
องค์ประกอบ 5 ประการนี้มีความสำคัญต่อผู้นำองค์กรอย่างไร
1 ความตระหนักรู้ตนเอง หมายถึง การตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองกำลังรู้สึก เป็นจิตสำนึกทางอารมณ์ภายในตนเอง ผู้นำสามารถสัมพันอารมณ์ของตนเอง เพื่อที่จะมี ปฏิสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพและซาบซึ้งในอารมณ์ของผู้อื่นได้ ผู้นำที่มีความตระหนักรู้ตนเองในระดับสูงย่อมเรียนรู้ที่จะไว้ใจความรู้สึกอดทนของตนเองและตระหนักได้ว่า ความรู้สึกเหล่านี้สามารถให้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการตัดสินใจที่ยากลำบากได้ เนื่องด้วยบางทีผู้นำไม่อาจหาคำตอบของปัญหาต่าง ๆ จากแหล่งภายนอกได้ก็จำเป็นที่จะต้องไว้ใจความรู้สึกของ ตนเอง
2 การจัดการกับอารมณ์ ผู้นำสามารถที่จะถ่วงดุลอารมณ์ของตนเองได้ แม้กระทั่ง ความวิตกกังวล ความตื่นเต้น ความกลัว หรือความโกรธ และไม่แสดงออกถึงอารมณ์เหล่านั้นได้ดีขึ้น การจัดการกับอารมณ์มิได้หมายความถึงการระงับหรือปฏิเสธ แต่เป็นการเข้าใจและใช้การเข้าใจนั้นเพื่อจะจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างดี ผู้นำควรตระหนักถึงอารมณ์ความรู้สึกแต่แรก แล้วคิดว่ามันเป็นอะไร มีผลต่อตนเองอย่างไร แล้วจึงคอยเลือกที่จะกระทำอย่างไรต่อไป
3 การจูงใจตนเอง จัดเป็น ความสามารถ ที่จะหวังและมองโลกในแง่ดี ทั้ง ๆ ที่มีอุปสรรค ปราชัย หรือผิดพลาด ความสามารถข้อนี้ มีความ สำคัญต่อ การดำเนินเป้าหมาย ในระยะยาวของชีวิต หรือ งานธุรกิจ ครั้งหนึ่ง บริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งได้รับคำแนะนำจาก ศาสตราจารย์ ทางจิตวิทยา แห่ง มหาวิทยาลัย เพนซิลเวเนีย ให้ว่าจ้าง กลุ่มผู้สมัครงาน ที่ทดสอบแล้วว่า มีค่าการมองโลกในแง่ดีอยู่ในระดับสูง แต่ผลการทดสอบ ความถนัดทางการขาย ปกตินั้น ไม่ผ่าน เปรียบเทียบกับ นักขายอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีผล การทดสอบตรงกันข้าม พบว่า ในกลุ่มแรก สามารถทำ สถิติการขาย ในปีแรกได้มากกว่าร้อยละ 21 และในปีที่สองทำได้มากกว่าร้อยละ 57
4 ความเห็นอกเห็นใจ องค์ประกอบนี้ หมายถึง ความสามารถที่เอาใจเขามาใส่ใจเราตระหนักรู้ถึงสิ่งที่คนอื่นกำลังรู้สึก โดยไม่จำเป็นต้องมาบอกให้ทราบ ซึ่งคนส่วนมากไม่เคยบอกเราให้ทราบถึงสิ่งที่เขารู้สึกในคำพูด นอกจากน้ำเสียง ภาษาท่าทาง และการแสดงออกทางสีหน้า ปัจจัยส่วนนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากความตระหนักรู้ตนเองที่กำลัง ทำให้เหมาะกับ อารมณ์ของตนเอง ซึ่งทำให้ง่ายต่อการที่จะอ่านและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้
5. ทักษะทางสังคม จัดเป็น ความสามารถ ที่จะเกี่ยวดองกับผู้อื่น เพื่อสร้าง ความสัมพันธ์ในทางบวก ตอบสนองต่ออารมณ์ ของผู้อื่นและมี อิทธิพลต่อผู้อื่น ผู้นำสามารถที่จะใช้ ทักษะทางสังคม นี้เพื่อจะเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล จัดการความไม่ลงรอย แก้ไข ข้อขัดแย้งและประสานผู้คนเข้าด้วยกัน เพื่อเป้าประสงค์ ความสามารถ ที่จะ สร้างความสัมพันธ์ นับว่าเป็น สิ่งจำเป็นใน องค์กรสมัยใหม่ ที่ยึด การทำงานเป็นคณะ และมีความสำคัญต่อผู้นำที่มี ประสิทธิภาพในทุก ๆ องค์กรด้วย ลักษณะเช่นนี้ สอดคล้องกับ นักการปกครองชั้นสูง ของไทยที่กล่าวย้ำว่า การสร้างความสัมพันธ์ อย่างแนบแน่นกับ ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยตรงควรต้องกระทำอย่างยิ่ง และโดยเฉพาะ การทำงาน ที่จำเป็น ต้อง อาศัย ความร่วมมือ จาก ข้าราชการ หรือพนักงาน ทุกฝ่าย ข้าราชการ ฝ่ายปกครองหรือ ผู้บริหาร ก็จะต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้ด้วย ทั้งที่เป็น ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยตรงและหน่วยข้างเคียง นักการปกครอง ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ก็เพราะได้รับความร่วมมือด้วยดี มาโดยตลอดโดยใช้ หลักมนุษยสัมพันธ์ ที่ดีช่วยในการประสานงานให้ได้ผลดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดย แท้ที่จริงแล้วมนุษย์มีการประสานงานกันอยู่ตามธรรมชาติ ความร่วมมือนั้นเกิดจากความร่วมใจ เต็มใจในการทำงานที่ต้องร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และร่วมรับผิดชอบ
E.Q. กับการทำงาน
โดยมากแล้วความสำเร็จในการทำงาน โดยเฉพาะงานบริหาร หรือการทำธุรกิจ นอกจากจะขึ้นอยู่กับ ความสามารถ ของตนแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้อื่นด้วย ชีวิตการงานจะสดใสแน่นอน หากมี “นายดึง ลูกน้องดัน และคนเสมอกันนิยม”
ไวซิงเกอร์ (Weisinger, 1998) ได้กำหนดการใช้ในการทำงานเพื่อพัฒนา สายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น (Interpersonal Emotional Intelligence) ซึ่งประกอบจากการพัฒนาทักษะ สื่อสารที่ดี ความเก่งคน และการช่วยเหลือผู้อื่นให้ช่วยตัวเขาเองได้ ไวซิงเกอร์เชื่อว่า การใช้ E.Q. เพื่อเสริมสร้างความสำเร็จในการทำงานได้นั้น จะต้องรับรู้ ตีความ และแสดงภาวะอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง มีความสามารถในการใช้ภาวะอารมณ์นั้น ๆ ต่อตนเอง ผู้ร่วมงาน และมีการเรียนรู้ ตลอดจนเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกที่ได้รับ นอกจากนี้ต้องสามารถ ควบคุมอารมณ์และเอาชนะสร้างพฤติกรรมในทางบวก
โบราณของไทย เราสอนลูกหลานในเรื่อง ความสำเร็จในการทำงานว่า ต้อง “ฉลาดรู้ ฉลาดทำ ฉลาดพูด และฉลาดใช้” กล่าวคือ ในเรื่องขอความฉลาดรู้นั้น บุคคลผู้หวังความสำเร็จในการทำงาน นอกจากจะฉลาดรู้ในกระบวนการทำงานแล้ว ยังต้องฉลาดรู้ในอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น ตำราพิชัยสงครามโบราณของจีนเขียนโดย ซุนวู ก็กล่าวถึง การฉลาดรู้ อย่างกระชับครบถ้วนในความ และสละสลวยชวนฟังว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
ความฉลาดทำ หรือ ความมีศิลปะ เป็นเรื่องของการ “ทำเป็น” ไม่ใช่ เพียงแค่ “ทำได้” เท่านั้น คนที่ฉลาดทำการช่างต่าง ๆ อาจไม่ฉลาดพูด หรือ ฉลาดคิด (ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญทางสังคมของ E.Q.) การฉลาดพูด คือ การที่รู้จักเลือกพูดแต่สิ่งที่ดี ที่มีประโยชน์ สามารถยกใจของผู้พูดและผู้ฟังให้สูงขึ้น โบราณไทยมีคติให้ไว้มากมายในเรื่องของการฉลาดพูด เช่น “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย” “จะได้ดีก็เพราะปาก จะได้ยากก็เพราะคำ” “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วเป็นตรา” “อันอ้อยตาลหวานลิ้นยังสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหู ไม่รู้หาย” และ ฯลฯ ความฉลาดคิดนั้นเป็นความฉลาดทางใจ ซึ่งต้องมีสติสัมปชัญญะ สามารถควบคุม ความคิดให้ไปในทางที่ดี คิดในทางที่สร้างสรรค์ คิดที่จะยกจิตใจของตนและผู้ร่วมงานให้สูงขึ้น ปู่ ย่า ตา ยาย ของไทยในอดีตได้ฝากหลักคิดทั้งฉลาดพูดและฉลาดคิดให้เราอย่าง น่าฟังว่า “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา”
แม้จะฉลาดรู้ ฉลาดทำ ฉลาดพูด และฉลาดคิด หากใช้คนไม่เป็นหรือวางตำแหน่งของคนไม่ถูกกับงานนั้น หรือองค์กรนั้น ๆ ก็จะทำงานสัมฤทธิ์ผลได้ไม่เต็มกำลัง ความสามารถที่ควรจะได้รับหรือควรจะเป็น ดังที่ทราบกันดีใน การบริหารสมัยใหม่ ว่าต้องจัด “The right man for the right job at the right time and right actions” โบราณไทยเราให้ยึดหลัก สัปปุริสธรรม หรือธรรมของสัตตบุรุษ คือความเป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้จักประมาณ (ซึ่งเป็น right actions) รู้จักตน รู้จักชุมชน (ได้แก่ รู้จักสังคม วัฒนธรรม และสังคม ซึ่งเป็นหลักการเลือก the right man for the right job) รู้จักกาล (ซึ่งคือ the right time นั่นเอง)
E.Q. กับภาวะผู้นำ
ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วย ฝีมือของมนุษย์เพื่อยังประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติด้วยกัน ดังเช่น เมื่อไม่นานมานี้เองที่นักวิจัยศึกษาพบว่า ความสามารถของมนุษย์นั้น เกาะติดอยู่กับขุมศักยภาพ ที่มีอยู่ในหัวใจ และจิตใจของบุคคล งานวิจัยอันโดดเด่นนั้น ได้แก่ งานเขียนของ แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนเรื่อง Emotional Intelligence (หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า E.I.) และโรเบิร์ต คูเปอร์ เจ้าของเรื่อง Executive E.Q. ทั้งสองท่านต่างเน้นไปที่ ธรรมชาติทางอารมณ์ของการเป็นมนุษย์ซึ่งจัดว่า เป็นมโนทัศน์ (Concept) อันสำคัญยิ่งเกี่ยวกับ EI (หรือ E.Q.) ซึ่งตรงกันข้ามกับมโนทัศน์ทางสติปัญญา (I.Q. หรือ Intellectual Quotient) ตลอดจน ความสามารถเชิงเหตุผล ของเอกัตบุคคล หากว่าทั้ง E.Q. และ I.Q. ได้เข้ามาผสมผสานกัน จะก่อให้เกิด พลังความสามารถ และศักยภาพ ทั้งทางอารมณ์กับสติปัญญา ผลการศึกษาต่าง ๆ ชี้แนะว่า E.Q. ต่างหากที่เป็น พื้นฐานอันสำคัญ เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด (ไม่ใช่เพียงลำพัง I.Q. หรือพลังสมองเท่านั้น เพื่อองค์กรส่วนมากที่ไม่หยุดนิ่ง เพื่อการดำรงอยู่อัน เป็นที่น่าสนใจ และมีความสำคัญ
สารสนเทศใหม่ ๆ ดังกล่าวนั้นย่อมจะท้าทายผู้นำองค์กรให้ต้องขบคิดว่า E.Q. น่าจะมีผลกระทบใดบ้าง ต่อภายในที่ทำงานของตน และจะควบคุม E.Q. ให้ส่งเสริมสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน องค์กรที่ตนดูแลอยู่ได้เพียงใด ในเมื่อผลของการศึกษาชี้ว่า อารมณ์นั้นสามารถขับดันหลายสิ่งได้ ทั้งความไว้วางใจ ความภักดี พันธกิจ การเพิ่มผลผลิต และสัมฤทธิผลของ เอกัตบุคคล คณะทำงาน ตลอดจนองค์กร
ผู้นำกับ E.Q. เกี่ยวข้องกันเพียงใด
อดีตประธานบริษัทซักแห้งและซักรีดแห่งหนึ่งในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ยกให้เรื่องของอารมณ์ เป็นความสำคัญระดับสูง ในการดำเนินงานธุรกิจของเขาเอง ซึ่งพบว่าเมื่อผู้คน ตกอยู่ในอารมณ์เครียด หรือคับข้องใจ จะเป็นการยาก ที่จะให้ได้ปัจจัยป้อนเข้า (Input) จาก พวกเขาแม้กระทั่งผลผลิตใด ๆ อาจได้คุณภาพแต่จะไม่ได้ในแง่ปริมาณ เมื่อไม่นานมานี้ นักจิตวิทยาและนักวิจัยคนอื่น ๆ ได้เสริมความเข้าใจ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ความเข้าใจเชิงอารมณ์ และทักษะนับว่า มีผลกระทบต่อความสำเร็จ และความสุขในการทำงานพอ ๆ กับในชีวิตส่วนตัว ผู้นำย่อมมีบทบาทที่จะยอมรับ ควบคุมเกี่ยวกับ อำนาจทางอารมณ์ เพื่อการแก้ไขปรับปรุง ความพอใจ ขวัญ และแรงจูงใจของผู้ตามได้พอ ๆ กับการส่งเสริมประสิทธิผลขององค์กรทีเดียว
สมัยก่อนมีมีความเข้าใจว่า เชาวน์ปัญญา (IQ) เป็นปัจจัยทำให้คนเก่ง ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิต พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงต้องการให้ลูกมี IQ ดี เรียน หนังสือเก่ง จึงคงเร่งรัดอย่างมากจนทำให้เด็กเครียด จะเห็นได้จากข่าวที่ว่า นักศึกษาหญิง ธรรมศาสตร์ ปี ๔ กระโดดตึกตาย เพราะตนเองเป็นคนเรียนดี แต่ทำข้อสอบวิชาหนึ่งไม่ได้ และกลัวว่าจะเรียนไม่จบ หรือนักศึกษาแพทย์ที่ยังไม่ทันจบแพทย์ ก็กลายเป็นนักโทษเพราะไป ฆ่าชำแหละศพคนรักตนเอง ทำให้นักจิตวิทยาเริ่มตั้งข้อสงสัยต่อความเชื่อดังกล่าว เพราะไม่ เชื่อว่าความสำเร็จและความสุขในชีวิตของคน ๆ หนึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถของเชาวน์ ปัญญา (IQ) แต่เพียงอย่างเดียว จึงทำการศึกษาค้นคว้าและปัจจุบัน ความเห็นว่าความสำเร็จ ในชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับเชาวน์ปัญญา มีเพียง ๒๐ % อีก ๘๐% เป็นปัจจัยอื่น ๆ ที่รวมเรียก ว่า ความฉลาดทางอารมณ์
ความฉลาดทางอารมณ์คืออะไร
ความฉลาดทางอารมณ์หรือเชาวน์อารมณ์ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Emotional Quotient หรือ EQ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ได้รับ ความสนใจจาก นักการศึกษาและนักจิตวิทยาอย่างมาก ใน ค.ศ. ๑๙๙๐ Peter Salovey และ John Mayer กล่าวถึงความฉลาดทางอารมณ์ว่า เป็นรูปแบบ หนึ่งของความฉลาดทางสังคม ที่ประกอบด้วยความสามารถในการรู้อารมณ์และความรู้สึกของ ตนเองและผู้อื่น สามารถแยก ความแตกต่างของอารมณ์ที่เกิดขึ้นและใช้อข้อมูลนี้เป็นเครื่องชี้ นำในการคิดและการทำสิ่งต่าง ๆ
ต่อมา Danial Goleman (ค.ศ.๑๙๙๕) ได้เขียนหนังสือเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) และกล่าวว่า ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นความฉลาดที่เกิดจาก การประสานงานระหว่างอารมณ์ (Emotional) กับเหตุผล (Rational) หรือ การทำงานของ จิตใจ (Heart) กับสมอง (Head) ประกอบด้วย ความสามารถในการควบคุมตนเอง การมีใจ จดจ่อและความเพียร และความสามารถจูงใจตนเอง
สำหรับประเทศไทย กรมสุขภาพจิตได้ให้ความหมายของความฉลาดทางอารมณ์ว่า ประกอบด้วย เก่ง ดี มีความสุข
เก่ง หมายถึง ความสามารถในการรู้จักตนเอง มีแรงจูงใจ สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาและ แสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น ประกอบด้วยความสามารถ ต่อไปนี้
๑. รู้จักและมีแรงจูงใจในตนเอง
- รู้ศักยภาพตนเอง
- สร้างขวัญและกำลังใจให้ตนเองได้
- มีความมุมานะไปสู่เป้าหมาย
๒. ตัดสินและแก้ปัญหา
- รับรู้และเข้าใจปัญหา
- มีขั้นตอนในการแก้ปัญหา
- มีความยืดหยุ่น
๓. มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
- สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น
- กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม
- แสดงความเห็นที่ขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
ดี หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนเองรู้จักเห็นใจ ผู้อื่นและมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ประกอบด้วยความสามารถต่อไปนี้
๑. ควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนเอง
- รู้อารมณ์และความต้องการของตนเอง
- ควบคุมอารมณ์และความต้องการได้
- แสดงออกอย่างเหมาะสม
๒. เห็นใจผู้อื่น
- ใส่ใจผู้อื่น
- เข้าใจและยอมรับผู้อื่น
- แสดงความเห็นใจอย่างเหมาะสม
๓. รับผิดชอบ
- รู้จักให้ / รู้จักรับ
- รับผิด/ให้อภัย
- เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
สุข หมายถึง ความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ประกอบด้วย
๑. ภูมิใจในตนเอง
- เห็นคุณค่าตนเอง
- เชื่อมั่นใจตนเอง
๒. พึงพอใจในชีวิต
- มองโลกในแง่ดี
- มีอารมณ์ขัน
- พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่
๓. มีความสงบทางใจ
- มีกิจกรรมที่เสริมสร้างความสุข
- รู้จักผ่อนคลาย
- มีความสงบทางจิตใจ
EQ มีผลต่อเราอย่างไร
ความฉลาดทางอารมณ์มีประโยชน์ต่อชีวิตคนเราอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งอาจแบ่งเป็น ๓ ด้าน คือ
- ประโยชน์ต่อตนเอง
- ประโยชน์ต่อความรักและครอบครัว
- ประโยชน์ต่อการทำงาน
การใช้ความฉลาดทางอารมณ์กับตนเอง
โกลแมนได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาดทางอารมณ์ ในหมวดสมรรถนะส่วนบุคคลใน การบริหารจัดการกับตนเองว่ามีองค์ประกอบ ๓ อย่างคือ
การตระหนักรู้ตนเอง หมายถึง การตระหนักรู้ความรู้สึกโน้มเอียงของตนเองและหยั่งรู้ ความเป็นไปได้ของตน รวมทั้งความพร้อมของตนในแง่ต่าง ๆ กล่าวคือ รู้เท่าทันในอารมณ์ตน สาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้น ๆ และผลที่ตามมา ประเมินตนเองได้ตามความเป็นจริง รู้จุด เด่น จุดด้อยของตนเอง
การควบคุมตนเอง หมายถึง ความสามารถในการจัดการกับความรู้สึกของตนเอง สามารถจัดการกับความรู้สึกของตนเอง สามารถจัดการกับภาวะอารมณ์หรือความฉุนเฉียวได้ รักษาความเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และคุณงามความดี มีความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นใน การจัดการกับความเปลี่ยนแปลง สามารถสร้างสิ่งใหม่ มีความสุขและเปิดกว้างกับความคิดข้อ ใหม่ ๆ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ
การสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง หมายถึงแนวโน้มของอารมณ์ที่เป็นปัจจัยสู่เป้าหมาย เป็น ความพยายามที่จะปรับปรุง หรือมีแรงบันดาลใจให้ได้มาตรฐานที่ดีเลิศ มีความคิดริเริ่ม พร้อม ที่จะปฏิบัติตามโอกาสที่อำนวย มีการมองโลกในแง่ดี แม้มีปัญหาอุปสรรค ก็มิได้ล้มความตั้งใจ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย
ผู้ที่มีความฉลาดทางอารมณ์ ไม่เพียงแต่รู้ว่ามีคุณสมบัติที่พึงประสงค์สำหรับตนเองเท่า นั้น แต่ปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมตามความสามารถที่มีอยู่ด้วย
ที่จริงแล้วการตระหนักรู้ตนเอง การควบคุมตนเอง และการสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ให้กับ ตนเองตามทัศนะของนักวิชาการตะวันตก อาจนำมาประยุกต์เข้ากับธรรมะในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่อธิบายกันคนละอย่าง เช่น การมีสติ คือ การระลึกได้ เตือนตน เอง ตระหนักรู้ตนเองได้ ส่วนสัมปชัญญะ เป็นธรรมที่เป็นปัจจัยในการตระหนักรู้ตนเอง ควบคุม และสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง ปราชญ์ไทยท่านหนึ่งผูกเรื่องการตระหนักรู้ตนเอง การควบคุมตน เองและการสร้างแรงจูงใจไว้เป็นคำกลอนน่าฟังว่า
"จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
อ่าแชเชือนเตือนตนให้พ้นภัย"
การใช้ความฉลาดทางอารมณ์กับครอบครัว
ปัญหาในครอบครัวที่จะนำไปสู่ความแตกแยก ล้วนมีรากฐานมาจากการขาดความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน สามีไม่เข้าใจภรรยา ภรรยาไม่เข้าใจสามี พ่อแม่ไม่เข้าใจลูก หรืออาจกล่าวได้ว่า สมาชิกในครอบครัวขาดความเข้าใจกัน ดังนั้น การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว จึงเป็นเรื่องของการ "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" โดยตระหนักถึงความรู้สึก ความต้องการ ความ ห่วงใยต่อสมาชิกในครอบครัว
ทัศนะเกี่ยวกับการใช้ความฉลาดทางอารมณ์ (Goleman ค.ศ.๑๙๙๘) ในเรื่องการสร้าง และรักษาสัมพันธภาพมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
- การเข้าใจและรู้สึก มุมมองสนใจในสิ่งที่กังวลของคนในครอบครัว
- การมีจิตใจรับรู้และตอบสนองความต้องการของคนในครอบครัวได้ดี
- การทราบความต้องการและพัฒนาสมาชิกในครอบครัว ส่งเสริมความรู้ ความสามารถ ให้ถูกต้อง
ในยุคปัจจุบันของสังคมไทย ปัญหาเศรษฐกิจนับเป็นต้นเหตุสำคัญอันก่อให้เกิดภาวะ เครียดของคนในหลายครอบครัว กลยุทธ์การบริหารความเครียดตามกรอบความคิดของความ ฉลาดทางอารมณ์ของบาร์ออน เกี่ยวกับการควบคุมและจัดการกับความเครียด สามาถนำมาใช้ ได้โดยชี้นำให้สมาชิกในครอบครัวมองโลกในแง่ดี สร้างความสนุกสนานให้เกิดขึ้นแก่คนใน ครอบครัว
ไทยโบราณเรายึดหลักการให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขด้วยหลักสังคหะ แปลว่าการ สงเคราะห์กันและให้ปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุ ๔ เพื่อเป็นการยึดน้ำใจซึ่งกันและกันของ สมาชิกในครอบครัวดังนี้
๑. ทาน การให้ปันแก่กัน คนที่อยู่ด้วยกันก็ต้องปันกันกิน ปันกันใช้ การปันนี้รวมถึงการ ปันทุกข์ให้กันด้วย ผู้ใดในครอบครัวมีทุกข์มีปัญหา โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วย ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ สมาชิกในครอบครัวก็ควรจะปรึกษาหารือกัน
๒. ปิยวาจา พูดกันด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ผู้ใหญ่มักให้โอวาทแก่คู่บ่าวสาวในวันแต่งงาน โดยถือหลักในการพูดกันว่า ก่อนแต่งเคยพูดไพเราะอย่างไร ก็ให้พูดด้วยถ้อยคำไพเราะ เช่นนั้นในการครองชีวิต ในครอบครัวการพูดกัน ด้วยถ้อยคำไพเราะ จะทำให้ผู้รับฟัง เกิดความพอใจหรือสบายใจขึ้นจากอารมณ์ที่ขุ่นมัวได้
๓. อัตถจริยา การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อกัน เมื่อมี สมาชิกในครอบครัวผู้หนึ่งผู้ใด ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็ควรแนะนำตักเตือนกัน
๔. สมานัตตตา วางตัวให้เหมาะสมกับที่ควรเป็นตามบทบาทของ การเป็นพ่อแม่ลูกหรือ สมาชิกญาติพี่น้องในครอบครัว ถ้าสมาชิกในบ้านต่างวางตัวได้เหมาะสมตามบทบาท และหน้าที่ ความผาสุกย่อมเกิดขึ้นในครอบครัว
จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีอีคิวอยู่ในระดับไหน
การที่จะบอกว่าควรมีอิคิวสูงหรือไม่อย่างไร อาจทำได้โดยการประเมินความสามารถ ใน ด้านต่าง ๆ อาทิ การควบคุมตนเอง การเห็นใจผู้อื่น การรับผิดชอบการสร้างแรงจูงใจการตัดสิน ใจการแก้ปัญหา การภูมิใจในตนเอง การพอใจในชีวิตเป็นต้น
เราสามารถประเมินความฉลาดทางอารมณ์ได้ โดยการตอบแบบประเมินตามความเป็น จริงส่วนผลคะแนนที่ได้ ไม่ใช่การตัดสินที่ตายตัว แต่เป็นเพียงการประเมินโดยสังเขปเพื่อให้ เราใช้ เป็นแนวทางในการเรียนรู้ข้อบกพร่องของตนเองในแต่ละด้านและนำไปสู่การแก้ไข ปรับปรุงให้ดี ขึ้นต่อไป
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สงสัยว่าตนเองมีระดับความฉลาดทาอารมณ์เป็นอย่างไร ก็สามารถ หาคำตอบ เพื่อเป็นข้อเตือนใจได้จากแบบประเมิน จากภาควิชากการพยาบาลจิตเวชศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ หรือกรมสุขภาพจิต
สรุป
ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ในปัจจุบัน คนที่มี ความฉลาดทางอารมณ์สูง จะเป็นคนที่สามารถรับรู้ เข้าใจและจัดการกับความรู้สึกของ ตนเองได้ดี รวมทั้งเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น จึงมักประสบความสำเร็จในการทำงาน มีความ พึงพอใจในชีวิตสามารถสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ออกมาได้เสมอตรงกันข้ามกับคน ที่ไม่สามารถ ควบคุม อารมณ์ได้ มักจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายในจิตใจ พลอยทำให้ขาดสมาธิในการ ทำงาน และ มีความคิดหมกมุ่น กังวลไม่ปลอดโปร่ง เกิดปัญหากับบุคคลรอบข้างได้ ดังนั้น การ พัฒนาให้ ประชาชนมีความฉลาดวทางอารมณ์สูงจะมีประโยชน์ต่อตนเอง และประเทศชาติ ต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กรมสุขภาพจิต. คู่มือความฉลาดทางอารมณ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การ เกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด,๒๕๔๓.
กรมสุขภาพจิต. "สุขภาพจิตดีด้วยอีคิว." เอกสารประกอบการประชุมวิชาการประจำปีวิลา สลักษณ์ ชีววัลลี. รวมบทความทางวิชาการ EQ : การพัฒนาสติปัญญาทางอารมณ์ เพื่อความ สำเร็จในการทำงาน.๒๕๔๓.
วีระวัฒน์ ปันนิตามัย. เชาวน์อารมณ์ EQ ดัชนีความสำเร็จของชีวิต. กรุงเทพฯ : บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด, ๒๕๔๓.
ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วย EQ
ปัจจุบันได้มีการกล่าวกันมากถึงคำว่า Emotional Quotient (EQ) ซึ่งเป็นทักษะให้การบริหารจัดการตัวเราเอง และทักษะในการ ทำงานร่วมกับ บุคคลอื่นๆ นับว่าสำคัญมากต่อความสำเร็จในการบริหารธุรกิจ รวมถึงเป็นเคล็ดลับต่อความสุข และความสำเร็จในชีวิต ประจำวัน
คำว่า EQ เป็นคำศัพท์ค่อนข้างใหม่ โดยยังไม่มีคำศัพท์บัญญัติเป็นภาษาไทยอย่างเป็นทางการ จึงเรียกกันในภาษาไทยอย่างหลากหลาย เช่น เชาวน์อารมณ์ วุฒิภาวะทางอารมณ์ ความสติปัญญาทางอารมณ์ ฉลาดทางอารมณ์ ฯลฯ
ความสนใจใน EQ เริ่มต้นเมื่อปี 2533โดยนายปีเตอร์ ซาโลเวย์ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเยล และนายจอห์น เมเยอร์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวแฮมเชียร์ ได้ร่วมกันเขียนเอกสารเพื่อบรรยายคุณลักษณะความฉลาดทางอารมณ์อันนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต
เริ่มแรกคำว่า EQ รู้จักกันในหมู่นักจิตวิทยาเท่านั้น สำหรับบุคคลสำคัญที่ทำให้คำนี้กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป คือ ดร. แดเนียล โกลแมน ซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและเป็นนักเขียนชื่อดังของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ เขาได้เขียนหนังสือชื่อ Emotional Intelligence ขึ้นเมื่อปี 2538 โดยพยายามนำเรื่อง EQ ซึ่งเดิมเป็นทฤษฎีในด้านจิตวิทยา มาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ สำหรับประชาชนทั่วไป ทำให้หนังสือเล่มนี้ขายดีแบบเทน้ำเทท่า
ดร.โกลแมน ได้จำแนก EQ ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรก ทักษะในด้านบริหารจัดการตนเอง (Self-Management Skills) เป็นต้นว่า ความสามารถที่จะรู้จักตัวเราเองทั้งในส่วนจุดเด่นและจุดด้อย ความสามารถในการไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ความมุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์สุจริตและมีคุณธรรม ความขยันขันแข็ง และมุ่งมั่นใน การทำงาน การคิดในแง่บวก (Positive Thinking) ไม่ท้อถอยเมื่อเผชิญกับอุปสรรค
กลุ่มที่สอง ทักษะในด้านบริหารปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น (Relationship Skills) คนเราไม่สามารถอยู่ได้คนเดียวในโลก โดยต้อง เกี่ยวพัน กับบุคคลอีกมากมายไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ดังนั้น ทักษะในการบริหารปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น จึงนับว่าสำคัญต่อ การดำรงชีวิตเช่นเดียวกัน เป็นต้นว่า ความสามารถที่จะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจบุคคลอื่น ทักษะในการเข้าสังคม ความระมัดระวัง ในการใช้คำพูด การรู้กาลเทศะว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ ทักษะในการสร้างความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ รวมถึงความสามารถที่จะโน้มน้าวให้บุคคลอื่นคล้อยตามความคิดเห็นของตนเอง ฯลฯ
ทักษะในการบริหารปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นไม่ได้หมายความว่างานการไม่ทำ ชอบเข้าสังคมอยู่ตลอดเวลา ตรงกันข้าม การเข้าสังคมไม่ได้ เป็นเป้าหมายในตัวเอง โดยเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายให้งานประสบผลสำเร็จเท่านั้น ซึ่งเราไม่สามารถทำงานใหญ่ ให้ประสบผลสำเร็จได้หากปราศจากความร่วมมือของบุคคลอื่น
ผู้เชี่ยวชาญได้เคยทำการทดสอบในสหรัฐฯ พบว่าโดยปกติแล้วผู้ชายและผู้หญิงมีทักษะในด้านบริหารจัดการตนเองพอๆ กัน แต่สำหรับทักษะในด้านบริหารปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นแล้ว โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะมีทักษะสูงกว่าผู้ชายค่อนข้างมาก เนื่องจากมีบุคลิก ชอบเข้าสังคมมากกว่า ทำให้มีโอกาสฝึกฝนทักษะในด้านนี้มากกว่าผู้ชาย
ความจริงแล้ว EQ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างไร มนุษย์เราเห็นความสำคัญมาตั้งแต่ในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยหลักธรรมคำสอน ของ พุทธศาสนาก็ได้กล่าวถึง EQ เช่นเดียวกัน โดยในส่วน Self-Management Skills นั้น นับว่าใกล้เคียงมากกับฆราวาสธรรม 4 อันเป็น หลักธรรมในการครองชีวิตของฆราวาสเพื่อให้เกิดความดีงาม เกิดความสำเร็จ และสงบสุข ประกอบด้วย
1. สัจจะ คือ ความซื่อตรง จริงใจ พูดจริง ทำจริง
2. ทมะ คือ การฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนเองให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา
3. ขันติ คือ ความอดทน ตั้งใจทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่หวั่นไหว มั่นใจในจุดหมาย ไม่ท้อถอย
4. จาคะ คือ ความเสียสละ ยอมสละกิเลส ความสุขสบาย และผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่คับแคบเห็นแต่ประโยชน์ของตนเอง ไม่เอาแต่ใจตัว
ขณะที่ EQ ในส่วนเกี่ยวกับ Relationship Skills นับว่าสอดคล้องกับพรหมวิหาร 4 อันเป็นหลักธรรมเกี่ยวกับความประพฤติที่ประเสริฐ ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นโดยชอบ ประกอบด้วย
1. เมตตา คือ รักใคร่ ปรารถนาดี อยากให้เขามีความสุข มีจิตใจแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์ต่อผู้อื่น
2. กรุณา คือ คิดช่วยเหลือให้คนอื่นพ้นทุกข์
3. มุทิตา คือ ความยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข
4. อุเบกขา คือ ความว่างและวางใจเป็นกลาง
นักปราชญ์ของชาติตะวันตกก็ได้กล่าวถึง EQ มาตั้งแต่สมัยโบราณเช่นเดียวกัน เป็นต้นว่า Publilius Syrus ได้เคยว่า “จะต้องควบคุมอารมณ์ของตนเอง มิฉะนั้นอารมณ์จะควบคุมตัวท่าน”
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า EQ สำคัญมากไม่ยิ่งหย่อนกับ Intelligence Quotient (IQ) หรือความฉลาดทางสติปัญญา บางคนถึงกับเห็นว่า EQ สำคัญกว่า IQ ด้วยซ้ำ โดยเรามีคำพังเพยเกี่ยวกับบุคคลที่มี IQ สูง แต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิตว่า “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด”
กรณีเป็นคนฉลาดหลักแหลมนั้น หากไม่มี EQ เสียแล้ว ก็จะประสบปัญหามากมาย เป็นต้นว่า ขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา ไม่กินเส้น กับคนอื่น เกียจคร้านในการทำงาน มีพฤติกรรมต่อต้านองค์กร มีทัศนคติในแง่ลบอยู่เสมอว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ชอบปล่อยข่าวลือไร้สาระ ฯลฯ ในที่สุดก็จะกลายเป็นตัวสร้าง ปัญหาขององค์กร และจะต้องถูกเชิญออกไป ทำงานที่บริษัทอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปเท่าใด ความสำคัญของ EQ เมื่อเปรียบเทียบกับ IQ ยิ่งมากขึ้นไปเท่าใด ดังนั้น จึงมีการกล่าวกันว่า IQ ทำให้คุณได้รับการจ้างงาน ส่วน EQ ทำให้คุณได้เลื่อนตำแหน่ง โดยในอดีตที่ผ่านมาได้เคยมีการวิจัยในสหรัฐฯ ว่าทำไมนักบริหารจำนวนมากซึ่งเดิมเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไป ระดับหนึ่งแล้ว กลับล้มเหลวในการบริหารงาน
การศึกษาพบว่าปัญหาสำคัญที่เปลี่ยนจากดาวรุ่งเป็นดาวร่วงนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากจุดบกพร่อง เกี่ยวกับความสามารถในเชิงเทคนิค แต่อย่างใด แต่เนื่องมาจากขาด EQ ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยขาดมนุษยสัมพันธ์ ไม่อาจควบคุมความคิด อารมณ์ การแสดงออกของตนเองอย่างเหมาะสม ทำให้มีบุคลิกเป็นเผด็จการ เอาแต่ใจตัวเอง บ้าอำนาจ หยิ่งจองหอง มองเห็นบุคคลอื่นโง่ไปหมด ทำให้คนอื่นไม่อยากเข้าใกล้
ขณะเดียวกันเคล็ดลับของความสำเร็จทางธุรกิจประการหนึ่ง คือ การว่าจ้างบุคคลที่มี EQ สูงมาเป็นพนักงาน โดยนายพลโคลิน เพาเวล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มักจะกล่าวเสมอๆ ว่าทัศนคติเชิงบวกของบุคลากร มีความสำคัญมากกว่าความรู้ ทั้งนี้ หากบริษัทว่าจ้างบุคคลที่มีทัศนคติเชิงบวกมาเป็นพนักงาน โดยเฉพาะพนักงาน ที่ทำหน้าที่ ติดต่อลูกค้าแล้ว คุณภาพของบริการย่อมเพิ่มขึ้น สร้างความประทับใจต่อลูกค้า ทำให้ครองใจลูกค้า และเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัทในที่สุด
ปัจจุบันสถาบันการศึกษาก็หันมาสนใจในด้านพัฒนา EQ ให้กับนักศึกษา จากเดิมที่เป็นการเรียนแบบท่องจำ ซึ่งมุ่งเน้นเพิ่ม IQ แต่เพียงอย่างเดียว ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนแบบใหม่ให้นักศึกษามีโอกาสพูดและแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมนอกหลักสูตรเพื่อให้นักศึกษามีโอกาสปฏิสัมพันธ์กันเองเพื่อฝึกฝน EQ พร้อมกันไปด้วย
เราหันมาวิเคราะห์ผู้นำทางการเมืองดูบ้าง ศจ. Fred Greenstein แห่งมหาวิทยาลัยพรินตันของสหรัฐฯ ได้วิเคราะห์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอดีต 11 คน ตั้งแต่ประธานาธิบดีรุสเวลท์ถึงคลินตัน พบว่าโดยภาพรวมแล้วสอบผ่านได้คะแนน EQ ดีเยี่ยมเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ไอเซนฮาวร์ ฟอร์ด และบุช (ผู้พ่อ)
การศึกษาพบว่าประธานาธิบดีนิกสันแม้มี IQ สูง มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมากในด้านยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ แต่กลับล้มเหลวต้องลาออกจากตำแหน่งจากกรณีอื้อฉาวคดีวอเตอร์เกตเนื่องจากมีจุดอ่อนสำคัญ คือ มี EQ ค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถ ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ โดยมักโกรธ วิตกกังวล และหวาดระแวงบุคคลรอบข้าง
ส่วนเคนเนดี้และคลินตันนั้น แม้ EQ นับว่าดีมากในแง่วาทศิลป์ในการโน้มน้าวความคิดเห็นของคนอื่นและความมีเสน่ห์ แต่มีจุดอ่อน ด้าน EQ เช่นเดียวกัน คือ เป็นคนเจ้าชู้ ไม่สามารถหักห้ามจิตใจตนเองได้ จึงเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ทางลบ ให้ตนเองเป็นอย่างมาก
ขณะที่ไอเซนฮาวร์มีบุคลิกความเป็นผู้นำโดดเด่นมาก สามารถบังคับบัญชาให้บุคลากรทำงานเป็นทีมเป็นอย่างดี แตกต่างจาก ประธานาธิบดีคนอื่นๆ ซึ่งลูกน้องมักขัดแย้งกินเกาเหลากันเองไม่มากก็น้อย ส่วนประธานาธิบดีบุช (ผู้พ่อ) ก็มี EQ ค่อนข้างสูง เช่นเดียวกัน โดยมีจุดเด่น คือ เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อบุคคลอื่น สุภาพเรียบร้อย และสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี
สุดท้ายนี้ หากเราทดสอบพบว่ามีค่า EQ ต่ำ ก็อย่าเสียกำลังใจ เพราะ EQ เป็นสิ่งที่เรียนรู้และพัฒนาขึ้นไม่ยากนัก สามารถพัฒนา ได้จนถึงวัยสูงอายุ โดยเราจะสังเกตว่าบางคนเมื่ออ่อนวัยจะมี EQ ต่ำ มีจิตใจหุนหันพลันแล่น พออายุมากขึ้น กลับมี EQ หรือวุฒิภาวะ เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ นับว่าแตกต่างจากกรณี IQ ซึ่งมีโอกาสพัฒนา ให้ดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ผู้จัดการออนไลน์ - Manager Online (http://www.manager.co.th)
ความเครียด Stress
· Tab 1
ความเครียด (Stress) เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อร่างกายถูกกระตุ้น และมีปฏิกิริยา ตอบโต้เป็น ปฏิกิริยา ทางสรีรวิทยา และจิตวิทยา โดยระบบต่อมไร้ท่อที่หลั่งฮอร์โมน และ ระบบประสาทอัตโนมัติ ทําให้เกิด การเปลี่ยนแปลง ไปทั่วร่างกาย เมื่อเกิด ความเครียดภายในจิตใจ มักส่งผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้อย่างชัดเจน เช่น
- ทางกาย : ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หายใจไม่อิ่มหัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อออก ตามมือตามเท้า หายใจตื้นและเร็วขึ้น ใจสั่น ถอนหายใจบ่อยๆ กัดขากรรไกร ขมวดคิ้ว ตึงที่คอ ประสาทรับ ความรู้สึกหูไวตาไวขึ้น การใช้พลังงานของร่างกายเพิ่มขึ้น รู้สึกเพลีย ปวดศีรษะ ไมเกรน ท้องเสียหรือ ท้องผูก นอนไม่หลับ หรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหารหรือกินมากกว่าปกติ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ประจําเดือนมาไม่ปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ผิวหนังเป็นผื่นคัน เป็นหวัดบ่อยๆ แพ้อากาศง่าย
- ทางจิตใจ : หงุดหงิด สับสน คิดอะไรไม่ออก เบื่อหน่าย โมโหง่าย ซึมเศร้าสมองทํางานมากขึ้น ความคิดอ่านระยะสั้นดีขึ้น การตัดสินใจเร็ว ขึ้น ความจําดีขึ้น สมาธิดีขึ้น วิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โกรธง่าย ใจ น้อย เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เหงา ว้าเหว่ สิ้นหวัง หมดความรู้สึกสนุกสนาน
- ทางสังคม : บางครั้งทะเลาะวิวาทกับคนใกล้ชิด หรือไม่พูดจากับใคร จู้จี้ขี้บ่น ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อยๆ
คงมีหลายคน ที่อยากจะถามว่า เราจะต้องคลายเครียดกันทำไม ความเครียด คืออะไรกันแน่ เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีผลอย่างไรบ้าง ต่อบุคคล
ถ้าเราสำรวจตัวเราเองดูว่า เวลาที่เราเครียดเกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อมี ความเครียดแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจได้คำตอบที่ค่อนข้างตรงกันว่า ความเครียด เป็นสภาวะ ที่เกิดขึ้น เมื่อเราประสบเหตุการณ์ที่เรารับรู้ว่า เป็นอันตราย และคุกคามต่อ ความเป็นอยู่ อันดีของเรา ไม่ว่าจะทางร่างกาย หรือจิตใจ และไม่แน่ใจว่าจะมีความสามารถเพียงพอท ี่จะเผชิญเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ หรือไม่ ถ้าบุคคลประเมินเหตุการณ์ที่ตนประสบว่า เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถ ที่จะแก้ไขได้หรือ หาทางออก ไม่ได้ และรู้สึกว่า ตนสูญเสีย หรือคาดว่า จะสูญเสียจะรู้สึกว่า ตนถูกคุกคาม จะเกิดความเครียดอย่างมาก อารมณ์ ที่เกิดขึ้นควบคู่กับความรู้สึก ถูกคุกคามมักเป็นอารมณ์ทางลบ เช่น ความวิตกกังวล ความกลัว ความโกรธ ความเศร้า ความทุกข์ใจ ไม่สบายใจต่าง ๆ หากความเครียด นั้นมีมาก และสะสมอยู่ เป็นเวลานาน โดยไม่ได้ผ่อนคลาย จะส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยที่รุนแรง เช่น เกิดความเจ็บป่วยทางจิต เกิดเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็ง เป็นต้น
แต่ถ้าบุคคลประเมินว่า เหตุการณ์ที่ตนประสบนั้น ยุ่งยากเป็นปัญหา เกี่ยวข้องกับ ความเป็นอยู่ อันดีของตน น่าจะจัดการได้ เป็น การประเมินว่า เหตุการณ์นั้น ท้าทายความสามารถ ความเครียด ที่เกิดขึ้นจะไม่มากนัก อารมณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กับความรู้สึกท้าทาย มักเป็นอารมณ์ทางบวก เช่น มีความรู้สึกกระตือรือร้น มีพลัง มีความหวัง มีกำลังใจ ความเครียดที่มีไม่มากนัก ช่วยให้บุคคล มีพลังที่จะต่อสู้อุปสรรค เรามักจะหนีความเครียดไม่พ้น ดังนั้น คุณภาพของชีวิต จึงขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการจัดการ กับความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ เผชิญความเครียด ผ่อนคลายความเครียดได้ผล ทำอย่างไรให้คลายเครียด รู้เท่าทัน เหตุการณ์ ที่ประสบ เพื่อจะได้ เตรียมที่จะ เผชิญ อย่างมีประสิทธิภาพ เหตุการณ์ที่อาจ ก่อให้เกิดความเครียด ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต การสูญเสีย หรือไปไม่ถึงเป้าหมาย ที่วางไว้ หรือไม่แน่ใจว่า ตนจะไปถึงเป้าหมายได้หรือไม่ ทำให้เกิดความคับข้องใจ การไม่สามารถตัดสินใจได้ มีความขัดแย้งในใจ การอยู่ในสภาวะที่กดดัน การเจ็บป่วยทางกาย เป็นต้น
รู้เท่าทันว่าตนกำลังเครียดอยู่ในขณะนี้ เพื่อจะได้จัดการผ่อนคลายความเครียดลง ความเครียด ภายในจิตใจ จะส่งผลทำให้เกิดอาการทางกาย สังเกตตนเองว่า มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น เบื่ออาหารหรือกินมากกว่าปกติ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หลับไม่สนิท หลับยาก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ท้องเสียบ่อย ๆ ปวดศรีษะ ปวดต้นคอ และไหล่ ใจสั่น ตื่นเต้นตกใจง่าย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิดกับคนรอบข้าง เป็นต้น เมื่อเกิดความเจ็บป่วยทางกาย และมี อาการทางกาย เหล่านี้ นอกจากจะไปพบแพทย์เพื่อการบำบัดรักษาแล้ว ควรหา ทางแก้ไขผ่อนคลาย ความเครียดของตนเองอีกด้วย
จัดการกับปัญหา หรือความเครียด ดังนี้
· พิจารณาเหตุการณ์ที่ประสบว่าจะจัดการอย่างไรให้ดีที่สุด ควรชะลอไว้ก่อนแล้วค่อย ๆ หาทางแก้ไข เมื่อโอกาสเหมาะ หรือเป็นปัญหาที่จัดการได้ทันที
· มุ่งจัดการกับปัญหา ไม่เลิกความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ
· พิจารณาขั้นตอนต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา ลงมือจัดการแก้ไขที่สาเหตุของปัญหา
· นำวิธีใหม่เพิ่มเติมจากเดิมมาใช้แก้ปัญหา และลงมือทำไปทีละขั้น
· ขอคำปรึกษาจากผู้ที่มีความรู้หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ หรือผู้ที่เคย อยู่ในสถานการณ์ เดียวกันมาก่อน
· ปรึกษาหารือ ขอคำแนะนำ ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อน หรือผู้ที่ เกี่ยวข้องที่จะจัดการกับเรื่องนั้น ๆ ได้
· พยายามทำกิจการที่ต้องทำให้ทันตามกำหนด ให้สำเร็จอย่างดี
· มุ่งที่จะแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ไม่ให้ความคิดและกิจกรรมอื่นมารบกวน
· พิจารณาตนเองว่ากำลังทำอะไร เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่ทำอะไร ที่เสียหายเพราะ การกระทำที่เร็ว เกินไป
· ค้นหาสิ่งที่ดี จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำวิกฤติให้เป็นโอกาส
· เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ประสบ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาตนเอง
· เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
· มองโลกในแง่ดี มองชีวิตให้สดใสเบิกบาน ทุกปัญหามีทางออก
· คิดถึงคนที่ประสบปัญหามากกว่าเรา ไม่ใช่มีเราคนเดียวเท่านั้นที่ประสบปัญหา
· หาทางผ่อนคลายความเครียด โดยทำกิจกรรมที่ชอบ (เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นดนตรี ดูโทรทัศน์ ฯลฯ) ฝึกสมาธิหรือทำงานอดิเรก
· ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เช่น เล่นกีฬา ออกกำลังกาย รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ
· แสวงหากำลังใจจากเพื่อน ๆ และบุคคลรอบข้าง
· เล่าปัญหา ระบายความในใจให้เพื่อนหรือใครบางคนฟังไม่เก็บความรู้สึกต่าง ๆ ไว้คนเดียว
· พบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ พยายามผูกมิตรกับผู้อื่น
· ไม่นำกิจกรรมอื่นมาทำเพื่อจะหลีกหนีปัญหา
· ไม่เพียงแต่คิดว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ปัญหาจะคลี่คลายไปได้เอง ต้องแสวงหาทางออกที่จะคลี่คลายปัญหา
· ไม่ตำหนิตนเอง ความรู้สึกผิด จะทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนไร้ค่า ท้อแท้ สิ้นหวังได้
· เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่มัวแต่เสียใจทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ผ่านมา คนเราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและตั้งต้นใหม่ได้เสมอ
· ไม่หงุดหงิดและระบายอารมณ์ใส่ใคร แต่หาทางระบายความในใจกับเพื่อนหรือผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยเหลือได้
· ไม่มัวแต่เป็นกังวล ไม่ร้องไห้ โวยวาย หรือใช้สุราหรือยา เพื่อดับความทุกข์ เพราะนอกจากจะ
· แก้ไขปัญหาไม่ได้แล้ว ยังสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น
· ใช้หลักธรรมะฝึกจิตใจให้สงบ มีสมาธิ เพื่อให้คิดได้อย่างกระจ่าง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามความเป็นจริง
· คนทุกคนมีคุณค่าและความสามารถ มองหาส่วนดีที่ตนมี พัฒนาตนเองให้มีความสามารถ สร้างพลังและกำลังใจในการเผชิญปัญหา
· มีอารมณ์ขัน ไม่เอาเป็น เอาตาย เอาจริง เอาจังกับชีวิตจนเกินไป
สรุปได้ว่า ความเครียดไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป ความเครียดที่ไม่มาก นักช่วย ให้บุคคลมี ความกระตือรือร้น มีพลังในการดำเนินชีวิต แต่การเกิด ความเครียดอย่างมาก และสะสมอยู่เป็น เวลานาน มีผลทำให้เกิดความเจ็บป่วย ทั้งทางกายและทางจิต ดังนั้นเราจึงควร มาหาทางผ่อนคลาย ความเครียดกัน ดีกว่า
ความเครียด
รศ.พญ.สุดสบาย จุลกทัพพะ
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
ความเครียด คือการหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนของร่างกาย ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องมีอยู่เสมอในการดำรงชีวิต เช่น การทรงตัว เคลื่อนไหวทั่วๆไป ทุกครั้งที่เราคิดหรือมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นจะต้องมีการหดตัว เคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแห่งใดแห่งหนึ่งในร่างกายเกิดขึ้นควบคู่เสมอ ความเครียดเกิดจาก สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการปรับตัว และถ้าไม่สามารถปรับตัวได้จะทำให้เกิดความเครียด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด
1. ทางด้านร่างกาย เกี่ยวกับสุขภาพและการเจ็บป่วย ทั้งรุนแรงและไม่รุนแรงทำให้เกิดความเครียดได้ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ฯลฯ
2. ทางด้านจิตใจ เช่น ผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง เวลาที่มีเรื่องต่าง ๆ เข้ามากระตุ้นก็จะทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย หรือเป็นผู้ที่วิตกกังวลง่าย ขาดทักษะในการปรับตัว
3. ทางด้านสังคม มีสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความบกพร่องในเรื่องของการปรับตัว ขาดผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือ ถ้ามีผู้ที่ให้ความช่วยเหลือก็จะทำให้ความเครียดลดน้อยลงไป มีสิ่งมากระตุ้นมากเกินความสามารถของตนเอง ความขัดแย้งในครอบครัว ฯลฯ
เมื่อไหร่ที่ควรมาพบแพทย์
ความเครียดเกิดขึ้นเองและสามารถหายเองได้เป็นปกติทุกวัน แต่ถ้าความเครียดส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เช่น นอนไม่หลับ รับประทานอาหารไม่ได้ ทำงานไม่ได้ ปวดศีรษะ ร่างกายอ่อนเพลียฯลฯ ควรมาพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำต่อไป
จะทราบได้อย่างไรว่ามีความเครียดเกิดขึ้น
โดยปกติแล้วผู้ที่มีความเครียดเกิดขึ้นมักจะรู้ได้ด้วยตนเอง เช่น หงุดหงิด โมโหง่าย อ่อนเพลียเป็นเวลานาน ขาดสมาธิในการทำงาน หรือมีอาการทางด้านร่างกายร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะเป็นประจำ
วิธีการขจัดความเครียดที่เหมาะสม การขจัดความเครียดให้ได้ผล 100% นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ในกรณีที่มาพบแพทย์ แพทย์จะแนะนำวิธีการผ่อนคลาย การหายใจเข้า-ออกลึก ๆ จะช่วยลดความเครียดลงได้
วิธีการขจัดความเครียดที่เกิดขึ้นพิจารณาจาก 3 สาเหตุ ได้แก่
1.ทางด้านร่างกาย คือ การกำจัดสาเหตุที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหาสุขภาพร่างกาย
2.ทางด้านจิตใจ คือ การปรับสภาพจิตใจของตัวเราเอง รู้จักปรับเข้ากับปัญหา ยอมรับในสิ่งที่ยังแก้ไขไม่ได้
3.ทางด้านสิ่งแวดล้อม คือ ถ้ามีภาระงานมากจนรับไม่ไหว ควรทำงานให้น้อยลง รู้จักแบ่งเวลาในการทำงานและแบ่งเวลาให้กับตัวเอง
ขั้นตอนของการรักษา
ขั้นแรกเหมือนกับการตรวจร่างกายโดยทั่ว ๆ ไป มีการซักถามประวัติ การดำเนินโรค และการเริ่มต้นของการเจ็บป่วย จากนั้นจิตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินการรักษาและวิเคราะห์หาสาเหตุของความเครียด ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ถ้าเกิดจากสิ่งแวดล้อม แพทย์จะแนะนำวิธีการปรับตัว ยกเว้นในกรณีที่ความเครียดเกิดจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตเพศบางอย่างต้องรับการรักษาโดยการใช้ยา
ยาที่ใช้ในการรักษา
ยาคลายเครียดเป็นยาที่ออกฤทธ์ต่อสมอง ช่วยให้การทำงานของสมองในส่วนที่ควบคุมความเครียดทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้เกิดการนอนหลับ ช่วยลดความวิตกกังวล สำหรับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง สามารถใช้ยาคลายเครียดช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดได้ ดังนั้นยาคลายเครียดจึงมีผลต่อร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับท่านที่ไปพบจิตแพทย์ แพทย์จะให้ยาวันละครั้ง หรือวันละหลายครั้งแตกต่างกันออกไป ซึ่งการรับประทานยาคลายเครียดควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรซื้อยากินเอง ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นความเครียดทั่ว ๆ ไปแพทย์จะไม่แนะนำให้ใช้ยา โดยจะใช้ยาเมื่อจำเป็น หรือเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 2-3 เดือน หรือเฉพาะในเวลาที่มีอาการวิตกกังวล ส่วนใหญ่แพทย์จะให้คำแนะนำในเรื่องของเทคนิคการคลายเครียด สอนวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกในเรื่องของการปรับตัว และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ มากกว่าการให้ยารับประทาน
ผลของการใช้ยาคลายเครียด
เนื่องจากยาคลายเครียดเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้ารับประทานเป็นระยะเวลานานติดต่อกันจะก่อให้เกิดผลต่อร่างกาย เช่น ฤทธิ์ของยาทำให้เกิดการเสพติด ทำให้ต้องกินยาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น หรือจะเกิดความผิดปกติในเวลาที่ไม่ได้กินยา
วิธีการผ่อนคลายความเครียด
ควรออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ หางานอดิเรกทำ สำหรับผู้ที่มีภาระงานประจำมาก ควรให้เวลากับตัวเองบ้าง จัดเวลาให้เหมาะสม หาที่ปรึกษาหรือเพื่อนเพื่อรับฟังหรือช่วยตัดสินใจในบางเรื่อง รวมทั้งยอมรับในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นต้น
วิธีการคลายเครียด
ทางด้านจิตวิทยาถือว่าความเครียดก็เป็นสิ่งที่ดี ช่วยให้เรามีการตื่นตัวอยู่เสมอ มีการป้องกันตัวเอง และปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีความเครียดเลยก็จะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แต่ถ้าจะไม่ให้เกิดความเครียดคงจะเป็นไปไม่ได้ จึงควรแบ่งเวลา หาเวลาให้กับตัวเอง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรืออาจใช้วิธีการทางศาสนาช่วยโดยการนั่งสมาธิ
ความวิตกกังวลในการพบจิตแพทย์
สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตเวชควรคิดว่า การที่เรามาพบแพทย์นั้นเหมือนกับการหาที่ปรึกษา โดยมีผู้รับฟังและช่วยแก้ปัญหาที่ดี เนื่องจากการมาพบจิตแพทย์ไม่จำเป็นต้องป่วยหรือเป็นโรค เพราะฉะนั้นไม่ควรวิตกกังวล ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เคยมาปรึกษาแพทย์ จะได้รับคำแนะนำในปฏิบัติตนได้อย่างถูกวิธี จึงช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้
คนเราทุกคนมีความเครียดและต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความเครียดอยู่เป็นระยะ ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาวิธีจัดการกับความเครียดที่เหมาะสม การไม่สามารถจัดการควบคุมสถานการณ์ที่มีความเครียดได้ จะนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพตามมาได้
Resource : www.si.mahidol.ac.th
ความกลัวความกล้า
· Tab 1
วิศิษฐ์ วังวิญญู
สถาบันขวัญเมือง เชียงราย
ความกลัวความกล้าเป็นระนาบของเจตจำนง เป็นระนาบของชีวิตที่ดำเนินไปในความหลับใหล!
เจตจำนงก็คือ ความหลับใหล อารมณ์ความรู้สึกก็คือความฝัน และความคิดก็คือความตื่น
จากพัฒนาการแรกๆ ของชีวิต ตัวสำนึกรู้หรือจิตไม่ได้แจ่มกระจ่าง แต่จะค่อยๆ แจ่มกระจ่างขึ้นตาม ลำดับพัฒนาการ ของระนาบชีวิตหรือของชั้นสมอง
ความกลัวจะทำงานอย่างเป็นอัตโนมัติมากกว่าทำงานในความตื่นรู้ บางทีเราไม่รู้ว่าเรากลัวอะไรหรือกลัวได้อย่างไรด้วยซ้ำ แต่ความกลัว ก็เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของเรามากมาย บางทีมันอาจถูกส่งผ่านอะไรก็ไม่รู้มากับความเป็นไปรอบตัวเรา หรือว่ามันเป็นความกลัว ที่เป็นสมุหภาพ หรือที่เป็นของสังคมส่วนรวมที่ส่งผ่านมายังเรา มันอาจจะมาจากครอบครัว ด้วยเช่นกัน จากบาดแผลในครอบครัว ที่ส่งผ่านกันมาอย่างไม่รู้สำนึก แต่มันก็ดำรงอยู่กับเราเช่นนั้น
ความกลัวนี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าความคิด เพื่อนผมคนหนึ่ง เขามีเพื่อนทำบริษัทเดียวกัน ตกลงกัน แต่แรกว่าจะทำเล็กๆ ถ้าใหญ่ขึ้นหน่อยก็จะแตกตัวออกไป เป็นบริษัทเล็กๆ ที่เกี่ยวร้อยเชื่อมโยง ช่วยเหลือกันไปตามกำลัง เวลาพูดคุยก็เข้าใจกันดี แต่ในขั้นตอนการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ เธอจะต้องผลักดันให้ทำอะไรใหญ่โตอยู่ตลอดเวลา มันไม่โยงกันเลยกับความคิดที่คุยกันไปแล้ว มีความกลัวอะไรบางอย่างที่ผลักดันเธอลึกๆ อยู่ตลอดเวลา และเธอจะทำหลาย สิ่งหลายอย่างไปอย่างไม่รู้ตัว มันอาจเป็นความกลัว ที่จะไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้
ชีวิตของพวกเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า เราถูกผลักดันอยู่ตลอดเวลา ด้วยพลังบางอย่างที่เราไม่ได้ตื่นรู้หรือเข้าใจ มันอยู่ใน ตัวเราลึกๆ และเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของเราตลอดเวลา
อดีตที่แช่แข็งกับปัจจุบันที่ยืดหยุ่น
ความกลัวเป็นอดีตที่แช่แข็ง อดีตที่ไม่แปรเปลี่ยน ที่เราเอาไว้ใช้ป้องกันตัวในกาล เมื่อต้องเผชิญกับภัยอันตรายที่เป็นจริง แต่เมื่อภัยอันตรายนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นภัยอันตรายในจินตนาการ ความกลัวในจินตนาการก็ยังทำงานเหมือนกับในอดีต ความกลัวจึงกลายเป็นอดีตที่แช่แข็ง
อดีตที่แช่แข็งในรูปของร่องอารมณ์และเทปม้วนเก่า
ความเป็นไปของชีวิต จะอยู่ในสามระนาบเสมอ คือ ระนาบของเจตจำนงหรือพลังชีวิต ระนาบของอารมณ์ความรู้สึก และระนาบของความคิด เป็นความต่างระดับของความหลับใหล ความฝัน และการตื่น
ในความหลับใหล เรามีคู่ของความกลัวกับความกล้า
ในอารมณ์ความรู้สึก เรามีคู่ระหว่างร่องอารมณ์กับมณฑลแห่งพลัง
ในความคิด เรามีคู่อยู่ระหว่างความคิดที่ตายซาก อันเป็นเทปม้วนเก่า กับความคิดที่มีชีวิต
อดีตที่แช่แข็งของอารมณ์คือร่องอารมณ์ อดีตที่แช่แข็งของความคิดคือเทปม้วนเก่า
สำรวจระนาบแห่งเจตจำนงหรือพลังชีวิต
ระนาบแห่งเจตจำนงนี้เป็นระนาบที่อยู่ในความหลับใหล การเกิดขึ้นของระนาบนี้มักเป็นไปอย่างอัตโนมัติ และทำให้ พลังชีวิตขับเคลื่อนไป สไตเนอร์เล่าว่า ความเข้มแข็งของเจตจำนงของเขาพัฒนาขึ้นเพราะว่าในวัยเด็ก เขาต้องเดินเท้า ระยะทางเจ็ดไมล์ไปกลับระหว่างโรงเรียนและบ้านทุกวัน พลังชีวิตในวัยเด็ก เกิดจากการเคลื่อนไหวแขนขา เกิดขึ้นและ สะสมอย่างไม่รู้ตัว เป็นเจตจำนงที่ทำให้คนเรา สามารถทำอะไรได้สำเร็จเสร็จสิ้นในกาลต่อมา และเป็นสิ่งที่อยู่ ตรงกันข้าม กับวลีที่ว่า “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
คำคู่ขนานกับ “เจตจำนง” และ “พลังชีวิต” มี “บารมี” “นิสัย” “วินัย” เป็นต้น ที่จริงทั้งหมดอยู่ในหมวดศีลของพุทธธรรม
พลังเจตจำนง พลังแห่งอุปนิสัย ก่อเกิดจากการทำอะไรซ้ำๆ อยู่เสมอ เป็นประจำ อะไรที่เราทำอยู่ทุกวันเป็นนิสัย จะทำได้ง่าย ชีวิตนี้มีมิติของการทำซ้ำๆ อยู่ และมันเป็นไปอย่างหลับใหล ไม่รู้ตัว การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่า มันเป็นนิสัยหรือพลังแห่งนิสัยทางด้านลบเท่านั้น
ทำอย่างไร เราจึงจะสามารถสั่งสมแต่พลังนิสัยดีๆ ในการกระทำที่ดีงาม เราคงจะต้องเปิดมิติ การตื่นรู้ขึ้นมาใน ความหลับใหล นั้นด้วย เราต้องเอาความคิด และอารมณ์ความรู้สึกเข้ามากำกับการพัฒนานิสัย คือเอาความตื่น มาช่วย ความหลับใหล ความคิดที่มีชีวิต และอารมณ์ที่มีพลังย่อมอาจนำพาตัวเราไปสู่ การทำซ้ำที่สร้างสรรค์ มากกว่า การทำซ้ำ ที่จะนำพาเราไปสู่ปัญหาชีวิต
เราสามารถติดตั้งการตื่นรู้เข้าไปในความหลับใหลนั้นได้ด้วยการปฏิบัติธรรม เพราะในการปฏิบัติธรรม เราจะฝึก การตื่นรู้ ขึ้นในการทำซ้ำๆ เช่น การตื่นรู้ในลมหายใจเข้าออก การตื่นรู้ในการย่างก้าว การตื่นรู้ ในทุกสิ่งทุกอย่างใน กิจวัตร ประจำวัน เมื่อเป็นเช่นนี้นานวันเข้า มันจะกลายเป็นนิสัยแห่งการตื่นรู้คู่ไปกับการทำซ้ำๆ ที่ปกติคือความหลับใหล ความหลับใหล นั้นจะกลายเป็นครึ่งหลับครึ่งตื่น “รู้ตัวอย่างไม่รู้ตัว และอย่างไม่รู้ตัวเราก็รู้ตัวด้วย”
กาลเทศะแห่งการตื่นรู้ในระนาบของเจตจำนง
พลังชีวิต พื้นฐานที่สุดของอมีบาคือเข้าใกล้หรือถอยห่าง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ โคจรสถานหรืออโคจรสถาน การกำหนด แผนที่ ของสถานที่จะไปและไม่ไปเป็นวิถีการพิจารณาเพื่อนำพลังแห่งระนาบนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต การที่เราไป และไม่ไปในสถานที่ต่างๆ นั้นจะก่อรูปแบบวิถีชีวิตของเราขึ้นมา เป็นการเข้าไปทำงานกับปริมณฑลแห่งความหลับใหล ซึ่งแต่ก่อนเราไม่รู้ว่าจะเข้าไปทำงานด้วยได้อย่างไร
เพียงหาที่ทางโคจรในชีวิตประจำวัน ประจำเดือน ประจำเทศกาล ประจำปี ประจำช่วงปี เราก็ได้เข้าไปทำงาน กับเจตจำนง หรือ พลังชีวิต ขั้นปฐมฐานนี้แล้ว เราเข้าไปทำงานกับความหลับใหลนี้ได้ เพียงแต่เราสัมผัสกับเรื่องราวของพลัง ว่าสถานที่ใดให้พลังแก่เรา เราควรจะเข้าไปสู่สถานที่นั้นเป็นประจำได้แค่ไหน ประจำวัน ประจำปี หรือเป็นเทศกาล หากเรานำพาตัวเราไปโคจรในที่ที่มีพลังตลอดเวลา เลือกที่ทำงานที่ให้พลังแก่เรา ที่อยู่ที่กินที่ให้พลังแก่เรา หรือบุคคล ที่ให้พลังแก่เรา แสดงว่าเราได้จัดตั้งแวดล้อมของชีวิตที่เป็นมงคลขึ้นมาแล้ว
นอกจากนี้ กาลเวลาก็สามารถจับต้องได้เช่นเดียวกับที่ทาง อะไรที่เรากำหนดขึ้นมาทำเป็นประจำ นับเป็นพลังแห่งระนาบนี้ กิจกรรมดีๆ ที่ให้พลังและคุณค่าในการเรียนรู้และวิวัฒนาการ ควรจัดตั้งเข้ามาในตารางกิจวัตรประจำวัน ประจำเดือน ประจำฤดูกาลและอื่นๆ เรามักมีความคิดดีๆ แต่ไม่มีเวลาให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นจริง เราบอกว่าเราไม่มีเวลา แต่ที่จริง เรามีเวลามากมายให้กับกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์แต่อย่างใดเลย หากเราตระหนักรู้ ในการใช้เวลา ของเรา มากขึ้น เราก็จะนำระนาบแห่งเจตจำนง ระนาบแห่งการทำซ้ำ มาใช้ในการเสริมส่งพลังชีวิตมากยิ่งขึ้น
วลีง่ายๆ ที่ผมใช้เพื่อเข้ามาแทนที่คำว่า “ไม่มีเวลา” ก็คือ “มีเวลา” เพียงคำศักดิ์สิทธิ์คำนี้ เราก็สามารถก่อให้เกิดเวลา ที่จะทำสิ่งดีๆ ที่เราต้องการจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อน หรือการได้อ่านหนังสือดีๆ เพียงความคิดดีๆ ยังไม่พอ เพียงความรู้สึกดีๆ ก็ยังไม่พอ แต่เราต้องสามารถจัดสรรเวลาให้กับความคิดดีๆ และความรู้สึกดีๆ ให้มีที่ทางที่แท้จริง ในชีวิตของเราด้วย
Resource : วิศิษฐ์ วังวิญญู หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 5 มีนาคม 2548
ความรู้สึกใกล้ชิด Immediacy
· Tab 1
Immediacy หมายถึง ความเข้มของความรู้สึกใกล้ชิด ทางร่างกายและจิตใจของบุคคล Mehrabian (1971) เป็นผู้ที่นำแนวคิดนี้ มาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลโดยมีพื้นฐานของแนวคิดมาจากความเชื่อที่ว่า "คนเราจะถูกดึงดูดให้เข้าใกล้บุคคล หรือสิ่งของที่เรา ชื่นชอบและตีคุณค่าไว้สูง แต่จะหลีกหนีจากบุคคล หรือสิ่งของที่เราไม่ชอบ และตีคุณค่าไว้ต่ำ" นอกจากการใช้ภาษาแล้ว พฤติกรรม ที่ไม่ใช้ภาษา หรืออ วัจนพฤติกรรม ที่สามารถทำให้เกิด ความรู้สึกใกล้ชิด ทางร่างกายและจิตใจ มีดังนี้ คือ
ลักษณะภายนอก
ได้แก่ ความสวยงาม ขนาด รูปร่าง กลิ่น ทรงผม เสื้อผ้า และเครื่องประดับ เป็นต้น
ท่าทางและการเคลื่อนไหว
ได้แก่ ท่าทางที่สื่อความหมายที่เป็นที่รู้กันของคนในสังคม ท่าทางประกอบคำพูด ท่าทางที่ควบคุมการสื่อสารระหว่างบุคคล ท่าทางที่แสดงอารมณ์ ท่าทางที่แสดงถึงความรู้สึกที่ไม่ดีหรือวิตกกังกวล ท่าทางในการยืน เดินและนั่ง เป็นต้น
สีหน้าและพฤติกรรมทางตา
ใบหน้าของบุคคลเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของบุคคลเราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่า คนที่หน้าตาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มักเป็นคนดี และคนที่หน้าตาบึ้งตึงหรือดุร้ายมักเป็นคนไม่ดี จากการสังเกตสีหน้า เรามักจะบอกเกี่ยวกับ เชื้อชาติ อายุ บุคลิกภาพ และ อารมณ์ของคน คนนั้นได้ถูกต้อง นอกจากนั้น การสบตา การทำตาโต การหรี่ตา หรือ การหลบตา ล้วนมีความหมายใน การสื่อสารระหว่างบุคคล ทั้งสิ้น
คำพูดและน้ำเสียง
เรามักจะชอบฟังคนที่มีน้ำเสียงไพเราะ พูดจาสุภาพเรียบร้อย ชัดถ้อยชัดคำ และมีจังหวะจะโคน แต่เราจะไม่ชอบฟังเสียงที่แหบ กร้าว สูงหรือต่ำเกินไป ตลอดจนไม่ชอบฟังคำพูดที่หยาบคาย ก้าวร้าว เยาะเย้ย หรือส่อเสียด
ระยะห่างระหว่างบุคคล
โดยทั่วไปแล้ว สัญชาติญาณของมนุษย์ การระแวดระวังภัยและการป้องกันการบุกรุกอาณาเขต การยืนหรือนั่งใกล้กัน หรือการโน้มตัว เข้าหากัน แสดงให้เห็นถึง ความไว้วางใจและใกล้ชิด แต่คนที่ยืนห่างออกไป หรือไม่ได้โน้มตัวเข้าหากัน จะแสดงถึง ความห่างเหิน อย่างไรก็ตามเราต้องระวังที่ เราต้องระวังที่จะไม่ก้าวล้ำเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวของบุคคลอื่น มิฉะนั้นเราจะถูกมองว่าก้าวร้าว ไม่สุภาพ หรือไม่มีมารยาท
การสัมผัส
การสัมผัสมักแสดงถึงความใกล้ชิด แต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนของร่างกาย ที่เราสามารถสัมผัสผู้อื่น ได้จะเป็น มือ แขน หลัง ไหล่ และศีรษะ ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึง วัฒนธรรมของแต่ละสังคมด้วย
องค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อม
สภาวะแวดล้อมของการสื่อสาร มีอิทธิพลต่อความรู้สึกใกล้ชิดด้วยเช่น สภาวะแวดล้อมในโบสถ์ ซึ่งต้องการ ให้คนที่เข้ามา รู้สึกถึง ความสงบ และความยำเกรงพระเจ้า จะมีการจัดที่นั่งที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ และไม่สะดวกต่อ การพูดคุยกัน รวมทั้งการมีเพดานสูง และใช้สีค่อนข้างขรึม การจัดห้องเรียน และห้องสัมมนา ที่ต้องการให้มี การพูดแสดง ความคิดเห็น จะมีเก้าอี้ที่เคลื่อนย้ายได้ มีการใช้สีและแสงที่สว่างสดใส เป็นต้น การจัดโต๊ะประชุม เป็นรูปวงกลม แสดงถึง ความเท่าเทียมกัน ของผู้เข้าร่วมประชุม ในขณะที่โต๊ะที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีหัวโต๊ะสำหรับประธาน จะแสดงให้เห็น ความแตกต่างระหว่างสถานะของผู้เข้าร่วมประชุม นอกจากนั้น ความสะอาด ความสวยงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ของสถานที่ รวมทั้งอากาศที่ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป จะช่วยสร้าง บรรยากาศให้เกิด ความใกล้ชิดระหว่างบุคคล ได้มากขึ้นด้วย
กลิ่น
กลิ่นมีอิทธิพลทั้งในการดึงดูดให้บุคคลใกล้ชิดกัน หรือผลักดันให้หลีกหนีออกจากกัน งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า กลิ่นน้ำหอม ที่รุนแรงไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิด และน้ำหอมราคาแพงก็ไม่ได้เป็นสิ่งประกันว่า จะทำให้ผู้ใช้มีเสน่ห์ดึงดูดใจได้เสมอไป
องค์ประกอบด้านเวลา
ในสังคมสมัยใหม่ เราจะตัดสินคนตามการใช้เวลาของเขา เช่น คนที่มาสายบ่อยๆ จะถูกมองว่าไม่เอาใจใส่เกียจคร้าน เชื่องช้า ไม่น่าสนใจ และขาดการอบรม ส่วนคนที่ตรงต่อเวลา หรือมาก่อนเวลาเล็กน้อย จะถูกมองว่าเป็น คนเอาใจใส่เฉลียวฉลาด กระฉับกระเฉงน่าสนใจ และได้รับการ อบรมมาอย่างดี ในสังคมของเรา การทำตัวให้ถูกต้องตาม กาลเทศะมีความสำคัญ เช่น เมื่อได้รับการถาม เราจะต้องตอบทันที แต่ถ้าเราตอบช้าจะแสดงให้เห็นว่าเราไม่แน่ใจ ไม่สบายใจ หรือไม่อยากพูดด้วย ปริมาณของเวลาที่เราให้แก่ผู้อื่น ก็แสดงว่า เรามีความใกล้ชิดกับเขามากน้อยเพียงใด ถ้าเราไม่ต้องการใกล้ชิด เราก็อาจจะมองนาฬิกา หรือบอกกับผู้นั้นตรงๆ ว่าเรามีงานอื่นต้องทำ หรือไม่มีเวลาสำหรับเขา
ข้อดีของความรู้สึกใกล้ชิด
ทำให้เกิดความรู้สึกชอบพอ และมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน
ทำให้สามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น คู่สนทนารู้สึกมั่นใจ และกล้าพูดมากขึ้น
ทำให้เกิดการตอบสนอง ความเข้าใจ และความกล้าที่จะยืนยันสิทธิของตนเอง
ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ทำให้ลดความวิตกกังวลลง
ทำให้ลดความแตกต่างระหว่างสถานะลง
ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- สามารถยืนยันสิทธิของตนเอง
- สามารถเป็นผู้ฟังที่ดี และเข้าใจผู้ อื่น
- สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะพูด อะไร เมื่อไร
ข้อเสียของความรู้สึกใกล้ชิด
ผู้อื่นอาจเข้าใจผิดว่าเราต้องการความสนิทสนมมากกว่าการเป็นเพื่อน คนบางคนจะรู้สึกอึดอัดถ้ามีคนมาใกล้ชิดมากเกินไป
ในบางสถานการณ์ที่เราไม่ต้องการติดต่อ สื่อสารการทำตัวใกล้ชิดจะทำให้เราเสียเวลาในการพูดคุย มากเกินไป
พลังแห่งการหยั่งรู้ Intuitive Power
· Tab 1
· Tab 2
เราต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต คำตอบก็คือ “ต้องการความสุขและความสำเร็จในชีวิต” เชาวน์อารมณ์ (EQ) ซึ่งจะตรงกับคำว่า “ปัญญา” และ “ศรัทธา” ในทางพุทธศาสนาจึงหมายถึง ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ของบุคคล ที่ตระหนักถึงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ของตนเอง และผู้อื่น สามารถควบคุมอารมณ์และแรงกระตุ้นภายใน ตลอดจนสามารถ รอคอย การตอบสนอง ความต้องการของตนเองได้อย่างเหมาะสม ถูกกาลเทศะ สามารถให้กำลังใจตนเอง ในการที่จะเผชิญ ข้อขัดแย้งต่างๆ ได้อย่างไม่คับข้องใจ รู้จักขจัดความเครียด ที่จะขัดขวางความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อันมีค่าของตนเองได้ สามารถทำงานกับผู้อื่น ทั้งในฐานะผู้นำหรือผู้ตามได้อย่างมีความสุข จนประสบความสำเร็จในการเรียน ความสำเร็จในอาชีพ ตลอดจนประสบความสำเร็จในชีวิต
องค์ประกอบของเชาวน์อารมณ์ (EQ)
สติ (รู้ว่าอะไรเป็นอะไร)
ปัญญา (การค้นหาทางสำเร็จและเหตุปัจจัย)
ศรัทธา (ความเชื่อในเรื่องกรรมดี)
สมาธิ (ไม่วอกแวกไปกับความโกรธ ความคับข้องใจ ความรู้สึกจากแรงกดดัน)
การปล่อยวาง (การขจัดความเครียด)
อริยสัจสี่ (การหาเหตุเพื่อแก้ปัญหาและดับปัญหาหรือดับทุกข์)
สังคหวัตถุ (การทำงานร่วมกับผู้อื่น)
อิทธิบาทสี่ (การสร้างความสำเร็จในงานที่ตัวเอง)
1. การรู้อารมณ์คน (Knowing One Emotion) หมายถึง ตระหนักรู้ตนเอง สามารถรับรู้และเข้าใจความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ของตนตามความเป็นจริง และสามารถควบคุมความรู้สึกได้
รู้อารมณ์คน : การพิจารณาตนเอง และตัณหา (ความอยาก) การใช้ปัญญาไตร่ตรองทุกสิ่งที่เข้ามากระทบ
2. การควบคุมอารมณ์ (Managing Emotion) หมายถึง ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ตนเองได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด สามารถคลายเครียด สลัดความวิตกจริตรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ฉุนเฉียวง่าย ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวหายไปโดยเร็ว
การควบคุมอารมณ์ : การวางอุเบกขา อนุสสติ 10 การละโลภ โกรธ หลง (กิเลส)
3. การเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Recognizing Emotion in Other หรือ Empathy) หมายถึง การรับรู้อารมณ์และความต้องการของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และสามารถแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
การฝึกสมาธิ พรหมวิหาร 4 สันโดษ
4. การให้กำลังใจตนเองได้ (Motivation Oneself) หมายถึง สามารถจูงใจตนเอง ควบคุมความต้องการจากแรงกระตุ้นได้อย่างเหมาะสม สามารถรอคอยการสนองตอบความต้องการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีกว่า มองโลกในแง่ดี สามารถจูงใจและให้กำลังใจตนเองได้
การเอาใจเขามาใส่ใจเรา : ศีล เมตตา ทาน
5. การมีมนุษย์สัมพันธ์ดี (Handling Relationship) หมายถึง สามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี
การมีมนุษย์สัมพันธ์ดี : สังคหวัตถุ 4 สัปปุริสธรรม 7 ทิศ 6
พลังแห่งการหยั่งรู้
พลังแห่งการหยั่งรู้ (Intuitive Power) เป็นแนวคิดใหม่ ที่อิง "จิตวิญญาณ คือ ต้นตอแห่งการเปลี่ยนแปลง" ในวงการบริหาร การพัฒนาผู้นำ และการนำยุคใหม่ จึงจำเป็นต้องใช้การตัดสินใจอย่างฉับพลัน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วของ “ตัวแปร” จำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของข้อมูลข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ ความนิยม เป็นต้น ซึ่งเป็นเนื้อแก่นของสังคมข้อมูลข่าวสาร ตามกระแสโลกาภิวัฒน์ การเปลี่ยนแปลงในระดับ “คุณภาพ” ใหม่เช่นนี้ จะใช้การตัดสินใจ แบบเดิมๆ ที่อาศัยตรรกะและการวิเคราะห์เชิงตัวเลข ที่เป็นสูตรตายตัว ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันการณ์ได้ แนวคิดหรือเครื่องมือใหม่ที่จะต่อสู้ ก็คือ “พลังแห่งการหยั่งรู้” ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับเชาวน์อารมณ์ (EQ) และการปฏิบัติสมาธิภาวนา เชาวน์ปัญญา (IQ) คือ กุญแจไขไปสู่ความสำเร็จ โดยเปิดทางให้กับสมองซีกซ้ายเต็มที่ เนื่องจากปัญหา รอบกายนั้น ส่วนใหญ่จะวนเวียน กับเรื่องกายวัตถุ ต้องชั่ง ตวง วัด และคำนวณเป็นสรณะ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ “จับต้องไม่ได้” นั้น ถูกละเลยไป การใช้เชาวน์อารมณ์ จึงกลายเป็นเรื่องส่วนเกิน ไม่มีความจำเป็น และเป็นเรื่องหยุมหยิม ของสตรีเพศ กระบวนทัศน์เก่าเรื่องเชาวน์ปัญญา จึงพบทางตัน เชาวน์อารมณ์ (EQ) ได้รับการยอมรับมากขึ้นทุกที ในการจัดการปัญหาในแทบทุกด้านและวงการ เปิดสมองซีกขวาให้ทำงาน หัวใจของเชาวน์อารมณ์ ก็คือ “พลังแห่งการหยั่งรู้” นั่นเอง ที่แสดงออกมาในรูปของความรู้สึกลึกซึ้งจากภายในกาย มีการประเมินกันว่า ความสำเร็จในชีวิต ของคนยุคใหม่ ต้องอาศัยเชาวน์อารมณ์ถึง 80 % ซึ่งจะเห็นว่าองค์กรธุรกิจแขนงต่างๆ ที่ตระหนักถึงความจริงแท้ในเรื่องนี้ ต่างปรับกระบวนทัศน์ของตน จนเกิดกระแสกระบวนการ “รีเอนจิเนียริ่ง” อย่างต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ การเปรียบเทียบเชาวน์ปัญญาและเชาวน์อารมณ์ ดังแสดงในตาราง
เชาวน์ปัญญา (EQ)กระบวนทัศน์เก่า วิธีการ 1. มุ่งไปที่กายวัตถุ
2. มุ่งไปที่นอกกาย
3. มุ่งด้านหยาบ
4. มุ่งความสำเร็จที่ผู้ชนะผล * หักหาญเอาชนะฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่ง แย่งกันไปตาย เช่น กรณีวิกฤตเศรษฐกิจ การทำลายล้าง สงครามแย่งชิง
เชาวน์อารมณ์ (EQ)กระบวนทัศน์ใหม่ วิธีการ 1. มุ่งไปที่จิตวิญญาณ
2. มุ่งสู่ในกาย
3. มุ่งด้านละเอียด
4. มุ่งความสำเร็จจากการร่วมมือกัน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องผล * ความสร้างสรรค์ การถนอมรัก การเอาใจเขามาใส่ใจเรา สังคมสงบ เศรษฐกิจพอเพียง
พลังแห่งการหยั่งรู้ Intuitive Power
· Tab 1
· Tab 2
พลังแห่งการหยั่งรู้ เกี่ยวโยงกับการปฏิบัติสมาธิภาวนา เพื่อทำให้เจ้าตัว มีจิตใจที่สงบนิ่ง เยือกเย็น อารมณ์ใสเสมอ ทำให้ข้อมูลของ ตัวแปรรอบด้าน จะถูกดูดเข้าหาตัวเองสู่ “องค์รู้” ภายในได้อย่างสมบูรณ์ สะอาด ไม่เอียงเอน ปราศจากสิ่งขวางกั้น พระพุทธเจ้า ได้ใช้ฌานจาก สมาธิภาวนา จนเกิด พลังแห่งการหยั่งรู้ แล้วตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า จิตใจที่ไร้ความสงบ อารมณ์ที่ขุ่นมัว เครียดขึ้ง เป็นตัวอุปสรรคขัดขวางมิให้ข้อมูลของตัวแปร นานาชนิดเข้าถึง องค์รู้ภายในนั่นเอง ทำให้พลังแห่งการหยั่งรู้ไม่เกิดขึ้น
แนวทางปฏิบัติในการใช้พลังแห่งการหยั่งรู้ ในความเป็นจริงแล้ว เชาวน์ปัญญา ไม่ใช่ของเสียหาย แต่ควรใช้เชาวน์อารมณ์นำ เพื่อวางทิศทาง แล้วใช้เชาวน์ปัญญาเดินตามกรอบของเชาวน์อารมณ์ ผู้บริหารควรหมั่นฝึกสมาธิภาวนา เพื่อให้จิตสงบ ปล่อยวาง ตัดอารมณ์ที่ขุ่นมัวออกไป ขั้นตอนนี้เป็นแค่การฝึกจิตในขณะหลับตา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ช่วงลืมตาในขณะปฏิบัติงาน ก็ต้องฝึกสติ และสมาธิ ให้เหมือนกับตอนหลับตา มิเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร เฉกเช่นแผ่เมตตาตอนหลับตาภาวนาทุกวัน แต่ชีวิตประจำวันไม่ค่อยช่วยใคร เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด แสดงว่าที่เตรียมตัวมาไร้ผลในเชิงปฏิบัติ การทำใจให้ว่าง สว่าง สะอาด สงบ ในขณะปฏิบัติงาน จะเป็นการเปิดช่องทางให้สมองซีกขวารับข่าวสารข้อมูลปัจจัยเหตุต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และไม่ลำเอียงข้อมูลที่เข้ากับแนวคิดตน (กาลามสูตร) ขณะปฏิบัติงานก็ต้องพิจารณาปัญหา จากตัวแปรข้อมูลต่างๆ พยายามเต็มที่ที่จะเข้าถึงเหตุปัจจัยที่ส่งผลมาถึง ไม่เชื่อง่ายนัก ใช้กาลามสูตรไตร่ตรอง ใช้อริยสัจสี่แก้ปัญหา ใช้พลังการหยั่งรู้ในการตัดสิน วางเป้าหมายที่จะทำงานให้สำเร็จโดยความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ หาทางเลือกใหม่ ที่ไม่เบียดเบียนใคร แล้วพางานสำเร็จ สร้างสรรค์ให้ทีมงานทุกคนที่เกี่ยวข้อง สงบ และมีความสุข จากการทำงานอยู่ตลอดเวลา การหาความรู้และข่าวสารข้อมูลอยู่เสมอตามหลักพหูสูตร จัดให้พระสงฆ์มาเทศน์หรือบรรยายธรรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และชีวิตครอบครัวประจำวัน ส่งเสริมให้มีการทำบุญให้ทาน แต่อย่าเน้นเรื่องเงินมากนัก เพราะจะมุ่งไปสู่วัตถุนิยม ให้ทำบุญด้วยสิ่งอื่นที่ใช้เงินน้อย เช่น ธรรมทาน อภัยทาน การถือศีล การเจริญภาวนา การทำแนวคิดให้ถูกต้อง เป็นต้น การใช้ปัญญาของตนเองศึกษางานหรืออาชีพตัวเอง ให้รู้จัก – รู้จริง – รู้แจ้ง หากรู้แจ้งขึ้นมาแล้วจะเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นมา ทำให้สามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานได้ศักยภาพของตนเองที่ควรปลูกฝังและพัฒนาอยู่เสมอ มี 4 ประการ คือ
1. พลังจิต
2. พลังสมาธิ
3. พลังปัญญา หรือพลังความคิด
4. พลังความดี/ความรัก หรือทัศนคติทางบวก
ธรรมชาติของบุคคลผู้ประสบความสำเร็จ ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ วิธีการสั่งจิตใต้สำนึก ขั้นพื้นฐาน วิธีการสร้างพลังแห่งความเชื่อมั่นในตนเอง อำนาจแห่งพลังจิตทางบวก การปลูกฝังอุปนิสัยที่ สำคัญลงสู่จิตใต้สำนึก วิธีการพัฒนาพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ (Creative) การพัฒนาทักษะการคิด วิจารณญาณ การบริหารเวลา และการฝึกการกดจุดเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ
1. ภาคทฤษฎี ประกอบด้วย
1.1 ธรรมชาติแห่งพลังจิตใต้สำนึก 12 ประการ
1.2 ศูนย์รวมแห่งพลังงานในร่างกาย
1.3 ราศึทางโหราศาสตร์กับตำแหน่งจักระในร่างกาย
1.4 เคล็ดลับโบราณเกี่ยวกับพลังจิต
1.5 การควบคุมดูแลธาตุต่างๆ ในร่างกาย
1.6 การบำบัด และดูแลสุขภาพโดยอาศัยจักระ และระบบธาตุในร่างกาย
1.7 วิธีการทดสอบพลังจิตรูปแบบต่างๆ
1.8 ทฤษฎีความจำ
1.9 ทฤษฎีเกี่ยวกับการสั่งจิตใต้สำนึก
1.10 ความหมายของการสะกดจิต ประโยชน์ และโทษที่เกิดจากการสะกดจิต
1.11 การประยุกต์ใช้ทฤษฎีต่างๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย
2. ภาคปฏิบัติ ประกอบด้วย
2.1 การฝึกสร้างศูนย์สมบูรณ์
2.2 การใช้พลัง Aura ผ่านจินตนาการเพื่อปรับสภาพจิตใต้สำนึก
2.3 ฝึกสมาธิ และฝึกให้จิตใจรวมตัว
2.4 ฝึกพลังแห่งสายตา
2.5 ฝึกบำบัดอาการป่วยด้วยพลังปราณ
2.6 ฝึกทดสอบสภาวะจิตรูปแบบต่าง ๆ
2.7 ฝึกการสะกดจิต และชักนำจิตรูปแบบต่าง ๆ
2.8 ฝึกความจำโดยใช้จินตนาการช่วยจำ
2.9 ฝึกวิธีการเชื่อมต่อกับจิตเหนือสำนึก เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
3. ภาคทดสอบ
3.1 ทดสอบความเชื่อมั่น ทดสอบความจำ ต้องสามารถจำสิ่งของต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิดได้
โดยเพียงแต่ได้ยิน หรือได้ฟังเพียงครั้งเดียว และสามารถบอกลำดับได้การฝึกการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ : โดยกระบวนการพัฒนาจิตเหนือสำนึก การพัฒนาของ มนุษย์นั้น จะต้องพัฒนา 3 ด้าน คือ ร่างกาย , จิตวิญญาณ และสมอง การพัฒนาสมองโดยการฝึกให้คิด แบบสร้างสรรค์เป็นการพัฒนาที่ง่าย และมีพลังอย่างยิ่งในการที่จะนำความสำเร็จ มาสู่ผู้ที่สามารถพัฒนาได้ กระบวนการฝึกการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ประกอบด้วยการฝึก ดังต่อไปนี้
1. การใช้สมองซึกขวาเชื่อมโยงกับสมองซีกซ้าย
2. การฝึกการคิดนอกกรอบ
3. การฝึกการคิดทางบวก
4. การฝึกการคิดแบบริเริ่ม คล่องตัว ยืดหยุ่น และละเอียดลออ ฯลฯ
และที่สำคัญยิ่ง คือ การฝึกดึงเอาพลังจิตเหนือสำนึก (Super Conscious) ขึ้นมาทำงานใสถานการณ์ ต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่ และมีคุณค่า
ความคิดสร้างสรรค์
· Tab 1
Improving Your Creative Thinking Skills
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เกรียวกราวพอสมควรชื่อว่า Parallel thinking หรือแปลเป็นไทยว่า ความคิดคู่ขนาน ของ Dr’ Edward de Bono ออกวางตลาด ต่อจากนั้น ดูเหมือนจะได้รับข่าวคราวเสมอเกี่ยวกับ การจะพัฒนาความคิด ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร ? มีการอบรมเรื่องของ Mind Mapping เพื่อสังเคราะห์ไอเดียต่างๆ ทำให้เห็นภาพว่า สังคมไทยมีความตื่นตัวในเรื่องนี้กันพอสมควร สำหรับความเรียงชิ้นนี้ เรียบเรียงขึ้นมาจาก และความคิดของผู้เขียน และจากบทความหลายชิ้นของ Melvin D. Saunders อย่างเช่น Improving Your Creative Thinking Skills, Creativity and Creative Thinking, How creative thinking technique works, Ways to kill and ways to help an idea เป็นต้น ซึ่ง Saunders เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีผลงานทางด้านนี้ ซึ่งจะกระตุ้นให้เรากล้าคิด ในหนทางที่แตกต่าง เช่น การใช้ความคิดจากมุมองที่ต่างออกไป คิดแบบทำลายกฎเกณฑ์เก่าๆ คิดแบบเล่นๆ หรือใช้จินตนาการทุกชนิด เพื่อทำให้เกิดความเป็นไปได้ และเขายังเสนอหนทางที่จะได้มาซึ่ง ความคิด หรือไอเดียใหม่ๆ อย่างเช่น ใช้วิธีการสุ่มต่างๆ เช่น การสุ่มด้วยภาพ การสุ่มด้วยคำ หรือกระทั่งการสุ่มด้วย Website (ลองเปิด website ที่ไม่เคยคิดว่าจะเปิดดูมาก่อน) รวมไปถึงการนำเอาไอเดีย ตั้งแต่สองไอเดีย ที่ไม่เคยรวมกันมาก่อน มาสังเคราะห์เข้าด้วยกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของการได้มาซึ่ง ความคิดสร้างสรรค์
เราจะปรับปรุงทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ ได้อย่างไร ?
…กล่าวกันว่า ความคิดสร้างสรรค์ และการค้นหาวิธีการแก้ปัญหา เป็นกิจกรรมสองอย่างที่เกี่ยวแขนไปกันไป. หลายปีมาแล้ว Dr. Edward de Bono, นักจิตวิทยา และนักค้นคว้าทางการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ส่งเสริมเรื่องของ การใช้ความคิด สร้างสรรค์ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า Lateral thinking (ความคิดข้างเคียง).
ความคิดแนวตั้ง (Verticle Thinking) จะปฏิบัติการต่อเมื่อเราพยายามที่จะแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง โดยเริ่มต้นจาก ขั้นตอนทางตรรกะขั้นหนึ่งไปสู่ ขั้นตอนต่อไป เพื่อบรรลุผลของการแก้ปัญหา ส่วนความคิดข้างเคียง (Lateral Thinking) นั้น จะวาดภาพ แบบแผนทางความคิดซึ่งมา กับการค้นหาวิธีการแก้ปัญหาโดยการที่ไม่เป็นไปตามวิธีการเดิมๆ (Unorthodox Methods) หรือการเล่นเกมส์กับข้อมูล
…การขยายความสามารถทางสมอง หรือการใช้ความคิดด้วย ความคิดสร้างสรรค์ สามารถปรับปรุงขึ้นมาได้ด้วยการปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น เราจะใช้ไม้ขีดไฟ 6 ก้านบนโต๊ะ สร้างสามเหลี่ยมที่มีด้านสี่ด้านเท่ากันได้อย่างไร? หลังจากที่ใช้ ความพยายามอย่างหนัก และไม่ประสบผลสำเร็จในลักษณะสองมิติ ในไม่ช้าเราก็จะเรียนรู้ว่า การทำให้มันเป็น สามเหลี่ยม ด้านเท่าสี่ด้านในรูปสามมิติ เป็นหนทางเดียวที่บรรลุผลสำเร็จได้. ดังนั้น จงหัดคิดแบบเถื่อนๆ (Think Wild) เสียบ้าง ความหมายของคำว่า คิดแบบเถื่อนๆ มิได้หมายความว่า ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม แต่มีนัยะว่า ให้เราใช้จินตนาการทุกชนิด ของความเป็นไปได้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ Imagine all kinds of possibility และหาหนทางอีกทางหนึ่ง (Alternative) มาแก้ปัญหา, รวมไปถึงสิ่งที่เราคิดว่า มันทำไม่ได้ หรือน่าหัวเราะด้วย ยกตัวอย่างเช่น พยายามคิดถึง ความตรงกันข้าม กับสิ่งที่เป็นปกติเท่าที่คิดขึ้นมาได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา จากนั้นก็ลงมือทำมัน อย่างจริงจังและประณีต
นอกจากนี้ ในหลายๆ สถานการณ์ที่มีการเผชิญหน้า หรือในที่ประชุม…ถ้าเผื่อว่าเรามีความเห็นอย่างหนึ่ง และอีกคนมีความเห็น ตรงข้ามกันกับเรา, ให้เราพยายามจินตภาพถึง ความคิดเห็นของคนๆนั้น ดูทีในเชิงกลับกัน จดบันทึกถึงเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมความเห็นของเขาจึงใช้การได้; ต่อจากนั้นลองบันทึกถึงเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมความคิดเห็นของเขาจึงใช้การไม่ได้; และในท้ายที่สุด จดบันทึกถึงสิ่งที่ไม่เข้าประเด็น หรือสอดคล้อง. ผู้คนเป็นจำนวนมากต้องตกอยู่ในสภาพการณ์ ที่ยากลำบาก โดยการไม่ลงรอยกันในการอธิบาย, การกล่าวหากัน และการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง, แทนที่จะ ควบคุม ความคิด ของพวกเขาต่อการกระทำ และการตัดสินใจว่า อะไรสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว.
เราเคยทราบไหมว่า…มากกว่าครึ่งหนึ่งของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลก ได้ถูกทำขึ้นมาโดยผ่าน การค้นพบโดยบังเอิญ (Serendipity) หรือการค้นพบบางสิ่ง ขณะที่กำลังค้นหาบางสิ่งอยู่; และให้จำไว้ว่า, สิ่งนี้ได้ทำให้คนที่มี ความคิดสร้างสรรค์ ตระหนักถึงโอกาสอันหนึ่ง เมื่อมันเสนอตัวของมันเองออกมา. ในภาวะฉุกเฉิน ผู้คนมีแนวโน้มที่จะตกอกตกใจหรือบ้าคลั่ง แทนที่จะใช้หัวสมอง เพื่อกำหนดตัดสินใจถึงทางเลือกต่างๆของพวกเขา.
สิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดหนึ่งของคนเรา ซึ่งควรแก้ไขให้ถูกต้องก็คือ …ผู้คนส่วนใหญ่มักยึดถือความคิดเห็น หรือทัศนะต่างๆ ของตนเอาไว้ ทั้งนี้เพราะ พวกเขาได้ถูกล้อมกรอบเอาไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึก หรือเหตุผลในเชิงอคติต่างๆ. การที่เราจะขยับ ขยาย แนวคิดของเราออกไปให้กว้างขวาง เพื่อคลุมถึงความคิดเห็น ในทางตรงข้ามจากจุดยืนของเรา, บ่อยครั้งจะต้องปลด เปลื้องพันธนาการจากการถูกจำกัดเช่นนี้ให้ได้ และให้เร็ว (ลบอคติออก และไม่ใช้เรื่องอารมณ์ความรู้สึกมาเป็นพันธนาการ). ขณะที่สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มนำโลกไปสู่อาชญากรรม, การติดยาเสพติด และการมีหนี้สิน, ญี่ปุ่นกลับมีอาชญากรรม เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ค่อยมีผู้ติดยาเสพติด , มีความสามารถที่จะชำระหนี้ และเป็นชาติที่มีการศึกษาในโลก. เราคิดกันไหมว่า เหตุผลต่างๆ ในเชิงอคติ และอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ทางการสหรัฐจำกัด ตนเองจากการเรียนรู้ จากตัวอย่าง ของญี่ปุ่น หรือมันมีเหตุผลอื่นๆหรือ ?
…พอพูดกันมาถึงตรงนี้ ลองทดลองกับเพื่อนของเรา ที่มีสมมุติฐานหรือความเห็นในเชิงตรงข้าม เพื่อดูว่ามันนำพาเราไป ณ ที่ใด. เปิดใจของเราให้กว้างและคิดแบบเถื่อนๆ.
การคิดแบบวิภาษวิธี และการคิดด้วยสมองซีกขวา
นอกจากการใช้ความคิดในแบบข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีการในการปรับปรุงทักษะของการใช้ ความคิดสร้างสรรค์ อีก 2 วิธี ซึ่งอาจนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเรื่องราว เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ต่างๆได้คือ การคิดแบบวิภาษวิธี และ การคิดด้วยสมองซีกขวา
อันแรก, เป็นการคิดในแบบวิภาษวิธี (Dialectic) ซึ่งมีโครงสร้างแบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่ ข้อสรุปเดิม (Thesis), การต่อต้านข้อสรุปเดิม (Anti-thesis), และการสังเคราะห์ข้อสรุปเก่ากับใหม่ (Synthesis) ในที่นี้จะลองยกตัวอย่าง ที่เป็น รูปธรรมคือ ชาวประมงคนหนึ่งใช้วิธีการจับปลาแต่เดิมๆมาตลอด แต่ตอนนี้เขามีครอบครัว และมีคนที่ต้องเลี้ยงดูเพิ่มขึ้น การจับปลาในแบบเดิมๆจึงไม่พอกิน จะทำอย่างไรถึงจะพอกิน. ออกไปหาปลาไกลขึ้นหรือ เรือก็เล็กเกินไป แทนที่จะจับปลา ก็เป็นการปล่อยปลาแทน จับแล้วนำมาปล่อยในกระชังเลี้ยงดู ดังนั้นเขาจึงได้ปลาเพิ่มขึ้น
อันที่สอง, การคิดด้วยสมองซีกขวา. เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองส่วนบนของคนเรา ซึ่งตามปกติแล้ว สมองในส่วนซีกซ้าย จะทำหน้าที่ครอบงำ สมองส่วนซีกขวาอยู่ตลอดเวลา จนกล่าวได้ว่า เรามีโอกาสใช้สมอง ซึ่งทรงประสิทธิภาพของคนเราเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะนับแต่สังคมได้มาถึงยุคแห่งการใช้เหตุผล (สมองซีกซ้าย), สมองที่เกี่ยวข้องกับจินตนาการ และอารมณ์ความรู้สึก (สมองซีกขวา) เกือบจะไม่ถูกนำมาใช้เลย เพื่อคิดแบบสร้างสรรค์ หรือคิดแก้ปัญหาต่างๆ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างการทำงานของสมองส่วนบนทั้งสองซีก(ซ้ายและขวา)ว่า มันทำงานแตกต่างกันอย่างไร? เพื่อว่าเราจะได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการใช้ ความคิดสร้างสรรค์
สมองซีกซ้าย 1.เป็นเรื่องของสติปัญญาแบบเหตุผล, 2.เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข, 3.เป็นการคิดแบบนามธรรม, 4.คิดเป็นเส้นตรง, 5.เป็นเรื่องของการวิเคราะห, 6.ไม่เกี่ยวกับ้จินตนาการ, 7.คิดแบบต่อเนื่องตามลำดับ, 8.เป็นเรื่องของวัตถุวิสัย, 9.เกี่ยวข้องกับคำพูด
สมองซีกขวา 1. เป็นเรื่องของสหัชญาน(ไม่เกี่ยวกับเหตุผล) 2.เป็นเรื่องของการอุปมาอุปมัย, 3.เป็นการคิดแบบรูปธรรม, 4. คิดอิสระไม่เป็นเส้นตรง, เห็นภาพทั้งหมด, 5.เป็นเรื่องของการสังเคราะห์, 6.ใช้จินตนาการ, 7. คิดไม่เป็นไปตามลำดับ มีความหลากหลายดชื่อมต่อหลายมุม, 8.เป็นเรื่องของอัตวิสัย, 9.ไม่เกี่ยวกับคำพูด, เห็นเป็นภาพ
แม้ว่าจากการจำแนกจะเห็นว่า สมองส่วนบนซีกซ้ายและขวา จะมีลักษณะที่ตรงข้ามกัน แต่ความจริงแล้วมันเสริมกัน เพื่อให้ความคิดของเราสมบูรณ์มากขึ้น แทนที่จะใช้ความคิดหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น การคิดด้วยสมองซีกขวา จึงเป็นการคิดในแบบที่มาเสริมหรือช่วยให้เราคิดได้มากขึ้น
อะไรคือการสร้างสรรค์ ?
การสร้างสรรค์คือ การทำให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา ซึ่งบางสิ่งนั้นไม่เคยทีอยู่มาก่อน, ทั้งผลผลิตอันหนึ่ง, หรือกระบวนการอันหนึ่ง หรือความคิด-ไอเดียอันหนึ่ง.
อะไรบ้างที่จัดอยู่ในข่ายของการสร้างสรรค์. ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่มามาก่อนให้มีขึ้นมา. การประดิษฐ์สิ่งซึ่งมีอยู่ใน ณ ที่ไหนที่ใดสักแห่งหนึ่งแต่เราไม่รู้ว่ามีมันอยู่แล้ว. การคิดค้นกระบวนการใหม่อันหนึ่งขึ้นมาเพื่อกระทำบางสิ่งบางอย่าง. การประยุกต์กระบวนการที่มีอยู่ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วเข้าสู่ความต้องการอีกครั้ง. การพัฒนาวิธีการใหม่ อันหนึ่งเกี่ยวกับ การมองไปยังบางสิ่งบางอย่าง. การนำมาซึ่งไอเดียหรือความคิดใหม่ ทำให้มันดำรงอยู่ หรือมีอยู่ขึ้นมา เปลี่ยนแปลงวิธีการมอง ของใครคนใดคนหนึ่งที่มองบางสิ่งบางอย่างไป
พวกเราทั้งหลายต่างก็สร้างสรรค์กันทุกวัน เพราะเราเปลี่ยนแปลง ไอเดียหรือ ความคิดซึ่งเรายึดถือ เกี่ยวกับโลกรอบตัวเรา ต่างๆ อยู่เสมอ. การสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ถึงขนาดการพัฒนาบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาให้กับโลก แต่มันอาจจะ เกี่ยวข้อง กับพัฒนาการ บางสิ่งบางอย่างให้ใหม่ขึ้นมาเล็กๆน้อยๆเพื่อตัวของเราเอง. เมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวของเราเอง, โลกก็จะเปลี่ยน แปลงไปพร้อมกันกับเรา ทั้งการที่โลกได้รับผลกระทบโดยการกระทำที่เป็นการเปลี่ยนแปลงของเรา และในวิถีแห่ง การเปลี่ยนแปลง ที่เราได้มีประสบการณ์กับโลก.
ความคิดสร้างสรรค์จึงมีความหมายที่ค่อนข้างกว้าง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับการผลิตสินค้า การสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ กระบวนการที่คิดขึ้นมา และการบริการที่ดีขึ้น. เราคาดหวังกันว่า การสร้างสรรค์นั้นจะช่วยเราในหลายๆด้าน, เช่น องค์กร ของเราดีขึ้น, ลูกค้า หรือคนที่รับบริการจากเรามีความสุขมากขึ้น โดยผ่านการปรับปรุงขึ้นมา ใหม่นี้ใน ด้านคุณภาพ และปริมาณที่ผลิตออกมา
อะไรคือความคิดสร้างสรรค์ ?
ความคิดสร้างสรรค์คือกระบวนการอันหนึ่ง ซึ่งเราใช้เมื่อเรามีไอเดียใหม่ๆ. มันเป็นการผสมผสานเของไอเดีย หรือความคิดต่างๆ ซึ่งไม่เคยผสมรวมตัวกันมาก่อน. การระดมสมอง(brainstorming) เป็นรูปแบบหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์: มันทำงานโดย การรวบรวมไอเดียต่างๆที่กู่ก้องดังออกมาโดยใครบางคน ผสมรวมกัน กับของเรา เพื่อสรรค์สร้าง ไอเดียใหม่ อันหนึ่ง. คุณได้ใช้ประโยชน์ไอเดียนั้นของคนอื่นในฐานะแรงกระตุ้น. ไอเดียใหม่ต่างๆได้รับการก่อตัวขึ้นมา โดยการผสม รวมตัวของไอเดีย ที่มีอยู่ในใจเรา กับไอเดียที่ดังขึ้นของคนอื่น
โดยไม่มีการใช้เทคนิคพิเศษใดๆ ความคิดสร้างสรรค์ก็ยังคงเกิดขึ้นมา แต่โดยปกติแล้ว มันจะเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ; ความบังเอิญ หรือโอกาสที่เกิดขึ้น ทำให้เราคิดถึงบางสิ่งบางอย่างในหนทางที่แตกต่าง และเราได้ค้นพบ การเปลี่ยนแปลง ที่เป็นประโยชน์. ความเปลี่ยนแปลง บางอย่างมันเกิดขึ้นมา อย่างช้าๆโดยผ่าน การใช้ความคิดสติปัญญา อันบริสุทธิ์ และความก้าวหน้าเชิงตรรก. การอาศัยความก้าวหน้าโดยความบังเอิญหรือในเชิงตรรก หลายครั้ง ต้องใช้เวลานานมากสำหรับการผลิตเพื่อพัฒนาหรือปรับปรุง
ดังนั้น การใช้เทคนิควิธีพิเศษ, ความคิดสร้างสรรค์อันละเอียดอ่อนประณีตสามารถถูกนำมาใช้ได้เพื่อพัฒนาไอเดียใหม่ๆ. เทคนิคดังกล่าวจะช่วยทำให้ หรือไปบังคับให้เกิดลำดับการณ์อันกว้างขวางของการผสมผสานไอเดีย เพื่อจุดประกาย ความคิด ใหม่ๆและกระบวนการใหม่ๆ. การระดมสมองเป็นหนึ่งในเทคนิคพิเศษเหล่านี้ แต่ตามขนบประเพณี แล้ว มันจะเริ่มต้น ด้วยไอเดียที่ไม่ธรรมดา(start with un-original ideas).
ด้วยปฏิบัติการ, ความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง(การค้นหาอยู่เสมอ, การตั้งคำถาม และการวิเคราะห์ ที่พัฒนาได้โดย ผ่านการศึกษา, การฝึกฝนและการรู้ตัวของเราเอง) ได้เกิดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา. ความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง(ongoing creative thinking)ทำให้ ทั้งความบังเอิญและความคิดสร้างสรรค์ที่ตั้งอกตั้งใจเกิดขึ้นมาได้มากที่สุด. ความคิดสร้างสรรค์ อย่างต่อเนื่องต้องใช้เวลา และปฏิบัติการอย่างใจจดใจจ่อเพื่อกลายมาเป็นทักษะที่สมบูรณ์ และในไม่ช้า ความคิดสร้างสรรค์ อย่างต่อเนื่อง ก็จะกลายมาเป็นท่าที ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคอีกต่อไป
ทำอย่างไร เทคนิคความคิดสร้างสรรค์จึงจะทำงาน ?
ไอเดียใหม่ๆเกิดขึ้นมา เมื่อมีไอเดียตั้งแต่สองไอเดียขึ้นไปบังเอิญหรือตั้งใจให้มันมาผสมกัน อย่างที่มันไม่เคย รวมตัวกัน มาก่อน. เทคนิคการใช้ความคิดสร้างสรรค์ จะเป็นการจัดหา วิธีการเพื่อรวมไอเดีย ทั้งหลายเข้า ด้วยกัน อย่างประณีต ซึ่งตามปกติ เราไม่เคยคิดข้ามไอเดียพวกนั้นมาก่อนหรือคิดถึงมันว่าจะเป็นไปได้. แต่อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยาก ประการแรก ที่เกิดขึ้นมาก็คือ จะหาทางให้ไอเดียนั้นๆ ผสมกันได้อย่างไร. และข้อยุ่งยากประการที่สอง คือ จะพัฒนาไอเดียใหม่นั้น ให้มันใช้การได้ได้อย่างไร
ข้อยุ่งยากประการแรกจะถูกช่วยเหลือได้ โดยการใช้เทคนิค ความคิดสร้างสรรค์ อย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อมุ่งทำให้ ไอเดียใหม่ เหล่านั้น มันผสมกันได้. การที่คอมพิวเตอร์ มิได้รับอิทธิพลใดๆจากมนุษย์, มันจึงเป็น เพื่อนคู่ใจ ที่สมบูรณ์สำหรับ การจัดหาไอเดียต่างๆ ซึ่งเราไม่เคยคิด ผสมกันมาก่อน มารวมมันเข้าด้วยกัน. เทคนิคความคิดสร้างสรรค์ แบบนี้ถูกนำมา ใช้ เพื่อน้อมนำไอเดียต่างๆ ซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้คิดรวมกัน เพราะมนุษย์มีข้อจำกัด ของตนเองเกี่ยวกับ ประสบการณ์บนโลกนี้ กันทุกคน และมนุษย์มีเงื่อนไขความตีบตันด้วย
การะดมสมองในอดีตทำให้เราเชื่อมั่นว่า คนอื่นๆก็เพียงพอแล้วสำหรับการกระตุ้นสนับสนุนเราให้คิดในหนทางที่แตกต่าง. แต่อันที่จริงนั้นยังไม่พอ และสามารถทำให้เราต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับความคิดต้นตออันนั้น. หรือถ้าเผื่อว่า เราระดมสมอง กับผู้คนที่เรา ทำงานด้วยเสมอๆ เป็นไปได้ที่เราจะได้ไอเดียเก่าๆ ทั้งนี้เพราะเรารู้แล้ว เกี่ยวกับ…และทำงานร่วมกับ ไอเดียเดิมๆ มากมาย และก็มีประสบการณ์ ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันมากไป. ดังนั้น การระดมสมองแบบแผนเดิม จึงเป็นไปได้ที่เราจะไม่ได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ กับคนเดิมๆที่ทำงานร่วมกัน และแต่ละคนก็มีแรงกระตุ้นแบบเดิมๆเป็นข้อจำกัด.
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับความก้าวหน้าในการระดมสมอง: คอมพิวเตอร์จะไม่มีแนวคิดล่วงหน้า(not have the pre-conceptions) หรือมีอคติ ซึ่งจะทำให้เรา เป็นคนที่มีความสามารถ พิเศษ ในฐานะนักจัดหาหรือเตรียมการเกี่ยวกับแรงกระตุ้นใหม่ๆ ที่แตกต่างและจะจุดประกายไอเดียใหม่ๆให้ปะทุขึ้นมา
แม้ว่าไอเดียใหม่ๆมันจะไม่มีคุณค่าขึ้นมาทันทีในเวลานี้ แต่การเกิดขึ้นมาของความคิดใหม่ เป็นสิ่งสำคัญ ในการระดมสมอง พวกนั้น ถ้าเราเก็บเอาไว้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อมาได้ในภายหลัง หากว่ามันมีคุณค่าสำหรับเราจริงๆ.
อะไรคือเทคนิคความคิดสร้างสรรค์ ที่จะนำมาใช้ได้บ้าง ?
เทคนิคการได้มาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ข้างล่างนี้ เราจะต้องฝึกเอาไว้เสมอ ทั้งหมดนี้ จะนำเสนอแรงกระตุ้นใหม่ๆ สดๆ ให้กับ ความคิดใหม่ๆของเราได้. เราสามารถที่จะนำมันมาใช้ในการระดมสมองเพื่อให้กำเนิดไอเดียที่แปลแตกต่างอย่างง่ายๆ
Random Word (การสุ่มคำ)
Random Picture (การสุ่มด้วยภาพ)
False Rules (กฎเกณฑ์ที่ผิดพลาด)
Random Website (การสุ่มเวบไซท์)
Scamper (กระโดดโลดเต้น หรือการเล่น)
Search & Reapply (ค้นหาและลองประยุกต์ใหม่)
Challenge Facts (ท้าทายข้อเท็จจริง)
Escape (หลบหนี หลบเลี่ยง)
Analogy (การอุปมาอุปมัย)
Wishful Thinking (ความคิดให้สมปรารถนา)
Thesaurus (ใช้พจนานุกรมศัพท์คำพ้อง)
วิธีการฆ่าความคิดและวิธีการส่งเสริมความคิด
เป็นเรื่องง่ายมากที่จะฆ่าความคิดยิ่งกว่าการสนับสนุนความคิด และเปลี่ยนมันให้เป็นทางออก หรือวิธีการแก้ปัญหา อันเป็น ประโยชน์. ให้เราระมัดระวัง อย่าไปทำลายไอเดีย ของผู้คน หรือทำให้พวกเขาหยุด ที่จะบอกอะไรกับเรา และพูดคุยกับ คนอื่นๆเป็น เรื่องยากมากจริงๆ ที่จะรับฟัง เรื่องเกี่ยวกับ ไอเดียความคิดเห็นต่างๆ เมื่อใครบางคน บอกกับเรา เกี่ยวกับ ความคิดอันหนึ่ง ที่เขามี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่า ไอเดียอันนั้น ดูเหมือนว่า จะฟังดูโง่ๆ และไม่ทำงาน (ไม่ได้เรื่อง). แต่จำไว้เสมอว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนไม่ปรารถนา ที่จะนำเสนอไอเดียที่เลวๆ ในภาวะปกติ และเราควรจะพยายาม ทำความเข้าใจ เป็นอันดับแรกเลยว่า ทำไมพวกเขาจึงบอกกับเรา เกี่ยวกับความคิดอันนั้น. เป็นไปได้ที่บางสิ่ง บางอย่าง ในไอเดียนั้น จะเป็นประโยชน์กับเรา. และในอีกทางหนึ่ง เราจะมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเขาให้เข้าใจว่า ทำไมความคิด อันนั้น มันจึงไม่ทำงาน.
วิธีการหาไอเดีย ด้วยคำพูดของเราเองบางอย่าง
1. ที่เสนอมานั้นมันเป็นความคิดที่ดี, แต่…, (หรือ) ในทางทฤษฎีนั้นมันฟังดูดี, แต่…
2. ในทางปฏิบัติ, ความคิดนั้นมันดูเป็นเรื่องของอนาคตมากเกินไป
3. โอ้...ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการ(ชอบ)มันหรอก
4. ที่เสนอมานั้น ต้นทุนสูงเกินไป (หรือ) ไม่มีงบประมาณแล้ว,บางทีอาจรอไปปีหน้า
5. ไม่ต้องเริ่มต้นอะไรใหม่อีกแล้ว (หรือ) เราโต้เถียงกันมากไปแล้ว
6. ที่พูดมามันต้องศึกษาเพิ่มเติมมากกว่านี้ (หรือ) เรื่องนี้ขอให้เราไปสำรวจมาก่อน
7. อันนี้สวนกันกับนโยบายบริษัท(หรือ องค์กร)ของเรา
8. ที่พูดมานั้น มันไม่ได้เป็นงานในหน้าที่รับผิดชอบของคุณ
9. นั่นมันไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา
10. เรื่องนี้ยากมากต่อการจัดการ (หรือ) เราไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อนเลย
11. ถ้ามันดีมาก ทำไมจึงไม่มีใครเสนอมันไปแล้วล่ะ
12. ถึงต่อไปข้างหน้า ผู้คนก็จะยังไม่พร้อมสำหรับมันอยู่ดี
13. นั่งลงก่อน พักสักครู่
14. มีใครแล้วบ้างที่พยายามทำมันจนสำเร็จขึ้นมา
15. เราเคยทำมาแล้ว แต่มันไม่ทำงาน(ไม่ได้เรื่อง)
คำพูดต่างๆเหล่านี้ มักจะไปตัดทอนโอกาสในการแสดงความคิดหรือการเสนอไอเดียของคนอื่นๆ ซึ่งไม่ทำให้เกิดบรรยากาศของการสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ดังนั้น จงตรองดูว่า สิ่งที่จะพูดไปนั้น จะไปตัดทอนความคิดหรือไอเดียของคนอื่นหรือไม่ ?
หนทางที่สนับสนุนไอเดีย
1. ใช่, และ…(พูดสนับสนุน), ดูมันน่าตื่นเต้นและน่าสนใจมาก
2. ฟังและพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมมันจึงถูกนำเสนอ
3. อย่าไปขัดจังหวะ จนกว่าเขาจะเสนอจนจบ, ปล่อยให้พวกเขาก่อรูปไอเดียขึ้นมา
4. นั่นเป็นไอเดียที่ดี หรือประเด็นสำคัญ ข้อคิดเห็นที่เยี่ยม, ว่าต่อ…
5. ยอดมาก, พยายามต่อไป…
6. ต้องการทรัพยากรใดบ้าง ที่ต้องใช้ในการทำมันขึ้นมา
7. ที่เสนอมา เราสามารถทำให้มันทำงานได้อย่างไร ช่วยเล่าให้ฟังต่อหน่อยซิ
8. ให้พยายามและทดสอบมันดู
9. ที่เสนอมานั้น ทำให้มันเป็นแผนในเชิงปฏิบัติเลยได้ไหม ?
10. อะไรที่ผมสามารถช่วยได้สำหรับการทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้
11. สิ่งที่ฟังดูเป็นเพียงส่วนเล็กๆของไอเดีย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีในสถานการณ์ปัจจุบัน
12. ทำอย่างไร เราจึงจะชักจูงคนอื่นๆให้เชื่อมั่นได้
ข้างต้นนี้หวังว่า เราจะเห็นถึงหนทางต่างๆอันมากมายซึ่งสามารถที่จะช่วยสร้างไอเดียความคิดขึ้นมา. สิ่งเหล่านี้เป็น การส่งเสริม สนับสนุนไอเดียความคิด โดยไม่ต้องกล่าวคำว่าเห็นด้วย หรือว่าเราจะทำมัน เพียงแต่ระมัดระวัง อยู่เสมอสำหรับ ตัวของเราเอง ที่จะเสนอไอเดียอันหนึ่งลงมาเร็วเกินไป โดยไม่เข้าใจเหตุผลในเชิงบวกต่างๆสำหรับการที่มันถูกนำเสนอ
ไอเดียเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรยากาศในการระดมสมอง
เนื้อที่ส่วนนี้อุทิศให้กับบรรยากาศในการระดมสมองที่ช่วยให้ความคิดใหม่ๆผุดขึ้นมาได้ ทดลองเอาไปปฏิบัติ และดูว่ามัน ทำงาน ไหม หรือไม่ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการระดมสมองที่เราเคยทำๆกัน
1. ใช้วิดีโอเทปหรือเครื่องบันทึกเสียง(ไม่โจ่งแจ้งเกินไปจนทำให้รู้สึกเกร็ง)เพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ เพื่อไม่ให้ไอเดียใด หลุดรอดไปได้.
2. หรี่ไฟลงเพื่อให้บรรยากาศในห้องทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายหรือเป็นการพักผ่อน
3. มีตุ๊กตาหรือของเล่นที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นไอเดียและทำให้พวกเรารู้สึกผ่อนคลาย
4. ใช้ห้องที่อยู่นอกสำนักงานที่เราทำงานประจำเพื่อผลที่จะเกิดมาพิเศษใหม่ๆ
5. มีห้องเตียมไว้อีกห้องเพื่อฟื้นความสดใหม่ขึ้นมา และส่งเสริมให้ผู้คนได้พบปะและพูดคุยกันในช่วงพัก
6. ปิดสายโทรศัพท์หรือเคลื่อนย้ายมันออกไปจากห้อง จะได้ไม่มีอะไรมารบกวนหรือทำลายบรรยากาศ
7. ปิดม่านลง หากว่าข้างนอกมันมีสิ่งรบกวนทำให้เขวไปได้
8. เปิดเพลงเบาๆที่กระตุ้นอารมณ์ หรือลองสุ่มเพลงจาก CD สักสองแผ่น
9. จัดให้มีหนังสือพิมพ์เก่า เทปกาว กรรไกร เชือก เพื่อว่าใครที่มีไอเดียจะทดลองสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา ตามที่เขาคิด ให้เป็นรูป เป็นร่าง
10. มีดินสอสี หรือปากกาเมจิกอยู่ทั่วๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ได้ทันที
11. สร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดการหัวเราะ บรรยากาศแบบเล่นๆ มักก่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆอยู่เสมอ
12. ให้ผู้คนยืนบ้างนั่งบ้างตามความสะดวกสบาย หรือถ้าเคยนั่งประชุมก็ยืนประชุม
13. หันหน้าออกนอกกำแพงแทนที่จะหันหน้าเข้าหากำแพง
การสร้างบรรยากศใหม่ๆข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า สไตล์การระดมสมองและเทคนิคดังกล่าว สามารถเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงไปได้ เพื่อทำให้มันมีชีวิตชีวา การระดมสมอง ไม่ควรเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ หรือมีรูปแบบตายตัว ลองเปลี่ยนแปลงมันไปเรื่อยๆแล้วดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง
Resource :
องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดที่มีลักษณะอเนกนัย ซึ่งประกอบด้วย
1. ความคิดริเริ่ม (Originality) มีลักษณะแปลกใหม่แตกต่างจากของเดิม / คิดดัดแปลง ประยุกต์เป็นความคิดใหม่
2. ความคิดคล่องตัว (Fluency)
2.1 ด้านถ้อยคำ (Word Fluency) หลากหลาย ใช้ประโยชน์ได้และไม่ซ้ำแบบผู้อื่น
2.2 ด้านความสัมพันธ์ (Associational Fluency) จากสิ่งที่คิดริเริ่มออกมาได้อย่างเหมาะสม
2.3 ด้านการแสดงออก (Expressional Fluency) เป็นความคิดที่สามารถนำเอาความคิดริเริ่มนั้นมาแสดงออกให้เห็นเป็นรูปภาพได้อย่างรวดเร็ว
2.4 ความคิดคล่องด้านความคิด (Ideational Fluency) เป็นการสร้างความคิดให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คิดได้ทันทีที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) มีความเป็นอิสระคิดได้หลายๆอย่าง
4. ความคิดสวยงามละเอียดละออ (Elaboration) มีความรอบคอบ มีความคิดสวยงามด้านคุณภาพมีความประณีตในความคิดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีคุณภาพในทุกๆด้าน
กระบวนการสร้างความคิดสร้างสรรค์
James Webb Young ได้เสนอแนวความคิด 5 ขั้นตอน
1. ขั้นรวบรวมวัตถุดิบ
1.1 วัตถุดิบเฉพาะ เป็นข้อมูลวัตถุดิบต่างที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่ต้องการประชาสัมพันธ์
1.2 วัตถุดิบทั่วไป เป็นข้อมูลวัตถุดิบทั่วๆไปทั้งในส่วนขององค์การ และสภาพแวดล้อมเพื่อนำมาประกอบการสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้สมบูรณ์
2. ขั้นบดย่อยวัตถุดิบ เป็นขั้นการนำข้อมูลวัตถุดิบต่างๆที่ได้เก็บรวบรวมมาได้นำมาแจกแจงพิจารณาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ ความเกี่ยวข้องกันของข้อมูล
3. ขั้นความคิดฟักตัว
4. ขั้นกำเนิดความคิด
5. ขั้นปรับแต่งและพัฒนา ก่อนไปใช้ปฏิบัติจะนำเสนอความคิดสู่การวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อการปรับแต่งและพัฒนาความคิดให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เป็นจริง
ผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์
นิวแวล ชอล์ และ ซิมสัน ได้เสนอหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1. เป็นผลผลิตที่แปลกใหม่และมีค่าต่อผู้คิด สังคมและวัฒนธรรม
2. เป็นผลผลิตที่เป็นไปตามปรากฏการณ์นิยมในเชิงที่ว่ามีความคิดดัดแปลงหรือยกเลิก
ความคิดที่เคยยอมรับกันมาก่อน
3. เป็นผลผลิตซึ่งได้รับจากการกระตุ้นอย่างสูงและมั่นคงด้วยระยะยาว หรือความพยายามอย่างสูง
4. เป็นผลผลิตที่ได้จากการประมวลปัญหาซึ่งค่อนข้างจะคลุมเครือและไม่แจ่มชัด
ระดับความคิดสร้างสรรค์
1. ความคิดสร้างสรรค์ระดับต้น เป็นความคิดที่มีอิสระ แปลกใหม่ ยังไม่คำนึงถึงคุณภาพและการนำไปประยุกต์ใช้
2. ความคิดสร้างสรรค์ระดับกลาง คำนึงถึงผลผลิตทางคุณภาพนำไปประยุกต์ใช้งานได้
3. ความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง สรุปสิ่งที่ค้นพบเป็นรูปธรรมนำไปใช้ในการสร้างหลักการ ทฤษฎีที่เป็นสากลยอมรับโดยทั่วไป
องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดที่มีลักษณะอเนกนัย ซึ่งประกอบด้วย
1. ความคิดริเริ่ม (Originality) มีลักษณะแปลกใหม่แตกต่างจากของเดิม / คิดดัดแปลง ประยุกต์เป็นความคิดใหม่
2. ความคิดคล่องตัว (Fluency)
2.1 ด้านถ้อยคำ (Word Fluency) หลากหลาย ใช้ประโยชน์ได้และไม่ซ้ำแบบผู้อื่น
2.2 ด้านความสัมพันธ์ (Associational Fluency) จากสิ่งที่คิดริเริ่มออกมาได้อย่างเหมาะสม
2.3 ด้านการแสดงออก (Expressional Fluency) เป็นความคิดที่สามารถนำเอาความคิดริเริ่มนั้นมาแสดงออกให้เห็นเป็นรูปภาพได้อย่างรวดเร็ว
2.4 ความคิดคล่องด้านความคิด (Ideational Fluency) เป็นการสร้างความคิดให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คิดได้ทันทีที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) มีความเป็นอิสระคิดได้หลายๆอย่าง
4. ความคิดสวยงามละเอียดละออ (Elaboration) มีความรอบคอบ มีความคิดสวยงามด้านคุณภาพมีความประณีตในความคิดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีคุณภาพในทุกๆด้าน
กระบวนการสร้างความคิดสร้างสรรค์
James Webb Young ได้เสนอแนวความคิด 5 ขั้นตอน
1. ขั้นรวบรวมวัตถุดิบ
1.1 วัตถุดิบเฉพาะ เป็นข้อมูลวัตถุดิบต่างที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่ต้องการประชาสัมพันธ์
1.2 วัตถุดิบทั่วไป เป็นข้อมูลวัตถุดิบทั่วๆไปทั้งในส่วนขององค์การ และสภาพแวดล้อมเพื่อนำมาประกอบการสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้สมบูรณ์
2. ขั้นบดย่อยวัตถุดิบ เป็นขั้นการนำข้อมูลวัตถุดิบต่างๆที่ได้เก็บรวบรวมมาได้นำมาแจกแจงพิจารณาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ ความเกี่ยวข้องกันของข้อมูล
3. ขั้นความคิดฟักตัว
4. ขั้นกำเนิดความคิด
5. ขั้นปรับแต่งและพัฒนา ก่อนไปใช้ปฏิบัติจะนำเสนอความคิดสู่การวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อการปรับแต่งและพัฒนาความคิดให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เป็นจริง
ผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์
นิวแวล ชอล์ และ ซิมสัน ได้เสนอหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1. เป็นผลผลิตที่แปลกใหม่และมีค่าต่อผู้คิด สังคมและวัฒนธรรม
2. เป็นผลผลิตที่เป็นไปตามปรากฏการณ์นิยมในเชิงที่ว่ามีความคิดดัดแปลงหรือยกเลิก
ความคิดที่เคยยอมรับกันมาก่อน
3. เป็นผลผลิตซึ่งได้รับจากการกระตุ้นอย่างสูงและมั่นคงด้วยระยะยาว หรือความพยายามอย่างสูง
4. เป็นผลผลิตที่ได้จากการประมวลปัญหาซึ่งค่อนข้างจะคลุมเครือและไม่แจ่มชัด
ระดับความคิดสร้างสรรค์
1. ความคิดสร้างสรรค์ระดับต้น เป็นความคิดที่มีอิสระ แปลกใหม่ ยังไม่คำนึงถึงคุณภาพและการนำไปประยุกต์ใช้
2. ความคิดสร้างสรรค์ระดับกลาง คำนึงถึงผลผลิตทางคุณภาพนำไปประยุกต์ใช้งานได้
3. ความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง สรุปสิ่งที่ค้นพบเป็นรูปธรรมนำไปใช้ในการสร้างหลักการ ทฤษฎีที่เป็นสากลยอมรับโดยทั่วไป
แต่ควอนตัมฟิสิกส์ลงไปในรายละเอียดกว่าวิทยาศาสตร์คลาสสิกมากยิ่งนัก ในระดับที่ละเอียดเช่นนั้น การทำงานคือการใช้พลังงาน ที่มีเนื้อใน โดยมีรูปแบบทางควอนตัมออกมาเป็นชุดๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งหมดเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นองค์รวม ซึ่งทั้งหมดคือส่วน และส่วนคือทั้งหมด โดยทั้งหมดจะไหลเลื่อนเคลื่อนไหวไปด้วยกัน เปลี่ยนแปลงสรรค์สร้างสิ่งใหม่ตลอดไป นั่นก็กระบวนการที่เรียกว่า วิวัฒนาการของธรรมชาติ โดยในธรรมชาตินั้นไม่มีการปฏิรูป จะมีก็แต่วิวัฒนาการที่ว่าเท่านั้น
เนื่องจากควอนตัมฟิสิกส์นั้นลงไปในรายละเอียดมาก สู่สภาวะที่ไม่มีความคงที่แน่นอน มีสภาวะเป็นคลื่น เป็นสสาร เป็นครึ่งๆ กลางๆ หรือเป็นสภาพของสนามแห่งความพัวพันกันก็ได้ เป็นต้นว่า เป็นสนามพลังงานที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็นสนามข้อมูล ความจำ ที่ว่าง หรือเวลาก็ได้ กระทั่งเป็นดังที่นักฟิสิกส์หลายคนเชื่อว่า เป็นสนามพลังงานจิตหรือเป็นสนามจิตที่ไร้สำนึกของจักรวาลก็ได้ ซึ่งสภาพที่ละเอียดยิ่งเช่นนั้น ไม่แน่นอน ไม่เที่ยงและทำนายไม่ได้ มีลักษณะที่ไม่แตกต่างไปจากจิตจริงๆ
ดังนั้น ในทศวรรษหลังๆ มานี้ จึงมีกลุ่มวิชาที่เกี่ยวข้องกับจิตหรือระบบประสาทและสมอง รวมทั้งเรื่องของพลังงานจิตและความรู้เร้นลับ ความรู้ที่แนบเนื่องกับศาสนาที่อุบัติจากทางตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ รวมกันแล้วว่า 12 วิชาที่เรียกรวมๆ กันว่า วิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งมีอภิปรัชญาใหม่เป็นตัวเชื่อมระหว่างควอนตัมเมคานิกส์หรือฟิสิกส์ใหม่ที่กล่าวมานั้นกับเรื่องของจิตหรือจิตวิญญาณทั้งหมด ฉะนั้น กระบวนการเรียนรู้ใหม่และระบบการศึกษาใหม่จึงต้องเป็นไปตามนั้น ทำให้การมองความจริง หรือการรับรู้โลกและจักรวาลของมนุษย์ ซึ่งก็คือการรับรู้ธรรมชาติต้องเปลี่ยนแปลงไป ธรรมชาติของจักรวาลกายภาพ ที่โลกตะวันตก สอนมานั้นเป็นเรื่องของกายวัตถุทั้งหมด แท้จริงนั้นเป็นความรู้เก่าของชาวตะวันออกซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว
หนึ่ง คือธรรมชาติกายภาพที่มนุษย์มองเห็น
สอง จะเป็นภาพมายาของธรรมชาติที่แท้จริงซึ่งอยู่เบื้องหลังอีกที จึงนำมาอธิบายต่อไปได้ว่าทำไมมนุษย์ และสัตว์แต่ละชนิดจึงเห็น และรับรู้ธรรมชาติได้ไม่เหมือนกัน เพราะทั้งคนและสัตว์แต่ละชนิด แต่ละประเภทแปลธรรมชาติที่แท้จริง (ปฏิสัมพันธ์ระหว่างแสง/สสาร) ให้เป็นการรับรู้หรือมองเห็นแปลกต่างจากกัน
ส่วนธรรมชาติที่สาม คือ จิตสูงสุดหรือปัญญาสูงสุด คือความจริงแท้ที่รับรู้ด้วยจิตเหนือจิต นั่นคือ สัจธรรมหรือธรรมะในพุทธศาสนา นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าหรือเต๋าหรือพรห์มมัน/ปรมาตมันที่ล้วนคือ “หนึ่ง” เช่นเดียวกันทั้งสิ้น เพียงแต่ใช้คำเรียกต่างกัน
การมองเห็นหรือเรียนรู้ความจริงที่เปลี่ยนไปนี้คือ สิ่งที่นักคิดหลายคนเรียกว่า วิสัยทัศน์ใหม่ต่อความจริงแท้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในหลักการที่รับรู้ร่วมกันนั่นคือ โลกทัศน์หรือ “กระบวนทัศน์” ซึ่งมีหลักการและรูปแบบใหม่ ที่แปลกต่างไม่เหมือนเดิม ด้วยฟิสิกส์ใหม่ เป็นตัวผลักดันการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับตัวเร่งที่มนุษย์ได้มาจากความคิด และการสะท้อนความคิด ของตนเองสู่ภายใน
อาทิ จากสภาวะล่มสลายของระบบนิเวศธรรมชาติและมหันตภัยทุกๆ ด้านที่เป็นผลพวง ไม่ว่าจะเป็นสภาพโลกร้อน เอลนีโญ อากาศเป็นพิษ และมลภาวะ ทำให้มนุษย์รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยวิทยาศาสตร์กายภาพและชีววิทยาที่ตั้งอยู่บนความบังเอิญ มนุษย์ได้ดำรงชีวิต ของตนและนำพาสังคมโลกผิดพลาดไปจากกระบวนการธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ด้วยวิกฤตในแทบทุกๆ ด้าน กลายเป็นวิกฤตการณ์ที่มีคุณค่าและความหมายในแง่ของการสื่อให้มนุษย์เริ่มรู้ตัว มนุษย์แทบทุกคนต่างรู้แล้วว่าเราต้องเปลี่ยนแปลง ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดที่เป็นรากฐานของระบบทุกระบบของสังคม จึงต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ไปด้วยกัน ทั้งกรุเพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนทัศน์ใหม่ของสังคมด้วยเช่นกัน นั่นคือการเปลี่ยนแปลง ที่ศรีอรพินเธอเคยบอกว่า
"เวลาของการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว เราทุกคน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ต้องอ่านสัญลักษณ์นั้นให้ออกและดำเนินการไปตามนั้น อย่างเงียบๆ การเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องเป็นโลกาภิวัตน์ คือต้องทั้งหมด แม้แต่เศษผงธุลีก็ต้องเปลี่ยน"
ฉะนั้น ระบบการศึกษาจึงต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความจริงที่ยอมรับร่วมกันใหม่ โดยเปลี่ยนจากระบบการศึกษา ปัจจุบันที่สารัตถะ ทั้งหมดนั้น อยู่ที่ภายนอก ที่มนุษย์รับรู้เป็นความแปลกต่าง ไปสู่กระบวนทัศน์ทางการศึกษา ที่ชี้นำจากภายในออกมา ภายนอก ด้านหนึ่ง เป็นการศึกษา ที่สอดคล้องกับกระบวนการวิวัฒนาการทางกายภาพ ของสมองและพฤติกรรมที่กำหนดจากภายใน มาปฏิสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อมภายนอก ให้มีการเคลื่อนไหววิวัฒนาการต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จะเป็นการเดินทางที่จะเตรียมนำตัวมนุษย์ไปสู่ปัญญาเหนือปัญญาของจักรวาลอีกทีหนึ่ง ดังที่ ญ็อง เปียเจต์ และรูดอล์ฟ สไตเนอร์ พูดเหมือนๆ กับดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ความหมายของกระบวนทัศน์ (Paradigm)
คำว่า กระบวนทัศน์ (Paradigm) เป็นคำศัพท์ที่ Thomas S. Kuhn ได้นำเสนอและเผยแพร่เมื่อประมาณต้นปี ค.ศ. 1970 (ตรงกับ พ.ศ. 2513) อีกทั้งจากการประชุมทางวิชาการด้านรัฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1974 และจากการประชุมทางด้านการบริหารรัฐกิจของประเทศ
สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1975 เป็นผลให้นักวิชาการสนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนทัศน์มากขึ้น
นักวิชาการได้ให้ความหมายของกระบวนทัศน์ไว้หลายความหมาย ดังนี้
Thomas S. Kuhn กล่าวว่า กระบวนทัศน์ หมายถึง ผลสำเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Achievement) ที่นักวิชาการนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาสภาพแวดล้อม วัฒนธรรมองค์การ นโยบาย โครงสร้าง กระบวนการ เทคโนโลยี และพฤติกรรมการบริหาร
Robert T. Holt & John M. Richardson กล่าวว่า กระบวนทัศน์ หมายถึง แบบแผน หรือกรอบเค้าโครงที่กำหนดรูปแบบและแนวทางการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีองค์ประกอบ 5 ประการ คือ (1) แนวความคิดเชิงทฤษฎี (2) ทฤษฎี (3) กฎ (4) ปัญหา (5) ข้อเสนอแนะ
เฉลิมพล ศรีหงษ์ กล่าวว่า กระบวนทัศน์ หมายถึง การกำหนดแก่นของปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาในลักษณะภาพรวม ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และใช้เป็นพื้นฐานร่วมกันในการศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ หรืออธิบายรายละเอียดต่อไป
กล่าวโดยสรุปกระบวนทัศน์ หมายถึง ตัวแบบ รูปแบบ กรอบแนวความคิด แนวทางการศึกษา ที่ใช้วิธีการทางด้าน วิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการศึกษา และแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง