ข่ายใยชีวิต Web of life โยงใยแห่งชีวิต
·
ข่ายใยชีวิต หรือ Web of life ที่มีความคิดหลัก (Main Idea / Key Concept) ในคำหลัก(Key Word) คือ สัมพันธภาพ (Relationship), เครือข่าย (Network), แบบแผน (Pattern),โครงสร้างกระจาย (Dissipative Structure), กระบวนการ (Process), วงจรป้อนกลับ(Feedback Loop), การจัดการตนเอง (Self Organization) , การเรียนรู้และการสร้างสรรค์ (Learning and Creativity) โดยที่คำทั้งหมดเหล่านี้ เป็นองค์รวมของคุณสมบัติ หรือ คุณลักษณะของระบบชีวิตทุกระดับ เป็นคุณสมบัติ และลักษณะที่เชื่อมโยงอิงกันและกัน หมายความว่า คุณสมบัติจะดำรงอยู่ ต่อเมื่อ มันรวมกันอยู่เป็นองค์รวม ดังนั้น การแยกส่วนออกไปเท่ากับเป็นการทำลายคุณสมบัติของมันด้วย หรือการนำ ส่วนย่อย มารวมกันก็ไม่อาจเกิด คุณสมบัติเหมือนองค์รวมได้เช่นกัน ความคิดหลัก
สัมพันธภาพ (Relationship) หรือ ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน คือ กุญแจสำคัญของระบบชีวิต ระบบนิเวศ ช่วยให้เราเข้าใจ สัมพันธภาพของระบบชีวิตทั้งหลายว่า
(1) มีสัมพันธภาพระหว่างองค์ประกอบย่อย ๆ ทั้งหมดที่อยู่ภายในระบบใดระบบหนึ่ง
(2) มีสัมพันธภาพระหว่างระบบนั้นและระบบใหญ่กว่าที่แวดล้อมอยู่ ซึ่งคาปร้าบอกว่า สัมพันธภาพระหว่าง ตัวระบบ กับ สิ่งแวดล้อมของมัน คือสิ่งที่เราหมายถึงคำว่า บริบท หรือ"Context" โดยคำว่า Context นี้มาจากภาษาละติน แปลว่า "ถักทอเข้าด้วยกัน"
(3) บริบทจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ และการถักทอเข้าด้วยกันนี้เอง ทำให้เกิดความ สัมพันธ์แบบ"เครือข่าย" ที่เชื่อมโยงระบบต่างๆ ทั้งหลายเข้าด้วยกันทั้งหมด สัมพันธภาพแบบเครือข่ายจึงเป็น หัวใจสำคัญของ ทฤษฎีข่ายใยชีวิต เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่มิได้เป็นเส้นตรง (Nonlinear) หากแต่เป็นสัมพันธภาพที่ไปในทุกทิศทาง เอื้อให้เกิด การเวียนกลับ การเรียนรู้ และการพัฒนาขึ้น
การจัดรูปของสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นซ้ำๆทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า แบบแผน( Pattern ) คือการจัดรูปของสัมพันธภาพระหว่าง องค์ประกอบของระบบทั้งหลาย และ ระหว่างระบบในระดับต่างๆ กันด้วย เขาเห็นว่า แบบแผนดังกล่าว มีทั้งส่วนที่เป็น โครงสร้างทางวัตถุที่เห็นได้ทางกายภาพ แต่แบบแผนเป็นมากกว่าโครงสร้างทางวัตถุ (Material Embodiment) คือมีส่วนของสัมพันธภาพระหว่างรูปธรรม นามธรรมด้วย ดังนั้น ทั้งโครงสร้างและแบบแผน จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เนื่องจากแบบแผนการจัดองค์กรจะปรากฏได้ เมื่อมันอยู่ในส่วนประกอบของโครงสร้างทางกายภาพ
ในทฤษฎีข่ายใยชีวิต คาปร้าศึกษาและให้ความเข้าใจใหม่ในเรื่องของโครงสร้างของระบบชีวิตว่าเป็น"โครงสร้างกระจาย" (Dissipative Structures) ที่มีลักษณะเอื้อต่อการเลื่อนไหลของความสัมพันธ์กับระบบอื่น ในขณะที่รักษาความสมดุล ของระบบตนเองไว้ด้วย พร้อมกันนั้น หากมีการเลื่อนไหลของพลังงานหรือสสารเกิดขึ้นในระดับมาก จนกระทั่งถึง จุดที่ไร้เสถียรภาพ โครงสร้างจะแปรตัว เป็นโครงสร้างใหม่ แบบแผนใหม่ ที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีสภาพ ระเบียบ พฤติกรรมใหม่ที่แตกต่างจาก คุณสมบัติเดิม คาปร้าเรียกว่าเป็นการบังเกิด (Emergence) หรือเป็น"ความสร้างสรรค์" (Creativity) ของระบบชีวิต เป็นการจัดองค์กรด้วย ตนเองของระบบชีวิต ที่ทำให้มีการพัฒนา การเรียนรู้และวิวัฒนาการ
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าระบบชีวิตมีการเคลื่อนไหว แปรเปลี่ยนตลอดเวลา จึงมีลักษณะ "กระบวนการ"(Process) ดังนั้น โครงสร้าง แบบแผน กระบวนการ จึงแยกกันไม่ออก และจากผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ "ทฤษฎีซานติเอโกว่าด้วย พุทธิภาวะ" ( The Santiago Theory of Cognition) คาปร้าเห็นว่าช่วยทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ความเข้าใจใหม่ในเรื่อง จิตของระบบชีวิต ด้วย โดยทฤษฎีดังกล่าวพบว่ากระบวนการของการรู้ เป็นสิ่งเดียวกับกระบวนการของระบบชีวิต มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างตนเอง การรักษาไว้ซึ่งเครือข่ายของระบบชีวิต และรวมการรับรู้ (Perception) อารมณ์ความรู้สึก (Emotion) และพฤติกรรม (Behavior) ด้วย พุทธิภาวะจึงมิได้เกิดจาก สมองและระบบประสาท เพียงเท่านั้น
ระบบชีวิตมีกระบวนการที่เคลื่อนไหวเป็น วงจรหรือวัฏ มีวงจรป้อนกลับ (Feedback Loops) อยู่ในเครือข่าย แบบแผน โครงสร้าง ทำให้เกิดการจัดการด้วยตนเอง (Self Organization) และควบคุมตนเอง (Self Regulation)ได้ ระบบจึงพัฒนาได้เองด้วย อย่างไรก็ตาม การที่ทุกส่วนเป็นเรื่องของสัมพันธภาพโดยรวม การจัดการด้วยตนเอง จึงมิได้หมายถึง ความอิสระอย่างสิ้นเชิงหรือสัมบูรณ์ แต่หมายถึงการจัดการด้วยตนเองเกิดขึ้นได้ เพราะสัมพันธภาพ ที่มีร่วมเป็นองค์รวมกันองค์ประกอบอื่นภายในระบบเอง และกับระบบอื่นทั้งหมด ระบบทั้งหลายจึงเป็นระบบเปิด(Open Systems) และการที่ระบบสามารถจัดการตนเองได้ ระบบจึงมีประสบการณ์ที่เรียกว่า เป็นการเรียนรู้ที่สะสม จาก ประสบการณ์ในระบบชีวิตทำให้เกิดการพัฒนา (Development)ขึ้นด้วย และความสัมพันธ์แบบเครือข่าย ทำให้ความร่วมมือ(Cooperation) และการเป็นหุ้นส่วน (Partnership) ความเป็นหมู่คณะ (Collective) ขององค์กร มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดมากกว่าการแข่งขัน ( Competition)
คุณสมบัติต่าง ๆ ของระบบชีวิตดังที่กล่าวเห็นว่า ไม่อาจเข้าถึงหรือทำความเข้าใจได้ด้วยการใช้ตรรกะหรือเหตุผล (Rational) ซึ่งมีลักษณะเส้นตรง (Linearity)แต่การเข้าถึงความจริงของระบบชีวิตต้องอาศัยประสบการณ์ที่เป็นญาณทัสนะ (Intuition) เป็นการหยั่งรู้แบบเชื่อมโยงสรรพสิ่งในเวลาเดียวกัน เชื่อมการรับรู้ภายในเข้ากับ ความเป็นไปของ ภายนอก ให้เป็นเอกภาพเดียวกัน ซึ่งเขาเห็นว่าคนในสังคมตะวันตกไม่เข้าใจและคุ้นเคย หากแต่เป็นสิ่งที่ปกติสามัญใน กระบวนการเรียนรู้ของศาสนาตะวันออก (สมาธิ)
จากความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศนี้ ทำให้รู้ถึงคุณสมบัติสำคัญอีก 2 ประการของทุกระบบชีวิตในทุกระดับ คือ ความยืดหยุ่น (Flexibility) และความหลากหลาย (Diversity) การที่แบบแผน โครงสร้าง กระบวนการมีพลวัต ระบบชีวิต จึงมีการแกว่งไหว (Fluctuation) อย่างต่อเนื่องจึงมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ตึง เข้มงวด ทำให้ระบบชีวิตฟื้นฟูสภาพ หรือจัดระเบียบตนเองได้ง่าย และการที่สัมพันธภาพ มีความหลากหลายย่อมเอื้อต่อการพัฒนาระบบชีวิต แต่ประเด็นสำคัญ เกี่ยวกับความหลากหลาย ซึ่งเป็นคำที่มีการกล่าวถึง และให้ความสำคัญในระยะหลังมานี้ว่า หากเข้าใจไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบชีวิตเกิดวิกฤตมีความรุนแรงขึ้นในระบบได้
กล่าวคือ ความหลากหลายจะเป็นประโยชน์แก่เครือข่าย ต่อเมื่อมีการเลื่อนไหลของข้อมูลข่าวสาร (Information) อย่างทั่วถึง ตลอดเครือข่าย ทำให้ความหลากหลายนั้นเป็น การเรียนรู้ความต่างของกันและกัน เพื่อปรับการเปลี่ยนแปลง ให้เหมาะสม นำไปสู่วิวัฒนาการใหม่ ๆ ในทางตรงข้ามความหลากหลาย จะกลายเป็นอุปสรรค หากการเลื่อนไหล ของความแตกต่าง ถูกจำกัดไว้ ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในระบบ กลายเป็นความรุนแรงได้
ตัวอย่างเช่นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม จะได้ประโยชน์จากความหลากหลายต่อเมื่อมีการพึ่งพาอาศัยกัน มีการแลกเปลี่ยน และการไหลเลื่อนของข้อมูล การเรียนรู้ ฯลฯ ในทางตรงข้าม ความหวาดระแวงและความรุนแรง จะเกิดขึ้นสูง เมื่อความหลากหลายถูกสกัดกั้นในระบบ ปราศจากสัมพันธภาพ
แม้ระบบชีวิตจะมีคุณลักษณะสำคัญดังที่กล่าวมา แต่ก็เห็นว่าสรรพสิ่งมิได้สัมพันธ์กันในแบบเดียวกันหมด และในระดับเท่ากันหมด โดยระบบชีวิตทุกระดับที่มีมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น โดยเฉพาะระดับสังคม(Social Systems) จะมีความแตกต่างอย่างสำคัญ คือ มีความสัมพันธ์ 3 ระดับ ได้แก่
ระดับวัตถุ (Material) เช่น เงิน ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ,
ระดับชีววิทยา คือชีวิตและจิตใจ (Life and Mind) และ
ระดับสุดท้าย คือจิตสำนึก อันเป็นเรื่องของการให้ความหมาย ค่านิยม จริยธรรม ซึ่งเป็นระดับที่มีในมนุษย์เท่านั้น
การบริหารจัดการองค์กรของมนุษย์ จะต้องรู้และไปครบทั้ง 3 ระดับ จึงจะพัฒนาองค์กรที่มีมนุษย์เกี่ยวข้องอยู่ได้สำเร็จ นอกจากนี้มนุษย์ยังเป็นระบบชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย (Purpose) ซึ่งสร้างขึ้นจาก ความสามารถใน การสร้างภาพของจิต (Mental images) ซึ่งเป็นคุณลักษณะของจิตสำนึกมนุษย์ที่ไม่มีในพืชและสัตว์ที่อยู่ระดับต่ำกว่า และ พุทธิภาวะ ของมนุษย์นั้น ยังมีความคิดเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Thought) สติสัมปชัญญะ (Self Awareness) และจิตสำนึก (Consciousness) ที่ไม่มีในระบบชีวิตอื่นด้วย และในอาณาบริเวณของสังคมมนุษย์ การสื่อสาร(Communication) ภาษาและการสนทนา (Conversation) เป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการของระบบชีวิตมนุษย์
· Tab 2
หัวใจข่ายใยชีวิต : การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking)
ด้วยกระบวนทัศน์ใหม่จากทฤษฎีข่ายใยชีวิตนี้ คาปร้าเชื่อว่า เป็นการสร้างความหมายใหม่แก่"ชีวิต"ในมิติวิทยาศาสตร์ และเป็นการเปลี่ยนวิทยาศาสตร์แบบกลจักรให้เป็นวิทยาศาสตร์แบบชีวิต (Life Science) ที่จิต วัตถุ และชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกัน ครั้งแรก เขาเชื่อว่ากระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนย้ายนี้ จะก่อให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า การคิดเชิงระบบ ( Systems Thinking) ด้วย เป็นระบบคิด วิธีคิดชุดใหม่ของมนุษย์ที่มีต่อสรรพสิ่ง และจะเปลี่ยนวิถีที่มนุษย์สัมพันธ์ กันทั้งหมด และสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากทฤษฎีข่ายใยชีวิต ครอบคลุมทั้งชีวิต ชุมชน องค์กรธุรกิจ ระบบการศึกษา สถาบันทางสังคม การเมือง ระบบนิเวศฯลฯ
จากการศึกษา คาปร้าพบว่า ความคิดเชิงระบบเริ่มปรากฏและพัฒนามาในหลายสาขาวิชา จากการค้นพบใหม่ ๆ ทั้งในชีววิทยา จิตวิทยา นิเวศวิทยา แต่ที่ก่อผลเด่นชัดมากที่สุดคือ จากทฤษฎีควอนตัมในวิชาฟิสิกส์ ที่พบอย่างน่าตื่นใจว่า "ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าส่วนประกอบ (Part) อยู่เลย สิ่งที่เราเรียกว่า"ส่วนประกอบ"นั้น เป็นแบบแผน(Pattern) ของข่ายใยความสัมพันธ์ ที่แยกออกจากกันไม่ได้"
ดังนั้น การเอาส่วนประกอบย่อยมาเชื่อมโยงเป็นองค์รวม จึงเหมือนการเอาวัตถุมาเชื่อมต่อให้สัมพันธ์กัน ซึ่งแน่นอนว่ามี ปฏิสัมพันธ์ และเกิดความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบเหล่านั้น แต่ความสัมพันธ์เกิดขึ้นเป็นอันดับที่ 2 หรือภายหลัง ในขณะที่ระบบองค์รวม เห็นว่าสิ่งต่าง ๆ โดยตัวมันเองเป็นเครือข่ายของความสัมพันธ์ที่อยู่ในเครือข่ายที่ใหญ่กว่า นักคิดเชิงระบบ จึงเชื่อว่าความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นสิ่งพื้นฐานหรืออันดับแรกสุด (เป็นตัวของระบบเอง) ส่วนขอบเขต ของรูปแบบหรือวัตถุ ที่มองเห็นนั้น เกิดขึ้นเป็นที่สอง
ส่วนอีกทัศนะหนึ่ง คือกระบวนทัศน์แบบกลไก ลดส่วน แยกส่วน ที่เดคาร์ตสร้างขึ้นเป็นระบบคิดแบบวิเคราะห์ (Analytical Thinking) คือการแตกปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนให้เป็นส่วน ๆ แล้วศึกษาคุณสมบัติของส่วนประกอบนั้น เพื่อเข้าใจใน พฤติกรรมของทั้งหมด การเชื่อมโยงสัมพันธ์เกิดขึ้นภายหลัง ดังนั้นในขณะที่นักคิดเชิงระบบเห็นว่า "องค์รวมเป็นมากกว่าผลรวมขององค์ประกอบของมัน" ("The whole is more than the sum of its parts") ระบบคิดแบบกลไกจะคิดว่า "องค์รวมไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากผลรวมขององค์ประกอบของมัน"
ในทัศนะของคาปร้า การคิดเชิงระบบ หมายถึงการเปลี่ยนย้ายมุมมองจากองค์ประกอบสู่องค์รวม และสิ่งที่องค์รวม มีมากกว่าคือ "สัมพันธภาพ" การคิดเชิงระบบจึงเป็นการคิดในมุมมองของสัมพันธภาพ เป็นการย้ายจุดเน้น (Focus) จากตัววัตถุมาอยู่ที่สัมพันธภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชั่งตวงวัดไม่ได้ แต่จะศึกษาและทำความเข้าใจได้โดยการทำแผนที่ (Mapping) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ
คาปร้าเห็นว่าการปรากฏซ้ำ ๆ ของสัมพันธภาพ นำไปสู่"แบบแผน"(Pattern ) ดังนั้น การคิดเชิงระบบ จึงเป็น การเปลี่ยนมุมมองจากตัวเนื้อหา (Contents) มาสู่การมองแบบแผน คือให้ความสำคัญแก่ระบบคิด วิธีการคิด มากกว่าเนื้อหา และกฎนิเวศทำให้เห็นว่า แบบแผนทั้งหมดสัมพันธ์อยู่กับบริบท สิ่งแวดล้อม หรือระบบที่ใหญ่กว่า เขาจึงเรียกการคิดเชิงระบบว่าเป็น "การคิดเชิงบริบท" (Contextual Thinking) และเป็นการคิดเชิงกระบวนการ (Process Thinking) ด้วย เพราะในตัวระบบ บริบทมีการเคลื่อนไหว เลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลานั่นเอง อีกทั้งเห็นว่า การคิดเชิงระบบ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายดำรงอยู่เป็นระบบ การคิดของมนุษย์จึงต้องเป็นระบบด้วย คือ คิดแบบเชื่อมโยงกันและกัน มีสัมพันธภาพและบริบท (Interconnections Relationships and Context ) และถึงแม้ว่าโดยข้อเท็จจริง ความเชื่อมโยงกันหรือสัมพันธภาพของสรรพสิ่งจะมิได้เท่ากันหมด มีระดับแตกต่างกัน แต่มนุษย์ไม่สามารถแยกส่วนความคิด เลือกเฉพาะที่สำคัญมากสำหรับตนเอง แล้วทิ้งส่วนไม่สำคัญหรือสำคัญน้อย เพราะเท่ากับละเลยกฎความจริงของระบบชีวิต
จากความคิดหลักในทฤษฎีข่ายใยชีวิต คาปร้าเชื่อว่า การคิดเชิงระบบของมนุษย์ มิใช่เป็นเพียง"ความคิด"ล้วน ๆ แต่รวมค่านิยม (Values) ไว้ด้วย ดังนั้น ระบบคิด จะประกอบด้วย ความคิดและค่านิยม ตามแบบกระบวนทัศน์แต่ละแบบ ที่แสดงเปรียบเทียบได้ดังนี้ ระบบคิด-วิธีคิดของกระบวนทัศน์ 2 แบบ
คาปร้าเห็นว่า ในทุกระบบชีวิต มีระบบคิดทั้ง 2 แบบ ทำหน้าที่แตกต่างกันเพื่อรักษาสัมพันธภาพภายในและภายนอกระบบให้สมดุล จึงไม่มีอันหนึ่งดีกว่าหรือเลวกว่าอีกอันหนึ่ง ในระบบชีวิตที่มนุษย์เกี่ยวข้องด้วย ปัญหาเกิดจากความไม่สมดุลในระบบคิด ซึ่งเสียดุลไปทาง ระบบคิดแบบเดี่ยว ตาม กระบวนทัศน์แบบกลไก โดยละทิ้งระบบคิดแบบบูรณาการตามกระบวนทัศน์นิเวศ
คาปร้าเห็นว่าการคิดแบบเดี่ยวไปในทางแข่งขัน แผ่ขยาย ครอบครอง เป็นระบบคิดที่มักเชื่อมโยงกับเพศชาย ดังนั้นในสังคมชายเป็นใหญ่จึงมีแนวโน้มการคิดแบบเดี่ยวมาก โดยเฉพาะเมื่อรวมกับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และอำนาจด้วย ทำให้การเปลี่ยนสู่สมดุลของระบบคิด 2 แบบ จึงเกิดขึ้นยาก โดยเฉพาะ "อำนาจ" ในความหมาย ของการครอบงำ สั่งการนั้น มักไม่เปิดโอกาสให้แก่ระบบคิดแบบบูรณาการ เพศหญิงซึ่งมีระบบคิดแบบนี้มากกว่า จึงมีโอกาสเปลี่ยนดุลของระบบคิดได้ยาก อย่างไรก็ตามคาปร้าเชื่อว่า การสร้างอำนาจขึ้นใหม่ด้วยระบบ"เครือข่าย" จะเป็นหนทางสำคัญของการปรับสมดุลของระบบคิดทั้ง 2 แบบได้
· Tab 3
ทฤษฎีข่ายใยชีวิต และการศึกษาทางสังคมศาสตร์
คาปร้าเชื่อว่าทฤษฎีข่ายใยชีวิตที่เขาสังเคราะห์ขึ้น จากโลกทัศน์ ปรัชญา และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก และหลายทฤษฎี ได้ผ่านการแลกเปลี่ยนถกเถียงกับเจ้าของแนวคิด-ทฤษฎีด้วย เป็นทฤษฎีที่จะเป็น กระบวนทัศน์ ใหม่ในการมองโลก สังคม มนุษย์ และสร้างระบบคิดแบบใหม่ที่มีขอบเขตการใช้ได้อย่างกว้างขวาง โดยไม่ติดอยู่กับศาสตร์ สาขา หรือเนื้อหา หรือระดับ(Level) ไม่ว่าระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคมใหญ่ ไปกระทั่งระบบนิเวศ เขาได้นำ ทฤษฎีระบบชีวิต หรือข่ายใยชีวิตนี้ ไปจัดการศึกษาที่เรียกว่า Ecoliteracy สร้างการศึกษาใหม่ที่ให้ ความคิดเชิงระบบ จากการเรียนรู้ระบบนิเวศ และนำกรอบความคิด ของทฤษฎีดังกล่าวไปวิเคราะห์ระบบชุมชน โดยการพิจารณาสัมพันธภาพ แบบแผน โครงสร้าง กระบวนการ วงจรป้อนกลับ การจัดการตนเอง ความหลากหลาย ฯลฯของระบบ ทำให้เห็นถึง ปัญหาการดำรงอยู่ของระบบชุมชน สาเหตุของวิกฤตการณ์ในระบบ รวมทั้งเห็นทางออกของ การจะไปสู่ วิวัฒนาการ หรือ พัฒนาการของระบบที่มีความยั่งยืน รวมทั้งได้เสนอ ทฤษฎีระบบชีวิต นี้วิเคราะห์การจัดการ ระบบเกษตรกรรม ที่มีความยั่งยืน สอดคล้องระหว่างระบบนิเวศ เกษตรกรรมและชุมชนด้วย
นอกจากนี้ คาปร้ายังได้นำทฤษฎีของเขาเข้าไปศึกษาร่วมกับกลุ่มนักธุรกิจในยุโรป เพื่อชี้ให้เห็นถึงวิฤตการณ์ของ ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อมจากกระบวนทัศน์และระบบคิดแบบเส้นตรง เป็นกลไก ลดส่วนแยกส่วนของธุรกิจกระแสหลัก ที่มักคิดจำกัด เพียงการผลิต การบริโภค การทิ้งฯลฯ ไปสู่การคิดใหม่อย่างมีสัมพันธภาพกับระบบอื่นด้วย และใช้ ทฤษฎีข่ายใยชีวิต ศึกษาการบริหารจัดการองค์กร ในฐานะของระบบชีวิต ที่มีระบบย่อยซ้อนอยู่ มากมายในระบบ หรือ บริบทอื่นที่ใหญ่กว่า องค์กรมิได้เป็นเครื่องจักร กลไก จึงไม่สามารถจัดการด้วยการคิดถึงแต่ปัญหาการเงิน การตลาด การวิจัยและพัฒนา (R&D) ฯลฯ รวมทั้งศึกษาการบริหารองค์กรและบุคคลจากความคิดหลักของทฤษฎีข่ายใยชีวิตด้วย นอกจากนี้ ยังมีผู้นำกระบวนทัศน์แบบ องค์รวมเข้าไปศึกษาการจัดการด้านการบัญชีอีกด้วย
ในทัศนะของคาปร้า การศึกษาปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งหลายในโลกปัจจุบัน ไม่สามารถเข้าใจได้โดยการแยกเดี่ยว (Isolation) เพราะเป็นปัญหาเชิงระบบ ที่มีทั้งส่วนที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกับส่วนอื่น (Interconnected) และส่วนที่พึ่งพาอาศัยกัน (Interdependent) เช่น เขาเห็นว่าปัญหาความมั่นคงของจำนวนประชากรโลกนั้น จะเป็นไปได้ต่อเมื่อความยากจน ถูกทำให้ลดลงทั่วโลกเท่านั้น และปัญหาการสูญพันธุ์ของพืชสัตว์จำนวนมหาศาลจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ตราบเท่าที่ ซีกโลกใต้ยังมีภาระหนี้สินจำนวนมหาศาล
คาปร้าเห็นว่าการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จะทำให้เราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ต่อความยากจน เมื่อพูดถึงมาตรฐานชีวิต (Living Standard) ในซีกโลกใต้ที่ยากจน จะเป็นการพูดถึงคุณภาพของชีวิต คุณภาพของน้ำ ของอากาศ คุณภาพความสัมพันธ์ ของบุคคลในชุมชน ฯลฯ ซึ่งการคิดใหม่ดังกล่าว จะนำไปสู่การจัดการที่เป็นรูปธรรมและมีขั้นตอนด้วย
และจากความคิดหลักในทฤษฎีข่ายใยชีวิต ทำให้คาปร้าเห็นว่า ขบวนการสังคม(Social Movements) เป็นองค์ประกอบ สำคัญ ของระบบชีวิตในระดับสังคม โดยเฉพาะขบวนการสังคมด้านนิเวศและสตรี โดยเฉพาะใน ส่วนของสตรี เนื่องจาก คาปร้าเห็นว่า ปัญหาสังคมทั้งหลาย มาจากวิกฤตการณ์ทางวัฒนธรรม ที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ (Patriachy) เป็นการเสีย สมดุลไป ทางฝ่าย"หยาง" ตามความเชื่อในลัทธิเต๋า ซึ่งแบ่งสภาวะธรรมเป็น 2 ขั้วตรงข้ามกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของ กันและกัน (องค์รวม) เขาจึงเห็นว่า บทบาทของสตรี ("หยิน") มีความสำคัญและ ความหมายมากต่อ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์และการแก้ไขวิกฤตการณ์ทั้งหลาย
· Tab 4
·
ข้อเด่นและข้อจำกัดทางทฤษฎี
ข้อเด่นของทฤษฎี :
(1) ทฤษฎีของคาปร้าเกิดขึ้นในทางตรงข้ามกับทฤษฎีสังคมศาสตร์จำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้น จากการที่นักสังคมศาสตร์ ไปนำแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาประยุกต์ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น จอห์น ล็อค นักปรัชญาการเมือง คนสำคัญ ได้พัฒนาทัศนะ แบบอะตอม ในทางสังคมในการวิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์ในฐานะปัจเจกชน ซึ่งได้กลายเป็น รากฐาน ของการพัฒนา ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ และการเมืองสมัยใหม่
นอกจากนี้มี การนำทฤษฎีระบบ (Systems Theory) ของ ลุดวิก ฟอน แบทาลันฟี (Ludwig Von Bertalanffy) นักชีววิทยา ผู้ริเริ่มเสนอทัศนะแบบองค์รวมในชีววิทยา และเสนอแนวคิดระบบเปิด(Open Systems)ในระบบชีวิต มาใช้ในสังคมศาสตร์ สาขาวิชาต่างๆ จำนวนมาก เช่น ทฤษฎีระบบในวิชารัฐศาสตร์ ของเดวิด อีสตัน ทฤษฎีระบบ ในการบริหารองค์การ ในทางสังคมสงเคราะห์เอง ทฤษฎีระบบได้มีการนำมาใช้เป็น ทฤษฎีหลักอันหนึ่งใน การปฏิบัติงาน สังคมสงเคราะห์ อย่างไรก็ตาม การนำมาใช้ของนักสังคมศาสตร์ มักเป็นการนำมาใช้ด้วยกระบวนทัศน์แบบกลไก ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช วิจารณ์ว่าเป็นการมองระบบแบบตัดขวาง-เป็นระบบที่ขาดมิติด้านเวลา ทฤษฎีวิวัฒนาการ ของดาร์วิน ก็ได้รับการนำมาใช้ทางสังคม (Social Darwinian) ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อใน เรื่องการแข่งขัน เพื่อความอยู่รอด การมีอำนาจเหนือเผ่าพันธุ์อื่น เป็นต้น
งานของคาปร้าเกิดขึ้นในทางตรงข้าม คือ เป็นงานของนักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาศึกษาและสร้างแนวคิด ทฤษฎีทาง สังคมศาสตร์ โดยอาศัยพื้นฐานความรู้ทางปรัชญาตะวันตก ตะวันออก และความรู้ในวิชาฟิสิกส์ ซึ่งถือเป็นฐาน ของ วิทยาศาสตร์สาขาอื่น รวมทั้งการศึกษาอย่างต่อเนื่องในวิทยาศาสตร์แขนงอื่นอย่างยาวนาน แล้วสังเคราะห์เป็นทฤษฎี ที่มีลักษณะข้ามสาขาวิชา (Transdisciplinary) เป็นทฤษฎีในระดับกระบวนทัศน์ ที่อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์, วัตถุ จิตวิญญาณ ชีวิต
นอกจากนี้ การที่คาปร้ามีความเข้าใจอย่างดียิ่งในปัญญาญาณตะวันออก มีผลให้ทฤษฎีข่ายใยชีวิตที่มาจาก ความรู้ทา งวิทยาศาสตร์ มีลักษณะเด่นคือมี"ชีวิต" (ดังที่เขาเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ชีวิต/Life Science) ถึงแม้คาปร้า จะเป็น นักฟิสิกส์ แต่ก็เห็น ข้อจำกัดของวิชาฟิสิกส์ แม้จะเป็นฟิสิกส์ใหม่ที่ไปพ้นแบบกลไก ลดส่วน แยกส่วนก็ตาม เพราะเขาก็ เห็นว่า ฟิสิกส์ใหม่ก็ยังคง เป็นฟิสิกส์ ที่เกี่ยวข้องอยู่กับปรากฏการณ์ทางวัตถุเป็นสำคัญ ไม่มีที่ว่างให้กับเรื่องของจิตใจ จิตวิญญาณ จิตสำนึก (Mind , Spirit ,Consciousness) ดังนั้น แม้ฟิสิกส์ใหม่จะสำคัญแต่ก็เป็นเพียงส่วนเดียว เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจใน องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต ที่อยู่ในในระบบชีวิตทั้งหมด แต่ความเข้าใจในเรื่องของชีวิต จิตวิญญาณมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจ"ระบบชีวิต"มากกว่า เขาเห็นว่าหากเข้าใจเรื่องชีวิตแล้ว ย่อมทำให้เข้าใจ องค์ประกอบทุกส่วนของระบบด้วย
(2) ทฤษฎีข่ายใยชีวิตหรือระบบชีวิต มีระดับการวิเคราะห์ที่ใช้ได้หลายระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ระบบนิเวศ ที่เป็น ระบบชีวิต ที่ใหญ่ที่สุดของโลก , ระบบใหญ่ของสังคมทั้งหมดและระบบย่อยในสังคม เช่น ระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา , ระบบชุมชน , ระบบครอบครัว , ระบบองค์กร , ระบบชีวิตของปัจเจกบุคคล ตามแนวคิดของคาปร้า ระบบที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นระบบเดียวกัน มีสัมพันธภาพต่อกันทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า ในการศึกษาไม่จำเป็นจะต้องศึกษาหมดทุกระดับ เนื่องจากในความเป็นจริงนั้น ระดับ สัมพันธภาพ ของแต่ละระบบชีวิตจะไม่เป็นแบบเดียวกัน และเท่ากันหมด ทฤษฎีนี้จึงเอื้อต่อการศึกษา ปรากฏการณ์ใน ระดับต่าง ๆ ได้ดี โดยที่ผู้ศึกษาสามารถจะขยาย หรือจำกัดระบบชีวิตที่ศึกษา อย่างตระหนักรู้ในองค์รวมของความสัมพันธ์ เช่นศึกษาระบบครอบครัว และระบบชุมชน โดยดูแบบแผน(Pattern)ของสัมพันธภาพ และคำหลักอื่นๆ ในทฤษฎี ข่ายใยชีวิต โดยไม่ละเลยต่อบริบท ที่ระบบทั้งสอง มีสัมพันธภาพอยู่
ข้อวิจารณ์และข้อจำกัด
แนวคิดและทฤษฎีของคาปร้า ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ในกระแสหลัก แม้ในกลุ่ม นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์เอง มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจในช่วงต้นเมื่อเขานำเสนอเต๋าแห่งฟิสิกส์ แม้ในงานช่วงต่อมา ก็เช่นกัน ส่วนมากเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากความเห็นต่างทางกระบวนทัศน์ และความไม่เข้าใจใน ญาณวิทยาตะวันออก ซึ่งมีลักษณะนามธรรมและเป็นประสบการณ์ของการเข้าถึงความจริง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ และประสบการณ์ทางจิต ซึ่งคาปร้าเห็นว่า ไม่สามารถเข้าใจได้จากการพูดเล่าประสบการณ์ หรือนำเสนอทางคำพูดใด ๆ ได้
ข้อวิจารณ์เหล่านี้ลดลงและมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อศาสนธรรมจากตะวันออก เช่นพุทธศาสนานิกายเซน เต๋า ทิเบต ฯลฯ ได้รับความสนใจและแผ่ขยายอย่างกว้างขวางทั้งในยุโรป อเมริกาในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา นอกจากนี้ หลายทฤษฎีที่เขาสังเคราะห์มาใช้ ยังเป็นทฤษฎีที่มีปัญหา และข้อถกเถียงอันไม่ยุติอยู่ ข้อจำกัดที่สำคัญ อีกประการ ที่ได้รับการกล่าวถึงมาก คือ คาปร้าให้น้ำหนักน้อยแก่ปัจจัยหรือตัวแปรด้านอำนาจ และปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามากระทบต่อ กระบวนทัศน์ในระบบชีวิตระดับต่าง ๆ เช่น โครงสร้างการเมือง ระบอบการปกครอง เศรษฐกิจ เทคโนโลยีฯลฯ เนื่องจากมุ่งน้ำหนัก ไปที่เรื่องของกระบวนทัศน์เป็นสำคัญ จนอาจทำให้ การประยุกต์ใช้เกิด จุดอ่อนขึ้นได้ว่า กระบวนทัศน์เป็นปัจจัยเดี่ยว ที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ ทั้ง ๆ ที่วิกฤตการณ์เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยกระบวนทัศน์เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนั้น กระบวนทัศน์แต่ละแบบ และการเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ก็มีปัจจัยและตัวแปรต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง กระทำให้เกิดกระบวนทัศน์แต่ละแบบขึ้น และทำให้กระบวนทัศน์เปลี่ยนย้ายด้วย การใช้ทฤษฎีข่ายใยชีวิตโดยละเลย ข้อจำกัดประการนี้ อาจทำให้การวิเคราะห์ปรากฏการณ์ วิกฤตการณ์ ถูกทำให้ง่ายเกินความจริง (Over Simplify) ว่าวิกฤตการณ์เกิดจากกระบวนทัศน์เท่านั้น และขาดการวิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวโยงกับกระบวนทัศน์
ปัจจุบัน คาปร้ากำลังขมักเขม้น กับการประยุกต์ทฤษฎีข่ายใยชีวิตไปศึกษาระบบโลกสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อให้เห็น รูปธรรมการ เคลื่อนตัวและเปลี่ยนแปลง ของวัฒนธรรมทั้งใหม่และเก่าที่กำลังเกิดขึ้น นับเป็นงานความคิดที่น่าติดตาม เป็นอย่างยิ่งอีกชิ้นหนึ่ง
การปรับปรุงตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
· Tab 1
การปรับปรุงตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
แนวทางในการปรับปรุงตนเองเพื่อให้เกิดความราบรื่นใรการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลทั่วไปนั้น ได้มีผู้ให้ทัศนะไว้หลากหลาย ดังจะได้นำเสนอให้เลือกพิจารณา ใช้เป็นแนวคิดดังต่อไปนี้
โรเบิร์ต คอลคลิน (Robert conclin) ได้เสนอความคิดในการปรับปรุงตนเองไว้ดังนี้ (“พลวัต” 2531:1)
1. ให้สิ่งที่คนอื่นอยากได้
2. เปลี่ยนแปลงตัวคุณเองก่อน
3. สร้างความประทับใจกับความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์
4. จูงใจคนให้เป็น
5. จงขจัดความขัดแย้ง และความบาดหมางออกจากสัมพันธภาพ
6. สร้างความอดกลั้นและความพยายามเข้าใจผู้อื่น
7. รู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี
8. จงมองผู้อื่นให้ถูกต้อง มองปัญหาให้ถูกจุด
วิจิต อาวะกุล (วิจิตร อาวะกุล 2526 : 64-65) ได้กล่าวถึงการปรับปรุงตนเองเพื่อ มนุษยสัมพันธ์ไว้ดังต่อไปนี้
1. ท่านต้องมีความรู้สึก อยากคบหาสมาคมเป็นมิตรกับคน ถ้ายังไม่มีต้องสร้างสิ่งนี้ให้
เกิดขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายพูดคุยกับผู้อื่นเสียบ้าง
2. หัดมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยที่เขาไม่ต้องขอร้อง เช่น ช่วยถือของ
รับโทรศัพท์ให้เพื่อนด้วยความเห็นใจ อย่าเป็นคนใจดำ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
3. ไม่ตระหนี่ แบ่งปันของให้กับเพื่อนแม้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ
4. มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน หรืองานที่ทำร่วมกันกับเพื่อนให้ได้ดี
5. เลิกเป็นคนแข็งกระด้าง เพื่อความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกิดความประทับใจ และชอบ
พอของคนทั่วไป
6. มีความเกรงใจผู้อื่น ไม่ล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น เอาเปรียบเพื่อนเอาแต่ได้ มิได้นึกถึงผู้อื่น
หยาบคาย ไร้มารยาท
7. หัดเป็นคนให้ความร่วมมือ ในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เฉพาะประโยชน์
ส่วนตัวจึงจะทำ
8. ต้องไม่เลือกคบเลือกพูดกับคนบางคนเท่านั้น แต่ควรจะทักทายพูดคุย กับคนทั่วไป
9. หลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ไม่จำเป็น ถ้าเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นก็ควรปลีกตัวหนีไปเสีย
จะดีกว่า
10. หัดเป็นคนคิดก่อนพูด ก่อนการกระทำเสมอ
11. หัดตรงต่อเวลาในการนัดหมาย ท่านเคยผิดนัดกับใครบ้างหรือไม่ สายเป็นประจำจน
คนอื่นรำคาญหรือเปล่า
12. มีความจริงใจ มีความสัตย์จริงต่อเพื่อน และมิตรสหาย อย่าเป็นคนไม่น่าไว้ใจหรือไว้
ใจไม่ได้
13. ไม่รับของเพื่อฝ่ายเดียว ท่านต้องให้ตอบแทนเขาบ้างเมื่อท่านมีโอกาส และท่านต้องไม่
เอาเปรียบเพื่อน คอยแต่กอบโกยผลประโยชน์จากเพื่อน
14. ไม่พูดจาหยาบคาย กระด้าง ห้วย กระโชก แต่ต้องพูดสุภาพ หัดพูดมีหางเสียงเสียบ้าง
กิริยาควรสุภาพเรียบร้อย
15. เป็นผู้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการงานส่วนรวมของที่ทำงานอยู่เสมอ
16. ไม่นินทาผู้อื่น ให้ร้ายป้ายสีผู้อื่นลับหลังแต่ต่อหน้าทำดี
17. อย่าเป็นคนโหดร้าย ทารุน แต่ควรมีความกรุณาปราณี
วิทยา เทพยา (วิทยา เทพยา 2521 : 17) ได้เสนอแนวทางการปรับปรุงตนเองในด้านทั่วไป ด้านเจตคตินิสัยในการทำงาน และมารยาทในสำนักงานไว้ดังนี้
· Tab 2
การปรับปรุงตนเองทั่ว ๆ ไป
1. ต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี
2. ต้องเป็นผู้แต่งกายเรียบร้อย เหมาะสม และสวยงาม
3. ต้องรักษาความสะอาดของร่างกาย และเครื่องแต่งกาย
4. การปรากฏตน และการวางตนให้เหมาะสม
5. การพูดจาและน้ำเสียง
6. มีความซื่อสัตว์ และภักดี
7. ความขยันหมั่นเพียร และไว้วางใจได้
8. เป็นผู้สุภาพอ่อนน้อม และมีไหวพริบ
9. การรู้จักเคารพยำเกรงผู้ที่ควรเคารพ รับฟังการติชม คำวิพากษ์วิจารณ์ และคำแนะนำจากผู้อื่น
10. ให้ความร่วมมือกับผู้อื่น
11. มีความร่วมมือกระตือรือร้น และมานะในทางดี
12. สามารถที่จะสมาคมกับบุคคลทุกประเภท
13. มีความไว้วางใจ
เจตคติอันพึงประสงค์
1. ยิ้มแย้มแจ่มใส และมีอัธยาศัยไม่ตรีที่ดี
2. ให้ความร่วมมือและไว้วางใจได้
3. มีความคิดริเริ่ม และรู้จักรับผิดชอบ
4. ทำงานได้ดีเกินคาด
5. รักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีในการปฏิบัติงาน
6. ความภักดีต่องานและต่อนายจ้าง
7. ความซื่อสัตย์
8. ความเข้าใจในแง่คิดของผู้อื่น เช่นผู้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงาน
9. การรู้จักฟัง
นิสัยในการทำงานอันพึงประสงค์
1. มาทำงานทันเวลา
2. ความเป็นระเบียบ และความเรียบร้อย และระมัดระวังเครื่องมือเครื่องใช้
3. ความแม่นยำ
4. ตรวจก่อนจะให้ผ่านไป
5. ทำงานให้เสร็จทันกำหนด
6. ทำงานที่ควรทำก่อน ต้องทำก่อน
7. ประหยดเวลาและวัสดุ
8. รายงาน และแก้ไขข้อผิดพลาด แทนที่จะปิดบังอำพราง
9. ถาม และตอบอย่างชัดเจน
· Tab 3
วิธีศึกษาเพื่อให้เข้าใจผู้อื่น
การศึกษาผู้อื่นให้เกิดความพอใจ เป็นวิธีการของวิชามนุษย์สัมพันธ์ที่สำคัญประการหนึ่ง เราอาจศึกษาผู้อื่นได้จาก ภาษาพูด และท่าทาง โดยยึดหลักดังนี้
1. พิจารณาจากใบหน้า เช่น ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หน้าบึ้ง หน้าแดง
2. พิจารณาจากสายตา เช่น ถ้ามองคนในระดับสายตา ถือว่าปกติ มองในระดับต่ำกว่า
สายตา จ้องตา หลบตา ถือว่ามีความในใจผิดปกติ
3. พิจารณาจากบุคลิก เช่น มือสั่น หายใจแรง ผุดลุกผุดนั่ง หรือสงบ เคร่งขรึม เย็นชา การ
พูดด้วยเสียงปกติ หรือรีบร้อน
4. พิจารณาจากเจตนา เช่น พฤติกรรมบางอย่าง ปิดประตูเสียงดังเพราะโกรธหรือไม่ตั้งใจ
พูดเสียงแข็ง เยาะเย้ยหรือล้อเล่น มาทำงานสายเพราะเบื่อหน่าย มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือเพราะไม่สบาย
วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่น เพื่อเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์
การปฏิบัติต่อผู้อื่นเพื่อเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์นั้น ควรปฏิบัติด้วยความเข้าใจ ในลักษณะ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” และต้องศึกษาเพื่อทำควาวเข้าใจถึงธรรมชาติของความแตกต่าง ระหว่างบุคคล โรเบอร์ต เฮช. ลอสัน (Robert H> Lorson) ได้แบ่งมนุษย์ออกเป็น 5 ประเภท และได้เสนอแนะวิธีปฏิบัติกับบุคคลแต่ละประเภท ไว้ดังนี้
1. พวกดื้อรั้น เป็นพวกที่ชอบคัดค้าน ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง และจะแสดงความไม่พอใจเมื่อให้ปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
วิธีปฏิบัติ - ใช้คำสั่งเชิงขอร้องก่อนที่จะใช้อำนาจสั่งให้ปฏิบัติ
- ไม่ควรพยายามชี้ให้เขายอมรับความผิด แต่ควรชี้ให้เห็นผลประโยชน์
ของ
ส่วนร่วม และความยุติธรรม
- เมื่อเขาให้ความร่วมมือในเรื่องใดเรื่องหนึ่งควรถือโอกาสชมเชยทันที
- พยายามให้กำลังใจช่วยให้เขาแสดงความสามารถเชิงปฏิบัติออกมา
2. พวกเฉื่อยชา เป็นพวกที่คิดแล้วคิดอีก และเสียเวลานานกว่าจะตัดสินใจทำอะไร
วิธีปฏิบัติ - เวลาออกคำสั่ง ควรพูดช้า ๆ ให้คำง่าย ๆ และชัดเจน อาจต้องทวนคำสั่ง
ด้วยและให้เวลาในการปฏิบัตินานพอสมควร
- ต้องทำให้เขารู้สึกว่ามีความสำคัญ และได้รับความเห็นใจ
- ให้คำชมเชยยกย่องการปฏิบัติของเขาโดยเร็วเพื่อให้กำลังใจ
- แสดงท่าทีเป็นมิตร และชี้ข้อบกพร่องอย่างตรงไปตรงมา และให้เวลา
พอสมควรในการปรับปรุงแก้ไข
- อธิบายเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้ชัดเจน และให้เขาได้ซัก
ถามจนเข้าใจแจ่มแจ้ง และพอใจ
3. อารมณ์อ่อนไหว เป็นประเภทที่เห็นเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ถูกกระทบไม่ได้โมโหง่ายและไม่พอใจเมื่อถูกสั่งให้ทำ
วิธีปฏิบัติ - เอาใจใส่เขาในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ความเห็นอกเห็นใจ และให้เขาได้ระบายความในใจ
- ให้คำชม หรือ คำเยินยอให้มากแล้ว จะได้รับความร่วมมือที่ดี รวมทั้งพยายามส่งเสริมจุดเด่น ชี้แจงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงให้เขาหายสงสัย
4. พวกขลาดกลัว เป็นพวกขี้อาย ไม่ค่อยมีความคิดริเริ่ม ไม่ค่อยกล้าซักถาม และเมื่อไม่พอใจก็ไม่แสดงออก
วิธีปฏิบัติ - อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน และทวนคำสั่งเสมอ
- คอยสังเกตความผิดปกติเพื่อให้รู้ว่าไม่พอใจสิ่งใด และให้โอกาสเปิดเผยความในใจ
- รีบชมเชย ยกย่อง เมื่อเขาแสดงความคิดริเริ่มที่เป็นประโยชน์
- พยายามไม่เอ่ยถึงข้อบกพร่องและความผิดพลาด แต่ควรพูดจาให้เขารู้สึกสบายใจ และชี้แจงถึงการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
5. พวกกล้าแสดงออก (กล้าแข็ง) เป็นพวกที่กล้าพูด กล้าโต้เถียง ถือความคิดตนเองเป็นครั้งคราวอาจขาดความรอบคอบในการทำงานต้องตรวจสอบอยู่เสมอ
วิธีปฏิบัติ - ใช้การขอร้องแทนการออกคำสั่ง และแสดงความเชื่อมั่นในตัวเขา แต่บางครั้งอาจขาดความรอบคอบในการทำงานต้องตรวจสอบอยู่เสมอ
- อาจต้องรับฟังเรื่องต่าง ๆ ที่เขาร้องเรียนบ่อย ๆ ควรใช้คำพูดเชิงเห็นใจ แต่อย่าชมเชยพร่ำเพรื่อ ยกเว้นงานที่เด่นจริง
- การชี้แจงเหตุผล และข้อเท็จจริงกันแบบตัวต่อตัวจะได้ผลดี เพราะเขาเป็นบุคคลประเภทไม่ค่อยยอมรับความจริง
- ใช้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงได้เพราะเป็นพวกที่ปรับตัวได้รวดเร็ว
· Tab 4
กลวิธีการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
การสร้างมนุษยสัมพันธ์ทำได้หลายวิธีและควรกระทำด้วยวิธีต่าง ๆ ทำไปพร้อม ๆ กันให้เหมาะสมกับสถานการณ์เวลาและบุคคล กลวิธีสร้างมนุษยสัมพันธ์ มีหลักการดังนี้
1. สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตนเอง
การสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตนเอง เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เกิดความคิดที่มุ่งมั่น ยินดี และเต็มใจที่จะสร้างแต่สิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้น ความรู้สึกที่ดี ๆ ของคนเรานั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เรามีแนวคิดที่ดี เช่น แนวคิดดังต่อไปนี้
- ถ้าทำให้คนอื่นได้รับความสุข เราก็จะมีความสุขด้วย
- จงเชื่อมั่นว่าท่านทำได้ แล้วท่านจะทำได้
- เตรียมพร้อมสำหรับวันข้างหน้าทำในสิ่งที่ถูก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
- ถ้าเราให้สิ่งทีดี ๆ กับคนอื่น เราก็จะได้รับสิ่งที่ดี ๆ เช่นกัน
2. ใช้เทคนิคการสนทนาเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
การสนทนา คือ การติดต่อสื่อสารความหมายกับบุคคลอื่น การสนทนาที่ดีจะทำให้ใช้ชีวิต
อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เทคนิคการสนทนาเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์มี 4 ประการ คือ
2.1 การสนทนาให้เกิดความอุ่นใจ (Rapport) แบ่งเป็น 3 ประการ คือ
1) ใช้ภาษาพูดและภาษาท่าทาง ได้แก่ การทักทาย หยอกล้อ จับแขน จับมือ แตะไหล่
2) ใช้คำพูดชมเชย เช่น ชมสิ่งของ เสื้อผ้า เครื่องประดับ บ้าน รถยนต์
3) ใช้คำพูดถามถึงครอบครัว เช่น ถามทุกข์สุข ลูกหลาน พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
การสนทนาให้เกิดความอบอุ่นใจ ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น ที่สำคัญจะต้องใช้สายตาที่แสดงถึงความสนใจและจริงใจประกอบไปด้วยเสมอ
2.2 การใช้คำถาม (Asking skill)
การใช้คำถามเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาเพื่อเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ หลักการใช้
คำถาม มีดังนี้
1) ถามถึงความสามารถที่เป็นจุดเด่น หรือความสำเร็จของเขา เช่น เรื่องการเล่นกีฬา การประกอบอาชีพ
2) ถามถึงเรื่องที่น่าสนใจ กำลังเป็นข่าวอยู่ในเวลานั้น เช่น ข่าวการขึ้นการฉลองปีใหม่ ข่าวการเมือง
3) ถามทุกสุขเพื่อให้เขาได้ระบายหรือเล่าเรื่องต่าง ๆ คำถามในข้อนี้ ใช้สำหรับคนที่สนิทสนมกันจริง ๆ เท่านั้น
2.3 การฟัง (Listening Skill)
หลักการฟังที่ดีมีดังนี้
1) เงียบ เพื่อให้ผู้พูดได้พูดเต็มที่
2) ผงกศรีษะ เพื่อให้รู้ว่าเราสนใจ และตั้งใจฟัง
3) เปล่งเสียงรับ เช่น ฮือ, หือ, อ๋อ, อ้อ
4) ตอบรับ เช่น ใช่… ค่ะ, ครับ, ต่อไป
5) แสดงสีหน้าท่าทางประกอบ เช่น หัวเราะ ยิ้ม ทำหน้าเศร้าแสดงแววตาฉงนสนเท่ห์
2.4 การทวนคำพูด (Restatement)
การทวนคำพูดเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในการสนทนา ช่วยให้ผู้พูดรู้ว่าเราสนใจฟัง
เรื่องที่เขาพูดมาโดยตลอด หลักการทวนคำพูด มีดังนี้
1) ทวนคำพูดทุกคำ แต่เปลี่ยนสรรพนาม เช่น เขาพูดว่า “ผมอยากไปพักผ่อนสัก
ระยะ” จะทวนว่า “คุณอยากไปพักผ่อนสักระยะใช่ไหม
2) ทวนคำพูดท้ายประโยค เช่น เขาพูดว่า “ผมกลุ้มใจเรื่องเพื่อนในที่ทำงาน” จะทวน
ว่า “เพื่อนในที่ทำงาน” หรือ “เพื่อนเหรอ”
การทวนคำพูดทั้ง 2 แบบ จะต้องรู้จักเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสม อย่าใช้พร่ำเพรื่อ เพราะจะทำให้ถูกมองว่าเป็นคนพูดซ้ำ พูดตาม หรือ ล้อเลียนผู้อื่น
3. ใช้หลักการสนทนาเพื่อช่วยเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์
การสนทนา ที่ทำให้คู่สนทนาเกิดความรู้สึกที่ดี สบายใจ สนุกสนาน และพอใจที่จะสนทนากับเรา ควรยึดหลักดังต่อไปนี้
1.1 แสดงสีหน้าท่าทาง การยิ้ม การทักทาย เพื่อสื่อความหมายว่าเป็นมิตร
1.2 ให้ความสนใจกับเรื่องที่กำลังสนทนาด้วยความจริงใจ
1.3 ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ขัดจังหวะ ไม่ขัดคอ และไม่ทำท่าทางเหมือนซุบซิบนินทา
1.4 แสดงความรู้ของตนเองบ้าง แต่ระวังอย่าให้กลายเป็นการอวดรู้ จะทำให้ผู้ฟังกระอัก
กระอ่วนใจ หรือความหมั่นไส้
1.5 ไม่ทำตัวเป็นคนเจ้าปัญหา ถามปัญหาสารพัน หรือถามแบบสอดรู้จนคู่สนทนเกิด
ความรำคาญ
1.6 ไม่ควรเจาะจงสนทนากับใครคนหนึ่ง แต่ควรสนทนากับทุก ๆ คนและพยายามให้การ
สนทนาลงรอยกันไม่ให้เกิดความเครียดหรือความขัดแย้งใด ๆ
4. ใช้ศิลปะในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
ศิลปะง่าย ๆ ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
4.1 มีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
4.2 มีความสดชื่นรื่นเริง
4.3 ไม่เห็นแก่ตัว
4.4 มีความเยือกเย็น
4.5 มีความสม่ำเสมอ
4.6 รับฟังผู้อื่น
4.7 ทำตัวง่าย ๆ ไม่เป็นกันเอง
4.8 เป็นคนเปิดเผย
4.9 มีความอดทน
4.10 สุภาพอ่อนโยน
4.11 มีความเมตตากรุณา
4.12 ทักทายผู้อื่นก่อน
4.13 จำชื่อผู้อื่นให้ได้มากที่สุด
4.14 ตอบรับเมื่อได้รับคำชม
4.15 มีอารมณ์ขัน
4.16 มีความจริงใจ
วิธีจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามความคิดของเรา
· Tab 1
วิธีจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามความคิดของเรา
1. อย่าโต้แย้ง หรือ โต้เถียง โดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม
o ถ้าไม่มีหน้าที่ อย่าไปพิสูจน์ว่าผู้อื่นผิด
o หลังการโต้เถียงต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่าตนถูกมากกว่าเดิม และจะรู้สึกเสียหน้าถ้าต้องเปลี่ยนความคิดเห็น
o คนโดยทั่วไปจะไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อเรื่องใดๆ ถ้าเขาต้องเชื่อเพราะถูกบังคับให้เชื่อในเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่แรก
o การโต้แย้ง เปลี่ยนใจมนุษย์ไม่ได้
o มิตรภาพ/ความรู้สึกที่ดี จะไม่มีวันเกิดขึ้นหลังการโต้เถียง
2. เคารพความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้าม อย่าบอกว่าเค้าผิด
o ถ้าต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากเขา อย่าบอกให้เขารู้ตัวล่วงหน้า เช่น
อย่าพูด “ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า สิ่งที่คุณพูดไม่ได้เรื่องหรือผิด” ควรพูด” เรื่องนี้ผมคิดอย่างนี้ ซึ่งอาจจะผิดก็ได้
o นักวิทยาศาสตร์ จะไม่พยายามพิสูจน์สิ่งใดๆ เพียงแต่หาข้อเท็จจริงมาเผยแพร่เท่านั้น
o ไม่มีมนุษย์คนใดชอบฟังความจริง ที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาด หรือ ความล้มเหลวของเขา
3. ถ้าทำผิด ให้รีบผิดทันที โดยไม่มีข้อโต้แย้ง+เตรียมใจ รีบตำหนิตัวเองอย่าแก้ตัว จะทำให้ลดแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามได้มาก
4. เริ่มต้นสนทนาด้วยมิตรไมตรีที่ดี
o ถ้าเขายังโกรธเราอยู่ ไม่ว่าเราจะพูดอะไร เขาจะไม่เชื่อ ไม่ฟัง
o แสดงให้เขาเห็นว่า เรามีเจตนาที่ดีต่อเขา ต้องการช่วยเขา ด้วยใจจริง
o ปรึกษาหารือกันว่า ทำไมเราจึงเห็นขัดแย้งกัน ประเด็นปัญหาคืออะไร
5. ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับ คำว่า ใช่ ,ถูก, ครับ ในทันทีที่เริ่มสนทนา
o เทคนิคของ Socrates
o เลือกเรื่องง่ายๆที่เป็นความจริงของเรื่องที่จะสนทนาที่จะพูดก่อน
6. พูดให้น้อย ฟังให้มาก
o ในบางกรณี การฟังจะได้ประโยชน์มากกว่า สร้างศัตรูได้น้อยกว่าการพูด
o ผู้ประสบความสําเร็จส่วนมากชอบระลึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนในอดีต
o ไม่มีใครอยากฟังเราโม้ถึงความสำเร็จของเรา ควรถ่อมตนจะดีกว่า
7. ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าความคิดที่เราเสนอ แท้ที่จริงเป็นความคิดของเขาแต่ลืมไป หรือ เป็นความคิดของเราแต่ให้เขาพิจารณาใคร่ครวญตัดสินใจเอง
o ไม่มีใครมีความสุขที่ต้องทำอะไรเพราะความคิดของคนอื่น ถูกสั่งให้ทำ
o คนทั่วไปชอบที่จะให้คนอื่นมาพูดกับเขาว่า เขาต้องการอะไร คิดอย่างไร
o พยายามพูดย้ำโดยไม่ตั้งใจ เพื่อให้สิ่งที่พูดฝังอยู่ในใจของเขา เผื่อที่เขาจะได้นำมันมาคิดแล้วคิดอีกแล้วตัดสินใจตามเรา
8. พยายามอย่างสุจริตใจที่จะมองสิ่งต่างๆในแง่คิดของเขา
o คนฉลาด อดทน มีคุณสมบัติพิเศษ มีความเป็นผู้นำ เท่านั้นจึงจะทำได้
o ลองถามตัวเองว่า ถ้าเราตกอยู่ในฐานะเดียวกับเขา เราจะรู้สึกอย่างไร และจะแก้ปัญหาต่างๆอย่างไร
o ผลสำเร็จอันงดงามในการติดต่อกับผู้อื่น อาศัยหลักการของความเข้าใจแง่คิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
o ลองถามตัวเองว่า ทำไมเขาจึงทำอย่างนั้น ทำเพื่ออะไร มีอะไรเป็นมูลเหตุจูงใจซ่อนอยู่ภายใน
9. เห็นใจในความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ขีดจำกัด ของเขา
o แผ่เมตตา ให้อภัย ไม่อาฆาต
o เห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
10. ขอร้องด้วยการพูดด้วยเหตุผลว่า สิ่งที่เราเสนอดีกว่าของเขา แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขาเสนอไม่ดี
o ถ้าเราไม่มั่นใจว่า เขาเป็นคนอย่างไร ต้องสันนิฐานไว้ก่อนว่า เขาเป็นคนมีเกียรติ์ ซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติต่อเขาด้วยดี
o ทุกคนตีราคาคุณค่าของตัวเขาเองทุกคน
o ปล่อยให้เขาคิดและเปรียบเทียบ ตัดสินใจดำเนินการเลือกเอง
o คนแต่ละคนมีนิสัยต่างกัน ได้รับการอบรบสั่งสอน มีประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีวิธีการจัดการไม่เหมือนกัน
11. แสดงความคิดเห็นให้เป็นที่เร้าใจ มีพลัง และด้วยความกระตือรือร้น
o ใช้ถ้อยคำสุภาพ
o ยิ้มแย้มแจ่มใสขณะพูด
o ต้องเชื่อมั่นเต็มที่ว่า สิ่งที่เสนอนั้นสามารถปฏิบัติได้/ดีกว่าของเดิมจริง
12. หรือ ลองใช้วิธีการพูดท้าทายดูบ้าง เช่น
o สิ่งนี้เราเสนอนี้ คนที่เก่ง หรือ คนที่มีความสามารถเท่านั้นที่ทำได้ เราผู้เสนอมีเพียงความคิด แต่ไม่มีความสามารถ หรือ มีความชำนาญมากพอที่จะทำได้
o สิ่งที่จะทํานี้ไม่ง่าย แต่จากสิ่งที่ผ่านมาผมคิดว่าไม่เกินความสามารถของทุกคน
o สิ่งนี้คุณทำได้อยู่แล้ว ถ้าอยากจะทำ
o ผมไม่ตำหนิคุณหรอกที่คุณรู้สึกกลัว เพราะสิ่งนี้มันยาก ต้องใช้ความสามารถและความอดทนมาก คนเก่งๆเท่านั้นที่จะทําได้
Emotional
· Tab 1
อารมณ์ มาจากภาษาอังกฤษ “Emotion” มีความหมายว่าการเกิดการเคลื่อนไหว หรือภาวะที่ตื่นเต้นความโกรธ (anger) ความกลัว (fear) และความพึงพอใจ (pleasure) จำแนกอารมณ์โดยคำนึง สิ่งเร้าที่มาเป็นตัวกระตุ้น และรูปแบบการตอบสนองพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งเร้านั้น และส่วนมากมีความเชื่อว่า บุคคลมีอารมณ์พื้นฐานอยู่ ๓ ชนิด คือ ความโกรธ (anger) ความกลัว (fear) และความพึงพอใจ (pleasure) (Carlson, ๑๙๙๓ : ๔๐๐) ส่วนอารมณ์ อื่น ๆ เป็นผลที่เกิดจากอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งหรือมากกว่าของอารมณ์ทั้งสามนี้
· การจัดการอารมณ์ วิธีควบคุมอารมณ์ การควบคุมอารมณ์
· วิธีพิชิตความโกรธโดยวิธีแห่งมหายาน
· ไม่กล้าก็ไม่ก้าว... ไม่ก้าวก็ไม่เดิน...
อารมณ์ (Emotion)
· Tab 1
ธรรมชาติของอารมณ์
ในแต่ละวันบุคคลจะมีอารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย อาจจะเป็นความพึงพอใจ ความโกรธ ความร่าเริง ความเจ็บปวด ความผิดหวัง เพราะตลอดเวลาที่บุคคลอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง บุคคลจะอยู่ภายใต้สิ่งเร้า (stimulus) และประสบการณ์ (experience) ที่เขามีอยู่ทำให้อารมณ์แปรเปลี่ยนไปมา ซึ่งอารมณ์ในลักษณะดังกล่าวนี้จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล ดังจะเห็นได้จากกรณีที่คุณพ่อคนหนึ่งกำลังคอยลูกสาวอายุ ๑๕ ปีกลับบ้านเนื่องจากไปงานที่สโมสร ระหว่างนั่งคอยจะเกิดความเป็นห่วง ความกลัวเกิดอันตราย พอได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงรีบไปรับ เสียงลูกสาวบอกว่า ประมาณ ๒๐.๐๐ น. จะกลับมาถึงบ้าน พ่อจะรู้สึกสบายใจคลายความห่วงใย แต่เวลาเกือบ ๒๔.๐๐ น. แล้วลูกสาวก็ยังไม่กลับ พ่อรู้สึกหงุดหงิด โกรธ พอได้ยินเสียงกริ่งดังจึงรีบไปเปิดประตู เห็นลูกสาวกลับมาอารมณ์จะเปลี่ยนไปเป็นดีใจ ความกลัวว่า จะเกิดอันตรายได้หายไป แต่อาจยังโกรธอยู่เพราะกลับดึกมากเกินไป และอาจนอนคิดโกรธตลอดคืนก็ได้
อารมณ์เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายใน เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ และเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจที่จะนำไปสู่พฤติกรรมนั้น อารมณ์และแรงจูงใจจึงเป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ แรกเริ่มที่มีอารมณ์เกิดขึ้น พฤติกรรมการจูงใจก็จะเกิดตาม ตัวอย่างเช่น เกิดความรู้สึกรักและพึงพอใจจะทำให้เกิดพฤติกรรมทางเพศตามมา ซึ่งอาจเป็นการอยากไปพบหน้าคนที่รัก อยากอยู่ใกล้ อยากพูดคุยด้วย หรืออีกกรณีขณะที่บุคคลมีความรู้สึกโกรธ พฤติกรรมทางการก้าวร้าว ก็จะตามมา อย่างไรก็ตามการเชื่อมโยงกันดังที่กล่าวคงไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะพฤติกรรมทางเพศสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีอารมณ์ และความก้าวร้าวก็จะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีความโกรธ ในทางกลับกันความรักอาจ เกิดขึ้นได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศ และความโกรธก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีความก้าวร้าว หรือบางครั้ง ก็มีอยู่บ่อย ๆ ที่อารมณ์และแรงจูงใจไม่เชื่อมไปด้วยกัน
โดยภาพรวมกล่าวได้ว่า อารมณ์และแรงจูงใจเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาอย่างเด่นชัด สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเป็นอิสระของกันและกัน แต่มีโอกาสที่จะมาเชื่อมโยงกันได้อย่างใกล้ชิดเสมอ อารมณ์สามารถที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ เหมือนเป็นผู้ที่จูงใจ สามารถที่จะกระตุ้น เมื่อพฤติกรรมการจูงใจมีอุปสรรค
อารมณ์ คืออะไร
อารมณ์ มาจากภาษาอังกฤษ “Emotion” มีความหมายว่าการเกิดการเคลื่อนไหว หรือภาวะที่ตื่นเต้น มันเป็นการยากที่จะบอกว่า อารมณ์คืออะไร แต่มีแนวคิดหนึ่งที่ให้ความเข้าใจได้ง่ายกล่าวไว้ว่า อารมณ์เป็นความรู้สึกภายในที่เร้าให้บุคคลกระทำหรือเปลี่ยนแปลงภายในตัวของเขาเอง ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นความรู้สึกที่พึงพอใจ ไม่พึงพอใจ หรือรวมกันทั้งสองกรณี อารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่คงที่มีการแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ดังจะเห็นได้จากกรณีที่พ่อกำลังคอยลูกสาวอายุ ๑๕ ปี ที่กล่าวข้างต้น
จากความหมายและธรรมชาติของอารมณ์ ทำให้นักจิตวิทยาทั้งหลายมีความเห็นว่าองค์ประกอบของอารมณ์จะแบ่งออกเป็น ๓ อย่าง (Baron, ๑๙๘๙ : ๓๐๔) ดังนี้
๑. สภาวะการรู้คิด (cognitive states) เป็นความรู้สึกของผู้ที่กระทำหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ของบุคคล อย่างเช่น เราเคยรู้สึกโกรธ ร่าเริง สะอิดสะเอียน เป็นต้น
๒. ปฏิกิริยาทางสรีระ (physiological reactions) เป็นการเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเรา เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นเมื่อรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจ
๓. การแสดงออกของพฤติกรรม (expressive bahaviors) เป็นสัญญาณการแสดงออกของสภาวะภายใน เช่น เกิดความพอใจก็จะแสดงการยิ้ม หรือเมื่อโกรธก็อาจกล่าววาจาต่อว่าออกมา หรือแสดงการกระทืบเท้า, ตบตี
องค์ประกอบทั้งสามอารมณ์ : สภาวะการรู้คิด ปฏิกิริยาทางสรีระ และการแสดงออกพฤติกรรม
การจำแนกอารมณ์
อารมณ์มีอยู่มากมายหลายชนิดซึ่งเราอาจเรียกมันว่าอะไรก็ตาม แต่ว่าอารมณ์เหล่านั้น ก็มีความเด่นชัดและเป็นอิสระ นักจิตวิทยาได้จำแนกอารมณ์โดยคำนึง สิ่งเร้าที่มาเป็นตัวกระตุ้น และรูปแบบการตอบสนองพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งเร้านั้น และส่วนมากมีความเชื่อว่า บุคคลมีอารมณ์พื้นฐานอยู่ ๓ ชนิด คือ ความโกรธ (anger) ความกลัว (fear) และความพึงพอใจ (pleasure) (Carlson, ๑๙๙๓ : ๔๐๐) ส่วนอารมณ์ อื่น ๆ เป็นผลที่เกิดจากอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งหรือมากกว่าของอารมณ์ทั้งสามนี้ ตัวอย่างเช่น
รังเกียจ เดือดดาล เครียดแค้น เป็นรูปแบบของอารมณ์โกรธ
การอิจฉาและความรู้สึกผิดจะอยู่บนพื้นฐานของความกลัว
ความรักและความสุขจะมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกพึงพอใจ
ความโศกเศร้าเป็นเสมือนการรวมกันของอารมณ์กลัวและอารมณ์โกรธ
ทุกคนเคยมีอารมณ์โกรธ กลัว และพึงพอใจมาแล้ว แต่ทั้งอารมณ์โกรธ กลัว และพึงพอใจ เกิดมาจากสาเหตุที่แยกออกได้แตกต่างกันซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เราจะจัดการหรือควบคุมมัน
ความโกรธ (anger) เป็นอารมณ์ที่ไม่พึงพอใจอย่างแท้จริง มักเกิดขึ้นเนื่องจากถูกขัดขวางไม่ให้ทำกิจกรรมที่ตนต้องการ ในบุคคลแต่ละวัย ความโกรธจะแตกต่างกันไป ในวัยเด็ก เรื่องที่ทำให้โกรธมักจะเป็นกิจกรรมที่เด็กกำลังทำอยู่ หรือการอยากรู้อยากเห็น และการแสดงออก ซึ่งความโกรธ ก็จะแสดงออกในรูปของการก้าวร้าวทางกาย หน้าตาบูดบึ้ง ทุบตีสิ่งของ ต่อยตี ถ้าเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ความโกรธจะเป็น เรื่องทางสังคมมากขึ้น และการแสดงอารมณ์โกรธจะออกมาในรูปวาจา พูดติติง นินทา พูดจาเสียดสี จะมีวัยรุ่นบางกลุ่มบางพวก ยังชอบใช้การก้าวร้าวทางกายอีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากได้เรียนรู้หรือได้รับการปลูกฝังในสังคมที่เขาเป็นอยู่
อย่างไรก็ตาม ความโกรธนับว่าเป็นอารมณ์ที่สำคัญยิ่ง เพราะมีพลังที่เชื่องโยงกับพฤติกรรมการจูงใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะพบได้เสมอ ในทุกสังคม เมื่อบุคคลมีความโกรธพฤติกรรมการจูงใจ ที่เกิดตามมาก็คือไม่อยากทำกิจกรรมต่าง ๆ
ความกลัว (fear) เป็นอารมณ์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกว่าเป็นอันตราย ซึ่งจะมีอยู่มากมายทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เด็กเล็ก ๆ จะกลัวเสียงดัง กลัวสิ่งแปลกประหลาด ถึงแม้จะเป็นเด็กโตก็ยังกลัว นอกจากนี้ยังกลัวความมืด กลัวคำขู่ กลัวถูกทอดทิ้งตามลำพัง ในเด็ก ตอนปลายเด็กจะกลัวคำเยาะเย้ยจากเพื่อน กลัวตัวเองจะไม่เท่าเทียมกับเพื่อน
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ จะเกิดความกลัวในทางสังคมมากขึ้น กลัวความผิดหวัง กลัวในความมีบทบาททางเพศ กลัวจะไม่ได้รับการยอมรับ พอเป็นผู้ใหญ่สูงอายุก็จะกลัว
ในเรื่องสังขารร่างกาย ตลอดจนความสำเร็จในการงาน
ความพึงพอใจ (pleasure) เป็นอารมณ์ของความรู้สึกที่มีความสุขที่ร่าเริงอย่างมาก เป็นความสำเร็จหรือความสุขสดชื่นเกิดขึ้น เมื่อบุคคลได้รับผลการตอบสนองตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการทางด้านร่างกายและด้านจิตใจ
· Tab 2
การแสดงออกทางอารมณ์
จากภาวะของอารมณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมาเป็นพฤติกรรม ก็คือภาพที่เกิดขึ้นกับบุคคลอันได้แก่ บุคลิกภาพของเขานั่นเอง ฉะนั้นถ้าบุคคลรู้และเข้าใจก็จะสามารถจัดการและควบคุมอารมณ์ได้เพื่อความเหมาะสมของบุคลิกภาพ
การแสดงออกทางอารมณ์จำแนกได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้
๑.การแสดงอารมณ์ทางใบหน้า การแสดงความรู้สึกทางใบหน้าจัดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแสดงออกถึง สภาวะทางอารมณ์ต่าง ๆ ในตัวเราและบุคคลอื่นที่สามารถสังเกตเห็นได้บ่อย ๆ นักสรีรวิทยาประมาณว่า ใบหน้าสามารถแสดงความรู้สึกได้แตกต่างกันถึง ๒๐,๐๐๐ แบบ และส่วนใหญ่จะเกิดจากการผสมกลมกลืนกันของสีหน้าที่เป็นพื้นฐานตั้งแต่ ๒ แบบขึ้นไป ตัวอย่างเช่น เมื่อนักศึกษาสอบได้เกรด F จากการตอบข้อสอบที่คิดว่าไม่ยุติธรรม ลองสังเกตใบหน้าตนเองจากกระจกเงา จะเห็นว่าดวงตา คิ้ว และหน้าผาก แสดงถึงอารมณ์โกรธ ในขณะที่ริมฝีปากแสดงออกถึงความเสียใจ
ทอมกินส์ (Tomkins , ๑๙๖๒) ได้เสนอทฤษฎีการแสดงออกทางใบหน้าคือการสะท้อนอารมณ์เป็นธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด และเป็นลักษณะการตอบสนองที่เป็นสากล ด้วยเหตุนี้ พอล เอ็กแมน (Paul Ekman , ๑๙๕๘) และคนอื่น ๆ ได้ศึกษาถึงอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้า พบว่ามีอารมณ์ ๖ ชนิดด้วยกัน ที่แสดงออกทางสีหน้าเป็นลักษณะสากลทั่วไป มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาจะแสดงความรู้สึกได้ตรงกัน คือ เมื่อเกิดอารมณ์กล้ามเนื้อแต่ละมัดบนใบหน้าจะมีการยึดหดคล้ายคลึงกัน เช่น เวลาเศร้ามุมปากจะโค้งลง เวลายิ้มมุมปากจะโค้งขึ้น เป็นต้น อารมณ์ ๖ ชนิด ที่สอดคล้องกับการแสดงออกทางใบหน้าของคนทั่วไปได้แก่ ประหลาดใจ รังเกียจ เศร้าเสียใจ โกรธ กลัว และเป็นสุข เอ็กแมน ยังได้ศึกษาต่อไปว่า การแสดงออกทางใบหน้าจากอารมณ์ทั้ง ๖ ชนิดนี้ ยังสอดคล้องกับปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายต่าง ๆ กัน ดังที่ เจมส์-แลง ได้อธิบายไว้ ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะตัดสินอารมณ์ของคนอื่น ๆ จากใบหน้าได้แม่นยำเพียงใด เนื่องจากมีอารมณ์หลายชนิดที่ซับซ้อนปะปนอยู่กับรายละเอียดบนใบหน้า แต่เราก็อาจตัดสินอารมณ์จากใบหน้าของเขาผู้นั้นได้อย่างคร่าว ๆ โดยเน้นใน ๓ มิติ คือ พอใจ – ไม่พอใจ , ยอมรับ – ปฏิเสธ และการเคลื่อนไหวร่างกายอื่น ๆ เช่น ยืนหรือนั่งตามสบายหรือเกร็ง โน้มตัวเข้าใกล้หรือถอยห่าง เป็นต้น
๒.การแสดงอารมณ์ก้าวร้าวและรุนแรง โดยทั่วไปเรามักจะมีการแสดงออกของอารมณ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น เช่น การยิ้มแย้ม การร้องไห้ ตะโกน การสวมกอดด้วยความรัก การจูบแก้มด้วยความเอ็นดู ฯลฯ แต่จะมีอารมณ์บางชนิด ซึ่งเมื่อแสดงออกมาแล้ว จะก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่นได้ นักจิตวิทย่ได้ให้ความสนใจกับ อารมณ์ประเภทนี้มากกว่า จะศึกษาว่าอะไรเป็นสาเหตุ ที่ทำให้บุคคลมีการแสดงออกทางอารมณ์ ในลักษณะของความก้าวร้าว และเป็นไปในทางทำลาย หรือในทางที่ไม่ดี ดังเช่นความคับข้องใจและความก้าวร้าว
ความคับข้องใจสามารถก่อให้เกิดการตอบสนอง หรือพฤติกรรมได้หลายรูปแบบ สมมติว่าเราหยอดเหรียญใส่ตู้โทรศัพท์ และเป็นเหรียญสุดท้าย ที่มีในกระเป๋า แต่โทรศัพท์ก็ยังเงียบเสียงไม่ปรากฏสัญญาณใด ๆ ซึ่งเป็นเวลา ที่เราต้องติดต่อให้ใครสักคนหนึ่ง มารับเราจากสถานที่แห่งนั้น สภาวะเช่นนี้จะก่อให้เกิดอาราณ์คับข้องใจอย่างรุนแรงจนไม่รู้จะหาทางระบายออกได้อย่างไร เราอาจหันไปแสดงพฤติกรรมด้วยการทำลายโทรศัพท์เครื่องนั้นแทน แต่ถ้าโทรศัพท์เครื่องนั้นตั้งอยู่บริเวณชุมชน เราไม่สามารถจะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวได้ ทางออกที่เราอาจเลือกกระทำได้ยังมีอยู่อีกเช่น ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ ให้ทราบว่าโทรศัพท์ขัดข้อง และ ขอยืมเหรียญจากคนอื่นที่เดินผ่านมา การที่บุคคลมีโอกาสเลือกทางออกได้ จะช่วยลดความรุนแรงของความ คับข้องใจได้ การระบายอารมณ์ก้าวร้าว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่นถ้าสถานการณ์ที่ทำให้คับข้องใจหรือโกรธเนื่องมาจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่าเราเราอาจจะระบายอารมณ์นั้นกับผู้อื่นแทน แต่ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสำรวม เราอาจจำเป็นต้องเก็บกดความโกรธเอาไว้แล้วคอยหาทางระบายออกตามสถานที่เหมาะสมต่อมา ในกรณีที่บุคคลไม่สามารถระบุได้ว่า อะไรคือต้นเหตุของความคับข้องใจบุคคลนั้นอาจหาทางระบายออกกับทุกสิ่งที่จะสามารถทำได้ ดังได้กล่าวมาแล้วจะส่อให้เห็นถึงที่มาหรือสาเหตุของความวุ่นวายในรูปของการจลาจล การก่อเหตุร้ายรุนแรงซึ่งมีสาเหตุเกิดมาจากบุคคลที่รู้สึกว่าถูกกดขี่อยู่ตลอดเวลานั่นเอง
· Tab 3
การควบคุมอารมณ์
การควบคุมอารมณ์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่จะประสบความสุขหรือความสำเร็จในชีวิต เพราะถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์แล้ว เมื่อมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ก็จะไม่สามารถปรับตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ บางคนอาจจะควบคุมอารมณ์ของตนเองด้วยการสกัดกั้นไว้ไม่แสดงออก วิธีนี้อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ การควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต บุคคลใดรู้จักควบคุมอารมณ์จะก่อให้เกิดผลดีดังนี้
๑. ทำให้เป็นคนมีบุคลิกภาพดี สามารถแสดงออกทางพฤติกรรมได้เหมาะสม
๒. ทำให้เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี การแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะจะช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นได้เหมาะสม
๓. ทำให้เป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี ผู้บริหารที่รู้จักวิธีการควบคุมอารมณ์จะช่วยให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความราบรื่น งานมีประสิทธิภาพ
๔. ทำให้เป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมกับวัย
๕. ทำให้เป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดี ผู้ที่รู้จักวิธีการควบคุมอารมณ์จะรู้จักหาวิธีการระบายออกของอารมณ์ได้เหมาะสม เช่น การอ่านหนังสือ การเล่นกีฬา การฟังเพลง ฯลฯ
วิธีการควบคุมอารมณ์ที่สำคัญ
๑. ฝึกการควบคุมตั้งแต่ในวัยเด็ก การฝึกให้เด็กรู้จักความมีเหตุมีผล จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาต่อไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่
๒. ฝึกการมีสติให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ การมีสติจะช่วยทำให้เกิดปัญญาในการค้นหาสาเหตุและการแก้ไขปัญหา
๓. การสร้างวินัยในการควบคุมอารมณ์ให้เกิดความเคยชิน เพื่อไม่ให้อารมณ์ที่มากระทบมีอิทธิพลเหนือตัวเรา อาจจะหาทางออกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เช่น การเล่นกีฬา การหางานอดิเรกทำ ฯลฯ ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อสุขภาพจิต
๔. อย่ากังวลกับสิ่งที่ทำผิดพลาดไปแล้ว พยายามคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน รู้จักเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของตนไปตามสถานการณ์ จะทำให้สุขภาพจิตของตนดีขึ้น
๕. ฝึกการแสดงออกของอารมณ์ให้เหมาะสมกับสิ่งเร้า ซึ่งเราจะต้องคิดไตร่ตรองให้รอบครอบ มีเหตุผลต่อสิ่งที่มาเร้าอารมณ์
๖. สำรวจประสบการณ์การแสดงออกของอารมณ์ตนเองว่ามีผลดี ผลเสียอย่างไร แล้วนำผลมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
สรุป
๑. การจูงใจเป็นกระบวนการที่กระตุ้นและผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ การจูงใจจึงเป็นกระบวนการสำคัญ ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงออกและการดำเนินชีวิตของบุคคล
๒. กระบวนการของการจูงใจประกอบด้วย
ความต้องการ (need)
แรงขับ (drive)
การตอบสนอง (response)
เป้าหมาย (goal)
ซึ่งกระบวนการนี้จะเริ่มจากการที่บุคคลถูกเร้าให้เกิด ความต้องการ อันเป็นตัวผลักดัน ให้เกิด แรงขับ ที่จะแสดง การตอบสนอง ออกมาเป็นพฤติกรรมไปสู่ เป้าหมาย ที่กำหนดไว้
๓. ความต้องการของบุคคลซี่งเป็นองค์ประกอบเบื้องต้นของกระบวนการจูงใจนี้สามารถที่จะเร้าให้เกิดขึ้นได้ โดยการสร้างสิ่งเร้ามาเป็นเครื่องล่อ ( incentive ) ให้คนเราเกิดความต้องการที่จะแสดงพฤติกรรมไปตามเครื่องล่อที่นำมาเร้านั้น
๔. การจูงใจมีหลายประเภท โดยสามารถจัดแบ่งได้หลายลักษณะ ได้แก่ แบ่งประเภทตามความต้องการ แบ่งประเภทตามสิ่งเร้า และแบ่งประเภทตามแรงขับ กล่าวคือ
แบ่งประเภทตามความต้องการ จะแบ่งเป็น ตามความต้องการทางร่างกายความต้องการทางสังคม และความต้องการทางจิตใจ
แบ่งประเภทตามสิ่งเร้า จะแบ่งเป็น การจูงใจจากสิ่งเร้าภายใน และการจูงใจจาก สิ่งเร้าภายนอก
แบ่งประเภทตามแรงขับ จะแบ่งเป็น การจูงใจอันเนื่องมาจากแรงขับภายใน ร่างกาย และการจูงใจอันเนื่องมาจากแรงขับภายนอกร่างกาย
๕. การจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ได้แก่ การจูงใจอันเนื่องมาจากความหิวความกระหาย การจูงใจอันเนื่องมาจากความต้องการทางเพศ และการจูงใจอันเนื่องมาจากที่จะหลีกหนีความเจ็บปวด ซึ่งการจูงใจพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ โดยจะเป็นกระบวนการที่ ทำให้ร่างกายของมนุษย์มีการปรับตัวให้ร่างกายเกิด สภาวะความสมดุลย์ (Homeostasis) ทั้งนี้สภาวะความสมดุลย์ จะสร้างให้บุคคล สามารถดำรงชีวิต ให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมได้อย่างปกติสุขตามความปรารถนาของคนนั้น ๆ
๖. กระบวนการ ทฤษฎีต่าง ๆ และผลงานวิจัย ที่เกี่ยวกับการจูงใจ ได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อกระตุ้นพฤติกรรม ของบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ
๗. อารมณ์เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากความรู้สึกภายใน เป็นการจูงใจที่เร้าให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา อารมณ์กับการจูงใจ จึงมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน อย่างใกล้ชิด อารมณ์เป็นสิ่งไม่คงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
๘. องค์ประกอบของอารมณ์มี ๓ ประการ ได้แก่
สภาวะความรู้สึก เป็นสิ่งเร้าภายในของผู้กระทำ หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เก็บสะสมไว้ในจิตใจของบุคคล
ปฎิกิริยาทางสรีระ เป็นการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระภายในร่างกายของบุคคล
การแสดงออกทางพฤติกรรมเป็นการแสดงผลให้ปรากฏออกมาทางร่างกาย
๙. อารมณ์พื้นฐานของมนุษย์สามารถจำแนกได้ ๓ ลักษณะ ได้แก่
ความโกรธ เป็นอารมณ์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจเนื่องจากถูก ขัดขวางความต้องการ
ความกลัว เป็นอารมณ์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกว่าเป็นอันตราย
ความพึงพอใจ เป็นอารมณ์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่มีความสุขเมื่อได้รับการตอบสนอง
๑๐. อารมณ์จะพัฒนาตามระดับวุฒิภาวะ ลักษณะการแสดงออกทางอารมณ์มี ๒ ลักษณะ ได้แก่ การแสดงออกทางใบหน้า และ การแสดงออกทางความก้าวร้าวและความรุนแรง
การแสดงออกทางใบหน้าที่เราสามารถจะตัดสินหรือคาดเดาถึงอารมณ์ได้อย่าง คร่าว ๆ มี ๓ มิติ คือ พอใจ – ไม่พอใจ, ยอมรับ – ปฏิเสธ และการเคลื่อนไหวทางร่างกาย
การแสดงออกทางความก้าวร้าวและความรุนแรง เป็นการแสดงอารมณ์ที่เมื่อบุคคลถูกขัดขวางการตอบสนองทางอารมณ์
๑๑. การรู้จักควบคุมอารมณ์ให้ตอบสนองได้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่ฝึกได้ และมีความจำเป็นต้องฝึกฝน เพื่อการดำเนินชีวิตและสุขภาพจิตที่ดี
การจัดการอารมณ์
· Tab 1
อารมณ์
อารมณ์เป็นพลังที่ทรงอำนาจอย่างหนึ่งของมนุษย์ อารมณ์อาจเป็นต้นเหตุของสงคราม อาชญากรรม ความขัดแย้งเรื่องเชื้อชาติ ละความขัดแย้ง อื่นๆ อีกหลายชนิดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ในทางตรงกันข้าม อารมณ์เป็นน้ำทิพย์ของชีวิต ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง สวยสดงดงามและน่าอภิรมย์ ความรัก ความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน ความพอใจ หรือความตลกขบขัน ล้วนแต่ทำให้ชีวิต มีคุณค่า และความหมายทั้งสิ้น
อารมณ์มีความสำคัญเช่นเดียวกับการจูงใจดังได้กล่าวแล้ว อารมณ์คืออะไร? อารมณ์คือ หลายสิ่งหลายอย่าง ในทัศนะหนึ่ง อารมณ์ คือ สภาวะของร่างกายซึ่งถูกยั่วยุ จนเกิดมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายๆ อย่าง เช่น ใจสั่น, ชีพจรเต้นเร็ว, การหายใจเร็วและแรงขึ้น, หน้าแดง เป็นต้น ในอีกทัศนะหนึ่ง อารมณ์ คือความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นเพียงบางส่วนจากสภาวะของร่างกายที่ถูกยั่วยุ อาจเป็นความรู้สึกพอใจ หรือไม่พอใจก็ได้ อารมณ์ยังเป็นสิ่งที่คนเราแสดงออกมาด้วยน้ำเสียง คำพูด สีหน้า หรือท่าทาง ประการสุดท้ายอารมณ์เป็นได้ทั้ง แรงจูงใจ หรือเป้าประสงค์ ถ้าเป็นอารมณ์ที่น่าพึงพอใจก็เป็นเป้าประสงค์เชิงนิยต (บวก) ถ้าไม่น่าพึงพอใจก็เป็นเป้าประสงค์เชิงนิเสธ (ลบ) ในแง่ของศัพท์บัญญัติ บางท่านใช้คำว่า “อาเวค” หรือ “ความสะเทือนใจ” แทน “อารมณ์”
แรงจูงใจและอารมณ์ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด บ่อยครั้งความโกรธเป็นผู้เร่งเร้าพฤติกรรมทางก้าวร้าว แม้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีความโกรธ อารมณ์สามารถกระตุ้น (activate) และชี้นำ (direct) พฤติกรรม ในทำนองเดียวกันกับ แรงจูงใจ ทางชีวภาพ หรือทางจิตใจ อารมณ์อาจเกิดร่วมกับพฤติกรรมที่ถูกจูงใจ ความรู้สึกทางเพศมิได้เป็นแต่เพียงแรงจูงใจ ที่ทรงอานุภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นตอของความพอใจอย่างยิ่งด้วย อารมณ์สามารถเป็นเป้าประสงค์ เราทำกิจกรรมบางอย่าง เพราะเรารู้ว่ามันจะนำ ความพึงพอใจมาให้
อารมณ์ หมายถึง การแสดงออกของภาวะจิตใจที่ได้รับการกระทบหรือกระตุ้นให้เกิดมีการแสดงออกต่อสิ่งที่มากระตุ้น อารมณ์สามารถจำแนกออกได้ 2 ประเภทใหญ่
1. อารมณ์สุข คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความสบายใจ หรือ ได้รับความสมหวัง
2. อารมณ์ทุกข์ คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความไม่สบายใจ หรือ ได้รับความไม่สมหวัง
อารมณ์พื้นฐานของคนเรา ได้แก่ โกรธ กลัว รังเกียจ แปลกใจ ดีใจ และเสียใจ ซึ่งเป็นอารมณ์พื้นฐานที่มีในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัมพันธ์กับ การทำงานของระบบลิมบิก (limbic system)ในสมองส่วนกลาง ในคนเรานั้นพบว่ายังมีการทำงานของสมองส่วนหน้าบริเวณ prefrontal มาเกี่ยวข้องด้วย โดยมีการเชื่อมโยงกับระบบ ลิมบิกที่ซับซ้อนจึงทำให้คนเรามีลักษณะ อารมณ์ความรู้สึก ที่หลายหลากมากกว่าในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
องค์ประกอบของอารมณ์
อารมณ์จะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1. องค์ประกอบด้านสรีระ (Physiological dimension) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางร่างกายที่จะต้องเกิดขึ้น ควบคู่กับ ปฏิกิริยาทางอารมณ์ เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกตามร่างกาย หรือ ใบหน้าร้อนผ่าว เป็นต้น อารมณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระได้มากที่สุดคือ อารมณ์กลัว และ อารมณ์โกรธ อารมณ์กลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมน แอดรีนาลีนจากต่อมแอดรีนัล (Adrenal gland) ส่วนอารมณ์โกรธ จะก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมน นอร์แอดรีนาลีน (Noradrenalin)
2. องค์ประกอบทางด้านการนึกคิด (Cognitive dimension) หมายถึง การมีปฏิกิริยาด้านจิตใจที่เกิดขึ้น ต่อสถานการณ์ ที่กำลังเป็นอยู่และเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา เช่น ชอบ -ไม่ชอบ หรือ ถูกใจ- ไม่ถูกใจ เป็นต้น
3. องค์ประกอบทางด้านการมีประสบการณ์ (Experiential dimension) หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายใน จิตใจของแต่ละ บุคคลซึ่งจะมีความแตกต่างกันไป
การตอบสนองทางอารมณ์ ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ปฏิกิริยาทางอารมณ์ เช่น การวิ่งหนีจากสิ่งที่เรากลัว
2. การตอบสนองทางระบบประสาทอิสระ เช่น หัวใจเต้นแรงขึ้นและเหงื่อออก บริเวณฝ่ามือเมื่อตกใจกลัว
3. พฤติกรรมที่แสดงออกมา เช่น การยิ้ม หน้านิ่วคิ้วขมวด
4. ความรู้สึก เช่น ความโกรธ ความปีติ ความเศร้าโศก
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นระหว่างที่อามรณ์รุนแรงเป็นผลจากการกระตุ้น ของระบบประสาทเสรี เพื่อเป็นการเตรียมพร้อม สำหรับภาวะฉุกเฉิน
ปัจจุบันเชื่อว่า ระบบประสาทส่วนกลางของการตอบสนองทางอารมณ์ ถูกควบคุมโดย และ ซึ่งประกอบด้วย และ อารมณ์ยังขึ้นอยู่กับสารส่งต่อ พลังประสาท ในสมองปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า “อาการซึมเศร้าเกี่ยวข้องกับระดับของ ที่ลดลง ยาที่ทำให้ระดับของ ลดลง จะทำให้เกิดอาการซึมเศร้า ส่วนยาต้านซึมเศร้า ทำให้ระดับของ สูงขึ้น
การแสดงออกทางอารมณ์
ก. การแสดงออกทางอารมณ์โดยกำเนิด การแสดงอารมณ์พื้นฐานเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่กำเนิด เด็กทุกชาติทุกภาษาจะร้องไห้เมื่อเจ็บปวดหรือเสียใจ และหัวเราะเมื่อสุขใจ จากการศึกษาเด็กที่ตาบอดหรือหูหนวกตั้งแต่แรกเกิดพบว่า การแสดงออกของสีหน้า ท่าทาง และท่วงทีกิริยาหลายๆ อย่าง ซึ่งเราเอาไปสัมพันธ์กับอารมณ์ชนิดต่างๆ ได้รับการพัฒนาโดยความสุกสมบูรณ์ การแสดงออกของอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงอายุที่เหมาะสม แม้ว่าจะไม่มีโอกาสสังเกตได้ในคนอื่นได้เขียนหนังสือ ซึ่งพิมพ์ในปี 1872 ท่านกล่าวว่าวิธีแสดงออกของอารมณ์เป็นกระสวนที่ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม และแต่เดิมมีคุณค่าเพื่อความอยู่รอด ของชีวิตบางอย่าง เช่น การแสดงความรังเกียจ หรือการไม่ยอมรับ เกิดจากการที่อินทรีย์พยายามขจัดเอาสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่น่าพึงพอใจ ซึ่งได้กินเข้าไปแล้ว การแสดงสีหน้าบางอย่างดูเหมือนจะมีความหมายสากล โดยมิได้คำนึงถึงวัฒนธรรมในที่ซึ่งคนเราได้รับการเลี้ยงดู เมื่อเอาภาพแสดงสีหน้าของความสุข ความโกรธ ความเสียใจ ความรังเกียจ ความกลัว และความประหลาดใจ มาแสดงต่อคนชาวอเมริกัน บราซิล ซิลี อาเจนตินา และญี่ปุ่น คนเหล่านี้ไม่มีความยากลำบากในการบอกความแตกต่างของอารมณ์แต่ละชนิด พวกชาวเขาและชาวเกาะที่อยู่ห่างไกลความเจริญก็บอกได้เช่นกัน
ข. บทบาทของการเรียนรู้ในการแสดงออกทางอารมณ์ แม้ว่าการแสดงออกของอารมณ์บางอย่างมีมาตั้งแต่กำเนิดเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่อารมณ์ก็อาจได้รับการดัดแปลงมากมายโดยการเรียนรู้ ตัวอย่าง ความโกรธ อาจแสดงออกมาโดยการต่อสู้โดยการใช้ภาษาที่ก้าวร้าว หรือโดยการลุกออกไปนอกห้อง แน่นอนการออกจากห้องหรือการใช้คำหยาบมิใช้การแสดงความโกรธ ซึ่งมีมาตั้งแต่แรกเกิดการแสดงออกทางอารมณ์ทางสีหน้าและท่าทาง อาจแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม ตัวอย่าง ชาวจีนมีการแสดงออกทางอารมณ์บางอย่างแตกต่างจากชาติอื่นๆ อย่างมาก การตบมือแสดงถึงความกังวลใจ หรือความผิดหวัง การเกาหูและแก้มบ่งถึงการมีความสุข การแลบลิ้นออกมาแสดงถึงความประหลาดใจ ในสังคมตะวันตก การตบมือหมายถึงความสุข การเกาหูแสดงถึงความกังวล และการแลบลิ้นบ่งถึงการยั่วโทสะ
· Tab 2
เมื่อมีเหตุการณ์ สถานการณ์ หรือสิ่งเร้าที่กระตุ้นด้านอารมณ์ การเกิดอารมณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั้งทางร่างกาย และจิตใจ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ดังนี้
1. ด้านการรับรู้ เป็นการทำงานร่วมกันด้านร่างกายของระบบประสาทรับความรู้สึกจากสิ่งแวดล้อม ส่งผ่านขึ้นไปยังสมองเพื่อแปลความหมายและรับรู้ว่าสิ่งกระตุ้นคืออะไร อาจะเรียกว่าเป็นส่วนของความคิดที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้านั้น ความคิดจะน้อมนำไปสู่การเกิดอารมณ์ตามมา ถ้าความคิดไปในทางบวก อารมณ์ที่ตามมาก็เป็นอารมณ์ทางบวกถ้าความคิดเป็นลบอารมณ์ก็เป็นลบ เช่นกัน
2. ด้านอารมณ์ จากการรับรู้สิ่งเร้าอารมณ์ จะมีการเปรียบเทียบกับประสบการณ์เดิม ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นอารมณ์แสดงออกทั้งทางด้านจิตใจและด้านร่างกาย ด้านร่างกายจะกระทบระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลต่ออวัยวะที่มีระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น หัวใจเต้นเร็ว หน้าแดง เหงื่อซึม เป็นต้น อารมณ์ที่เกิดขึ้นสามารถปรุงแต่งให้การรับรู้สิ่งเร้าหรือความคิดต่อสิ่งนั้นยิ่งเป็นบวกหรือลบมากขึ้น เช่น เราไม่ชอบสิ่งที่เพื่อนทำกับเรา เกิดอารมณ์ไม่พอใจ อารมณ์อาจทำให้เราคิดถึงความไม่พอใจที่เคยมีต่อเพื่อนคนนี้มาก่อน ยิ่งมีอารมณ์ยิ่งคิด ยิ่งคิดมีอารมณ์ เป้ฯวัฏจักร
3. แรงผลักดัน จากรประสบการณ์ด้านอารมณ์ จะมีผลต่อแรงผลักดันภายในจิตใจ ทำให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งที่มาเร้าอารมณ์มีทั้งระดับอารมณ์ที่เหมาะสมสอดคล้องกับตัวกระตุ้น และระดับอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม อันเป็นผลมาจากประสบการณ์การเรียนรู้และแรงผลักดันภายในจิตใจ ส่งผลต่อลักษณะอารมณ์และแบบแผนของพฤติกรรมที่ตอบสนอง ตัวอย่าง เช่น บางคนมีแรงผลักดันที่จะโทษว่าตนเองไม่ดี เมื่อทำอะไรผิดพลาดก็จะเกิดอารมณ์เศร้ารู้สึกผิดหวังตนเอง ผลักดันให้เป็นคนไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวว่าจะผิด
จากองค์ประกอบของอารมณ์ทั้งสามด้าน เมื่อมีสิ่งเร้าที่กระตุ้นอารมณ์แลเกิดเป็นอารมณ์ขึ้น จะมีการแสดงออกของอารมณ์ทางน้ำเสียง แววตา สีหน้า ท่าทาง และกำหนดทิศทางการแสดงออกของท่าทาง เช่น อารมณ์โกรธอาจจะแสดงท่าทางจ้องหน้า พูดเสียงดัง ทุกโต๊ะ ขว้างปาข้าวของ อารมณ์เศร้าแสดงท่าทางคอตก ฟุบหน้า ร้องไห้ พุดเสียงเบา อารมณ์ดี แสดงท่าทางกระโดดโลดเต้น ยกมีร้องไชโย เป็นต้น
สิ่งที่สำคัญคือ การเรียนรู้ความเข้าใจลักษณะทางอารมณ์ของตนเอง สังเกตและติดตาม การเกิดอารมณ์ รวมทั้งการแสดงออก ที่ตอบสองต่อ อารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเกิดอารมณ์ทางลบที่อาจทำให้เกิดการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมและส่งผลทางลบตามมาได้ การเรียนรู้จักอารมณ์ของตนเอง จะเป็นพื้นฐานในการปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้มีการแสดงออกที่เหมาะสมต่อไป
ลักษณะของอารมณ์ อาจแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ได้ 3 กลุ่ม
1. อารมณ์ด้านบวก เช่น อารมณ์ดีใจ ภูมิใจ สุขใจ ปลาบปลื้ม พึงพอใจ
2. อารมณ์ด้านลบ เช่น อารมณ์โกรธ เกลียด ริษยา เศร้า
3. อารมณ์กลาง ๆ เช่น แปลกใจ ยอมรับ
นอกจากแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลักแล้วอารมณ์ยังสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มๆ ตามระดับความรุนแรงของอารมณ์ โดยในแต่ละกลุ่ม เป็นอารมณ์ใน กลุ่มเดียวกัน แต่จะมีคำทีใช่แทนระดับของอารมณ์แตกต่างกัน ดังนี้
· กลุ่มอารมณ์โกรธ มีหลายลักษณะ เช่น ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์ ขุ่นเคือง ฉุน โกรธ โมโห เดือดดาล คับแค้น เป็นต้น
· กลุ่มอารมณ์กลัว มีหลายลักษณะ เช่น ไม่กล้า เกรงใจ หยาด หวาดกลัว ตระหนก ขวัญผวา อกสั่นขวัญแขวน เป็นต้น
· กลุ่มอารมณ์กังวล มีหลายลักษณะ เช่น ลังเล สองจิตใจสองใจ ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ห่วง กังวล สับสน อึดอัดใจ กระวนกระวาย ร้อนใจ เป็นต้น
· กลุ่มอารมณ์เกลียด มีหลายลักษณะ เช่น ไม่ชอบ รังเกียจ เกลียด เหม็นหน้า ชิงชัง เป็นต้น
· กลุ่มอารมณ์ดี มีหลายลักษณะ เช่น ดีใจ สบายใจ ชื่นใจ ร่าเริง สนุกสนาน คึกคัก อิ่มเอิบใจ เป็นสุข ปิติ ตื้นตันใจ ปลาบปลื้ม ซาบซึ้ง เป็นต้น
· Tab 3
การตอบสนองทางสรีรวิทยา (Physiological responses)
เมื่อประสบกับอารมณ์ที่รุนแรง เช่น ความกลัว หรือความโกรธ เรารู้ตัวว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่าง หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็วขึ้น ปากและคอแห้ง กล้ามเนื้อตึง เครียด เหงื่อออก แขนขาสั่น แน่นและอึดอัดในท้อง ส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นระหว่างอารมณ์รุนแรงเป็นผลจากการกระตุ้น sympathetic division ของระบบประสาทเสรี เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับภาวะฉุกเฉิน การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเมื่ออารมณ์เกิดขึ้นมีดังนี้
1.ความต้านทานทางกระแสไฟฟ้า (electrical resistance) ของผิวหนังลดลง
2. ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ปริมาตรของเลือดในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป
3. หัวใจเต้นเร็วขึ้น บางรายอาจมีอาการเจ็บแปลบที่บริเวณหัวใจ
4. การหายใจเร็วและแรงขึ้น
5. รูม่านตาขยายทำให้แสงตกลงไปบนจอภาพ (retina) มากขึ้น
6. การหลั่งของน้ำลายลดลง ทำให้รู้สึกคอแห้ง
7. ขนลุกชัน (goose pimples)
8. การเคลื่อนไหวของกระเพาะและลำไส้ ลดลงหรือหยุดไปเลย เลือดจะเปลี่ยนทิศทางจากกระเพาะและลำไส้ไปยังสมองและกล้ามเนื้อลาย
9. กล้ามเนื้อตึงหรือกระตุก
10. มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนประกอบของเลือดที่เห็นชัดที่สุดคือระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เพื่อทำให้พลังงานเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยที่มีส่วนสัมพันธ์กับอารมณ์
1. พันธุกรรม พันธุกรรมนอกจากมีส่วนในการกำหนดคนเราทางด้านร่างกายแล้ว ยังมีผลต่อลักษณะอุปนิสัยด้วย เด็กจะมีลักษณะอุปนิสัยและอารมณ์ของเด็กที่มีมาแต่กำนิด ซึ่งเรียกว่าพื้นอารมณ์
2. การเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูก็มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเด็กในระยะต่อไปเช่น กัน พ่อแม่จึงมีบทบาทอย่างมากต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก โดยเฉพาะในช่วงต้นของชีวิต เด็กที่โยเย เลี้ยงยาก หากพ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่น ยอมรับเด็กอย่างที่เด็กเป็นก็ย่อมจะทำให้พื้นอารมณ์ที่รุนแรงนี้เบาบางลงได้ แต่หากพ่อแม่ไม่อดกลั้น มีการใช้อารมณ์กับเด็ก ก็จะยิ่งทำให้เด็กมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้น
3. การทำงานของสมอง ส่วนของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์มีอยู่หลายแห่ง เช่น ระบบลิมบิก (limbic system) ทำหน้าที่รับรู้และประเมินสถานการณ์ต่างๆ บริเวณที่เรียกว่าอะมิกดาลา (amygdala) เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการประเมินข้อมูลจากประสาทรับรู้ต่างๆ ของสมองบริวเณคอร์ติคัล คอร์เท็ก (Cortical cortex) กับการแสดงออกด้านพฤติกรรมของอารมณ์ต่างๆ นอกจากนี้อะมิกดาลายังมีส่วนสำคัญในการรับรู้สิ่งที่เป็นอันตราย กระตุ้นให้ร่างกายมีการตื่นตัวพร้อมที่จะรับมือต่อสิ่งนั้น จากการทดลองพบว่าในสัตว์ที่ดุร้ายเมื่อผ่าตัดเอาส่วนที่เป็นอะมิกดาลาออกไป สัตว์จะมีลักษณะเชื่อง เฉย ไม่ดุร้ายเหมือนเดิม
4. การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ได้แก่ระบบซิมพาเธติกและระบบพาราซิมพาเธติก
1. ระบบซิมพาเธติก (Sympathetic nervous system) จะทำงานเมื่อคนเราสบกับภาวะเครียดหรือตื่นเต้น โดยสารสื่อประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องคือ นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) หรือบางครั้งเรียกว่าอะดรีนนาลีน (adrenaline) ทำให้มีการใช้พลังงานในร่างกายเพื่อการปรับตัวต่อสิ่งที่มากระตุ้นนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ขณะเดินเข้าบ้านในซอยเปลี่ยว มีชายแปลกหน้า 2 คน เดินเข้ามาหามีที่ประสงค์ร้าย ระบบซิมพาเธติกก็จะทำงานโดยหัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดเพิ่ม น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หายใจลึกและเร็ว ม่านตาขยายตัว ปากคอแห้ง และกล้ามเนื้อเกร็งตัว เป็นต้น
2. ระบบพาราซิมพาเธติก (Parasympathetic nervous system) การทำงานจะเด่นเมื่อคนเราอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย และเป็นภาวะที่มีการเก็บสะสมพลังงานไว้ในตัว โดยสารสื่อประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องคืออะเซทิลโคลีน (acetylcholine)การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับข้างต้น เช่น หัวใจเต้นช้าลงกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ระบบย่อยอาหารและดูดซึมมีการทำงานมากขึ้น
ความผิดปกติของระบบทั้งสองนี้ส่งผลต่อภาวะอารมณ์ของคนเราได้ เช่น ในโรคไทรอยด์เป็นพิษจะมีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามาก ซึ่งจะไปกระตุ้นให้มีการหลั่งอะดรีนาลีนอกมามาก ผู้ที่เป็นจะมีอารมณ์หงุดหงิดวิตกกังวลง่าย หรือแม้แต่ในกรณีทั่วๆ ไปผู้ที่อยู่ในภาวะหิวอาหาร น้ำตาลในเลือดจะต่ำ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลังอะดรีนาลีนออกมามาก จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวได้ง่าย เป็นต้น
5. สภาวะจิต ปัจจัยที่กล่าวทั้ง 4 ประการข้างต้น ทำให้ดูเสมือนว่าอารมณ์เป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติที่คนเรามีต่อสิ่งต่างๆ ที่มากระตุ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์เรามีความสามารถในการกลั่นกรองจัดลำดับความสำคัญของข้อมูลต่างๆ และนอกจากการรับรู้และการประเมินแล้ว การแสดงออกซึ่งอารมณ์ก็ยังไม่ได้เป็นไปในแบบอัตโนมัติตามสัญชาตญาณไปเสียทั้งหมด หาแต่ยังมีปัจจัยด้านสภาวะจิต เช่น ความเหนี่ยวรั้งคุณธรรม จริยธรรม มาประกอบด้วย ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่ามีการกำกับด้วย “ปัญญา” ตัวอย่าง เช่น มีคนชักชวนให้เราร่วมมือในการโกงการสอบโดยจะให้ค่าตอบแทน เรารู้สึกว่าค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนมากและอยากได้เงินมาใช้คนชักชวนยังบอกว่าโอกาสถูกจับได้น้อยมาก และถ้าหากจับได้เขาจะไม่ชัดทอด ความรู้สึกอยากอย่างนี้หากไม่มีปัญญาช่วยกำกับจะทำให้มีพฤติกรรมตอบสนองไปตามความต้องการ แต่หากใช้ปัญญาไตร่ตรองจะเห็นผลที่ตามมาโดยเฉพาะสภาวะจิตใจของเราเองที่ทำความผิดแม้ไม่มีใครรู้ก็ตาม การพัฒนาสภาวะจิตให้มีปัญญากำกับจึงช่วยให้การดำเนินชีวิตพ้นจากความทุกข์จากการยึดติดยึดมั่นในสิ่งต่างๆ
· Tab 4
ผลกระทบของอารมณ์
ผลกระทบของอารมณ์ต่อร่างกายที่เห็นได้ชัดคือรบกวนการทำงานของความคิด ในขณะที่สภาวะจิตใจเต็มไปด้วยอารมณ์ ประสิทธิภาพในการคิดจะลดลง ไม่ว่าจะเป็นความคิดด้วยเหตุผล หรือการใช้ความสามารถของสมองเพื่อความคิดในด้านต่างๆ เช่น คำนวณ ความจำ เป็นต้น จะสังเกตว่าในสภาพที่มีอารมณ์ การรับรู้ข้อมูลต่างๆ จะแย่ลง เป็นลักษณะของการขาดสมาธิ อันเป็นผลจากประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงผลกระทบประการต่อมา ด้านร่างกายจะกระทบต่อระบบการทำงานของอวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะอวัยวะที่อยู่ภายใต้การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร แต่ถ้าตกอยู่ภายใต้ภาวะอารมณ์ที่กดดันเป็นเวลานานจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่ากาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
ผลกระทบของอารมณ์ต่อจิตใจและพฤติกรรม เมื่อเกิดอารมณ์ทางลบทำให้สภาพจิตใจของคนคนนั้นไม่แจ่มใส ไม่เบิกบาน ส่งผลต่อวิธีคิดและการแสดงออกทางพฤติกรรมตามมา เช่นในคนที่มีความโกรธแค้นอย่างมาก อาจแสดงพฤติกรรมรุนแรงโดยไม่สามารถพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบได้ ผลกระทบต่อจิตใจอีกประการหนึ่งเป็นผลจากการตกอยู่ภายใต้อารมณ์ทางลบเป็นเวลานานจนไม่สามารถปรับตัวได้ อาจนำไปสู่สภาวะการเจ็บป่วยทางจิต โดยเฉพาะการเกิดโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นผลจากความกดดันทางอารมณ์เป็นเวลานานจนรู้สึกว่าไม่สามารถหารทางออกได้ เมื่อเกิดภาวะซึมเศร้าลักษณะอารมณ์จะหดหู่ ไม่สามารถสนุกได้อย่างที่เคย เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ เก็บตัว มีความคิดทางลบต่อตนเอง และอาจคิดทำร้ายตนเอง
ผลกระทบของอารมณ์ต่อผู้อื่น การที่สภาวะอารมณ์เป็นบวกหรือเป็นลบส่งผลต่อบุคคลที่อยู่รอบข้าง โดยเฉพาะอารมณ์ทางลบมีผลต่อความสัมพันธ์ของบุคคล เนื่องจากอารมณ์เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการสื่อสารกับผู้อื่น ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจเกิดกับบุคคลใกล้ชิด คนในครอบครัว และคนอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางสังคม ตัวอย่างเช่น การสื่อสารระหว่างแม่และทารก อารมณ์จะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสาร ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่ดีได้
การรู้จักและเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น
นอกจากเข้าใจและรู้จักอารมณ์ของตนเองแล้ว การฝึกสังเกตอารมณ์ผู้อื่นจะทำให้เราสามารถแสดงอารมณ์ของเราตอบสนองผู้อื่นได้เหมาะสม โดยเฉพาะกับคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดควรทำความเข้าใจการแสดงออกทางอารมณ์ จะทำให้มีความสุขในการใช้ชีวิตร่วมกัน ส่งผลให้สภาพอารมณ์ทั้งของเราและผู้อื่นดีขึ้น เทคนิคในการรู้จักและเข้าใจอารมณ์ผู้อื่นทำได้ดังนี้
1. ให้ความสนใจการแสดงออกของผู้อื่น โดยการสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอื่นๆ โดยเฉพาะการออกด้านร่างกายมักบอกอารมณ์ได้โดยตรง เพราะบางครั้งเขาอาจไม่พูดบอกความรู้สึกของตนเอง เช่น พ่อ แม่ อาจมีความเครียดบางเรื่อง แต่ไม่เล่าให้ลูกๆ ฟัง หากเราสังเกตการณ์แสดงออกจะรับรู้ได้ และถ้าตอบสนองด้วยการเข้าหา ดูแลเอาใจใส่ท่าน อาจช่วยคลายความตึงเครียดลง ในบ้านจะมีบรรยากาศที่ดีขึ้น
2. อ่านอารมณ์ความรู้สึกผู้อื่น จากการสังเกตสนใจแสดงออกของผู้อื่นจะทำให้พอทราบว่าเขารู้สึกอย่างไรแต่บางสถานการณ์อาจต้องถามเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราคิดตรงกับ ความรู้สึกจริงของเขาหรือไม่ เช่น ใกล้สอบเราเห็นน้องเงียบลง คงจะเครียดเรื่องอ่านหนังสือไม่ทัน หากเราเข้าไปปลอบน้องว่าอ่านไปเรื่อยๆ อาจไม่ตรงกับความรู้สึกของน้องที่กังวลอยู่ ควรใช้วิธีพูดคุยซักถามด้วยความเอาใจใส่ น้องอาจกังวลไม่เข้าใจคณิตศาสตร์ที่จะต้องสอบเราจะได้สามารถหาทางช่วยให้ตรงจุดที่เป็นปัญหา
· Tab 5
การจัดการกับอารมณ์
ประเวช ตันติพิพัฒนสกุล (อ้างถึงใน สินีนาฏ กำเนิดเพ็ชร์,2544) ได้อธิบายถึงวิธีการจัดการอารมณ์ของคนเรา โดยกล่าวว่า เนื่องจากอารมณ์เป็นสัญญาณที่บอกอะไรบางอย่างแก่เราได้ ดังนั้น บทเรียนทางอารมณ์จึงช่วยให้คนเราเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น จึงนับเป็นประโยชน์ต่อเรา เพราะธรรมชาติของอารมณ์เป็นเรื่องจริง และเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องจัดกระทำกับอารมณ์ที่เรียกว่า "การจัดการอารมณ์" ด้วยการรู้จักอารมณ์ของตนเอง เมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมา
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าความฉลาดทางสติปัญญานั้นมิได้เป็นปัจจัยชี้ขาดในการบ่งชี้ถึงความสำเร็จในชีวิตของคนเรา การประสบกับ ความสำเร็จ ความสุขในชีวิตของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ อีกมากมายทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ในแง่ของปัจจัยภายในนั้น การมีทักษะอารมณ์ที่ดีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน หรือบางครั้งอาจจะมากกว่าการมีสติปัญญาที่ดี ดังตัวอย่างที่มักพบเห็นได้ทั่วไปว่า บางคนมีการศึกษาสูง แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การกดดันทางอารมณ์กลับทำสิ่งที่ไม่น่ากระทำ จนเกิดความเสียหายต่อตนเอง และผู้อื่นจนมีคำพูด ที่กล่าวว่า คนฉลาดทำเรื่องโง่ๆ นี้ได้อย่างไร
ทักษะทางอารมณ์ต่อไปนี้จะเริ่มจากทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาไปสู่ทักษะในข้อต่อๆไปตามลำดับจนถึงท้ายสุดจะเป็นทักษะ ทางอารมณ์ที่สัมพันธ์กับบุคคลอื่น ทักษะทางอารมณ์ขั้นพื้นฐานที่ควรฝึกฝนมีดังต่อไปนี้ (พรรณพิมล หล่อตระกูล,2546)
1. การรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง หมายถึงการรู้เท่าทันว่าอารมณ์ของตนเองในแต่ละขณะนั้นเป็นอย่างไรตนเองรู้สึกอย่างไร รู้เท่าทันอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมองอารมณ์ตนเองออกว่าเป็นอย่างไร
ข้อนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการยับยั้งกระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งผิด ในการทางตรงกันข้ามอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหรือตามสัญชาตญานนี้ได้มีส่วนไม่มากก็น้อยในการช่วยปกป้องหรือ ทำให้เราอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพียงต่อเราจะมีพัฒนาการขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง คือ จะให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่มีผลต่อพฤติกรรมตอบสนองของเราเท่านั้น
2. ยอมรับอารมณ์ของตนเอง ขั้นตอนนี้เป็นการมองอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยอมรับตามที่เป็นจริง ยอมรับว่าเรามีความรู้สึกนั้นอยู่ เช่น เรามีความกลัว ความโกรธ ความคับข้องใจ หรือความดีใจ สุขใจ เป็นการมองอย่างไม่ตัดสินถูกผิด จะเห็นว่าการยอมรับอารมณ์ทางบวกเป็นเรื่องไม่ยาก แต่การยอมรับว่าตนเองมีอารมณ์ทางลบเป็นเรื่องไม่ง่าย เช่น เรามีความอิจฉาเพื่อน เวลาเห็นเพื่อนมีความสำเร็จเราไม่สามารถทำจิตใจให้ยินดีไปกับเพื่อนได้ ถ้าเราไม่ยอมรับอารมณ์ตนเองอาจเบี่ยงเบนไปว่าไม่เห็นจะเป็นความสำเร็จอะไร แต่ในใจจริงๆ ของเราเป็นทุกข์กับความอิจฉาที่เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนี้จะทำให้ไม่เข้าใจตนเอง ว่าทำไมเรามีความกดดันอยู่ลึกๆ ในใจ ที่จริงเป็นเพราะกดอารมณ์ทางลบเอาไว้ ไม่กล้ายอมรับว่าเราอิจฉา การยอมรับอารมณ์จะนำไปสู่การหาวิธีจัดการกับอารมณ์ให้เหมาะสมขึ้น
การฝึกปฏิบัติในข้อ 1 และ2 ข้างต้นนี้จะเป็นการง่ายหากเริ่มขณะที่ตนเองมีจิตใจที่สงบพอสมควร อาจเป็นช่วงตื่นนอนใหม่ๆ หรือก่อนเข้านอน โดยให้สังเกตว่า ณ ขณะนั้น ตนเองมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร ต่อจากนั้นให้มองอารมณ์ที่เกิดขึ้นให้นานขึ้นด้วยท่าทีเป็นกลาง ไม่หงุดหงิด หรือพยายามกดอารมณ์เมื่อตนเองเกิดอารมณ์ด้านลบหรือชื่นชม อยากให้อารมณ์ด้านบวกอยู่กับตนนานๆ กล่าวคือไม่ไปต่อเสริมอารมณ์ที่เกิดขึ้น ควรฝึกสังเกตติดตามอารมณ์ให้ได้นานอย่างน้อยรอบละ 5-10 นาที และค่อยๆ เพิ่มจำนวนรอบขึ้น เมื่อฝึกปฏิบัติจนชำนาญแล้วจึงนำมาฝึกปฏิบัติในช่วงกกลางวันซึ่งมีสิ่งเร้าต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
ขั้นตอนต่อมาของการยอมรับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้แก่ การยอมรับว่าอารมณ์นั้น ๆ เป็นของตนเองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตนเอง ไม่โทษว่าเป็นเพราะสิ่งโน้นสิ่งนี้ทำให้เรามีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ เราแม้ในระยะแรกสุดเราจะเกิดอารมณ์ซึ่งในบางส่วนเป็นปฏิกิริยา
ตอบสนองที่อาจเกิดโดยอัตโนมัติ แต่หากเรามีความรู้เท่ากันอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เราย่อมเป็นผู้ที่สามารถจะกำหนดได้ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์นั้น และมีการแสดงออกตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นหรือเลือกที่หันเหอารมณ์ความรู้สึก อีกทั้งมีการแสดงออกในลักษณะอื่น กล่าวคือ เราเลือกที่จะเป็นผู้กำหนดอารมณ์ มิได้เป็นผู้อยู่ภายใต้การครอบงำของอารมณ์
ตัวอย่างของการยอมรับอารมณ์ของตนเอง
“ฉันรู้สึกผิดหวัง” แทนที่จะเป็น “เขาน่าจะบอกฉันตั้งแต่เมื่อวานนี้เขามาช่วยไม่ได้” และ “ฉันจะมั่วแต่ผิดหวังอยู่อย่างยิ่งนี้หรือจะทำงานที่ค้างให้เสร็จเสีย” แทนที่จะเป็น “เขาต้องทำตัวให้ดีกว่านี้ ฉันทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
3. การควบคุมอารมณ์ เป็นความสามารถที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอารมณ์ในทางลบ เช่น ความโกรธ ฉุนเฉียว อารมณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นกับเราได้ แต่มิใช่จะแสดงออกไปทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ผู้ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ย่อมสามารถควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมตามแต่สถานการณ์ รู้จักระบายอารมณ์ออกในรูปแบบที่เหมาะสม
4. เติมพลังใจให้ตนเอง ทักษะทางอารมณ์มิใช่การเพียงคอยจัดการกับอารมณ์ตามสถานการณ์เท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงการเติมพลังให้จิตใจของตนเอง อันจะเป็นการส่งเสริมพื้นอารมณ์ให้อยู่ในระดับบวก หากในสถานการณ์อื่นๆ เช่น หากเครียดเนื่องจากที่ทำงานมีการเปลี่ยนหัวหน้างานใหม่ ซึ่งไม่ค่อยรับฟังหรือเห็นความสำคัญของตนเองเหมือนแต่ก่อน แนวทางในการแก้ไขคือการทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ดี มีผลงานให้หัวหน้ารู้สึกว่าเราไว้วางใจได้ ในขณะเดียวกัน แทนที่จะให้จิตใจตกอยู่กับอารมณ์หงุดหงิด ขุ่นมัวอยู่ตลอด เราก็ควรหากิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เสาร์-อาทิตย์ก็อาจไปเที่ยวในสถานที่ที่ตนเองเคยสนใจแต่ยังไม่ได้ไปบ้าง หางานอดิเรกทำ เช่น เลี้ยงปลา เล่นดนตรี พบปะสังสรรค์กับเพื่อนที่ไม่เคยเจอกันนาน เหล่านี้จะทำให้จิตใจผ่อนคลายความตึงเครียดลงซึ่งก็จะส่งผลมาถึงสภาพอารมณ์ในที่ทำงานให้ดีขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักว่าการเติมพลังใจให้ตนเอง นี้เป็นสิ่งที่ต้องจัดเวลาให้พอเหมาะพอควร มีอยู่ 2 กิจกรรมที่การทำสม่ำเสมอจะให้ผลดี ได้แก่ การออกกำลังกายและการทำใจให้สงบเย็น
5. มีเจตคติและความคิดในเชิงบวก เจตคติและความคิดมีส่วนสัมพันธ์กับภาวะอารมณ์อย่างแยกกันไม่ออกในทางพุทธศาสนาได้ยกสัมมาทิฐิไว้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการ ดำเนินชีวิตที่ดีงาม หรือดังคำกล่าวว่า “คิดดี ย่อมพูดดี ทำดี” ในที่นี้คือการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทางบวก รู้จักมองบุคคลหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแง่มุมอื่นที่ต่างไปจากเดิม ฝึกตนเองให้มีอารมณ์ขัน การฝึกคิดหรือมองสิ่งต่างๆ ในหลายๆ แง่มุมจะทำให้เราไม่ติดกรอบ หรือติดกับมายาคติที่สร้างขึ้น เช่น ถ้าเราติดอยู่กับมุมมองแต่ว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้เป้ฯคนเห็นแก่ตัว พอเขาทำอะไรที่ส่อลักษณะเช่นนั้น เราก็จะไปเสริมข้อมูลเดิมของเราทันที ขณะที่ในเวลาอื่นเขาไม่มีท่าทีเช่นนั้นเรากลับมองไม่เห็น เรียกว่าสมองเราไม่ได้จัดโปรแกรม ให้รับข้อมูลที่เกี่ยวกับคนๆ นี้ในด้านบวก
6. การรู้สึกดีต่อตนเอง ผู้ที่รู้สึกดีต่อตนเองจะมีความรู้สึกพึงพอใจกับสภาพปัจจุบันของเขา เขาไม่จำเป็นต้องมีเงินทองหรือมีความสะดวกสบายมากมาย เขาอาจไม่เป็นคนฉลาดหรือเก่งมาก แต่เขายอมรับตัวเองโดยไม่รู้สึกเสียหน้า หรือตีโพยตีพายว่าคนไม่เข้าใจตนเอง หรือโทษโน่นโทษนี่ เขาไม่วิตกกังวลที่ตนเองไม่สมบูรณ์แบบ เพราะเข้าใจดีว่าคนเราย่อมมีจุดเด่นจุดด้อยในแต่ละด้านแตกต่างกันไป
· Tab 6
การควบคุมอารมณ์และการจัดการอารมณ์
เทพ สงวนกิตติพันธุ์ (2549) กล่าวว่า เมื่อเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าจะได้เจอกับอารมณ์ที่เข้ามาให้เรารับรู้อย่างไรบ้างในแต่ละวัน เราควรหมั่นฝึกให้มีสติ คือระลึกรู้อยู่เสมออย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เมื่อมีอะไรเข้ามากระทบทำให้เราเกิดความคิดและอารมณ์ที่ไม่ดี ก็ควรจะใช้สติในการขบคิดพิจารณา เพื่อให้เราเท่าทัน และไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์นั้น โดยการกำหนดอารมณ์และความรู้สึกของเรา ไม่ให้ส่งผลไปถึงการแสดงออกในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร วิธีควบคุมอารมณ์ของเราอาจทำได้หลายวิธี ได้แก่
1. ให้มีสติอยู่เสมอเพื่อควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงให้คลายลง เช่น อารมณ์วิตกกังวล อารมณ์โกรธ อิจฉาริษยา การใช้อารมณ์ของคน หากใช้เพียงเล็กน้อยแล้วพยายามควบคุมมันให้ได้โดยใช้ “สติ” หรือหลักธรรมะเข้ามาช่วยในการเผชิญกับเหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ ก็จะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ นั้นเป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ ในทางตรงกันข้ามหากผู้ใดใช้อารมณ์มากหรือรุนแรงเกินไป ก็อาจจะทำให้เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่กลับเลวร้ายลงไปได้เช่นกัน
2. ใช้คำพูดแสดงความรู้สึกแทนการกระทำ (เทคนิคการแสดงออกที่เหมาะสม) เช่น โกรธเพื่อนที่ผิดนัด ไม่ควรแสดงออกโดย การตำหนิดุด่า แต่ควรใช้คำพูดแทนว่า “ฉันโกรธมากที่เธอผิดนัดเมื่อวาน” หรือ ถูกเพื่อนตำหนิบางเรื่องที่ทำให้โกรธ ก็ไม่ควรแสดงออกโดย การทะเลาะกับเพื่อน แต่ควรใช้คำพูดแทนว่า “คำพูดของเธอทำให้ฉันรู้สึกโกรธมากและมันจะทำลายความเป็นเพื่อนของเราด้วย” เป็นต้น
3. ให้ยืดเวลาออกไปก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป หรือพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรงหรืออารมณ์เสีย บางคนอาจใช้วิธีการนับหนึ่งถึงสิบ หรือถึงร้อยในใจเพื่อยึดเวลาให้อารมณ์ที่รุนแรงลดลง จะช่วยให้การแสดงออกที่รุนแรงลดลงไปได้ หรืออาจจะใช้วิธีออกจากเหตุการณ์ตรงนั้นไปก่อน รอให้อารมณ์ลดความรุนแรงลงแล้วจึงกลับมาเผชิญเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง ก็จะทำให้เรามีสติมากขึ้นในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ลงไป
4. ใช้การข่มใจ การให้อภัยและมองโลกในแง่ดี ให้คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าเราแสดงอะไรออกไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรง รู้จักให้อภัยและ พยายามฝึกมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ในด้านดีเสมอถ้าทำได้ จะทำให้เรามีอารมณ์ที่เป็นสุขมากยิ่งขึ้น หรือถ้าข่มใจไม่อยู่จริง ๆ ก็อาจใช้วิธีระบายออกโดยการเลี่ยงไปแสดงออกกับสิ่งอื่น ๆ แทนก็ได้ เช่น เขียนระบายอารมณ์ ในกระดาษ แอบร้องไห้ปลดปล่อยอารมณ์ หรือต่อยตีกระสอบทราย (อาจใช้ตุ๊กตาแทน) แต่อย่าให้กลายเป็นการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
5. เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจหรือเครียดควรปรึกษาเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้หรือผู้ใหญ่ที่เราให้ความเคารพนับถือ การที่คนเรามีความทุกข์หรือความเครียดแล้วเก็บกดไว้ในใจตนเองอยู่เสมอ เปรียบเสมือนลูกโป่งที่ถูกอัดอากาศเข้าไปเรื่อย ๆ หากไม่มีการปลดปล่อยลมออกมาเสียบ้าง ไม่นานลูกโป่งก็จะแตก เช่นเดียวกันหากคนเรามีแต่ความทุกข์เก็บสะสมไว้มากเกินไป สักวันหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาท หรือโรคจิตต่อไปได้ จึงควรปลดปล่อยความทุกข์ที่มีอยู่ออกไปเสียบ้าง
เทคนิคการจัดการกับอารมณ์
การจัดการกับอารมณ์เป็นสิ่งที่ต้องมีความตั้งใจด้วยตัวเราเองว่าจะปรับการแสดงออกทางอารมณ์ของตนเองไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งอาศัยการฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เทคนิคที่จะช่วยในการฝึกมีดังนี้ (พรรณพิมล หล่อตระกูล,2546)
1. ทบทวนการแสดงออกทางอารมณ์ของตัวเราเอง พิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร เกิดผลอย่างไรกับตัวเราเองและบุคคลอื่น หากรู้สึกว่าการแสดงออกบางอารมณ์ของตัวเราเองมีปัญญาควรยอมรับและหาวิธีการแก้ไขการยอมรับอารมณ์ตนเองเป็นพื้นฐานที่สำคัญของ การพัฒนาตนเองในเรื่องของอารมณ์
2. เตรียมการในการแสดงอารมณ์ จากการทบทวนสถานการณ์ที่นำไปสู่อารมณ์ จะพบว่าเมื่อกระตุ้นทางอารมณ์ ตัวเราเองมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ส่งผลในทางลบอย่างไร ควรฝึกตนเองให้ตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไร (สิ่งที่เราเคยทำแล้วส่งผลทางลบ) และทำอย่างไร (ปรับการแสดงออกให้ต่างไปจากเดิม และเป็นการแสดงออกที่ส่งผลดีกับตัวเรา) หากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยการรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง หากเราไม่รู้ว่าเกิดอารมณ์ขึ้น ปล่อยให้ถูกกระตุ้นจนระดับอารมณ์สูง มักแสดงออกตามความเคยชินเดิม
3. ฝึกสติ เวลาเข้าไปในสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์ต้องตั้งสติให้รู้ตัวว่าเรากำลังมีอารมณ์เกิดขึ้น อารมณ์ที่เกิดขึ้น จะผลักให้เราแสดงออกเหมือนเดิม และได้รับผลลัพธ์เช่นเดิม ตั้งสติที่จะไม่ทำอย่างที่เคยทำ และจะได้แสดงออกอย่างที่เราคิดเตรียมการเอาไว้ การฝึกสติเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอยู่เสมอให้สามารถติดตามอารมณ์ของตัวเราเองไม่ว่าร้ายหรือดี เวลาเข้าสู่สถานการณ์ทางอารมณ์จะได้มีความไวขึ้น เมื่ออารมณ์เริ่มเกิดภายในตัวเราเริ่มตั้งสติให้ได้ว่าเราตั้งใจจะแสดงออกอย่างไรสถานการณ์แบบนี้ การฝึกเช่นนี้ต้องอาศัยความตั้งใจของเราเอง แต่หากฝึกตนเองอยู่เสมอก็จะพัฒนาความสามารถทางอารมณ์ที่ดีได้
4. ฝึกการผ่อนคลายตนเอง เนื่องจากการเข้าสู่สถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์จะทำให้รู้สึกตึงเครียดจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ การฝึกการผ่อนคลายจะทำให้รู้สึกว่าสามารถใช้ความคิดพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น มองในมุมที่เป็นบวก ใช้เหตุผลให้มากขึ้นในการแสดงออก เมื่อตั้งสติได้และรู้สึกว่าเรากำลังถูกเร้าด้วยอารมณ์ การผ่อนคลายตนเองที่ดี คือการดึงความสนใจของตัวเราเองออกจากสิ่งที่กำลังเร้าอารมณ์เรา เช่น น้องมาชวนเราทะเลาะ เราเริ่มหงุดหงิดที่คุยกับน้องไม่รู้เรื่อง หากเป็นตอนเด็กเราคงตีน้องแล้วทะเลาะกันเสียงดัง แต่ขณะนี้เราโตพอที่จะคุยกับน้องให้รู้เรื่องได้ ถ้าเราจดจ่ออยู่กับคำพูด หน้าตา ท่าทางของน้อง อารมณ์โมโหจะรุนแรงขึ้นเรื่องๆ จนในที่สุดเราจะแสดงออก เช่นเดียวกับที่เคยทำ ตัวอย่างวิธีที่สามารถใช้ในการผ่อนคลายตนเองลงขณะที่เผชิญสถานการณ์ที่เร้าอารมณ์เพื่อคุมระดับของอารมณ์ เช่น
การฝึกหายใจ โดยดึงความสนใจกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกตัวเราเอง การหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ แต่ต้องมีการฝึกฝนตนเองมาก่อน เพราส่วนมากเวลาที่มีอารมณ์ การหายใจมักจะเร็วและตื้นขึ้น ซึ่งทำให้เรายิ่งมีอารมณ์ขุ่นมัว
นับเลขเบรกอารมณ์ เป็นการนับเลขในใจ นับหนึ่งถึงสิบช้าๆ อาจร่วมกับการหายใจด้วย ขณะที่นับดึงใจของเราให้มาอยู่ที่ตัวเลขที่กำลังนับ
5. ประเมินสถานการณ์และอารมณ์ ดูว่าเราสามารถตดตามควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีหรือไม่ ถ้ารู้สึกว่าคุมอารมณ์ได้ค่อนข้างดีก็สามารถจัดสถานการณ์ตรงหน้าอย่างที่เราตั้งใจ หากรู้สึกว่าความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตนเองแย่ลง อาจต้องเลือกการออกจากสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์ เมื่อปรับสภาพอารมณ์ได้ดีขึ้นจึงกลับมาเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ ปัญหาอยู่ตรงที่บางครั้งเกิดทิฐิจะเอาชนะให้ได้ ทำให้ไม่ยอมออกจากสถานการณ์ ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น ควรฝึกปรับเปลี่ยนความคิดให้เห็นว่าการแก้ปัญหาที่ดีคือการแก้ไขให้ปัญหาลุล่วงไปด้วยดีไม่ใช่การเอาชนะกัน
เทคนิคในการจัดการกับอารมณ์จะสำเร็จได้หรือไม่ ขึ้นกับวิธีคิดที่สำคัญต่อไปนี้
1. การจัดการกับอารมณ์เป็นความรับผิดชอบของตัวเราเอง ไม่มีใครบังคับให้ใครเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ การปรับเปลี่ยนอารมณ์ เป็นเรื่องของบุคคลที่จะจัดการตนเอง
2. การเปลี่ยนแปลงตนเองต้องมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลง หลายคนรู้ว่าตนเองมีปัญหาทางอารมณ์ แต่ขาดความตั้งใจ แก้ไข เช่น บอกว่า “ฉันเป็นอย่างนี้แหละ เปลี่ยนไม่ได้หรอก” ในความเป็นจริงเราสามารถพัฒนาความสามารถทางอารมณ์ของตัวเราเองได้ตลอดชีวิต
3. หมั่นฝึกฝนตัวเอง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแสดงออกทางอารมณ์ที่ทำจนติดมาเป็นเวลานาน ต้องอาศัยการฝึกฝนตนเองให้เกิด การเรียนรู้และเคยชินกับรูปแบบพฤติกรรมใหม่
4. ให้กำลังใจตนเอง การฝึกฝนต้องใช้เวลาปรับเปลี่ยนตนเองจากเรื่องง่ายๆ ไปหาเรื่องยาก เริ่มทำได้เล็กน้อย หมั่นให้กำลังใจตนเองให้มีความพยายามต่อไป
5. ฝึกให้เป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอ อย่าปล่อยห้าอารมณ์ขุ่นมัวกับเรื่องเล็กน้อย มองข้ามบางเรื่อง ปล่อยตนเองให้สบายไม่เคร่งเครียดเกินไป อย่าติดกับความคิดทางลบอยู่เสมอ
สรุป
อารมณ์ ส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจและพฤติกรรมของตนเอง รวมทั้งส่งผลต่อผู้อื่นด้วย การจัดการกับอารมณ์เป็นทักษะ ที่สามารถพัฒนาได้ด้วย วิธีการและเทคนิคต่างๆ เช่นการควบคุมอารมณ์ทางลบให้มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม ถือเป็นการพัฒนาตนเองให้มีความสามารถทางอารมณ์ที่มีความจำเป็นในการใช้ชีวิต และส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตด้วย
ความเครียด Stress
ความเครียด
ผศ.วินัย เพชรช่วย
ความเครียดเป็นเรื่องพื้นฐานประจำชีวิต ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทไหน ฐานะอย่างไร มีอำนาจมากแค่ไหน รูปงามหรือไม่ มีความสบาย เพียงใด ไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้ ความเครียดมาในหลายรูปแบบ เช่นการสอบไล่ครั้งสำคัญ อุบัติเหตุทางรถยนต์ การเข้าแถวรอเป็นเวลานาน วันที่อะไรๆก็ดูจะไม่ถูกต้องสักอย่าง ความเครียดขนาดปานกลางอาจเป็นแรงกระตุ้น เป็นแรงจูงใจเป็นที่ต้องการให้มีในบางครั้ง แต่ถ้าหากเครียดมาก อาจก่อปัญหาทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางพฤติกรรม
ความเครียด (stress) กระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อคนเราต้องปรับตัวหรือจัดการกับสถานการณ์แวดล้อมที่คุกคาม หรือขัดขวางการ ปฏิบัติทางกาย และทางจิตใจ (Taylor,1991) ความเครียดจึงเกี่ยวข้องกับวิธีการจัดการระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม สถานการณ์แวดล้อมที่ทำให้คนเราต้องปรับตัว (เช่น การสอบไล่ อุบัติเหตุ) เรียกว่า เหตุก่อความเครียด (stressors) ส่วนปฏิกิริยาตอบสนองทั้งทางกาย ทางจิตใจ และพฤติกรรมที่เผชิญต่อความเครียด (เช่น ปวดหัว กระวนกระวาย อ่อนล้า) เรียกว่า อาการเครียด (stress reactions)
เรื่องที่น่าสนใจคือ คนบางคนเกิดอาการเครียดได้ง่ายต่อเหตุก่อความเครียดบางอย่างมากกว่าคนอื่นๆ หรือเครียดได้ง่ายเป็นบางโอกาส ทำไมเป็นเช่นนั้น คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสื่อ (mediating factors) ซึ่งเกี่ยวข้องในการจัดการระหว่างบุคคลกับสถานการณ์แวดล้อม ปัจจัยสื่อได้แก่ตัวแปรต่อไปนี้ เช่น คนสามารถคาดการณ์หรือควบคุมเหตุก่อความเครียดได้เพียงใด เขาแปลความหมายของการคุกคามอย่างไร เขาได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นๆ อย่างไรบ้าง และรวมถึงระดับความสามารถที่เขาจะจัดการกับความเครียด (stress-coping skills) ปัจจัยสื่อเหล่านี้มีผลต่อความมากหรือน้อยของอาการเครียด
เหตุก่อความเครียด
สำหรับคนเรานั้น เหตุก่อความเครียดมีส่วนประกอบทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ เช่น นักกีฬา จะถูกกดดันทั้งจากสภาพความพร้อมของร่างกายและการต้องการเอาชนะในการแข่งขัน ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะเหตุทางจิตใจ (psychological stressors) แม้แต่เหตุการณ์ที่น่ายินดีก็ยังมีความเครียดเกิดขึ้นได้ (Brown & McGill,1989) เช่น การได้เลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนเป็นสิ่งที่ใครก็ต้องการ แต่การมีตำแหน่งสูงขึ้นจะนำมาซึ่งแรงกดดันใหม่ๆ ด้วยเสมอ บางคนจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนหลังจากเดินทางท่องเทียวพักผ่อน มีสถานการณ์และเหตุการณ์ก่อความเครียด ที่เราไม่ต้องการหลายอย่าง ได้แก่ ความยุ่งยากรำคาญใจในชีวิตประจำวัน การเปลี่ยนแปลงที่แย่ลงในชีวิต ภาระความรับผิดชอบที่กดดันในชีวิต และภัยพิบัติ เป็นต้น
ความวุ่นวายประจำวัน (daily hassles) สิ่งก่อกวน ความกดดัน ความรำคาญ ต่างๆ ถ้าหากเกิดขึ้นนานๆ ครั้งจะไม่เป็นเหตุก่อความเครียด แต่ถ้าได้รับเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดผลสะสม ทำให้มีอาการเครียดได้ เช่น การอยู่อาศัยใกล้สนามบินได้ยินเสียงเครื่องบินขึ้นลงตลอดเวลา มีผลทำให้อาการหงุดหงิดเกิดขึ้นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
การเปลี่ยนแปลงในชีวิต และภาวะกดดัน (life changes and strains) เป็นเหตุก่อความเครียดที่สำคัญ โดยเฉพาะเมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปทางลบ หรือ เป็นการบังคับให้คนต้องปรับตัวเอง เช่น การอย่าร้าง มีสมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย การว่างงาน มีปํญหาในที่ทำงาน การย้ายที่อยู่ไปเมืองอื่น เป็นเหตุการณ์ตัวอย่างบางเรื่องที่ทำให้คนต้องปรับตัวเองต่อเหตุการณ์นั้น การมีรายได้ไม่พอในการดำรงชีพ เพราะเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นตัวอย่างของการกดดันในชีวิตที่ต่อเนื่องระยะยาว
ภัยพิบัติ เป็นเหตุหนึ่งที่ก่อความเครียด เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม พายุถล่ม สงคราม ถูกข่มขู่ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ อุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วย ที่เกิดกับคนใกล้ชิด บางครั้งทำให้เกิดอาการเครียดอย่างรุนแรงได้
การวัดเหตุก่อความเครียด (measuring stressors) เพื่อจะตรวจสอบว่าเหตุก่อความเครียดตัวใดที่เป็นอันตรายมากที่สุด เช่น อยากทราบว่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเป็นเรื่องรุนแรงกว่าความยุ่งยากรำคาญประจำวันหรือไม่ นักจิตวิทยาจึงพยายามที่จะวัดผลกระทบที่เกิดจากเหตุก่อความเครียดชนิดต่าง ๆ
ปี ค.ศ.1967 Thomas Holmes และ Richard Rahe เริ่มสร้างเกณฑ์มาตรฐานในการวัดความเครียดในชีวิต ของคนเรา โดยมีความคิดพื้นฐานว่า การเปลี่ยนแปลงในชีวิตทุกกรณีไม่ว่าเป็นบวกหรือลบย่อมทำให้เกิดความเครียด ซึ่งทั้งสองได้ให้คนจำนวนมากประมาณค่าความเครียดในชีวิตจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในรูปของค่าเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือ life-change unit หรือ LCU เป็นปริมาณการปรับตัวที่ใช้ในเหตุการณ์นั้น เช่น การหย่าร้าง การถูกไล่ออกจากงาน การเกษียณอายุ สูญเสียคนรัก ตั้งครรภ์ การแต่งงาน เป็นต้น เพื่อการกำหนดประมาณค่าเหล่านี้ Holmes และ Rahe จึงพัฒนา Social Readjustment Rating Scale หรือ SRRS ขึ้นเพื่อใช้วัดค่าความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยนับจากค่า LCU รวมของทุกเหตุการณ์ที่คนประสบมา
ตาราง แสดงเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตและค่าการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิต
(Life Events and Weighted Values)
T.H.Holmes and R.H. Rahe. (1976,Aug.) The social readjustment rating scale,
Journal of Psychosomatic Research, 11, 213.
· Tab 2
นักวิจัยยังได้พัฒนาแบบสอบถามที่ใช้วัดความรำคาญใจและความปลอดโปร่งใจประจำวันของคนเรา โดยเชื่อว่าเหตุการณ์ประจำวัน ก็สามารถเป็น ตัวทำนายความเครียดของคนได้ดีพอกันกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงสำคัญในชีวิต หรืออาจจะดีกว่าอีกด้วย (Garrett et al.,1991) แต่จะต้องพิจารณาปัจจัยสื่อที่เกิดขึ้นในขณะนั้นประกอบด้วย
อาการเครียด
อาการเครียด มักจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ และการแสดงพฤติกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อเหตุก่อ ความเครียดมีผลรุนแรง มาก นอกจากนั้นแล้ว อาการเครียดด้านหนึ่งสามารถก่อให้เกิด อาการเครียดในด้านอื่นได้ด้วย เช่น อาการเครียดทางกายที่รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ที่หน้าอก จะมีอาการเครียดทางจิตใจ คือ วิตกกังวลว่าตนเป็นโรคหัวใจ เป็นต้น ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึงลักษณะอาการเครียดประเภทต่างๆ
อาการเครียดทางร่างกาย ใครที่เคยประสบกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน อุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่ไม่คาดคิดมาก่อน จะพบว่ามีอาการทางกาย ตอบสนองต่อ เหตุการณ์นั้น เช่น หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก และตัวสั่น อาการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ กลุ่มอาการสู้หรือหนี (fightor flight syndrome) เป็นการเตรียมร่างกายให้เผชิญหน้า หรือหลีกหนีจากเหตุการณ์ที่คุกคามในขณะนั้น แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป แล้วอาการเหล่านั้น จะค่อย หายไป อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเหตุก่อความเครียดมีผลกระทบอยู่นาน อาการเหล่านั้นเป็นเพียงการเริ่มต้นของอาการเครียดเท่านั้น
Hans Selye สังเกตทั้งจากสัตว์และมนุษย์ พบว่าอาการเครียดทางกายมีลำดับการเกิดที่แน่นอน เพื่อกระตุ้นให้ปรับตัวต่อเหตุก่อความเครียด Selye เรียกลำดับอาการนี้ว่า GAS หรือ General Adaptation Syndrome (Selye,1976) ลักษณะอาการ GAS มี 3 ขั้น
ขั้นที่ 1 ขั้นตื่นตระหนก (alarm reaction) มีลักษณะเหมือนอาการสู้หรือหนี ในกรณีที่เหตุก่อความเครียดไม่รุนแรง เช่น ห้องมีอากาศร้อน อาการที่เกิดเป็นเพียงหัวใจเต้นแรงเร็วขึ้น เหงื่อออก หายใจแรง เพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกาย ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีก อาการนี้จะรุนแรงขึ้นด้วย ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ใช้พลังงานมากขึ้น เหมือนยามได้ยินสัญญาณเตือนภัยกันขโมย
การตื่นตระหนกเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของระบบประสาทซิมพาธิติก ในระบบประสาทอัตโนมัติ โดยการทำงานของอวัยวะ และต่อมใน วงจรซิมพาโธอะดรีโนเมดัลลารี่ (SAM: sympatho-adreno-medullary system) เหตุก่อความเครียด จะไปกระตุ้น ไฮโปธาลามัส ในสมองให้กระตุ้นประสาทซิมพาธิติก และกระตุ้นต่อมอะดรีนัลเมดัลลา หรือส่วนในของต่อมอะดรีนัล ทำให้ต่อมอะดรีนัลปล่อย ฮอร์โมนคะธีโคลามีน (catecholamines) ซึ่งได้แก่ อะดรีนาลีน (adrenaline) และนอร์อะดรีนาลีน (noradrenaline) เข้าสู่ระบบการหมุนเวียนของโลหิต ทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของตับ ไต หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร และอื่นๆ มากขึ้น ผลที่ตามมาคือ ความดันโลหิตสูงขึ้น การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และการเปลี่ยนแปลงทางกายอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับ การจัดการกับ เหตุก่อความเครียด
ขั้นที่ 2 ขั้นต่อสู้ (resistance stage) ถ้าเหตุก่อความเครียดยังคงมีอยู่ต่อไป อาการเครียดจะเข้าสู่ระยะที่ร่างกายเริ่มต่อต้านหรือต่อสู้กับมัน ในขั้นนี้ อาการตื่นตระหนกของขั้นที่ 1 จะค่อยหายไป และร่างกายจะปรับตัวเอง เพื่อผจญกับเหตุก่อความเครียดในระยะยาว พลังงานที่ใช้ เพื่อต่อสู้น้อยกว่าขั้นแรก แต่ร่างกายต้องทำงานหนักกว่า เพราะจะเกี่ยวข้องกับ วงจรพิจุอิตารี่อะดรีโนคอร์ติคัล (PAC: pituitary-adreno-cortical system) ซึ่งทำงานแทนที่วงจร SAM ไฮโปธาลามัส กระตุ้นต่อมพิจุอิตารี่ซึ่งอยู่ใต้สมอง ทำให้ต่อมนี้ปล่อย ฮอร์โมนอะดรีโนคอร์ติโคทรอปิก (ACTH: adrenocorticotropichormone) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นส่วนนอกของต่อมอะดรีนัล ให้ฉีดฮอร์โมนคอร์ติโคสเตอรอยด์ (corticosteroids) ออกมา ฮอร์โมนนี้จะทำให้ร่างกายดึงพลังงานสำรอง ที่สะสมไว้มา เพื่อการต่อสู้กับ การเปลี่ยนแปลงทางกาย เช่น ความปวดเมื่อย อาการอักเสบ หรือความรำคาญต่าง ๆ
ผลโดยรวมของการปรับร่างกายที่กล่าวมานี้ คือการเตรียมร่างกายให้มีพลังงานได้ใช้ เมื่อเผชิญกับเหตุก่อความเครียด ยิ่งมีเหตุมากและ ก่อความเครียดอยู่นานเท่าใด ร่างกายก็ยิ่งต้องใช้พลังงานไป เพื่อการนี้มากขึ้นและนานขึ้นเท่ากัน เพื่อต่อต้านหรือต่อสู้กับมัน ทำให้ร่างกาย ต้องสูญเสียเป็นอันมาก แม้จะเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่ในที่สุดแล้วอาจถึงกับต้องใช้พลังงานไปจนหมด และความสามารถในการต้านทาน ความเครียด ก็หมดลงด้วย เป็นการเข้าสู่ขั้นที่ 3 ของการปรับตัว
ขั้นที่ 3 ยอมแพ้หรือเสื่อมสลาย (exhaustion) ถ้าในกรณีที่ร้ายแรงมาก เช่น ต้องเผชิญกับภาวะอากาศที่หนาวจัดหรือร้อนจัดเป็นเวลานาน อาจถึงเสียชีวิตได้ โดยทั่วไปแล้ว ในขั้นนี้จะเห็นสภาพของร่างกายเสื่อมโทรม มีความอ่อนล้าของระบบต่างๆ ที่ต้องต่อสู้มาในขั้นที่ 2 เช่น ต่อมอะดรีนัลต้องปล่อยอะดรีนาลีนและคอร์ติโซลเป็นปริมาณมากตลอดเวลา อาจทำให้เส้นเลือดและหัวใจมีความผิดปกติเสียหาย ส่งผลให้ภูมิต้านทานโรคลดต่ำลง มีอาการเจ็บป่วยต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่ โรคหัวใจ ความดันเลือดสูง ปวดตามข้อกระดูก จนถึงอาการเป็นหวัด เป็นไข้ตัวร้อน เป็นต้น อาการเจ็บป่วยที่เกิดจากการต่อสู้กับความเครียดนี้ Selye เรียกว่า โรคของการปรับตัว (diseases of adaption)
แม้การอธิบายอาการเครียดของ Selye จะได้รับการยอมรับมาก แต่ก็มีผู้วิจารณ์ว่าได้มองข้ามความสำคัญของปัจจัยทางจิตใจ ที่เกี่ยวกับ ความเครียดไป เช่น ภาวะทางอารมณ์ และความคิดที่คนเรามีต่อเหตุก่อความเครียด จึงมีการพัฒนาคำอธิบายเรื่องนี้ในรูปแแบบ ชีวจิตวิทยา (biopsychological models) ซึ่งให้ความสำคัญต่อร่างกายและจิตใจที่มีผลต่ออาการเครียด
ปัจจัยทางจิตใจที่ส่งผลต่ออาการเครียด ได้แก่ คนคิดอย่างไรต่อเหตุก่อความเครียด เขาควบคุมมันได้หรือไม่ มันเป็นสิ่งคุกคาม หรือเป็นสิ่ง ท้าทาย ความคิดที่ต่างกันมีผลต่ออาการเครียดไม่เหมือนกัน นอกจากนั้น การคุกคาม ความขัดแย้งในใจ ความคับข้องใจ หรือเหตุทางจิตใจอื่นๆ ก็เป็นเหตุให้มีอาการเครียดที่เป็นอันตรายได้ เช่นเดียวกับที่เกิดจากอาการเครียดทางกาย
อาการเครียดทางอารมณ์ อาการเครียดทางกายที่กล่าวมาแล้วนั้นมักจะเกิดอาการเครียดทางอารมณ์ควบคู่ด้วยเสมอ ถ้ามีโจรเอาปืนมาขู่ เพื่อเอาทรัพย์สินของเรา อาการทางกายหรือ GAS จะเกิดขึ้นทันที เป็นการตื่นตระหนก แต่ก็จะเกิดอารมณ์รุนแรงขึ้นด้วย เช่น กลัว โกรธ ถ้าเราจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ คงบอกว่า "รู้สึกกลัว โกรธ และคับแค้นใจ" มากกว่าที่จะบอกว่า "หัวใจฉันเต้นแรงและเร็วขึ้น ขณะที่ความดันโลหิตก็เพิ่มขึ้นสูง" เป็นการบอกความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์หรือความรู้สึก
ส่วนใหญ่แล้ว อาการเครียดทางอารมณ์มักจะหายไปหลังจากตัวก่อเหตุผ่านไปไม่นานนัก แต่ถ้าเหตุก่อความเครียดเกิดขึ้นนานต่อเนื่อง หรือบ่อยๆ อาการเครียดทางอารมณ์จะคงเป็นอยู่ หากไม่สามารถคืนสู่ปรกติได้ คนเราจะรายงานว่า รู้สึกตึงเครียด ไม่มีสมาธิ กระวนกระวาย หัวเสียได้ง่าย เป็นต้น
อาการเครียดทางความคิด (cognitive stress responses) อาการทั่วไปทางความคิดเมื่อคนเครียดได้แก่ การสูญเสียสมาธิในการคิด ความชัดเจนในความคิดลดลง ความจำมักคลาดเคลื่อนไปจากปกติ อาการเครียดที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือการคาดคิดมากเกินเหตุ ในกรณีที่ต้องเผชิญกับเหตุก่อความเครียด เช่น ในการสอบไล่แต่ละครั้ง นักศึกษาที่มีความวิตกกังวลกับการสอบสูงมักจะพูดกับตัวเองว่า "ฉันต้องสอบตกแน่ๆ คราวนี้" หรือ "ใครๆคงจะสอบผ่านได้ ยกเว้นตัวฉันคนเดียว" อาการอย่างนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่มีความสามารถปานกลาง ที่ไม่แน่ใจในตัวเองว่า จะทำได้ดีเพียงใด การคิดมากเกินเหตุ นอกจากทำให้สูญเสียสมาธิ แบ่งแยกความสนใจ และบั่นทอนความสามารถ ในการคิดแล้ว ยังไปเพิ่มความรุนแรงให้ความเครียดทีมีอยู่ ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อการงาน ที่กระทำด้วย หรืออาจพูดอีกนัยหนึ่งว่า กลัวความล้มเหลวมากเกินไปก็จะทำให้ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้จริง ๆ
อาการเครียดทางพฤติกรรม (behavioral stress responses) สิ่งบอกเหตุว่า คนเครียดทางกายหรือทางอารมณ์ สังเกตได้จากอาการทางกาย การกระทำ หรือการพูด เช่น ใบหน้าที่มึนตึง เสียงไม่ราบเรียบ ร่างกายสั่นหรือเกร็ง อาการอยู่ไม่เป็นสุข นักจิตวิทยาสามารถสังเกตอาการเครียดจาก ลักษณะท่างทางภายนอกของบุคคลได้ อาการเครียดทางพฤติกรรมที่ชัดเจนก็มีให้เห็นได้ ในกรณีที่คนพยายามจะหลบหนีหรือป้องกันตนเอง จากเหตุก่อความเครียด บางคนลาหยุดงาน หนีโรงเรียน ลาออกจากการเรียน หันไปดื่มเหล้า หรือแม้แต่พยายามทำร้ายตนเอง หรือฆ่าตัวตาย ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้คนที่มีความเครียด ไม่มีโอกาสที่จะเรียนรู้การปรับตัว หรือจัดการกับ ความเครียดที่ถูกต้องได้
ความก้าวร้าว เป็นอีกอาการหนึ่งที่แสดงถึง อาการเครียด และมักจะแสดงต่อบุคคลที่อยู่ใกล้ชิด หลังจากที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุ เป็นเวลานาน พบว่ามีเหตุการณ์ก้าวร้าวรุนแรงเพิ่มขึ้นมากในครอบครัวของผู้ประสบภัย แสดงว่า ความเครียดเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้คนมีอาการก้าวร้าว
ภาวะเครียดสุดขีด (burnout) ในบางครั้งอาการเครียดทางกาย ทางอารมณ์ และทางพฤติกรรมเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ซึ่งเรียกว่าเป็น ภาวะเครียดสุดขีด ซึ่งอาจมีความผิดปกติและสะสมไว้จนสุดทน เนื่องจากมีเหตุก่อความเครียดต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง และอาการเครียดทุกด้าน เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถึงภาวะเครียดสุดขีด ลักษณะของคนที่มีอาการเครียดจะแตกต่างไปจากสภาพปรกติของเขา คนที่เคยทำงานดี เป็นที่ไว้ใจได้จะมีผลงานแย่ลง ไม่ค่อยสนใจ มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง คนที่อยู่ในภาวะนี้จะทำงานผิดพลาดบ่อย นอนหลับนานกว่าปรกติ อาจหันวิถีชีวิตไปดื่มสุราหรือติดยา มีอาการรุกรี้รุกรน หวาดระแวง หลบหนีผู้คน เศร้าซึม ไม่สนใจที่จะพูดเรื่องความเครียดหรือปัญหาอื่นใด
ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (posttraumatic stress disorder) คนที่ประสบกับเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญมากๆ เช่น ในอุบัติเหตุ หรือภัยพิบัติจะมีลักษณะอาการเครียดที่เกิดขึ้น เช่น ความวิตกกังวล อยู่เฉยไม่ได้ คิดฟุ้งซ่าน ไม่สามารถรวบรวมสมาธิ หรือทำงานใด สำเร็จได้ ไร้ความรู้สึก กลัวที่จะต้องพบผู้คน ที่สำคัญคือ เหตุการณ์ร้ายที่สะเทือนขวัญนั้น จะมาก่อกวนความคิดอยู่ตลอดเวล าหรือฝันถึงในขณะนอนหลับ ในบางกรณีคนที่มีอาการนี้คิดว่ามีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ กับตนซ้ำอีก ในเหตุการณ์ที่มีคนตายมากๆ ผู้ที่มีชีวิตรอดมักจะเครียดจัด ยิ่งถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ ยิ่งรู้สึกผิด โทษตัวเองและเศร้าซึมมากขึ้น อาการผิดปกติอาจเกิดขึ้นได้ทันที หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นสัปดาห์ เดือน หรือเป็นปีก็ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะต้องได้รับความช่วยเหลือ จากมืออาชีพ แม้บางรายอาจไม่ต้องเพราะเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ อาการจะค่อยหายไป แต่ผู้ใกล้ชิดจะต้องให้ความช่วยเหลือดูแล ให้กำลังใจเพื่อให้หายเร็วขึ้น
· Tab 3
ปัจจัยสื่อความเครียด
ปัจจัยสื่อ (stress mediators) หมายถึง ลักษณะของปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับเหตุก่อความเครียด ซึ่งมีผลต่อความรุนแรงของอาการเครียด แตกต่างกัน ในระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซีย เมื่อปี ค.ศ.1991กองกำลังสหประชาชาติถูกเพื่อนทหารด้วยกัน ยิงตายหลายคน โดยเฉพาะนักบิน ที่บินผ่านแนวสนับสนุนของทหารราบ แล้วถูกยิงโดยเข้าใจผิดคิดว่า เป็นเครื่องบินของศัตรู การตัดสินใจผิดพลาด เช่นนี้หลายครั้งเกิดจาก ความเครียดในการรบ ทำไมความเครียดจึงมีผลต่อทหารบางคนแต่ไม่มีผลต่อคนอื่นๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า บางคนรอดตาย มีชื่อเสียงใน สถานการณ์เดียวกันกับที่บางคนหมดอาลัยในชีวิต ท้อแท้ และเครียดจัด ซึ่งทั้งนี้เป็นผลจากปัจจัยสื่อที่ไม่เหมือนกัน ได้แก่
คาดการณ์และควบคุมสถานการณ์ได้เพียงใด (predictability and control) ถ้าคนเรารู้ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้น ก็ยังไม่แน่นอนว่า จะมีผลต่อความเครียดมากน้อยเพียงใด เช่น ภรรยาของทหารอเมริกันที่รู้เพียงว่าสามีสูญหายไปในสงครามเวียดนาม จะมีสุขภาพทางกาย และจิตเสื่อมมากกว่าภรรยาที่รู้แน่ว่าสามีตายในสงครามหรือถูกจับเป็นเชลย เหตุก่อความเครียด ที่คนสามารถ คาดการณ์ได้แน่นอน มีผลต่อความเครียดน้อยกว่าเหตุที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่อาจคาดการณ์ได้ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อเหตุนั้นรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
นักจิตวิทยาได้ทดลองกับหนู พบว่าถ้าหนูได้รับสัญญาณเตือนทุกครั้งก่อนจะถูกไฟฟ้าดูดจะไม่มีอาการที่รุนแรงทางกาย สามารถกินอาหาร ดื่มน้ำได้ เป็นปรกติ เมื่อเปรียบเทียบกับหนูอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีสัญญาณเตือนก่อนถูกไฟฟ้าดูด (Weinberg & Levins,1980) ในหมู่มนุษย์ คนที่สามีหรือภรรยาเสียชีวิตอย่างกระทันหัน จะมีอาการไม่เชื่อว่าเป็นจริง วิตกกังวล เศร้าซึมมากกว่าคนที่รู้ล่วงหน้าเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และได้เตรียมตัวเตรียมใจรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว (Parkes & Brown,1972) แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า การคาดการณ์ได้สามารถ ป้องกัน เหตุก่อความเครียดได้ เพราะจากการทดลองพบว่า ถึงคาดการณ์ได้ว่า จะมีเหตุก่อความเครียดเกิดขึ้นในระดับปานกลางก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นต่อเนื่องกันนานๆ ก็อาจทำให้เกิดความเครียดรุนแรงได้ เช่นเดียวกันหรือมากกว่าเหตุที่คาดการณ์ได้ (Abbott,Schoen & Badia,1984)
เพียงแต่คนมีความเชื่อว่า ตนเองสามารถควบคุมเหตุการณ์ก่อความเครียดได้ ก็สามารถลดความรุนแรงของผลกระทบได้ คนที่คิดว่า ตนเองไม่สามารถควบคุมเหตุร้ายที่เกิดกับตัวเองได้จะแสดงอาการที่เป็นปัญหาทางกายและทางอารมณ์บ่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองสิ้นหวัง ทอดอาลัย ซึ่งจะค่อยๆพัฒนาอาการเศร้าซึมและความบกพร่องทางจิตขึ้น พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางจะรักษาให้หายได้ มีอัตราการตายสูงกว่าผู้ป่วยที่มีความเชื่อมั่นว่ายังมีทางรักษาให้หายได้ (Jensen,1987; Rodin & Salovey,1989)
การแปลความหมายของเหตุก่อความเครียด (how stressors are interpreted) มีผลกระทบมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับ การรับรู้และ ความคิดของบุคคล ต่อเหตุก่อความเครียด ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่คนมีต่อเหตุการณ์หนึ่งๆ ย่อมเป็นไปตาม ความคิดความเข้าใจ ที่เขามีต่อ เหตุการณ์นั้น ว่าเป็นสิ่งคุกคามที่ควบคุมไม่ได้ หรือเป็นสิ่งท้าทายที่ควบคุมได้ เหตุการณ์ธรรมดาบางอย่างอาจทำให้เครียดได้ ถ้าหากมีผู้ให้คำแนะนำ หรือชี้แนะให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งคุกคาม จะพบว่าคนที่ถูกผู้อื่นครอบงำทางความคิด มักมีความวิตกกังวล และเครียดได้ง่ายกว่า คนที่มีความคิดเป็นของตนเอง
ทักษะการจัดการความเครียด (coping skills) เหตุก่อความเครียด จะมีผลน้อยในการทำให้เกิดอาการเครียด กับคนที่มีความสามารถ หรือทักษะสูง ในการจัดการกับความเครียด วิธีจัดการกับความเครียดมีหลายวิธี แต่อาจจัดเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท ซึ่งมักจะเกิดขึ้นควบคู่กันไปเมื่อมีความเครียด คือ เน้นการแก้ปัญหา (problem-focused) คือ พยายามศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อทำให้เหตุก่อความเครียดลดน้อยลงหรือขจัดให้หมดไป โดยวิธีการต่างๆ เช่น
* ยอมรับและเผชิญหน้าต่อสู้ตามความต้องการของตนเอง (confronting)
* ขอความคิดเห็นและความช่วยเหลือจากผู้อื่น (seeking social support)
* แก้ปัญหาโดยวางแผนเป็นขั้นตอน (planful problem solving)
เน้นการปรับอารมณ์ตนเอง (emotion-focused) หมายถึง วิธีการจัดการปรับเปลี่ยนหรือควบคุมอารมณ์เชิงลบที่เกิดขึ้น เนื่องจากตัวเหตุก่อความเครียด ให้เป็นที่ยอมรับได้ ในลักษณะต่างๆ เช่น
* เก็บความรู้สึกและอารมณ์ไว้กับตนเองไม่ให้ใครรู้
* ไม่พยายามคิดถึงเหตุที่ทำให้เครียด
* สร้างความรู้สึกต่อตนเองเสียใหม่ในเชิงบวก
* ยอมรับว่าตนสร้างปัญหาขึ้นมาเอง
* หวังว่าเหตุการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นหรือสิ้นสุดลงได้เมื่อเวลาผ่านไป
· Tab 4
ความเครียด
ผศ.ดร.เริงชัย หมื่นชนะ
ปัจจุบันคำว่า ความเครียดเป็นคำที่กำลังฮิทและฮอทพอ ๆ กับคำว่าไอเอมเอฟ เนื่องจากสภาวะการณ์ต่างๆ ให้บุคคลต้องเกิดความเครียด จึงขอกล่าวถึงคำจำกัดความของคำว่า ความเครียด ความเครียดคือ การหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง ที่เกิดความเครียด หรือการหดตัวหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย อาการเครียดนั้นอาจเกิดทีเดียวที่เราใช้อวัยวะส่วนนั้น หรืออาจเกิดพร้อม ๆ กับหลายที่ ถ้าเราใช้อวัยวะส่วนนั้น ๆ พร้อม ๆ กับหลายส่วน เช่น นักกีฬาเทนนิส ต้องใช้แขนในการตี ขาในการวิ่ง สมองและความคิดในการสั่งงาน ในลักษณะดังกล่าวความเครียดอาจมีที่แขน ขา สมอง อีกนัยหนึ่งความเครียดหมายถึง ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ตรงกับความปรารถนา หรือที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรือทนได้ต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ การดัดแปลงให้เหมาะกับร่างกาย ความคิดและจิตใจ (Velda Sansri , 1986) หมายความว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้น ถ้าเราทนได้ก็จะไม่เกิดความเครียด เช่น ฝนตกหนักถ้าตนนั้นชอบฝนก็จะรู้สึกดีใจ พอใจ แต่ถ้าตนนั้นไม่ชอบหรือไม่สามารถจะทนกับฝนที่ตกได้ก็จะทำให้เกิดความเครียดหรือแม้แต่การอ่านหนังสือ บางคนสามารถอ่านได้นานนับชั่วโมงก็ไม่เกิดความเครียดนั่นแสดงว่า ร่างกายของเขาสามารถทนได้กับสถานการณ์นั้นได้ แต่ถ้าอ่าน ๆ ไปเมื่อเกิดความเครียดเล็กน้อยก็ไม่หยุด นานเข้าก็จะเกิดความเครียด
จากที่กล่าวมาจึงกล่าวได้ว่า ความเครียดคือการหดของกล้ามเนื้อของร่างกาย อันเกิดขึ้นเนื่องมาจาก ความเปลี่ยนแปลงของ ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อยู่ทั่ว ๆ ไปที่มากหรือน้อยเกินไปที่เราไม่สามารถปรับตัวได้กับปรากฏการณ์อันนั้น
ผลของความเครียด
ผลของความเครียดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจดังนี้คือ
1. หัวใจเต้นแรงและเร็วนั้น เพื่อฉีดเลือดไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายและขับของเสียออกจากกระแสเลือด
2. หายใจไม่ทั่วท้อง เป็นลักษณะการหายใจที่ไม่ลึกและเบาบาง
3. มีการขับสารอรีนารีนและฮอร์โมนอื่น ๆ เข้ากระแสเลือด
4. ตับปล่อยน้ำตาลที่สะสมไว้เข้าไปในกระแสเลือดเพื่อให้เกิดพลังในการเอาชีวิตรอดจากอันตรายทีเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
5. ม่านตาขยายเพื่อให้รับแสงได้มากขึ้น เช่น การมองจ้องโดยไม่กระพริบตา
6. กล้ามเนื้อหดเกร็งเพื่อต่อสู้หรือถอยหนีหรือยอมจำนนไม่ยอมทำอะไร
7. เส้นเลือดบริเวณอวัยวะย่อยอาหารหดตัว
8. เส้นเลือดที่ไปสู่สมองและกล้ามเนื้อใหญ่ ๆ ทั่วร่างกายขยายตั
ผลดีและผลเสียของความเครียด
ผลดีของความเครียด
1. มนุษย์ทุกคนต้องมีความเครียดและความเครียดมีความสำคัญต่อชีวิต เพราะมนุษย์จะต้องดำเนินจัดการ ดูแลร่างกายของตนเอง ไปตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่มีความเครียดการจะทำงานอะไรก็จะสำเร็จยากเพราะขาดความจริงจัง เอาใจใส่ กระตือรือร้น ขวนขวาย แสวงหา ถ้ามีความเครียดชีวิตจะเลื่อนลอยอยู่ไปวัน ๆ
2. มนุษย์นอกจากดูแลรักษาชีวิตแล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือมนุษย์จะต้องมีงานหรือกิจกรรม (Activities) ที่จะต้องทำทุกวันตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อทำกิจกรรมก็จะต้องมีปัญหามากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ลักษณะ ตัวปัญหานี้และเป็นตัวที่ทำให้มนุษย์เครียดเพื่อที่จะเอาชนะปัญหานั้น ๆ
3. ประสบการณ์การเรียนรู้ทุกอย่าง (Every Learning Experience) ทำให้เกิดความเครียด ประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ถ้าเป็นประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้ว ความเครียดก็จะมีน้อยเพราะเคยเรียนรู้มาแล้ว แต่ถ้าการเรียนรู้นั้นเป็นประสบการณ์ใหม่ มนุษย์จะต้องแสวงหาแนวหลาย ๆ แนวทางมีการลองผิดลองถูกต่าง ๆ นานา บางทีก็แก้ปัญหาได้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดได้
ผลเสียของความเครียด (มากเกินไป)
1. ความเครียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สะสมนาน ๆ จนกลายเป็นเรื้อรังจะทำอันตรายแก่ร่างกาย
2. ทำให้สมองและร่างกายอยู่ในภาวะที่อ่อนเพลียจนอาจไม่สบาย เจ็บป่วยทางสมองหรือร่างกาย
3. จะเกิดความรุนแรงกับตนเอง เช่น เป็นโรคประสาท โรคหัวใจ มะเร็ง เป็นต้น
4. เกิดความรุนแรงในครอบครัว เช่น ทำร้ายเด็ก ทำร้ายคู่สมรส ข่มขืน
5. เกิดความรุนแรงแก่สังคม เช่น ก่ออาชญากรรม ปล้นฆ่า ติดยาเสพติด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด
1. สภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะ อากาศ น้ำ เสียงดัง การจราจร ความแออัดของประชาชน
2. สภาพเศรษฐกิจ เช่น ยุค IMF ปัจจุบันเศรษฐกิจตกต่ำทุกหย่อมหญ้า ข้าวยากหมากแพง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย
3. สภาวะทางสังคมที่มีความแข่งขันงานมีน้อยกว่าคนที่ต้องการทำงาน
4. ดื่มหรือเสพสิ่งเสพติด เช่น เหล้า บุหรี่ กัญชา ฝิ่น เฮโรอีน ยาบ้า ยาอี
5. มีความขัดแย้งกับคนอื่นอยู่บ่อย ๆ เป็นประจำ
6. เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันหรือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต้องการ เช่น พ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดเสียชีวิตกระทันหัน อุบัติเหตุ
7. การถูกไล่ออกจากงาน บริษัทห้างร้านพยายามลดจำนวนพนักงานจะเหลือไว้เฉพาะส่วนที่จำเป็น บางครั้งรุนแรงถึงเกิดการฆ่าตัวตาย
· Tab 5
การป้องกันไม่ให้เกิดความเครียด
1. การสนทนากับพระสงฆ์เพื่อให้ความเข้าใจชีวิตและสภาวะธรรมต่าง ๆ
2. การไหว้พระสวดมนต์
3. การเป็นคนมีศีลธรรม จริยธรรม มีความประพฤติดีงาม
4. ฝึกทำสมาธิวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 5-10 นาที เช้าและเย็น
5. ออกกำลัง เสริมสร้างสภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ว่ายน้ำ เล่นกีฬา
6. วางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ งานไหนควรทำก่อน – หลัง จัดแบ่งเวลาให้เหมาะสมกับสภาพและลักษณะงาน
7. หยุดพักผ่อนบ้าง ถ้าทำงานนั้นนานเกินไป
8. เสริมสร้างกำลังใจและคิดในทางบวก เช่น คนที่รวยกว่าเรา ก็ไม่อิจฉาคิดว่าเรามีอยู่มีกันเท่านี้ก็พอแล้ว เห็นคนอื่นมีรถราคาแพง ๆ เราโหนรถเมล์ก็คิดว่าเรายังดีที่มีเงินเดือนมีงานทำมีสตางค์นั่งรถเมล์มาทำงานก็ดีถมไป ดีกว่าคนอื่นที่ด้อยกว่าเราในด้านต่างๆ ก็จะทำให้ใจสบาย
9. มีการพักผ่อนที่พอเพียง ใช้เวลาช่วงใดช่วงหนึ่งของกลางวันอาจงีบสักพักหน่อย หรืออยู่ที่เงียบ ๆ คนเดียวสักพัก หรือหลับตาสักพักไม่จำเป็นต้องหลับก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้น
10. ไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อหาสาเหตุของการปวดศรีษะหรืออาการเครียดต่าง ๆ
11. พูดคุยกับเพื่อนสนิทหรือคนรู้ใจ
12. ยอมรับสภาพความจริง ทำอะไรต้องดูกำลังและความสามารถ ถ้าเกินความสามารถขืนทำไปจะทำให้เกิดความเครียดได้
ผู้ที่สามารถให้คำแนะนำในการผ่อนคลายความเครียด นักสังคมสงเคราะห์ พระ จิตแพทย์ นักจิตวิทยาและพยาบาล พ่อแม่ เพื่อน ครูอาจารย์ หรือคนที่เราไว้ใจที่สุด
วิธีการลดความเครียด
วิธีการลดความเครียดสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และวิธีการที่จะยอมรับเอาไปใช้ ขอเสนอวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
1. การเล่นดนตรี ฟังเพลงก็เป็นการช่วยลดความเครียดได้ เพราะดนตรีและเพลงทำให้เราเพลิดเพลิน ทำให้ลืมเรื่องที่เครียด
2. การนวด เพราะการนวดทำให้ได้สัมผัสส่วนที่เครียด ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นผ่อนคลายลง
3. มุ่งแต่สิ่งที่เป็นปัจจุบัน คนเรามีอดีตที่ไม่น่าพอใจเป็นทุกข์ด้วยกันทุกคน ถ้านึกถึงอดีตที่ไม่พอใจบ่อย ๆ จะทำให้เกิดทุกข์เครียดได้และอย่าคิดถึงอนาคตเพราะยังมาไม่ถึง
4. สร้างนิสัยสดชื่น ยิ้มแย้มเสมอ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง
5. หลีกเลี่ยงการสร้างศัตรู เพราะการมีศัตรูจะทำให้เราต้องหวาดระแวง กลัวต่าง ๆ นานา เมื่อนั้นความเครียดก็จะตามมา
6. การใช้ยาลดความเครียด การใช้ยานั้นจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น เช่น ยาพวกบาบิตเรท ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ เป็นต้น
· Tab 6
การฝึกผ่อนคลายความเครียด
1. ฝึกการหายใจให้ถูกวิธี คือการหายใจให้ลึก ช้าและสม่ำเสมอหมายถึง การหายใจจนถึงส่วนล่างสุดของปอดและหายใจออกจนลมหายใจออกจากปลายจมูกจนหมดแล้วก็หายเข้าจนถึงปอด ลองฝึกดูถ้าทำจนเป็นนิสัยจะช่วยลดความเครียดได้
2. การฝึกสมาธิ คือ การฝึกให้เอาความสนใจไปอยู่ที่จุดหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ด้วยจิตใจที่สงบนิ่งไม่วอกแวกโดยมีสติระลึกรู้ตลอด วิธีการฝึกสมาธิมีหลายวิธีการ เช่น การนับเลข การกำหนดลมหายใจเข้าออก การกำหนดยุบพองของท้อง โดยการกำหนดรู้ เช่น หายใจเข้ากำหนดรู้ว่า พุท หายใจออกกำหนดว่า โธ หรือหายใจเข้ากำหนดรู้ว่า ยุบหนอ หายใจออกกำหนด พองหนอ
3. การใช้เครื่อง Biofeedback เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดที่จะบอกได้ว่า ขณะนี้ร่างกายมีความเครียดมากน้อยขนาดไหน โดยอาจจะแสดงให้รู้ในรูปแบบของมิเตอร์วัด หรือเป็นแบบเสียง เป็นต้น
4. การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
พยายามหาที่เงียบ ๆ แต่งกายจัดเสื้อผ้าให้อยู่ในลักษณะสบายจะนอนหรือจะนั่งก็ได้
หลับตา
เริ่มต้นให้ความรู้สึกที่เท้าโดยยกเท้าหน้านั้นให้ส้นเท้าอยู่กับพื้น แล้วเกร็งปลายเท้าโดยงอนิ้วเท้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วค่อย ๆ คลายนิ้วเท้าออก ทำอย่างนี้สัก 10 ครั้ง
ให้ความรู้สึกอยู่ที่น่องโดยยกส้นเท้าขึ้น ให้ปลายเท้าอยู่กับพื้น โดยเกร็งน่องให้มากที่สุดแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกอยู่ที่หน้าขา โดยให้ส้นเท้ากดที่พื้นอย่างแรงแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกที่อยู่บริเวณหน้าท้อง เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องจนรู้สึกเครียดแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกอยู่ที่บริเวณหน้าอก เกร็งหน้าอกให้แน่นแล้วหายใจให้เต็มปอด พร้อมใช้แขนแนบข้างสองข้างไว้จนเครียดแล้วผ่อนคลายออกพร้อมกับหายใจออกช้า ๆ
ให้ความรู้สึกอยู่ที่แขนทั้งสองข้างโดยให้แขนชิดลำตัว ให้หงายหน้าแขน หงายฝ่ามือแล้วงอมือ แขนขาเข้าหาตัวในลักษณะเบ่งกล้ามเกร็งจนเครียดแล้วผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกอยู่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ทำการห่อไหล่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ทั้งสองข้าง เกร็งให้มากที่สุดแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกอยู่ที่คอ โดยให้คออยู่ในระดับตรงแล้วให้หงายมือทั้งสองข้างวางไว้ใต้คาง ใช้คางดันฝ่ามือลง ฝ่ามือก็ดันขึ้นจนเครียดแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกอยู่ที่หน้าผาก โดยเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกอยู่ที่คิ้ว โดยการขมวดคิ้วเข้าหากันจนเกิดความเครียด แล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง ทำให้แก้มมุมทั้งสองข้างให้ลึกจนเครียดแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ให้ความรู้สึกมาอยู่ที่ปาก ทำการเม้มปากให้มากจนปากเกิดความเครียดแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลาย
5. การนวดเพื่อผ่อนคลายความเครียด โดยการนวดไหล่และต้นคอ
ให้นั่งอยู่ในท่าที่สบาย ๆ เอามือวางที่ไหล่ทั้งสองข้างแผ่เมตตา ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุข ให้เอามือลูบไหล่และหลังส่วนบนเบา ๆ ใช้น้ำหนักตัวกดลงบนไหล่ทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน หรือจะกดทีละข้างก็ได้ ใช้นิ้วกดลงที่ไหล่ทั้งสองข้างหรือทีละข้าง (กดแช่ไว้ 5-7 นาที) แล้วคลายนิ้วออก กดตั้งแต่ไหล่ด้านในจนถึงไหล่ด้านนอก ใช้มือหนึ่งจับหน้าผาก อีกมือหนึ่งนวดต้นคอตั้งแต่ด้านในออกไปด้านนอก ใช้มือข้างหนึ่งจับหน้าผาก อีกข้างหนึ่งจับท้ายทอย กดเบา ๆ แล้วกดสวนเข้าหากัน ใช้หัวแม่มือกดขมับทั้งสองข้าง หรือจะใช้อุ้งมือก็ได้ให้นิ้วมือเหยียดชี้อออกในลักษณะขนาบกับศรีษะ พยายามให้ข้อศอกของผู้นวดเป็นมุมฉาก
ให้ผู้นวดอยู่ด้านหลังของผู้ที่ถูกนวด จับข้อมือของผู้ที่ถูกนวดชูขึ้นพร้อม ๆ ให้ผู้ที่ถูกนวดหายใจเข้าให้เต็มที่ ในขณะที่หายใจออกก็ให้ดึงมือไปข้างหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ดัดแปลงจากหนังสือ Stress Management Booklet, Velda Sansri : 1986)
6. วิธีการใช้จิตคลุมกาย
วิธีจิตคลุมกายก็คือ ใช้การฝึกจิตมาเป็นตัวคอยควบคุมกายเมื่อเกิดความเครียดทางร่างกาย ผู้เขียนได้ดัดแปลงบางส่วนมาจากวิธีวิปัสสนากรรมฐานของท่านเจ้าคุณพระธีรราชมหามุนี (โชดก ป.ธ. 9) พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธระ : 2525 ดังนี้
ก่อนปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจะต้องพยายามทำจิตใจให้สบาย สงบ เมื่อจิตใจกำลังคิดคิดอะไรอยู่ ก็ให้กำหนดจิตอยู่ตรงกับคำว่า คิด พร้อมกับกำหนดว่า “คิด” หรือ “คิดหนอ” ให้กำหนดไปเรื่อย ๆ จนกว่าเรื่องที่กำลังคิดอยู่นั้นหายไปหรือความคิดในเรื่องนั้น ๆ หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ติดต่อไป เช่น นักศึกษากำลังคิดถึงเรื่องสอบ ในขั้นนี้ก็เพียงกำหนดไว้ในใจว่า “สอบ” หรือ “สอบหนอ” ไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่น นอกจากการสอบ เมื่อควบคุมจิตใจได้อย่างนี้ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถมองหาแนวทางในที่จะควบคุมจิต หาวิธีที่จะทำอย่างไรที่จะดูหนังสือจนผ่านการสอบไปได้ด้วยดี
สำหรับผู้ที่ยังทำไม่ได้ดังกล่าวก็สามารถฝึกได้ในลักษณะดังต่อไปนี้
1. ฝึกเดินสำรวมจิตใจ (จงกลม) ซึ่งมีขั้นตอนต่อไปนี้ ให้ผู้ฝึกยืนตัวตรง ทอดสายตาออกไปจากที่ยืนอยู่ประมาณ 4 ศอก (ทอดสายตาลงประมาณ 45 องศา) เอาสติหรือความคิดไปอยู่ที่ฝ่าเท้าขวาแล้วกำหนดว่า “ขวาย่างหนอ” ขณะที่ยกเท้าขึ้นก็กำหนดว่า “ขวา” ขณะสืบเท้าออกไปก็กำหนดว่า “ย่าง” ขณะที่วางเท้าลงถึงพื้นก็กำหนดว่า “หนอ” ในการยกเท้าซ้ายก็กระทำเช่นเดียวกันกำหนดว่า “ซ้ายย่างหนอ” เดินไปเรื่อย ๆ จนสุดทางที่กำหนดไว้แล้วก็หยุดให้เท้าชิดกันพร้อม ๆ กับกำหนดว่า “ยืนหนอ” เมื่อหันหลังกลับก็กำหนดว่า “กลับหนอ” แล้วก็เดินไปโดยกำหนดว่า “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ”
2. การฝึกโดยใช้วิธีการนั่ง วิธีการนั่ง วิธีการนั่งกับพื้นหรือบนเก้าอี้ในที่ทำงานหรือห้องเรียน หรือที่ใด ๆ ก็ได้ทำจิตใจให้สงบ ห้องเรียนจะต้องเงียบพอสมควร
ท่านั่ง ถ้านั่งกับพื้นก็ให้นั่งขัดสมาธิคือ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้หัวแม่มือชนกันนั่งตั้งตัวให้ตรง สำหรับสุภาพสตรีให้นั่งพับเพียบ หรือถ้าไม่ถนัดจะนั่งขัดสมาธิก็ได้แล้วตามความถนัดจะนั่งแบบไหนก็ได้ ขอให้นั่งแล้วเกิดความรู้สึกสบาย ถ้านั่งเก้าอี้ก็ให้เอามือขวาทับมือซ้าย หัวแม่มือชนกันให้ตั้งตัวตรง
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วให้หลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่ท้อง หายใจเขาท้องพองก็ภาวนาว่า “พองหนอ” หายใจออกท้องยุบก็ภาวนาว่า “ยุบหนอ” ใจที่นึกคำว่า “พองหนอ” หรือคำว่า “ยุบหนอ” กับท้องที่พองขึ้นกับท้องที่ยุบลงจะต้องพอดีกัน ขณะทีนั่งอยู่เกิดเมื่อยส่วนใดส่วนหนึ่ง สมมติว่าบริเวณหลังก็ภาวนาว่า “เมื่อยหนอ” จนความเมื่อยนั้นหายไป
3. การฝึกโดยใช้ท่านอน วิธีนี้จะใช้เมื่อจะนอน ให้ค่อย ๆ เอนตัวลงนอนช้า ๆ จนนอนเรียบร้อยแล้วให้กำหนดการยุบ – พองของท้องโดยใช้วิธีการภาวนาว่า “พองหนอ” ขณะหายใจเข้าและภาวนาว่า “ยุบหนอ” ขณะหายใจออกจนหลับ
สุขกันเถอะเรา Happiness Now
· Tab 1
สุขกันเถอะเรา Happiness Now หนังสือเล่มนี้จะกล่าวสรุปถึงกลยุทธ์ต่างๆ ของคนที่มีความสุขและมีประสิทธิภาพ
1. ปรัชญาของคุณ
· ปรัชญาส่วนตัวของเราเป็นเหมือนเลนส์กระจกที่เราใช้มองทะลุทุกปัญหาและทุกโอกาส บางครั้งก็เป็นเหตุผล ที่ให้กับตัวเอง เพื่อยืนหยัดต่อไปหรือเลิกล้ม
· คนที่มีความสุขไม่จำเป็นต้องฉลาดกว่า รวยกว่า หรือมีทักษะความสามารถมากกว่าเสมอไป แต่พวกเขามีปรัชญาส่วนตัว ที่ใช้การกับตัวเองได้เป็นอย่างดี
2. ให้ผ่านพ้นไปทีละวัน
· ในยามที่สิ่งต่างๆ เลวร้ายสุดๆ คุณจงพุ่งสมาธิของคุณใส่ใจอยู่กับชั่วขณะปัจจุบันนั้น ค่อยๆ จัดการปัญหาไปทีละอย่าง คุณก้าวไปได้ก้าวหนึ่งแล้ว คุณเริ่มเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก้าวต่อไป และก้าวต่อไปอีกเรื่อย ๆ ในที่สุดคุณก็พบว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดนั้นได้จบลงแล้ว
· ความสุขไม่ได้อยู่ที่อายุของคุณ แต่อยู่ที่ทัศนคติของคุณต่างหากครับ
· “เขี่ยนิสัยขี้กังวลออกไปซะ” ขอให้อยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งที่คุณทำได้ในวันนี้ และปล่อยความกังวลทิ้งไป
· พยายามพัฒนาความซื่อสัตย์ ความมุ่งมั่น ความใจดีมีเมตตา ความถ่อมตน และความ กล้าหาญของตัวคุณเอง สิ่งเหล่านี้เป็น “บุคลิกลักษณะ”
· ความคิดของคุณทำให้จิตใจคุณแข็งแกร่งขึ้น โดยการเผชิญหน้ากับปัญหา การต่อสู้ดิ้นรนก่อให้เกิดความเข้มแข็ง เมื่อเผชิญอุปสรรค ให้ย้ำเตือนตัวเองว่า อุปสรรคนี้จะทำให้จิตใจฉันเข้มแข็ง ฉันจะต้องมีความสุขเพิ่มขึ้น
· เมื่อสิ่งต่างๆ อยู่เหนือการควบคุม คุณต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้กำหนดความสุขของคุณ แต่วิธีการที่คุณคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก ที่เป็นตัวกำหนดความสุขของคุณเอง
· หากคุณรู้สึกคับข้องใจหรือไม่มีความสุขกับงาน กลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณคือ ทุ่มเททุกสิ่งที่คุณมีให้กับงานนั้นๆ เพื่อคุณจะได้รู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น คุณได้พัฒนาทักษะ พัฒนาชื่อเสียงของคุณ
· หากมีสิ่งใดที่คุณอยากทำ กลยุทธ์คือ จงฝึกฝนทุกวัน แต่อย่าคาดหวังที่จะเห็นความก้าวหน้าในแต่ละวัน ในการที่จะประสบความสำเร็จนั้น คุณต้องมีความอดทนและพากเพียรอย่างไม่ลดละ และต้องมีพรสวรรค์
· คุณไม่อาจหาความสุขพบในที่ที่ปลอดปัญหา คุณจะพบความสุข ทั้งๆ ที่มีปัญหา
3. กฎของชีวิต
· ให้ถือว่าปัญหาชีวิตทุกปัญหา คือบทเรียนที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึก เหมือนตัวเองตกเป็นเหยื่อ ผู้เคราะห์ร้ายอีกต่อไป
· อย่าคาดหวังที่จะควบคุมผู้อื่น อย่าคาดหวังที่จะให้ผู้อื่นทำตามอย่างคุณ อย่าให้ความสุขของคุณขึ้นอยู่กับคนอื่น ยามที่เราคิดแบบเดิมๆ ยังคงทำอะไรแบบเดิมๆ ก็จะเกิดความเจ็บปวดทางกายและใจแบบเดิม
· สร้างจินตภาพในใจอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำว่า ตัวคุณมีระเบียบ มีความมั่นใจ หรือทำผลงานได้ดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน คุณจะสังเกตได้ถึงความแตกต่าง ไม่มีใครยึดติดอยู่กับที่ หากคุณเอาจริงเอาจัง คุณก็จะเปลี่ยนรูปแบบเดิมๆ ของตัวเองได้
· ระวังคำพูดของคุณให้ดี สังเกตว่าคุณพูดถึงตัวเองอย่างไรบ้าง อย่าพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเอง ต้องไม่วิจารณ์ตัวเอง คิดถึงตัวเองในแง่บวก เพราะเราจะกลายเป็นอย่างที่เราคิดว่าเราเป็น
· ความคิดของคุณคือแม่เหล็ก คนที่มีความสุขจะดึงดูดคนอื่นที่มีความสุขให้เข้ามาหาคนที่ชอบคิดในแง่บวกจะดึงดูดโอกาสดีๆ ให้เข้ามาหา คนเลวก็จะดึงดูดคนเลวให้เข้ามาในชีวิต
· การตั้งเป้าหมาย ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่เราเพียรพยายามมุมานะทำให้สำเร็จ เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายเพื่อให้ได้บางสิ่ง แต่เพื่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง
· เราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ก็ต่อเมื่อเราทุ่มเทพลังให้กับเวลา ณ ปัจจุบัน แต่ถ้าเราตั้งความหวัง ความคิดของเราจะไปอยู่กับอนาคต ดังนั้นยิ่งเราตั้งความหวังมากเท่าไร เราก็ยิ่งติดอยู่กับที่มากขึ้นเท่านั้น ขอให้ตั้งเป้าหมาย วางแผน นึกภาพพัฒนาการของคุณ ทุ่มเทความสามารถ สิ่งที่คุณคิดคือสิ่งที่คุณเป็น เมื่อคุณตั้งความหวัง คุณก็จะคับข้องใจ
· ในการบรรลุเป้าหมายที่มีคุณค่าใดๆ คุณต้องตัดสินใจก่อนว่า “ฉันจะทำสิ่งนี้ ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทเพียงใดก็ตาม
· พัฒนารูปแบบแห่งความสำเร็จ ฝึกทักษะความสามารถให้เชี่ยวชาญ และตั้งเป้าให้สูงขึ้นจะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ว่าคุณจะมุ่งไปทางไหน ขอให้เริ่มจากงานเล็กๆ ก่อนและทำงานให้สำเร็จจนกลายเป็นนิสัย
· ผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะล้มเหลวบ่อยกว่า เป็นกฎของธรรมชาติไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะกับใครบางคนเป็นการส่วนตัวเท่านั้น เราต้องทำความเข้าใจและทำงานร่วมกับกฎของธรรมชาติให้ได้
· เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดผิดพลาด จงจำไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณนั้น ไม่ได้สำคัญที่สุด วิธีการคิดของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณสำคัญกว่า
· จงเริ่มต้นด้วยการรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ จงมีความสุขกับสิ่งที่คุณมีอยู่ในขณะนี้ แล้วสิ่งดีๆ ทั้งหลายจะเข้ามาหาคุณมากขึ้นเอง ทุกครั้งที่คุณกล่าวขอบคุณ คุณจะรู้สึกสงบสุขในจิตใจเพิ่มขึ้น และมีพลังมากขึ้น
4. ผองเพื่อนและครอบครัว
· หากคุณมองสิ่งดีๆ คุณก็จะพบกับสิ่งดีๆ หากคุณมองความผิดพลาด คุณก็จะพบแต่ความผิดพลาด การยอมรับในคุณภาพ ของใครบางคนอย่างจริงใจ จะทำให้คุณมีความสุข
· อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่น ปล่อยให้พวกเขาได้ทำผิดพลาด แล้วเรียนรู้เอง เพราะคนเราแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ
1. คนที่คอยปรับกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ
2. คนที่ชอบรอให้ชนกำแพงอิฐก่อน แล้วจึงค่อยเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่มีกลุ่มไหนอยากให้
คุณไปสอนวิธีการดำเนินชีวิตให้พวกเขา
· การให้อภัยคนอื่น เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาทำ คุณเพียงแค่ต้องการให้ชีวิตของคุณ ดำเนินต่อไปด้วยดีเท่านั้น ความอาฆาตและความขุ่นเคืองใจจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันของคุณ เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง แม้กระทั่งโรคเบาหวาน ความทุกข์ระทมขมขื่นทำให้คุณล้มป่วยได้
· ในโลกแห่งความเป็นจริง คนอื่นไม่อาจเปลี่ยนชีวิตของเราได้ เราเองต่างหากที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง เมื่อคุณเริ่มมองไปยัง ด้านที่สว่าง สดใส คุณก็จะเริ่มดึงดูดเพื่อนฝูง หรือผู้ร่วมงานที่มีความสุขให้เข้ามาหา การที่จะให้มีผู้คนที่คิดในแง่ดีๆ มาอยู่รอบตัวได้นั้น คุณต้องมีรอยยิ้มบนใบหน้าเป็นอันดับแรกภารกิจในชีวิตของคุณไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโลก แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
5. กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้
· คนธรรมดาทั่วไปมักทุ่มเท ความพยายามในระดับปกติธรรมดา ให้กับสิ่งต่างๆ มากมายแต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะทุ่มเทความ พยายามส่วนใหญ่ให้กับสิ่งที่สำคัญก่อน ปริมาณแรงกายแรงใจที่คุณทุ่มเทลงไปไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สำคัญที่ว่าคุณทุ่มเทมันไปที่ใด
· หากครอบครัวของคุณมองโลกในแง่ร้ายและเป็นคนเจ้าทุกข์ คุณจำเป็นต้องหาเพื่อนที่สดใสร่าเริง และมีความสุข ในชีวิตของคุณ คุณต้องคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีเอาไว้บ้างเพราะบรรดาคนที่มองโลกในแง่ร้ายจะพากันดึงให้คุณจมดิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัว
· เมื่อคุณต้องการบางสิ่งบางอย่างมากพอ คุณก็จะหาหนทางให้ได้ ไม่มีสิ่งมีค่าใดที่ได้มา โดยไม่ต้องขวนขวาย ความสำเร็จ ไม่เกี่ยวกับ ความจริง แต่เกี่ยวกับทัศนคติของคุณ
· เมื่อเราให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง และรับความช่วยเหลือบ้าง เรามักจะทำได้สำเร็จ
· จงทำอย่างจริงใจ คำพูดของคุณกำหนดอนาคตของคุณเอง หากคุณอยากให้ผู้คนเชื่อมั่น ในตัวคุณ และหากคุณอยากเชื่อมั่นในตัวเอง คุณก็ต้องพูดให้ฟังดูจริงจัง
· จงมุ่งมั่นในสิ่งที่คุณต้องการ เมื่อคุณมีความมั่นใจ คุณก็จะมีแต่ภาพด้านบวกในใจ คุณจึงประสบความสำเร็จ คุณไม่สมบูรณ์แบบก็จริง แต่คุณให้โอกาสดีที่สุดที่เป็นไปได้กับตัวเอง
· ถ้าคุณขอ คุณก็มีโอกาสจะได้ การขอในสิ่งที่คุณต้องการ จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น และสุขภาพดีขึ้น
· ผู้คนจะปฏิบัติต่อคุณเช่นเดียวกับที่คุณปฏิบัติต่อตัวเอง ทุกสิ่งย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ วิธีการเดินของคุณส่ง ผลกระทบต่อ ความรู้สึกของคุณ วิธีการแต่งตัวของคุณส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคุณ
· จงนับถือตัวเอง แล้วคุณจะได้รับความนับถือจากผู้อื่นด้วย
· หากมีบางอย่างที่คุณอยากทำจริงๆ ไม่ต้องรอเวลาที่เหมาะสม ลงมือทำเลยดีกว่าเมื่อคนอื่นรู้ว่า คุณได้ทุ่มเททำอย่างดีที่สุดแล้ว พวกเขามักสนับสนุนให้กำลังใจคุณ
· จงอยู่กับงานนั้นๆ ให้นานพอจนกว่าคุณได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ค่อยตัดสินใจว่า คุณจะเลิกทำสิ่งนั้นหรือไม่ กำหนดเป้าหมายที่ดี ทำให้มันสำเร็จ แล้วค่อยตัดสินใจว่า คุณจะเลิกหรือเปล่ามันน่าทึ่งมากที่ความสำเร็จเล็กๆ เปลี่ยนแปลงความคิดของคุณได้
· เคล็ดลับแรกสู่ความสุขและความสำเร็จคือ การเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว
· ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ ล้วนสำคัญทั้งสิ้น
การดูแลความโกรธ
· Tab 1
สร้างสันติด้วยมือเรา : การดูแลความโกรธ เขียนโดย Shari Klein and Neill Gibson แปลโดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
เพราะอะไรเราจึงโกรธ 10 ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงความโกรธ ใช้หลักการสื่อสารอย่างสันติ โดย ชาริ ไคล์น และ นีล กิ๊บสัน
What's Making You Angry? 10 Steps to Transforming Anger So Everyone Wins. A presentation of Nonviolent Communication ideas and their use
by Shari Klein and Neill Gibson แปลโดยไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
บทนำ
ขณะที่เรากำลังโกรธ มีสามสิ่งเกิดขึ้น คือ
1 เรากำลังไม่พอใจ เพราะความต้องการบางอย่างของเราไม่ได้รับการตอบสนอง
2 เรากำลังโทษใครบางคนหรืออะไรบางอย่างว่า ทำให้เราไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ
3 เรากำลังจะพูดหรือทำอะไรบางอย่าง ที่เกือบจะแน่นอนว่าถ้าทำไปแล้วเราจะไม่ได้สิ่งที่เราต้องการหรือไม่ก็ต้องมาเสียใจภายหลัง
เมื่อเรากำลังโกรธ เรามักพุ่งความสนใจเกือบทั้งหมดไปในที่สิ่งที่เราไม่ต้องการ เรามักคิดแต่ว่าคนอื่นทำผิดอย่างไรบ้าง เราลืมไปเสียสนิทว่า จริงๆ แล้วเราต้องการอะไร ขั้นตอน 10 ข้อต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นที่ว่า และช่วยให้คุณหันกลับมา เห็นคุณประโยชน์ของ ความโกรธ คุณจะค้นพบว่า ความโกรธนี้มาจากไหน และเรียนรู้การแสดงความโกรธออกมา ในวิถีทางที่จะ ทำให้ทั้งความต้องการของคุณ และผู้อื่น ได้รับการตอบสนอง คุณสามารถใช้ขั้นตอนเหล่านี้ในการปรับความสนใจขณะตกอยู่ในความโกรธและความขัดแย้ง พร้อมทั้งเรียนรู้ ที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจสำหรับทุกฝ่าย
ขั้นที่ 1 คิดว่าความโกรธเป็นเหมือนสัญญาณเตือน
ความโกรธก็เป็นเหมือนไฟเตือนบนหน้าปัดรถ เมื่อคุณเห็นสัญญาณเตือน คุณจะรีบใส่ใจดูว่ามีอะไรผิดปกติในรถแล้วรีบแก้ไข เมื่อแก้ไขแล้ว คุณก็จะสามารถขับรถไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยดี อย่างไรก็ตาม การรับมือกับความโกรธนั้นไม่ใช่เป็นแค่การพยายามดับสัญญาณเตือน ความโกรธสามารถเป็นเสียงปลุกให้เราตื่นขึ้นมาใส่ใจกับความต้องการและคุณค่าต่าง ๆ ในชีวิต ความรู้สึกและสัมผัสของร่างกายคุณ เปรียบได้ดั่งสัญญาณเตือนและเข็มวัดต่าง ๆ บนหน้าปัดรถ มันจะช่วยให้คุณรู้ว่าความต้องการใดของคุณได้รับการตอบสนอง หรือความต้องการใดไม่ได้รับการตอบสนองบ้าง
ดังนั้นเมื่ออารมณ์ความรู้สึกของคุณกำลังคุกรุ่น หรือความรุนแรงภายในกำลังปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตคุณและผู้อื่นเป็นสุขมากขึ้นก็คือ มุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่คุณต้องการ และละวางความคิดว่าอีกฝ่าย "ผิด" หรือ คิดว่าเธอคนนั้นเป็น "ศัตรู" ของเราตั้งเป้าหมายไว้ว่า เราจะดูแลความต้องการของเรา และมุ่งหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ทำให้ความต้องการของทุก ๆ ฝ่ายได้รับการตอบสนอง
ขั้นที่ 2 ดูให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณเคยถามใครสักคนดูไหมว่าเขาโกรธเรื่องอะไร ส่วนใหญ่แล้ว คำตอบที่เขาให้กลับมาจะเป็นการต่อว่าว่าคนนั้นคนนี้ทำอะไรผิดบ้าง เช่น มีผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวว่า "เขาทำงานไม่รู้เรื่องเลย นำเสนองานได้แย่มาก ไม่เคารพคนในที่ประชุมเอาเสียเลย" คำพูดเช่นนี้ไม่ได้บอกเลยว่า เกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ในขั้นนี้ คุณจะทำตัวเหมือนนักสืบ สิ่งที่คุณกำลังสืบคือ เกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ลองดูว่าประโยคต่อไปนี้ ให้ข้อมูลต่างกับ ประโยคข้างต้นอย่างไรบ้าง "เขามาช้ากว่าเวลาประชุม 20 นาที แล้วแจกเอกสารที่มีรอยกาแฟหกใส่"
ในขั้นนี้คุณพยายามดูให้ชัดว่า สิ่งที่ทำให้คุณเกิดปฏิกิริยาต่อต้านนั้นคืออะไร เมื่อคุณอธิบายได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจะสามารถเห็น ความต้องการของคุณชัดขึ้นด้วย อีกฝ่ายจะมีท่าทีต่อต้านน้อยลงด้วย เพราะเขาจะเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด ดังนั้นในสถานการณ์ความขัดแย้ง ขอให้คุณสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชัดและอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น
ถ้ามีคนคนหนึ่งกำลังโกรธ เขาอาจจะพูดว่า "เธอดูถูกฉัน" "เธอมันจอมบงการ" หรือ "เธอพยายามควบคุมฉันตลอดเวลา" ประโยคเช่นนี้สื่อนัยว่า อีกฝ่ายกำลังทำผิด แต่ไม่ได้สื่อให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ให้คิดว่าคุณเป็นกล้องวีดีโอ จับภาพสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ คุณจะสามารถอธิบายสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนขึ้น เช่น "ฉันได้ยินคุณพูดว่า ฉันเป็นตัวขี้เกียจ" "คุณพูดว่าคุณจะไม่ออกไปงานกับฉัน ถ้าฉันไม่ใส่ชุดสีแดง" "คุณพูดว่าฉันชอบแต่งตัวเชย ๆ"
เมื่อคุณสามารถอธิบายได้อย่างตรงไปตรงมาว่าคุณมีปฏิกิริยากับอะไร โดยไม่ใส่การตีความหรือตัดสินลงไป คนอื่นที่ฟังคำพูดคุณ มักจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านกลับมา
· Tab 2
ขั้นที่ 3 รับผิดชอบต่อความรู้สึกของเราเอง
ความโกรธยังเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่า คุณมีความคิดในเชิงตัดสิน หรือกล่าวโทษ และยังบอกด้วยว่า ขณะนั้นความต้องการ ที่สำคัญบางอย่าง ของคุณถูกละเลยไป ใช้ความโกรธของคุณเป็นสัญญาณเตือน ให้คุณหยุดและหันกลับมาหาว่า ความต้องการใดถูกละเลยไป
เมื่อหน้าปัดบน รถคุณเตือนว่า ความร้อนในรถขึ้นสูง นั่นแสดงว่า เครื่องยนต์ของรถคุณต้องการความเย็น ถ้าไฟเตือนแบตเตอรี่รถดับลง แสดงว่าไฟในแบตเตอรี่มีเพียงพอแล้ว ความรู้สึกทางจิตใจและทางกายก็เป็นเช่นเดียวกับสัญญาณเตือนของรถยนต์ มันเป็นสัญญาณ ที่สำคัญและ เที่ยงตรง มันบอกคุณได้ว่าตอนนี้สภาวะของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ความรู้สึกเหล่านี้มีความชัดเจนและรวดเร็ว ในแต่ละขณะมันจะบอกคุณว่าความต้องการอะไรของคุณได้รับการตอบสนอง หรือไม่ได้รับการตอบสนอง
โปรดระลึกไว้ว่า การกระทำของคนอื่นไม่สามารถทำให้คุณเกิดความรู้สึกต่าง ๆ ได้ความรู้สึกเป็นสัญญาณเตือนของตัวคุณเอง มันเป็นผลมาจาก ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองหรือไม่ได้รับการตอบสนอง ความโกรธเป็นผลมาจากการพุ่งความสนใจไปที่การกระทำของผู้อื่น การตัดสินว่า เขาควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร หรือตัดสินว่าเขาผิด เขาเป็นคนไม่ดี เมื่อคุณเปลี่ยนจุดสนใจมาที่การค้นหาว่า ความต้องการใด ของคุณ ไม่ได้รับการตอบสนองในสถานการณ์นั้น ๆ ความรู้สึกของคุณก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่น เมื่อคุณพบว่า คุณไม่ได้รับ การปฏิบัติที่ทำให้ความต้องการความเคารพของคุณได้รับการตอบสนอง คุณอาจรู้สึกเจ็บกลัวหรือผิดหวัง แต่ถ้าคุณไม่ตัดสินอีกฝ่ายว่า เขาควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร คุณจะไม่รู้สึกโกรธ
เมื่อความรู้สึกของคุณทำหน้าที่ของมันแล้ว ซึ่งนั่นก็คือเมื่อคุณสามารถกลับมาใส่ใจกับความต้องการและคุณค่าต่าง ๆ เมื่อนั้นความโกรธก็จะสลายไป การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่เหมือนการเก็บกดความโกรธ และไม่ใช่การพยายามทำความโกรธให้เย็นลง เมื่อคุณรู้ว่าคุณต้องการอะไรจริง ๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอาจจะเด่นชัดขึ้นมาและอาจมีความเจ็บปวดมาก แต่มันจะต่างจากความโกรธ
ขั้นที่ 4 รู้เท่าทันความคิด และกระจ่างชัดกับความต้องการ
ในวัฒนธรรมของเราเรามักถูกสอนให้ละเลยความต้องการของตัวเอง และลดละความจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิต ถ้าเราพูดแสดงความต้องการลึก ๆ ออกมาบางทีเราจะถูกมองว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแต่จริงๆ แล้วทุกคนต่างก็มีความต้องการอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ทุกคนต้องการ ความเคารพทุกคน ต้องการการเอาใจใสความสมานฉันท์ ต้องการเป็นตัวของตัวเองและต้องการความรัก นี่เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ คนที่ไม่มีความต้องการอะไรเลยคือ คนที่ตายแล้ว
เวลาที่คุณโกรธบ่อยๆครั้งคุณมีความคิดโทษคนอื่นในความคิดโทษคนอื่น จะมีอารมณ์ความรู้สึกแฝงอยู่ ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกนี้ เกิดขึ้นจาก ความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง เมื่อคุณรู้เท่าทันความคิดโทษคนอื่นคุณจะสามารถเริ่มสำรวจความรู้สึกข้างใน และดูว่าความรู้สึกเหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะ ความต้องการใดไม่ได้รับการตอบสนองบ้าง
เช่น ถ้าความคิดโทษคนอื่นของคุณคือ "เธอชอบดูถูกฉันเหลือเกิน" ความรู้สึกทางกายและใจของคุณจะเป็นเช่นไร คุณอาจจะรู้สึกเกร็ง กลัว เสียใจ กังวล หรือสับสน การให้ชื่อความรู้สึกอาจไม่ใช่งานง่าย ๆ สังคมมักหล่อหลอมให้เรานำการตัดสินมาปะปนกับความรู้สึก ซึ่งก่อให้เกิดความคิดโทษคนอื่นตามมา การแยกแยะความรู้สึกออกจากการตัดสินผู้อื่น เป็นขั้นตอนสำคัญ ที่จะทำให้คุณเห็น ความต้องการของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น และก้าวไปสู่การทำให้ความต้องการนั้นได้รับการตอบสนอง คุณสามารถใช้รายการความรู้สึก
· Tab 3
ขั้นที่ 5 ค้นหาความต้องการ
"เดี๋ยวก่อน นี่มันสัญญาณเตือนเรื่องความน่าเชื่อถือนี่นา" ผู้บริหารฉุกคิดขึ้นมาได้ หลังจากที่ตอนแรกเขาคิดว่า ลูกน้องเขาทำลาย การนำเสนองาน เสียย่อยยับ เขาคิดว่าความโกรธของเขาเป็นเพียงสัญญาณเตือน เมื่อเขามองลึกลงไปภายใต้ความโกรธ แปลคำตัดสินของเขา เป็นความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง เขาก็พบว่า เขาให้คุณค่ากับความน่าเชื่อถือ และความน่าไว้วางใจสูงมาก การหันกลับมาใส่ใจ ความต้องการเช่นนี้ ทำให้ความคิดของผู้บริหารเปลี่ยนไป ความโกรธคลายลง เปลี่ยนเป็นความกังวล และความผิดหวังอย่างแรง
แม้แต่คำต่อว่าแรงๆ เช่น "พวกโรคจิต" ก็เป็นเพียงฉากหน้าของความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ถ้าคน ๆ หนึ่งเรียกอีกคนว่าพวกโรคจิต ความต้องการจริง ๆ อาจจะเป็นการอยากจะคาดคะเนอะไรได้ ความวางใจ หรือ ความปลอดภัย แต่ที่แน่นอนก็คือ การเรียกใครสักคนว่า พวกโรคจิต ไม่สามารถสื่อสารความต้องการจริง ๆ ออกมาได้ และสุดท้าย ความต้องการนั้น ก็ไม่ได้รับการตอบสนองดังเดิม
ความงดงามของความเข้าใจว่า ความรู้สึกของเราเป็นสัญญาณเตือนก็คือ คุณจะพบว่าความต้องการของคุณคืออะไร คุณจะกลับมาอยู่ใน สถานะที่เปี่ยมด้วยพลัง มีโอกาสที่จะทำให้ความต้องการของคุณได้รับการตอบสนองได้
เมื่อคุณค้นหาความต้องการของคุณพบแล้ว ลองใช้เวลาสังเกตดูว่า ความต้องการนั้นสำคัญสำหรับคุณอย่างไรบ้าง คุณต้องการมัน มากน้อย อย่างไร และเมื่อความต้องการนี้ได้รับการตอบสนอง ชีวิตคุณจะรู้สึกเต็มเปี่ยมมากขึ้นหรือไม่
การฝึกการสื่อสารอย่างสันติช่วยให้เราปรับวิธีการฟังและสื่อสารกับผู้อื่น การสื่อสารเช่นนี้ เรามุ่งความสนใจไปที่ 4 ประเด็น
1 เราสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
2 เรารู้สึกอย่างไร
3 เรามีความต้องการอย่างไร
4 เราจะขอร้องอะไรอีกฝ่ายเพื่อทำให้ชีวิตเราเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น
ในที่นี้คำว่าความต้องการหมายถึง ความต้องการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ที่เราทุกคนมี ตอนท้ายของหนังสือจะมีรายการความต้องการต่าง ๆ ที่การสื่อสารอย่างสันตินิยามว่าเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
เมื่อเราเริ่มใส่ใจกับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานเหล่านี้ เราจะเริ่มสัมผัสถึงสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกัน ซึ่งจะช่วยให้เราฟังผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ทั้งมีความเคารพและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น สิ่งเหล่านี้จะเอื้อให้ทั้งเราและอีกฝ่ายเกื้อกูลกันและกันอย่างใจจริง และฟูมฟักความกรุณาขึ้นมาในใจ
ในขั้นตอนต่าง ๆ ที่ผ่านมา คุณทำความเข้าใจกับตัวเอง ในขั้นที่ 2 คุณกลับไปดูให้ชัดว่าอีกฝ่ายทำอะไร ขั้นที่ 3 คุณรับผิดชอบต่อความรู้สึกของคุณเอง ขั้นที่ 4 คุณรับผิดชอบต่อความคิดของตนเองและเริ่มมองความรู้สึกและความต้องการอย่างลึกซึ้ง คุณเลือกที่จะใช้ความคิดของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ รู้แน่ชัดว่าคุณให้คุณค่ากับสิ่งใด ในขั้นที่ 5 คุณสัมผัสกับความเต็มเปี่ยมของชีวิตมากขึ้น เพราะคุณรู้ว่าคุณมีความต้องการอะไร
ในขั้นต่อ ๆ ไป คุณจะดูว่าใครจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้ความต้องการของทุกคนได้รับการตอบสนอง ในขั้นที่ 6 คุณจะเริ่มคิดถึงการกระทำที่จะทำให้บรรลุถึงความต้องการนั้น
ขั้นที่ 6 หาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "ไม่"
เมื่อเรากำลังโกรธ เรามักคิดแต่ว่าอีกฝ่ายไม่ควรทำพฤติกรรมเช่นนั้นเช่นนี้ ลองเปรียบเทียบดูกับเวลาที่คุณอยากให้ความร้อนของรถคุณลดลง ถ้าคุณแค่อยากโดยไม่หาวิธีแก้ไข ความร้อนก็ไม่มีทางลดลงได้ คุณต้องหาจุดที่เสียแล้วรีบซ่อม
ผู้บริหารในตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว อาจจะรู้แล้วว่า เขาต้องการความไว้ใจและความน่าเชื่อถือ เวลาที่นำเสนองาน เขาต้องการให้เริ่มต้น การนำเสนองานอย่างตรงเวลาและมีเอกสารที่สามารถใช้ได้ดี ถ้าเขาพูดอย่างคนทั่ว ๆ ไป เขาก็อาจจะบอกลูกน้องคนนั้นว่า "อย่ามาสาย แล้วก็อย่าเอาเอกสารที่มีกาแฟหกใส่มาแจก" แต่ปัญหาก็คือ ลูกน้องคนนั้นอาจไม่มาเลย หรือ มาแต่ไม่เอาเอกสารมาแจกเลย
ถ้าผู้บริหารคนนี้ใช้คำขอร้องในแง่บวก ความต้องการของเขาจะมีโอกาสได้รับการตอบสนองมากกว่า คำขอในแง่บวกนี้จะบอกชัดเจนว่า การกระทำใดที่ทำให้ความต้องการของเขาได้รับการตอบสนอง เช่น "คุณจะช่วยโทรหาผม 30 นาทีก่อนการประชุมได้ไหม ผมจะได้รู้ว่าคุณจะมาทันเวลาหรือไม่ แล้วช่วยใส่เอกสารในซองกันน้ำทันทีที่ได้มาด้วยได้ไหม" มุ่งความสนใจไปในสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่คุณไม่ต้องการ
· Tab 4
ขั้นที่ 7 คิดหาคำขอร้องที่ชัดเจน
คุณได้เห็นแล้วว่าเมื่อคนกำลังโกรธ เขามักคิดว่าคนอื่นทำให้เขาโกรธ ตอนนี้คุณคงเห็นได้ว่า คุณมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจผิดนี้ ไม่ว่าใครก็ตามสามารถนำพลังนี้มาทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ในขั้นนี้เราจะเรียนรู้วิธีการขอร้องสิ่งที่ทำได้จริง ในปัจจุบัน
"ผมขอให้คุณทำตัวให้น่าเชื่อถือมากขึ้น" คำขอร้องเช่นนี้ไม่ชัดเจนและไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เราจะลองมาคิดหาคำขอร้อง ที่อีกฝ่ายสามารถ ปฏิบัติได้ทันที และเป็นการกระทำที่จะตอบสนองความต้องการของคุณได้ ลองถามตัวเองดูว่า ตอนนี้อีกฝ่ายจะทำหรือพูดอะไร ที่จะเป็นการเคารพต่อความต้องการของคุณ
เช่น พนักงานคนหนึ่งไม่ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นเวลาหลายปี เธอรู้ดีว่าความต้องการด้านการเป็นที่ยอมรับ และความเคารพของเธอ ไม่ได้รับการตอบสนอง เธอรู้ชัดว่าควรจะพูดให้เจ้านายเห็นว่า เกิดอะไรขึ้น เธอมีความรู้สึกอย่างไรและมีความต้องการอย่างไร ตอนนี้เธอกำลังคิดว่าจะขอร้องอย่างไรให้มีความชัดเจนและเป็นบวก เธอคิดว่าประโยคขอร้องต่อไปนี้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี "หัวหน้าจะช่วยพิจารณาสองโครงการที่ดิฉันทำสำเร็จในปีนี้ และเป็นโครงการที่หัวหน้าเห็นว่า ช่วยพัฒนาสถานะด้านการตลาด ของบริษัทได้ไหมคะ"
แต่เธอฉุกคิดได้ว่า คำขอร้องเช่นนี้เป็นการขอร้องเรื่องที่จะทำในอนาคต เพื่อเป็นการสื่อสารกับหัวหน้าในปัจจุบัน เธอต้องการเปลี่ยน คำขอร้องนี้เป็นสิ่งที่หัวหน้าทำได้ทันที เธอถามตัวเองว่าแล้วหัวหน้าจะทำอะไรได้บ้างในทันที
เธอคิดแล้วเห็นว่ามี 2 คำขอร้องที่หัวหน้าสามารถตอบได้ทันที คำขอแรกขึ้นต้นด้วย "หัวหน้าจะช่วยตกลงว่า...." คำขอนี้สร้างข้อตกลงทันทีว่าหัวหน้าจะทำอะไรบ้างในอนาคต ผู้ที่ถูกขอสามารถให้คำตอบได้ในทันที เธอยังขออีกว่า ".....ภายในอาทิตย์หน้าได้ไหมคะ" คำขอนี้สร้างความกระจ่างว่าเวลาที่ตกลงกันนั้นคือเมื่อไร ประโยครวมของคำขอนี้คือ "หัวหน้าจะช่วยตกลงได้ไหมคะว่า ภายในอาทิตย์หน้าจะพิจารณาโครงการสัก 2 โครงการที่ดิฉันทำสำเร็จในปีนี้และหัวหน้าเห็นว่าเป็นโครงการที่ช่วยพัฒนาสถานะด้านการตลาดของบริษัทได้มาก"
ขั้นที่ 8 ให้ชื่อความรู้สึกและความต้องการของอีกฝ่าย
ทุก ๆ สถานการณ์มี 2 ด้าน เหมือนเหรียญที่มี 2 หน้า ถ้าคุณต้องการให้ความต้องการของคุณได้รับการตอบสนอง สำคัญมากที่ความต้องการของอีกฝ่ายจะได้รับการตอบสนองด้วยเช่นกัน ขั้นที่ 8 นี้เป็นการทำความเข้าใจว่า ความต้องการของคุณจะไม่ได้รับการตอบสนองอย่างแท้จริง ถ้าคนอื่นต้องเสียสละความต้องการของเขาเพื่อคุณ มันเหมือนกับการส่องสว่างความรู้เท่าทันไปที่ความรู้สึก ความต้องการและคำขอร้องของคุณ แล้วก็ส่องสว่างไปที่คนอื่น ๆ ในชีวิตคุณเช่นกัน
เราสามารถใช้ขั้นที่ 2 ถึง 7 ในใจเพื่อคาดคะเนความรู้สึก ความต้องการของอีกฝ่ายได้ด้วย ข้อสำคัญคือ เราคาดคะเนโดยไม่ต้องกังวลว่า จะถูกต้องหรือไม่ แค่เพียงพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อจะเข้าใจความต้องการและความปรารถนาที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่าย
โปรดระลึกไว้ว่า จนถึงขั้นนี้คุณยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ทุกขั้นที่ผ่านมาเป็นการไตร่ตรองอยู่ภายใน
ลองคาดคะเนความรู้สึกของอีกฝ่าย แปลความคิด เช่น "เขาเป็นจอมบงการ" ดูสิว่าเบื้องหลังการบงการนั้นเขาต้องการอะไร เขาอาจจะต้องการ ความงดงามและระเบียบในการใช้ชีวิต (เขาจึงบอกให้คุณหยิบถุงเท้าที่ใส่แล้วบนพื้นไปเก็บที่เสีย) หรือถ้าแฟนของคุณบ่นว่า คุณใช้เวลา กับเพื่อน มากเกินไป เขาอาจต้องการการเอาใจใส่ การดูแล หรือความรัก ถึงตอนนี้แม้คุณจะยังไม่ได้พูดกับอีกฝ่าย แต่ความคิด ที่มีต่อเขา ได้เปลี่ยนไปแล้ว แทนที่จะมองเป็นเขาเป็นศัตรู คุณมองเขาอย่างอ่อนโยน ด้วยความกรุณา เห็นว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความต้องการ และต้องการทำให้ชีวิตเป็นสุขมากขึ้นด้วย การตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ของความเป็นมนุษย์
· Tab 5
ขั้นที่ 9 ใครจะพูดก่อน
มองให้กว้าง และคิดว่าในที่สุดความต้องการของทุก ๆ คนจะได้รับการตอบสนอง และได้รับการเคารพ จะไม่มีใครได้เปรียบอีกฝ่าย กระบวนการนี้ จะจบลงที่ทุก ๆ คนได้รับการรับฟัง ความเข้าใจ และพอใจด้วยกันทุกฝ่าย กระบวนการจะยังไม่เสร็จสิ้น ถ้ามีคนเพียงคนเดียวที่ได้รับการรับฟังและความเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ มีเพียงคน ๆ เดียวที่จะได้รับการรับฟัง ดังนั้นลองถามตัวคุณดูหลาย ๆ คำถามว่า ใครจะเป็นคนพูดก่อนและใครจะเป็นคนฟังก่อน คุณอยากพูดแสดงความรู้สึก ความต้องการ แล้วเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายรับฟังก่อน หรือคุณอยากแสดงความเข้าใจโดยรับฟังอีกฝ่ายก่อน ลองดูว่าใครเป็นทุกข์มากกว่า ใครมีความกระจ่างชัดมากกว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนที่มีความชัดเจนมากกว่าเป็นฝ่ายตั้งใจฟังความรู้สึก ความต้องการของฝ่ายที่เป็นทุกข์มากกว่า เมื่อได้รับการรับฟังแล้ว คนที่เป็นทุกข์มักจะรู้สึกสบายใจและมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้พร้อมที่จะรับฟังความต้องการของคุณ
ไม่ว่าจะฟังก่อนหรือหลัง คุณจะเป็นฝ่ายที่ฉายความรู้เท่าทันในระหว่างการสนทนา คุณจะเป็นคนที่ใส่ใจว่าความรู้สึก ความต้องการ และคุณค่าคืออะไร และดูว่าจะระบุความต้องการของใครก่อน ถ้าคุณเป็นฝ่ายพูดก่อน คุณจะบอกให้อีกฝ่ายทราบถึงความรู้สึก ความต้องการ และคำขอร้องที่คุณไตร่ตรองมาก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าคุณเลือกที่จะรับฟังก่อน คุณจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายพูดถึงความรู้สึก ความต้องการ และคำขอร้อง ซึ่งคุณได้คาดคะเนไว้ล่วงหน้าในขั้นที่ผ่านมา
ขั้นที่ 10 เริ่มต้นการสนทนา
ถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ก่อนเริ่มการสนทนากับอีกฝ่าย คุณเห็นชัดหรือยังว่าคุณมีปฏิกิริยาต่อต้านกับอะไร คุณรู้ถึงความรู้สึกและความต้องการของคุณแล้วหรือยัง คุณคาดคะเนได้หรือยังว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึก ความต้องการ และคุณค่าอะไร คุณรู้ไหมว่าคุณต้องการให้เกิดผลอะไรในขั้นต่อไป เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณจะเริ่มสนทนาได้แล้ว ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำบางประการว่าจะพูดอะไรและไม่พูดอะไรดี
ข้อแรกคือ ไม่พูดสิ่งที่อยู่ในข้อ 3 เพราะสิ่งที่อยู่ในข้อ 3 นั้นเป็นความคิดเชิงกล่าวโทษ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความโกรธขึ้นตั้งแต่ตอนแรก ขอให้ใช้ขั้นที่ 2 และอธิบายสิ่งที่สังเกตเห็นให้ชัด "ฉันกำลังคิดถึงเรื่องที่คุณไปค้างบ้านเพื่อนอาทิตย์ละ 3 วัน" แล้วใช้ขั้นที่ 4 เพื่อบอกว่าคุณรู้สึกอย่างไร ขอให้ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกที่ออกจากใจ หรือความรู้สึกทางกาย เช่น "ฉันรู้สึกเหงาและเสียใจ" โปรดระวังเวลาที่คุณเริ่มต้นประโยคว่า "ฉันรู้สึกว่า..." หรือ "ฉันรู้สึกว่าคุณ..." เตือนตัวเองว่าถ้าเริ่มประโยคเช่นนี้ สิ่งที่ตามมามักจะเป็นการกล่าวโทษหรือความคิด ซึ่งมักจะไม่ทำให้คุณได้รับสิ่งที่คุณต้องการ โปรดระลึกไว้ว่า เราจะพูดแสดงความรู้สึกทางกายหรือใจ ไม่ใช่คิดวิเคราะห์หรือกล่าวโทษ
เมื่อคุณให้ชื่อความรู้สึกที่มาแทนที่ความโกรธ และเป็นความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความต้องการของคุณได้แล้ว ขอให้คุณพูดความต้องการของคุณออกมา ("ฉันรู้ว่าฉันต้องการมีคนอยู่เป็นเพื่อนมากกว่านี้") แล้วจึงขอร้องสิ่งที่จะเอื้อให้เกิดการตอบสนอง อันจะช่วยให้ชีวิตคุณเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น ระลึกไว้ว่าขอในสิ่งที่อีกฝ่ายจะสามารถทำได้ทันที ("คุณจะรับปากว่า จะใช้เวลาคืนวันอังคารกับวันเสาร์กับฉันได้ไหม")
อีกฝ่ายอาจจะต้องการให้เราเข้าใจความต้องการของเขาเช่นกัน แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เขายังไม่ผ่านกระบวนการภายในมาเช่นคุณ เขาอาจก้าวข้ามไปขั้นที่ 3 ทันที เช่น อาจพูดว่า "คุณมันเห็นแก่ตัวทุกที คิดถึงแต่ตัวเอง" เขาอาจพูดแต่คำกล่าวโทษ ที่คุณพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูด ขอให้คิดว่าไม่เป็นไรคุณรับได้อยู่แล้ว ขอให้เลือกที่จะฟังทุกอย่างที่เขาพูดอย่างเข้าใจ ใส่ใจกับความรู้สึกและความต้องการของเขา คาดคะเนดูว่าเขาอยากให้คุณทำอะไร "คุณรู้สึกกังวลใจ (ความรู้สึก) อยากได้ความเห็นใจในความต้องการของคุณ (ความต้องการ) แล้วอยากรู้ว่าฉันจะตกลงทำตามความต้องการนั้น (การกระทำ) ได้รึเปล่า"
การบอกอีกฝ่ายว่าคุณรับรู้ถึงความต้องการของเขาต่างจากการตอบตกลงที่จะทำตามเขา การรับฟังความต้องการของอีกฝ่ายทำให้คุณเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของเขาจริง ๆ คุณจะแปลกใจว่า เขาจะไว้ใจคุณเร็วเพียงใด นี่เป็นเพราะเขาจะรู้สึกว่าความต้องการของเขาสำคัญสำหรับคุณ ผลก็คือเขาอาจเปิดใจมาดูความต้องการของคุณได้มากขึ้น เขายังจะสามารถเปิดรับกับวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้ความต้องการของเขาบรรลุผลได้มากขึ้น
· Tab 6
มาทบทวนกันหน่อย
ในขั้นที่ 1-3 คุณเรียนรู้วิธีใหม่ ๆ เพื่อให้คุณเข้าใจและกลับมามองความโกรธได้
ในขั้นที่ 1 คุณเรียนรู้ว่า ความโกรธเป็นสัญญาณเตือนอันมีค่า มันช่วยสะกิดให้คุณหยุดและหันกลับมามองดูว่าความรู้สึกและความต้องการของคุณคืออะไร และยังช่วยให้คุณเริ่มที่จะมองว่าอะไรทำให้ชีวิตคุณเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น
ขั้นที่ 2 คุณเรียนรู้ที่จะดูให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ โดยปราศจากการตัดสินกล่าวโทษ
ขั้นที่ 3 คุณรู้ว่าความรู้สึกของคุณเกิดขึ้นเนื่องมาจากความต้องการของคุณได้รับหรือไม่ได้รับการตอบสนอง ความรู้สึกของคุณไม่ได้เกิดจากการกระทำของผู้อื่นแต่อย่างใด
ในขั้นที่ 4 คุณรับผิดชอบความคิดของคุณเอง และหันจุดสนใจมาที่ความรู้สึกและความต้องการของคุณ
ขั้นที่ 5 คุณรู้สึกได้ว่าชีวิตเต็มเปี่ยมมากขึ้น เพราะคุณสัมผัสกับความต้องการของตัวเอง และตระหนักว่า คุณสามารถทำอะไรในแง่บวกที่จะส่งผลให้ความต้องการของคุณได้รับการตอบสนองได้
ขั้นที่ 6 และ 7 คุณเริ่มจินตนาการถึงการกระทำในแง่บวก ซึ่งเอื้อให้ความต้องการของคุณได้รับการตอบสนองได้ทันที
ขั้นที่ 8 คุณหันมาใส่ใจกับคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คุณพยายามเข้าใจ ความรู้สึกและความต้องการของเขา และดูว่ามีการกระทำอะไรที่จะเอื้อให้ความต้องการของเขาได้รับการตอบสนองบ้าง
ขั้นที่ 9 คุณเลือกว่าใครจะเป็นผู้เริ่มพูดก่อน ระลึกไว้ว่า คุณสามารถสนทนาต่อไปได้เรื่อยๆ จนความต้องการของทุกคนได้รับการตอบสนอง ด้วยการกระทำที่ทุกคนเต็มใจที่จะทำ
ขั้นที่ 10 ขั้นสุดท้าย คุณเริ่มลงมือปฏิบัติ เริ่มสนทนาอย่างสร้างสรรค์ ผลัดกันพูดแสดงความรู้สึกและรับฟังความรู้สึกของอีกฝ่าย คุณจับความรู้สึกดูว่าคุณรู้สึกเช่นไร ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนความต้องการของทุกคนได้รับการตอบสนอง ด้วยการตกลงจะทำในสิ่งที่ทุกคนเต็มใจ
บทสรุป
ในทุกๆขณะเราทุกคนมีชีวิตอยู่โดยมีความต้องการและคุณค่าต่าง ๆ ทั้งความต้องการและคุณค่าต่างก็หาหนทางเปิดเผยตัวออกมาให้เรารู้ เราต่างก็อยากที่จะใช้ชีวิตให้เป็นไปตามคุณค่าของเรา และอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้อื่นมีชีวิตตามคุณค่าของเขา สิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการบังคับ ทุกชั่วขณะคุณสามารถใช้ความจริงใจและความเข้าใจ เพื่อทำให้ความต้องการของคุณบรรลุผล และให้คุณค่าต่าง ๆ ที่คุณเชื่อถือปรากฏเป็นจริงในชีวิต การฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนทั้ง 10 นี้ จะช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงความโกรธ เป็นความสัมพันธ์ที่เปี่ยมด้วยความกรุณาอย่างแท้จริง
หนังสือเล่มนี้ใช้หลักการสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย ดร. มาแชล โรเซนเบิร์ก ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ ชาริ ไคล์น และ นีลล์ กิ๊บสัน โดยมี แกรี บาราบ และซิลเวีย ราสคาวิทซ์ จาก The Center for Nonviolent Communication เป็นบรรณาธิการ
วิธีพิชิตความโกรธโดยวิธีแห่งมหายาน
· Tab 1
บทความ จากหนังสือเรื่อง Anger แต่งโดย Thich Nhat Henh ซึ่งท่านเป็นพระภิกษุชาวเวียดนามของพุทธศาสนาสายมหายาน ซึ่งพำนักในสหรัฐอมริกา ท่านเขียนหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่เป็น bestseller หลายเล่ม รวมถึงหนังสือเรื่อง Anger นี้ด้วย
งานเขียนของท่านได้สรุปถึง การทำวิปัสสนากรรมฐานที่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน หลักสำคัญของท่านมีอยู่สองประการคือ การรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอในทุกๆ อิริยาบถ และการจับความรู้สึกที่ลมหายใจเข้า – ออก ตั้งแต่ปลายจมูกผ่านลำคอ ช่องอก ช่องท้อง ช่องลมทั่วสรรพางค์กาย จนกระทั่งกลับออกมาที่ปลายจมูก เป็นต้น สำหรับในหนังสือเรื่อง Anger ท่านกล่าวถึงเรื่องของความโกรธ โทษของความโกรธ และวิธีระงับความโกรธ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่มีพื้นฐานจิตเป็น “โทสะจริต” อย่างมาก
เนื้อหาสาระที่สำคัญโดยย่อ ดังนี้.-
1. ลักษณะของความโกรธ
· เมื่อมีอารมณ์โกรธ ทุกคนย่อมคิดว่าตนเองนั้นถูกต้องเสมอ ทุกๆ คนต่างหยิบยกเหตุผลต่างๆ นานา มาสนับสนุนในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูก ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมแพ้แม้แต่ก้าวเดียว ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าสู่ความเป็น “คนโง่” หรือที่พระพะยอมท่านว่า โกรธคือโง่ นั่นเอง
· เมื่อมีความโกรธ จะทำให้ขาดสติและถูกหลอกได้ง่าย เพราะคนที่โกรธจะไม่ฟังใคร ยกเว้นคนที่คิดเหมือนกับตัวเอง ยิ่งมีกำลังเสริมยิ่งฮึกโหม คิดว่าตนเองนั้นถูกต้อง จึงถูกจูงจมูก และใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างง่ายดาย
· เมื่อมีความโกรธ จะมองโลกในแง่ร้าย ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และคิดว่าปัญหาไม่สามารถแก้ไขหรือประนีประนอมได้ และมีแนวโน้มที่จะรุนแรง
· เมื่อมีความโกรธ จะมีความคิดในแง่ลบผุดขึ้นมามากมาย ขุดทั้งเรื่องในปัจจุบันและเรื่องที่สะสมมาในอดีตมาป้ายสี ก่อให้เกิดอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง คำพูดจะบิดเบือน วาจาจะก้าวร้าวรุนแรง มองไม่เห็นหัวคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองเท่านั้นที่ถูกต้อง
2. โทษของความโกรธ
บุญบารมี โชคลาภ วาสนา ความรู้สึกที่ดีต่อกัน และภาพพจน์ดีๆ ที่เคยสั่งสมมาทั้งหมดจะสูญสลายไปในพริบตา บางครั้ง เสมือน ทำให้แก้วเจียรนัยราคาแพง แตกร้าว ที่ยากจะเชื่อมประสานให้ดีดังเดิม โดยไม่มีรอยแตก จึงต้องระวังให้มาก เพราะในขณะที่โกรธ ตัวเราจะขาดสติ คำพูดจะมีเสียงดัง จะเสียดแทงจิตใจ แววตาจะดุร้าย กิริยาจะรุนแรง สูญเสียบุคลิกภาพ และทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างศัตรู โดยที่เราไม่รู้ตัว และหากถึงขั้นรุนแรงเป็นขั้นโมโห ก็จะมีการทำร้ายร่างกาย จะยิ่งเป็นการสร้างกรรมเวรขึ้นอีกเป็นทวีคูณ และที่สำคัญเมื่อมีอารมณ์โกรธ
ร่างกายจะปล่อยสารทำลายเนื้อเยื่อและระบบภูมิคุ้มกันทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมได้ง่าย นอกจากนั้น การโมโหจนเป็นนิสัย จะเป็นการเติมเชื้อโทสะที่มีอยู่ในจิตใจให้มีกำลังรุนแรง ทำให้มองความโกรธว่าเป็นเรื่องธรรมดา กิริยาจะก้าวร้าวจนเป็นนิสัย มักชอบใช้ความรุนแรงเข้ายุติปัญหา ลูกหลานและคนรอบข้างก็จะติดนิสัยไปด้วย สังคมจะมีแต่ความแตกแยกหาความสุขไม่ได้
วิธีพิชิตความโกรธโดยวิธีแห่งมหายาน
3. วิธีรับมือกับความโกรธ
· นิ่งสงบ หยุดพูด หยุดหาเหตุผลมาปกป้องตัวเอง และตั้งใจฟังอีกฝ่ายว่า อีกฝ่ายมีประเด็นอะไร สาเหตุที่อีกฝ่ายโกรธคืออะไร และตั้งใจมองอีกฝ่าย ด้วยความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจต่อความระทมทุกข์ของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง (Compassionatelistening) ขณะที่ฟังห้ามพูดโดยเด็ดขาด ยิ้มได้อย่างเดียว
· รู้จักข่มใจ เช่น หายใจลึกๆ หรือใช้ลิ้นดันเพดานในปากไว้เพื่อข่มความโกรธ เป็นต้น
· เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบแล้ว ถ้าจำเป็นต้องพูดให้พูดเท่าที่จำเป็นด้วยวาจาที่สุภาพ ไพเราะ นุ่มนวลและพูดเปี่ยมด้วยความรัก (Loving speech) ผู้พูดควรได้ยินเสียงทุกเสียง ที่ตัวเองพูดโดยการพูดทีละคำฟังที่ละเสียง และพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่พูดเสียงดังแต่ถ้ายังไม่ถึงโอกาสที่ควรพูด เช่น อีกฝ่ายหรือแม้แต่ตัวเราเองขณะกำลังมีอารมณ์ขุ่นมัว ไม่สามารถพูดกันดีๆ ได้ก็ให้เงียบเสียดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบพูดโดยทันที เพราะ พูดไปตอนนี้อีกฝ่ายก็คงไม่รับฟัง
· อย่าหลงเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายที่พูดออกมาตอนที่โกรธ เพราะเมื่อจิตโกรธข้อมูลทั้งหลายจะบิดเบือนไปได้ทั้งสิ้น ให้ฟังหูไว้หู ฟังอย่างเดียวไม่ต้องโต้ เถียงหาข้อเท็จจริง
· เมื่อรับฟังแล้ว พูดเท่าที่จำเป็นแล้ว ให้หลบเลี่ยงออกจากสถานที่และบุคคลนั้นๆ
· มองปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพรวม และแก้ไขปัญหาเป็นจุดๆ ไป ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คันที่ไหนให้เกาที่นั่น
· ฝึกนิสัยที่จะไม่โกรธ ใครมาพูดจายั่วยุให้โกรธ เราจะไม่สนใจและเลิกใส่ใจกับคนที่ชอบนินทา หรือชอบหาเรื่องทำให้เราโกรธ
· มองความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา พร้อมๆ กับการหายใจลึกๆ เพื่อให้รู้เท่าทันอารมณ์จะได้ระงับความโกรธได้อย่างทันท่วงที เมื่อโกรธ รู้ว่ากำลังโกรธ โกรธเพราะอะไร ความโกรธหายไปเมื่อไร และสิ่งใดทำให้เราหายโกรธได้ เป็นต้น
· สร้างปัจจัยความสุขในจิตใจมากๆ ทำจิตใจให้สบายๆ เช่น ออกกำลังกายเป็นประจำ จิตใจจะได้ไม่เครียด เป็นต้น ความสุขเหล่านี้จะไปทดแทนโทสะที่มีอยู่ในจิตใจได้
· อย่ายึดมั่นถือมั่นในความคิดทั้งหลายทั้งปวง เพราะสิ่งที่เราเห็นในขณะนี้ เป็นความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยใหม่ เข้ามา สิ่งที่เราคิดว่าใช่ มันก็เปลี่ยนแปลงไปได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้น อย่าเชื่อนักในสิ่งที่เห็น และอย่าเชื่อนักในสิ่งที่ได้ยิน
· ความโกรธไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้ แต่ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจ และการให้อภัยจึงจะสลายความโกรธลงได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อ เมตตาแล้วต้องไม่เดือนร้อนต่อตัวเองและผู้อื่นด้วย จึงจะเรียกได้ว่ามีความเมตตาอย่างแท้จริง
วิธีพิชิตความโกรธโดยวิธีแห่งมหายาน
อารมณ์ฟุ้งซ่าน
· Tab 1
อารมณ์ฟุ้งซ่าน
1. ฟุ้งเพราะใจลอย ขาดสติ
2. ฟุ้งเพราะบังคับจิตมากเกินไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านทางจิต ทำให้จิตไม่ยอมสงบนิ่ง
3. ฟุ้งเพราะผู้ปฏิบัติหันมาดูจิตและเริ่มรู้จักจิตของตนเอง คือรู้ว่าจิตนั้นคิดอยู่เสมอ
4. ฟุ้งเพราะเกิดปิติ และมีความยินดี ติดอยู่ในอารมณ์ที่รู้ที่เห็น ไม่ยอมละอารมณ์นั้น เรียกว่ายึดติดอารมณ์
หากผู้ปฏิบัติไม่รู้เท่าทันความฟุ้งบางอย่าง ก็ถึงกับทำให้ผู้ปฏิบัติเลิกปฏิบัติ และอารมณ์ฟุ้งบางอย่างก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติหลงผิดไปจนวันตาย ดังนั้นผู้ปฏิบัติที่รู้ว่าตนเองฟุ้งซ่าน ก็ควรสังเกตว่า ตนเองนั้นฟุ้งเพราะเหตุใร ฟุ้งลักษณะใด
อารมณ์ฟุ้งเพราะใจลอย ขาดสติ มี 2 ลักษณะ คือ
1. ปรุงแต่งอารมณ์ภายใน เรียกว่า ธรรมารมณ์
2. ปรุงแต่อารมณ์ภายนอก เรียกว่า จิตวิ่งไปรับอารมณ์ที่มากระทบ
ผู้ปฏิบัติจะมีลักษณะชอบคิดถึงคนนั้นคนนี้ อยากเที่ยวที่นั่นที่นี่ อยากรู้อยากเห็น สร้างวิมานในอากาศ บางครั้งคิดถึงสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา อารมณ์ฟุ้งซ่านเหล่านี้เป็นเพราะผู้ปฏิบัติขาดสติ ถ้าหากผู้ปฏิบัติคิดปรุ่งแต่งเรื่องธรรม ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าง่วงนอนเพราะทำให้เกิดปัญญา แต่ถ้ามากเกินไปก็จะทำให้เสียผลในการปฏิบัติ เพราะถึงแม้ฟุ้งในธรรมจะทำให้เกิดปัญญาก็ตาม แต่ก็เป็นปัญญาภายนอก ไม่ใช่ปัญญาดับทุกข์ ส่วนฟุ้งเรื่องที่ไม่ใช่ธรรม หรือสร้างวิมานในอากาศ หรือคิดสร้างนั่นสร้างนี่ ผู้ปฏิบัติมักจะไม่รู้ตัวว่าตนกำลังฟุ้งซ่าน เพราะขาดสติอย่างมาก บางรายถึงกับเพลินกับอารมณ์ที่เห็นที่ได้ยิน ทำให้เสียเวลาปฏิบัติมาก ดังนั้นถ้าผู้ปฏิบัติเมื่อรู้ว่า กำลังคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่ จัดว่ากำลังฟุ้งเพราะขาดสติอยู่
วิธีแก้ไข
ผู้ปฏิบัติจะต้องหยุดความคิดไว้ด้วยการเรียกสติเข้าหาตัวก่อน คือ ให้หายใจเข้าทรวงอกให้เต็มแล้วพักไว้สักครู่หนึ่ง จนรู้สึก ว่าอกอิ่ม และมีความอบอุ่นที่อกแล้ว ให้หายใจออก จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวและมีสติดีขึ้น ให้ผู้ปฏิบัติหายใจเข้าออกสัก 2-3 ครั้ง หรือมากกว่านั้นจนรู้สึกว่าที่อกนั้นโล่งปลอดโปร่งแล้ว ให้ทำความรู้สึกไว้ที่ 3 จุด คือ ที่หน้าผาก ที่ทรวงอก ที่สะโพก จิตก็จะนิ่งแต่ถ้าหากผู้ปฏิบัติไม่สามารถตั้งจิตไว้ทั้ง 3 จุดนี้ได้ ให้เอามือจับที่ปลายจมูกแล้ว ทำความรู้สึกเอาจิตดูที่มือสัมผัสกับจมูกแล้ว หายใจเข้าออกยาว ๆ ดูลมให้ดูอยู่ที่เดียว คือที่ปลายจมูก เอามือจับจมูกดูลมหายใจเข้าออกสักครู่หนึ่ง จนรู้สึกว่าจิตเริ่มอยู่ที่ ปลายจมูกแล้วให้เอามือออก และดูลมหายใจเข้าออกต่อไป อารมณ์ฟุ้งซ่านก็จะหายไปเอง
ฟุ้งเพราะบังคับจิตมากเกินไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านทางจิต ทำให้จิตไม่ยอมสงบนิ่ง
ผู้ที่เป็นเช่นนี้จะมีลักษณะหงุดหงิดง่าย ไม่พอใจ และจิตคิดไม่ยอมหยุด ยิ่งบังคับยิ่งคิดมาก เพราะจิตนั้นไม่เคยถูกบังคับ เมื่อผู้ปฏิบัติมาบังคับจิต จึงทำให้เกิดการต่อต้านกันทำให้ผู้ปฏิบัติอารมณ์รุนแรง ตาขวาง เห็นอะไรรู้สึกอยากทำลาย และอึดอัดใจ อารมณ์ฟุ้งประเภทนี้มักเกิดกับผู้ที่ชอบบริกรรมและภาวนา
วิธีแก้ไข
ผู้ปฏิบัติจะต้องปล่อยใจให้สบายไว้ก่อน อย่าบังคับจิต หมั่นมองดูสีเขียวหรือท้องฟ้ามาก ๆ เพื่อให้จิตผ่องใสอยู่กับอากาศ หรือรื่นเริงอยู่กับ ต้นไม้ใบหญ้า ถ้าบริกรรมแล้วฟุ้งหรือเครียด จิตไม่สงบ ก็ควรเลิกบริกรรมเสีย อย่าบังคับจิต ถ้าหากยังฟุ้งมากอยู่ก็ปล่อยให้จิตนั้นฟุ้งไปให้พอ ไม่ต้องบังคับจิตให้หยุดคิด ผู้ปฏิบัติเพียงแต่ตามดูตามรู้ โดยการทำความรู้สึกตัวอยู่ข้างหน้า จิตจะคิดอะไรก็ปล่อยมัน เดี๋ยวมันเหนื่อยก็จะหยุดคิดเอง ข้อสำคัญให้ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ การตั้งสติตามดูนั้นอุปมาเหมือนกับเชือกที่ผูกวัว จิตที่ฟุ้งก็เหมือนกับวัว เมื่อวัวคึกคะนองเราก็ต้องถือเชือกวิ่งตามจนกว่าวัวจะเหนื่อย เมื่อมันเหนื่อยเราก็จูงมันกลับบ้านได้ จิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันคิดจนเหนื่อย มันก็หยุดเอง หลังจากจากหายฟุ้งแล้ว ผู้ปฏิบัติควรจะเลิกการปฏิบัติด้วยการบริกรรมชั่วคราว หันมาใช้วิธีทำความรู้สึกตัวด้วยการประคองจิต ไว้ที่รูปกายหยาบ หรือที่กาย หมั่นตั้งจิตไว้ที่ผัสสะอยู่เสมอ หรือควรหัดทำความรู้สึกให้เต็มหน้าก่อน หลังจากนั้นเมื่อมีความรู้สึกเต็มหน้าแล้ว ก็หัดแผ่ใจให้เต็มกาย การแผ่ใจให้เต็มกายนี้จะช่วยให้จิตที่เหนื่อยเพราะคิดมากหรือฟุ้งมากเกิดพลังขึ้นมาแทน และเป็นสมาธิง่าย ๆ ไม่ฟุ้งง่าย เหมือนการบังคับจิต หรือการบริกรรม
ฟุ้งเพราะผู้ปฏิบัติหันมาดูจิตและเริ่มรู้จักจิตของตนเอง คือรู้ว่าจิตนั้นคิดอยู่เสมอ
แต่อำนาจสติยังน้อยอยู่ ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกว่า เป็นทุกข์มากเพราะจิตคิดไม่ยอมหยุด ผู้ปฏิบัติที่ตกอยู่ในอารมณ์ฟุ้ง ประเภทนี้มักจะชอบคิด แต่เรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว เพราะว่าเมื่อหันมาดูจิตก็จะเลิกสนใจเรื่องภายนอก ทำให้เห็นแต่อารมณ์ภายใน แล้วรู้ว่าจิตชอบคิด เมื่อไม่มีอารมณ์ใหม่เข้ามาจิตจึงปรุงแต่งนึกคิดแต่อารมณ์เก่าที่ผ่านมา บางคนเคยโกรธกับผู้อื่น มาถึง 10 ปี และลืมไปแล้ว เมื่อมาทำความเพียรดูจิต ก็จะกลับเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีกได้ บางคราวรู้สึกเสียใจ บางคราวรู้สึกดีใจ บางคนระลึกถึง ความหลังได้มากถึง ขนาดระลึกชาติได้ก็มี ทำให้เข้าใจผิดว่าได้สำเร็จธรรม ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ แต่เกิดจากการหันมาดูจิตและรู้จักจิตของตนมากขึ้น คือทำให้ระลึกความหลังได้ อารมณ์ฟุ้งประเภทนี้บางท่านไม่รู้เท่าทัน อารมณ์คิดว่าธรรมเสื่อม สมาธิเสื่อม เลิกปฏิบัติก็มี ดังนั้น ถ้าผู้ปฏิบัติเห็นจิตตนเองคิดมาก คิดแต่เรื่องอดีต และไม่ยอมหยุด ก็ควรรู้ว่าเป็นการเริ่มรู้จักจิตแล้วว่าจิตนั้นมีลักษณะชอบคิด อุปมาเหมือนกับน้ำที่นิ่ง ย่อมมองเห็นเงาในน้ำ
วิธีแก้ไข
ให้เลิกดูจิต หันมาดูกายแทน ถ้าจิตคิดมากให้อัดลมหายใจ เหมือนฟุ้งเพราะขาดสติ หันมาปฏิบัติด้วยการทำความรู้สึกไว้ให้เต็มหน้าอยู่เสมอ อารมณ์ฟุ้งแบบนี้เมื่อเลิกดูจิตหันมาดูกาย ไม่นานก็จะหายเอง
ฟุ้งเพราะเกิดปิติ และมีความยินดี ติดอยู่ในอารมณ์ที่รู้ที่เห็น ไม่ยอมละอารมณ์นั้น เรียกว่ายึดติดอารมณ์
ความฟุ้งประเภทนี้มักจะทำให้ผู้ปฏิบัติอยากสอนคนทั่วไป อยากบอกคนนั้นคนนี้ให้มาปฏิบัติเหมือนกับตนเอง บางท่านพบกับความสงบ หรือพบกับอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยพบ และติดใจอยากให้เกิดอีก แต่ไม่สามารถทำได้อีกเพราะเกิดตัณหา คือความอยาก ทำให้นึกคิดไปต่าง ๆ นานา อารมณ์ฟุ้งประเภทนี้นับว่า เป็นอันตรายมาก เพราะจะทำให้เลิกปฏิบัติหรือไม่ก็เป็นมิจฉาทิฐิ คือคิดว่าตนสำเร็จ บางท่านปฏิบัติจนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น และเข้าติดต่อกับแดนวิญญาณได้ คือบางครั้งได้ยินเสียงกระซิบที่หู บางครั้งเห็นรูปละเอียด ผู้ปฏิบัติที่ตกอยู่ในช่วงนี้นับว่ามีอันตรายมาก เพราะส่วนมากมักจะเข้าใจผิดกันเสมอ คิดว่า ตนสำเร็จแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ แต่แค่ตกอยู่ในอุปจารสมาธิ เป็นอารมณ์ที่ผู้ปฏิบัติต้องผ่านเท่านั้น
วิธีแก้ไข
เมื่อปฏิบัติไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความว่าง ความสงบ หรือความสุขกายสุขใจก็ตาม ไม่ควรยินดีติดใจในอารมณ์เหล่านี้ เพราะเมื่อเกิดความยินดีขึ้นเมื่อใดจิตก็จะเคลื่อนออกจากสมาธิ ผู้ปฏิบัติจะต้องเข้าใจว่า สภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรยินดีกับอารมณ์ที่ดี ยินร้ายกับอารมณ์ที่ไม่ดี การยินดีในอารมณ์ดีนั้นเมื่ออารมณ์ดี คือปิติดับหมด จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความท้อแท้ ทุกข์เจียนตายเลยที่เดียว จึงไม่ควรยินดียินร้ายในอารมณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้น
ส่วนการได้ยินเสียงมากระซิบที่หูนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเลิกฟังเลิกสนใจ เพราะถ้าสนใจฟัง เมื่อนานเข้าก็จะไม่สามารถแก้ไขได้ และกลายเป็น คนวิกลจริตไปในที่สุด ผู้ปฏิบัติจะต้องรีบละอารมณ์นี้ให้ได้ ถ้าหากเลิกสนใจแล้ว แต่ยังเห็นรูปละเอียดและได้ยินเสียงอยู่ ผู้ปฏิบัติจะต้องเลิกทำ สมาธิหันมากำหนดทุกข์ที่กาย เพื่อให้จิตเกาะอยู่กับทุกข์ เมื่อจิตเกาะอยู่กับทุกข์ จะละเสียงและรูปละเอียดที่ได้ยินได้เห็นเอง ดังนั้นการกำหนดทุกข์ด้วยการกำหนดที่ผัสสะ จึงมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างแดนต่อแดน เมื่อละเสียงกระซิบที่หูได้แล้ว ก็ควรเลิกกำหนดทุกข์ด้วย เพราะทุกข์มากจะทำให้เครียดอีกได้ ให้หันมาดูจิตต่อไป ซึ่งแล้วแต่ความแยบคายของผู้ปฏิบัติเองว่า จะใช้วิธีใดในเคล็ดลับดับทุกข์ที่กล่าวมา
30 วิธีเอาชนะโชคชะตา
เกล็ดจาก คำนำ “ 30 วิธีเอาชนะโชคชะตา ” ของบัณฑิต อึ้งรังสี
หนทางที่สามารถก้าวไปถึงความสำเร็จ คือ ทำ ทำ ทำ และก็ ทำ
การที่จะช่วยให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น อาจจะต้องมีพลังความช่วยเหลือมาจากภายนอก ( จากบุคคลผู้มีอำนาจ จากเพื่อนๆ หรือจากโชค ....)
นอกจาก จะต้องเก่งสู้เขาได้ หรือเก่งกว่า แล้ว จะต้องโชคดีกว่า จะต้องมีพลังอะไรต่างๆ มาคอยช่วยหนุน ประคับประคอง และผลักดันอยู่เสมอ
คุณเป็น “ คนโชคดี ” หากคุณประสบความสำเร็จ หรือได้สิ่งที่ต้องการ หรือมีความสุขได้ง่ายและเร็วกว่าคนอื่น
“ โชคร้าย ” ก็เหมือนมรสุมที่คอยขัดขวางการเดินทาง ทำให้ถึงเป้าหมายได้ยากขึ้น ถ้าท้อแท้และล้มเลิกยอมแพ้ ก็อาจไม่ถึงเป้าหมายนั้นเลย
รู้ เข้าใจ เห็นด้วย แต่เมื่อไม่ได้นำไปใช้ ก็ลืม
รู้ เข้าใจ เห็นด้วย แต่เมื่อไม่ได้นำไปใช้ อย่างนานเพียงพอ อย่าด่วนสรุปว่า ไม่ได้ผล
สิ่งที่จะช่วยความจำได้ดีที่สุด คือ การทำอยู่เรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย
กฎ “ 30 วิธีเอาชนะโชคชะตา ”
กฎข้อที่ 1 คนโชคดี รู้ว่า “ โชค ” สามารถเปลี่ยนแปลงได้
· ไม่มีอนาคตใคร ที่ฟ้าลิขิตมาแล้ว ทุกอย่างในอนาคตเปลี่ยนแปลงได้
· โชคที่ฟ้าลิขิตมานั้น มันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่คนที่โชคดีจริงๆ นั้น สามารถเปลี่ยนสิ่งที่ฟ้าให้มา เป็นสิ่งที่ดีได้ทั้งหมด
· จะเปลี่ยนโชคนั้นได้ คุณต้องเปลี่ยนความคิดของตนเองตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ว่า โชคเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
กฎข้อที่ 2 คนโชคดีเชื่อว่า ตัวเขาเองสามารถเปลี่ยนแปลงโชคนั้นได้
o เราสร้างอนาคตของเราเอง แต่ไปเรียกมันว่า “โชคชะตา” (เบนจามิน ดิสเรลี)
o สิ่งที่ควบคุมโชคเหล่านั้น อยู่ในมือคุณทั้งหมด คือตัวคุณเอง
o การจะเรียนรู้จัก วิธีการควบคุมโชค การเป็นเจ้านายโชค และการกำราบโชคให้อยู่หมัด เราต้องเชื่อว่า เราเองเป็นผู้รับผิดชอบในความโชคดี โชคร้าย ของตัวเราเอง และต้องไม่ปัดความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่น หรือสิ่งอื่น
o การเรียนรู้การเป็นเจ้านายของโชค เป็นเหมือนการเรียน “ทักษะ” (Skill) อย่างหนึ่ง ที่เราสามารถเรียนรู้ให้เก่งได้
o ข้อดีของการฝึก “ทักษะ” คือ ยิ่งเราเก่งมากเท่าใด เราก็ควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้นเท่านั้น
o เราต้องควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แทนที่จะให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นควบคุมเรา
o ยิ่งเราเก่งในเรื่อง “ทักษะในการควบคุมโชค” มากแค่ไหน ไม่ว่าสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น ร้ายหรือดี เราสามารถเปลี่ยนสถานการณ์นั้นให้เป็นดี หรือดีกว่า ได้ทั้งหมด
กฎข้อที่ 3 รู้จัก กฎพ่อ และกฎแม่ แห่งโชคลาภ
o กฎที่สำคัญที่สุดแห่งโชคลาภ คือ
§ กฎแห่งเหตุและผล ( The law of cause and effect )
§ กฎแห่งแรงดึงดูด ( The law of attraction )
o โลกนี้ เป็นโลกที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่แน่นอน ตายตัว ไม่ยกเว้นใคร (ไม่ว่าคุณจะชอบมัน หรือเชื่อมันหรือไม่ก็ตาม) คนที่ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎเหล่านี้ จะได้รับผลลัพธ์ที่ตนเองไม่ต้องการ แล้วเรียกมันว่า “โชคร้าย”
กฎข้อที่ 4 จงเคารพ กฎแห่ง เหตุและผล (กฎพ่อ แห่งโชคลาภ)
· ทุกอย่างเกิดขึ้น โดยมีเหตุ มีผล (สำหรับผลทุกอย่าง จะมีสาเหตุที่แน่นอน)
· ถ้าคุณเปลี่ยนเหตุให้ดีขึ้น ผลของคุณก็จะดีขึ้น
· การกระทำ (หรือเหตุ) ทุกอย่าง จะมีผลตามมา ไม่ว่าเราจะ เห็นมันหรือไม่ และไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ ก็ตาม
** โชค ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อะไรที่เกิดขึ้นกับเรา จะเป็นผลบางอย่างจากการกระทำ หรือความคิดของเรา ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ข้อปฏิบัติ
ถ้าอยากได้ผล (หรือโชค) ที่ต่างไป ก็ต้องเปลี่ยนเหตุหรือการกระทำ และความคิดของเราเอง
บางทีสาเหตุนั้นอาจไม่ชัดเจน เราอาจไม่ทราบหรือไม่เข้าใจ หน้าที่ของเรา คือ หาสาเหตุนั้น
กฎข้อที่ 5 จงบูชา กฎแห่งแรงดึงดูด (กฎแม่แห่งโชคลาภ)
· (เพื่อได้) โชค คุณต้องใช้กฎแห่งแรงดึงดูด ช่วยดึง ผู้คนและสถานการณ์ ที่จะช่วยคุณให้เดินหน้าเร็วขึ้น เข้ามาในชีวิต (ไบรอัน เทรซี่ , สรอ.)
** กฎแห่งแรงดึงดูด “คุณจะดึงดูดสิ่งที่อยู่ในความคิดส่วนใหญ่ของคุณเข้ามาในชีวิต” ไม่ว่าจะเป็น คน สถานการณ์ สิ่งของ ...ฯลฯ... (กฎนี้ เป็นกฎตายตัวของโลก เหมือนกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ไม่ว่าคุณจะชอบมันหรือไม่ และเชื่อมันหรือไม่ ก็ตาม)
ข้อปฏิบัติ
สิ่งเดียวที่ต้องทำ คือ ควบคุมความคิด ให้คิดแต่ในเรื่องที่ต้องการเท่านั้น (พูดถึงมัน ฝันถึงมัน หมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา) สิ่งนี้ ทำยากกว่าที่คิด เพราะจิตสำนึกของเราจะคอยคิดแต่เรื่องทางลบ
เทคนิค
ลงโทษตัวเองเล็กๆ (ทุกครั้งที่คิดในเรื่องทางลบ) เมื่อความคิดเถลไถลไปเรื่องทางลบ เพื่อเทรนให้จิตสำนึกเชื่อมความเจ็บกับความคิดทางลบ (ทำติดต่อกันอย่างน้อย 21 วัน จะเป็นการพัฒนาจิตใจให้กล้าแข็งขึ้น)
*** มีทางสองแบบ ที่จะไปถึงเป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องการ
ทางแรก ทำงานลูกเดียว เพื่อให้ถึงเป้าหมายให้ได้ (วิธีนี้ เหนื่อยและช้า)
ทางที่สอง ขณะที่คุณ วิ่ง เข้าหาเป้าหมาย เป้าหมายนั้น ก็วิ่ง เข้าหาคุณ (วิธีนี้ เหนื่อยน้อยและเร็ว)
กฎข้อที่ 6 กำจัด ความเชื่อที่จำกัด
· คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่คนเราเลือกที่จะเป็นได้
· ที่สำคัญ ต้องคิดเป็น (ไม่เช่นนั้น ก็อยู่เหมือนคนล้มเหลว)
** ในโลกนี้ ทุกอย่างเป็นไปได้ ถ้าตั้งใจและคิดอย่างถูกต้อง
มนุษย์สามารถเป็นอะไรที่ตนเองต้องการได้ทั้งนั้น เพราะมนุษย์จะพัฒนาการไป ตามที่ตนเองคิดเท่านั้น
o ถ้าคุณคิดเป็น คุณไม่ต้องพึ่งโชค แต่คุณจะสร้างโชค
o หากรู้วิธีสร้างโชคเองแล้ว อยากโชคดีแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
o สร้างโชค(ดี) เป็นผู้กำราบโชค เอาชนะโชคจนอยู่หมัด ย่อมมีความรู้สึกที่แตกต่างกับการตกเป็นเหยื่อของโชค(ร้าย)
กฎข้อที่ 7 ทำตัวเป็น หมอดูที่แม่นที่สุดในโลก
· ไม่มีคนคนใดสามารถมาลิขิตชีวิตของมนุษย์ได้ คุณจะต้องกุมบังเหียนชีวิตนี้เอง
ไม่ว่าชีวิตนี้จะออกมาดีหรือไม่ดี คุณต้องเป็นผู้รับผิดชอบมันทั้งนั้น
** มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ มีความสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยการคิด และการกระทำที่ถูกต้อง
- เพราะในเมื่อมนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด การคิดและการกระทำ
ในตอนนี้ จึงเป็นตัวกำหนดผลในอนาคต
- คุณมีศักยภาพในการเปลี่ยนอนาคตของตัวเอง คุณสามารถทำนายอนาคตของคุณเองได้ ถ้าคุณ มุ่งพลังกาย พลังความคิด ไปที่สิ่งที่ดี ความฝันที่ยิ่งใหญ่ อนาคตของคุณก็จะไปในทิศทางนั้น (ดี / ไม่ดี)
“มนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด” เป็นกฎที่แน่นอนและตายตัวของโลก เหมือน
กฎแรงโน้มถ่วง อยู่คู่โลกมาตั้งแต่มีมนุษย์ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใช้ได้ทุกประเทศ
ทุกสมัย ตลอดไป เป็นกฎแห่งการทำนายอนาคต
หน้าที่ของคุณ ก็คือ ทำอย่างไรที่จะเข้าใจถ่องแท้ถึงกฎนี้ เพื่อจะได้นำไปใช้ และเมื่อไหร่ที่คุณเป็นเจ้าของกฎนี้ คุณสามารถมี และเป็นอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
กฎข้อที่ 8 คนโชคดี ตัดสินใจ ไขว่คว้าหาโชค
สุภาษิตญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า “ วันที่คุณตัดสินใจทำ เป็นวันโชคดีของคุณ ”
กฎข้อที่ 9 คนโชคดี ลงมือทำวันนี้
* เมื่อคุณรู้ว่าต้องการอะไร
คุณต้องเริ่มวางแผนเดินหน้าเข้าไปหาเป้า และทำวันนี้
(วันพรุ่งนี้ไม่เคยมา ชีวิตทุกคนประกอบไปด้วยวันนี้)
** เริ่มอะไรก็ได้ แม้ว่าเล็กเท่าใดก็ตาม เพราะการเริ่มต้นนั้นยากที่สุด
แต่เมื่อได้เริ่มแล้ว การทำต่อ จะใช้แรงและความพยายามน้อยลง
กฎข้อที่ 10 รู้จัก องค์ประกอบของโชค
เซเนกา / โรมัน / คศ. 1 , กล่าวว่า โชค คือ ความเตรียมพร้อม พบกับ โอกาส
** องค์ประกอบของโชคดี คือ
· โอกาส
· ความเตรียมพร้อม
ทั้งสองสิ่งต้องเกิดขึ้นด้วยกัน จึงจะเป็น “ โชคดี ”
ถ้าโอกาสมาถึง แต่เราไม่พร้อม เรียกว่า ความน่าเสียดาย
** เราต้องรู้จักสร้างโอกาส ทำอย่างไรก็ได้ให้โอกาสเกิดขึ้นกับเรามากที่สุด **
กฎข้อที่ 11 เพิ่มโอกาส โดยลองสิ่งแปลกใหม่
** สิ่งหนึ่งที่ทำได้ ที่จะเปิดโอกาสนั้นมาถึงเราได้มากครั้งที่สุด คือ ลองสิ่งใหม่ ๆ
- ถ้าการกระทำของคุณเป็นแบบเดิม ๆ คุณก็จะได้ผลแบบเดิม ๆ
** ไอน์สไตน์ ให้คำนิยาม การทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา และหวังให้ผลมันเปลี่ยนไป ว่า “ ความวิกลจริต ”
- ถ้าอยากได้ผลที่แตกต่างไปในทางดี ก็ต้องลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดี ๆ ที่เราไม่เคยทำ
หรือที่ไม่มีคนอื่นเคยทำ
- เนื่องจากโชคของคุณ ส่วนใหญ่จะมาจากผู้อื่น ดังนั้น การเจอคนใหม่ ๆ ที่ดี ๆ
ทำให้มีโอกาสที่จะประสบสิ่งดี ๆ
- ยิ่งคุณเป็นคนรู้จักคนมากเท่าไหร่ โอกาสที่คนจะนำไป หรือให้ไอเดียสิ่งดี ๆ
ก็มีเยอะมากยิ่งขึ้น แค่ไอเดียดี ๆ ไอเดียเดียว สามารถทำให้เราเป็นมหาเศรษฐีได้
กฎข้อที่ 12 เพิ่มโอกาส โดยการเอาตนเองเข้าไปอยู่ในหนทางของโอกาส
** การเอาตัวเข้าไปอยู่ในหนทางของโอกาส ก็เหมือนกับการไปรอตรงที่โอกาสมันมีสิทธิโผล่ขึ้นมาได้มาก เราควรคิดว่า สิ่งที่เราอยากได้ มันอยู่กันที่ไหนเยอะ ๆ
- การที่เราได้โอกาสมากกว่า ก็ทำให้ได้พัฒนาฝีมือได้รวดเร็วกว่า
ข้อคิด
ลองถามตนเองว่า เหตุที่เราไม่ก้าวหน้า หรือไม่มีโชค เป็นเพราะเราทำงานอยู่ในองค์กรที่ผิดหรือเปล่า ไม่เหมาะสมกับความสามารถส่วนตัว หรือเปล่า หรือตั้งร้านค้าอยู่ในสถานที่ที่ผิดหรือไม่..... (บางครั้ง แค่เปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ก็ทำให้โชคเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว)
กฎข้อที่ 13 เพิ่มโอกาส โดยการเพิ่มคุณค่าของตนเอง
** การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองในทุก ๆ ทาง ทำให้เราวางตำแหน่งของตัวเราให้อยู่ในโอกาสที่คล้าย ๆ กัน คือ ดีขึ้น ดีขึ้น ยิ่งตนเองดีมากเท่าไร โอกาสที่ผ่านมาในชีวิต ก็ดีมากขึ้นเท่านั้น (โชคดี จะมีโอกาสเกิดมากขึ้น เป็นเงาตามตัว )
- กล่าวกันว่า “ Birds of a Feather Flock Together ”
“ คนที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะอยู่ใกล้กัน หรือเป็นเพื่อนกัน ”
( คนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะได้เพื่อน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ )
- ยิ่งคุณเพิ่มคุณค่าให้ตนเองมากเท่าใด คุณก็จะมีเพื่อนเป็นคนที่มีค่าและประสบ
ความสำเร็จ เพิ่มขึ้นเท่านั้น
- ยิ่งคุณมีเพื่อน “ คุณภาพ ” มาก โชคดีของคุณก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ
“ Like Attracts Like ” สิ่งที่คล้าย ๆ กัน จะถูกดึงดูดเข้าหากัน
** อยากได้ของดี ตนเองต้องเป็นของดีด้วย
กฎข้อที่ 14 เพิ่มโอกาส โดยการออกไปเจอคน
** เวลามีโอกาสผ่านเข้ามาถึง ถ้าคนในตำแหน่งที่มีอำนาจไม่เคยรู้จัก หรือไม่เคยเห็นหน้าเราเลย เขาไม่สามารถจับเราชนกับโอกาสนั้นได้ เขาต้องคิดถึง คนที่โดดเด่น ( ซึ่งบางครั้ง
ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องความเก่งเสมอไป อาจเป็นความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี หรือมีความเป็นผู้นำ หรือมีผลงาน
กฎข้อที่ 15 คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
- คนที่ไม่ดี คนที่เป็นคนคิดทางลบ คนที่ชอบบอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอก
อย่าคิดเลย คิดอะไรเกินตัว ฝันหวาน.... ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ เป็นคนที่ไม่ค่อยจะทำอะไรที่น่าสนใจ อยู่ใกล้คนเหล่านี้นาน ๆ คุณจะคิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง
การที่เขาเหล่านั้นเป็นผู้แพ้ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ไม่ควรจะมาทำให้คุณเป็น ผู้แพ้ด้วย
* การอยู่ใกล้ ๆ คนที่กล้าคิดใหญ่ ฝันใหญ่ แล้วทำได้ ทำให้เราได้แรงบันดาลใจ กล้าคิด กล้าทำ
หรืออ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จเขียนแบ่งปัน
ทำให้เราได้ความคิดใหม่ ๆ ดี ๆ โอกาสที่จะโชคดี มีมากขึ้นเป็นทวีคูณ
** ถ้าคุณอยากโชคดี ชีวิตคุณควรจะห้อมล้อมตนเองด้วยคนที่เก่ง ฉลาด ประสบความสำเร็จ คิดในทางบวก
อย่าไปเสียเวลากับคนที่ชอบพูดทางลบ ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะเขาจะนำเอาโชคร้ายมาให้
กฎข้อที่ 16 เพิ่มโอกาส โดยการเอาประโยชน์ให้มากที่สุดจากสถานการณ์ปัจจุบัน (ที่ไม่ดีนัก)
* โอกาสนั้น ไม่ใช่เกิดบ้าง ไม่เกิดบ้าง หรือเกิดตามความบังเอิญ
โอกาสนั้น มีอยู่ทั่วไป แต่เราจะเห็นมันหรือเปล่า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าใจเราปิดแคบ หรือมีวิสัยทัศน์ที่แคบ ๆ เราก็จะไม่เห็นโอกาสนั้น
** คนที่โชคดี จะเป็นคนที่มองเห็นโอกาสในสถานการณ์ที่คนทั่วไปคิดว่า ไม่ดีนัก
และสามารถทำประโยชน์จากทุกสถานการณ์ (ถ้าสถานการณ์ไม่เหมือนกับที่
คาดหวังไว้ ก็จะไม่ย่อท้อ จะมองหาสิ่งดีที่เขาทำได้ในสถานการณ์นั้น)
** ในการแข่งขัน หัวสมองจะต้องเริ่มทำงานทันทีว่า ทำอย่างไร เราจึงจะโดดเด่น
จากผู้แข่งขันรายอื่น (ทำอย่างไรกรรมการจึงจะจำเราได้)
ซึ่งเมื่อหัวสมองได้พุ่งไปทำงานอย่างนั้นแล้ว จะทำให้เราสามารถเอาศักยภาพ
ทั้งหลายมาใช้ได้เต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างมากมายถึงศักยภาพที่เรา
ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
กฎข้อที่ 17 เตรียมความพร้อม สำหรับโอกาสที่กำลังจะมา เสมอ
- สถานะ ชาติตระกูล และองค์อื่น ไม่สำคัญเท่า ความทะเยอทะยานส่วนตัว
การใฝ่หาโอกาส และที่สำคัญที่สุด คือ การเตรียมความพร้อม
** อับราฮัม ลิงคอล์น กล่าวว่า ผมมีกฎง่าย ๆ คือ
“ จงเตรียมพร้อมทุกอย่าง เหมือนกับโอกาสของเราจะมาถึงในวันนี้ ”
กฎข้อที่ 18 เข้าใจว่า “โชคส่วนใหญ่ของคุณ จะมาจากคนอื่น.....”
- คนอื่น ๆ เช่น ผู้ใหญ่ที่เห็นผลงานดีของเรา / เพื่อนดี ๆ ที่ช่วยเหลือในสิ่งต่าง ๆ คนอื่น ๆ ที่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะช่วยเรา .....ฯลฯ.....
** เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน จะเป็นคนที่โชคดีกว่าผู้อื่น
เป็นคนที่เพื่อนหรือผู้มีอำนาจนึกถึงเวลามีงานดี ๆ หรือมีคนดี ๆ ที่อยากแนะนำให้รู้จัก
· เมื่อไม่มีโอกาส ความสามารถอาจพัฒนาได้ช้ากว่าที่ควร
** เพิ่มสัมพันธภาพกับผู้อื่น ก่อนที่คุณต้องการขอความช่วยเหลือ
“ Dig your well before you’re thirsty ”
กฎข้อที่ 19 เป็น “คนเก่งทางด้านมนุษยสัมพันธ์”
- การเข้ากับคนได้ดี การทำตัวให้คนรักคนชอบ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิต
- ยิ่งคุณเก่งเรื่องมนุษยสัมพันธ์มากเท่าใด คุณจะยิ่งโชคดีมากขึ้นเท่านั้น
วิธีบางวิธีที่จะเก่งทางมนุษยสัมพันธ์
1. ปฏิบัติกฎทองคำ “ปฏิบัติกับผู้อื่น เหมือนกับที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติกับเรา”
2. ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือคลาสสิคด้านการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ของ
คาร์เนกี (How to win friends and pinfluence people)
** ที่สำคัญ การปฏิบัติให้ได้ผล ต้องปฏิบัติบ่อย ๆ จนตนเองเก่ง
- หน้าที่หลักของคอนดักเตอร์ คือ การทำงานกับคน (นักดนตรี)
ไม่ใช่กับสิ่งของ (เครื่องดนตรี)
- ความสำเร็จของคอนดักเตอร์
30 % มาจากความฉลาด ความรู้ ความเก่งในศาสตร์
70 % มาจากความสามารถในการสร้างสถานการณ์ ที่ทำให้ผู้ร่วมงานทำงานได้ดีที่สุด
** ในโลกของการทำงาน ทักษะ มนุษยสัมพันธ์ จะมีความสำคัญต่อความสำเร็จ
มากกว่าความเก่งเฉพาะด้าน
กฎข้อที่ 20 ช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน
** การหว่าน ต้องมาก่อนการเก็บเกี่ยว
* ไม่ว่าเราหว่านอย่างไร ก็จะเก็บเกี่ยวอย่างนั้น เป็นกฎตายตัวอีกกฎหนึ่งของโลก
การช่วยเหลือผู้อื่น เป็นการหว่านอย่างหนึ่ง ที่ต้องทำก่อน และควรทำโดยไม่ต้องห่วง
การเก็บเกี่ยวหรือผลตอบแทน (ซึ่งจะมีมาแน่ ตามกฎตายตัวของโลก)
กฎข้อที่ 21 สร้างชื่อเสียงที่ดี
- ชื่อเสียง คือสิ่งที่คนอื่นพูดถึงคุณ เวลาอยู่ลับหลังคุณ
** ชื่อเสียงที่ดี จะทำให้คุณโชคดีได้อีกเยอะ เพราะจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ ได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
กฎเหล็กที่สำคัญ ที่เราต้องพึงจำไว้
“ People will do business with someone they know , Like and trust ”
(คนจะทำธุรกิจกับคนที่เขา รู้จัก ชอบ และเชื่อใจ)
- ยิ่งคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่รู้จักเราและคิดถึงเราในทางที่ดี เราก็โชคดีมากเท่านั้น
** ภารกิจที่สำคัญที่สุดของคนที่อยากโชคดี คือ เพิ่มจำนวนคนที่รู้จักเรา ชอบเรา และ เชื่อใจเรา ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
กฎข้อที่ 22 อย่าหาโชคที่การพนัน
** ในโลกของการพนันไม่มีคนโชคดี นอกจากเจ้าของกาสิโน
- ไม่มีใครโชคดีจากการพนัน ถึงแม้คุณจะเล่นได้ตอนนี้ ในที่สุดคุณก็ต้องเสีย
เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ยอมหยุดเล่นเมื่อกำลังได้ จะยอมหยุด
เมื่อเล่นเสียหมดตัวแล้ว หรือจนเป็นหนี้มหาศาล
กฎข้อที่ 23 อย่าแสวงโชคที่ล๊อตเตอรี่
- คนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ( Self-made people สร้างตัวขึ้นมาโดยสุจริต และด้วย
ความสามารถตนเองแท้ ๆ ไม่เกี่ยวกับมรดก ) จะไม่ซื้อล๊อตเตอรี เพราะเขารู้ว่า เงินได้มาจากงาน ได้มาจากไอเดีย ได้มาจากความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
กฎของโลกอีกประการหนึ่ง คือ
“ You can’t keep anything you don’t deserve ”
คุณไม่สามารถรักษาอะไรที่คุณไม่สมควรได้รับไว้ได้
** การให้การศึกษาตนเองด้านการเงิน (Financial Education)
จะทำให้คุณรู้จักการรักษาเงินนั้น และทำให้มันโตได้
กฎข้อที่ 24 อย่ามีศัตรู (ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ)
- ศัตรูแค่คนเดียว ก็สามารถทำให้ชีวิตเรามีโชคร้ายได้เยอะแยะมากมาย
เพราะศัตรูคนนั้นก็มีเพื่อน ๆ และพรรคพวก ซึ่งอาจทำให้ชีวิตเรายากลำบาก ขึ้นมาก
กฎข้อที่ 25 คนโชคดี คือ คนขยัน
เบนจามิน แฟลงคลิน กล่าวไว้ว่า “ Diligence is mother of Goodluck ” ความขยัน เป็นมารดาของความโชคดี
โทมัส เจฟเฟอร์สัน กล่าวไว้ว่า
“ I am a Great Beliver In Luck ,
And I find The Harder I work ,
The More I have of It ”
“ ผมเชื่อเรื่องโชคเป็นอย่างมาก และผมพบว่า ยิ่งผมทำงานหนักมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมีโชคมากขึ้นเท่านั้น ”
** เมื่อเกี่ยวกับความสำเร็จแล้ว ไม่มีอะไรมาทดแทนการทำงานหนักได้
(เทคนิคบางอย่าง อาจทำให้ถึงความสำเร็จ เร็วขึ้น และง่ายขึ้น)
กฎข้อที่ 26 หาทางให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย
- ยิ่งมีคนได้รับประโยชน์ (จากการรับใช้ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา) มากเท่าใร
โชคดี ก็ยิ่งมาเยือนมากเท่านั้น
** อย่าคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว ก่อนที่จะทำอะไร ควรคิดก่อนว่า คนอื่นจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราทำได้อย่างไร
- โลกทั้งโลกนี้ ประกอบไปด้วย “คนอื่น” ทั้งหมด ยกเว้นเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ ตัวเราเอง
* โลกนี้ เป็นโลกของการพึ่งพาอาศัยกัน
“ You can have everything in life you want , If you
will just help other people get what you want ”
* กุญแจสำคัญ
หาวิธีอะไรก็ตามที่เขาได้ และเราได้ ไปพร้อม ๆ กัน และเมื่อนั้น เราสามารถจะได้อะไรก็ได้ในชีวิต
** การคิดให้คนอื่นได้ผลประโยชน์ และเน้นตรงส่วนนั้น จะนำ “โชคดี” มาให้คุณมากมาย
กฎข้อที่ 27 การอิจฉาจะนำโชคร้ายมาเพิ่ม
** คนโชคดี จะยินดีกับคนอื่นเมื่อเขาได้ดี หรือประสบความสำเร็จ
· เวลาที่เราอิจฉาเขา มันสมองของเรากำลังมุ่งไปที่ที่ผิด คือ มุ่งไปที่สิ่งที่คนอื่นมี แต่ที่เราไม่มี
กฎธรรมชาติของโลก
“ You get more of what you focus on ”
ไม่ว่าสิ่งใดที่คุณเพ่งความสนใจไป สิ่งนั้น คุณจะมีมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความจน ความป่วย ความมั่งมี ความสุข.......
- ยิ่งคุณมุ่งคิดไปในสิ่งที่คนอื่นมี และคุณขาด ความรู้สึกด้อยนั้นก็จะมีมากขึ้น
กฎข้อที่ 28 อย่าพูดว่า คู่แข่งหรือคนที่คุณไม่ชอบ “โชคดี”
** “ความโชคดี” คือวิธีการอธิบายความสำเร็จของผู้อื่น (ที่เราไม่ชอบ)
ฌอง คอดโต (นักเขียนชาวฝรั่งเศส)
EX สิ่งที่บัณฑิต อึ้งรังสี ทำ
· ทำงานหนัก เพื่อที่จะได้เป็นเลิศในสาขาที่อยากเก่ง
· มีวิธีการคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป (คิดต่างกัน ทำให้อนาคตต่างกัน)
· ต้องใช้ความอดทน
· ไม่ย่อท้อ เอาชนะความไม่ยุติธรรม
ข้อสำคัญ
1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ทำงานหนัก เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ๆ
** ในโลกนี้ ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ เมื่อเรามีความเชื่อและความกล้า
- เวลาเราเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ เราไม่ควรบอกว่าเขาโชคดี เพราะ
§ ส่วนใหญ่แล้ว เป็นเพราะคุณอิจฉาเขา
§ เป็นการดูถูกคนอื่นนิด ๆ
§ การที่คนอื่นประสบความสำเร็จหรือได้สิ่งดี ๆ มีเหตุเสมอ ไม่ว่าคุณ จะเห็นเหตุนั้นหรือไม่ก็ตาม
กฎข้อที่ 29 “ดูดี” เหมือนคนโชคดี
* เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ที่คนที่ดูดี หล่อ สวย ก็จะได้โอกาสดี ๆ ในชีวิต มากกว่าคนที่ไม่โดดเด่น
“ดูดี” = ดูดีทั้งรูปร่างหน้าตา , การแต่งกาย , บุคลิคภาพ , ความเฉลียวฉลาด และความสะอาด
** การเป็นนักฟังที่ดี ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับคนที่พูดคุยด้วย สามารถทำให้เรา
เป็นคนมีเสน่ห์ ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อ “ ความโชคดี ”
- โชคและการดูดี มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นอน
กฎข้อที่ 30 จงรู้จักเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้ว
กฎนี้ เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็น “บุคคลที่โชคดี” หากคุณเป็นเจ้านายของกฎนี้ ไม่ยากเลยที่คุณจะเป็น “คนที่โชคดีที่สุดในโลก”
The Law of Gratitude
“ The more you appreciate what you already have , the more you will have”
ยิ่งคุณเห็นค่าสิ่งที่มีแล้ว คุณยิ่งมีเพิ่มขึ้น
** นอกจาก ความคิด ของเรา จะ “ดึงดูด” สิ่งต่าง ๆ เข้ามาในตัวเราแล้ว ความรู้สึก ของเรา ก็จะดึงดูดด้วย
“ ความรู้สึกดี ๆ ” ก็จะดึงดูดสิ่งของหรือสถานการณ์คล้าย ๆ กัน ที่คนทั่วไป เรียกว่า “โชคดี”
แหล่งที่มา : จากหนังสือ “30 วิธีเอาชนะโชคชะตา” ของ บัณฑิต อึ้งรังสี
21 เหตุแห่งความล้มเหลวของท่านกว๋อฉาง
21 เหตุแห่งความล้มเหลวของท่านกว๋อฉาง
รศ.ดร.ปราชญา กล้าผจญ
มนุษย์ต้องทำงาน เมื่อทำงานเสร็จ ก็ต้องการความสำเร็จ หากสำเร็จ ก็ยินดี พอใจหากล้มเหลวไม่สำเร็จก็เสียใจ หดหู่ ท้อถอย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
การทำงานสิ่งใดก็ตาม ทำแล้วต้องมุ่งหน้ากระทำต่อไปให้สำเร็จจงได้ ไม่ท้อถอยเสียโดยง่าย ไม่เลิกละลงกลางคัน มีความบางบั่น มุมานะพากเพียรพยายาม กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เรื่อยไป หนักๆ เข้า งานใดๆ ก็ไม่สามารถหลีกหนีความพยายามของมนุษย์ไปได้
เมื่อเริ่มทำงานการสิ่งใดก็ตาม หากเริ่มต้นแล้วรู้สึกว่าสะดุดมีลางไม่ค่อยจะดีเสียเปรียบ มีท่าว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็ขอจงอย่าได้ท้อถอย ให้คิดไว้เสมอว่า "เสือเจ็บนั้นไม่ร้อง" เมื่อท่านพบกับปัญหาจงอย่าเอะอะเอ็ดตะโร หรือโวยวายว่า ทำไม่ได้ ๆ ไม่มีทาง ๆ งานนี้ยากเหลือเกิน ใครจะสามารถทำให้สำเร็จได้ ? ซึ่งการร้องแรกแหกกระเชอ พร่ำเพ้อ ไปเช่นนั้น มิได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แต่หากหุบปากเงียบไว้ ตั้งหน้าตั้งตาลงมือทำ ฝ่าฟันบากบั่นต่อสู้กับภาระหน้าที่งานนั้นเรื่อย ๆ ในไม่ช้า ความสำเร็จก็จะเข้ามาสู่ตัวเราเอง
ท่านกว๋อฉางได้กล่าวถึงเหตุแห่งความล้มเหลวของมนุษย์ไว้ 21 ประการ ดังนี้
1) ไม่เข้าใจผู้อื่น เป็นคนไม่รู้เขา ไม่รู้เรา เอาแต่ตนเองเป็นประมาณ มีความคับแคบในจิตใจ
2) ไม่ประมาณตน สำคัญตนเองผิด ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในสถานะใด ขาดความเจียมตนอยากใหญ่ อยากดัง อาจจะเป็นคนชอบยกตนข่มท่าน อวดใหญ่อวดโต
3) ไม่เดียงสาต่องาน ขาดความรู้ในหน้าที่การงานที่ปฏิบัติ ไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมในเรื่องนั้นๆ ให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่มีความเข้าใจงาน ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนต่อการปฏิบัติภารกิจนั้น
4) ขาดความสำนึกรับผิดชอบ ไม่รับทราบว่า ในหน้าที่งานที่ตนเองต้องปฏิบัตินั้น ที่จริงแล้วมีสิ่งใดบ้างที่ตนเองจะต้องรับผิดชอบ หรือแม้จะทราบ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ทราบ ไม่ยอมรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตน หรือคอยจ้องแต่จะรับ "ความชอบ" ส่วนความผิดนั้น มักปัดสวะให้ผู้อื่นรับเอาไป ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดเสียหายล้มเหลวได้อย่างมากมาย
5) โลภโมโทสัน เป็นคนมักได้ มักเอา เป็นคนขี้ขอ มีโลภะ เป็นเจ้าเรือน เห็นสิ่งใดมีอาการอยากได้มาเป็นของตนในทุกๆ เรื่อง อาการเช่นนี้ เมื่อมีในตนมากเกินไป ทำให้มีสภาพเป็นคนน่ารักเกียจ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเขากลับว่า จะไปขอทรัพย์สินของเขานั่นเอง ไร้ซึ่งสัจธรรม คนพูดปด พูดมดเท็จ พูดหลอกลวง พูดเพ้อเจ้อ พูดสับปลับ พูดปากกับใจไม่ตรงกัน ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ย่อมไม่มีคนเคารพนับถือ วาจาไม่เป็นที่เชื่อถือแก่ผู้ใดเลย คนประเภทนี้ จะเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ที่จะเป็นได้ ก็เป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่น สิ้นไรซึ่งความดีงามประจำตนเท่านั้นเอง
6) เย่อหยิ่งยโส คนอวดเบ่ง อวดหยิ่งยโสนั้น ไม่มีใครเขาเกรงกลัว และไม่เคารพนับถืออีกด้วย คนที่คิดว่าตัวเองเก่งนั้น ที่จริงเปรียบเสมือนกับคนที่ตายไปแล้ว เพราะคนที่หลงตัวลืมตนนั้นจะไม่ยอมศึกษาค้นคว้าสิ่งไดเพิ่มเติม เนื่องจากหลงตนคิดว่าตนเองเก่งกว่าใครๆ นั่นเอง
7) ก่อหนี้สินล้นพ้นตัว คนประเภทนี้ เป็นพวกหน้าใหญ่ใจโต ไม่ประมาณตน เห็นช้างขี้ก็อยาก ขี้ตามช้าง เห็นเขานั่งคานหาม ก็อยากนั่งบ้าง แต่หาคานหามไม่ได้ เลยต้อง "เอามือประสานก้นแทน"
8) คบค้าคนเสเพล คนที่คบค้าแต่คนพาล คนเสเพล ย่อมจะเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศฉิบหายไปด้วย ในอบายมุข 6 นั้น บ่งบอกว่า อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร
9) เกียจคร้านต่อการงาน การขี้เกียจตัวเป็นขน การงานไม่ยอมทำ กระทำตัวประหนึ่ง "ตุ๊ดตู่" ที่ในเรี่ยวในรูช่างอยู่ได้ ขี้เกียจหนักหนาระอาใจ เขาเรียกให้กินหมากไม่อยากพบ คนขี้เกียจระดับนี้เป็นพวก "กินแล้วนอนรอวันเชือดเหมือนหมู" ยิ่งนอนก็ยิ่งอ้วน ยิ่งนอนก็ยิ่งง่วงหนักมากขึ้น และยิ่งขี้เกียจมากขึ้นทุกที ๆ หนักเข้ากลายเป็นคนอดอยากยากจน เกียจคร้านไม่ยอมทำการงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน หนักเข้าก็ต้องกลายเป็นยาจกเข็ญใจเที่ยวขอทานเขากิน
10) ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ การอวดเก่ง การดังด้วยการตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก ทำร้ายคนอื่นเกะกะระรานหาเรื่องราวจากสุจริตชนไปเรื่อย ๆ นั้น เป็นบ่อเกิดความเสียหายในชีวิตของบุคคลและท้ายที่สุดอายุก็มักจะไม่ยืนยาวอีกด้วย มักจะถูกทำร้าย ถูกแก้แค้นให้บาดเจ็บ หรือถึงกับล้มตายเสียโดยง่าย มักจะไม่ได้ตายดี แต่จะกลายเป็น "ผีตายโหง" เสมอ
11) ไร้ซึ่งสัจธรรม คนพูดปด พูดมดเท็จ พูดหลอกลวง พูดเพ้อเจ้อ พูดสับปลับ พูดปากกับใจ ไม่ตรงกัน ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ย่อมไม่มีคนเคารพนับถือ วาจาไม่เป็นที่เชื่อถือแก่ผู้ใดเลยคนประเภทนี้ จะเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ที่จะเป็นได้ ก็เป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่น สิ้นไร้ซึ่งความดีงามประจำตนเท่านั้นเอง
12) ใจคอคับแคบ คนจิตใจคับแคบ เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้อย่างที่สุด เรียกได้ว่า "ขนาดอุจจาระเมื่อถ่ายออกมาแล้วยังไม่ยอมให้สุนัขกิน" นั้นเลยทีเดียว คนประเภทนี้ เรื่องที่ใครจะมาขออะไร ไม่มีทางที่จะให้แก่ใครเลย ส่วนทรัพย์สินสมบัติของคนอื่นๆ นั่น ตนเองจะจ้องตาเป็นมันด้วยความอยากได้มาเป็นของตัว และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาเป็นของตัว และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาเป็นสมบัติของตัวเองให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถาถ้าขอเขาไม่ให้ก็ลักขโมยเอา หรือแย่งชิงเอาซึ่งๆ หน้าก็ทำได้
13) คบคนไม่เลือก คนคบคนไม่เลือกนี้ เป็นคนไม่ฉลาด เป็นคนที่สิ้นคิด คนนั้นมีหลายร้อยจำพวก ที่ดีก็มี แต่ที่ชั่วก็มาก หากคบคนไม่เลือก มีโอกาสสูงมากที่จะได้คนพาล คนเลวทรามมาเป็นมิตร บุคคลเหล่านี้จะปอกลอก ล่อลวง ชักชวน ชักจูงให้หลงผิด อาจจะพาไปติดยาเสพติดไปเที่ยวหญิงคนชั่ว มีโรคร้ายที่สังคมรังเกียจติดตัวมา อายุอาจจะไม่ยืนยาว มงคลสูตรข้อแรก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บอกไว้ว่า อย่าคบคนพาล แต่จงสมาคมกับบัณฑิต จึงเป็นมงคลอันประเสริฐอุดมดี
14) คิดคดล่อลวง คนคดในข้อ งอในกระดูกนั้น คดในทุกเรื่อง เป็นคนที่ไม่ควรคบหาสมาคมเป็นอย่างยิ่ง คนประเภทนี้ ทำงานสิ่งใดมักจะประสบความล้มเหลวเสมอ เนื่องจากนิสัยที่ชั่วร้ายเลวทรามของเขานั้นเอง มีคำกล่าวสำคัญตอนหนึ่งว่า แม่น้ำคดเคี้ยวก็ควรจร ไม่คดทำศรพอเชื่อได้ เหล็กคดทำเคียวเกี่ยวข้าวใช้ แต่คนคดนั้นไซร้ไม่ต้องการ
15) สุรุ่ยสุร่าย เป็นความเลวทรามชนิดหนึ่งของมนุษย์ ที่มีนิสัยหน้าใหญ่ใจโต มือเติบ จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่อั้น ได้น้อย หรือได้มากไม่คำนึงถึง แต่จ่ายมากเข้าไว้ก่อน คำกลอนรุ่นเก่าของสุนทรภู่ว่าไว้ว่า "เป็นผู้ดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก เหมือนเกี่ยวแฝกมุงป่าฉิบหาย" แล้วในที่สุดตนเองก็ต้องล้มละลาย อาจจะต้องถึงขนาดฉิบหายขายตัวไปด้วยกันเลยทีเดียว
16) ไร้อุดมการณ์ บุคคลที่สิ้นไร้ซึ่งอุดมการณ์ ไม่มีจุดยืนที่แน่นอน ไม่มีหลักการใดมา หน่วงเหนี่ยวให้จิตใจยึดมั่นเป็นหลักไว้เสียแล้ว ก็มีสภาพเป็นคนหลักลอย กระทำการสิ่งใดก็ล่องลอยไปเรื่อยๆ ใครทักว่าอย่างไร ก็คล้อยตามไปตามสิ่งที่เขาทักนั้น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครเขายอมรับ นับถือบุคคลประเภทนี้ หากต้องการความสำเร็จอย่างแท้จริงในการทำงานแล้ว ต้องเป็น "คนมีหลัก" หลักที่ว่านี้หมายถึง หลักเกณฑ์ หลักธรรมความประพฤติ มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งวิชาชีพ แห่งหน้าที่ การงานของตน
17) ลุ่มหลงการพนัน การพนันนั้น นับเป็นยาเสพติดที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งสำหรับมนุษย์เมื่อยังไม่เคยเล่น ก็ไม่รู้สึกอะไร เห็นเป็นสิ่งที่ไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องวอแวด้วย แต่หากได้เข้าไปเล่นสักครั้งสองครั้งแล้ว อาจลุ่มหลงในเสน่ห์ มนต์มายาแห่งการพนันนั้น ในที่สุดก็ติดงอมแงม วันไหนไม่ได้เล่น ก็เกิดอาการหงุดหงิด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตื่นเช้าขึ้นมาก็รีบล้างหน้าล้างตา ไปนั่งรอที่หน้าบ่อน เมื่อมีขาไพ่หรือขาอื่นๆ ครบพอที่จะเล่นกันได้ ก็โจ้กันได้เลยทีเดียวละ ต่อจากนี้ก็แทบจะไม่มีวันเลิกรา ไม่อยากจะจากกันไปเสียเลย ลูกเต้า สามี หรือภรรยานั้นลืมไปหมดแล้ว พวกเขาจะเป็นอยู่อย่างไรก็ช่างหัวมัน จะมีข้าวกินหรือไม่ จะมีเสื้อผ้าใส่หรือไม่จะได้ไปโรงเรียนหรือไม่ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของฉันไปเสียแล้ว คนที่ลุ่มหลงการพนันขนาดหนักนี้หนัก ๆ เข้า ก็บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องทิ้งขว้างร้างหย่าจากกันไป ครอบครัวใด หากสามีภรรยาเป็นผีพนันด้วยกันทั้งคู่ บาปกรรมก็ตกมาที่ตัวลูก ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีเท่าที่ควร อาจจะเสียคนได้ตั้งแต่วัยเด็ก อาจจะไปมีแฟนเมื่ออายุยังน้อย อาจจะหนีตามกันไปโดยมิได้แต่งงาน อาจจะกลายเป็นนักการพนันตามพ่อแม่ไปด้วย เพราะได้เห็นสิ่งเลวทรามเหล่านั้นติดตามาตั้งแต่ยังเด็ก และมีมิจฉาทิฐิเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามที่ตนเองต้องเจริญรอยตามพ่อแม่ไปด้วย เพราะได้เห็นสิ่งเลวทรามเหล่านั้นติดตามาตั้งแต่ยังเด็ก และมีมิจฉาทิฐิเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามที่ตนเองต้องเจริญรอยตามพ่อแม่ไปด้วย
18) หุนหันพลันแล่น คนประเภทนี้ เป็นพวกใจร้อน ใจด่วนได้ เมื่ออารมณ์โกรธ หรือโทสะจริตเป็นเจ้าเรือนอยู่เสมอ หากพอใจอะไรก็ทำได้ หากไม่พอใจก็สะบัดก้นลุกเดินหนีไปทันทีได้เช่นเดียวกัน โดยไม่มีอาการเสียดงเสียดายอะไรเลย คนประเภทนี้บางทีเมื่อดีก็ดีใจหาย เมื่อร้ายก็ร้ายแสนเลยทีเดียว หากต้องการจะเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ไม่ล้มเหลว บุคคลประเภทนี้จะต้องฝึกจิตใจเสียใหม่ ให้เยือกเย็น สุขุมคัมภีรภาพ ไม่ใจเร็วด่วนได้อย่างแต่ก่อนอีก การจึงจะสำเร็จอีก
19) จิตใจโลเล คนประเภทนี้เป็นคนเหลาะแหละ เหมือนกับ "ไม้หลักปักเลน" อยู่แล้ว หลักนั้นย่อมโอนเอนไปมาเสมอ ไม่ตรึงแน่นอยู่กับพื้นได้ เนื่องจากเลนนั้นอ่อนเหลว หลักย่อมล้ม หรืออาจจะหลุดลอยไปจากพื้นเลนได้โดยง่าย การประพฤติตนเป็นคนโลเล เหลาะแหละ ไม่เอาจริงเอาจังในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น คนย่อมไม่เคารพนับถือ เมื่อเชื่อถือในถ้อยคำ แล้วจะไปบริหารงานให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ก็ต้องประสบกับความล้มเหลววันยันค่ำ หากต้องการความสำเร็จ ต้องเลิกละนิสัย "โลเล" นี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด
20) อิจฉาริษยา คนขี้อิจฉานั้น คือคนที่เห็นคนอื่นดีกว่าตนแล้วทนไม่ได้ รู้สึกเดือดร้อน ไม่สบายใจ เกิดอาการริษยาตามมาอีก คือไม่อยากให้เขาดีไปกว่าตน อยากให้เขาเกิดความพินาศ ล้มเหลว หากเขาเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะสุขสมในอารมณ์เป็นอันมาก เพราะการณ์เป็นไปสมตามที่ตนเองได้สาปแช่งเขาเอาไว้ คนประเภทขี้อิจฉานี้ ที่จริงแล้ว แทบจะไม่สามารถหาความสุขในชีวิตได้เลย เพราะเป็นคนที่ไม่เคยคิดดีๆ ต่อใคร ไม่เคยรู้จักคำว่า "ให้ ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา" แต่มีความอยากให้เขาเป็นทุกข์ ให้เขาเจ๊ง ให้เขาพัง ให้เขาเสียชื่อเสียง เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ แล้วตนเองกลับเป็นสุข และเมื่อเห็นเขาเป็นสุข ก็พลอยอิจฉาตาร้อน ไม่อยากให้เขาได้รับความสุขนั้นเพราะตนเองมีแต่ทุกข์ และอยากให้เขาได้รับความทุกข์เหมือนตนหรือมากกว่าตน
21) นอกรีตดื้อรั้น คนนอกรีต นอกรอย นั้นคือ คนที่ไม่ยอมประพฤติตามจารีต ตามประเพณีที่ดีงาม ที่คนเก่ารุ่นก่อน ผู้ใหญ่รุ่นปู่ย่าตาทวดเขาได้สร้างสรรค์ขนบประเพณีที่ดีงามเอาไว้คนที่เป็นพวกนอกรีต และหัวดื้อหัวรั้น ผู้ใหญ่บอกก็ไม่ฟัง สั่งก็ไม่เชื่อ ชอบเถียง ชอบโต้แย้ง ชอบขัดขืนคำสั่ง (โดยชอบ) ของผู้บังคับบัญชาเสมอ ผู้ใหญ่ย่อมไม่พึงพอใจ เห็นว่ากระด้างกระเดื่อง ไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความเสียหายในการปกครองบังคับบัญชา คนประเภทนี้เจริญได้ยาก การประพฤติตนอยู่ในรีตนั้นเป็นสิ่งดี กระทำตามๆ กันมา ชนิดที่เรียนกว่า "เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด" แต่หากเป็นการอยู่ในรีตไปทุก ๆ เรื่อง คนเก่าคนก่อนเขาทำมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ไม่ยอมปรับปรุงเปลี่ยนอะไรเสียเลย ก็สร้างปัญหาได้เหมือนกัน เพราะสังคมนั้นจะประกอบไปด้วยบุคคลประเภท "ไดโนเสาร์เต่าล้านปี" ที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนอะไรให้รับกับยุคสมัยใหม่เสียบ้างเลย ฉะนั้นคำว่า "นอกรีต" นั้น มีความหมายสองนับ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นัยหนึ่งนั้นการนอกรีต เป็นเรื่องเสียหาย แต่อีกนัยหนึ่ง การนอกรีตนอกรอย ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างเหมือนกัน
สรุป หากอยากเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ต้องทำตัวให้ห่างไกลจาก ความล้มเหลว 21 ประการ ที่ท่านกว๋อฉางได้กล่าวเอาไว้นี้ให้จงได้ และทำตนให้ตรงข้ามด้วยการใฝ่ฝัน กระทำตนมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จให้จงได้
ที่มา : วารสารวงการครู ปีที่ 2 ฉบับที่ 19 เดือนกรกฎาคม 2548
การบริหารคนเก่ง Talent Management : Talent Retention
· Tab 1
การบริหารคนเก่ง Talent Management
“คนเก่ง” หรือ Talent หมายถึงบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ มีผลงานที่โดดเด่นเหนือบุคคลอื่น
ซึ่งอาจมีลักษณะที่ แตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร โดยขึ้นอยู่กับลักษณะงาน ลักษณะธุรกิจนโยบาย
วัฒนธรรมองค์กร และกลยุทธขององค์กรว่าต้องการเดินไปในทิศทางใด
ลักษณะทั่วไปของคนเก่ง หรือมีศักยภาพสูง คือ
1. มีความสามารถ และมีคุณสมบัติในการนำตัวเองไปสู่ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น
2. สามารถแก้ปัญหาได้ดี วางแผนป้องกันปัญหาได้
3. เรียนรู้ได้รวดเร็ว
4. มีความกระตือรือร้น
5. มีความคิดสร้างสรรค์
6. มีความเป็นผู้นำ
7. มีวิสัยทัศน์
8. สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ทั้งภายในได้แก่ เพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา
รวมถึงการประสานงานกับภายนอก ได้แก่ ลูกค้า คู่ค้า เป็นต้นความสามารถของบุคคลเหล่านี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการบรรลุเป้าหมายขององค์กร และบุคคลเหล่นี้จะถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำ หรือผู้บริหารระดับสูงขององค์กรในอนาคตการจัดการกับคนเหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญในการจัดการทุนมนุษย์
(Human Capital Management) ซึ่ง
• เป็นการรักษาประสิทธิภาพขององค์กร
• ลดอัตราสูญเสียบุคลากรที่มีความรู้และประสพการณ์
• นำมาซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน
กระบวนการจัดการคนเก่ง
1. การสรรหาคนเก่ง
2. การคัดเลือกหรือระบุคนเก่งขององค์กร
3. การพัฒนาคนเก่ง
4. การบริหารและจูงใจคนเก่ง
5. การรักษาคนเก่งไว้ในองค์กร
การสรรหาคนเก่ง
ในกระบวนการสรรหาคนเก่งนั้น ถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งจนบางบริษัทเช่น Microsoft ต้องตั้งทีมสรรหาคนเก่งไว้เป็นการเฉพาะเพื่อเพิ่มศักยภาพของการแข่งขัน โดยการไปสัมภาษณ์และรับนักศึกษา
ในมหาวิทยาลัยที่กำลังใกล้จบ ในการสรรหาคนเก่งนั้น มีขั้นตอนดังนี้
1. กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่องค์กรอยากได้
2. กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่อยากได้
3. หาแหล่งเป้าหมายที่จะเข้าถึงคนเหล่านี้
External Hunting
เช่น บริษัท Clisco กำหนดไว้เป็น Passive job seeker หมายถึง ไม่ใช่คนที่กำลังหางานทำ แต่เป็นคนที่มีงานทำมีความรู้ ความเชี่ยวชาญเป็นที่ต้องการขององค์กร แล้วพยายามเข้าถึงคนเหล่านี้ หรือ บริษัท Home Depot กำหนดไว้ว่าต้องการคนเก่งที่สุดของคู่แข่ง เรียกว่า กระบวนการ Head hunter ผู้บริหารที่ใช้วิธีดังกล่าวมักให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ทางธุรกิจมากกว่าจริยธรรม คุณธรรม เกิดการโก่งค่าตัว ในบางครั้งจนกลายเป็นกระบวนการ Trading เป็นธุรกิจโดยมีนายหน้าเป็นผู้บริการ Head hunter ก็มี บางบริษัทเช่น P&G เน้นการสรรหาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และการจัดโปรแกรมในภาคฤดูร้อนสำหรับนิสิตนักศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับปริญาโท
การคัดเลือกคนเก่งที่มาจากแหล่งภายใน
เป็นการมองหาดาวรุ่งที่มีอยู่ในองค์เพื่อที่จะจัดให้เข้ามาในกลุ่มของพนักงานที่องค์กรต้องการดูแลเป็นพิเศษ แบ่งเป็น
• แบบไม่เป็นทางการ โดยการพูดคุย วางแผนกันระหว่างผู้บริหารสายงานกับ HR ถึงตัวบุคคลที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เป็นที่ทราบกันเฉพาะในผู้ที่เกี่ยวข้อง
• แบบเป็นทางการ อาจเป็นในรูปแบบการจัดการทดสอบ คัดเลือก แจ้งให้พนักงานทราบและดำเนินตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ หรืออาจจะพิจารณาจากผลประเมินบุคคล ในงานและนอกงาน
· Tab 2
การพัฒนาคนเก่ง
เมื่อระบุได้แล้วว่าใครคือคนเก่ง กระบวนการถัดมาคือ การส่งเสริมคนเก่งให้เป็นคนเก่งยิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของตัวคนเก่งเอง และองค์กรโดยรูปแบบการพัฒนาคนเก่งก็เหมือนกับ
การพัฒนาบุคคลทั่วไปในองค์กร คือ
1. Training need survey โดยดูจากความต้องการของหน่วยงานและความต้องการของบุคคล
2. On the job training โดยกำหนดขีดความต้องการของบุคคลที่มาปฏิบัติในหน้าที่ของหน่วยงาน และกำหนดกระบวนการวัดผล ไม่ว่าจะในรูปแบบข้อเขียน หรือ ปฏิบัติ
3. Off the job training หรือการอบรมนอกงาน ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารับการอบรมพิเศษ Special training หรือการใช้สถานการณ์จำลองและกรณีศึกษา
การบริหารและจูงใจคนเก่ง
จากการสำรวจผู้บริหาร 200 คนในองค์กรชั้นนำ 20 แห่งในสหรัฐอเมริกา พบว่า สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูง
ให้ความสำคัญประกอบด้วย องค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่
1. ภาพลักษณ์บริษัทที่ดี
2. ลักษณะงานที่ดี
3. ค่าตอบแทนและรูปแบบการดำเนินชีวิต
การรักษาคนเก่งไว้ในองค์กร
ต้องเปลี่ยนจากการพยายามเก็บเอาไว้อย่างเดียวมาเป็นการควบคุมทิศทาง ด้วยความยืดหยุ่นสูงเพื่อเปิดโอกาสให้เขาใช้ศักยภาพให้เกิดผลกับองค์กรให้มากที่สุด .......
HR ในอนาคต ต้องรับ 4 บทบาท
โดย กูรู “Dave Ulrich” นักทฤษฎีด้านบริหารองค์กร ได้วาง HR ไว้ในอนาคตต้องรับ 4 บทบาทดังนี้
1. Administrative Expert บทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานบริหาร
• เรื่องต้นทุนบริการ
• การลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น (Non value added) อาจเปลี่ยนเป็น Outsourcing
• มุ่งเน้นกระบวนการ(Process) ในปัจจุบัน (Present)
2. Employee Champion HR
ต้องมีหน้าที่ในการสร้างองค์กรให้พนักงานมีความพึงพอใจในสภาพทำงาน และ
จ้างงาน ดัชนีวัดความสำเร็จคือ Job satisfaction
3. Change Agent
ในการปรับเปลี่ยนองค์กรให้สามารถแข่งขันได้
4. Strategic Partner HR
ต้องเข้าใจในธุรกิจและปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเกี่ยวกับ “คน” เช่น
• จะต้องเตรียมบุคลากรสายพันธ์ใหม่ที่จะสามารถสร้างอำนาจในการแข่งขัน
• การใช้เครื่องมือบริหารคุณภาพของคน (OD tools) เช่น Balanced scorecard ,Six sigma, Competency based, Strength based
• ทำงานกับฝ่ายบริหารทุกหน่วยงาน
· Tab 3
Talent Management : Talent Retention
ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล
piyachai@asianet.co.th
ครั้งหนึ่ง Peter F.Drucker ปรมาจารย์ด้านการจัดการยุคใหม่ เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารของบริษัท General Moters ที่มี Alfred P.Sloan Jr., เป็น CEO ประธานในที่ประชุมเพื่อคัดเลือกพนักงานระดับบริหารหลายคนเข้าประจำตำแหน่งงานต่างๆด้วยตนเองเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง ซึ่ง Drucker เป็นว่าคนที่เป็น CEO ไม่ควรจะเสียเวลานานขนาดนี้ในการคัดสรรพนักงานด้วยตนเอง ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม เมื่อคณะกรรมการท่านอื่นออกไปแล้ว Drucker จึงเริ่มตั้งคำถามกับ Sloan ทันที
Drucker : ท่าน Sloan ครับ ท่านเสียเวลาร่วม 4 ชั่วโมงเพื่องานเล๊กๆน้อยๆแบบนี้ได้อย่างไร ?
Sloan : บริษัทจ่ายเงินเดือนผมอย่างงาม เพื่ออะไรหรือครับ ก็เพื่อการตัดสินใจที่สำคัญๆ และต้องตัดสินใจอย่างถูกต้องด้วย... ถ้าผู้ชำนาญการด้านเครื่องกลที่ผมมอบหมายให้ไปอยู่ที่ Dayton เป็นคนไม่ดีไม่เก่ง ก็เท่ากับว่าการตัดสินใจของเราในครั้งนี้ย่อมเป็นการสูญเปล่า ... ถ้าเราไม่ให้เวลา 4 ชั่วโมงในการคัดสรรพนักงานที่ดีให้อยู่ในตำแหน่งงานอย่างถูกต้องเหมาะสม ( placing him right) เราอาจจะต้องเสียเวลาถึง 400 ชั่วโมงเพื่อจัดการกับปัญหาที่พนักงานอาจจะก่อขึ้นมาได้ และหากถึงเวลานั้น อาจจะไม่มีเวลาเหลือให้ผมอีกแล้ว
(อ้างอิงจากหนังสือ Peter F.Drucker, 2004 “The Dialy Drucker”)
บทสนทนาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้บริหารต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น แทนที่จะโยนภาระนี้ให้กับผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ดังที่เคยเป็นมา Drucker ยังระบุอย่างชัดเจนอีกว่า สัญญานแรกที่อาจจะแสดงถึงความตกต่ำของอุตสาหกรรมคือการสูญเสียพนักงานที่มีความสามารถ
ผลการสำรวจความคิดเห็นพนักงานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามโครงการสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นพนักงาน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบริษัท วัทสัน ไวแอท จำกัด ระบุผลสำรวจตอนหนึ่งว่า “ พนักงานกลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันกับองค์กร แต่พร้อมจะจากไป ( Employee Committed but Mobile ) พนักงานส่วนใหญ่มั่นใจว่าองค์กรจะประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ ทั้งยังรู้สึกรัก ผูกพัน และต้องการอยู่ร่วมงานกับองค์กรต่อไป อย่างไรก็ตาม มีพนักงานจำนวนมากกว่าครึ่งเล็กน้อยที่ต้องการร่วมงานกับองค์กรต่อไป แม้จะได้รับข้อเสนองานใหม่จากที่อื่นซึ่งให้ตำแหน่งและผลตอบแทนที่พอๆ กัน ” (ผู้จัดการรายสัปดาห์, 17 ธันวาคม 2547 )
ผู้บริหารบางท่านจึงยังกังวลว่า ถ้าฝึกให้พนักงานของบริษัทเก่งแล้ว เดี๋ยวก็ออกไปอยู่กับบริษัทอื่น มิหนำซ้ำบางรายไปอยู่กับบริษัทคู่แข่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่บางบริษัทไม่สนับสนุนให้พนักงานไปฝึกอบรมอะไรเลย บางบริษัทจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องทำงานชดเชย บางบริษัทเขียนระเบียบห้ามพนักงานที่ออกไปแล้ว ไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งก็มี
ผู้เขียนขอให้ผู้บริหารทบทวนความคิดเสียใหม่นะครับ เพราะการพัฒนาพนักงาน กับการรักษาพนักงานให้ทำงานกับบริษัท เป็นคนละประเด็นกัน ลองคิดดูนะครับ ถ้าบริษัทไม่พัฒนาพนักงานให้เก่งขึ้น บริษัทจะหา “ ขุนพล ” ที่ไหนที่มีความสามารถไปสู้รบกับบริษัทคู่แข่งครับ ถ้าบริษัทไม่มีพนักงานที่เก่ง จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างไร ต้นทุนจะลดลงได้อย่างไร และในที่สุดจะอยู่รอดได้อย่างไรกัน ผู้บริหารบางท่านอาจจะโต้แย้งว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น จะลงทุนการฝึกอบรมให้ แต่ขอกำหนดเงื่อนไขให้พนักงานทำงานชดเชยให้ ผู้เขียนขอท้วงติงสักนิดว่า การรักษาให้พนักงานให้ทำงานอยู่กับองค์กรได้นานๆ บริษัทต้องได้ใจพนักงานก่อนเป็นลำดับแรก เพราะถ้า “ ใจ ” ของพนักงานไม่อยู่ที่ทำงานแล้ว ไม่นาน “ กาย ” จะไปอยู่ที่อื่นด้วยใช่ไหมครับ การกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสมที่พนักงานรับไม่ได้ ไม่ช้าไม่นาน บริษัทก็จะเหลือพนักงานเพียงบางส่วนที่ทนยอมรับเงื่อนไขเหล่านั้น ถ้าโชคร้าย พนักงานที่เหลือส่วนใหญ่เป็น “Dead wood” ก็เตรียมปิดบริษัทได้เลยครับ ดังนั้น ผู้บริหารต้องลงมาจัดการกับปัญหาทางบุคลากรอย่างใกล้ชิด แล้วค้นหาต้นตอของปัญหาก่อน จึงค่อยกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อขจัดรากเหง้าของปัญหานั้นๆต่อไป ผู้เขียนขอกล่าวย้ำว่า “ การไม่พัฒนาบุคลากรขององค์กร คือ การหยุดเวลาการเติบโตขององค์กร ” ครับ ไม่ช้าก็เร็ว องค์กรนั้นจะต้องล้าหลังคู่แข่งแน่นอน
ผู้เขียนมานั่งทบทวนดูว่ามีปัจจัยอื่นใดบ้างที่สามารถดึงดูดใจให้พนักงานโดยเฉพาะคนเก่งสามารถทำงานอยู่กับองค์กรได้นานๆ ในความคิดของผู้เขียน เห็นว่ามีองค์ประกอบ 4 มิติด้วยกัน ตามรูปข้างล่างนี้
1. มิติการเรียนรู้และพัฒนา (Learning and Development Dimension)
เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่พนักงานที่เป็นคนเก่งต้องได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาไปในแนวทางที่องค์กรคาดหวัง ผู้บริหารบางท่านอาจจะบอกว่า ถ้าองค์กรขาดคนเก่งในสาขาใด ก็ไป “ ซื้อ ” เข้ามา เป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงนะครับ เพราะจะทำให้ขวัญและกำลังใจของพนักงานที่ยังมีความจงรักภักดีต่อองค์กร และคาดหวังว่าจะเติบโตไปพร้อมกับองค์กรเสียไปด้วย องค์กรจะรับ “ คนเก่ง ” จากภายนอกเมื่อพบว่าไม่มีคนเก่งจากภายใน หรือ มีคนเก่งภายในแต่ไม่มีเวลาจะพัฒนาไปถึงจุดที่องค์กรคาดหวังได้ในเวลาที่จำกัด หรือเหตุอื่นใดที่ ” จำเป็น ” ของผู้บริหาร ดังนั้น ผู้เขียนใคร่ขอแนะนำให้ผู้บริหาร ” ส่องหา ” คนเก่งภายในองค์กรก่อนจะดีกว่านะครับ
แม้ว่าองค์กรจะรับคนเก่งคนใหม่ หรือ คนเก่า เข้ามาทำงานแล้ว องค์กรยังต้องมีหน้าที่ในการพัฒนาคนเก่งเหล่านั้นให้มีความสามารถ มีทักษะและมีความรู้ตามที่องค์กรคาดหวัง ไม่ใช่รับเข้ามาแล้ว ปล่อยให้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว มิฉะนั้น เดี๋ยวเดียวเขาก็จากไป ผู้เขียนขอย้ำอีกครั้ง ผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ หรือ จะเรียกเป็น ผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็แล้วแต่ มีภาระหน้าที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงานทุกระดับ หากผู้เขียนจะบอกว่า “ การไม่มีคนเก่งอยู่ในองค์กร เป็นสัญญานเตือนภัยแรกที่แสดงถึงปัญหาความตกต่ำขององค์กรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ” จะผิดหรือไม่ครับ
2. มิติสิ่งแวดล้อมการทำงาน (Work Environment Dimension)
ในหนึ่งสัปดาห์ พนักงานบางท่านอาจจะใช้เวลาอยู่ ณ สถานที่ทำงานมากกว่าเวลาที่อยู่บ้านเสียอีก บางท่านอยากจะมาทำงานมากกว่าจะอยู่ที่บ้านเพราะได้พบปะเพื่อนฝูง ผู้บริหารหลายท่านคงยอมรับว่า การจัดให้มีสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีย่อมมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน แต่ผู้เขียนไม่ได้หมายถึงว่า องค์กรต้องอำนวยความสะดวกสบายให้กับคนเก่งนะครับ เพราะถ้าทำเช่นนั้น จะกลายเป็นความไม่ยุติธรรมต่อพนักงานท่านอื่นๆ ปัญหาต่างๆอาจจะตามมาเป็นทิวแถว
ดังนั้น องค์กรต้องคำนึงความเหมาะสมของตำแหน่งหน้าที่และลักษณะงาน กับสภาพแวดล้อมของการทำงาน และให้รวมไปถึงความปลอดภัยในการทำงานด้วยครับ ลองคิดดูนะครับ หากโรงงานเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เมื่อสองเดือนที่แล้วมีอุบัติเหตุเครื่องจักรตัดนิ้วพนักงาน เดือนที่แล้วมีสินค้าตกหล่นพนักงานบาดเจ็บ เดือนนี้ไฟฟ้าช็อต เกิดเหตุเพลิงไหม้เล็กน้อย ท่านคิดว่าพนักงานจะมีจิตใจทำงานให้ดีอยู่หรือไม่ครับ พนักงานที่เก่งๆคงไม่ต้องการเสี่ยงภัยในที่ทำงานดังกล่าวแล้วล่ะครับ
3. มิติรางวัลและผลตอบแทน (Reward and Compensation Dimension)
เรื่องของการให้รางวัลและผลตอบแทน เป็นความคาดหวังของคนเก่งประการหนึ่ง แต่ผู้บริหารอย่าคิดว่า รางวัลหรือผลตอบแทนต้องอยู่ในรูปของตัวเงินเท่านั้น บางครั้งผู้บริหารให้คำชมเชยพนักงาน ตามกาลเทศะและสถานที่ที่เหมาะสม ก็เป็นการให้รางวัลอย่างหนึ่ง ที่ไม่ต้องใช้เงิน ใช่ไหมครับ การให้ความไว้วางใจเป็นหัวหน้าทีมโดยมอบหมายงานที่เหมาะสมให้กับคนเก่ง ย่อมเป็นทั้งภาระหน้าที่และเป็นรางวัลอย่างหนึ่ง สำหรับคนเก่ง เมื่อทำงานเสร็จผลตอบแทนจะตามมา ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเงินเดือน โบนัส ตำแหน่ง หน้าที่การงานที่สูงขึ้น ที่สำคัญคือ อย่าจูงใจคนเก่งโดยให้เกิดความคาดหวังว่าจะได้รางวัลและผลตอบแทนเมื่อทำงานเสร็จ แต่ขอให้จูงใจคนเก่งให้ทำงานเพื่อผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นสำคัญ
ผู้เขียน เห็นว่าการให้รางวัลและผลตอบแทนคนเก่งควรจ่ายตามเหตุปัจจัยดังนี้
จ่ายตามความสามารถ (Pay for Competency)
จ่ายตามผลงาน (Pay for Performance)
จ่ายตามความร่วมมือ (Pay for Collaboration) นิยมใช้ในกรณีที่มีการทำงานเป็น Project
จะจ่ายกันอย่างไร เป็น***ส่วนอย่างไร ผู้บริหารต้องกลับมานั่งคิดทบทวนดูนะครับ บางแห่ง เน้นจ่ายตามผลงานมากกว่าจ่ายตามความสามารถก็มี บางแห่งจ่ายเป็น***ส่วนเท่าๆกันก็มี
4. มิติโอกาสที่ท้าทายใหม่ๆ (New Challenged Opportunity Dimension)
ดังที่ผู้เขียนกล่าวมาแต่ต้นว่า “ เงิน ” ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่สามารถดึงดูดใจให้คนเก่งทำงานร่วมอยู่กับองค์กร บางครั้งการมอบหมายงานที่ท้าทาย หรือ การสนับสนุนให้ทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น ย่อมเป็นการเหนี่ยวรั้งคนเก่งให้ทำงานช่วยองค์กรได้เช่นกัน ภายใต้มิตินี้ ผู้เขียนขอย้ำเน้นว่า มี 2 คำสำคัญ คือ คำว่า “ โอกาสใหม่ๆ ” และคำว่า “ ท้าทาย ” องค์กรต้องให้โอกาสพนักงานโดยเฉพาะคนเก่งทำงาน เพื่ออะไรครับ เพื่อดูถึงฝีมือการทำงาน ทักษะในการจัดการปัญหา ความรู้ความสามารถและศักยภาพของคนเก่ง โดยมีผู้บริหารคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ถามว่า จะเสี่ยงหรือไม่ ที่องค์กรจะมอบหมายงานสำคัญๆให้คนเก่งรับผิดชอบไปทำ คำตอบ คือ “ เสี่ยง ” ครับ เพียงแต่องค์กรต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยอาจจะมอบหมายงานเล็กๆไปก่อนจนมั่นใจแล้วจึงค่อยให้งานสำคัญกว่าให้
ส่วนอีกคำหนึ่ง คือ “ ท้าทาย ” โอกาสที่ให้ต้องท้าทายขีดความสามารถ (competency) ของคนเก่ง และต้องกำหนดดัชนีชี้วัดผลงาน (KPI) ที่ชัดเจนให้กับคนเก่งด้วยครับ ผู้เขียนขอแนะนำว่า ในเบื้องต้น ผู้บริหารอย่าเพิ่งมอบหมายงานที่ยากเกินไปกับคนเก่ง เพราะถ้าเขาทำไม่สำเร็จแล้ว จะขาดความมั่นใจในการทำงานอื่นอีกต่อไป ควรจะให้งานที่อยู่ในเหนือขีดความสามารถของคนเก่งเล็กน้อย เพื่อให้เขาเกิดการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาทักษะ (skill) ความรู้ (knowledge) หรือความสามารถ (ability) เมื่อสำเร็จแล้ว ค่อยให้งานยากๆขึ้นไป ลักษณะเช่นนี้จะทำให้เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (continual improvement) ครับ
ผู้เขียน ขออนุญาตไม่ลงลึกในเนื้อหาในแต่ละมิติครับ เพราะมีข้อมูลและรายละเอียดค่อนข้างมาก จะขออนุญาตนำไปบรรยายในหัวข้อเรื่อง “ การบริหารคนเก่ง : เครื่องมือการบริหารสำหรับพนักงานที่ดีที่สุด ” ที่จะจัดขึ้นในปลายเดือนหน้าครับ
ขอทิ้งท้ายให้ผู้บริหารนำไปขบคิดต่อ ก็คือ ในแต่ละมิติ ผู้บริหารต้องจัดส่วนผสมให้ดีครับ เพราะลักษณะงาน วัฒนธรรมขององค์กร ย่อมมีความแตกต่างกัน บุคลิกลักษณะของคนเก่งก็แตกต่างกันด้วย ส่วนผสมในแต่ละมิติเปรียบเสมือนสูตรอาหารที่มีเครื่องเคียง เป็นองค์ประกอบ แต่อาหารจะอร่อยหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวแม่ครัวด้วยใช่ไหมครับ ผู้บริหารก็ต้องใช้ฝีมือในการบริหารจัดการและจัดส่วนผสมในแต่ละมิติให้ดี จึงจะทำให้องค์กรได้รับประโยชน์สูงสุดครับ