Human Penetrator การมองทะลุแก่นแท้ของมนุษย์
·
Human Penetrator การมองทะลุแก่นแท้ของมนุษย์
ขงจื๊อเป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักการศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพล ทางความคิด มากที่สุด ในแผ่นดินจีน คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้นให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยะภาพ คือทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควร จะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพและเวลาที่มีจำกัด ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง มากที่สุดแก่น คำสอนของขงจื๊อสรุปได้เป็น 5 หัวข้อ ดังนี้
1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้
มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ
· นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป
· เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย
· จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิกซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่า ผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป
· จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้
· ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้
· ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์
· มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง
2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา
คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อย ๆ สร้างสม พัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่อง ที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้
· มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมดซึ่งก็คือ การใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูล ที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป
· อย่าคิดกังวลว่า ใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่ แต่ให้เป็นกังวลมาก ๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใด ที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่อง ของผู้คน และอย่าเป็นกังวลว่า คนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่า ตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่าจุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้น การพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ “ส่องนอก ไม่ส่องใน” และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก
· เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึง ความยุติธรรม ด้วยขงจื๊อเห็นว่า มนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจ ผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่อง ความยุติธรรมอยู่เสมอ ๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ หลักการง่าย ๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้
· นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดคิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทางนอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษา ก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่าย ๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝน การคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน
3. ระเบียบวินัย
ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่าง ๆ กัน
· วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ
· วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่างเพิ่งเฉยชาหรือพอใจกับอะไรง่าย ๆ
· วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานลดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด
4. การคบคน
ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้
· ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเรา
· ข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเรา
· ข้อสาม คนที่ควรคบหา คือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้
· ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อ
· ข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ
5. การพูด
คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความซื่อตรง สอดคล้องกับกริยาทางกาย เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิดพร้อมกับกริยามุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ
6. การวางตัว
คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้
· เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวราวกับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน
· เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่ (คนที่เป็นแม่งานจะต้องเห็นภาพงานทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างรอบด้าน และมีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิดอย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา จะไม่สั่งการแบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)
· อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น
· เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น
7. การวางจิต
ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง เขาเห็นว่า ประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมี คุณธรรมมนุษย์แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็นและรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน
ความเป็นผู้นำ Leadership
· Tab 1
การศึกษาภาวะผู้นำอย่างมีระบบได้ดำเนินการต่อเนื่องมาร่วมร้อยปี เกิดมุมมองและความเชื่อต่าง ๆ ที่พัฒนามาเป็นทฤษฎีภาวะผู้นำจำนวนมากมาย ในที่นี้จะแบ่งเป็นกลุ่มทฤษฎีและยกมาเป็นตัวอย่างเพียงบางทฤษฎี เริ่มด้วยทฤษฎีคุณลักษณะของผู้นำ กลุ่มทฤษฎีเชิงพฤติกรรม ตัวอย่างบางทฤษฎีเชิงสถานการณ์ ทฤษฎีผู้นำเชิงวีรบุรุษ หรือภาวะผู้นำใหม่โดยเสน่หาบางทฤษฎี และประเด็นที่เป็นแนวโน้มที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำในอนาคต
ความหมายของภาวะผู้นำ
มีคำสำคัญอยู่ 2 คำที่จำเป็นต้องเข้าใจในเริ่มแรก ก็คือคำว่า “leadership” ซึ่งมักเรียกว่า “ภาวะ ผู้นำ” หรือ “การเป็นผู้นำ” กับอีกคำหนึ่งคือ “Management” ซึ่งเรียกว่า “การบริหาร” หรือ “การบริหารจัดการ” ทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกัน โดยมีนักวิชาการคนสำคัญให้ทัศนะไว้ ดังนี้
คอตเตอร์ (Kotter, 1999) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวไว้ว่า การบริหารจัดการ (Management) หมายถึง ความสามารถในการเผชิญกับสถานการณ์ที่สลับซับซ้อนได้ การบริหาร จัดการที่ดีทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในแง่ มีแผนงานที่เป็นทางการ มีโครงสร้างขององค์การที่แน่นอนชัดเจน และมีการกำกับดูแลให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผน ส่วนภาวะผู้นำหมายถึง ความสามารถในการเผชิญกับภาวะการเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีผู้นำเป็นผู้สร้างวิสัยทัศน์ให้เป็น ตัวกำกับทิศทางขององค์การในอนาคต จากนั้นจึงจัดวางคนพร้อมทั้งสื่อความหมายให้เข้าใจวิสัยทัศน์และสร้างแรงดลใจแก่คนเหล่านั้น ให้สามารถเอาชนะอุปสรรคเพื่อไปสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าว
เฮาส์ (House, 1996) แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มีความเห็นคล้องจองกับทัศนะดังกล่าว โดยเห็นว่า ผู้บริหาร (Manager) คือ ผู้ใช้อำนาจทางการ (Authority) ซึ่งมากับตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งเพื่อให้สมาชิกขององค์การยอมปฏิบัติตาม การบริหารจัดการจึงประกอบด้วยการนำวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของผู้นำลงสู่การปฏิบัติ การประสานงานและการจัดคนทำงานในองค์การ ตลอดจนการแก้ปัญหาประจำวันที่เกิดจากการปฏิบัติงาน
อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้ให้นิยามความหมายของภาวะผู้นำจำนวนมากมายหลายร้อย นิยามแต่นิยามที่เลือกใช้ในบทนี้ ได้ให้ความหมายของ ภาวะผู้นำว่า เป็นความสามารถในการมีอิทธิพลต่อกลุ่มเพื่อให้ดำเนินงานได้บรรลุเป้าหมาย ทั้งนี้เแหล่งที่มาของ การมีอิทธิพล อาจเป็นอย่างทางการ เช่น ได้กำหนดชัดเจนมากับตำแหน่งทางบริหารขององค์การนั้นว่ามีอำนาจอะไรบ้างเพียงไร ดังนั้นการได้รับบทบาทการเป็นผู้นำในตำแหน่งบริหารก็ทำให้บุคคลนั้นได้รับอำนาจและเกิดอิทธิพลต่อผู้อื่นตามมา อย่างไร ก็ตามความเป็นจริงพบว่า ไม่ใช่ผู้นำทุกคนที่สามารถเป็นผู้บริหาร (Not all leaders are managers) และเช่นเดียวกัน ก็ไม่ใช่ผู้บริหารทุกคนที่สามารถเป็นผู้นำ (Not all managers are leaders) ด้วยเหตุนี้เพียง แค่องค์การได้มอบหมาย อำนาจหน้าที่ให้แก่ ผู้บริหารนั้น ยังไม่มีหลักประกันอย่างเพียงพอว่าผู้นั้นจะสามารถในการนำได้อย่างมีประสิทธิผล ทั้งนี้อาจมีอิทธิพลจาก ปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่มีผลกระทบมากกว่าอิทธิพลที่กำหนดตามโครงสร้างองค์การก็ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผู้นำสามารถเกิดขึ้น จากกลุ่มคนให้การยอมรับนับถือได้เช่นเดียวกับที่มาจาก การแต่งตั้งอย่างทางการ ในองค์การที่ดีจำเป็นต้องมีทั้ง ภาวะผู้นำและการบริหารจัดการ ที่เข้มแข็งจึงจะทำให้เกิด ประสิทธิผลได้สูงสุด โดยเฉพาะภายใต้ภาวะของโลกที่มีพลวัตสูง ย่อมต้องการได้ผู้นำที่กล้าท้าทายต่อการดำรงสถานภาพเดิม มีความสามารถในการสร้างวิสัยทัศน์ และสามารถในการดลใจสมาชิก ทั้งองค์การให้มุ่งต่อความสำเร็จตามวิสัยทัศน์นั้น แต่เราก็ยังต้องมีการบริหารที่สามารถกำหนดรายละเอียดของแผนงาน สามารถออกแบบโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพขององค์การ รวมทั้งติดตามตรวจสอบดูแล การปฏิบัติงานประจำวันอีกด้วย
คุณสมบัติของการเป็นผู้บริหาร และผู้นำที่ดี
ทฤษฏีภาวะผู้นำ
ทฤษฏีภาวะผู้นำ ที่สำคัญ มี 3 ทฤษฏี คือ
1.) ทฤษฎีคุณลักษณะผู้นำหรือทฤษฎีอุปนิสัย (Trait Theory)
หลัก บุคคลเป็นผู้นำเพราะ มีบุคลิกลักษณะ ความสามารถที่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำ (รูปร่างหน้าตา สติปัญญา วิสัยทัศน์มีความสามารถเหนือคนอื่น ความประพฤติดี มนุษยสัมพันธ์ที่ดี )
โดยคุณลักษณะที่เด่นชัด คือ
· มีความรู้ความสามารถในการงาน
· เข้าร่วมกิจกรรมด้วยใจรัก
· ได้รับการยอมรับจากสมาชิก สมาชิกเต็มใจทำงานร่วม
2. ทฤษฎี สถานการณ์ (Situation Theory)
หลักการ ผู้นำเกิดจากสถานการณ์บางอย่างผลักดันให้บุคคลต้องแสดงบทบาทผู้นำ หรือต้องพัฒนาลักษณะผู้นำขึ้นมา (ฮิตเลอร์ มุสโสลินี หรือ เหมาเจ๋อตุง) ทฤษฏีนี้ยอมรับความสัมพันธ์ของผู้นำและกลุ่ม ผู้นำต้องครองใจปวงชนผู้แวดล้อม
3. ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ (Interaction Theory)
หลักการ ความเป็นผู้นำเกิดจากปฏิสัมพันธ์ ความเป็นผู้นำ+สถานการณ์
(วิเคราะห์จากคุณสมบัติผู้นำ และ สถานการณ์ ) เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ความเป็นผู้นำก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ผู้นำจึงมีได้หลายคน ผลัดเปลี่ยนกันไป
ทฤษฎีอื่นๆ ในเรื่อง ภาวะผู้นำ โดย Terry สรุป ไว้ 4 ทฤษฎี คือ
1. ทฤษฎีสนับสนุน (supporting Theory) เป็นทฤษฎีการบริหารแบบมีส่วนร่วม โดยผู้นำเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงาน มีโอกาสร่วมวางแผนและตัดสินใจในพันธกิจขององค์การ (ผู้นำต้องยอมรับในความรู้ความสามารถของผู้ร่วมงาน )
2. ทฤษฎีทางสังคมวิทยา(Sociological Theory) มีความเชื่อว่าผู้นำต้องแสดงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ร่วมงานโดยมุ่งจัดหา วัสดุ อุปกรณ์ให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน
3. ทฤษฎีทางจิตวิทยา( Psychological Theory) มีความเชื่อว่าผู้นำต้องพัฒนาระบบสร้างแรงจูงใจ มีจิตวิทยาสูง ใช้เทคนิคกระตุ้นให้บุคคลปฏิบัติงานด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อองค์การ
4. ทฤษฎียึดถืออำนาจ (Autocratic Theory) มีความเชื่อในการใช้อำนาจ ของตนเองในการบริหาร สั่งการ บีบบังคับให้ปฏิบัติงาน โดยไม่ต้องการเหตุผลในการอธิบายความ
รูปแบบและประเภทของผู้นำ
รูปแบบ ของผู้นำ มี 2 รูปแบบ คือ
1. ผู้นำที่เน้นงานเป็นศูนย์กลาง (Tasked –Related Function)
2.ผู้นำเน้นความสัมพันธ์กลุ่มเป็นศูนย์กลาง(Group-maintenance)
Likert ได้ศึกษารูปแบบผู้นำในมหามิชิแกน พบว่า การบริหารแบ่งผู้นำเป็น 4 แบบ
1. ผู้บริหารมุ่งใช้อำนาจ(Exploitative authority)
2. ผู้บริหารใช้อำนาจอย่างเมตตา
3. ผู้บริหารแบบการปรึกษาหารือ
4. ผู้บริหารเน้นความร่วมมือกับทุกฝ่าย
ประเภทของผู้นำ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.ผู้นำแบบอัตตาธิปไตย (Autocratic Leader) ลักษณะเผด็จการชอบสั่งการใช้อำนาจกดขี่ / ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง /การบังคับบัญชาสั่งการจากข้างบนลงล่าง/ผู้ช่วย คือผู้ใต้บังคับบัญชา
2. ผู้นำแบบเสรี(Laissez-faire leader) ไม่ยึดกฏเกณฑ์ตายตัว ปรับเปลี่ยนได้ตามผู้ร่วมงานเสนอ /ปล่อยผู้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ไปเรื่อยๆ /ไม่มีความคิดสร้างสรรค์งานใหม่ / ไม่มีการประเมินผลงาน
3.ผู้นำแบบประชาธิปไตย(Democratic leader) ยึดถือความคิดกลุ่มเหนือความคิดตนเอง /แบ่งงาน/มอบหมายงานเป็นระบบ/ให้คำแนะนำในการงาน/สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ร่วมงาน โดยใช้กฎเกณฑ์สร้างสรรค์งาน
กล่าวโดยสรุป สภาพปัจจุบัน ผู้นำ มี 4 แบบ คือ
1.ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laissez-faire leader) ผู้นำจะปล่อยให้ผู้ร่วมงานตัดสินใจดำเนินการได้เอง ไม่ต้องรอการตัดสินใจจากผู้บังคับบัญชา
2.ผู้นำแบบเกื้อกูล หรือ แบบใช้พระคุณ(Charismatic Leadership) มีพฤติกรรมอ่อนโยน เห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชา ใช้หลักธรรม หลักมนุษยสัมพันธ์
3.ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) เชื่อมั่นตนเอง ชอบสั่งการ ตัดสินใจตามอารมณ์ ผูกขาดการตัดสินใจที่ตัวคนเดียว
4.ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic leader) ถือเอาความคิดของกลุ่มเป็นหลัก ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ปัจจุบันถือว่าเป็นแบบผู้นำที่ดีที่สุด
ผู้นำ มีในองค์การ (บุคลิกลักษณะ +อุปนิสัย+ภาวะผู้นำ)
ผู้บริหาร เป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงาน องค์การ
ผู้นำ/ผู้บริหารที่ดี ต้องฝึกพฤติกรรมแห่งการเป็นผู้นำ 10 ประการ ดังนี้
1 นักวางแผน (Planning)
2. นักจัดระเบียบ (Organizing)
3. นักประสานงาน( Coordinating)
4. นักสื่อสาร (Communicating)
5. นักมอบหมายงาน(Delegating)
6. นักตัดสินใจ(Decision-Making)
7.นักมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation)
8.นักฝึกอบรม(Training)
9. นักจัดกระบวนการกลุ่ม
10. นักประเมินผลงาน
ปัจจัยในการสร้างความเป็นผู้นำ ขึ้นอยู่กับ 5 ปัจจัยหลัก คือ
1.ภูมิหลังและประสบการณ์ (Background and Experience) พื้นฐานครอบครัวและมวลประสบการณ์เดิมที่ผ่านมาในช่วงชีวิต
2.สติปัญญาและคุณภาพสมอง (Intellectual and mental quality) มีทักษะทางภาษา การติดต่อสื่อสาร / ความสามารถด้านการมีเหตุผล /ความจำ/ความรอบรู้
3.คุณลักษณะทางร่างกาย (Physical attributes) ผู้นำที่ร่างกายแข็งแรง จะมีจิตใจที่ดี
4.บุคลิกภาพและความสนใจ( Personality and Interests) ความสนใจ กระตือรือร้นและความเต็มใจในการปฏิบัติงาน
5.ความเชื่อมั่นในตัวเอง(Self-Confidence) ผู้นำต้องสร้างความเชื่อมั่น/มั่นใจในตัว
คุณสมบัติของผู้นำ ผู้นำ ผู้บริหารที่ดี ต้องมี คุณลักษณะพื้นฐาน 10 ประการ คือ
1. สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีไหวพริบดี
2. มีความสามารถในการวิเคราะห์
3. วิเคราะห์เหตุการณ์ ตัดสินใจดี
4. มีความคิดริเริ่ม และเป็นผู้รอบรู้
5. เป็นที่พึ่งแก่เพื่อนร่วมงาน และเชื่อถือไว้วางใจได้
6. ตัดสินใจแน่นอน ไม่รวนเร
7. รู้จักปรับตัว ละเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
8. จิตใจมั่นคง ไม่เอาแต่อารมณ์ของตนเป็นใหญ่
9. มีคุณลักษณะและความประพฤติส่วนตัวที่ดี
10. มีคุณลักษณะของผู้นำ
เทคนิคการสร้างเสริมความเป็นผู้นำที่ ฝึกฝนได้ มี 8 ประการ คือ
1. สำรวจตัวเอง พิจารณาข้อบกพร่อง เปรียบเทียบคุณลักษณะผู้นำที่ดี
2. ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านบริหาร และ จิตวิทยาสังคม
3. ฝึกอบรมในสถาบันปรับปรุงบุคลิกภาพ
4. พัฒนาการสนทนาโต้ตอบ ฝึกการเป็นนักฟัง /นักพูด(ถ่ายทอด)ที่ดี
5. ปรับปรังบุคลิกภาพ ภายในและภายนอก ของตนเอง
6. ทบทวนท่าที ที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นให้สุภาพนุ่มนวล เป็นปกตินิสัย
7. ฝึกฝน สังเกตการณ์ กล้าตัดสินใจ
8. ฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีเหตุผล ในการทำงาน มีความสุขุมรอบคอบ
กล่าวโดยสรุป คุณลักษณะผู้นำที่ทำให้การบริหารงานประสบความสำเร็จ คือ
1. มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ สุขุมเยือกเย็น
2. มีวิสัยทัศน์ กว้างไกล
3. .สามารถบริหารความขัดแย้งได้ดี
4. กล้าตัดสินใจ รวดเร็ว ถูกต้อง
5. ติดต่อสื่อสารได้ดี
6. รอบรู้ในงานที่รับผิดชอบ
7. มีความขยันขันแข็ง มานะ อดทน
8. เป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์
9. สามารถทำงานเป็นทีมได้ดี
10. วินิจฉัยปัญหา คาดการณ์เหตุการณ์ได้ดี
11. มีมนุษยสัมพันธ์ ทักษะทางสังคม
12. .ทำงานในสภาวะกดดัน ตึงเครียดไดดี
13. มีทัศนคติที่ดีต่อองค์การ
14. วางแผนและประสานแผนได้ดี
15. มีสัมพันธภาพที่ดีกับองค์กรอื่น
16. รู้จักใช้ข้อมูล สารสนเทศให้เกิดประโยชน์
มนุษยสัมพันธ์กับความเป็นผู้นำ บุคคลในองค์กรมี 3 บทบาท คือ
1. มนุษยสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา
· กำหนดนโยบาย เป้าหมายองค์กรให้ชัดเจน ชี้แจงผู้ใต้บังคับบัญชา
· กำหนดอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง
· สั่งการให้มีความชัดเจน ไม่กำกวม
· มีความซื่อสัตย์ต่อคำสั่งที่สั่งออกไป ไม่กลับคำ ซัดทอดความผิดให้ลูกน้อง
· สอนงาน หรือ อธิบายงาน ให้ชัดเจน
· ติดต่อสื่อสารได้ชัดเจน และทั่วถึงกับลูกน้อง
· มีความยืดหยุ่นในการทำงานในเรื่องกฎเกณฑ์ ระเบียบ ตามสมควรแก่เหตุ
· ใช้วินัยควบคุมให้เสมอภาค ไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง
2. มนุษยสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา
· ตั้งใจทำงาน รับฟังคำชี้แจงของหัวหน้าด้วยความตั้งใจ
· ไม่นินทาผู้บังคับบัญชา (ลูกน้องไม่จงรักภักดี+ไม่เคารพนับถือ)
· มีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนางาน โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
· หลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ
· สนับสนุนกิจการของผู้บังคับบัญชา เรียนนิสัยของผู้บังคับบัญชา
· ไม่ควรคล้อยตามผู้บังคับบัญชาทุกเรื่องโดยไม่มีเหตุผล
· ปกป้องไม่ให้ผู้บังคับบัญชาเสียหน้า หรืออับอาย 8.ไม่ก่อศัตรูกับเพื่อนร่วมงาน
· ไม่บ่นถึงความยากลำบากของการงานที่ได้รับมอบหมาย
· มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์และจริงใจต่อผู้บังคับบัญชา
3. มนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
· จริงใจต่อเพื่อนร่วมงาน
· ให้ความช่วยเหลือเพื่อนในการงาน
· รับผิดชอบร่วมกัน ไม่ซัดทอดความผิดให้เพื่อน
· ให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน
· ให้ความสนใจเพื่อนอย่างจริงใจ
· ยอมรับความเป็นตัวตนของเพื่อน
· เข้าใจความต้องการ และความรู้สึกของเพื่อน
· เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย
· สนใจในสิ่งที่เพื่อนพูด พูดในสิ่งที่เพื่อนสนใจ
· ยิ้มและมีอารมณ์ขันตามควร
· มีมารยาทที่ดี ต่อเพื่อนๆ
· ให้ความรัก ความเคารพความคิดเพื่อน
· มีคุณธรรมในการติดต่อเพื่อนๆ (เมตตา กรุณา เห็นใจ ให้ความช่วยเหลือ)
· .มีความซื่อสัตย์ต่อเพื่อน
เครือข่าย Networking
· Tab 1
เครือข่าย Networking คือ ชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จได้ อยู่ที่การดำรงชีวิต ว่ามีเพื่อนไหม กินข้าวกินกับใคร หรือเก่งมาก แต่ต้องกินคนเดียว มีตอนหนึ่งของหนังสือ กล่าวถึงคนเรามักทำผิดพลาดในเรื่อง ที่รู้จักคน แต่แทนที่จะเป็น Network กัน กลับกลาย เป็นศัตรูกัน "แต่ก่อนผมไม่ค่อยมีความสุขในการเจอคน แต่ตอนหลังก็ต้องปรับตัว ส่วนใหญ่คนเก่งที่ไม่มองตนเอง โดยมากไปไม่รอด ซักคน ดังนั้นคนในยุคใหม่ ถ้าคลั่งความรู้ ก็เพียงแต่มีความสามารถ แต่ถ้าขาดการยอมรับก็เป็นใหญ่ไม่ได้ อดีตคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดี มักถูกมองว่าเป็นคนขี้ประจบ แต่ความจริงแล้ว ความสัมพันธ์ที่ดี ต้องมีความสามารถเข้ามา ผสมผสานอยู่ด้วย"
Network คือ การที่คนเรารู้จักบุคคล จากหลากหลายวงการ นอกจากเครือญาติ หรือเพื่อนฝูงความสัมพันธ์ที่ดี จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นพันธมิตร ที่ก่อให้เกิดกำไรสูงสุด มีการทำงานร่วมกัน และแชร์ผลประโยชน์ร่วมกัน
"อาจเห็นคนหลายระดับมี Networking แต่ก็ไม่เห็นว่า จะประสบความสำเร็จ เพราะเขาไม่รู้จักเปลี่ยน Networking มาเป็นผล ประโยชน์ ของตนเองและองค์กร"
Network มาก่อน Partnership ดังนั้นต้องรู้จักเขาก่อน จึงจะไปทำธุรกิจร่วมกันได้ เรียกว่า นำ Networking ไปสร้าง Partnership แล้วก่อให้เกิดมูลค่าสูงสุด
หลักการสร้าง Network ที่ดีมีดังนี้
1. เป็นคนที่ชอบคบหาสมาคมกับคนหลายๆ กลุ่ม ต้อง "ชอบคน" ต้องถามตนเองก่อนว่า ตนเองจะเป็นคนแบบไหนต่อไป คนมีหลายชนิด อาจอยากเป็นนักวิจัย โดยไม่คบใครเลยต่อไปก็ได้
2. มีโลกทัศน์ที่กว้าง คือ มีความรู้ในหลายๆ ด้าน
3. พร้อมที่จะเรียนรู้ การคบใครซักคน ต้องพร้อมจะเรียนรู้จากเขา จึงจะประสบความสำเร็จสูงสุด "พร้อมจะเรียนรู้" ถือว่าสำคัญที่สุด เป็นความพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น อุปสรรคอันใหญ่ที่สุด คือ พูดข้างเดียว มั่นใจในตนเองสูงเกินไป จึงต้องรู้จักฟังก่อน ฟังแล้วจะออกความเห็นก็ได้ ความมีเสน่ห์ ไม่ได้อยู่ตรงที่ "ฉันรู้คนเดียว"
4. มีบุคลิกที่เข้ากับคนง่าย
5. รู้จักศึกษาบุคคลที่อยากจะรู้จัก เช่น ศึกษาจุดอ่อน จุดแข็ง และวิถีชีวิตของเขา "การศึกษาเขาก่อน มันดึงดูดความสนใจได้เร็ว"
6. มีการติดตามการสร้างเครือข่ายให้ได้ผลสูงสุด เช่น เมื่อแจกนามบัตรไปแล้ว ต้องติดต่อ องค์ประกอบที่ทำให้การสร้าง Networking และ Partnership ให้ได้ผล ต้องเรียนรู้เรื่องของการความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม (Cross Cultural Management) รวมถึงการใช้ภาษาที่เหมาะสม ทันเหตุการณ์
ต้อง "เปิดเผย-เปิดกว้าง"
ทำอย่างไรจึงจะให้ประโยชน์ของ Network เพิ่มข้นเรื่อยๆ สิ่งแรกที่ ศ.ดร.จีระ แนะนำ ให้ต้องระลึกถึง คือ การพูดความจริงต่อกัน เช่น การสร้าง Network เพื่อให้คนภายนอกเข้ามาทำงานให้องค์กรหนึ่งอย่าง แต่กลับมีกฎระเบียบมากมายที่เป็นอุปสรรคต่อ Networking ที่ไม่เอื้ออำนวยความสะดวกให้งานประสบความสำเร็จได้เลย นั่นแสดงว่าคนภายนอกรู้สึกว่าตัวเองเป็น Networking จริงๆ หรือไม่ หรือถูกมองว่าเป็นเพียงผู้จ้างกับผู้รับจ้างงาน หรืออย่างเช่น โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง รู้ดีว่าการบริหารสถาบันการศึกษานั้นมีคน และงบประมาณจำกัด ถ้ารอแต่ความช่วยเหลือจากภาครัฐ จะล่าช้า เข้าใจจุดนี้ ย่อมรู้ว่า ถ้าต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน ต้องรู้จักหาว่าแหล่งเงินอยู่ที่ใด และทำอย่างไรให้อีกฝ่ายหนึ่งตกลงใจช่วยเหลือ ต้อง Proactive
"Networking ไม่ใช่ตัวเราเก่งคนเดียว แต่ต้องรู้จักจะไปหาผู้ที่ช่วยเหลือเราได้ หรือ ระบบ Reference และโอกาสของ Networking ก็ขยายได้ด้วย โดยต้องรู้จักข้ามศาสตร์ เช่น ถ้าเรียนการเงินมา ต้องไปหานักการตลาด วิศวะ นักการทูต มาคุย ดังนั้นการสร้าง Networking ต้องมองอะไรให้ไกล
โรเบิร์ต ไรซ์ เคยกล่าวไว้ว่า Knowledge Worker ก็คือ คนที่รู้จักคนจากหลากหลายศาสตร์ เช่น จบวิศวกรรมซอฟท์แวร์ แต่รู้จักนักการเงิน นักการตลาด ย่อมอนาคตไกล ลองถามตัวเองสิว่า ตอนกลางคืน เจอใครบ้าง กลางวันเจอใครบ้าง ถ้าเจอแต่เพื่อน ร่วมงานหน้าเดิมๆ เจ๊ง! แน่นอนเราต้องรู้จักคนในฐานะเพื่อนฝูงได้ แต่เราต้องรู้จักเพิ่มเติมความรู้ของคน ที่อยู่ใน Opportunity set ของเรา เพื่อสร้างโอกาสให้ขยายไปเรื่อยๆ ไม่ได้รู้จักแต่คนกลุ่มเดียว"
อย่างไรก็ตาม แม้ ศ.ดร.จีระ จะแนะนำให้เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง และพยายามทำความรู้จักกับคนให้หลากหลาย แต่การสร้าง Networking ก็จำเป็นต้องเลือกบางคนที่จะคบ เพื่อสร้าง Network ในเชิงลึก ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีหลักการสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หรือ ผลประโยชน์ระยะสั้นเท่านั้น ความสัมพันธ์ที่ดี จะต้องเกิดจาก ความสุข และความสบายใจที่คบหากัน หรือ Comfort Level คือ ความรู้สึกเป็นเพื่อนกัน แล้วค่อยๆ ไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกัน
"การจะเป็นพันธมิตรกัน
1. ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
2. ต้องยอมรับ นับถือซึ่งกันและกัน
3. อย่าคบกันเพราะมีความรู้คล้ายๆกัน แต่ต้องคบกันให้มีความหลากหลายทางความรู้ และศักยภาพ เพื่อสร้าง Synergy ให้ได้ ต้องคิดแบบชนะ/ชนะร่วมกัน Win Win Situation "
Networking & Partnership เป็นหัวใจที่ทำให้ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ 2 คำนี้ มีหลายคนให้จำกัดความว่า หมายถึง หุ้นส่วนการลงทุน แต่สำหรับบริษัทแล้ว Networking ถือเป็นเรื่องของ สัมพันธภาพ
Networking มีลักษณะสำคัญ คือ
1. ไม่ต้องใช้วัยวุฒิ และคุณวุฒิ หรือวุฒิการศึกษา เพียงแต่ใช้ความรู้สึกว่าชอบคน ถ้าไม่ชอบคน เขาบอกว่า อย่าทำธุรกิจ ตราบใดที่ยัง อยู่ในวงจรธุรกิจ ต้องชอบคน ชอบสังคม และไม่เกี่ยง ไม่ดูถูกคน เพราะบางคนที่เคยมองว่าไม่เกี่ยวกับธุรกิจเลย ก็สร้างประโยชน์ให้ได้ มหาศาล ดังนั้นต้องรู้จัก ที่จะคุยกับคนง่ายๆ ด้วยความจริงใจที่อยากจะรู้จักจริงๆ
2. ไม่ต้องใช้ทุนสูง มันเป็นเพียงการเข้าไปให้ถึงคนที่ควรรู้จัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องแต่งกายอย่างหรูหรา เพียงแต่ต้องเหมาะสม กับกาลเทศะเท่านั้น
3. ไม่ต้องใช้เวลาสูง เพราะคนที่อยากรู้จักก็ไม่ได้จะมีเวลาคุยกับเรามาก เขาเองก็อยากรู้จักคนอื่นเช่นกัน แต่จะคุยอย่างไร ในช่วงเวลาสั้นๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสร้างสัมพันธภาพให้ดี
4. ไม่ต้องใช้เครื่องมือเครื่องจักรสูง ใช้เพียงปากและนามบัตร เพียงแต่คิดดี ทำดี พูดดี มองคนในแง่ดี ใครๆ ก็อยากคุยด้วย เพียงเท่านี้ ก็สร้าง Networking ได้แล้ว ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะแลกนามบัตร เพราะตนเองอาจจะลืมว่า เจอใครบ้าง และจะติดต่อได้อย่างไร บันทึก ที่นามบัตรเสมอ ว่าเจอคนนี้งานอะไร เมื่อไร ประทับใจอะไรเขา และเขาชอบคุยกับเราเรื่องอะไร โดยปกติคนชอบฟังเรื่องที่เขาอยากฟัง
· Tab 2
Partnership เป็นแนวร่วม ที่ไม่จำเป็นต้องร่วมทุนเท่านั้น ร่วมใจได้ ร่วมคิดได้ การเป็น Partnership ได้ ต้องพัฒนามาจาก Networking ก่อน มีความสัมพันธ์ที่ดี และชื่นชมซึ่งกันและกัน Partnership จะเกิดได้ต้องมาจาก 3 ส่วน คือ ใจ ความคิด และกาย
เมื่อถูกใจ ย่อมจะพัฒนาไปสู่จุดที่ไว้ใจ เชื่อใจ ซึ่งก็จะคุยเรื่องธุรกิจกัน เมื่อมีความคิดที่ตรงกัน ย่อมพัฒนาไปสู่ความร่วมมือทางธุรกิจ กลายเป็นการปฏิบัติร่วมกัน
"ถ้ามี Networking กัน แทนที่จะแข่งกัน พอเขาเห็นเราเป็นเพื่อน เขาจะไม่แข่งด้วย และบางทีแทนที่จะแข่งกัน กลายเป็นร่วมมือกันร่วมกัน หมายถึง ร่วมในสิ่งที่ร่วมได้ เพราะแต่ละคนต่างมีสิ่งที่ขาด"
เฟ้นจุดแข็งสร้างเครือข่าย
ขณะที่ Mr.Lee Scott, Representative of DBM ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาทางด้าน Outplacement เปิดใจถึงมุมมองของ Networking and Partnership ว่า เป็นไปได้ทั้งระดับบุคคล และระดับองค์กร แต่สิ่งที่ต้องเตรียมตัว คือ ต้องคิดว่าเราให้อะไรแก่เขา ผู้ซึ่งเป็นคนหรือองค์กรที่เข้าจะไปติดต่อ คบหาเป็นเครือข่ายกัน
"คุณต้องเข้าไปด้วยความสามารถ หลักที่คุณมีจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมี เพียงแต่มีแตกต่างกัน เราต้องพยายามเฟ้นหาในสิ่งที่เรามี และให้อะไรได้ แก่คนที่เราจะไปพบ"
สำคัญมากที่สุด คือ ต้องให้ก่อน ซึ่งก่อนเริ่ม Networking กับใคร ต้องดูตัวเองก่อน แล้วดูว่าเขาต้องการอะไร มันเหมือนการจับคู่นั่นเอง
จากนั้นต้องรู้จักต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ Networking ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล องค์กร ทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งที่เป็น องค์กรมุ่งกำไร และไม่มุ่งกำไร และธุรกิจไม่จำกัดว่า จะใหญ่หรือเล็ก ยิ่งเป็น SME การสร้าง Networking เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะให้ ผลตอบแทน กลับมามหาศาล "จริงๆ แล้ว Networking ต่างหากที่ช่วยเรื่อง การจ้างงาน ไม่ได้ Head Hunting หรอก แต่บางครั้ง การฝากงาน มาจากConnection โดยส่วนมาก ถ้าคนรู้จักก็แนะนำกันมา ก็จะง่ายขึ้น ดังนั้น Networking ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องของ ประสิทธิภาพ มันช่วยให้เรามีโอกาสไปสู่ ตำแหน่งงาน ถ้ามองในเชิงทฤษฎี Networking ก็เป็นการแชร์ข้อมูลกัน เพราะโลกปัจจุบัน ชนะด้วยข้อมูล ถ้าไม่มี Network กับเขา จะได้ข้อมูลมาถึงเราได้อย่างไร" Mr.Lee กล่าว
'Networking' เป็นสิ่งที่คนเราทำมาตลอด ถือเป็นความสัมพันธ์ที่มีหลักการพื้นฐานง่ายๆ ดังนี้
1. ต้องมีทั้งการให้และการรับ ซึ่งหากมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์ยั่งยืน และความสัมพันธ์ที่ว่านี้ ต้องมีมากกว่าการรู้จักกันเพียงผิวเผิน
2. อย่าไปกำหนดว่า Networking เป็นความช่วยเหลืออย่างเดียว แต่รวมไปถึงการแชร์ความรู้ร่วมกัน
3. Networking เกิดจากพื้นฐานของความไว้ใจซึ่งกันและกัน ดังนั้นก่อนที่จะเกิด Networking ต้องเกิดการรู้จักกันก่อน และควรขยายออกไปเรื่อยๆ
4. การสร้าง Networking ที่ดีต้องสร้างตัวเองให้คนอื่นรู้จัก
5. เลือกสร้าง Networking กับคนบางคนเท่านั้น
6. ควรสร้าง Networking ในสายงานของตัวเองก่อนขยายไปยังสายงานอื่น
ทั้งนี้หนทางไปสู่การสร้าง Networking ต้องรู้จักที่จะสร้างตัวเองให้คนอื่นเห็น แต่ไม่ใช่การทำตัวเองให้ดูน่าหมั่นไส้ นอกจากนี้ยังต้องรู้จักโปรโมทตัวเอง และสิ่งสุดท้ายต้องทำให้คนที่มีอำนาจในองค์กรรู้จัก
"การสร้าง Networking อาจจะเริ่มจากวงในแล้วขยายไปยังวงนอก เช่น เริ่มจากการกลุ่มครอบครัว เพื่อน ลูกค้า ผู้จำหน่าย หรือคนที่ค้าขายด้วย คนที่มีโอกาสต้องติดต่อธุรกิจกันในอนาคต ผู้ร่วมงาน หรือคนที่ต้องเกี่ยวเนื่องด้วย และผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ในอาชีพที่ทำอยู่ก็ได้"
การสร้าง Networking ให้ประสบความสำเร็จ คือ
1 .ต้องรู้จักออกไปพบคนอื่น
2. รู้จักทำตัวอ่อนน้อมในการเข้าหาคนอื่น
3. อย่าทำให้คนอื่นรู้สึกเกรงขามเพราะจะไม่มีใครกล้าเข้ามาหา
4. ต้องทำให้คนที่จะสนทนาด้วยรู้สึกดีกับตัวเอง โดยอย่าทำตัวยกตนข่มท่าน
อีกทั้งแนะต่อว่าการสร้าง Networking ที่ดี ควรสร้างเครือข่ายในการคบหา และจัดกลุ่มคนเหล่านั้นให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แล้วพยายามดูว่าเครือข่ายที่จัดให้อยู่กลุ่มเดียวกันนั้นมีช่องว่างหรือไม่ หากมีต้องพยายามซ่อมแซมช่องว่างนั้น อย่ามองอะไร ผิวเผิน รวมถึงอย่าทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ในการคบกัน ตลอดจนพยายามช่วยคนรอบๆ ข้างให้ประสบความสำเร็จ ตามสิ่งที่เขาต้องการ และ ควรแบ่งปันข่าวสารความรู้ที่มีคุณค่ากับคนอื่น
การสร้างบทสนทนาเพื่อสร้าง Networking เขาได้แนะนำเทคนิคเอาไว้ว่า
1.ต้องมีการหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้อื่นที่จะเข้าไปทำความรู้จักเพื่อให้การสนทนาไหลลื่นไปได้
2.หลีกเลี่ยงบทสนทนาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
3.เรียนรู้ที่จะเริ่มบทสนทนาใหม่เสมอ
4.รู้จักที่จะยิ้มและแนะนำตัวเองกับคนอื่น พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับคนที่สนทนาด้วย
ทฤษฎีของเรื่องตลก Theory of Comedy
· Tab 1
คำว่า humour หรือ humor มาจากภาษาลาตินคำว่า Liquid หรือคำว่า fluid (ซึ่งแปลว่าของเหลว ของไหล), ตามทฤษฎีปรัชญาตะวันตกเชื่อว่า มีของเหลวอยู่สี่ชนิดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายคนเรานั้น และได้รับการคิดว่า ของเหลวเหล่านี้ ได้มีส่วนในการกำหนดอารมณ์ความรู้สึกและลักษณะท่าทีของคนเรา.
ในทฤษฎีทางปรัชญาโบราณ ซึ่งแพร่หลายมาจนกระทั่งช่วงยุคกลางของยุโรป, เชื่อว่า อารมณ์ของมนุษย์ ที่สำคัญสี่ประการนั้น อันได้แก่ อารมณ์ดีหรือขบขันมาจากเลือดแดง ความเฉื่อยชา และ อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย มาจากน้ำเหลือง และความรู้สึกหดหู่มาจากเลือดดำ การผสมกันปรวนแปรของอารมณ์ หรือ ของเหลวเหล่านี้ จะมีส่วนกำหนดคนขึ้นมาให้มีลักษณะที่แตกต่างกัน และยังมีส่วนใน การกำหนดคุณลักษณะต่างๆ ของบุคคล หรืออารมณ์ความรู้สึก คุณภาพด้านร่างกายและจิตใจ และความโน้มเอียงต่างๆของคนเรา
คนเรานั้น ในเชิงความคิด ได้รับการเชื่อว่ามีส่วนผสมเกี่ยวกับของเหลวสี่อย่างนี้ และของเหลวใดก็ตามที่มาครอบงำของเหลวชนิดอื่นๆ จะมีส่วนในการทำให้คนเรา เป็นคนที่มีอารมณ์และบุคลิกผิดแผกแตกต่างกันไป เช่น เป็นคนร่าเริง หรือตามที่ฝรั่งเรียกว่า sanguine (ซึ่งมาจากภาษาลาติคำว่า sanguis แปลว่า”เลือด”นั่นเอง), หรือเป็นคนที่เฉื่อยชา, อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย, หรือเป็นคนที่อารมณ์หดหู่ เป็นประจำ. คุณลักษณะพวกนี้ได้มีส่วนกำหนดบุคลิกภาพของแต่ละคน
คนซึ่งมีบุคลิกแต่ละอย่างนั้น ยังมีลักษณะที่เด่นของตนเองเป็นแบบฉบับบางอย่าง เช่น คนที่ฉุนเฉียวง่าย(choleric man) จะเป็นคนที่ขี้มักโกรธ หรืออารมณ์บูดอยู่บ่อยๆ ใบหน้าจะออกเหลือง, รูปร่างผอม, ผมดก, มีความภาคภูมิใจในตนเอง, มีความทะเยอทะยาน, มีจิตใจผูกพยาบาทและต้องการแก้แค้น, แต่เป็นคนที่หลักแหลม.
เรื่องที่ควรจะเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยในที่นี้ก็คือ เรื่องของ”ความขบขัน” ในราวคริสตศตวรรษที่ 16 ถือว่าเป็น เครื่องหมายแห่งภาวะที่ขาด ดุลยภาพทางจิตใจ, มีอารมณ์ที่ปราศ จากเหตุผล ทำอะไรตามอำเภอใจ และเป็นพวกที่ไม่มีความแน่นอน หรือเป็นคนโง่และเลวทราม. หากใครก็ตามที่ยังมีความเชื่อว่า ความตลกขบขันหรือความสนุกสนาน เป็นเรื่องของความไร้สาระ เหลวไหล ไม่น่าเชื่อถือ บางทีเราอาจจะยังคงเป็นคนหลงยุคในคริสตศตวรรษที่ 16 อยู่ก็ได้
ทฤษฎีของเรื่องตลก (Theory of Comedy)
Dr. Richard F. Taflinger กล่าวว่า “เรื่องตลกคือสิ่งที่ทำให้เราหัวเราะออกมาได้”. ฟังดูไม่เห็นว่าจะลึกซึ้งอะไรเลย แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตามมาซึ่งน่าสนใจกว่าก็คือ เขาได้ทำการศึกษาถึงพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องตลกที่ทำให้คนเราหัวเราะออกมา และได้สรุปออกมาเป็นข้อๆเรียกว่า แก่นแท้ 6 ประการ สำหรับการทำให้บางสิ่งเป็นเรื่องที่ขบขัน คือ
1. มันจะต้องเป็นสิ่งที่เรียกร้องการใช้ความคิดสติปัญญามากกว่า การใช้อารมณ์ความรู้สึก
2. มันจะต้องเป็นเรื่อง กลไกปฏิกริยาอัตโนมัติ
3. มันต้องเป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีมาแต่กำเนิด โดยที่สามารถที่จะเตือนเรา ให้ระลึกถึงเกี่ยวกับ ความเป็นมนุษย์ได้
4. มันจะต้องเป็นบรรทัดฐานทางสังคม ที่ยอมรับกันชุดหนึ่ง ซึ่งผู้อ่านมีความคุ้นเคย, ไม่ว่าจะโดยผ่าน ชีวิตประจำวัน หรือการตระเตรียมขึ้นมาโดยของนักเขียนในเนื้อหาที่แสดง ออกมาก็ได้ และ บรรทัดฐาน เหล่านั้น ได้ถูกฝ่าฝืน
5. มันจะต้องเป็นสถานการณ์และองค์ประกอบต่างๆ (ท่าทีของพฤติกรรม และคำพูด) ที่ไม่สอดคล้องหรือเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม หรือไม่สัมพันธ์กันกับบริบทนั้นๆ
6. มันจะต้องถูกรับรู้โดยผู้สังเกตุการณ์ในฐานะที่ไม่เป็นภัยอันตรายใดๆหรือสร้างความเจ็บปวดต่อผู้มีส่วนร่วม.
เมื่อบรรทัดฐานเหล่านี้ถูกค้นพบ, ผู้คนจะหัวเราะออกมา. ถ้าเผื่อว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดหายไป ความพยายามอันนั้น ต่อเรื่องความขบขันก็จะหายไปด้วย
เมื่อลงรายละเอียดกันดูในแต่ละข้อ, Richard F. Taflinger ให้คำอธิบายว่าอย่างไรบ้าง
ข้อแรก เรื่องการเรียกร้องให้ใช้ความคิดสติปัญญามากกว่าอารมณ์ อันนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อเป็น เรื่องของความขบขัน ที่เกี่ยวกับชนกลุ่มน้อย อย่างเช่นเรื่องของ ชาวโปลิช ชาวไอริช หรือคนขาว, พวกชาวเกย์ และองค์กรหรือ สมาคมต่างๆ เช่น สมาคมสตรี เป็นต้น ฯลฯ)
ต่อชนกลุ่มต่างๆเหล่านี้ ที่ถูกทำให้เป็นเรื่องตลกขบขันเกี่ยวกับความเสียๆหายๆของพวกเขา ซึ่งที่จริงแล้ว ชนกลุ่มต่างๆที่ต้องประสบกับเรื่องเหล่านี้โดยตรงจะไม่รู้สึกสนุกสนานไปด้วย ทั้งนี้เพราะพวกเขาอาจถูกดูถูก อาจถูกสบประมาท และถูกกระทำอย่างไม่สุภาพ.
โดยธรรมชาติแล้ว ผู้คนทั้งหลานยจะขานรับต่อการดูถูกเหยียดหยาม และความไม่สุภาพในลักษณะที่เป็นอัตวิสัย หรือเป็นส่วนตัวเอามากๆ, เช่นด้วยการก้าวร้าว หรือด้วยความโกรธแค้น, ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก. ส่วนผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่นคนที่ไม่ได้ถูกสบประมาท หรือผู้ที่บังเอิญไปได้ยิน คนพวกนี้จะขานรับต่อ เรื่องดังกล่าวในลักษณะที่เป็นวัตถุวิสัยมากกว่า และจะมีมุมมองทางด้านสติปัญญา เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ และสามารถโต้ตอบกับมันได้หากว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับมัน.
· Tab 2
Lenny Bruce เป็นคนที่เชื่อมั่นในเรื่องพื้นฐานของสติปัญญาเกี่ยวกับเรื่องตลก มีอยู่คราวหนึ่งที่เขาต้องลุกขึ้น พูดกับแขกที่มาในงาน เขาเริ่มต้นด้วยการจำแนกเชื้อชาติแขกทั้งหมด และชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย ในหมู่ผู้ฟังของเขาด้วยลักษณะของการสบประมาท: “ผมเห็นว่าเรามีพวกนิเกอร์อยู่สามคนอยู่ตรงนั้น. และตรงโน้น ผมเห็นชาวตะวันออกกลางสองคน, และนั่นก็สแปนนิชอเมริกันห้าคน, ตรงนู๊นก็คนยิว” และนั่นก็คนจีน ฯลฯ… ขณะที่เขาเริ่มต้นด้วยลักษณะท่าทีเช่นนี้ มันได้ทำให้เกิดอาการหายใจหายคอไม่ค่อยออกหรืออึดอัดขึ้นมาในหมู่ผู้ฟัง และผู้ฟังบางคนรู้สึกโกรธขึ้นมาตะหงิดๆ: บรรดาผู้ชมไม่เชื่อว่า Bruce จะเป็นคนที่ชอบดูถูกและสบประมาทผู้คนเช่นนี้ และช่าวเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์อ่อนไหวเอาเสียเลย แต่ขณะที่ Bruce พูดต่อไปและรายชื่อต่างๆ ได้ถูกเอ่ยพูดออกมาเรื่อยๆ จนนานมากพอทีเดียว, มันก็เป็นที่กระจ่างชัดว่า เขากำลังรายงานสภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นและคิดถึงนั่นเอง, คำพูดต่างๆของเขาได้ เริ่มสูญเสียความหมายของมันลงไป, นั่นคือความหมายทางอารมณ์ที่เป็นการดูถูกหรือสบประมาท และได้เปลี่ยนไปเป็นเสียงที่ดังออกมาอย่างไร้ความหมายที่จริงจังใดๆเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันได้สูญเสียเนื้อหาสาระทางอารมณ์และกลับกลายเป็นเรื่องภายนอกบริบทหรือสภาพแวดล้อมไป. ณ จุดนี้ บรรดาผู้ชมทั้งหลาย ที่ครั้งแรกรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้องและรู้สึกโกรธขึ้นมากับคำพูดเหล่านั้น เริ่มที่จะหัวเราะออกมาได้: เพราะผู้ชมตอนนี้ กำลังโต้ตอบกับเรื่องของสติปัญญา, มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก.
ธาตุแท้ของเรื่องตลกในข้อที่สอง ที่บอกว่าเป็นเรื่องกลไกอัตโนมัติ และข้อที่สามที่กล่าวถึงความเป็นมนุษย์โดยกำเนิด ได้รับการแยกแยะโดย Henri Bergson ในความเรียงของเขาเรื่อง”Laughter”. ทฤษฎีของเขาได้พัฒนาขึ้นมาบนความจริงในตัวมันเองอันหนึ่ง ที่ว่า แก่นแท้ที่ทำให้คนเราหัวเราะออกมาได้นั้น สร้างขึ้นมาโดยกลไกอัตโนมัติที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น ในเรื่องที่เราคาดหวังว่าจะปรับตัวได้และยืดหยุ่นได้.
มันเป็นเรื่องที่ตลกเมื่อใครคนหนึ่งกระทำการในลักษณะหรือท่าทีที่ไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์หรือสิ่งเร้าหนึ่งๆ เช่นดั่งในละครตลกที่ไม่ค่อยเป็นสัปะรดทั้งหลาย อย่างพวกตลกที่ใช้ไม้มาตีกันแรงๆให้คนดูตลกเป็นต้น. มันเป็นเรื่องสนุกเมื่อเก้าอี้ถูกดึงออกมาจากก้นของคนที่กำลังจะนั่งลงมาพอดี ทั้งนี้เพราะ เขาไม่สามารถที่จะปรับตัวในสถานการณ์นั้นได้นั่นเอง และยังคงนั่งลงไปด้วยกลไกอัตโนมัติ ผลก็คือ ก้นจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นนั่นเอง.
หรืออย่างเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง, ในเรื่อง Much Ado About Nothing ของ Shakespeare, มันเป็นเรื่องที่สนุกสนานก็เพราะว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวยังคงไม่เข้าท่าเข้าทางและไม่รู้ตัว ด้วยการคิดว่า เขาในฐานะตำรวจยังคงต้องมีหน้าที่ในการดูแลรับผิดชอบต่อสถานการณ์หนึ่งสถานการณ์ใดอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่จริงๆแล้ว เขาไม่มีไอเดียหรือความรู้อะไรเลยว่า ได้เกิดอะไรขึ้นมาในสถานการณ์นั้นๆ และจะต้องแก้ปัญหากับมันอย่างไร.
Lucy ในเรื่อง I Love Lucy เป็นเรื่องที่สนุกเพราะว่า เธอมีปฏิกริยาอัตโนมัติต่อเหตุการณ์ทั้งหลายโดยไม่ได้คิดเลยว่า เหตุการณ์นั้นๆมันได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไปแล้ว.
ขยายความเกี่ยวกับทฤษฎีของ Bergson ก็คือ ไอเดียของเขานั้นที่ว่า เรื่องตลกเป็นเรื่องของมนุษย์มาแต่กำเนิด มันมีบางสิ่งซึ่งเป็นที่สนุกสนานเพียงเพราะมันได้เตือนผู้ดูทั้งหลายเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์นั่นเอง. ผู้ชมอาจหัวเราะออกมาเพราะ การกระทำอันแปลกวิตถารของสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง, อย่างเช่น ลิงชิมแปนซี หรือม้า หรือหมี, เพียงเพราะพฤติกรรมของสัตว์พวกนั้น มันได้มาเตือนความทรงจำของเราเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์บางอย่างนั่นเอง. ดังนั้น, สัตว์ต่างๆอย่างเช่น ชิมแปนซีและอุรังอุตัง บ่อยครั้ง มันแต่งตัวในเสื้อผ้าอย่างมนุษย์เพื่อเพิ่มเติมความทรงจำของเรา และม้า อย่างเช่น Mr.En และล่อที่ชื่อ Francis ซึ่งพูดได้, สามารถที่จะคิดได้เหนือกว่ามนุษย์ที่อยู่รายรอบ เป็นต้น.
จุดที่สำคัญอันหนึ่งที่เด่นชัดเมื่อเราตรวจสอบเรื่องตลกต่างๆก็คือ มันตั้งอยู่บน พื้นฐานของการไม่ลงรอย หรือสอดคล้องกันนั่นเอง ความไม่คาดฝันใน สิ่งที่เราคาดหวัง, ความไม่ปกติในความเป็นปกติ ความผิดแผกไป หรือไม่สามารถปรับตัวได้ในสิ่งซึ่งได้รับการยอมรับแล้ว ในฐานะบรรทัดฐานทางสังคม
สำหรับการที่มันเป็นสิ่งที่ไม่ลงรอยกันนั้น จะต้องเป็นบางอย่างที่มันไม่เข้ากัน. ด้วยเหตุนี้ สำหรับเรื่องตลกที่มันเข้าท่าเข้าทาง หรือทำงานนั้น มันจะต้องเป็นเรื่องของบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม ความเป็นมนุษย์และสังคม ขนบธรรมเนียม ศัพท์แสลง หรือสำนวน คำศัพท์ ในลักษณะสวนทาง ซึ่งการไม่ลงรอยกันจะถูกพบเสมอ. บรรทัดฐานต่างๆอันนั้นอาจเป็นเรื่องภายในหรือเรื่องภายนอกก็ได้. บรรทัดฐานภายในคือสิ่งต่างๆที่ผู้เขียนได้ตระเตรียมขึ้นมาในต้นฉบับ. ส่วนบรรทัดฐานภายนอกก็คือสิ่งที่มีอยู่ในสังคม ซึ่งต้นฉบับได้เขียนถึง.
ปัญหาสำคัญคือว่า บรรทัดฐานอะไรที่มีอยู่ และอะไรที่ล้าสมัยไปแล้วบ้าง หลายครั้งผู้คนที่ได้ยินเรื่องตลก ไม่สามารถรู้สึกตลกไปด้วยได้ ทังนี้เพราะพวกเขาไม่รู้หรือเข้าใจบรรทัดฐานทางสังคมนั่นเอง อันนี้จะเห็นได้ชัดเกี่ยวกับตลกฝรั่ง ซึ่งคนไทยมักจะฟังไม่รู้เรื่องหรือไม่ขำ ก็เพราะเราไม่ทราบว่า โจ๊กหรือเรื่องตลกนั้น มันได้ไปละเมิดต่อบรรทัดฐานทางสังคมของฝรั่งอย่างไรนั่นเอง
อันนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เราจึงไม่สามารถอธิบายได้ถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง การที่เราสามารถจะอธิบายมันได้ แรกสุดเลยนั้น เราจะต้องชี้แจงถึงบรรทัดฐานทางสังคมนั้นได้ ต่อจากนั้นก็แสดงให้เห็นว่ามันได้ถูกฝ่าฝืนกฎอย่างไร. การอธิบายนั้นจะยักย้ายความไม่ลงรอยกันออกไปโดยแสดงให้เห็นภาพว่า มันทำงานภายในบรรทัดฐานต่างๆ
เกี่ยวกับบรรทัดฐานต่างๆ ยังอธิบายด้วยว่า ทำไมเรื่องขบขันบางเรื่องมันจึงพ้นความเข้าใจไปแล้ว. ละครตลกและเรื่องโจ๊กอาจจะล้าสมัยไปได้. ละครตลกต้นๆของ Neil Simon หลายๆครั้งขึ้นอยู่อย่างมาก กับทัศนคติทางสังคมของยุคสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง. อย่างไรก็ตาม บทบาทและท่าทีในเรื่องเซ็กซ์ได้แปรเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก นับตั้งแต่ปี 1961 เป็นต้นมา และในเรื่อง Come Blow Your Horn และเรื่องขบขันในตัวละคร Alan Baker ค่อนข้างจะเป็นไปในลักษณะมีอคติทางเพศต่อผู้หญิงและเรื่องเซ็กซ์. ปัจจุบันนี้เรื่องดังกล่าวมันกลายเป็นปลุกเร้าปฏิกริยาทางอารมณ์ของคนเราไป, ถือว่าเป็นเรื่องที่ไร้รสนิยม มากกว่าเรื่องที่จะทำให้คนหัวเราะออกมาได้.
·
· Tab 3
แต่อย่างไรก็ตาม ละครตลกบางเรื่องยังคงสามารถเตือนความสนุกสนานได้ แม้ว่าบรรทัดฐานต่างๆจะเปลี่ยนไปก็ตาม. ตลกกางเกงขี่ม้าของผู้ชาย Shakespeare อย่าง Viola ในเรื่อง Twelfth Night หรือ Rosalind ใน As You Like It ได้ปลุกเร้าผู้ดูในสมัย Elizabethan ให้หัวเราะออกมาได้ก็เพราะ บรรทัดฐานทางสังคมของยุคสมัยนั้นถือว่า ผู้หญิงไม่ควรใส่ เสื้อผ้าของผู้ชาย และภาพที่เห็นเกี่ยวกับ Viola และ Rosalind ในเครื่องแต่งตัวแบบผู้ชาย เป็นเรื่องที่ดูไม่ได้หรือไม่เหมาะสม. ทุกวันนี้ ผู้หญิงต่างก็สวมเสื้อผ้าแบบผู้ชายซึ่งถือเป็นเรื่องมาตรฐานธรรมดา และด้วยเหตุนี้ การเห็น Viola ในชุดกางเกงขี่ม้า ของผู้ชายจึงไม่ใช่เรื่องตลก.
มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในบทละครของ Shakespeare ที่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมหรือถูกกาละเทศะสำหรับบรรทัดฐานในทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เหตุใดเรื่องตลกหรือหัสนาฏกรรมของเขาจึงยังคงให้ความสนุกสนานอย่างต่อเนื่องอีกสี่ร้อยปีภายหลังได้ ทำไมเรายังคงหัวเราะกับเรื่องเหล่านั้นได้ ซึ่งบางที อาจจะไม่ใช้ในเหตุผลเดียวกันกับผู้ดูในสมัย Elizabethan เข้าใจ, แต่ละครตลกเหล่านั้นมันยังสร้างความขบขันต่อมาได้ก็เพราะ เขาได้เข้าถึง ความตลกขบขัน จากความเป็นมนุษย์มากกว่า เป็นเรื่องบรรทัดฐานของสังคมนั่นเอง.
แง่มุมที่น่าสนใจในที่นี้ 3 ประการเกี่ยวกับความไม่สอดคล้องหรือเหมาะสมกับกาละเทศะ คือ 1 เรื่องตามตัวอักษร(literalization) 2 เรื่องการพลิกกลับ(reversal) และ 3 ความมากจนเกินไป(exaggeration).
ในเรื่องตลกตามตัวอักษร เรื่องโจ๊กมาจาก การเป็นตัวแทนภาพอันหนึ่งของคำพูด และกระทำการในลักษณะตามตัวอักษร. ตัวอย่างเช่น เมื่อ Max Smart (GET SMART)ขอเจ้าหุ่นยนต์ Hymie ว่า “give me a hand”, Hymie ก็ดึงแขนข้างหนึ่งของมันออกมาแล้วส่งให้ อันนี้เป็นการตีความเชิงตรรกตามตัวอักษรตรงๆของหุ่นยนต์ Hymie.
การพลิกกลับ ก็คือการพลิกผวนไปจากธรรมดานั่นเอง นั่นคือ อะไรที่เป็นธรรมดาและเป็นที่คาดหวัง กลับกลายเป็น อีกเรื่องหนึ่งไป ในทางตรงกันข้าม อันนี้อย่างเช่น ตอนที่ Retief, ในนวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Keith Laumer ในเรื่อง Retief and the Warlords, ได้ถูกควบคุมตัว เขาคิดไปว่าผู้จับกุมเขาคงจะนำตัวเขาไปทรมานอย่างแสนสาหัส แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า เขาได้ถูกทำร้าย ด้วยงานศิลปะสมัยใหม่ และภาพที่มีกลิ่นเกี่ยวกับความเหน็ดเหนื่อยที่ทุรนทุราย, ขนมปังปิ้งไหม้ๆ, ก๋วยเตี๋ยวผัดราดหน้า, เนยแข็งที่มีกลิ่นเหม็น และชื่อเสียงอันเลวร้ายที่จะได้รับจากผู้คน.
ในเรื่องของการเกินเลยไปจากความเป็นจริงที่เข้ามาทดแทนความเป็นปกติธรรมดา อันนี้จะเห็นได้จากตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น ซึ่งบรรดาตัวละครทั้งหลายต่างมีปฏิกริยาเหนือไปจากความสัมพันธ์ที่เหมาะสมทั้งหมด: เช่น ภูเขาทั้งลูกหลุดไปจาก เนินดิน ที่มันก่อตัวขึ้นมา พร้อมๆกัน หรือการค้นพบของภรรยาขี้หึงคนหนึ่ง เกี่ยวกับเส้นผมสีทอง บนเสื้อคลุมของสามี ได้นำเธอไปสู่ ฉากที่คิดขึ้นมาเองในใจ ของการนัดพบบ้าๆระหว่างสามีของตนและชู้รัก, การเดินทางไปสู่ Riveria, และพล็อทเรื่อง การฆาตกรรมที่จะมีต่อเธอ, จนกระทั่งเขาชี้ไปที่สุนัขตัวหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่ใกล้เท้าของเธอ. การให้ภาพเกิน ความเป็นจริงไป เป็นมาตรฐานอันหนึ่งของเรื่องตลก
ความไม่เหมาะสมหรือถูกกาละเทศะที่สุดก็คือการละเมิดเกี่ยวกับข้อห้ามต่างๆทางสังคมนั่นเอง. การฝ่าฝืนนี้สามารถ ปลุกให้คน หัวเราะได้มากที่สุด. Richard F. Taflinger ได้ยกตัวอย่าง เช่น ในสังคมอเมริกัน ข้อห้ามสุดๆที่ผู้คนระมัดระวังก็คือ การสนทนา กันเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ ความตาย และหน้าที่ทางชีววิทยา สิ่งเหล่านี้เป็นหัวข้อที่สังคมประกาศิตไว้ว่า ควรพูดคุยถึงเรื่อง ดังกล่าวอย่างจริงจัง อย่างรอบคอบสุขุม และอย่างสุภาพ ถ้าเผื่อว่าจะคุยกันถึงเรื่องราวเหล่านี้. จากข้อห้ามดังกล่าว เรื่องตลกต่างๆ ได้พลิกแพลงนำมาใช้กันมากเลยทีเดียว.
ธาตุแท้ข้อที่ 6 สำหรับความตลกขบขันคือ ดังที่ Aristotle ได้กล่าวเอาไว้ว่า “…ซึ่งจะต้องไม่เป็นเหตุให้เจ็บปวด หรือทำลายล้าง… มันอาจจะบีบคั้นแต่จะไม่มีความเจ็บปวด” อันนี้มีตัวอย่างเช่น ภาพการ์ตูนต่างๆได้ถูกรับรู้โดยผู้ดู ในฐานะที่เป็นผู้ซึ่งมีส่วนร่วม แต่จะต้องไม่เป็นอันตรายใดๆขึ้นมาจริงๆ: ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสุข ผู้ดูอาจจะถูกขึงพืด ถูกบิดเบือน หรือถูกขยี้, แต่พวกเขาจะกู้ภาวะอารมณ์นั้นคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว และในท้ายที่สุด พวกเขาจะได้ฟื้นคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง เหมือนดังเดิม.
ตัวอย่างที่นิยมยกกันมาก็คือ Road Runner ตัวการ์ตูนของ Wanner Brother ซึ่ง Wile E. Coyote (หมาป่า)ได้ถูกทิ้งลงมา, ถูกบดขยี้, ถูกตี, ถูกหมุน, ถูกบีบ ถูกอัด, หรือไม่เช่นนั้นก็ถูกทำโทษในความพยายามของมันที่จะจ้องจับ Road Runner, แต่ต่อมา มันก็ได้รับการนำกลับมาปะติดปะต่อกันใหม่เพื่อรอที่จะถูกฉีกขาดอีกครั้งในตอนต่อไป
จะเห็นได้ว่า เจ้าหมาป่านี้ไม่เคยที่จะถูกทำลายลงอย่างถาวร ไม่ว่ามันจะล่วงลงมาจากหน้าผาสูง หรือมีหินก้อนใหญ่กลิ้งมาทับมันก็ตาม.
บรรทัดฐานอันนี้ ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงด้วย. กล่าวคือ มันเป็นเรื่องที่สร้าง ความสนุกสนาน เมื่อมีใครลื่นไหลจาก พื้นน้ำแข็งและหกล้ม: ผู้คนจะหัวเราะออกมาดังลั่น – แต่หากว่าพวกเขารู้ว่าชายคนที่ลื่นหกล้มบนลานน้ำแข็งต้องขาหักหรือพิการ. เหตุการณ์นั้นจะทำให้ผู้ชมหัวเราะไม่ออกเอาเลย.
เกณฑ์ 6 ประการที่กล่าวมานี้ ได้ถูกนำเสนอเพื่อพยายามที่จะทำให้ความตลกขบขันประสบความสำเร็จ: ถ้าหากว่ามีอันหนึ่งอันใด ได้ขาดหายไป ความตลกขบขันก็จะล้มเหลว. ตราบเท่าที่ผู้ชมทราบถึง บรรทัดฐานต่างๆ และสามารถเห็นถึง ความไม่เหมาะสม หรือถูกกาละเทศะดังกล่าว คนที่มีส่วนร่วมกระทำในลักษณะที่ขาดความยืดหยุ่น แต่มีความเป็นมนุษย์โดยกำเนิด และไม่มีใครต้อง เจ็บตัว และผู้ชมไม่ได้ยึดถือมันว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หากเป็นเช่นว่านี้ ความพยายามของเรื่องตลกอันนั้น จะประสบความสำเร็จสร้า งความสนุกสนานขึ้นมาได
พุทธิพิสัย Cognitive Domain
· Tab 1
พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นการกระทำ ที่เกี่ยวกับกระบวนการทางสมอง เช่น สติปัญญา (Intellectual) การเรียนรู้ (Learning) และ การแก้ปัญหา (Problem solving) ได้แบ่งระดับพุทธิพิสัยไว้ 6 ระดับ โดยเรียงจากระดับต่ำสุด ถึง ระดับสูงสุด ดังนี้
1. ความรู้ - ความจำ (Knowledge)
1.1 ความรู้ความจำในเนื้อเรื่อง (Knowledge of specifics)
· ความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม (Knowledge of terminology)
เกี่ยวกับความหมายของศัพท์ นิยามหรือคำจำกัดความ สัญลักษณ์ หรือภาพอักษร และ เครื่องหมายต่าง ๆ
· ความรู้เกี่ยวกับกฎและความจริง (Knowledge of specific facts)
เกี่ยวกับ สูตร กฎ ทฤษฎี หรือสมมุติฐาน ขนาด จำนวน สถานที่ เวลา คุณสมบัติ วัตถุประสงค์ สาเหตุและผลที่เกิด ประโยชน์และโทษ และสิทธิหน้าที่
1.2 ความรู้ในวิธีดำเนินการ (Knowledge of ways and means of dealing with specifics)
· ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน (Knowledge of conventions)
เกี่ยวกับแบบแผน ธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันต่อ ๆ มาในสังคม
· ความรู้เกี่ยวกับลำดับขั้นและแนวโน้ม (Knowledge of trends and sequences)
แนวโน้มที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนั้นเสมอ ๆ และขั้นตอนของการดำเนินการในเรื่องหรือสิ่งนั้น ๆ ที่ต่อเนื่องกัน
· ความรู้เกี่ยวกับการจัดประเภท (Knowledge of classifications and categories)
เกี่ยวกับชนิด ประเภทของสิ่งของและเรื่องราวต่าง ๆ ว่าอยู่ในหมวดหมู่ประเภทใด มีสิ่งใดที่เหมือนหรือแตกต่างจากพวก โดยยึดเกณฑ์หรือวิธีการใดเป็นหลัก
· ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ (Knowledge of criteria)
เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินหรือตรวจสอบสรรพสิ่งต่าง ๆ ว่า ดี - เลว ถูก - ผิด ควร-ไม่ควร
· ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ (Knowledge of methodology)
วิธีการที่ใช้สำหรับการปฏิบัติงานนั้น ๆ ตามหลักวิชาการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
1.3 ความรู้ความจำรวบยอด (Knowledge of universals and abstractions in the field)
· ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและขยายหลักวิชา (Knowledge of principles and generalization)
หลักการหรือความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ซึ่งเคยปรากฏจนสามารถนำมากล่าวสรุปรวบรวมเป็นความจริงทั่วไป
· ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง (Knowledge of theories and structures)
เกี่ยวกับคติและหลักการ จากของหลายสิ่ง หลายเนื้อหาที่สัมพันธ์กัน เป็นพวกเดียวกัน เพื่อจะค้นหาทฤษฎี และโครงสร้างที่เป็นตัวร่วมของสิ่งเหล่านั้น
2. ความเข้าใจ (Comprehension)
1. การแปลความ (Translation)
เป็นความสามารถในการแปลจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง ได้แก่ การแปลความหมายของคำและข้อความ การแปลความหมายของภาพและสัญลักษณ์ การแปลบทประพันธ์ สุภาษิตและคำพังเพย
2. การตีความ (Interpretation)
เป็นการสรุปความจากสิ่งต่าง ๆ มากกว่า 1 สิ่ง แล้วนำผลมาสรุป เป็นผลลัพธ์ใหม่อีกอย่างหนึ่งที่มีลักษณะแปลกไปจากของเดิม
3. การขยายความ (Extrapolation)
การขยายความเป็นการแปลความให้ไกลไปจากข้อมูลเดิม โดยมีข้อมูลหรือแนวโน้มเพียงพอ โดยการขยายความมี 4 แบบ คือ ขยายความแบบจินตนาการ แบบพยากรณ์แบบสมมุติ และแบบอนุมาน
3. การนำไปใช้ (Application)
การนำไปใช้ เป็นการนำเอาความรู้ความจำ และ ความเข้าใจในเรื่องราวใด ๆที่ตัวเองมีอยู่ ไปแก้ปัญหาที่แปลกใหม่ ปัญหาใหม่นั้น เป็นปัญหาที่ไม่สามารถนำสูตร กฎแก้ปัญหาได้โดยทันที จะต้องใช้ยุทธวิธีหลายอย่างในการแก้ปัญหานั้น
4. การวิเคราะห์ (Analysis)
1. การวิเคราะห์ความสำคัญ (Analysis of element)
เป็นการค้นหาคุณลักษณะเด่นของเรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ เช่น ความเด่นของข้อความ ความสำคัญของเรื่อง ความนัยของคำพูดหรือกระทำต่าง ๆ วิเคราะห์ชนิด วิเคราะห์สิ่งสำคัญ และวิเคราะห์เลศนัย
2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ( Analysis of relationships)
เป็นการค้นหาความเกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะสำคัญใด ๆ ของเรื่องราวและสิ่งต่าง ๆ อย่างสมเหตุสมผล โดยที่สิ่งทั้งสองสิ่ง
3. การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of organizational principles)
เป็นการค้นหาโครงสร้าง และ ระบบของวัตถุสิ่งของเรื่องราว และการกระทำต่าง ๆรวมกันอยู่ในสภาพนั้นได้เนื่องด้วยอะไร ยึดอะไรเป็นหลักเกณฑ์ หรือมีสิ่งใดเป็นตัวเชื่อมโยง
5. การสังเคราะห์ (Synthesis)
1. การสังเคราะห์ข้อความ (Production of unique communication)
เป็นการนำเอาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ มาผสมกัน เพื่อให้เกิดข้อความ หรือผลิตผล หรือการกระทำใหม่ ที่จะสามารถใช้สื่อสารความคิดและอารมณ์ ระหว่างบุคคลกับผู้อื่นได้ เช่น การพูดชี้แจง การแต่งคำประพันธ์ การวาดภาพ และการแสดงต่าง ๆ
2. การสังเคราะห์แผนงาน (Production of plan or proposed set of operation)
เป็นการกำหนดแนวทางและขั้นตอนการปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การดำเนินการนั้น สำเร็จลุล่วงตรงตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เช่น ท่านจะวางแผนการทำงานอย่างไรจึงจะได้เป็น
3. การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ (Derivation of set of abstract relation)
เป็นการนำเอาความสำคัญและหลักการต่าง ๆ มาผสมให้เป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ที่มีความสัมพันธ์แปลกไปจากเดิม เช่น จงอธิบายปัญหาที่แท้จริงของการคอรัปชั่นในเมืองไทย
6. การประเมินค่า (Evaluation)
1. การประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายใน (Judgement in term of internal evidence)
เป็นการประเมินโดยใช้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เท่าที่ปรากฏอยู่ในเรื่องราวนั้น มาเป็นหลักในการตัดสิน เช่น จากเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งเป็นคนอย่างไร
2. การประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก (Judgement in term of external criteria)
เป็นการตัดสินสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เกณฑ์อื่น ๆ ที่อยู่นอกเรื่องราวนั้น แต่มีความสัมพันธ์กับเรื่องนั้นเกณฑ์ภายนอกอาจจะเป็นเกณฑ์ทางสังคม เช่น คำว่า "สองหัวดีกว่าหัวเดียว" ท่านเห็นด้วยหรือไม่
จิตพิสัย Affective Domain
· Tab 1
ธรรมชาติของคุณลักษณะด้านจิตพิสัย
จิตพิสัยเป็นอารมณ์ หรือ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ที่ได้แสดงออกมา ทั้งด้านการกระทำ การแสดงความคิดเห็น และอื่น ๆ โดยมีธรรมชาติที่แสดงถึง คุณลักษณะสำคัญ 5 ประการ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2539, หน้า 9 - 11) ดังนี้
1. เป็นคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ หรือความรู้สึก ซึ่งมีอยู่ในทุก ๆ คน และ อาจเปลี่ยนแปลงได้ ตามเงื่อนไข และ สถานการณ์แวดล้อม บุคคลอาจแสดงออกให้เห็นได้ ทั้งใน รูปแบบของธรรมชาติ หรือ ในรูปแบบของ การเสแสร้ง ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม ในช่วงเวลา ของการแสดงออก และ เจตนา ที่แสดงออกมาอย่างจริงใจเท่านั้น
2. เป็นคุณลักษณะที่มีลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล บุคคลอาจมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่มีพฤติกรรมแสดงออก แตกต่างกัน หรือในบางครั้งอาจแสดงพฤติกรรมเหมือนกัน แต่ความรู้สึก อาจแตกต่างกันได้ ในขณะเดียวกัน ก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่า พฤติกรรมที่แสดงออกของบุคคล ในสถานการณ์หนึ่งว่าถูกหรือผิด เหมือน การตัดสินด้าน ความรู้ความคิด นอกจากจะตัดสินโดยใช้ เกณฑ์มาตรฐานของกลุ่มสังคม ที่บุคคลนั้นเป็นสมาชิกอยู่ เพื่อหาข้อสรุปอ อกมาว่า พฤติกรรมที่ บุคคลแสดงออก ในสถานการณ์นั้นเป็นที่พึงปรารถนาของสังคมนั้น ๆ หรือไม่เท่านั้น และเมื่อ สังคม เปลี่ยนไปหรือ ต่างสังคม กับ เกณฑ์ปกติ หรือมาตรฐานย่อมเปลี่ยนไป ผลการตัดสินว่าเป็น ที่พึงปรารถนา หรือไม่ก็อาจเปลี่ยนไป ได้เช่นกัน
3. เป็นคุณลักษณะที่มีทิศทางของ การแสดงออก ได้สองทาง คือ ตรงข้ามกัน เช่น ขยัน - ขี้เกียจ ซื่อสัตย์ - คดโกง รัก - เกลียด หรือ อาจจะเรียกกันง่าย ๆ ว่าทิศทางบวกหรือลบ โดยทั่วไปแล้ว ทิศทางบวก จะเป็นที่ พึงปรารถนา มากกว่า ทิศทางลบ ทิศทางบวกดังกล่าว ได้แก่ รัก ชอบ ขยัน ซื่อสัตย์ แต่บางครั้งทิศทางลบ ก็อาจจะใช้ได้ ในสิ่งที่ไม่ พึงปรารถนาของสังคม เช่น เกลียดอบายมุข ไม่ชอบความสกปรก รังเกียจยาเสพติด เป็นต้น
4. เป็นคุณลักษณะที่มีระดับ ปริมาณ ความเข้มที่อาจเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างกันได้ เช่น รัก จะมีรักมาก รักน้อย ขยัน ก็จะขยันมาก ขยันน้อย ดังนั้น แม้บุคคล 2 คน จะมีความรู้สึก หรืออารมณ์ขณะใดขณะหนึ่ง หรือลักษณะ ประจำตัว เช่นเดียวกัน ก็อาจแตกต่างกันในความเข้ม ของความรู้สึกได้ เช่น ความรู้สึกของแดง และดำ ที่มีต่อโรงเรียนของเขา อาจจะมีระดับ หรือ ความเข้มต่างกัน
5. เป็นคุณลักษณะที่มีเป้าหมาย กล่าวคือ บุคคลจะเกิดความรู้สึก หรืออารมณ์ขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้ จะต้องเกิดอารมณ์ หรือความรู้สึก ต่อเป้าหมาย ซึ่งอาจจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของเหตุการณ์ กระบวนการ หลักการ วิชา หรือสภาวะใด ๆ ก็ได้ เช่น ขยันทำงานบ้าน ขยันเรียน ขี้เกียจอ่านหนังสือ เป็นต้น และเมื่อเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว ความรู้สึก หรืออารมณ์ อาจ เปลี่ยนแปลงได้ทั้ง ทิศทาง และความเข้ม เช่น นายแดงมีความรู้สึกชอบนายดำมาก แต่เมื่อเปลี่ยนเป้า เป็นนายเขียว ความรู้สึกของนายแดง ต่อนายเขียว อาจจะเปลี่ยนจากชอบมากเป็นชอบน้อย หรือไม่ชอบเลยก็ได้
สรุปได้ว่า จิตพิสัย เกี่ยวข้องกับ อารมณ์ หรือ ความรู้สึก ที่มีอยู่ในทุก ๆ คน แต่ละคน จะมีแบบแผนเฉพาะตัว ความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต้องมีทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านบวก หรือ ที่พึ่งปรารถนา และด้านลบ หรือไม่พึ่งปรารถนา มีความเข้ม กล่าวคือ มีระดับของความรู้สึก ต่อสิ่งนั้น เช่น ชอบมาก - ชอบน้อย เป็นต้น
ทักษะพิสัย Psychomotor Domain
· Tab 1
· Tab 2
ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมทางการด้านการเคลื่อนไหว (Movement) เช่น การวิ่ง การกระโดด การเดิน การขับรถ การเต้นรำ การเปิดประตู เป็นต้น โดยฮาร์โรได้แบ่งระดับของจุดมุ่งหมาย ทางด้านทักษะ โดยเรียงจาก ระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุด 6 ระดับ ดังนี้ระดับพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย มีรายละเอียดในแต่ละระดับ ดังต่อไปนี้
1. การเคลื่อนไหวเชิงกิริยาสะท้อนกลับ (Reflex movements) ซึ่งได้แก่
1.1 กิริยาสะท้อนที่สั่งจากประสาทไขสันหลังส่วนหนึ่ง (Segmental reflexes) เช่น การเคลื่อนไหวของแขนหรือขา เป็นต้น
1.2 กิริยาสะท้อนที่สั่งจากประสาทไขสันหลัง มากกว่าหนึ่งส่วน (Intersegmental reflexes) เช่น การเคลื่อนไหวของแขน และขาในเวลาเดินหรือวิ่ง เป็นต้น
1.3 กิริยาสะท้อนที่สั่งจากประสาทไขสันหลัง และ สมองร่วมกัน (Segmental Reflexes) เช่น การทรงตัวของร่างกาย ให้อยู่ในสภาพ สมดุล ในขณะเคลื่อนไหว เป็นต้น
2. การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน (Basic - fundamental Movements) ซึ่งได้แก่
2.1 การเคลื่อนไหวจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง (Locomotor Movements) เช่น เดิน วิ่ง กระโดด เป็นต้น
2.2 การเคลื่อนไหวอยู่กับที่ (Non - locomotor Movements) เช่น การเคลื่อนไหวของ นิ้วมือ นิ้วเท้า เป็นต้น
2.3 การเคลื่อนไหวเชิงบังคับ โดยกิริยาสะท้อนหลายอย่างร่วมกัน (Manipulative Movement) เช่น การเล่นเปียโน การพิมพ์ดีด เป็นต้น
3. ความสามารถในการรับรู้ (Perceptual abilities) ซึ่งได้แก่
3.1 การรับรู้ความแตกต่างการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Kinesthetic discrimination) เช่น การรับรู้การกำมือ การงอเข่า การกระพริบตา เป็นต้น
3.2 การรับรู้ความแตกต่างด้วยการเห็น (Visual discrimination) เช่น ความสามารถในการเห็นความแตกต่าง ของวัตถุที่สังเกตได้ เป็นต้น
3.3 การรับรู้ความแตกต่างด้วยการได้ยิน (Auditory discrimination)เช่น ความสามารถ ในการจำแนกความแตกต่าง ของระดับเสียง หรือทิศทางของเสียงที่ได้ยิน เป็นต้น
3.4 การรับรู้ความแตกต่างด้วยการสัมผัส (Tactile discrimination) เช่น ความสามารถ ในการบอกลักษณะของวัตถุที่สัมผัส ว่า หยาบเรียบ แข็ง หรืออ่อน เป็นต้น
3.5 ความสามารถในการใช้ประสาทรับรู้ร่วมกัน (Coordinated abilities) เช่น ความสามารถในการใช้และประสาท ส่วนอื่น ๆ เพื่อร่วมมือกันในการเลือกหาวัตถุที่ต้องการ เป็นต้น
4. สมรรถภาพทางกาย (Physical abilities) ซึ่งได้แก่
4.1 ความทนทาน(Endurance) เช่น ความทนทานของร่างกายในการวิ่งแข่งมาราธอน เป็นต้น
4.2 ความแข็งแรง (Strength) เช่น ความแข็งแรงของแขนในการยกน้ำหนัก เป็นต้น
4.3 ความยืดหยุ่น (Flexibility) เช่น ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อแขนขาในการเต้นรำ เป็นต้น
4.4 ความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว (Agility) เช่น ความฉับไวในการเปลี่ยนทิศทาง การเคลื่อนไหว เป็นต้น
5. การเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยทักษะ (Skilled movements)
5.1 ทักษะการปรับตัวในการเคลื่อนไหว ที่ทำได้ง่าย (Simple adaptive skill) เช่น ทักษะการเลื่อยไม้ เป็นต้น
5.2 ทักษะการปรับตัวในการเคลื่อนไหว ที่ทำไปพร้อม ๆ กัน (Compound adaptive skill) เช่น ทักษะในการตีแบดมินตัน เทนนิส เป็นต้น
5.3 ทักษะการปรับตัวในการเคลื่อนไหว ที่มีลักษณะซับซ้อนมาก (Complex adaptive skill ) เช่น ทักษะการเล่นยิมนาสติก เป็นต้น
6. การสื่อสารที่ต้องใช้ทักษะระดับสูงในการแสดงออก (Non-discursive Communication) ซึ่งได้แก่
6.1 การเคลื่อนไหวในเชิงแสดงออก (Expressive movement) เช่น การแสดงออก ทางสีหน้า หรืออากัปกิริยาท่าทางต่าง ๆ
6.2 การเคลื่อนไหวในเชิงตีความ (Interpretative movement) เช่น การเคลื่อนไหวใน เชิงสุนทรียภาพ หรือการเคลื่อนไหวในเชิงสร้างสรร
แนวคิดกระบวนการเรียนรู้ในกระบวนทัศน์ใหม
· Tab 1
แนวคิดกระบวนการเรียนรู้ในกระบวนทัศน์ใหม่
วิศิษฐ์ วิงวัญญู
เลือกทางเลือกไหน?
องค์ประกอบหลักๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการศึกษาทางเลือก ถ้าจะเข้าไปดูการศึกษา ทางเลือกทั้งหมดของโลก และเข้าไปดูใน ทุก รายละเอียด ของความแตกต่าง เราก็จะได้ความหลากหลายและความกว้างขวางเฉก เช่นน้ำในมหาสมุทร แต่ถ้าเราจะเข้าไปดู เพื่อ จะคิดค้นต่อ เราอาจจะไปดูที่องค์ประกอบหลักๆ ของระบบการศึกษาต่างๆ และไปถึงตัวอย่างบางตัวอย่าง ที่เป็นตัวแทน ขององค์ประกอบ หลักหนึ่งๆ ขึ้นมา เราอาจจะสามารถก่อประกอบภาพของการศึกษาทางเลือกที่มีอยู่ในโลกได้ชัดเจนขึ้น อย่างน้อย ก็ไม่หลงเข้าไป ในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่หลากหลายนั้น
พัฒนาการของมนุษย์
ในปัจจุบันภาพของ พัฒนาการมนุษย์ ได้มีการขึ้นแผนที่ไว้ อย่างชัดเจน แม้ว่าจะยังไม่ปรากฏอยู่ในตำราเรียน เพราะตำราเรียน มักจะเดินตามหลัง พรมแดนความรู้ อยู่ประมาณ ๒๐ ถึง ๓๐ ปี แต่สำหรับ นักการศึกษา ในเรื่องของการศึกษาผู้ใฝ่รู้ เราควรสืบเสาะวิทยาการ ณ พรหมแดนความรู้โดยเฉพาะในเวลาที่ศาสตร์ทั้งหลาย กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่กระบวนทัศน์ใหม่ อย่างพร้อมเพรียงกัน ดังในยุคสมัยแห่งปัจจุบันนี้ หลังจากที่เราตื่นตัวเรื่องสมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวากันพักใหญ่ เพราะในคนป่วย เป็นลมบ้าหมู หมอได้ผ่าตัดเอารอยเชื่อมต่อระหว่างสมองซีกซ้ายกับขวาออก และได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ระหว่างการทำงาน ที่แตกต่างของสมองสองซีก ต่อมาก็มีคนเขียนเรื่องราวความต่างของสมองสองซีกออกมามากมาย ซึ่งก็ได้ต่อเติม องค์ความรู้ ทางการศึกษา ได้อย่างครบครันขึ้น ทำให้เห็นข้อจำกัดของระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ว่าเน้นเฉพาะสมองซีกเดียว คือสมองซีกซ้ายที่ทำงาน ทางด้าน พุทธิปัญญาอันเป็นตรรกะและเหตุผล และเรื่องราวของการเรียนรู้เรื่องของภาษา
ส่วนการทำงานของสมองซีกขวา อันเป็นเรื่องราวของศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ อันไม่ติดกรอบของตรรกะ ก็ถูกนำกลับมา ให้ความสำคัญ และเห็นว่าถ้าขาดด้านความสามารถของซีกขวา เราจะได้มาซึ่งมนุษย์ไม่ครบคน แต่ก็มีข้อสังวร ของการผ่าของการแยก ว่าเราจะต้องรวมกลับมาอีกครั้งเป็นองค์รวมเสมอ เมื่อกาลผ่านไปอีก นักวิทยาศาสตร์ประสาทวิทยา ก็ได้ค้นพบว่า สมองไม่ได้ทำงาน เฉพาะ ในแต่ละพื้นที่ของสมอง แต่ในการทำงานครั้งหนึ่งๆ หลายๆ พื้นที่ของสมองจะเข้ามาทำงานพร้อมๆ กันไป ถ้าจะกล่าวในภาพ ที่ย่อยให้ง่าย ก็อาจจะกล่าวได้ว่าสมองซีกซ้ายและขวาจะทำงานร่วมกันไป ไม่ได้ทำงานแยกส่วนเด็ดขาดชัดเจน กล่าวเป็นภาษาคน ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ในจินตนาการก็มีเหตุผล ในเหตุผลก็มีจินตนาการ เป็นต้น แต่กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ไม่น้อย คือจะแยกออกก่อนเพื่อจะรวมเข้ามาอีก แต่ความรู้เมื่อรวมแล้วย่อมร่ำรวยกว่าเมื่อก่อนที่เราจะมาแยกออกไปนั้นอีก
ต่อมาในเรื่องราวของงานวิจัยทางสมองนี้ พอล แมคลีน ได้ค้นพบเรื่องราวของสมองสามชั้น อันมาสนับสนุนการศึกษา ที่ให้ความสำคัญ แก่ พัฒนาการมนุษย์ ได้อย่างชัดเจนยิ่ง สำนักการศึกษาที่ให้ความสำคัญแก่พัฒนาการของมนุษย์ และได้มีการนำมาใช้ ในประเทศไทย อย่างเข้มแข็งแล้ว ก็มี มอนเตสซอรี่ และ วอลดอฟ มอนเตสซอรี่ จะให้ความชัดเจน กับเด็กเล็กในชั้นอนุบาล ส่วนวอลดอฟเองนอกจากความชัดเจนในระดับอนุบาลแล้ว ยังมีภาพพัฒนาการของมนุษย์ต่อยอดไปในชั้นประถมและมัธยมอีกด้วย เรื่องมาเรีย มอนเตสซอรี่ และรูดอฟ สไตเนอนี้ก็น่าสนใจ คนแรกเป็นแพทย์หญิงคนแรกของอิตาลีเธอศึกษาเด็กอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
ในสมัยนั้นซึ่งยังอยู่ในกรอบความคิดของประจักษวาท แต่สไตเนอใช้วิธีนั่งทางใน เพราะเขาเป็นพวกรหัสนัย แต่เข้าถึง องค์ความรู้ ได้โดยจิต แต่ทำไมงานทาง การศึกษา ของเขา จึงมาสอดคล้องกับ งานวิจัย เรื่อง สมองสามชั้น ของ พอล แมคลีน แม้กระทั่งต่อมาเมื่อ นักวิทยาศาสตร์ ได้ภาพชัดขึ้นของสมอง ส่วน pre-frontal lobe ส่วนนนั้น ก็ยังอยู่ใน กรอบการมองพัฒนาการมนุษย์ ของ สไตเนอ อันเป็นช่วงอายุครบบวชในพุทธศาสนา โจเซฟ ชิลตัน เพียซ ได้เขียนเรื่องนี้ไว้มาก ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาคือ The Biology of Transcendence (2002) และตั้งข้อสังเกตตรงนี้ไว้ว่า ที่ตั้งของ pre-frontal lobe ก็คือที่ตั้งของตาที่สามในพุทธศาสนาของธิเบตการเปิดตาที่สามนี้สำคัญมาก ตาของมนุษย์ธรรมดาจะมองสิ่งต่างๆ เป็นทวิภาวะ (duality) แต่ความเป็นจริงทางจิตวิญญาณนั้น เราจะต้องมองพ้นเรื่องทวิภาวะออกไป เช่นพ้นดีชั่ว ถูกผิด ขาวดำ หรือได้เสียเป็นต้น
สมองสามชั้น ปัญญาสามฐาน
การค้นพบ สมองสามชั้นของพอล แมคลีนนั้น อันที่จริงก็สมเหตุสมผลตามเรื่องราวของการวิวัฒนาการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ก็วิวัฒนา มาจาก สิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายมาสู่ความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะสมองสามชั้น ก็เป็นร่องรอยการพัฒนาการ ของมนุษย์มากจาก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตลอดจนบรรดาลิงชั้นสูงที่มาก่อนวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นเอง แม้เมื่องานวิจัยได้แยกแยะ ความโดดเด่นของการทำงานของสมองแต่ละชั้นออกมา ก็จะเห็นความเป็นสัตว์เลื้อยคลานในสมองชั้นในสุด ความเป็นสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม ในสมองชั้นกลาง และความเป็นมนุษย์ในสมองชั้นนอก (neo cortex) ได้
ที่สนุกในเรื่องสมองสามชั้น ปัญญาสามฐานนี้ก็คือการมาบรรจบกันของความรู้ระหว่างงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับการนั่งทางใน หรือการเข้าถึงความจริง ของพวกที่ศึกษาจิตโดยใช้ตัวเองเป็นตัวกลาง ดังเช่นรูดอฟ สไตเนอ ซึ่งเป็นนักการศึกษาคนสำคัญและเอ็ดกา ไซเซ ซึ่งเป็นนักนั่งทางในรักษาผู้คนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ รวมถึงการค้นหาคนหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สำหรับคนหลังนั้นได้มีการเก็บบันทึกเรื่องราวของเขาอย่างเป็น ลายลักษณ์อักษร และงานรักษาของเขา ในหลายกรณีก็ปฏิบัติร่วมกับ โรงพยาบาลกระแสหลักนั้นเอง เขาบำบัดคนป่วยร่วมไปกับการใช้ยาและวิธีการของการแพทย์สมัยใหม่ด้วย ส่วนงานของรูดอฟ สไตเนอ จะเป็นงานทางการศึกษา ดังเขาได้แบ่งช่วงวัยทางการศึกษาของมนุษย์ออกเป็น ๓ เจ็ด หมายถึง ๗ ปีแรกเป็น willing ๗ ปีที่สองเป็น feeling และ ๗ ปีที่สามเป็น thinking ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและความเป็นมนุษย์โดยลำดับ และเวลานี้ลำดับขั้นการเจริญเติบโตของ สมองมนุษย์ก็ไม่ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเมื่อแรกเกิด หากยังเติบโตต่อมา และจะสมบูรณ์ที่สุดเมื่อ pre frontal lobe ที่เป็นส่วนหนึ่งหรือส่วนต่อ? ของนีโอคอเทกซ์ ในอายุ ๒๑ ปี ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ เป็นวัยที่อนุญาติให้อุปสมบทได้! และตำแหน่งฟรีฟรอนตัลโลบนั้นอยู่ในตำแหน่งตาที่สาม ของพุทธศาสนา แบบธิเบต ที่เชื่อว่าเป็นตาที่สามารถมองพ้นทวิภาวะออกไป ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้ค้นพบว่า ฟรีฟรอนตัลโลบเป็นส่วนสมองที่เกี่ยวพันกับ การจัดความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ที่สลับซับซ้อนขึ้น ตลอดจนถึงเรื่องราวการตัดสินใจที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน สุขุม ลึกซึ้ง มิใช่การตัดสินในแบบมองโลกเป็นขาวเป็นดำ
สามหน้าแห่งจิตกับไตรสิกขา
อีเลน เด โบพอต เขียน Three Faces of Mind เธอเขียนเรื่องสมองสามชั้นของพอล แมคลีนนี้เอง โดยแตกสามชั้นนี้ ออกไปเป็นสิบปัญญา โจเซฟ ชิลตัน เพียซ อัจฉริยะคนหนึ่งที่เขียนเรื่องการศึกษาจากฐานพรมแดนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ถือว่า หนังสือของเธอ เป็นหนึ่งในห้าเล่มของหนังสือที่ดีที่สุดในโลก สิ่งที่เธอทำก็คือ การโยงความเข้าใจใหม่ เรื่องสมองสามชั้น เข้ากับ ประสบการณ์การทำงานทางการศึกษาอันร่ำรวยของเธอ และปฏิวัติการมองเรื่องปัญญาที่มักจะไปเน้นเนื้อเรื่อง ไปสู่กระบวนการ และ เรื่องของพลังในที่สุด เธอเดินตามไอนสไตน์ ที่เห็นว่าพลังอาจจะเป็นปฐมฐานของโลกและของมนุษย์
ในที่นี้คงยังไม่เล่าเรื่องราวของปัญญาทั้งสิบที่เธอแจกแจงอยู่ในหนังสือของเธอ แต่จะบอกเล่าถึงภาพใหญ่ของสาม หน้าจิต หรือ สามปัญญาใหญ่โดยเทียบเคียง กับไตรสิกขา
หน้าแรกก็คือ ปัญญากาย อันเป็นส่วนที่มนุษย์มีอยู่ร่วมกับสัตว์เลื้อยคลานและอาจเทียบเคียงกับศีลสิกขาได้ สมองส่วนในสุดนี้คือ พลังชีวิต อย่างเป็นปฐมฐาน แม้ในยามสลบ ตราบใดที่ยังไม่ตายสมองส่วนนี้ยังทำงานอยู่ตลอดเวลา เทียบเคียงกับ การศึกษาของ วอลดอฟ ก็คือ will หรือ พลังแห่งเจตจำนง ความมุ่งมั่น ปรารถนา ที่ผลักดันให้กิจต่างๆ สำเร็จลุล่วง เหมือนคำว่า วิริยะทางพุทธศาสนา ที่หมายถึง ทั้งพลังงาน และ ความขยันหมั่นเพียร นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่งของปัญญากาย เมื่อเอาเทศะหรือสถานที่เป็นตัวตั้ง ก็จะหมายถึงที่ทางที่จะโคจรไปสู่ หรือโคจรหนีห่าง ดังในพุทธศาสนา ก็มีเรื่อง อโคจรสถาน ว่าเป็นสถานที่ที่ผู้สำเหนียกใน การพัฒนาตนเอง อย่างยิ่งยวดไม่ควรจะโคจรเข้าไป
อีกด้านหนึ่งของปัญญากายนี้ก็คือ การจัดเวลาให้กับชีวิต หรือแบบแผนของการใช้เวลาในแต่ละวัน สัปดาห์ เดือน ฤดูกาลและปี ตลอดจนในแต่ละช่วงแห่งชีวิตเช่นเด็ก หนุ่มสาวหรือวัยกลางคนเป็นต้น มันเป็นขอบเขตที่มีประโยชน์เช่นเดียวกับ ชายฝั่งของแม่น้ำ ที่เป็นขอบเขตให้กับแม่น้ำ และช่วยกำกับทิศทางการไหลของแม่น้ำ แบบแผนของการใช้เวลา ก็คือขอบเขต ที่เรากำหนดให้แก่ พลังชีวิตนั้นเอง แน่นอนขอบเขตเช่นนี้เป็นได้ทั้งศักยภาพและข้อจำกัดในเวลาเดียวกันเอง
ความไม่สมดุลของชีวิต ผู้คนสมัยใหม่ก็คือ การแยกอะไรต่ออะไรเป็นเสี้ยวส่วน เรื่องปัญญาเราก็อาจจะแยกแยะเพลินไป จนเอาไปเอามาเหลืออยู่แต่การคิดใน ระนาบเดียว กับของ พุทธิปัญญา เท่านั้น ปล่อยๆ ละเลยปัญญาด้านอื่นๆ ทั้งหมด ความคิดที่ปราศจากการดูแลชีวิตที่ดี จึงสับสนและไร้พลังเป็นต้น
จะเห็นได้ว่าเมื่อเราพูดถึงเทศะและกาละไปแล้ว และเห็นได้ว่าพลังของปัญญากายอยู่ที่การจัดขอบเขตให้แก่กาลเทศะ เราอาจจะ เดาต่อไปได้ว่า อีกด้านหนึ่งของปัญญากายก็คือการทำอะไรซ้ำๆ จนเป็นนิสัยหรืออีกนัยหนึ่งก็คือการสร้างสมวินัย ถ้าเรามองเห็น ปัญญากาย เราจะไม่รังเกียจการทำอะไรซ้ำๆ จนเป็นนิสัย แน่นอนนิสัยมีพลังเสมอ นิสัยของพาลชนก็พาเข้ารกเข้าพง ในขณะที่ นิสัยของบัณฑิต ย่อมนำพาชีวิตไปสู่กระบวนการเรียนรู้
เอาแค่ว่า เวลาหนึ่งเวลาใด ของวัน เราจะนั่งลงอ่านหนังสือที่มีสาระประโยชน์ เพื่อขวนขวายหาความรู้ในเรื่องที่ไม่รู้ หน้าต่างแห่งนิสัยบานนี้ เป็น ปัญญากาย ที่เปิดไว้เป็น ประตูเรียนรู้ โลกทางหนึ่ง นิสัยของพาลชนก็จะเป็นไปในทางตรงกันข้าม คำว่า พาลชน นั้นไม่จำเป็นต้องถึงกับไปตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก เพียงแต่เป็น คนที่มีขวนขวายเรียนรู้ นั่นก็คือ พาลชน แล้ว และในที่สุด ชีวิต ที่ไม่ขวนขวายเรียนรู้ ก็อาจจะจบลง ในรูปแบบของชีวิต อันธพาล ก็เป็นไปได้มาก ปัญญากาย อาจกล่าว แจกแจงได้ พิศดารพันลึกกว่านี้ ก็ย่อมทำได้ ในที่นี้ใคร่เติมอีกหนึ่งตัวอย่าง เพื่อจินตนาการแห่งการเรียนรู้ในเรื่องนี้ให้แก่ผู้สนใจใคร่รู้ เช่นคงกล่าว ได้ว่า อินทรีย์สังวร ก็เป็น ปัญญากาย อันนี้หมายถึง การมีสติกำกับ การเคลื่อนไหว ของร่างกาย จนกระทั่งเกิด ความงดงาม ขึ้นในการยืน เดิน นั่ง นอน ท่านนัท ฮัน เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือของท่านเล่มใดเล่มหนึ่ง กับ วิถีของคนเอเชีย ที่จะกำกับกริยามารยาทของลูกผู้หญิง ท่านว่านั่นเป็น พื้นฐานที่ดีมาก ของ การมีสติกำกับการเคลื่อนไหวของกาย เด็กผู้ชาย ก็อาจม ีการกำกับการเคลื่อนไหวของกาย อยู่พอสมควร ดังจะเห็นว่าเด็กสมัยนี้ กระโดกกระเดกกว่า เด็กสมัยก่อนมาก แม้ว่ายังไม่รู้ จะวางมือไม้ไว้ที่ไหนแล้ว กิจใหญ่กว่า จะทำได้เช่นไร! เราจะเรียก ปัญญากาย ที่ย่นย่อมาจาก สามหน้าแห่งจิต มาพอสังเขปนี้ว่า ศีลสิกขา ได้หรือไม่ อย่างน้อย ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน หรือมีศักยภาพแห่งการกำกับการใช้พลังชีวิตไปในทางเดียวกัน นั่นคือ การขวนขวายเรียนรู้ เพื่อชีวิตอันเป็นกุศล
ปัญญาอารมณ์ หน้ากลางแห่งจิต กับเรื่องราวของสมาธิ
เรื่องปัญญาของมนุษย์ ทั้ง ปัญญากาย ที่กล่าวมาแล้ว และ ปัญญาอารมณ์ ที่กำลังจะกล่าวถึง ตลอดจน ปัญญาความคิด โดยส่วนใหญ่ จะทำงานอยู่ในแบบอัตโนมัติ ด้วย ความคุ้นชินและนิสัย การทำงานแบบอัตโนมัตินี้ มีประโยชน์มหาศาล มิฉะนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ก็คงจะเป็นไปอย่างยากเย็น แต่ด้วย ความเป็นอัตโนมัติ หลายสิ่งหลายอย่างเราจะสามารถทำไปโดย แทบจะไม่รู้ตัว แต่กิจต่างๆ ก็สำเร็จลงได้ เช่นการแปรงฟัน บางทีเราตื่นขึ้นมาแปรงฟันไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยบางครั้งเจ้าตัวอาจจะต้องนึกคิดว่า เราแปรงฟันหรือยัง เป็นต้น แม้แต่การเดิน เมื่อเราหัดเดินได้ตอนอยู่วัยเด็กหัดเดินนั้น เราซึ่งเป็นเด็กก็จะเอาแต่เดิน เพราะนั่น มันเป็นความสุขล้ำของเด็ก ที่จะได้พิชิตดินแดนแห่งการเรียนรู้ใหม่ๆ และตั้งแต่นั้นมา การเดินก็จะเป็นไปโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ก็คือว่าการเดินได้กลายมาเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องตื่นรู้ หากดำเนินไปได้อย่างเป็นอัตโนมัติ ตัวอย่างของการขับรถก็เช่นกัน ถ้าถึงทางแยกหนึ่งที่เราเคยเลี้ยวซ้ายอยู่เป็นประจำ พอมาถึงทางแยกนั้น ถ้าเราไม่ตื่นรู้ขึ้นมาล่ะก็ เป็นอันว่า เราจะเลี้ยวซ้าย ไปทันที อย่างเป็นอัตโนมัติ เรื่องของอารมณ์ก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องของพฤติกรรม กล่าวคือ ความเป็นไปของอารมณ์โดยส่วนใหญ่ ก็จะเป็นไป อย่างอัตโนมัตินั้นเอง เช่นความรู้สึกกับผู้คน สิ่งของ สถานการณ์ สถานที่ เราจะกลับไปในห้วงอารมณ์หนึ่งใด ที่เราเคยรู้สึก เมื่อได้ประสบพบเห็นกับผู้คน สิ่งของ สถานการณ์ หรือสถานที่นั้นเป็นครั้งแรก อันเป็นตราประทับใจเราไว้ เราก็จะตกเข้าไป ในห้วงอารมณ์นั้นอีกอย่างเป็นอัตโนมัติ ถ้าเป็นอารมณ์บวกที่มีรากฐานมาจากความรักและความไว้วางใจก็ดีไป แต่หลายๆ ครั้งเราก็ได้ภาพประทับที่เป็นอารมณ์ลบมา อันมีรากฐานมาจากความกลัวและความหวาดระแวงแคลงใจ
เมื่อบรรยายมาเช่นนี้ เราคงจะเดาได้เองถึงข้อจำกัดของการเป็นไปทั้งทางพฤติกรรมและอารมณ์อย่างเป็นอัตโนมัติ เพราะเมื่อพ้นวัย เปิดออกต่อการเรียนรู้ เราก็แทบจะปิดประตู และหน้าต่างที่จะเปิดออกสู่การเรียนรู้เสียเกือบทั้งหมด อาจจะเปิดไว้เพียงหน้าต่างเล็กๆ ในเรื่องที่อาจจะเป็นการเรียนรู้ในงาน หรือในงานอดิเรกหรือในการเล่น ที่เราชื่นชอบและรู้สึกว่าตนเองทำได้ดี แต่แล้วสิ่งที่เรา มีอยู่ทั้งหมดก็ถูกแช่แข็ง ในแบบแผนความเป็นไปอย่างเป็นอัตโนมัติ ปราศจากการตื่นรู้ที่จะนำพาเราไปสู่การเรียนรู้ใหม่ ดังที่ภูมิปัญญาของคนโบราณจะพูดเอาไว้ว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ชีวิตเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วของเราจึงเป็นไม้แก่ ที่แข็งแต่ไม่แกร่ง ดัดยากและหักง่ายยิ่งขึ้นทุกที เป็นชีวิตที่เปราะบาง ไม่อาจทนทานต่อสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเลย หากเราจะมองความเปลี่ยนแปลงทุกชนิดด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ด้วยฐานแห่งความกลัวและความหวาดระแวง
ตอนนี้จะขอกลับมา ที่เรื่องราวของปัญญาอารมณ์ ตำแหน่งแห่งที่ของมันคือสมองส่วนกลาง เป็นวิวัฒนาการ ที่เรามีมาร่วมกับ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย ดังเราจะเห็นได้ว่า เด็กเล็กจะชอบไดโนเสาร์ เมื่อโตขึ้นมา ในวัยเดียวกับที่สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เริ่มเติบโตเต็มที่แล้วนั้น เด็กจะชอบนิทานหรือเรื่องราวที่มีบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นราชสีห์หรือหมีหรือหมาป่าก็ตาม ในมนุษย์นั้นปัญญาอารมณ์จะเป็นตัวกลางที่สำคัญ ซึ่งเชื่อมโยงอยู่ระหว่างปัญญากายกับปัญญาความคิด ดังที่สมองชั้นกลาง ก็จะเป็นตัวกลางสำคัญที่เชื่อมโยง สมองชั้นในกับสมองชั้น และสมองชั้นกลางนี้เชื่อมโยงกับสมองชั้นนอกโดยผ่านเข้ามาทางสมองซีกขวา ซึ่งจะทำงานไปทางด้านความรู้สึกและการจัดความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน ดังจะทำหน้าที่ไปทางเรื่องของการสร้างสรรค์และศิลปะ ในขณะที่สมองซีกซ้ายจะมีน้ำหนักไปทางเหตุผลและภาษา
แบบแผนของอารมณ์ แบบแผนของพลัง
คำว่า emotion นั้นมาจากคำสองคำ คือ energy + motion แปลความว่าอารมณ์ก็คือพลังที่เคลื่อนไหว บางอารมณ์ของเราโดยเฉพาะอารมณ์ที่เข้มข้นหน่อย ความรู้สึกวูบวาบของการเคลื่อนไหวของพลังในตัวเราจะชัดเจน แต่ในหลายอารมณ์การเคลื่อนไหวของพลังอาจจะไม่เด่นชัดพอที่จะรับรู้ถึงแบบแผนของพลังในกายของเราได้ แต่เรารับรู้อารมณ์ของเราได้ อารมณ์จึงเป็นหน้าปัดบอกให้เรารับรู้ถึงแบบแผนของพลังในกายของเรา
การรับรู้เรื่องแบบแผนของพลังผ่านการรับรู้อารมณ์จะบอกอะไรแก่เราได้บ้าง ถ้าเราจัดประเภทของอารมณ์ อันหลากหลายมากมาย เป็นสองพวกหลัก โดยใช้มูลฐานหลักของอารมณ์เป็นตัวจัดประเภท ก็จะมีอารมณ์อยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มที่หนึ่งก็จะได้แก่ อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่อง “ความรักและความไว้วางใจ” กลุ่มที่สองก็จะได้แก่อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกัน “ความกลัวและความหวาดระแวง” บางทีเราจะเรียกอย่างย่นย่อว่าอารมณ์บวกกับอารมณ์ลบก็ได้ โดยแต่ละประเภทจะมีแบบแผนของพลังแต่ละอย่าง โดยจะมีผลกระทบ กับสุขภาวะและความสามารถในการเรียนรู้แตกต่างกันไปด้วย
จากอารมณ์ฐานความรัก และความไว้วางใจ แบบแผนพลังก็คือ ความมีพลัง กระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า คึกคัก แจ่มใส ตาเป็น ประกาย ร่างกายจะอยู่ในสมดุล สูญเสียพลังงานน้อยที่สุด มีการใช้พลังอย่างประหยัดแต่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ร่างกายจะมีพลัง สำรอง ที่จะซ่อมแซมสิ่งสึกหรอ และฟื้นคืนความกระชุ่มกระชวยให้แต่ตนเองได้
ในด้านการเรียนรู้ อารมณ์ฐานความรักและความไว้วางใจจะเอื้อต่อการตื่นรู้ เข้าสู่สภาวะของการมีสติและสมาธิ จึงเป็นอิสระ จาก ความเป็นไปแบบอัตโนมัติ ตื่นขึ้นมาจัดการกับเรื่องราวต่างๆ อย่างมีสติ ทั้งกับพฤติกรรม อารมณ์และความคิด เป็นเนื้อที่เปิด เป็นความเป็นไปได้ เป็น “ความว่าง” ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จึงเอื้อต่อการเรียนรู้ ทำให้เนื้อที่เปิดออก และทำให้ การเรียนรู้ ที่แท้จริงเป็นไปได้
ตรงกันข้าม จากอารมณ์ที่มีรากฐานมาจากความกลัวและความหวาดระแวง แบบแผนของพลังก็คือความปั่นป่วนสับสน ขัดกันเอง แย้งกันเอง และปีนเกลียวกัน จะมีการสูญเสียพลังสำรองของชีวิตไปอย่างมาก ในความขัดแย้งภายใน และการปีนเกลียวกัน ภายใน ดังกล่าว ร่างกายจะอ่อนล้าไร้พลัง ห่อเหี่ยว อึดอัด ขัดข้อง อันเป็นอาการเริ่มต้นที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนล้า ประสิทธิภาพ ในการซ่อมบำรุงต่ำ และคืนความกระชุ่มกระชวยช้าลง หรือแทบจะไม่ทำงานเอาเลย แน่นอนสภาพเช่นนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้โรคาพาธมา เยี่ยมเยือน ชีวิตย่อมดำรงอยู่อย่างปราศจากสุขภาวะ
ในด้านการเรียนรู้ ฐานอารมณ์ที่มาจากความกลัวและความหวาดระแวง ปิดเนื้อที่แห่งการเรียนรู้ลง ในความกลัวและ ความหวาดระแวง นั้น สมองสัตว์เลื้อยคลานเข้ามาเป็นนายใหญ่ ใช้ความฉลาดของสมองมนุษย์ ใช้ความร้ายกาจของสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ใน ความเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เป็นการตกลงร่องเดิมแห่งอารมณ์ลบ ที่อาจเรียกว่าเป็น “ร่องอารมณ์” จะเหลือคำอยู่เพียงสองคำคือ “หนีหรือสู้” เท่านั้น ความเป็นไปแบบอัตโนมัตินั้นรุนแรงกว่าความเป็นอัตโนมัติในยามปกติ เพราะ “ร่องอารมณ์” จะล็อค หรือ จำขังปัญญาไว้ให้อยู่เพียงเสี้ยวหนึ่งของสมองชั้นกลางและเสี้ยวหนึ่งของสมองชั้นนอกเท่านั้น เป็นการปิดการเรียนรู้อย่างมิดชิด และ รุนแรงยิ่งกว่า ความเป็นอัตโนมัติ ในยามปกติ และเมื่ออยู่ในร่องของอารมณ์เช่นนี้ ก็เหมือนกับคนขับรถที่เหยียบคันเร่งเต็มที่พร้อมๆ ไปกับการเหยียบเบรคอย่างเต็มที่ด้วย เครื่องยนต์คือร่างกายเรานั้นย่อมจะต้องสึกหรออย่างรุ่นแรง โดยการรับรู้เรื่องราวภายนอกตัว (และภายในตัว) อย่างเป็นปกติย่อมหมดสภาพไป อยู่แต่ในโลกแคบของเทปม้วนเก่า อันเป็นถ้อยคำที่เลวร้ายเปิดซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่มีการเรียนรู้ใหม่ใดๆ เกิดขึ้นเลย
ปัญญาความคิด
สมองชั้นนอกคือสมองมนุษย์ ที่เป็นที่มาของภาษาและความคิด ที่มาของภาษานั้นเป็นเรื่องลี้ลับและต้องใช้เนื้อที่ต่างหากจากหัวข้อนี้ ในที่นี้ก็จะขอพูดเรื่องความคิดเป็นเรื่องหลัก
ในการศึกษาในระบบ เราถูกตีกรอบอยู่เฉพาะความคิดแบบพุทธิปัญญาที่ฝรั่งใช้คำว่า intellect เป็นปัญญาแบบตรรกะและคณิตศาสตร์ ใช้ได้ดีกับวิทยาศาสตร์ในกระบวนทัศน์เก่า แต่แม้กระนั้นก็มีประโยชน์มากมายในโลกทางวัตถุ แต่ในสังคมมนุษย์ อันละเอียดอ่อน ซับซ้อน เราต้องอาศัยเครื่องมือคิดที่ละเอียดอ่อนซับซ้อนกว่าพุทธิปัญญา
ถ้าเราสร้างระบบคิด จากกรอบสมมติฐานชุดเดียว ก็เหมือนการขุดหาทองที่ฝังอยู่ในสวน โดยการขุดหลุมเดียว เอ็ดเวิด เดอ โบโน นำเสนอการคิดในแนวนอน เขาเสนอให้ขุดหลายหลุม หรือการหาสมมติฐานหลายๆ ประการ หากรอบหลายกรอบ ไม่ใช่ติดอยู่กับ กรอบเดียว แต่ความคิดก็เช่นเดียวกับ พฤติกรรมและอารมณ์ มักจะถูกจองจำอยู่ในความเป็นอัตโนมัติที่คุ้นชิน มักจะชอบอยู่ใน กรอบความคิด เดิมที่ตายตัว คิดตามเรื่องราวเดิมดุจดังแผ่นเสียงตกร่อง หรือม้วนเทปที่เปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางทีเมื่อเราตกร่องนั้น พฤติกรรม อารมณ์ และความคิดก็จะร่วมมือกันกักขังตัวเองอยู่ในร่องนั้นเอง ความคิดก็ไม่สามารถแหวกกรอบ อารมณ์ก็ถูกกักขัง ดุจดังเป็นทาส พฤติกรรมก็เป็นไปอย่างอัตโนมัติโดยไม่อาจควบคุมได้ และนี่ก็คือที่มาของปัญหาและวิกฤตการณ์ทางสังคมทั้งหมด
ญาณทัศนะ เป็นความคิดด้วยแต่ก็มีที่มาแตกต่างจาก พุทธิปัญญา ตลอดจนการคิดทางแนวนอน หรือ การคิดสร้างสรรค์
ปัจเจกภาพหรือสมุหภาพ
ปัญญาชนชั้นนำ ของโลกตะวันตก เริ่มวิพากษ์ตนเอง เรื่องการให้ความสำคัญ หรือเน้นย้ำ ความเป็นปัจเจกภาพมาก ในขณะที่ให้ความสำคัญกับ สมุหภาพน้อยเกินไป อันที่จริง ภาษาทางสติปัญญา ของโลกสมัยนี้ ไม่เพียงพอที่จะอธิบายเรื่องของสมุหภาพ จึงต้องเป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเปิดเรื่องราวของ สมุหภาพ เข้ามาในเรื่องราวแห่ง ภูมิปัญญา ของมนุษย์ ในปัจจุบัน
บางทีบางคน อาจจะเข้าใจผิดไปคิดถึง เรื่องข้อโต้แย้งระหว่าง ความคิดที่ต้องการ เปลี่ยนแปลงสังคม ที่แบ่งขั้วระหว่าง การเปลี่ยนแปลงที่สำนึก ของคน หรือ จะเปลี่ยนที่ โครงสร้างทางสังคม ซึ่งในที่สุดก็อาจจะไปลงเอยที่การพิสูจน์ทางการปฏิบัติ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ระหว่าง ปัจเจกภาพ กับ สมุหภาพ ที่กล่าวถึงอยู่เลย เพราะทั้งหมดของ การโต้แย้ง ยังอยู่ใน สมมติฐาน ที่มอง มนุษย์ และ สังคมมนุษย์ ด้วย ฐานของปัจเจกภาพ คือเริ่มต้นจากมนุษย์ที่เป็น ปัจเจกภาพ รวมกันขึ้นมาเป็น สังคมมนุษย์ และเมื่อ ปัจเจกบุคคล อยู่ร่วมกัน ก็เกิด โครงสร้างต่างๆ ทางสังคมขึ้น ที่เป็น ระบบทางสังคม ขึ้นมา
อนัตตา อันเป็นหนึ่งในการอธิบาย ความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น และ เป็นไปในโลก ควบกับทุกขา และ อนิจตา รวมเป็น ไตรลักษณ์ เราจะจัดที่ทาง อนัตตา กับ การมองโลก ที่ม ีสมมติฐาน ตั้งอย ู่บน ปัจเจกภาพ ได้อย่างไร การโต้แย้งหักล้างทางความคิด คงไม่ช่วง การวิวัฒน์ทางปัญญา เท่าใด ที่เราจะ เรียนรู้อะไร ได้หรือไม่ จากจุดเด่น (และอาจจะรวมถึงบทเรียนจากจุดด้วย) ของอารยธรรม สองกระแสนี้
ความเป็นตัวตน หรือความเป็นวัตถุ (objects) ไม่ได้จำกัดอยู่ เฉพาะกับ การมองย้อนดูตนเอง ของมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึง การที่มนุษย์หันไปมอง ปรากฏการณ์ต่างๆ รอบๆ ตัวด้วย การแปรปรากฏการณ์ต่างๆ ให้เป็นวัตถุ นั้นเป็นเรื่องของความจำ และ การก่อประกอบโลก ขึ้นมาได้ เพื่อที่วางท่าที และบทบาทที่เหมาะสมกับโลก ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม (ซึ่งนาบธรรมก็เป็นการแปรปรากฏการณ์ทางนามธรรมให้เป็นวัตถุด้วย)
คิดแบบง่ายๆ ก็คือเมื่อมนุษย์จะเกิดมีปัญญาเหนือสัตว์ทั้งหลายนั้น ภาษาได้โผล่ปรากฏขึ้น โผล่ปรากฏคือการก่อเกิดเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เป็นคุณภาพใหม่ของวิวัฒนาการพร้อมๆ กับภาษาคือการทำให้ปรากฏการณ์รอบๆ ตัวมีความหมายในเชิงวัตถุ (objects) ขึ้นมา และเมื่อจัดความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุเหล่านั้น โลกก็ถูกก่อประกอบขึ้นในทางวิญญาณวาท อันเป็นนิกายหนึ่งของมหายาน นั้นอาจกล่าวได้ว่า เมื่อเกิดมีวัตถุขึ้นก็มี “ตัวแทน” และ “ภาพลักษณ์” ของตัวแทนนั้นขึ้น
แต่โลกที่ก่อประกอบขึ้นทั้งหมดนั้น เป็นโลกที่ถูกปรุงแต่งขึ้น มิใช่โลกตามความเป็นจริง แม้โลกตามภววิสัย (objective world) ที่เข้าใจกันก็เป็นโลกที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาปรุงแต่งขึ้นมาตั้งแต่ที่เรามองเห็นอะไรต่ออะไรเป็นวัตถุแล้ว เมื่อเป็นต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขาขึ้นมา ก็เป็นวัตถุขึ้นมาแล้ว เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ขึ้นมาแล้ว
นิทานเซ็นมักจะให้อะไรเราได้มากมาย เรื่องที่คล้องจองกันนี้ก็มีเรื่องเล่า กล่าวคือเมื่อจะเริ่มปฏิบัติธรรม เมื่อยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่นั้น ผู้ปฏิบัติธรรมไปหนักๆ เข้าก็จะเห็นภูเขาไม่เป็นภูเขาและแม่น้ำไม่เป็นแม่น้ำ แต่แล้วเมื่อปฏิบัติไปจนถึงอีกขั้นหนึ่ง เอ! ภูเขาก็กลับมาเป็นภูเขา และแม่น้ำก็กลับมาเป็นแม่น้ำ ก็ การรับรู้ (perception) ทางวิญญาณวาทนั้น มีสามประการคือ ตัวแทน ภาพลักษณ์และตถตา อันหลังสุดคือ ความเป็นเช่นนั้นเอง ซึ่งมาก่อนการปรุงแต่งให้เป็น ตัวแทนหรือภาพลักษณ์ ขั้นที่สองของนักปฏิบัติธรรมนิกายเซน เขาได้เริ่มเห็นความเป็นเช่นนั้นเองที่ไปพ้นตัวแทนและภาพลักษณ์ และเมื่อถึงที่สุดแล้ว เขาก็ยังกลับไปใช้ตัวแทน และภาพลักษณ์อีกครั้ง แต่ด้วยคุณภาพใหม่ คือไม่ยึดติดในตัวแทนและภาพลักษณ์นั้น
ปมเรื่องของปัจเจกภาพ หรือสมุหภาพ ก็อยู่ตรงนี้เองที่ว่าจะตัดความสัมพันธ์โยงใยของสรรพสิ่ง (คำว่าสิ่งตรงนี้ก็เป็น ภาษาของโลกสมมติแล้ว) ออกเป็นห้วงๆ เพื่อก่อเกิดความรู้ความเข้าใจ และก่อเกิดโลกดังที่เราเข้าใจกันอยู่หรือไม่ ทั้งที่แต่ละก้อนแห่งความสัมพันธ์โยงใยนั้น ก็มีความสัมพันธ์โยงใยอยู่ภายใน ที่สัมพันธ์โยงใยกับภายนอกอยู่หลากหลายทิศทาง ที่จริงจะตัดออกมาเป็นก้อนแบบอื่นๆ อีกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตัดเป็นก้อน แบบที่ทำกันอยู่ และจะเห็นได้ว่าต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ธรรมเนียมการตัดเป็นก้อนๆ ก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งจะเป็นที่มาของความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมหรือจะเป็นที่มาของการเรียนรู้ก็ได้ทั้งสองทาง
นี่เองพวกโพส์ตโมเดิน กล่าวว่าการจัดประเภท (categorization) และการนิยาม ก็เป็นการกระทำทางอำนาจ เพราะมันเป็นพื้นฐานของการก่อประกอบโลก การก่อประกอบโลกจะพลิกผันแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการตัดก้อนวัตถุด้วยนิยาม ตลอดจนการจัดประเภทด้วยการนำก้อนวัตถุไปใส่กล่องของประเภทต่างๆ ดังเช่นครั้งหนึ่งที่มีวิวาทะระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ กับ ท่านพุทธทาส เรื่อง โลกุตตรธรรม โดยหม่อมอยากจะเอาธรรมขึ้นหิ้ง หม่อมจะได้ขายเปปซี่ แต่พุทธทาสนั้นเห็นว่า โลกุตตรธรรม มันดำรงอยู่ทุกที่ทุกเวลาในชีวิตโลกๆ ของมนุษย์ ดังท่านจะพูดว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม ดังนี้เป็นต้น
แต่แล้วปัญหา ไม่ใช่อยู่ที่จะนิยาม หรือไม่นิยาม จะจัดประเภทหรือไม่จัด แต่ทำอย่างไรเมื่อแบ่งหรือจัดประเภทแล้ว เราจะไม่ยึดติด การแบ่งหรือการจัดประเภทแบบนั้นอย่างตายตัว อย่างยึดถือเอาจริงเอาจังแบบหัวชนฝา โดยเปิดทาง ให้แก่การแบ่ง และการจัดประเภท อย่างอื่นๆ ด้วย เปิดที่ว่าง ความว่างไว้ให้แก่ความเป็นไปได้ของการแบ่งและการจัดประเภททุกครั้งที่เกิดญาณทัศนะแห่งความรู้ใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ การเข้าสัมผัสกับตถตา (ความเป็นเช่นนั้นเอง) อยู่ตลอดเวลา แม้มีการแบ่งและจัดประเภทใดๆ นั้นถือว่า เป็นอุดมคติของการดำรงอยู่อย่างไม่ยึดติดในการปรุงแต่งใดจนเกินเลย เพื่อดำรงความเป็นอิสระอยู่ได้ตลอดเวลา และพร้อม เสมอกับวิวัฒนาการในก้าวถัดไป!
สมุหภาพและจิตไร้สำนึก
ภาพที่ให้ความกระจ่างชัดที่สุดในเรื่องของจิตไร้สำนึกก็คือภาพของคนนั่งทางใน (ที่จริงเป็นนอนทางในจะถูกกว่า เพราะเขาจะ นอนเวลา จะติดต่อกับสัตภาวะที่สูงกว่า) ภาพที่เขาเขียนขึ้น ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง จิตสำนึกกับจิตไร้สำนึก ได้ง่ายขึ้น และการที่เขาแบ่งจิตไร้สำนึกเป็นต่ำกว่ากับสูงกว่า ก็ช่วยให้เข้าใจคำว่า intuition ของฝรั่งว่าอาจแปลเป็นคำไทย ได้สองคำคือ สัญชาติญาณสำหรับจิตไร้สำนึกที่ต่ำกว่า และญาณทัศนะสำหรับจิตไร้สำนึกที่สูงกว่า ภาพของเอ็ดการ์ เคซี (ชูมากเกอเขียนถึงเขาในแผนที่คนทุกข์ด้วย) เป็นดังนี้
รูปภาพ
ภาพของเคซีนี้ที่จริงเป็นภาพสามมิติ ให้นึกถึงลูกทุเรียนเป็นแบบก็ได้ แต่เมื่อเขียนบนกระดาษแบบง่ายๆ ก็เขียนได้เป็นภาพสองมิติอย่างที่เห็น จากภาพเราจะเห็นว่า จิตสำนึกของมนุษย์ที่เป็นปลายแหลมหรือเป็นติ่งยื่นออกมานั้น จะแยกขาดออกจากกันสำหรับแต่ละปัจเจก แต่ลึกลงไปในจิตไร้สำนึกของมนุษย์นั้นจะเป็นอะไรที่เชื่อมถึงกันตลอดไม่แยกขาดออกจากกัน ทั้งต่ำกว่าหรือสูงกว่า เพราะฉะนั้นการจะมองเรื่องปัจเจกภาพเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่โลกตะวันตกมอง ก็อาจทำได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อโลกตะวันตกให้ความสำคัญกับปัญญาเพียงเสี้ยวเดียวคือพุทธิปัญญาหรือ intellect
ฟรอยด์พยายามปฏิวัติขัดขืน โดยกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องของจิตไร้สำนึก แต่เขาใช้คำว่าจิตใต้สำนึก ทั้งนี้เพราะเขาไปเล่นกับจิตไร้สำนึกในปริมณฑลที่ต่ำกว่า เขาจึงพบพลังทางเพศเป็นแรงขับ ซึ่งก็ถูกต้อง แต่ก็ถูกเพียงบางเสี้ยวเท่านั้น ดังที่ยุงจะแตกออกมาทางจิตไร้สำนึกที่สูงกว่าและมาเล่นกับเรื่องแบบบรรพกาลหรือ archetype เป็นต้น
ทางวิญญาณวาทของมหายานก็พูดเรื่องอาลัยวิญญาณอันเป็นเวิ้งของจิตไร้สำนึกอันยิ่งใหญ่ ภายในอาลัยวิญญาณก็มีพีชหรือเชื้อต่างๆ ของจิตที่อาจบ่มเพาะให้กล้าแข็งขึ้นมาและจะมาปรากฏในมโนวิญญาณ ซึ่งก็คือจิตสำนึกในภาษาของปัจจุบันนี้เอง
รูเปิต เชลเดรก (Rupert Sheldrake) นักชีววิทยากระบวนทัศน์ใหม่ของอังกฤษได้ตั้งสมมติฐานเรื่อง morphic resonance ขอเขาไว้อย่างน่าฟัง morphic resonance นี้เขาเสนอว่าเป็นสนามความทรงจำชนิดหนึ่งที่แต่ละสายพันธุ์จะมีอยู่และใช้ร่วมกันเป็นความทรงจำร่วม ก็คลื่นวิทยุที่มองไม่เห็นยังแปลออกมาเป็นเสียงได้ ความทรงจำนี้ก็อาจมีอยู่ ดำรงอยู่ได้เช่นกัน
ในหนังสือ Marriage of Senses and Soul นั้น เคน วิลเบอ พูดถึงสามขั้นตอนของการแสวงหาความรู้นั่นคือหนึ่งตั้งสมมติฐาน สองปฏิบัติ สามกลับมาคุยกันเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน ประเมินสมมติฐานใหม่ ตั้งสมมติฐานใหม่ แล้วก็ทำซ้ำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือกระบวนการหาความรู้
เดวิด โบห์ม นักทฤษฎีฟิสิกส์โนเบลไพซ์ ให้ความสำคัญกับ dialogue ว่าเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ ในความละเอียดอ่อนของ dialogue แบบโบห์มนั้น เส้นกั้นระหว่างปัจเจกภาพและสมุหภาพเลือนลางไป เขาพูดถึงภาษาและความคิดว่ามีความเป็นสมุหภาพพอๆ กับที่เป็นปัจเจกภาพ เพราะหากไม่มีการสื่อสารสัมพันธ์ ภาษาและความคิดจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?!
แนวโน้มที่สำคัญของงานวิจัยทางสมองอันเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการเรียนรู้ ก็คือการก้าวพ้นกรอบจำกัดของกาลเวลาและสถานที่ของฟิสิกส์แบบนิวตัน อันเป็นฟิสิกส์แบบกลไก ไปสู่ความไม่จำกัดกับขอบเขตของที่ทาง (non-local) และเข้าสู่สถานภาพของคลื่นและข่ายใยในกรอบของควันตัมฟิสิกส์ ดังในหนังสือ The Evolution End ของโจเซฟ ชิลตัน เพียซ เขาเปรียบว่าสมองเป็นมหาสมุทรและสมองทำงานแบบ holographic นั่นคือสมองทั้งสมองทำงานร่วมกันอย่างไม่จำกัดพื้นที่ ผ่านคลื่นในรูปแบบของสนามที่โยงใยถึงกันหมด
ความรู้ต่างๆ ในมิติใหม่ของวิทยาศาสตร์นี้ ได้เปิดพรมแดนใหม่ให้ภาพจินตนาการแห่งไตรลักษณ์ในพระพุทธศาสนาได้บรรเจิด ทำให้เราอาจจินตนาการสภาวะแห่ง “อนัตตา” ได้อย่างกว้างไกล อันทำให้หนทางปฏิบัติและดำเนินชีวิตไปสู่ความเข้าใจใน “อนัตตา” เป็นไปได้มากขึ้น
สมุหภาพกับการก่อเกิดโลก
โลกในที่นี้หมายถึงโลกแห่งการรับรู้ อันที่จริงการวิวัฒนามาสู่ความเป็นมนุษย์นั้นเป็นอีกก้าวหนึ่ง ที่มนุษย์ได้พัฒนาความเป็นสัตว์สังคมขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ภาษา วัฒนธรรม ความคิดและการรับรู้โลกเป็นสมุหภาพมากกว่าปัจเจกภาพ แต่ก็ยังมีปัจเจกภาพอยู่ ความเหลื่อมล้ำของปัจเจก สร้างโอกาสแห่งการสร้างสรรค์และจินตนาการอันอาจไปพ้นกรอบของโลกที่รับรู้ร่วมกัน แต่โดยส่วนใหญ่เราจะรับรู้โลก พูด คิด ดำรงอยู่ไปตามโลกที่สังคมมนุษย์โดยรวมได้สร้างขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ที่อยู่ในโลกเสรีนิยมที่เชื่อในความก้าวหน้าทางวัตถุ ก็จะรับรู้ว่าธรรมชาติแวดล้อมคือทรัพยากรที่จะนำมาใช้ เพื่อพัฒนาความเจริญทางวัตถุให้ยิ่งๆ ขึ้นไป พวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติว่าดำรงอยู่แยกขาดออกจากกันและไม่ได้สัมพันธ์โยงใยกันหรือมองไม่เห็นความสัมพันธ์โยงใยในระบบนิเวศ และแทนที่จะใช้คำว่านิเวศ พวกเขาก็มักจะใช้คำว่าสิ่งแวดล้อมมากว่าเป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็เห็นพวกออกมาต่อสู้คัดค้านการสร้างเขื่อน หรือเขื่อนที่มีอยู่แล้วจะให้เปิดเขื่อน (คือไม่ให้ใช้เขื่อนนั่นเอง) เป็นเรื่องประหลาด เป็นเรื่องของพวกบ้าบอคอแตก และเป็นเรื่องที่ชนชั้นกลางในโลกแบบเสรีนิยมจะเข้าใจไม่ได้เลย แม้จะให้ข้อมูลว่าที่สหรัฐอเมริกาเขาทุบเขื่อนทิ้งไปมากมายเพียงไร เพื่อจะปลดปล่อยอิสรภาพให้แก่สายน้ำอีกครั้ง แม้คำว่าอิสรภาพของสายน้ำก็จะไม่ปรากฏในพจนานุกรมของโลกเสรีนิยม เพราะในโลกเสรีนิยมสายน้ำเป็นสิ่งไม่มีชีวิต หากสามารถวัดเป็นลูกบาตรเมตรได้ และดูว่าจะเอาไปใช้ผลิตไฟฟ้าอย่างไร เอาไปใช้ทางเกษตรกรรมอย่างไร เอาไปป้อนเมืองเล็กเมืองใหญ่อย่างไร
ข้าพเจ้าเคยเฝ้าดูผู้คนที่คิดว่ามีอัตลักษณ์ของตัวเอง เอาเข้าจริงเราจะได้ยินเทปม้วนเดียวกันเปิดซ้ำไปซ้ำมา ดูสิ!! มนุษย์อันมีปัญญาเลิศล้ำ แต่มาจำนนอยู่ในโลกแคบๆ อย่างสมัครใจ นี่ก็คือแรงเฉื่อยของความเป็นสมุหภาพด้วย ถ้าผสานปัญญาสามฐานเข้ามา เราก็มักจะหลบเข้าไปเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ด้วยความรู้สึกสะดวกปลอดภัยในอะไรที่เคยทำกันมาอย่างเป็นประเพณีนิสัย เราไม่ค่อยอยากจะออกมาสู่โลกที่เราไม่รู้จัก โดยเฉพาะเมื่อกลัวและหวาดระแวง เราก็ยิ่งหลบเข้าไปอยู่ในโลกของสัตว์เลื้อยคลาน โดยเตรียมพร้อมที่จะสู้หรือหนี ในสภาวะนั้นสมองก็จะล็อคให้สัตว์เลื้อยคลานเป็นใหญ่ สัตว์ส่วนอื่นก็จะกลับกลายมาเป็นผู้รับใช้ ตรงนี้เองที่มนุษย์แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง แทนที่การใช้ปัญญาญาณอันอาจจะหาคำตอบที่ตอบสนองทุกฝ่าย ทุกพวก ทุกสรรพชีวิตได้
เมื่อมนุษย์ดำรงอยู่ด้วยความกระหายอำนาจและอาณาจักรเฉกเช่นสัตว์เลื้อยคลาน มนุษย์สามารถเอาสมองในระดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและในระดับของมนุษย์มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด ในการโฆษณาขายสินค้า แฟชั่นได้เปิดช่องทางให้ผู้คนได้แสวงหาอัตลักษณ์ แต่น่าเสียดายที่มันเป็นอัตลักษณ์ปลอมๆ ที่ไม่สามารถให้คุณค่าแท้จริงแก่ผู้ซื้อหาได้ กล่าวคือการแสวงหาอัตลักษณ์ในโลกของแฟชั่นก็คือการเป็นทาสบริโภคนิยมดีๆ นี่เอง!
สมุหภาพกับปัญญา
ขอมองธรรมชาติแห่งสมุหภาพในมนุษย์ในมุมมองที่เป็นบวกบ้าง เรามักจะคุ้นเคยกับปัญญาแบบปัจเจก ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดพลาดแต่อย่างใด แต่น้ำหนักจะอยู่ที่ไหนกันแน่ในการแสวงหาปัญญา
ถ้ากลับไปพิจารณาประสบการณ์ของตัวเราเอง และประสบการณ์ของเพื่อนมนุษย์ เราจะเห็นการเริงระบำที่กลับไปกลับมาระหว่างปัจเจกกับชุมชน โดยเฉพาะปัญญาที่จะโผล่ปรากฏในวิกฤติการณ์แต่ละช่วงของมนุษยชาติ เมื่อพระพุทธเจ้าจะละสังขารจากโลกนี้ไป ก็ได้มอบความสำคัญให้แก่คณะสงฆ์ นั่นก็คือชุมชนของผู้แสวงหาทางปัญญา กลุ่มบรูมเบอรี่ที่มีนักเขียน ศิลปิน นักคิดชั้นยอด ก็เกิดขึ้นเพราะการเกาะกลุ่มพบปะกันทุกสัปดาห์ อันเป็นเวทีการปะทะสังสรรค์ทางปัญญาจะเกิดขึ้น
เดวิด โบห์ม นักทฤษฎีฟิสิกส์ที่อาจจะเรียกว่าเป็นทายาทของไอน์สไตน์ ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้จนตกผลึก เขาได้เห็นข้อจำกัดของนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนเขาที่ไม่พูดคุยกัน หากแบ่งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย โบห์มเชื่อเรื่องการสนทนา ที่เขาใช้คำว่า dialogue เขาเห็นว่าการสนทนาเป็นที่มาของความรู้ ในการสนทนานั้น โบห์มให้ความสำคัญกับเรื่องของการเหลื่อมล้ำในความเข้าใจ เช่นเมื่อนายก. พูดและนายข. ฟัง นายข. จะเข้าใจนายก. อย่างไม่เที่ยงตรงนัก แล้วก็จะพูดกลับมา นายก. รู้ว่านายข. ไม่เข้าใจตนนัก แต่ความเข้าใจของนายข. ที่เหลื่อมล้ำออกไปนั้นก็น่าสนใจ ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้อาจจะก่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ประการที่สอง โบห์มให้ความสำคัญกับ “สมมติฐาน” ว่าการสนทนาควรช่วยเผย “สมมติฐาน” ที่ซ่อนเร้นอยู่ เพราะเรามักจะพากันเชื่อว่า ความคิดของเราเป็นสัจธรรม “ความจริงของโลกมันต้องเป็นเช่นนั้น” ในขณะที่มองความคิดของคนอื่นว่าเป็นสมมติฐาน
การมีโอกาสได้รับรู้ว่าความคิดต่างๆ ของเราล้วนมาจากสมมติฐานก็จะเป็นการให้อิสรภาพที่จะเข้าไปดูสมมติฐานอื่นๆ ทำให้สมมติฐานกลายเป็นเครื่องมือในการเข้าใจโลก รับรู้โลก มากกว่าที่เราจะเป็นทาสมันอย่างยอมจำนน
ประการที่สาม แม้ภาษาก็มีข้อจำกัดในการสื่อสาร โบห์มให้ความสำคัญการสื่อสารที่ไปพ้นภาษาด้วย โบห์มใช้คำว่า tacit อันหมายถึงบรรยากาศ ความรู้สึก อากัปกิริยา อันไม่แจ้งชัด หากเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งในการสนทนา ตรงนี้เองที่ทำให้การได้นั่งลงเห็นหน้าเห็นตากันในวงสนทนาจริง จึงมีน้ำหนักกว่าการสื่อสารโดยผ่านสื่อใดๆ
มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาว่า ภาษาในช่วงแรกของมนุษย์ (จาก Hidden Connections ของคราปา) เป็นภาษามือ แล้วจึงจะกลายมาเป็นภาษาที่เปล่งออกมาทางปาก นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาลิงชิมแปนซีกับภาษา แต่ก่อนนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนไปดูที่เสียงที่เปล่งออกมาของลิงชิมแปนซี ซึ่งไม่เป็นภาษา ต่อมานักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังมาจับเรื่องราวของภาษามือ ปรากฏว่าชิมแปนซีสื่อสารกันด้วยภาษามือ และในมนุษย์ส่วนสมองที่ทำงานมากกับการเคลื่อนไหวมือคือส่วนเดียวกับที่ใช้พูด สไตเนอร์รู้เรื่องนี้มาก่อนการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์มาหลายทศวรรษ โดยสไตเนอร์จะเอาการเคลื่อนไหวแขนขามาช่วยในการพูดของเด็กติดอ่าง
ส่วนเด็กเล็กที่เข้าใจภาษาได้อย่างไร? อันนี้นับเป็นความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของความเป็นมนุษย์ และช่วยยืนยันการสื่อสารที่มีมากกว่าภาษาพูด ที่โบห์มใช้คำว่า tacit มาพูดถึงเรื่องนี้ พื้นฐานของภาษาอาจจะมาจากความเคลื่อนไหวร่างกาย ดุจดังการเริงระบำของผึ้ง ก็เป็นการบอกกล่าวกันว่าจะไปหาน้ำหวานของดอกไม้ได้ตรงไหน มีการถ่ายภาพยนตร์ที่มีความถี่ของภาพสูงในเวลาที่คนสนทนากัน การเคลื่อนไหวร่างกายเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเกิดขึ้นทั้งกับผู้พูดและผู้ฟัง
ประการที่สี่ โบห์มกล่าวว่า ภาษาและความคิดมีความเป็นสมุหภาพมกกว่าที่เราคิดกันมาก โดยเฉพาะเรื่องภาษา (คราปาก็เล่าเรื่องชิมแปนซีไว้ว่า ลิงฝูงต่างๆ จะมีภาษาของตนเอง จะไม่ใช่เป็นภาษาร่วมกันในบรรดาลิงชิมแปนซีทั้งหมด) ภาษาไม่ใช่ตัวแทนของความจริง ในทฤษฎีซานตาอาโก มาตูรานาและเวเรลาปฏิเสธแนวคิดเรื่องตัวแทนทางภาษา ทฤษฎีนี้ปฏิเสธ objective reality ความจริงแบบภววิสัย แต่การรับรู้ทั้งหมด เป็นการรับรู้ผ่านการตีความ หนึ่งด้วยอายตนะของสายพันธ์ ดังจะเห็นได้ว่าตาของเราก็ต่างจากตาของสุนัขและตาของเหยี่ยว แล้วบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีตาเล่า พวกมันจะรับรู้โลกอย่างไร? สองในมนุษย์นั้นมีความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังที่นักชีวฟิสิกส์ บรูซ ลิปตัน ได้มาปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขากล่าวว่า perception เป็นตัวกำหนดความเป็นไปของชีวิตและความเชื่อจะมากำหนด perception เราเชื่ออย่างไร โลกก็จะเป็นเช่นนั้น!?
ทฤษฎีซานติอาโก พูดต่อไปว่า มนุษย์ได้สร้างโลกร่วมกันขึ้นมาผ่านวิถีแห่งการรับรู้โลก ภาษาและความคิด โลกจึงเป็นเรื่องสังคมมนุษย์แต่ละสังคมร่วมกันสร้างขึ้นมา และโลกก็เป็นความจริงแบบอัตวิสัยของกลุ่มชน อาจจะมีกลุ่มชนเล็กๆ ในกลุ่มชนใหญ่ ที่มีวิถีการมองโลกที่ผิดแผกออกไปจากกระแสสังคม พวกเขาก็อาจทำได้ แต่จะต้องมีชุมชนเพื่อรองรับการก่อเกิดของโลกใบใหม่นั้นๆ ภาษา ความคิด ไม่อาจดำรงอยู่ในเฉพาะตัวปัจเจกบุคคล เพราะภาษาและความคิดจะก่อเกิดจากการสื่อสารสัมพันธ์ของกลุ่มชน ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อาจเกิดจากปัจเจกบุคคลได้ แต่จะผ่านเปลี่ยนไปสู่ภาษาและความคิด ก็ต่อเมื่อมันมีการสื่อสารสัมพันธ์กันในกลุ่มชนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การโผล่ปรากฏของความคิดใหม่ ที่มีธรรมชาติของความคิดแบบญาณทัศนะ (intuition) นั้น ที่จริงแล้วมันมีความเป็นปัจเจกภาพแค่ไหน? หรือการโผล่ปรากฏในปัจเจกบุคคล ก็เป็นส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะกันมาในกลุ่มชน และเมื่อถึงเวลาพอเหมาะ สถานการณ์พอเหมาะ ภาษาและความคิดอันเป็นตัวแทนของนวัตกรรมใหม่ก็ผุดพรายขึ้นมา จากประสบการณ์ส่วนตัว การผุดพรายขึ้นมานั้นมักจะไม่ได้เกิดขึ้นกับคนๆ เดียวด้วย อาจจะเกิดขึ้นในหลายคนหรือบางคนพร้อมกัน แต่ความสามารถที่จะแปลความเป็นภาษาของปัจเจกบุคคลแต่ละคนก็อาจจะมีความสามารถแตกต่างกันไป
อิสระในการรับรู้โลก
ในการเริงระบำระหว่างปัจเจกภาพและสมุหภาพนั้นได้ก่อประกอบการรับรู้โลกขึ้นมา ทำให้โลกเป็นโลกอย่างที่เรารู้สึกนึกคิดกับมันได้อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในบัดนี้ และในระหว่างการเริงระบำระหว่างคู่นี้ ก็อาจจะมีความว่างและพื้นที่แห่งการมองใหม่ที่ผิดแยกแตกต่างออกไปได้ตลอดเวลา การปรับเปลี่ยนแบบแผนการรับรู้ก็คือการก่อประกอบโลกใบใหม่ อันนี้เองเป็นที่มาของอิสรภาพในการรับรู้โลก
ในขณะเรากำลังจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลกใบหนึ่ง ที่อารยธรรมทางตะวันออกจะถือว่าเป็นโลกมายาหรือโลกสมมติที่ถูกกำหนดขึ้นด้วยภาษาคนนั้น เรามีอิสภาพของความว่างอยู่ อิสรภาพนั้นคือการรับรู้สรรพสิ่งหรือสรรพปรากฏการณ์อย่างเป็นเช่นนั้นเอง แต่เมื่อเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลกแล้วเราก็จะรับรู้โลกอย่างเป็นตัวแทนและภาพลักษณ์ อันเป็นโลกสมมติและโลกมายา แต่การมีอยู่ของโลกสมมติก็จำเป็นที่ทำให้โลกเป็นโลก แม้จะเป็นไปอย่างสมมติ แต่ก็มีตัวแทนและภาพลักษณ์อย่างเป็น สมุหภาพชุดหนึ่งที่ทำให้พูดภาษาคนกันรู้เรื่อง
แต่มนุษย์เป็นจำนวนมากก็ไปติดอยู่กับโลกสมมตินั้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง อย่างเป็นทาส ไม่มีอิสรภาพจากโลกสมมติก็จะเกิดความทุกข์ เพราะโลกสมมติไม่ว่าจะเป็นใบไหนก็ตามอย่างผิดเพี้ยนคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นเช่นนั้นเองไม่มากก็น้อย ถ้าเรามีความว่าง มีพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือโลกสมมติออกไป เราก็จะมีอิสรภาพในการรับรู้โลก
ในยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลง มนุษย์แม้ในสังคมเดียวกันหนึ่งๆ ก็รับรู้โลกกันแตกต่างไปเป็นคนละใบ อยู่ในสังคมเดียว แต่อยู่ในโลกคนละโลก เช่นเวลานี้ ในสังคมกระแสหลักจะเชื่อในเทคโนโลยี เชื่อในการเจริญเติบโตของรายได้มวลรวมประชาชาติ เชื่อในบริโภคนิยม แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งเริ่มมองเห็นโลกที่แตกต่างออกไป พวกหลังนี้ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีแต่ก็เห็นว่าเราสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ และเห็นว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ใช่เป้าหมายในตัวเอง และถ้าไม่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคมและมนุษย์ก็มีความผาสุขได้ พวกหลังเห็นความสำคัญของความยั่งยืนของระบบนิเวศ จึงเห็นว่าการบริโภคแต่พอดี สำคัญกว่าการบริโภคอย่างเกินเลยและความสุขของมนุษย์ไม่ได้อยู่ในส่วนของการบริโภคที่เกินเลยออกไป หากความสัมพันธ์ในสังคมที่ดีจะนำมาซึ่งความยั่งยืนกว่า ทั้งในสังคมมนุษย์และในระบบนิเวศด้วยเป็นต้น
นี่ก็เป็นตัวอย่างโลกสองใบที่แตกต่างกัน ถ้าหากเราไม่เข้าใจในภาษาคนภาษาธรรม และไม่อาจมองเห็นว่าโลกที่เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่นั้น เป็นเพียงโลกสมมติ เราก็อาจขัดแย้งกันอย่างเอาเป็นเอาตายได้ อิสระในการรับรู้โลกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้วิวัฒนาการของมนุษย์เป็นไปได้โดยสันติ
ท่าทีในการรับรู้โลกกับแบบแผนแห่งพลัง
นอกจากโลกใบต่างๆ แล้ว ในโลกแต่ละใบแม้จะรับรู้โลกไปทางเดียวกัน ยอมรับสมมติไปในทางเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องต่างกันในท่าทีต่อการรับรู้โลก ที่แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ๆ ได้สองท่าที คือการรับรู้โลกด้วยความกลัวและหวาดระแวง กับรับรู้โลกด้วยความรักและไว้วางใจ
ตรงนี้เมื่อไปเชื่อมโยงกับปัญญาสามฐาน มันจะไปเกี่ยวร้อยอยู่กับปัญญาอารมณ์ (คือความชาญฉลาดที่จะจัดวางอารมณ์ความรู้สึกที่จะมีต่อโลก อันได้แก่ปรากฎการณ์และผู้คน) อารมณ์ที่แปลจาก emotion และ emotion ตัวนี้แตกศัพท์ออกได้เป็นสองคือ energy+motion ซึ่งก็ได้แก่พลังบวกความเคลื่อนไหว กล่าวอีกนัยหนึ่งอารมณ์คือพลังที่เคลื่อนไหว
เราจะพูดกันติดปากว่า “มีอารมณ์” หรือ “ไม่มีอารมณ์” ในการที่จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร มีอารมณ์ก็คือมี “พลัง” ถ้ามีอารมณ์จะทำอะไร ก็คือมี “พลัง” ที่จะกระทำการนั้นๆ
ทีนี้อารมณ์ก็มีหลายแบบเช่นโกรธ เกลียด รัก ชอบ ตื่นเต้น ตื่นตัว และอื่นๆ อีกมาก อารมณ์แต่ละแบบก็คือการเคลื่อนไหวของพลังแต่ละแบบในร่างกายของเรา รวมทั้งการติดขัดแต่ละแบบของการเคลื่อนไหวของพลังด้วย แต่เพื่อให้เห็นภาพรวมเพื่อประโยชน์ของการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และพลังในชั้นต้น เราจะแบ่งอารมณ์ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือความกลัวและความหวาดระแวงกลุ่มหนึ่ง และความรักกับความไว้วางใจอีกกลุ่มหนึ่ง หรืออาจจะพูดแทนชื่อยาวๆ ว่าเป็นอารมณ์ลบและบวก ลบคือกลัวและหวาดระแวง บวกคือรักและไว้วางใจ
แบบแผนแห่งการเคลื่อนไหวของพลังก็มีสองแบบ คือถ้ามีอารมณ์ลบแบบแผนของพลังก็จะปีนเกลียวและขัดแย้งในตัวเอง ถ้ารุนแรงมากก็จะออกอาการทางกายให้ปรากฏเช่นปวดท้อง จุดแน่นหน้าอก หรือปวดหลังปวดไหล่เป็นต้น ถ้ามีอารมณ์บวก แบบแผนพลังก็จะสมดุลกลมกลืน มีพลังที่จะทำกิจการต่างๆ แบบแผนพลังแบบนี้เป็นแบบเปิด ที่เปิดออกต่อการเรียนรู้ด้วย
บทที่ ๓ อัตโนมัติที่หลงลืมหรือปัจจุบันที่ตื่นรู้
อัตโนมัติในสมองชั้นกลางคือร่องแห่งอารมณ์
ความเป็นอัตโนมัตินั้นดำเนินไปทั้งสามระนาบแห่งชีวิต คือในระดับพฤติกรรม
อัตโนมัติ
นอกจากจะมีการดำรงสามระนาบที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน(หรือขัดแย้งปีนเกลียวกันเป็นบางครั้ง)แล้ว การดำเนินไปในชีวิตมนุษย์ยังเป็นไปในสองรูปแบบ คือตื่นรู้หรือเป็นอัตโนมัติ หรือส่วนผสมของทั้งสองในสัดส่วนต่างๆ ที่เรียกว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น
จิตสำนึกที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเป็นไปของมนุษย์ คล้ายกับว่าเราจะตื่นอยู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองชั้นต้นและชั้นกลาง อันได้แก่พฤติกรรมและอารมณ์ความรู้สึกของเรามักจะเป็นไปโดยที่เราไม่ได้รับรู้อย่างแจ่มชัดแต่อย่างใด คือมักจะเป็นไปแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น และแม้กระทั่งกระบวนการเป็นไปในสมองชั้นนอกเอง เราก็รับรู้ได้เพียงบางเสี้ยวผ่านจิตสำนึก โดยที่ทั้งสามระดับทำงานอยู่ในปริมณฑลแห่งจิตไร้สำนึก
นอกจากนี้ ความเป็นไปทั้งหมดของทั้งสามชั้นที่ซ้อนทับกันอยู่ของมนุษย์จะเป็นไปอย่างเป็นอัตโนมัติเสียโดยส่วนใหญ่
ข้อพิสูจน์ความเป็นไปอย่างอัตโนมัติของสามชั้นแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์สังเกตได้ง่ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นการขับรถ ที่ในขณะที่ขับรถนั้น เราก็อาจจะมีการสนทนากับคนในรถไปด้วยได้ และเมื่อขับรถมา ณ ทางแยกที่เราเคยเลี้ยวซ้ายกลับบ้าน แต่ร้านรวงที่เราต้องการจะไปซื้อของอยู่ขวามือ บางวันที่เราต้องการจะซื้อของ แต่แล้วเราก็หักเลี้ยวไปทางซ้ายมืออย่างเป็นอัตโนมัติ มานึกได้อีกทีก็เลี้ยวมาแล้ว ถ้ายังต้องการซื้อของอยู่ ก็ต้องหักรถกลับมาใหม่
ความเป็นอัตโนมัติอย่างนี้ ในด้านบวก มันช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น และที่จริงมันก็เป็นรูปแบบพื้นฐานของชีวิต ตั้งแต่เมื่อยังเป็นสิ่งมีชีวิตเซลเดียว คือแบบแผนชีวิตโดยส่วนใหญ่ของเซลจะเป็นไปในแบบแผนเดิมที่ซ้ำๆด้วย โดยมีกระบวนการรับรู้ - เรียนรู้ เข้ามาแทรกและปรับเปลี่ยนแบบแผนทำซ้ำเดิมไปทีละน้อย ก็แบบแผนทำซ้ำมันให้ความสมดุลย์ความสะดวกและความมั่นคงแก่ชีวิต มันจึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานอย่างหนึ่งของชีวิต
แต่จะล้างแบบแผนทำซ้ำในระดับพฤติกรรม มนุษย์จะต้องตื่นจากความเป็นอัตโนมัติ และต้องฝืนทำพฤติกรรมอย่างใหม่ซ้ำๆอยู่พักใหญ่ จึงจะสามารถปรับรูปแบบเข้าสู่แบบแผนทำซ้ำอย่างใหม่ได้ และนี่ก็คือกระบวนการเรียนรู้ในระดับพฤติกรรม มีการศึกษาวิจัยกรณีการเลิกยาและเลิกเหล้า ว่าคนที่จะติดจะต้องฝืนทำกิจกรรมที่ไม่ติด อย่างน้อยหกสัปดาห์ จึงจะสามารถหันเหออกจากพฤติกรรมเสพติดได้ แต่แม้กระนั้นก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะบริบทแวดล้อมของคนนั้นๆ ยังอาจนำเขากลับไปเสพอีกได้เสมอ
อารยธรรมในยุคโลกาภิวัฒน์ มนุษย์อ่อนแอในกำลังปัญญากายมาก จึงตกเป็นเหยื่อบริโภคนิยมที่ยังผ่านสื่อต่างๆ การยิงซ้ำๆเข้าไปในความครึ่งหลับครึ่งตื่นแห่งการดำรงชีวิตย่อมได้ผล คนโดยมากที่จะติดบริโภคนิยม ก็คือคนที่พร้อมจะเสพติดสิ่งใดๆ ก็ได้อยู่แล้ว เพียงแต่โยกย้ายหรือเพิ่มเติมการเสพติดจากสิ่งที่อันตรายน้อยไปสู่สิ่งที่อันตรายมาก
แต่พฤติกรรมที่ทำซ้ำ ไม่ได้นำมาใช้ในการรับรู้ - เรียนรู้หรือการปลดปล่อยไปสู่อิสรภาพเลย มนุษย์สมัยนี้จึงใช้และถูกใช้แบบแผนอย่างเป็นอัตโนมัติไปในทางเป็นทาส มากกว่าทางเป็นไท ไปในทางเสพติด มากกว่าจะไปในทางการเรียนรู้
อัตโนมัติในสมองชั้นกลางคือ ร่องแห่งอารมณ์
ความเป็นอัตโนมัตินั้นดำเนินไปทั้งสามระนาบแห่งชีวิต คือ ในระดับพฤติกรรม อารมณ์ และความคิด แต่ในอารมณ์ เมื่อดำเนินไปอย่างหลับไหลไม่ตื่นรู้ และถ้ามีประสบการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น โดยเฉพาะในวัยเยาว์ มันก็จะกลายเป็นแผ่นเสียงตกร่องทางอารมณ์ เมื่อเกิดตกร่องทางอารม์นั้นจะมีกลไกในสมองที่จะล็อคหรือจำกัดเขตการทำงานของสมอง โดยใช้เพียงบางเสี้ยวของสมอง ในอดีตมัน คือ การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากภัยอันตรายที่คุกคามชีวิต ในปัจจุบันมันปฏิกิริยาเกินจำเป็นที่ยังคงตกทอดมา ร่องของอารมณ์ก็ได้แก่ อารมณ์ลบทั้งหลาย เช่น โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา น้อยใจ หรือแม้แต่ความอึมครึมไร้พลัง ก็เป็นร่องอารมณ์ที่มนุษย์จะจมจ่อมอยู่ในมัน ร่องของอารมณ์นี้ก่อให้เกิดแบบแผนของพลังที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี ในสภาวะเรื้อรังก็คือ โรคเครียดเรื้อรังอันเป็นโรคของคนสมัยใหม่ อันบั่นทอนภูมิคุ้มกัน และเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งอันหนึ่ง ที่นำไปสู่การป่วยไข้ ทางด้านการรับรู้- เรียนรู้ เนื่องจากว่ามันจำ…ให้กิจกรรมทางสมองดำเนินไปในปริมณฑลที่มีขอบเขตจำกัดมากๆ การรับรู้ - เรียนรู้โลกความเป็นจริง จึงบิดเบี้ยวอย่างที่เราเรียกว่า สัญญาวิปลาสนั่นเอง เมื่อไม่ได้รับรู้โลกตามความเป็นจริง แต่ไปรับรู้โลกอย่างที่คาดเดาเอาไว้ ก็เท่ากับเป็นการปิดโอกาสการเรียนรู้ และก็เท่ากับการปิดโอกาสของการเปลี่ยนแปลงให้เป็นอิสระ พ้นไปจากร่องของอารมณ์
ร่องความคิดกับเทปม้วนเก่า
ในกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ที่จัดให้กับปะชาชนในวิชาชีพต่างๆ จะมีการตั้งคำถามว่า ท่านเคยอยู่ในวงเหล้าที่คนจำนวนมากมักจะพูดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ดุจเดียวกับการเปิดเทปม้วนเก่า ท่านรู้สึกอย่างไรกับคนเหล่านั้น คำตอบก็คือ น่าเบื่อ แล้วโดยไม่รู้ตัว โดยความเป็นอัตโนมัติที่หลับไหลของท่าน ท่านก็มักเปิดเทปม้วนเก่าของท่านอยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้ไม่ว่า ท่านจะก้งเหล้าหรือไม่ หรือไม่ว่าท่านจะอายุมากหรือน้อย แต่ท่านก็ยังเปิดเทปม้วนเก่าเล่า? อะไรได้เกิดขึ้น
ร่องความคิดจะผูกติดอยู่กับร่องของอารมณ์นั้นเอง เป็นการเน้นย้ำให้น้ำหนักแก่ร่องอารมณ์ยิ่งขึ้น ทำให้การติดร่องของอารมณ์ลึกแน่นขึ้นอย่างยากที่จะถอดถอน ที่จริงมันก็จะผูกติดอยู่กับพฤติกรรมที่ทำซ้ำซากด้วย เช่นพอมีเรื่องขัดใจกับใคร ก็ต้องกินเหล้า หรือพอมีเรื่องกับใครก็พร่ำบ่นเหมือนหมีกินผึ้ง เป็นต้น
ร่องทั้งสาม คือ ร่องอารมณ์ ร่องความคิด และร่องพฤติกรรมจึงผูกพันเป็นสามเกลอหัวแข็งที่ดื้อรั้นและเปลี่ยนแปลงได้ยากยิ่ง ด้วยประการละฉะนี้
การตื่นรู้
การตื่นรู้นี้ เป็นวิถีที่ทรงพลัง เป็นคู่ปฏิปักษ์ที่สมน้ำสมเนื้อกับบรรดาร่องๆ ทั้งหลาย ปราชญ์ ผู้รู้ และนักปฏิบัติ ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้กันมานาน และได้ค้นพบวิธีปฏิบัติที่ได้ผลหลายประการ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ แรกเข้าสู่การตื่นรู้ เมื่อได้รู้สึก สัมผัส และมีประสบการณ์ตรงต่อการตื่นรู้ เป็นครั้งแรก การเข้าสู่สัมผัสแรกนี้ จะได้รับการเกื้อหนุนให้เป็นไปได้มากที่สุด เมื่อมีครูเป็นผู้เหนี่ยวนำ หรือมิฉะนั้นก็มีสังฆะ ที่แปลว่าชุมชนแห่งการเรียนรู้ เป็นตัวเหนี่ยวนำ
พูดเรื่องการเหนี่ยวนำ ก็อาจจะโยงกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันฮาร์ทแมท ในหนังสือ Heartmath Solution ของพวกเขา ได้มีการศึกษาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของหัวใจ ที่มีความเข้มข้นกว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของสมองถึงสี่พันเท่า และครอบคลุมรอบๆ ตัวเจ้าของสามเมตรครึ่ง สมารถเหนี่ยวนำกันและกันได้ ทั้งทางบวกและทางลบ และจึงสามารถเหนี่ยวนำเข้าสู่สัมผัสแรกแห่งการตื่นรู้ได้ด้วย
แบบฝึกหัดเพื่อให้เข้าสู่การตื่นรู้แรกนี้มาได้หลายทาง และถ้าเกิดขึ้นพร้อมๆ ไปกับการมีครู ผู้ตื่นรู้ ดำรงอยู่ร่วมด้วย ด้วยคลื่นหัวใจในรูปทรงทอรัสของท่านที่แผ่ออกมา ที่คลินิกคลายเครียดของ ดร.จอน คาบัต ซิน มหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งแมทสาซูเซต เขาปลุกการตื่นรู้แรกด้วยให้ลิ้มลองลูกองุ่นแห้งสองลูก แต่ไม่ใช่การกิน เคี้ยว กลืนลงคอ อย่างอัตโนมัติที่เรามักจะทำกัน แต่ให้ดูอย่างพินิจ ในหลายแง่มุม ให้ดอมดม และค่อยๆ ปล่อยเข้าปากอย่างมีสติ ค่อยๆ เคี้ยวช้าๆ รับรู้รสและความรู้สึกใดๆ อย่างตื่นรู้ในทุกขณะจิต
สัมผัสแรก ก็อาจจะมาจากโยคะ โยคะ ที่ไม่ใช่เพียงท่ากายบริหาร หากรับรู้ถึงความระริกไหวของการยืดออกจากภายในของท่าอาสนะ กับปราณที่ไหล่เวียนในเส้นสายแห่งพลังในกาย เพราะฉะนั้นการหาครูที่ถูกต้องจึงเป็นอะไรที่สำคัญยิ่งสำหรับครูโยคะ รำมวยจีนก็จะได้สัมผัสที่ตื่นรู้ได้ดีเช่นเดียวกัน กับครูที่เหมาะสม
นักกีฬาหลายคนที่ฝึกฝนจนได้ที่ ก็อาจจะเข้าสู่สัมผัสนี้ได้โยลำพังก็เป็นไปได้ ดังที่ข้าพเจ้าก็เคยได้สัมผัสนี้กับการว่ายน้ำยาวๆ อย่างผ่อนคลาย และเมื่อได้ประสบการณ์ตรงนี้มาแล้ว การบ่มเพาะให้มันขยายปริมณฑลครอบคลุมกาลเวลาแห่งชีวิต ในความหลากหลายต่างๆ ของกิจกรรมก็จะเป็นอะไรที่ค่อยๆ เกิดตามมา เช่นการเดินเพื่อเดิน ล้างชามเพื่อล้างชาม แม้การรับโทรศัพท์ และแม้การพูดคุยงานที่เราจะหลุดเข้าสู่ร่องของอารมณ์ได้ง่ายๆ เราก็อาจนำมาใช้เป็นแบบฝึกหัดตลอดชีวิตแห่งการตื่นรู้เสียฉิบ เราก็จะริบพื้นที่ให้เป็นมงคลแก่ชีวิตได้มากยิ่งขึ้นทุกที
แทรก….บทที่สอง สมุหภาพ
สมุหภาพ : ต่ำกว่าหรือสูงกว่า
เมื่อมองดูรูปกราฟฟิกสองมิติของเอ็ดการ์ เค ซี ที่ตัดภาพมาจากลูกทุเรียนที่เป็นสามมิตินั้น เราจะเห็นว่าส่วนจิตสำนึกเป็นเพียงเวทีให้โผล่ปรากฏของการทำงานต่างๆ ของสมองชั้นต่างๆ อย่างเป็นไปเอง นอกจากนี้ ในการทำงานอย่างเป็นไปเองนี้ ยังเชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์กับคลื่น ที่ รูเปิต เซลเครก นักชีวฟิสิกส์ขบวนทัศน์ใหม่ ตั้งสมมติฐานให้เป็น morphic resanance หรือ morphic field คือ การมีปฏิสัมพันธ์กับปัญญาโดยรวมของมนุษยชาติ แม้กับปัญญาแห่งจักรวาลนี้ที่ นพ.ประสาน ต่างใจ ใช้คำว่า "จิตจักรวาล" อีกด้วย ปัญญาของมนุษย์โดยรวมจึงเป็นสมุหภาพ หรือมีความเป็นหมู่เหล่าด้วย นอกจากจะปรากฏให้เห็นเป็นปัจเจกภาพบนเวทีแห่งจิตสำนึก
ตรงนี้ที่อยากจะพูดให้ชัดก็คือชีวิตร่วมของกลุ่มแบบต่ำกว่า ที่ปรากฏในฝูงชน(mop) และในกองทัพยามสงคราม ก็คือการร้อยเชื่อมของจิตไร้สำนึกต่ำกว่า อันนี้จะพบเห็นได้ง่าย เพราะในแผนที่คนทุกข์ อี. เอฟ. ชูมากเกอร์ ได้เขียนไว้ว่า สตภาวะที่ต่ำกว่าจะหาได้กลาดเกลื่อน แต่สภาวะปัญญาที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่ง แบบเหนี่ยวนำให้เกิดปัญญาและความรักนั้นจะหาดูได้ยากกว่า เพราะนั่นคือการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันของจิตไร้สำนึกที่สูงกว่า ยังการเชื่อมโยงระดับนี้ กลุ่มชนนั้นจะเชื่อมโยงถึงสภาวะธรรมอันสูงส่งด้วย หรือสำหรับศาสนาที่มีพระเจ้า นั่นก็คือการเชื่อมโยงกับพระเจ้าด้วย
ในภาวะของการตื่นรู้พร้อมกันของกลุ่มชน เราก็อาจจะได้สัมผัสกับ การตื่นรู้ของปัญญา และความรักอันเป็นสมุหภาพนี้ อันนี้กระมังที่เป็นที่มาของนักรบซัมบาลาในปรำปราคติของธิเบต อันเป็นกองทัพธรรมที่รบด้วยสันติวิธ
บทที่สี่ เสียงของตน : ประสบการณ์ตรงคือการประกาศสิทธิของพื้นที่ภายใน
เสียงของตน
ถ้าเริ่มต้นจากฟรอยด์ ในชั้นต้นมันก็คือการค้นหาอีโก(ego) ในท่ามกลางแรงขับดันพื้นฐาน(id) กับซูเปอร์อีโก ที่มีเสียงที่มีอำนาจของพ่อเป็นตัวแทน ใน Intimate Journey เจมส์ บูเยลทาล ได้คืบต่อไปอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือ บูเยลทาล พูดถึงเนื้อที่ภายใน …..(แทรกมณฑลแห่งพลัง หน้า 8-9)
พื้นที่ภายใน ความหมายทางความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
ในกิจกรรมเรียนรู้กระบวนการ ถ้าจะได้มาซึ่งการเรียนรู้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในที่แท้จริง ผู้เข้าร่วมจะต้องเข้ามาครอบครองเป็นเจ้าของตัวกิจกรรมนั้นๆ ที่เกิดขึ้น ตราบใดที่ยังมีโครงสร้างทางอำนาจแฝงเร้น หรือซ่อนทับอยู่ กระบวนการเรียนรู้ก็อาจจะไม่เกิด เพราะผู้คนก็เข้าไปในกรอบเดิมของตัวแทนและภาพลักษณ์ อันเป็นโลกที่ถูกกำหนดมาให้ไว้เป็นอย่างนั้นแล้ว เป็นที่ๆ ไม่เปิดโอกาสให้สำหรับประสบการณ์ตรง และการตีความของตนเอง
การอธิบายอย่างให้เห็นเป็นภาพ ก็คือการสถาปนาชมรมคนถอดหมวกขึ้น โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ทุกคนจะต้องถอดหมวกแห่งสถานภาพทางสังคมของตนไว้ตรงประตูเข้า ทุกคนจะเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วยความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ประการที่สอง การสนทนาที่เกิดขึ้นใดๆ จะไม่มีผิดถูก ทุกถ้อยคำจะเติมเข้ามาเพิ่มพูนให้กับประสบการณ์และการเรียนรู้ของกลุ่ม ในทางปฏิบัติ
หากเราสามารถจัดกระบวนการที่ผู้เข้าร่วมไว้วางใจว่ามีการถอดหมวกจริง และคำพูดของเขาหรือเธอจะไม่ตัดสิน พวกเขาก็จะค้นพบเสียงของตน ที่สำแดงออกซึ่งเนื้อที่ภายในของตน ซึ่งเป็นการกู้คืนความเป็นประธานกลับคืนมา
โจทย์อีกประการหนึ่งที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ดีก็คือ ทำไม? เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ให้พลัง ทำให้มีพลังที่จะไปสานความฝัน แต่แล้วเมื่อกลับไปไปทำงานในองค์กรเมื่อไม่ช้านาน พลังเหล่านั้นก็หุบเหี่ยวลงตามเดิม จริงอยู่ปัจจัยที่อาจทำให้พลังหุบเหี่ยวอาจจะมีมาได้หลากหลายหนทาง แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ก็คือการกลับเข้าสู่ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบเดิม เสียงของเขาพื้นที่ภายในของเขา ถูกกดทับให้เลือนหายไปอีกครั้งหนึ่ง คุณลักษณะพื้นฐานชีวิตอย่างหนึ่งก็คือ การเป็นองค์กรจัดการตนเอง แต่ถ้าพื้นที่ที่เปิดออกให้เกิดการจัดการตนเองไม่มี ชีวิตก็วิปลาสนาไป เมื่อไม่มีชีวิตก็ไม่มีพลัง
การเผชิญหน้าระหว่างประสบการณ์ตรงกับตัวแทนและภาพลักษณ์
ใน Uncommon Wisdom ของคาปรา เขาพูดกับ อา ดี แลง กับการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ตรง ในโลกที่เราให้ความสำคัญกับการรู้ภาษาและการศึกษา เราได้ให้น้ำหนักกับการเรียนรู้ตำราอย่างเกินพอดี โลกแห่งประสบการณ์ตรง จึงถูกครอบคลุมด้วยหมอกหม่นของโลกแห่งความรู้ หรือแม้กระทั่งโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้จึงไม่มีความหมายหากมันกลายเป็นวัตถุที่ตายไปแล้ว มันกลายเป็นรูปทรงอันแห้งแข็งของสิ่งที่คิดว่าได้บรรจุความรู้ไว้ภายใน แต่แล้วก็เหลือแต่กรอบแข็งภายนอก โดยความรู้ที่แท้จริงได้แอบหนีไปตั้งนานแล้ว ตัวแทนและภาพลักษณ์ก็คือกรอบโครงภายนอกของความรู้เทียมๆทั้งหลาย ความรู้ที่ไม่สามารถสืบค้นกลับไปที่ต้นเค้าของประสบการณ์ตรง จึงกลายเป็นความรู้ที่ตายแล้วและจึงขาดพลังที่จะขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า และกลับเข้ามากดทับและขวางกั้นต่อการที่มนุษย์จะเข้าไปเผชิญหน้ากับตัวประสบการณ์จริงใดๆ
ตัวแทนและภาพลักษณ์ได้ก่อประกอบโลกอย่างที่รู้แล้วอันเป็นโลกแห่งความตายที่ปราศจากชีวิต เราได้ยึดกุมความตายเอาไว้ เพราะมันเป็นโลกที่เรารู้จักมักคุ้น
ในขณะที่โลกแห่งประสบการณ์เป็นโลกแห่งความไม่รู้ ดูน่ากลัวและไม่สะดวกสบาย การอยู่อย่างปราศจากชีวิตและไร้พลังดูจะทนได้มากกว่าจะต้องก้าวไปสู่โลกแห่งความไม่รู้ แม้ในโลกที่รู้จะยืนอยู่ไม่ได้มั่นคง และจะไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวเองเลยก็ตาม
การเรียนรู้ที่แท้จริงจะเกิดกับการเปลี่ยนแปลงการรับรู้โลก
การศึกษาผิดทางทั่วไปเกิดจากการก่อประกอบโลกใบเดิมจากพื้นฐานของการรับรู้แบบเดิม ทำไมในเมื่อมีข้อมูลข้อเท็จจริงมากมายที่ล้นเกิน บอกเราว่ากระบวนทัศน์เก่ามีปัญหาอย่างเลวร้ายที่สุดอย่างไร และมนุษย์จะไม่สามารถอยู่รอดได้ หากยังดำเนินไปในวิถีทางเช่นเดิม แต่แล้วผู้ที่อยู่ในกระบวนทัศน์เก่าก็ยังดำเนินชีวิตไปในและการงานไปเช่นเดิม โดยไม่อาจมองเห็นความหมายที่แท้จริงของข้อมูลและข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้ การรับรู้โลกนั้นหากแปรเปลี่ยนไป โลกก็จะเปลี่ยนไป และวิถีทางการดำเนินชีวิตทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไป ดูจากแบบฝึกหัดง่ายจากรูปนี้ เรามองเห็นอะไร?
เราอาจจะเห็นหรือรับรู้รูปภาพนี้ได้สองแบบ แบบหนึ่ง เราจะเห็นเป็นเชิงเทียน แต่อีกแบบหนึ่ง เราจะเห็นคนสองคนเผชิญหน้ากัน อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ถ้าเห็นเชิงเทียน ก็ไม่เห็นคนสองคน ถ้าเห็นคนสองคนก็จะไม่เห็นเชิงเทียน เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่า หากนักเศรษฐศาสตร์ยัง มองธรรมชาติเป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจ พวกเขาก็ยังจะมองไม่เห็นระบบนิเวศ และเมื่อมองไม่เห็น ระบบนิเวศ พวกเขาก็ยังสร้างนโยบายอันมีผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อระบบนิเวศได้ตลอดเวลา เราต้องการพื้นฐาน ของการรับรู้ แบบนิเวศ เราจึงอาจสร้างโลกที่มีความสมดุลย์ทางระบบนิเวศขึ้นมาได้ คราปาจึงได้ตั้งศูนย์แห่งการส่งเสริมการรู้ภาษาในระบบนิเวศ (eco-literacy) เพื่อจะสร้างเสริมการรับรู้ใหม่ให้เกิดขึ้นกับคนในโลก
ประสบการณ์ตรงเป็นรอยต่อที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงการรับรู้โลก
ถ้าเรารับรู้โลกผ่านตัวแทนและภาพลักษณ์เดิมๆ เราก็จะรับรู้โลกใบเดิม เราก็จะไม่อาจมองเห็นโลกใบใหม่ได้ การจะมองทะลุผ่านตัว และภาพลักษณ์อย่างเดิม ออกไปได้ เราจะต้องรับรู้โลก "อย่างเป็นเช่นนั้นเอง" หรือตามศัพท์บาลีที่ว่า "ตถตา" แต่สิ่งนี้จะเป็นไปได้ใน การปฏิบัติธรรม โดยการตื่นรู้กับ กาย เวทนา สภาวะจิตใจ หรือในธรรม(ความคิด) กับกายก็เช่นกับลมหายใจที่เรียกว่า อานาปานสติ เป็นต้น ตื่นขึ้นกับการรับรู้และการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ จนกระทั่งลมหายใจกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เป็นสอง คือไม่แยกเป็น ประธานกับวัตถุ แต่ประธานกับวัตถุก็คือตัวประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งนั้น ถ้าฝึกเช่นนี้กับกิจกรรมทุกอย่างในชีวิต โอกาสที่จะรับรู้สิ่งต่างๆ ปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างเป็นเช่นนั้นเอง ก็จะเปิดออกให้เรา
ในโลกของการปฏิบัติธรรมแบบสามัญชน ที่ไม่คุ้นกับบาลีและยังไม่อยากคุ้น การรับรู้สองแบบ ก็คือ ประสบการณ์ตรงกับความรู้ เราเรียนรู้ที่จะเชื่อและวางใจในโลกแห่งความรู้ จนกระทั่งเราไม่มีโอกาสจะตั้งคำถามกับความคับแคบของโลกแห่งความรู้ เรามักจะ ปฏิเสธ "ประสบการณ์" ของตนเองและคิดว่ามันเป็น "อัตวิสัย" ที่ไม่มีข้อยืนยันจากโลกของความรู้ แต่แล้วถ้ามนุษย์ จะวิวัฒนาต่อไป เราจะต้องเคลื่อนการรับรู้โลก และไม่อาจจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ และรอยต่อที่จะก่อให้เกิด ความแตกต่างในการรับรู้โลกได้ก็คือ "ประสบการณ์ตรง" นี้เอง
บทที่ห้า ความว่าง
"ความว่างไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นโอกาสและความเป็นไปได้ เป็นความยืดหยุ่นที่ไม่ติดอยู่ในโลกแคบแห่งการรับรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เห็นความหลากหลายแห่งความเป็นไปได้ของการรับรู้ใหม่"
อยู่กับโลกอย่างไม่ติดข้อง
ความว่าง คือ สภาวะที่มองเห็นความโปร่งพรุนในบรรดาสรรพสิ่ง เห็นความเคลื่อนไหวเลื่อนไหลภายในกรอบแคบของตัวแทนและภาพลักษณ์ เห็นโยงใยสัมพันธ์และความเป็นกระบวนการ ข้ามพ้นกรอบแคบของอัตตาของสิ่งต่างๆ ปรากฏการณ์ต่างๆ เมื่อสลายอัตตาออกไปแล้ว ก็คือการมองทะลุข้อจำกัดของมายาการ อันได้แก่การมองว่า มีโลกอยู่ภายนอกอย่างเป็นภววิสัย (objective world) โลกดำรงอยู่เพราะมีการรับรู้ การรับรู้ต้องผ่านอายตนะที่มีข้อจำกัดอันเชื่อมโยงกับวิวัฒนาการทางชีวภาพของมนุษย์ ภาษาและความคิดที่เป็นส่วนต่อแห่งศักยภาพของอายตนะ ก็คือ การอ่าน ตีความ กำหนดชื่อ จดจำ สร้างความสัมพันธ์และความหมาย อันเป็นการก่อเกิดโลก ก็มีข้อจำกัดโลกใดๆ ด้วยการรับรู้ใดๆ ล้วนมีข้อจำกัดทั้งสิ้น สัจธรรมอันตายตัว อยู่ต่างหากจาก "แก่น" ของการรับรู้ไม่มี การเห็น ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เห็นกับสิ่งที่เห็นโลกภายนอกเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ความสัมพันธ์ผ่านอายตนะ ผ่านภาษาและการตีความ ได้ไปหยิบจับแง่มุมหนึ่งแง่มุมใดขึ้นมา แล้วก็ปรุงแต่งตีความการรับรู้มุมใดมุมหนึ่งนั้น แล้วบางทีก็ไปยึดเอาว่า โลกที่อยู่ข้างนอกนั้นน่ะ มันเป็นอย่างนี้อย่างนั้น บางทีการเดินทางก็มีโอกาสได้รับรู้ว่า เรื่องราวต่างๆ ของการมองโลก เข้าใจโลกและให้ความหมายกับโลกนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปอย่างที่เราเห็น เข้าใจและให้ความหมาย ชั่วขณะหนึ่งแห่งการตระหนักรู้อันนี้สำคัญมาก มันเปิดเนื้อที่ของความเป็นไปได้ คือ "ความว่าง" ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ "การเดินทาง" จึงมีความหมายต่อชีวิตเป็นแง่มุมของการศึกษาที่แท้จริงขึ้นมาได้
บางทีตัวเราละเอียดอ่อนละมุนละไมขึ้นในการรับรู้โลกของเรา เราจะเห็นว่า แม้กลุ่มคนในสังคมและวัฒนธรรมเดียวกัน ก็อาจจะตีความแตกต่างกันในการรับรู้โลกได้ โดยชุมชนต่างๆ ที่มีความสนิทสนม มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเสมอๆ ก็สามารถก่อรูปการรับรู้โลกที่ต่างออกไปจากกลุ่มชนอื่นๆ การเปิดใจกว้าง แทนที่จะไปด่วนตีตราและสรุปความเป็นไปของผู้คน ก็ช่วยให้เกิดปัญญา ช่วยให้กรอบแห่งการรับรู้กว้างขึ้น มีเนื้อที่ที่จะอาจจะหลุดจากกรอบบ้าง ในชั่วขณะจิตที่เรียกว่า "ความว่าง" นี้
การสนทนาแบบโบห์ม ก็ออกแบบมาเพื่อการณ์นี้เช่นเดียวกัน เมื่อกลุ่มคนในจำนวนที่แน่นอน เข้าร่วมการสนทนาแต่ละครั้งอย่างมีเวลายาวนานพอ (สามชั่วโมงขึ้นไป) และมีเวลาที่แน่นอน(เดือนละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง เป็นต้น) ที่จะกลับมาสนทนากันอีก พูดคุยกันได้ทุกเรื่องราว ไม่มีโครงสร้าง และกำกับการสนทนาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีกติการ่วมกันว่า จะไม่โต้แย้งเอาชนะ ไม่ต้องหาข้อสรุป แต่เปิดเนื้อที่ให้ทุกคน และช่วยเหลือเกื้อกูลให้แต่ละคนได้เห็น "สมมติฐาน" ที่อยู่เบื้องหลังความคิดของแต่ละคน
ก็สมมติฐานนี่แหละที่เป็นกรอบของการรับรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง และวงสนทนานั้น ก็เรียนรู้ข้อจำกัดของสมมติฐานต่างๆ และเริ่มเห็นว่าสมมติฐานเป็นสมมติฐาน ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริงที่แข็งตัว ความอ่อนตัวลงของการยึดติดกับความเชื่อ โดยไปถือว่ามันเป็นสัจธรรมก็จางคลายลง ความเป็นไปได้ของการรับฟังผู้อื่น แง่มุมของสมมติฐานอื่นๆ ก็เปิดออก ก่อให้เกิดพื้นที่ว่าง หรือ "ความว่าง" อันเปิดออกเพื่อความเป็นไปได้ของการเรียนรู้ที่แท้จริง
การฟังอย่างลึกซึ้งและความว่าง
ถ้าเราได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ของสุดยอดฝีมือระดับโลก เราจะได้พบกับแบบฝึกหัดของการฝึกฝนการฟังอย่างมีคุณภาพ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง รวมทั้งการปฏิบัติธรรมของคุรุใดๆ ด้วย การฟังอย่างมีคุณภาพจะเข้ามามีบทบาทเสมอ
ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้ามีโอกาสแปลการบรรยายของเบน เชอรี่ ที่มูลนิธิอนุบาลบ้านรัก เขาพูดถึงการฟังโดยตรง เขาบอกว่ามนุษย์จะฟังได้ดี อารมณ์ต่างๆ ที่พุ่งพล่านมาจากช่องท้องจะต้องเงียบเสียงลง เขาพูดพร้อมกับทำท่าทางที่แสดงให้เห็นว่า อารมณ์ต่างๆ มันพวยพุ่งขึ้นมาได้อย่างไร แล้วมันมาปะทะกับเสียงที่จะเข้ามาอย่างไร ต่อเมื่ออารมณ์ต่างๆ ของเราสงบลง เราจึงจะรับฟังได้ และการรับฟังก็คือการหลอมรวมเป็นหนึ่ง ก็คลื่นที่ผู้พูดส่งออกมา โดยไม่คิด เพียงความคิดเล็กๆ ก็จะลบบทบรรยายบางตอนออกไปทันที การดำรงอยู่กับปัจจุบันขณะจึงมีความหมายมากกับการฟัง
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้านำมาใช้ตลอดเวลาในกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่ม ก็คือเมื่อใดก็ตามที่เป็นโอกาสของการฟัง ก็จะฟังอย่างลึกซึ้ง คือจะปลุกความตื่นรู้ ดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ และรับฟังโดยไม่คิด ไม่ตัดสิน แต่เป็นการฟังที่รับคลื่นของการดำรงอยู่ของผู้พูดทั้งมวล อย่างไม่มีการตรวจแก้ ตัดแต่ง แน่นอนผลที่เกิดขึ้นจากการฟังเช่นนั้น ย่อมมีมากมายมหาศาลกับกลุ่มชนที่เข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน และโดยเฉพาะผู้พูด
สมดุลระหว่างการกำกับกับการเฝ้าดู
เมื่อชีวิตและโลกมีความลี้ลับแห่งความไม่รู้และความเป็นไปได้อย่างสุดคณานับ การเฝ้าดูจึงเป็นโอกาสพิเศษแห่งการค้นพบ แต่ในชีวิตเราจะคุ้นชินกับการกำกับ เรามักจะต้องการกำกับทุกเรื่องให้เป็นไปตามความต้องการของเรา
"เจตจำนงก็เป็นมายา" นี่คือคำกล่าวของท่านเชอจียมตรุงปะ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาโรปะ มหาวิทยาลัยของชาวพุทธในสหรัฐอเมริกา ในเรื่องของศูนย์พลังศูนย์ ศูนย์ที่ 5 อยู่ที่กล่องเสียง อันเป็นศูนย์ของเจตจำนง และเมื่อถึงเวลาหนึ่ง วัยหนึ่ง แม้เจตจำนงของเราก็ต้องยกให้กับพระเจ้า ยกให้คุณงามความดีที่สูงส่งและยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการศิโรราบ นั่นคือการยอมแพ้ หมอบราบคาบแก้ว
ประสบการณ์ของปฏิบัติธรรมก็จะพบกับการจะต้องแสวงหาความสมดุลย์ระหว่างการกำกับกับการเฝ้าดู ลึกลงไปเรามักจะต้องการผลสำเร็จ และเราก็พยายามกำกับเพื่อให้ได้ผลสำเร็จนั้น แต่ถ้าหากไม่มีสมดุลย์ที่เหมาะสมของการเฝ้าดู การกำกับที่ใช้พลังมหาศาล ก็ไม่อาจก่อผลวิเศษอันใดได้
เวลาเล่นโยคะก็เหมือนกัน ถ้าเราเล่นโยคะโดยตั้งใจยืดเส้นสายต่างๆ บิดดัดท่าต่างๆ มันก็เป็นเพียงการออกกำลังกายจากภายนอก และผลพวงของโยคะ ก็ไม่ได้อย่างเต็มเม็ดหน่วย แต่ถ้าเราถอยออกมาเฝ้าดูสักนิด เฝ้าดูให้การยืด บิด ก่อเกิดขึ้นภายในออกมา สู่ภายนอก ตรงนั้นเอง ที่เราได้เข้าถึงความลี้ลับของโยคะ ที่กายกับจิตหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ชีวิตก็เช่นเดียวกันนั้นเอง แทนที่จะกำกับเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตอย่างสับสนอลหม่าน เพียงถอยออกมาสักหน่อย ปล่อยให้ชีวิต ไหลเลื่อน ไปเองบ้าง ก็จะเห็นในมหัศจรรย์ของการจัดการตนเองของชีวิต ระนาบต่างๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่ ก็จะเชื่อมโยงติดต่อกันเองอย่างเป็นอิสระ (กาย อารมณ์ ความคิด) และใช้พลังงานอย่างพอเหมาะพอดีที่จะเคลื่อนคล้อยเลื่อนไหลไปได้อย่างสง่างาม
บทที่หก เผยออกและเยียวยา
จาก The Web of Life ของคราปา ชีวิตคือข่ายใยแห่งการเรียนรู้ ความเป็นข่ายใยของชีวิตก็โยงใยอยู่กับข่ายใยในระบบนิเวศ โดยมี กิจกรรมพื้นฐาน คือการเรียนรู้การเรียนรู้นั้น ถูกผนวกเข้าไปใน โครงสร้าง แบบแผนและกระบวนการในข่ายใยของชีวิต ที่เรียกว่า การจับคู่ทางโครงสร้าง ชีวิตหนึ่งๆจึงมีการบันทึกประวัติการเรียนรู้อยู่ในชีวิต การเรียนรู้ที่สั่งสม จนมีการผ่าน เปลี่ยนอย่างมี นัยสำคัญ นั้น ก็จะเป็นวิวัฒนาการดังนั้น โดยพื้นฐานแล้ว ชีวิตจะเรียนรู้และวิวัฒนาอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ และวิวัฒนา เป็นธรรมชาติพื้นฐาน ของชีวิต
แต่การเรียนรู้และวิวัฒนาบางอย่างก็กลายมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการเรียนรู้ นั้นก็คือยุคสมัยที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ต้องเรียนรู้ ที่จะเอาชีวิตรอดจากสัตว์ที่มีเขี้ยวเล็บ การเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เมื่อภัยมาถึง กลไกของชีวิตและสมองได้เข้าสู่แบบแผนหนึ่ง ที่เป็นประในการต่อสู้หรือหนี กลไกนั้นได้ดึงพลังทั้งหมดให้รวมศูนย์อยู่กับการต่อสู้หรือหนี ในช่วงขณะนั้น ชีวิตหยุดเติบโต หยุดเรียนรู้ และหยุดเยียวยารักษาซ่อมแซม แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์สามารถจัดการกับ ภัยคุกคามเช่นนั้นได้แล้ว กลไกแห่งการเตรียมพร้อม เช่นนั้น ก็ยังคงอยู่ โดยผูกโยงอยู่กับแบบแผนชีวิตแห่งความกล้าและความหวาดระแวง
แบบแผนชีวิตสองแบบ
แบบแผนชีวิตสองแบบนี้ ผูกโยงอยู่กับแบบแผนของพลังสองแบบด้วย แบบแผนของพลังแสดงออกได้ชัดแจ้งในแบบแผนของอารมณ์ คืออารมณ์ลบกับอารมณ์บวก หรือ ความกล้าและหวาดระแวงพวกหนึ่ง กับความรักและความไว้วางใจพวกหนึ่'
โดยปกติชีวิตจะทำงานอย่างเป็นอัตโนมัติอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น และจะสร้างสมพฤติกรรม อารมณ์ ความคิดต่างๆ อย่างไม่รู้ตัว อย่างปราศจากความตื่นรู้ เราก่อประกอบโลกขึ้นมา เป็นวัฒนธรรม วิถีปฏิบัติต่างๆ และโดยไม่รู้ตัว เราก็ก่อโลกขึ้นมาจากความกลัวและความหวาดระแวงไม่น้อย สถาบันทางสังคม อันเป็นส่วนหนึ่งของการก่อประกอบโลกขึ้นมา มีความกลัวและความหวาดระแวงเป็นรากฐาน เช่น ระบบเศรษฐกิจที่คิดว่าทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด(scarcity) และกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็คือการช่วงชิง ระบบโรงเรียนที่ผลิตคนขึ้นมาเพื่อการแข่งขันเงินตราและทรัพย์สินเป็นเรื่องของสถานภาพ และกลายเป็นจุดหมายในตัวของมันเอง ผลิตผลจึงกลับกลายเป็นศัตรูกับมนุษย์ การแข่งขันทำให้มนุษย์แปลกแยกจากกันและกัน ตลอดจนแปลกแยกกับตัวเอง
ความขึ้งเครียด การดำรงอยู่ในความเครียดเรื้อรังเหล่านี้ เป็นปัจจัยอันใหญ่หลวงที่ทำให้มนุษย์ป่วยไข้ ทั้งป่วยกายและป่วยใจ แต่แล้วในปัจจุบันการแพทย์กระแสหลักก็เน้นที่การรักษาทางอาการ ด้วยยามากกว่าที่จะเข้าใจสาเหตุของโรคอันสลับซับซ้อนกว่านั้น ยาก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่แปลกแยกกับมนุษย์อีกหนึ่งอย่าง เพราะยาถูกผลักดันด้วย ความต้องการกำไรของบรรษัทยามากกว่า ความต้องการเยียวยามนุษย์และสังคมมนุษย์อย่างแท้จริง
มนุษย์ควรจะต้องกลับมาหาภารกิจอันแท้จริงของชีวิต ดังที่ท่านติช นัท ฮัน ใช้คำสองคำว่า reveal กับ heal ซึ่งแปลว่าความ เผยออกและรักษา อันเป็นกิจกรรมที่หลอมรวมการศึกษาและวิถีแห่งการดูแลสุขภาพเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
องค์ประกอบของการเยียวยาในการเผยออก
การเรียนรู้อะไรใหม่ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ถ้าหากบุคคลยังติดอยู่ในร่องอารมณ์ ร่องอารมณ์ เป็นกลไกหนึ่ง การปกป้องตนเอง ของมนุษย์ ที่ตกค้างมาจาก ความจำเป็นในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ร่องอารมณ์นี้ มีร่องของ ความพฤติกรรม และร่องของ ความคิด เกี่ยวร้อยผูกพันรองรับอยู่ด้วย ทั้งสามร้องทำนองเดียวกัน และจำขังมนุษย์ไว้กับที่ และไม่สามารถเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้
นี่เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมเมื่อมีการฝึกอบรมหรือกิจกรรมการเรียนรู้หนึ่งใด ก็ได้มีการพูดคุยกันแล้ว เข้าใจกันแล้ว แต่แทนที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผู้คนกลับพากันปฏิบัติกันอย่างเดิม นี่แสดงว่า การเรียนรู้อย่างผิวเผินในระดับพุทธิปัญญาหรือ intellectนั้นไม่สามารถเยียวยาปมเงื่อนแห่งร่องอารมณ์ได้ และปมเงื่อนแห่งร่องอารมณ์นี้ พันธนาการมนุษย์ไว้แน่นหนากว่าที่เรานึกคิดไว้มาก
แต่ในทางกลับกันการเผยออกซึ่ง เรื่องราวของร่องอารมณ์ การทำงานของมัน และคณะทำงานของมันได้แก่ร่องพฤติกรรม และร่องความคิด ก็ทำให้ผู้คนตื่นรู้และตื่นตัวยิ่งขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับร่องอารมณ์
อีกประการหนึ่งร่องอารมณ์อาศัยหลืบมืดของอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น และกระทำการในความเป็นแบบอัตโนมัติ ความตื่นรู้ จึงเป็นคู่กรณี ที่สำคัญ การเจริญสติ อบรมสมาธิ อย่างที่จะเข้ามามีชีวิตชีวาในชีวิตประจำวัน จึงเป็นการแก้ลำร่องอารมณ์อย่างมีน้ำหนัก ในกิจกรรม การเรียนรู้ การสอดร้อยการตื่นรู้เข้ามาในทุกขณะ ในทุกๆกิจกรรมจึงนับว่ามีความหมายยิ่ง
นอกจากนี้ ก็อาจจะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการเยียวยาได้ ด้วยการกระเทาะเทปม้วนเดิมแห่งร่องความคิดเข้าไป ด้วยการตั้งคำถาม อันเป็น ปริศนา อันไม่สามารถตอบคำถามด้วยเหตุผลจากร่องอารมณ์ของบุคคลผู้นั้น ทางพุทธศาสนานิกายเซนใช้เทคนิคนี้มาก และเรียก ปริศนาธรรม นั้นว่า "โกอาน"
"โกอาน" จะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่แฝงฝังเข้าไปในเนื้อหาของเทปม้วนเก่า แทรกแซงและสร้างความงุนงงฉงนฉงาย ที่คนคิด จะตอบจะต้อง รวบรวม เอาสรรพสิ่งกำลังทั้งหมดของชีวิตเข้ามาตอบและในภาวะนั้นก็จะ "คลิก" และ "คลี่บาน" ออกมาตาม ลำดับเมื่อเนื้อเรื่อง ในเทป ถูกแปรสภาพไป ร่องอารมณ์ก็จะปลาสนาการไปด้วย เช่นนั้นเอง
"anti-dote" หรือ คู่กรณีกับ อารมณ์ที่สำคัญ อีกประการหนึ่งก็คือ เรื่องความรักและความวางใจ ที่ตรงกันข้ามกับ รากฐานของร่องอารมณ์ ที่มาจาก ความกลัวและความหวาดระแวง
ผู้เข้ากิจกรรมการเรียนรู้ครั้งหนึ่ง เล่าให้ฟังถึงความขึ้งเครียดเมื่อสามีกลับบ้านดึก"อีกแล้ว" ในชั่วขณะแห่งความทุกข์ทรมานใจ และ ความคิดย้ำไปย้ำมาว่าจะต้องเลิกกับสามีให้ได้นั้น เกิดฉุดคิดขึ้นมาได้ "แล้วลูกของของเราเล่า?" ก็เลยไป เปิดประตูห้องนอนลูก และเข้าไปกอดลูก ด้วยความรักเพียงแต่กอดลูก ร่องอารมณ์ต่างๆ ก็คลายตัวนอนหลับสบาย เจอะเจอสามี ในตอนเช้า ก็ไม่โกรธ และก็ไม่เห็น ความจำเป็นที่จะต้องไปซักฟอกอะไรเขา นี่คงไม่ใช้คำตอบ ทั้งหมด ของวิธีการเยียวยา "ร่องอารมณ์" แต่ก็เป็นเครื่องมือ หลักๆ อันทรงประสิทธิภาพยิ่ง คงจะสามารถพากกันนำไปใช้ประโยชน์ ไปมากก็น้อย
ย่างก้าวสู่ความไม่รู้
เมื่อพูดการเรียนรู้ ภาพตัวอย่างที่ดีภาพหนึ่งก็คือภาพไข่ดาว ตัวเราคือไข่แดง บรรดาสิ่งที่เราคุ้นชินคือไข่ขาว เป็นสิ่งที่มีทำซ้ำและคิดซ้ำ รู้สึกซ้ำและคิดซ้ำทั้งหลาย นอกไข่ขาวออกไปคือความคุ้นชินคือความสะดวกสบาย ก้าวออกข้างนอกอันปราศจากความคุ้นชิน ก็ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความวิตกกังวลกับความไม่รู้หลายอย่างหลายประการก็จะติดตามมา
สิ่งแรกที่เราจะเชื้อเชิญเข้ามาในการเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ ก็คือความกล้า ที่จะออกไปเผชิญ
กับความไม่รู้ สิ่งเดียวที่จะทำให้ความไม่รู้เป็นความรู้ ก็คือความกล้าที่จะเผชิญกับความไม่รู้ และที่มาของความกล้าหาญสูงสุดก็คือ ความรักและความวางใจ รักและความวางใจ ธรรมชาติในจักวาล หรือในพระเจ้า
เพราะการก้าวสู่ความไม่รู้นี้เอง ที่การรับรู้ของเราอาจจะปรับเปลี่ยนในจุดเล็กๆ พอที่จะให้เมล็ดพันธุ์แห่งโพธิ หรือความรู้ ได้หยั่งราก เจริญเติบโตขึ้นมา นำพาเราไปสู่โลกใบใหม่ ที่กว้างขว้างกว่า ดีงามกว่า ไว้ใจได้มากกว่า เป็นโลกที่ความทุกข์ความโศกของเราแปรเปลี่ยนไปเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้
เมื่อโลกเผยออก การเรียนรู้ก็เกิดขึ้นพร้อมๆ ไปกับการเยียวยา
สิ่งที่มีชีวิต คือ ข่ายใยแห่งการเรียนรู้ ซึ่งได้บันทึกทำแผนที่ความสัมพันธ์กับจักรวาลไว้ ในโครงสร้างแบบแผนและกระบวนการ ในความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตเอง ในแต่ละวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตก็คือขยายขอบเขตของแผนที่ ทั้งแนวระนาบและแนวดิ่ง การก้าวไปสู่เรื่องราวที่เราไม่รู้ในจักรวาล จึงเป็นก้าวย่างเข้าสู่ความไม่รู้ภายในตัวตนของเราเองเช่นกัน
บทที่เจ็ด ตัวตนหรือข่ายใยในวิวัฒนาการ
ในกระบวนทัศน์เดิมทางวิทยาศาสตร์ เรามองโลกและจักรวาลเป็นนาฬิกาเรือน ประกอบด้วยชิ้นส่วนกลไกต่างๆ ที่ขับเคลื่อนมันไป เราพยายามทำความเข้าใจโลกและจักรวาลด้วยการหาชิ้นส่วนเล็กที่สุด อันเป็นอิฐพื้นฐานที่ก่อประกอบโลกและจักรวาลขึ้นมา แต่แล้วในการทดลองค้นคว้าความเป็นไปของวัตถุพื้นฐานที่เล็กที่สุดเหล่านี้ นักฟิสิกส์กลับรู้สึกฉงนฉงายกับผลการค้นคว้า เพราะความเป็นไปของสิ่งที่เล็กที่สุดนี้ไม่เป็นอย่างที่คาดเดาได้ บางที่อาจจะหามวลสารไม่พบ บางที่อาจจะหาตำแหน่งแห่งไม่พบ หรือแทนที่จะเป็นตัวตนกลับกลายเป็นโยงใยแห่งความสัมพันธ์
ความมหัศจรรย์แห่งข่ายใย
เม วัน โฮ เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาชีวฟิสิกส์ คนหนึ่งที่อยู่ ณ พรมแดนความรู้ที่เป็นรอยต่อไปสู่กระบวนทัศน์ ผลงานของเธอสั่นไหวนักเศรษฐศาสตร์อย่าง เดวิด กอเต้น ให้สนใจสร้างแบบแผนทางเศรษฐศาสตร์อย่างใหม่ที่มาเอาชีวิตเป็นต้นแบบ กอเต้นได้เขียนเรื่องราวที่เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก เม วัน โฮ อย่างละเอียดในหนังสือของเขา (the post-corrorate World แปลไทยว่า โลกยุคหลังบรรษัท)
เม วัน โต ได้ศึกษาความเป็นผลึกของสิ่งมีชีวิต ด้วยการปรับเครื่องมือสำหรับวัดความผลึกในแช่ธาตุของธรณีวิทยา และได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตในสภาพที่อยู่นั้นเป็นผลึกเหลว เธอยังได้นำเอาความรู้เรื่องผลึกเหลวไปศึกษาเส้นทางเดินของพลังในร่างกายมนุษย์ นี่เรียกว่าเส้นเมอริเดียนโดยละเอียด พร้อมสูตรทางคณิตศาสตร์อย่างเป็นวิชาการ (ที่พูดถึงสูตรทางคณิตศาสตร์ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่านสูตรคณิตศาสตร์เหล่านั้นไม่รู้เรื่อง หวังว่าจะมีคนอ่านรู้เรื่องและ ได้เอามาคุยกันให้ลึกซึ่งยิ่งขึ้นไป)
ในมนุษย์นั้นทุกอย่างก็เป็นผลึกเหลวทั้งสิ้น แม้กระดูก เอ็น ก็ตาม นึกถึงเมื่อรำมวยจีน แล้วเขาให้ประสานกระดูก สามร้อยกว่าชิ้นให้เป็นชิ้นเดียว ให้เป็นโครงสร้างของพลังที่มีชีวิต เดี๋ยวนี้ในสหรัฐเขาให้คนแก่มารำมวยจีน เพราะว่าคนแก่จะล้มบ่อย ล้มแต่ละทีก็เสี่ยงต่อการแตกหักเสียหายของกระดูก เมื่อรำมวยจีนแล้ว สถิติการล้มก็ลดลงอย่างมาก เพราะมวยจีนทำให้แขนขาแข็งแรงมีพลัง อีกทั้งยังเพิ่มสติการตื่นรู้ในการก้าวย่าง ก็ทำให้การก้าวพลาดล้มลงเป็นไปได้ยาก ที่นับเป็นการประยุกต์วิทยาการได้อย่างเป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง
ความเป็นผลึกเหลว ก็คือการเชื่อมต่อโยงใยถึงกันไปทั้งองคาพยพของสิ่งมีชีวิต ตลอดจนเป็นระบบถ่ายเทพลังอย่างทั่วถึง โดยสูญเสียพลังไปกับแรงเสียดทานน้อยที่สุด
เม วัน โฮ บรรยายเปรียบเปรยความเป็นผลึกเหลวของเซลเพียงเซลหนึ่ง ไว้อย่างฟัง กล่าวคือ ความบรรสานสอดคล้อง ของเซลๆ หนึ่งที่มีปฏิกิริยาเคมีนับเป็นพันๆ เกิดขึ้นพร้อมกัน ที่ถักทอเป็นแบบแผนของข่ายใยอันสลับซับซ้อนนั้น เปรียบได้กับนักดนตรีสองพันคน เล่นดนตรีที่มีบรรไดเสียง 72 octaves ด้วยเครื่องดนตรีสองพันชิ้น และเล่นโดยปราศจากโน้ตเพลง คือด้นสด ต่างคนเล่น แต่แล้วผลที่ได้ คือเพลงๆ หนึ่งที่ไพเราะงดงาม
แต่แล้วความเป็นข่ายใยก็มิได้สิ้นสุดลงเพียง ภายในองค์กรชีวิต เพราะชีวิตคือระบบเปิดที่ไม่ได้เปิดโดยสิ้นเชิง หากมีผนังเซลเป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะผ่านเข้าออก ความเป็นระบบเปิดคัดสรรของชีวิต ก็ทำให้ชีวิตสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกหลายๆทาง ไม่เพียงแต่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่จะสัมพันธ์โยงใยเช่นนี้ แต่ทุกสรรพสิ่ง ที่เรารับรู้ว่าเป็น "สิ่ง" ก็มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงใยกับภายนอกสิ่งเช่นนี้ คราปาได้เขียนรูปไว้ในหนังสือ The Web of Life สองรูปเปรียบเทียบดังนี้
รูปที่1
รูปที่2
ก็เห็นได้ว่า "สิ่ง" ต่างๆ ไม่ได้เป็นก้อนทึบภายในสิ่ง ก็ยังมีเงื่อนปมแห่งการโยงใยและสายสัมพันธ์อยู่ภายใน เราก็จะเห็นได้ว่าภายในตัวตนก็มีข่ายใยแห่งความสัมพันธ์อยู่ และไม่ได้สัมพันธ์กันเองในภายใน หากยังโยงใยสัมพันธ์กับภายนอกออกไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น สอดคล้องกับหลัก "อีทัปปจยตา" ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกันและกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ทฤษฏีระบบ
ทฤษฏีระบบเป็นความรู้และความเข้าใจที่ก่อเกิดพร้อมๆ กันในหลากหลายสาขาวิชา เป็นความพยายามที่จะไปพ้นข้อจำกัดของความคิดเชิงวัตถุที่เป็นกลไก กฏประการแรกของทฤษฎีระบบก็คือ เมื่อมีการก่อประกอบกันขึ้นเป็นองค์รวม ความเป็นองค์รวมไม่ใช่เพียงผลบวกขององค์ประกอบย่อยเท่านั้น แต่เป็นการก่อประกอบขึ้นเป็นองค์รวม ได้ก่อเกิดคุณภาพอย่างใหม่ อันเป็นคุณภาพที่โผล่ปรากฏ เช่น อะตอมของไฮโดรเยนสองตัวกับอะตอมของอ๊อกซิเจนหนึ่งตัวรวมดันได้ H2 O คือน้ำ น้ำจะมีคุณสมบัติใหม่ที่ไม่มีอยู่ในไฮโดรเยนและอ๊อกซิเจน เป็นต้น
นอกจากนี้การดำรงอยู่ของสรรพสิ่งในโลกจะเป็นไปแบบระบบเล็กที่ก่อประกอบขึ้นเป็นระบบใหญ่ และระบบใหญ่นั้นก็เป็นองค์ประกอบย่อยของระบบใหญ่ขึ้นไปอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยไป เราจะเริ่มจากระบบย่อยต่างๆ ภายในเซล ที่ก่อประกอบขึ้นขึ้นเป็นเซล เซลต่างๆ ก่อประกอบขึ้นเป็นเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อต่างๆ ก่อประกอบขึ้นเป็นอวัยวะ อวัยวะต่างๆ ก่อประกอบขึ้นเป็นองค์กรชีวิต องค์กรชีวิตต่างๆ ร่วมกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพก่อประกอบขึ้นเป็นระบบนิเวศ ระบบนิเวศก่อประกอบขึ้นเป็นทวีป ทวีปก่อประกอบขึ้นเป็นโลก เป็นระบบสุริยะและกาแลกซี่ และจักรวาล ตามลำดับ
ทฤษฎีระบบก็คือการเคลื่อนจากการมองสิ่งต่างๆ เป็นวัตถุ มาสู่การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ ตลอดจนคุณภาพใหม่ที่ก่อเกิดจากความพันธ์ต่างๆ คุณภาพใหม่ขององค์รวม ก็เกิดจากความสัมพันธ์โยงใยนั้นเอง แม้กระทั่งตัวองค์รวมเอง ก็ไม่ได้ดำรงอยู่ในสูญญากาศ หากยังมีสถานภาพเป็นระบบย่อยในระบบที่ใหญ่กว่าถัด นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า บริบท ในการศึกษาความเป็นจริงตามแนวคิดทฤษฎีระบบ เราจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยเสมอ เมื่อสิ่งแวดล้อมหรือบริบทแปรเปลี่ยนไป เรื่องราวก็จะแปรเปลี่ยนไปตามด้วย ในทฤษฎีระบบ ทัศนะการมองโลกแบบนิเวศจึงสำคัญ เราไม่สามารถมองหรือแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ อย่างแยกขาดจากสิ่งแวดล้อมของมันได้ เพราะมันไม่ได้ดำรงอยู่อย่างแยกขาดเป็นเอกเทศ หากสัมพันธ์โยงใยของบริบทแวดล้อมรอบตัว การมอง ความเข้าใจ และการแก้ปัญหาใดๆ จะต้องมาให้เห็นความสัมพันธ์โยงใยอย่างเป็นข่ายใยนี้ การแก้ปัญหานั้นจึงจะมีดุลยภาพและยั่งยืนได้
ในพุทธศาสนา ความคิดเรื่องการดำรงอยู่อย่างเอกเทศของสิ่งใดก็ตาม รวมทั้งตัวตนของมนุษย์เองด้วยนั้น เป็นทัศนะแห่ง"อัตตา" อันเป็นการมองโลกที่ผิดและคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะสรรพสิ่งอิงอาศัยกันและกันก่อเกิดและดำรงอยู่ มิอาจจะแยกขาดออกจากกันอย่างเป็นเอกเทศได้
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตคือประวัตศาสตร์แห่งสัมพันธภาพ
การเรียนรู้อันเกิดจากความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมแม้ในมีชีวิตเซลเดียว จะมีการบันทึกการเรียนรู้นั้นๆ กลับเข้าไปในโครงสร้างโมเลกุล แบบแผนของวงจรอันสลับซับซ้อนของอนุกรมของปฏิกิริยาเคมี และตัวกระบวนการของปฏิกิริยาเคมีต่างๆ เหล่านั้น รวมความว่า เมื่อเกิดความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างมีการเรียนรู้เกิดขึ้น การเรียนรู้นั้นจะถูกบันทึกไว้ในโครงสร้าง แบบแผน และกระบวนการของชีวิต เราเรียกกระบวนการนี้ว่า "การจับคู่ทางโครงสร้าง" (structural coupling) กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งไหมว่า การวิวัฒนการของชีวิตนั้นจะบันทึกอยู่ในชีวิตที่เรียกว่าการจับคู่ทางโครงสร้าง ชีวิตก็จะเป็นสมุดบันทึกแห่งวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
สองช่วงตอนแห่งวิวัฒนาการ
นักวิทยาศาสตร์สตรีอีกท่านหนึ่ง ที่เดวิด กอเตนให้ความสำเร็จในการเรียนรู้ศาสตร์แห่งชีวิตมาเป็นกับเศรษฐษศาสตร์ใหม่ที่เขานำเสนอเธอคือ อลิสซาเบท ซาโตรีส ผู้เขียน Earth Dance อันเป็นการให้ภาพลำดับขั้นการวิวัฒนาการทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตในโลก หนังสือเล่มนี้ควรจะได้รับการแปลมาเป็นตำราเรียนสำเด็กนักเรียนชั้นมัธยม
สังคมไทยยังขาดการศึกษาทฤษฎีหลักๆของโลกอย่างแยบคาย เรามักจะไปหยิบฉวยฉบับสังคมนิยมที่ฉาบฉวยมา และไม่ได้มาซึ่งของดีที่สุดที่ควรจะได้ ทฤษฎีของชาลส์ คาร์วินก็อยู่ในหรอบ ซาโตรีสได้ให้ภาพที่สมดุลย์ที่จะทำให้ทฤษฎีเป็นปัจจุบัน พร้อมด้วยข้อมูลหลักฐานล่าสุด ตลอดจนข้อแย้งต่างที่ประกอบด้วยวิจารณญาณแต่ข้าพเจ้า คงไม่ใช้เนื้อที่ตรงนี้กับเรื่องราวของทฤษฎีวิวัฒนาการโดยตรง แต่อาจจะพูดถึงบางส่วนตามความจำเป็นของเนื้อหา
ซาโตรีส ชี้ให้เห็นว่าในระบบนิเวศ สายพันธ์ใหม่ที่ก่อเกิด จะมีสองช่วงตอนแห่งวิวัฒนาการ ช่วงที่หนึ่ง สายพันธุ์ใหม่จะรุกรานอย่างก้าวร้าวเพื่อแพร่ขยายพันธุ์ให้ได้มากสุด และเพื่อจะดำรงรอดอยู่ในโลกได้ ต่อมาเมื่อระยะเวลาผ่านไปพอสมควร ชีวิตของสายพันธุ์ก็ดำเนินเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และก็จะหาที่ทางที่จะดำรงอยู่ในระบบนิเวศไดด้อย่างกลมกลืนและอย่างสมดุลกับสายพันธุ์อื่นๆ
ในมนุษย์นอกจากเราจะมีประวัติศาสตร์แห่งการวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิตก่อนหน้าที่จะเป็นมนุษย์บันทึกอยู่
เราก็จะมีบันทึกของวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์เองด้วย ทั้งช่วงตอนที่ก้าวร้าว และช่วงตอนที่เป็นผู้ใหญ่ ผู้มีความสุขุมรอบคอบขึ้น เช่น เรายังมีสมองของสัตว์เลื้อยคลาน และสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่กับเรา สัญชาตญาณของสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ก็มีอยู่ในตัวเรา เรามีมนุษย์ก้าวร้าวอยู่ในตัวเราด้วย พร้อมๆกับมนุษย์ที่รู้จักรักและแบ่งปัน แต่ในมิติพัฒนาการของมนุษย์
มนุษย์ต้องเรียนรู้ผ่านช่วงประวัติศาสตร์วิวัฒนาการอีกครั้ง ๑-๗ เราผ่านการเป็นสัตว์เลื้อยคลานอีกครั้ง เพื่อพัฒนาพลังชีวิตและเจตจำนง ๗-๑๔ เราพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อันเป็นภูมิปัญญาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ๑๔-๒๑ เราพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่คิดเป็น และผ่านช่วงตอนแรกแห่งวิวัฒนาการที่ก้าวร้าว ยืนยันความเป็นตัวตน ไปสู่ความสุขุม พินิจพิจารณาในช่วงเติบโตเต็มที่ของวิวัฒนาการ
บางครั้งในการเลี้ยงดูที่ปราศจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนระบอบการศึกษาที่ยังมืดบอดโดยไปเน้นอัตตาตัวตนของมนุษย์ในวิวัฒนาการในช่วงต้น มนุษย์ถูกจำขังไว้ไม่ให้เติบโตเต็มที่ทางวิวัฒนาการ เรายังกล้าและหวาดระแวง เรายังก้าวร้าวและยังช่วงชิงดินแดนตลอดจนทรัพยากร ก็ไม่แปลกที่สหรัฐอเมริกาจะผลิตผู้นำที่กระหายสงคราม แต่โลกใบนี้บอบบางและอ่อนล้าเต็มทน และความอดทนที่จะผุดบังเกิดมนุษย์ในวิวัฒนาการชั้นหลัง ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและความไว้วางใจ ออกจะเข้าใกล้จุดวิกฤติเต็มทีแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีการเรียนรู้และวิวัฒนาการ เราก็ยังคงมีความหวังได้เสมอมิใช่หรือ ?
บทที่แปด พิธีกรรมสู่อิสรภาพฉับพลัน
พิธีกรรมมักจะมากับความรู้สึกของความเก่าแก่และอนุรักษ์นิยม สำหรับคนที่เห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ พิธีกรรมก็อาจจะเป็น เรื่องที่พอยอมรับชื่นชมกันได้บ้าง แต่ในรุ่นใหม่ที่เชื่อเรื่อง "ความแปลกใหม่" จำนวนไม่น้อยก็หันหลังให้พิธีกรรม นอกจากนี้ หลายๆ คนก็พากันปฏิเสธวัดและศาสนาในรูปแบบไปเลย เราอยากจะเห็นการกลับมา ของพิธีกรรมที่มีชีวิต ที่มีความหมาย ที่สามารถ เชื่อมร้อย เก่ากับใหม่ ทำให้ต้นไม้แห่งชีวิตมีรากอันเข้มแข็ง และทำให้อนาคตสดใสด้วย ผลิตผลด้วย พิธกรรมเช่นนั้น หน้าตาเป็น อย่างไร และเข้ามา มีบทบาทอย่างไร กับการศึกษาของมนุษย์ในยุคสมัยนี้
พิธีกรรมกับปัญญาสามฐาน
เมื่อเราพิจารณาพิธีกรรมในมิติของปัญญาสามฐาน เราจะเข้าใจได้ไม่ยากนักว่า ทำไมพิธีกรรมแบลบเก่าจึงไม่มีความหมายกับคนสมัยนี้ ประการแรก มันไม่มีความหมายที่เกี่ยวโยงกับชีวิตของพวกเขา เรื่องราวชีวิตของพวกเขากับเรื่องราวของพิธีกรรมไม่ได้ไปด้วยกัน ประการที่สอง มันไม่ได้เร้าอารมณ์ความรู้สึก หรืออีกนัยหนึ่งมันไม่ได้เร้าอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ รูปแบบทางกายจึงเป็นไปอย่างว่างเปล่า ไร้ความหมาย ไร้พลัง
แรกที่สุดต้องกลับมาพิจารณาภาษา และเรื่องราวของมันจะต้องเป็นภาษาและเรื่องราวร่วมสมัย สองต้องคลำหา คำหลัก และ เรื่องราวหลัก ที่จะ ปลุกเร้า อารมณ์ในทางกุศล หรือในทางที่จะก่อให้เกิด คุณงามความดี รูปแบบทางกายภาพ อันได้แก่สิ่งแวดล้อมและตัวกิจกรรม เมื่อเรื่องราวเป็นที่เข้าใจ พลังถูกอารมณ์ปลุกเร้า ตัวกิจกรรม ก็จะเกิดขึ้นอย่างมี จุดมุ่งหมาย และมีพลัง ที่สำคัญ ต้องให้ผู้เข้าร่วมเข้ามา เป็นเจ้าของกิจกรรมอย่างแท้จริง เมื่อนั้นพื้นที่การเรียนรู้และเยียวยาก็จะเปิดออก
พิธีกรรมกับสมุหภาวะ
พิธีกรรม เป็นจุดตัดระหว่าง ปัจเจกภาพ กับ สมุหภาพ โดยปกติชีวิต ในความเป็นไปอย่าง อัตโนมัติ ที่หลงลืม เราจะดำรงอยู่ใน ปัจเจกภาพ อย่างคับแคบ และ เห็นแก่ตัว แต่พิธีกรรมได้เผยจุดตัด หรือรอยเชื่อมต่อนั้นแก่เรา ในขณะนั้นเรารู้ว่า เราไม่ได้ ทุกข์คนเดียว ฝนไม่ได้ตกลงบนหลังคาของบ้านใดบ้านหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ได้ตกลงมายังหลังคาของเพื่อนบ้านของเราด้วย หลายครั้ง ความทุกข์ของเพื่อน ยังใหญ่หลวงกว่า ของเรายิ่งนัก และใน การแสวงหาทางออกจาก ความทุกข์ตลอดจน ข้อจำกัดของชีวิตร่วมกันนั้น เราค้นพบธรรมชาติใหม่ของปัญญาด้วยว่า ปัญญาก็มีความเป็นสมุหภาพพอๆ กับที่เป็นปัจเจกภาพ หลายครั้งที่เราจะพูดอะไร บางทีเพื่อนของเรา ก็พูดแทนด้วย ความคิด ที่อยู่ในใจของเรานั้นเอง สมุหภาพ นี้ไม่ได้ เชื่อมโยงเฉพาะเรา ที่อยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ หากยังเชื่อมมวลมนุษยชาติในอดีต พร้อมกับภูมิปัญญาของเขา
พิธีกรรมกับการตื่นรู้
การตื่นรู้ คือ การกลับมาดำรง อยู่ปัจจุบัน อย่างตื่นรู้ ความเป็นอัตโนมัติ ในชีวิตทั้งหลาย มี การตื่นรู้ กำกับ ไม่ใช่ปล่อย ให้ไหลเลื่อนไป อย่างหลงลืม เหมือน แสงสว่าง ที่ส่องทาบเข้าไป รับรู้ความเป็นไปอย่างเป็นปัจจุบัน ในทุกขณะจิต ความตื่นรู้ ไล่ความขมุกขมัว มั่วซั่ว ออกไป ทำให้ชีวิต แจ่มกระจ่าง เผยออก ซึ่งอุปสรรค ข้อขัดข้องต่างๆ เผยออกซึ่งหนทาง และ วิถีแห่งพลัง ที่จะก้าวล่วงฟันอุปสรรค และ ข้อข้องขัดทั้งหลาย ความตื่นรู้นั้น มีพลังเหนี่ยวนำด้วย ในพิธีกรรมแห่งกลุ่มชน แสงเทียนต่อกัน จนความสว่างแห่งการตื่นรู้ ลุกโพลง ขึ้นพร้อมกัน และเหนี่ยวนำซึ่งกันและกัน ให้ความสว่างไสวยิ่ง
พิธีกรรมกับเสียงของตน
เมื่อสมุหภาพ และปัจเจกภาพ หลอม รวมเป็นหนึ่งเดียวใน การตื่นรู้ แต่ละคนจะได้รับ พลังเกื้อหนุน ให้ค้นพบเสียงของตน เสียงของตน ซึ่งปกติ จะถูกกลบด้วย เสียงของพ่อแม่ และ สังคม คร ูและ โรงเรียน เราปฏิเสธอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง และรูสึกว่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่ฉลาดพอ ที่จะแสดงเสียงของตัวเองออกมา บางทีชีวิตก็ผ่านไปจนแก่เฒ่า เรายังไม่รู้เลยว่า ตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ในการที่ จะค้นพบ ศักยภาพ ของตน ที่จะ เผยออก และเยียวยานั้น เราต้องเริ่มได้ยินเสียงของตนเองก่อน เสียงของตนเอง ที่เปล่งออกมาชัด ในท่ามกลาง เสียงรบกวน ที่หนวกหู อยู่ตลอดเวลา เราจะขอเชิญ ให้เสียงเหล่านั้น หยุดลงชั่วครู่ เพื่อให้เนื้อที่ แก่เสียงของตัวเอง
ในพิธีกรรม เมื่อคนหนึ่งค้นพบเสียงของตนเอง มันจะเป็น พลังแห่งปิติ ที่จะไป เกื้อหนุนเหนี่ยงนำให้คนอื่นๆ สามารถค้นพบ เสียงแห่งตนเองด้วย และ ณ จุดนั้น มันเป็น การก้าวย่างก้าวแรก ใน การดำเนินชีวิต ใน วิถีแห่งพลัง อันมีความหมาย !
พิธีกรรมกับความว่าง
ความว่างในที่นี้ไม่ใช่ ความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไร เพราะ มันอยู่เหนือและ ยิ่งใหญ่กว่า ความมี หรือความไม่มีเสียอีก มันเหมือน ความว่างของประตู หน้าต่างที่มีประโยชน์ ลองนึกถึงภาพบ้านที่มีผนังทึบ ปราศจากประตูและหน้าต่าง มันเป็นเช่นไร ? ในพิธีกรรม แห่งการเรียนรู้นี้ เนื้อที่ของความว่างถูกเปิดขึ้นจากการตื่นรู้ ณ รอยตัดแห่งปัจเจกภาพกับสมุหภาพ ณ ที่ๆ เราค้นพบเสียงของตนเอง พร้อมๆ กันไป เนื้อที่แห่งความว่าง ก็เปิดออก ความว่างซ่อนตัวอยู่ ระหว่าง การรับรู้โลก ก่อนที่เราจะ รับรู้โลก ว่าโลกใบเดิมที่เราคุ้นเคย หากตื่นรู้สักนิด ฟังเสียงสมุหภาพแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เราจะรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องรับรู้โลกที่เคยเป็นมา เราสามารถตื่นขึ้น เพื่อจะรับรู้โลกอย่างแตกต่างออกไป ด้วยสมมติฐานที่แตกต่างออกไปได้ ความเป็นไปได้นี้เอง คือสามารถมีทางเลือก นั่นคือ สภาวะที่ตรงข้ามกับความว่าง