ทฤษฎีการเรียนรู้ Leaning Theory
·
1 ทฤษฎีการเรียนรู้จาก การเก็บข้อมูล (Retention Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ความสามารถในการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับ ความสามารถที่จะ เก็บข้อมูล และเรียกข้อมูลที่เก็บเอาไว้กลับคืนมา ทั้งนี้รวมถึง รูปแบบของข้อมูล ความมากน้อยของข้อมูล จากการเรียนรู้ขั้นต้น แล้วนำไปปฏิบัติ
2 ทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้การโยกย้ายปรับเปลี่ยนข้อมูล (Transfer Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า การเรียนรู้มาจาก การใช้ความเชื่อมโยง ระหว่าง ความเหมือน หรือความเกี่ยวข้องระหว่างข้อมูลใหม่กับข้อมูลเก่า ทฤษฎีนี้ขึ้นอยู่กับ ข้อมูลขั้นต้นที่เก็บเอาไว้ด้วยเช่นกัน
3 ทฤษฎีของความกระตือรือร้น (Motivation Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ความสามารถในการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจ ความกังวล การประสบความสำเร็จและผลที่จะได้รับด้วย เช่น ถ้าทำอะไรแล้วได้ผลดี เด็กจะรู้สึกว่า ตนเองประสบความสำเร็จ ก็จะมีความกระตือรือร้น
4 ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง (Active Participation Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ความสามารถ ในการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับ ความอยากจะเรียนรู้ และมีส่วนร่วม ถ้ามีความอยากเรียนรู้ และอยากมีส่วนร่วมมาก ความสามารถในการเรียนรู้ก็จะมีมากขึ้น
5 ทฤษฎีการเรียนรู้จากการเก็บรวบรวมและการดำเนินการจัดการกับข้อมูล (Information Processing Theory) ทฤษฎีนี้ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
· ส่วนแรกพูดถึง ความสามารถในการจำระยะสั้นของสมอง ซึ่งมีขีดจำกัด สามารถเก็บข้อมูลเป็นกลุ่มก้อน (Chunking) ได้ประมาณ 7 ข้อมูล หรือ 5-9 คือ 7 บวกลบ 2 ข้อมูลก้อนนี้เป็นข้อมูลที่มีความหมาย ซึ่งอาจเป็นตัวเลข หรือคำพูด หรือตำแหน่งของตัวหมากรุก หรือใบหน้าคน เป็นต้น
· ส่วนที่ 2 พูดถึง TOTE มาจาก Test-Operate-Test-Exit ทฤษฎีนี้นำเสนอโดย มิลเลอร์ (Miller) และคณะ กล่าวว่า ต้องมีการประเมินว่า ได้มีการกระทำที่บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้าหาก บอกว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ก็จะต้องมีการกระทำ หรือปฏิบัติการใหม่เพื่อ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา
6 ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หรือ ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม (Constructionism) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ อีกทฤษฎีหนึ่ง ตามความเห็นของ อลัน ชอว์ (Alan Shaw) กล่าวว่า เคยคิดว่า ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับ การศึกษาเรียนรู้ แต่ความจริง มีมากกว่า การเรียนรู้ เพราะสามารถนำไปใช้ใน สภาวะการเรียนรู้ ในสังคม ได้ด้วย ชอว์ ทำการศึกษา เรื่องรูปแบบ และ ทฤษฎีการเรียนรู้ และพัฒนา เขาเชื่อว่า ในระบบการศึกษา มีความสำคัญต่อเนื่องไป ถึง ระบบโครงสร้างของสังคม เด็กที่ได้รับ การสอนด้วย วิธีให้อย่างเดียว หรือ แบบเดียว จะเสียโอกาส ในการพัฒนาด้านอื่น เช่นเดียวกับสังคม ถ้าหากมีรูปแบบ แบบเดียว ก็จะเสียโอกาส ที่จะมีโครงสร้าง หรือพัฒนา ไปในด้านอื่น ๆ เช่นกัน
ชอว์ ได้ให้ความหมาย ของคำว่า คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม ในรูปแบบของพัฒนาการ ของ สังคมและจิตวิทยา ว่าเป็นแนวคิด หรือ ความเข้าใจ ที่เป็น คอนสตรัคทิวิซึ่ม (Constructivism) คือ รูปแบบที่ผู้เรียนเป็น ผู้สร้างความรู้ ไม่ใช่เป็น ผู้รับอย่างเดียว ดังนั้นผู้เรียน ก็คือ ผู้สอนนั่นเอง แต่ใน ระบบการศึกษาทุกวันนี้ รูปแบบโครงสร้าง จะตรงกันข้ามกับ ความคิดดังกล่าว โดยครูเป็น ผู้หยิบยื่นความรู้ให้ แล้วกำหนดให้ นักเรียนเป็นผู้รับความรู้นั้น
อย่างไรก็ตาม คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม มีแตกต่างจาก คอน-สตรัคทิวิซึ่ม ตรงที่ ทฤษฎีคอนสตรัคทิวิซึ่ม คือ ทฤษฎีที่กล่าวว่า ความรู้เกิดขึ้น สร้างขึ้นโดยผู้เรียน ไม่ใช่เป็นการให้จากผู้สอนหรือครู ในขณะที่ คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม มีความหมาย กว้างกว่านี้ คือ พัฒนาการของเด็ก ในการเรียนรู้ มีมากกว่า การกระทำ หรือ กิจกรรม เท่านั้น แต่รวมถึง ปฏิกิริยาระหว่างความรู้ ในตัวเด็กเอง ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม ภายนอก หมายความว่า เด็กสามารถเก็บข้อมูล จากสิ่งแวดล้อมภายนอก และเก็บเข้าไป สร้าง เป็นโครงสร้าง ของความรู้ภายใน สมองของตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็สามารถเอา ความรู้ภายใน ที่เด็กมีอยู่แล้ว แสดงออกมา ให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม ภายนอกได้ ซึ่งจะเกิดเป็น วงจรต่อไป เรื่อย ๆ คือ เด็กจะเรียนรู้เองจาก ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมภายนอก แล้วนำข้อมูลเหล่านี้ กลับเข้าไปในสมอง ผสมผสานกับความรู้ภายในที่มีอยู่ แล้วแสดงความรู้ออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก
ดังนั้น ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม จึงให้ความสำคัญ กับโอกาสและ วัสดุที่จะใช้ใน การเรียนการสอน ที่เด็กสามารถนำไป
สร้างความรู้ ให้เกิดขึ้นภายใน ตัวเด็ก เองได้ ไม่ใช่ซึ่งไม่ใช่วิธีที่เกิดประโยชน์กับเด็ก ครูต้องเข้าใจธรรมชาติ ของกระบวนการเรียนรู้ ที่เด็กกำลัง เรียนรู้อยู่ และช่วยเสริมสร้าง กระบวนการ เรียนรู้ นั้นให้เป็นไปได้ดีขึ้น ตามธรรมชาติของเด็ก แต่ละคน ครูควรคิดค้น พัฒนาสิ่งอื่น ๆ ด้วย เช่น คิดค้นว่าจะให้โอกาสแก่ผู้เรียน อย่างไรจึงจะให้ ผู้เรียนสามารถ สร้างความรู้ขึ้นเองได้ ถ้าเราให้ความสนใจเช่นนี้ เราก็จะหาทางพัฒนา และสร้าง วัสดุอุปกรณ์ ประกอบการเรียน การสอนใหม่ ๆ หรือหาวิธีที่ จะใช้อุปกรณ์การเรียน การสอน ที่มีอยู่ให้เป็น ประโยชน์ด้วย วิธีการเรียนแบบใหม่ คือ การสร้างให้ผู้เรียน สร้างโครงสร้างของ ความรู้ขึ้นเอง
ซีมัวร์ พาร์เพิร์ท (Seymour Papert) และ ศาสตราจารย์ มิทเชล เรสนิก (Mitchel Resnick) มีความเห็นว่า ทฤษฎี คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม คือ ทฤษฎีการศึกษาการเรียนรู้ ที่มีพื้นฐานอยู่บนกระบวนการการสร้าง 2 กระบวนการด้วยกัน
สิ่งแรก คือ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วย การสร้างความรู้ใหม่ ขึ้นด้วยตัวเอง ไม่ใช่รับแต่ข้อมูล ที่หลั่งไหลเข้ามา ในสมองของผู้เรียน เท่านั้น โดยความรู้ จะเกิดขึ้นจาก การแปลความหมาย ของประสบการณ์ที่ได้รับ
สิ่งที่สอง คือ กระบวนการการเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากกระบวนการนั้น มีความหมายกับ ผู้เรียนคนนั้นมุ่งการสอน การป้อนความรู้ให้ คิดค้นแต่วิธีที่จะสอนอย่างไรจึงจะได้ผล ซึ่งไม่ใช่ วิธีที่เกิดประโยชน์กับเด็ก ครูต้องเข้าใจ ธรรมชาติ ของ กระบวนการเรียนรู้ ที่เด็กกำลัง เรียนรู้อยู่ และช่วยเสริมสร้างกระบวนการ เรียนรู้นั้นให้เป็นไปได้ดีขึ้นตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคน
ครูควรคิดค้นพัฒนาสิ่งอื่น ๆ ด้วย เช่น คิดค้นว่า จะให้โอกาสแก่ผู้เรียนอย่างไรจึงจะให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ขึ้นเองได้
ถ้าเราให้ความสนใจเช่นนี้ เราก็จะหาทางพัฒนาและสร้างวัสดุอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนใหม่ ๆ หรือหาวิธีที่จะใช้อุปกรณ์ การเรียนการสอน ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ด้วยวิธีการเรียนแบบใหม่ คือการสร้างให้ผู้เรียนสร้างโครงสร้าง ของความรู้ขึ้นเอง
มีความหมายกับผู้เรียนคนนั้นทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม บอกว่า การจะให้การศึกษากับเด็กขึ้นอยู่กับว่า เรามีความเชื่อว่า ความรู้เกิดขึ้น ได้อย่างไร ถ้าหากเราเชื่อว่าความรู้เกิดจากการที่เด็กพยายามจะสร้างความรู้ขึ้นเอง การให้การศึกษาก็จะต้อง ประกอบด้วย การดึงเอา ความรู้นี้ ออกมาจากเด็ก ด้วยการขอให้เด็กทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือตอบคำถาม ที่จะใช้ความรู้นั้น และให้โอกาสเด็กมีส่วนร่วม ในกิจกรรม ที่จะทำให้ เกิดกระบวนการสร้างความรู้ ในทางตรงข้ามถ้าเราเชื่อว่าความรู้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ภายนอก การให้การศึกษา ก็จะต้อง ประกอบด้วย การให้ประสบการณ์ที่ถูกต้องกับเด็ก แสดงให้เด็กเห็นถึงวิธีที่ถูกต้องที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือบอกคำตอบที่ถูกต้อง ให้กับเด็ก วิธีนี้คือ การศึกษาในสมัยก่อนนั่นเอง
· Tab 2
ซีมัวร์ พาร์เพิร์ท ได้กล่าวว่า การศึกษาที่ดีไม่ได้มาจากการหาวิธีการสอนที่ดีให้ครูสอนเด็ก ต่มาจากการให้โอกาสที่ดีที่เด็ก จะได้สร้างความรู้ การเรียนรู้ที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากเด็กได้มีส่วนในการสร้างสิ่งที่มีความหมาย ยกตัวอย่างเช่น การสร้างประสาททราย การเขียนบทกลอน การสร้างเครื่องจักร หรือการแต่งเรื่อง เป็นต้น
ชอง เปียเจต์ (Jean Piaget) นักจิตวิทยาชาวสวิสผู้มีชื่อเสียงมาก มีความคิดเห็นว่าเด็ก ๆ ไม่ใช่ท่อที่ว่างเปล่า ที่ผู้ใหญ่จะเทข้อมูล และความรู้ต่าง ๆ เข้าไป เด็กคือผู้สร้างความฉลาดและการเรียนรู้ของเขาเอง จะเห็นว่าเด็กเป็นผู้มีความสามารถ มีพรสวรรค์ที่จะเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เด็กเริ่มเรียนรู้ จากประสบการณ์ในโลกนี้ ตั้งแต่แรกคลอดและมีสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนด้วยซ้ำ ซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า เปียเจต์เลิร์นนิ่ง (Piagetian Learning) คือ การเรียนรู้โดยไม่ต้องได้รับการสอน เช่น เด็กพูดได้โดยไม่ต้องจับมานั่งสอน หรือเด็กสามารถเรียนรู้ รูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อม หรือเรียนรู้วิธีต่อรองกับพ่อแม่โดยไม่ต้องรับการสอน เป็นต้น
ทฤษฎีของวัฒนธรรมและสังคม ผู้เชี่ยวชาญ ชื่อ เลฟ วีกอตสกี (Lev Vygotsky) ซึ่งใช้ทฤษฎีนี้กล่าวว่า สังคมและวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมความฉลาดและกระบวนการเรียนรู้ในพัฒนาการของเด็ก วีกอตสกี เชื่อว่า ตัวเรามีปฏิกิริยามีสื่อสัมพันธ์กับสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้เราเป็นมนุษย์ที่มีความฉลาดและแตกต่างจากสัตว์
วีกอตสกี ได้กล่าวว่า เด็กเรียนรู้สัญลักษณ์ต่าง ๆ และคำพูดเป็นครั้งแรกจากสังคม ซึ่งความฉลาดความสามารถ ในการสื่อสารด้านภาษานี่เองเป็นพื้นฐานที่ทำให้เด็กแตกต่างจากสัตว์
วีกอตสกี ได้ยกตัวอย่างของการเรียนรู้ การสร้างความรู้ในตัวเด็กจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น เรื่องของการชี้ การที่เด็กจะชี้สิ่งต่าง ๆ ได้ จะเริ่มต้นด้วยเด็กยกมือขึ้นเพื่อไปคว้าของตรงหน้า แต่ของนั้นอาจจะอยู่ไกลเกินไป นิ้วจึงกางอยู่กลางอากาศ ตรงนี้จะทำให้เห็นขั้นตอนคือเริ่มด้วยการเคลื่อนไหวมือของเด็ก เมื่อเด็กไม่สามารถคว้าของได้ ก็จะเปลี่ยนเป้าหมายซึ่งอาจเป็นคุณแม่ที่อยู่ข้าง ๆ คือ เปลี่ยนจากวัตถุมาหาบุคคล โดยมือก็ยังชี้ไปยังสิ่งของที่ตนต้องการ เหตุการณ์นี้จะช่วยสอนเด็กให้เข้าใจว่าการเอื้อมมือไปคว้าของหรือชี้ไปที่ของ จะเป็นการบอกความต้องการว่าต้องการของชิ้นนี้ เด็กได้เรียนรู้จากการกระทำก่อน คือ เมื่อเขากางมือหรือชี้มือขึ้นไปเพื่อจะคว้าของ หลังจากนั้นคุณแม่หรือสิ่งแวดล้อมภายนอกก็จะเสริมสร้างให้เด็กเรียนรู้ว่าการชี้หรือกางนิ้วไปที่วัตถุ คือ การชี้ สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่นนี้ จะมีความหมายเมื่อเด็กคนนั้นหรือ ผู้เรียนกับสิ่งแวดล้อม พ่อแม่ คนเลี้ยงมีความเข้าใจตรงกัน ผู้ใหญ่เข้าใจความต้องการของเด็ก เข้าใจสัญลักษณ์ของนิ้วที่กางออกว่านี่คือการชี้และสนองตอบ เช่นนี้ก็จะทำให้เด็กรู้จักการชี้ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองนั่นเอง
แต่ทฤษฎีของ วีกอตสกี ก็ถูกนักการศึกษาท่านหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่า การเรียนรู้ภายในตัวเด็กเอง เกิดขึ้นก่อนที่จะได้สัมผัสกับสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
อย่างไรก็ตาม นักการศึกษาท่านอื่น เช่น พอล คอบบ์ (Paul Cobb) และ อลิซาเบ็ธ บอตต์ (Alizabeth Bott) ก็ได้สรุปว่า ความฉลาดและการเรียนรู้ ต้องการทั้ง ปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก คือ ผู้เรียนจะต้องได้ข้อมูล จาก สิ่งแวดล้อมภายนอก ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องนำ ข้อมูลภายนอก เข้ามาผสมผสานกับ ความรู้ หรือ โครงสร้าง ที่มีอยู่ในตัวเอง และสร้างเป็นความรู้ใหม่ ดังนั้นจึงเกิดสะพานเชื่อมโยงระหว่างสิ่งแวดล้อมหรือปัจจัยภายนอก สังคม วัฒนธรรม และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวของผู้เรียนเอง ซึ่งคนเราไม่ได้รับความคิดมาจากคนอื่น แต่เราสร้างความคิดขึ้นมาเอง
หากจะสรุปตามทฤษฎีนี้ สรุปได้ว่า ความฉลาดของคนเรา ไม่ใช่คุณสมบัติของคนคนนั้น และไม่ได้เกิดจาก คนคนนั้น คนเดียว แต่เป็นปฏิกิริยาระหว่างคนคนนั้นกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ซึ่งรวมถึงบุคคลรอบข้างด้วย
ทฤษฎีขั้นตอนการ มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา วอลลิส (Wallis) ได้แบ่ง ขั้นตอนการมี ความคิดสร้างสรรค์ ในการแก้ปัญหา ออกเป็น 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
· ระยะแรก เป็นช่วงเตรียมพร้อม (Preparation) เป็นช่วงค้นหาว่าปัญหาคืออะไร ขั้นตอนนี้ใช้สมองข้างซ้ายทำงาน
· ขั้นตอนต่อไป เป็นช่วงคิดวิเคราะห์ปัญหา (Incubation) เป็นช่วงเวลาที่เราตั้งหลักคิดปัญหาที่พบในขั้นแรกว่าเป็นปัญหาจริงหรือไม่ และจะแก้ปัญหาอย่างไร ขั้นตอนนี้อาจต้องใช้เวลานานนับนาที หรือเป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ บางครั้งอาจเป็นปี ซึ่งขั้นตอนนี้ ใช้สมองข้างขวาทำงาน
· ขั้นตอนต่อไป เป็นช่วงเกิดความคิดที่จะแก้ปัญหา (Illumination) ความคิดในการแก้ปัญหา จะเกิดขึ้นอย่างมากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ อาจแค่ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับสมองข้างขวา
· ขั้นตอนสุดท้าย คือ ปฏิบัติการแก้ปัญหา (Varification) เป็นช่วงที่จะเกิดผลปฏิบัติ หรือกิจกรรมแก้ปัญหา ที่ต่อเนื่องมาจากการคิดวิเคราะห์ปัญหาแล้ว และถอยหลังไปตั้งหลักคำนึงถึงปัญหาและวิธีแก้ไข ขั้นตอนนี้จะกลับไปใช้สมองข้างซ้าย
นอกจากนี้ โรเจอร์ วอน โอช์ (Roger von Oech) ได้เสนอทฤษฎีการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา โดยแบ่งขั้นตอนออกเป็น 7 ขั้นตอนด้วยกัน
· เริ่มจากขั้นแรกมีความกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหา (Motivation)
· ขั้นตอนที่ 2 ค้นหาข้อมูลโดยมองออกไปในวงกว้างและหาข้อมูลต่าง ๆ เข้ามา
· ขั้นตอนที่ 3 เป็นการเก็บข้อมูลมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง (Manipulation) อาจมีการแก้ไขหรือกำจัดข้อสมมติฐานเก่า ๆ แล้วสร้างความคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา
· ขั้นตอนที่ 4 เป็นช่วงของการวิเคราะห์ปัญหา (Incubation) เป็นช่วงที่เดินออกมาจากปัญหา มาตั้งหลักคิดวิเคราะห์ปัญหาและมองลึกไปหลาย ๆ ด้าน การที่ไม่แก้ปัญหาในทันทีจะเป็นผลดี เพราะจะได้พัฒนาความคิดต่าง ๆ สรรหาความคิดที่ดีกว่า
· ขั้นตอนที่ 5 เป็นระยะที่มีความคิดต่าง ๆ ผุดขึ้นมามากมาย (Illumination) แล้วพยายามเก็บข้อมูลหรือ ความคิดเหล่านี้เอาไว้ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรใช้เวลาทำงานตลอดทั้งวัน ควรจะมีเวลาที่ใช้ ความคิดสร้างสรรค์ด้วย หลังจากนั้นเป็น ช่วงที่มีการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาแบบสร้างสรรค์
· ขั้นตอนที่ 6 เป็นการต้องตัดสินใจว่าจะเลือกแก้ปัญหาอย่างไร (Evaluation) แม้ว่าความคิดที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม
· ขั้นตอนสุดท้าย คือ การลงมือปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจไว้ (Action)
ยังมีทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ต่าง ๆ อีก อย่างเช่น ทฤษฎีของ คาร์ล จุง (Carl Jung) ที่ว่า ต้องมีวิธีการสอน ที่ทำให้คน แต่ละคนไม่ว่า จะมีความสามารถมากน้อยเพียงใดมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เต็มที่ เต็มความสามารถ เต็มศักยภาพของตน
· Tab 3
การเรียนรู้โดยผ่านการเล่น
การเล่นเป็นพื้นฐานของความฉลาดชนิดสร้างสรรค์ แต่การเล่นจะต้องมีการพัฒนา เด็กที่มีคนเล่นด้วยจะรู้จักเล่นเป็น แต่เด็กที่ไม่เคยมีใครเล่นด้วยก็จะเล่นไม่เป็นและอาจจะเป็นเด็กที่มีปัญหาในอนาคตได้
นิทานสร้างสรรค์จินตนาการ
พื้นฐานของการเล่นรูปแบบหนึ่ง คือ การเล่านิทาน เด็กชอบให้ผู้ใหญ่เล่านิทานให้ฟังก่อนจะพูดได้ด้วยซ้ำ ความเข้าใจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ แต่เสียงที่เล่าทำให้เด็กสนใจ ตื่นเต้น สะกดเด็กให้นั่งนิ่ง จ้องมองตาโต อ้าปากหวอ และสร้างภาพพจน์ขึ้นในสมองเด็ก เด็กผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าเธอสนใจฟังวิทยุมากกว่าโทรทัศน์ เพราะ ภาพพจน์ที่เกิดขึ้นจากการฟังวิทยุสวยงามกว่าในโทรทัศน์มาก
คำพังเพยของอัลเบิร์ต ไอสไตน์ มีอยู่ว่า "ถ้าต้องการให้เด็กฉลาดก็ต้องเล่านิทานให้เด็กฟัง แต่ถ้าต้องการให้ฉลาดมากยิ่งขึ้น ก็ต้องเล่านิทานมากมากมากหลาย ๆ เรื่อง"
ในนิทานเรื่องลูกหมี 3 ตัว พ่อหมีจะแต่งตัว ใส่เสื้อ ถือไม้เท้า ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ของพ่อในจิตใจเด็ก สัญลักษณ์นี้ จะเป็น พื้นฐานของความคิด ความเข้าใจ ในสิ่งต่าง ๆ ต่อไป การทำงาน สร้างสัญลักษณ์นี้ จะต้องใช้ สมองส่วน ลิมบิกเบรน หรือ สมองส่วน ที่เกี่ยวกับ อารมณ์ทำงาน ร่วมกับ สมองส่วน นีโอคอร์เท็กซ์ ซึ่งสมองสองส่วนนี้ จะทำหน้าที่สำคัญ ในเรื่องของ ความฝัน และ การสร้างจินตนาการ ทำให้เกิดการสร้าง ภาพพจน์ของสัญลักษณ์ขึ้น
เด็กวัย 5 ขวบขึ้นไป จะเข้าใจนิทาน ที่ฟังได้ดีขึ้นเร็วขึ้น เพราะเด็กมีความสามารถ ใน การสร้างภาพพจน์ ได้อย่างรวดเร็ว และใช้ พลังงาน น้อยกว่าเดิม เด็กควรได้ฟังนิทานมาก ๆ เพราะทุกครั้งที่ได้ฟังนิทานใหม่ ๆ จะเกิดการสร้างเครือข่ายเส้นใยประสาทใหม่ ๆ และเด็กควรได้ฟัง นิทานเรื่องเดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ใช่เพื่อ จะเรียนรู้ หรือจดจำ เพราะเด็กฟังครั้งเดียว ก็จำได้แล้ว แต่การเล่านิทานซ้ำ ๆ จะทำให้ เครือข่ายเส้นใยประสาท ที่จะสร้าง ภาพพจน์ สร้างไขมันสมองหุ้มรอบเส้นใยประสาท
เพราะฉะนั้น การเล่านิทานหลาย ๆ เรื่องและเล่าซ้ำ ๆ จะเป็น การสร้าง เครือข่ายเส้นใยประสาท ให้เพิ่มมากขึ้นอยู่คงที่ และ ทำงาน มากขึ้น ซึ่งจะส่ง ผลดีต่อการเรียนรู้ ในอนาคต โดยเฉพาะ ในเรื่องของ การสร้างความคิด จินตนาการ ความสนใจ และความตั้งใจ ในการเรียนรู้
โรงเรียนบางแห่งในสหรัฐอเมริกา ใช้วิธีเล่านิทานให้เด็กฟัง บางครั้งเล่านิทาน เรื่องเดิมซ้ำอยู่ หลายวัน ก่อนจะเล่าเรื่องใหม่ หลักของการเล่า นิทานซ้ำ ก็เพื่อสร้างให้เกิด เส้นใยประสาท ที่มั่นคงและเพิ่มขึ้น เมื่อเครือข่ายเส้นใยประสาทเหล่านี้คงที่แล้ว จะเกิดกลไกตรงกันข้าม หมายความว่าเด็กสามารถนำข้อมูลจาก ภาพพจน์หรือจินตนาการ ที่วาดไว้มาใช้ตอบสนองสิ่งกระตุ้นภายนอก อย่างถูกต้อง ตรงนี้เป็นขั้นตอนแรกของความคิดสร้างสรรค์
ตัวอย่างเช่น เราเล่านิทานเรื่องลูกหมี 3 ตัวให้เด็กฟังทุกวัน แล้วอยู่มาวันหนึ่งขณะที่เรานั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะ เด็กก็บอกว่า "ร้อนจังเลย เราจะต้องไปเดินเล่นในป่าแล้วละ" ผู้ใหญ่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมในการเล่นของเด็กด้วย คือลุกจากโต๊ะทำเป็นเดินในป่า เมื่อถึงตอน หมาป่าเกเร จะเข้ามากินลูกหมี เด็กอาจร้องว่า "เสียงเคาะประตู โอ..มันเป็นหมาป่าตัวใหญ่ เอ้าวิ่งไปหาที่ซ่อนกันเร็ว" ผู้ใหญ่ก็ต้องลุกขึ้น วิ่งหนีไปซ่อน กับเด็กด้วย
อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อเด็ก 5 ขวบคนหนึ่ง เห็นรถวิ่งมา ตามถนน อย่างรวดเร็ว ก็เก็บข้อมูลตรงนี้ไป สร้างจินตนาการ ไปหยิบหลอดด้าย ของแม่ที่ลิ้นชัก มาสมมุติเป็น รถยนต์ แล้วเล่นไถไปไถมา เป็นชั่วโมง ส่งเสียงบรื้น ๆ เหมือนรถยนต์ บังคับหลอด ด้ายให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา
สังเกตได้ว่า นิทานสำหรับเด็กเล็ก ๆ มักประกอบด้วยสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่านิทานของชาติใด จะต้องมีนิทานที่จินตนาการ ให้สัตว์เป็น เหมือน คนหรือเป็น สัญลักษณ์แทนคน เช่น นิทานที่ให้สัตว์เป็น พระราชาหรือเป็นเจ้าชายสุดหล่อ เป็นต้น สัญลักษณ์เหล่านี้มี ความหมายด้วย อย่างเช่น หมูทำให้นึกถึงคนขี้อาย ขี้ขลาด สิงโตแทนคนที่มีอำนาจ นกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาด เป็นต้น
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ ความฝันพบว่า ส่วนใหญ่แล้ว ความฝันของเด็ก จะเป็นสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์แทนคนเกือบทั้งสิ้น
เรื่องนี้เราจะเห็นได้จากตัวการ์ตูนของวอลซ์ดิสนีย์ ซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็นสัตว์เสียส่วนใหญ่ และมักเป็นสัตว์ที่มีหัวโตหน้ายิ้ม การออกแบบให้เป็นสัตว์หัวโตเปรียบเสมือน เด็กซึ่งมีสัดส่วนระหว่างศีรษะกับตัวต่างกันมากเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่
สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์แทนคนใน จินตนาการ ของเด็กจะหายไปและถูกแทนที่ด้วย เรื่องราวของคนจริง ๆ เมื่อเด็กอายุประมาณ 7 ปี ตอนนี้ธรรมชาติ ทำให้พัฒนาการของ สมองคนเราสมบูรณ์
การเล่นสมมุติ
เราจะสังเกตเห็นว่าใน ขณะที่เด็กเล่นสมมุติเด็ก จะพูดคุยตลอดเวลา ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า การเรียนรู้ ภาษาของเด็ก ในช่วงแรกเริ่ม จะเรียนรู้อย่างเป็น รูปธรรม คือ เมื่อเด็กได้ยินคำพูด เด็กก็จะสร้างภาพพจน์หรือ จินตนาการ ขึ้นมา ในการเล่น ก็เช่นกันเด็ก จะสร้างจินตนาการ ขึ้นมาจากคำพูดของตัวเอง โดยใช้ โลกภายใน (Inner World) คือ สมองของเด็ก การเล่นแบบสมมุตินี้ ส่วนที่เป็นจริง ก็ยังเป็นจริงอยู่ เด็กรู้ดีว่า หลอดด้ายไม่ใช่รถยนต์จริง ๆ เหมือนกับที่กวีเปรียบเทียบทะเลสาปดั่ง พลอยสีน้ำเงินหรือไพลิน
การเล่นสมมุติของเด็ก เมื่ออายุ 7 ปีขึ้นไป เด็กจะเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง มากขึ้น สัตว์ในสายตา ของเด็กวัยนี้ จะเปลี่ยนจาก สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ ใน จินตนาการ กลายเป็นสัตว์จริง ๆ เด็กต้องการรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่าง สัตว์กับมนุษย์ มากขึ้น จะเริ่มมองหา แบบอย่าง หรือ ตัวอย่างเพื่อ เลียนแบบ เช่น เด็กอายุ 9 ปี จะไปหา หมวกคาวบอย มาใส่ แล้วเอาไม้กลม ๆ มาทำเป็นปืน สมมุติว่า ตัวเองเป็น คาวบอย เหมือนที่เห็นใน ภาพยนตร
การเล่นแบบนี้ จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเมื่ออายุมากขึ้น จนกระทั่งอายุ 11-12 ปี จึงจะเล่นอย่างมี กฎเกณฑ์มากขึ้น มีการเถียงกันว่า "เธอแพ้ ฉันไม่แพ้" หรือ "ไม่ยุติธรรม" ซึ่งการเล่นอย่างมี กฎเกณฑ์นี้ จะค่อย ๆ เปลี่ยนเด็กให้มี ความคิดใกล้เคียงผู้ใหญ่ โดยเปลี่ยน จากเด็ก มาเป็นวัยรุ่น แล้วมาเป็นผู้ใหญ่ ที่มีความรับผิดชอบ ต่อสังคม รับผิดชอบ ในการที่จะเป็น ผู้ปกครองผู้อื่น ซึ่งเป็น ความรับผิดชอบ ที่ต้องการ การควบคุมตัวเองอ ย่างมาก
สำหรับเด็กโต นิทานอภินิหาร เรื่องเกี่ยวกับวีรบุรุษหรือประวัติบุคคลสำคัญต่าง ๆ หรือบุคคลที่มีความเสียสละ มีคุณงามความดี มีความกล้าหาญ มีความอดทนหมั่นเพียร เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อพัฒนาการของเด็กวัยนี้
การเล่นในรูปแบบอื่นที่ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้
เด็กในช่วงอายุประมาณ 7-11 ปี เป็นช่วงที่เหมาะสมใน การสร้างเสริมทักษะต่าง ๆ รวมถึงการร้องเพลงด้วย การเรียนการสอน โดยใช้เสียงเพลง เสียงดนตรี การเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ของ การเล่นของเด็ก ซึ่งมีประโยชน์มาก เนื่องจาก เป็นการเปิดสมอง หรือ สร้างสรรค์สมอง ให้มีโอกาสได้เรียนรู้มากขึ้น
การเล่น การร้องรำทำเพลง ที่แทรกเป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตประจำวัน จะทำให้เด็กมี จินตนาการอย่างอิสระ มีการใช้ และเกิด เครือข่ายเส้นใยประสาท ใหม่ ๆ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปโดยสมบูรณ์
เช่นเดียวกัน มาร์กาเร็ต มี้ด (Margaret Mead) บอกว่า การเรียนรู้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่มีเรื่องของศิลปะมาช่วย ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่ต้องสอนแต่นำมาใช้เป็นวิธีการสอนเรื่องต่าง ๆ
· Tab 4
พัฒนาการของกระบวนการคิดในเด็ก
เด็กอายุ 11 ปีจะเริ่มเรียนรู้ที่จะเลือกทำสิ่งต่าง ๆ เรียนรู้เรื่อง กฎระเบียบวินัย ซึ่งเป็น การเรียนรู้ ในระดับสูงยิ่งขึ้น และ ธรรมชาติ ได้เตรียมเด็ก ให้มาถึง ขั้นตอนนี้ โดยผ่าน การเล่นนั่นเอง
ชอง เปียเจต์ ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงความคิด จาก รูปธรรม มาเป็น นามธรรม เพื่อจะให้เห็นว่าในเด็กเล็ก ๆ ก็มี การสร้างจินตนาการภายในตัวเอง (Inner Image) จากสิ่งกระตุ้นหรือวัตถุภายนอก อย่างเช่น
เด็กสมมุติว่า กล่องไม้ขีดเป็นเรือ หรือเป็น วัตถุต่าง ๆ เป็นต้น แต่พออายุ 7 ปีเด็กเริ่มจะเปลี่ยน ความคิดแบบรูปธรรมมาเป็น นามธรรม สามารถเอาวัตถ ุหรือ สิ่งแวดล้อม ที่เห็นเข้ามาเปลี่ยนเป็น ความคิดในตัวเองได้ คือ สร้างความคิดขึ้นมาได้ ซึ่ง เปียเจต์ เรียกว่า กระบวนการคิดแบบเป็นรูปธรรม (Concrete Operational Thinking)
จากทฤษฎีของเปียเจต์ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้าเอาแก้วน้ำ 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นแก้วทรงผอมสูง อีกใบเป็นแก้วทรงอ้วนเตี้ย เมื่อรินน้ำปริมาณเท่า ๆ กันลงในแก้วทั้งสองใบ แน่นอนที่สุดแก้วใบผอมสูงจะมีระดับน้ำสูงกว่าแก้วทรงอ้วนเตี้ย ถ้าถามเด็กเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ในวัยที่มีความคิด เป็นรูปธรรม ว่าน้ำในแก้วไหนมากกว่ากัน เด็กจะบอกว่า แก้วใบสูงมากกว่า และถึงแม้ จะเทน้ำออกมา ให้เด็กดูว่ามีปริมาณ เท่ากัน เด็กก็ยังบอกว่า ยังน้อยกว่า หรือ มากกว่ากันนิดหน่อยอยู่ดี คือเด็กยังไม่ยอมรับ ความคิดที่ว่า ปริมาณน้ำเท่ากัน แต่เมื่อเด็กอายุ 6-7 ปีขึ้นไป จะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความคิดที่เป็นนามธรรม ซึ่งทำให้เด็ก สามารถเข้าใจได้ว่า ปริมาณน้ำในแก้วสองใบนี้เท่ากัน
ช่วงวัยของโอกาสที่จะเรียนรู้ (Window Of Opportunity)
สมองของคนเรามีช่วงวัยที่จะเรียนรู้แต่ละเรื่องแตกต่างกันไป อย่างเช่นในเรื่องของการเรียนรู้ภาษา ช่วงวัยที่คนเราสามารถเรียนรู้แต่ละส่วนของภาษาจะแตกต่างกัน เช่น การสร้างประโยค เด็กจะมีความสามารถรับรู้เรียนรู้ได้จนถึง 5-6 ขวบ หลังจากนั้นหากไม่ได้รับการสอนเลยจะเรียนรู้การสร้างประโยคได้ยากขึ้น แต่ถ้าเป็นการสร้างคำใหม่ ๆ จะไม่มีขอบเขตจำกัดวัยของการเรียนรู้ ดังที่เราจะเห็นว่าผู้ใหญ่สามารถเรียนรู้คำใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา
ความสามารถในการเรียนภาษาที่สองนอกเหนือจากภาษาแม่ จะเจริญสูงสุดในช่วงแรกเกิดถึงอายุ 6 ขวบ หลังจากนั้นความสามารถจะลดลง ซึ่งจะเห็นได้ว่าในผู้ใหญ่จะเรียนภาษาอื่นได้ยากกว่าตอนเป็นเด็ก แต่ก็ยังสามารถเรียนได้อยู่ ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างสูง
จากข้อมูลนี้ทำให้เราพบว่า เราสามารถจะสอนเด็กให้รู้ภาษาที่สองได้ตั้งแต่เด็กอยู่ในวัยประถมศึกษาหรือก่อนหน้านั้น หรือการให้การศึกษาพิเศษกับเด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ก็สามารถจะเริ่มได้ตั้งแต่เด็กอายุ 3-4 ขวบ แทนที่จะรอไปถึง 9-10 ปี
นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมองจะเจริญเติบโตสูงสุดเมื่อเด็กอายุประมาณ 10-12 ปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลระหว่างการสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่และการเสื่อมสลายของ จุดเชื่อมต่อเหล่านี้ ซึ่งพบว่าหลังวัยนี้ไปแล้วสมองจะเริ่มทำลายหรือกำจัดจุดเชื่อมต่อที่ไม่มั่นคง และเก็บจุดเชื่อมต่อหรือเส้นใยประสาทที่มั่นคงซึ่งเป็นผลจากประสบการณ์ที่ได้รับเข้าไปเอาไว้
เด็กอายุ 7-11 ปี เป็นช่วงที่สามารถรับรู้ เรียนรู้ในเรื่องของแบบอย่างความคิดโดยที่ไม่มีขอบเขตจำกัด โดยเฉพาะในวัยอายุ 11 ปีเป็นช่วงที่จะยอมรับ ความคิดแบบอย่างต่าง ๆ ได้ดีที่สุด ไม่ว่าครูหรือผู้ใหญ่จะแนะนำหรือสอน ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สมองเรียนรู้ได้มาก เพราะเครือข่ายเส้นใยประสาทยังใหม่อยู่ แต่หลังอายุ 14 ปี เป็นต้นไป สมอง จะมีขอบเขตจำกัด จะเรียนรู้ยอมรับ ความคิดหรือแบบอย่างได้น้อยลง
ดร.ราคิก (Dr.Rakic) จากมหาวิทยาลัยเยล กล่าวไว้ว่า ในวัยรุ่นช่วงปลาย คืออายุประมาณ 18 ปี สมองจะหยุดยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ความสามารถพิเศษ หรือแนวโน้มที่จะมี ความสามารถพิเศษ ที่ได้รับ การหล่อหลอม มาตั้งแต่เล็ก ๆ จะเริ่มเบ่งบาน เห็นผล ในช่วงนี้ คือ ประสบการณ์ที่จะกระตุ้น ให้เกิด กระแสไฟฟ้าใน เครือข่ายเส้นใยประสาท เริ่มทำงาน เปรียบเสมือน ช่างแกะสลัก ที่กำลังสลักเสลารูป แกะสลัก ให้ออกมา เป็นรูปเป็นร่าง ที่สวยงาม สมองในขณะนี้ก็เช่นกัน กำลังพยายาม ตกแต่งโครงสร้าง ให้ออกมาเป็น แบบแผน ถ้า เครือข่ายเส้นใยประสาท ส่วนใดไม่ได้ใช้งาน ก็จะถูกทำลายไป ขณะที่ เครือข่ายเส้นใยประสาท ที่ใช้งานมาก ๆ จะอยู่คงทน มั่นคง
อย่างไรก็ตาม ในผู้ใหญ่เรา ก็ยังสามารถ ที่จะ อ่านหรือ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือมีความจำใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เกิดจากการใช้ เครือข่ายเส้นใยประสาท ที่มีอยู่เดิม หรือสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่
สรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้มีหลากหลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม ที่ว่า ความรู้ไม่ใช่การให้ หรือ เทข้อมูลเข้าไปในสมองเด็ก แต่เด็กจะสร้างความรู้ ขึ้นในสมอง ของเขาเอง จาก สิ่งแวดล้อม ภายนอก ดังนั้นครูจึงไม่ใช่ผู้ใส่ความรู้ให้เด็ก แต่จะต้องคอยเป็นผู้ช่วยให้เด็กสร้างความรู้ขึ้นจากตัวของเด็กเอง
ดร.เพียร์ซ อธิบายถึง วงจรความสามารถในการเรียนรู้ว่า มี 3 ขั้นตอน เริ่มด้วยขั้นตอนพื้นฐานเหมือนกับ การหล่อปูนที่เริ่มจากผิวขรุขระ (Roughing In) จากนั้น จะเป็น ขั้นตอนการ สร้างความสัมพันธ์ ระหว่าง ข้อมูลเดิม และข้อมูลใหม่ ที่เติมเข้าไป (Relating And Filling In) และขั้นตอนสุดท้าย คือ การฝึกฝนและเรียนรู้ถึงความ แตกต่าง (Practice) ถ้าหากเด็กกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเรียนรู้ที่ยังไม่ครบวงจร เขาจะไม่สามารถรับข้อมูลใหม่เข้าไปได้
การเล่น การเล่านิทาน ก็เป็นการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งที่ทำให้เด็กเกิดจินตนาการ เอาข้อมูลภายนอก เข้าไปสร้าง จินตนาการ ในโลกภายใน แล้วแสดงกลับออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็น พื้นฐานของ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ต่อไป
ช่วงระยะเวลา ของ ความสามารถใน การเรียนรู้ (Window Of Opportunity) แต่ละเรื่องจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เช่น ภาษารูปธรรมเด็ก สามารถเรียนรู้ใน 6-7 ปีแรกของชีวิต หลังจากนั้นจะเริ่มเรียนรู้ภาษาแบบนามธรรม ในขณะที่ภาษาที่สองเด็กจะเรียนได้ดีในช่วง 6 ปีแรก เป็นต้น
· Next
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories)
· ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning)
· ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning)
· ทฤษฎีความสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connectionism)
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitive Learning Theories)
· ทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยการหยั่งรู้ (Insight Learning)
· ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการประมวลสารสนเทศ (Information Processing Model of Learning)
ทฤษฎีสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเอง (Constructivism)
รูปแบบการคิด (Cognitive Style) และ รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Style)
องค์กรเรียนรู้ Learning Organization
การพัฒนาตน Self Development พัฒนาตนเอง
การประยุกต์ใช้เทคนิคในการพัฒนาตนเฉพาะเรื่อง
เทคนิคทางจิตวิทยาที่ใช้ในการพัฒนาตน
องค์ประกอบด้านสติปัญญา IQ (Intelligent Quotient)
องค์ประกอบด้านความฉลาดทางจริยธรรม และศีลธรรม (Moral Quotient : MQ)
องค์ประกอบด้านความสามารถในการฝันฝ่าปัญหาอุปสรรค AQ (Adversity Quotient)
กระบวนการเรียนรู้
· Tab 1
ความหมายและขอบข่ายของการเรียนรู้
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิต คำจำกัดความที่นักจิตวิทยา มักจะกล่าวอ้างอยู่เสมอ แต่ยังไม่ถึงกับเป็นที่ยอมรับ กันอย่างสากล คือ คำจำกัดความของ คิมเบิล (Gregory A Kimble)
คิมเบิล กล่าวว่า “การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลงศักยภาพแห่งพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกหรือการปฏิบัติที่ได้รับ การเสริมแรง (Learning as a relatively permanent change in behavioral potentiality that occurs as a result of reinforced practice) ”
จากความหมายของการเรียนรู้ข้างต้นแยกกล่าวเป็นประเด็นสำคัญได้ ๕ ประการ คือ
๑ การที่กำหนดว่า การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ก็แสดงว่าผลที่เกิดจากการเรียนรู้ จะต้องอยู่ใน รูปของพฤติกรรม ที่สังเกตได้ หลังจากเกิดการเรียนรู้แล้ว ผู้เรียนสามารถทำสิ่งหรือเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อนการเรียนรู้นั้น
๒ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวร นั่นก็คือ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนั้น จะไม่เป็นพฤติกรรมในช่วงสั้น หรือเพียงชั่วครู่ และในขณะเดียวกันก็ ไม่ใช่พฤติกรรมที่คงที่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป
๓ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปอย่างทันทีทันใด แต่มันอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงศักยภาพ (Potential) ที่จะกระทำ สิ่งต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต การเปลี่ยนแปลง ศักยภาพนี้อาจแฝงอยู่ในตัวผู้เรียน ซึ่งอาจจะยังไม่ได้แสดงออกมา เป็นพฤติกรรมอย่าง ทันทีทันใดก็ได้
๔ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงศักยภาพในตัวผู้เรียนนั้นจะเป็นผลมาจากประสบการณ์หรือการฝึกเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือศักยภาพอันเนื่องมาจากสาเหตุอื่นไม่ถือเป็นการเรียนรู้
๕ ประสบการณ์หรือการฝึกต้องเป็นการฝึกหรือปฏิบัติที่ได้รับการเสริมแรง (Reinforced practice) หมายความว่า เพียงแต่ผู้เรียนได้ รับรางวัลหลังจากที่ตอบสนอง ก็จะให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในแง่นี้คำว่า “รางวัล” กับ “ตัวเสริมแรง” (Reinforce) จะให้ความหมายเดียวกัน ต่างก็คือหมายถึงอะไรบางอย่างที่อินทรีย์ (บุคคล) ต้องการ
ปัจจัยสำคัญในสภาพการเรียนรู้
ในสภาพการเรียนรู้ต่างๆ ย่อมประกอบด้วยปัจจัยที่สำคัญ ๓ ประการ ด้วยกัน คือ
๑. ตัวผู้เรียน (Learner)
๒. เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เป็นตัวเร้า (Stimulus Situation)
๓ การกระทำหรือการตอบสนอง Action หรือ Response
· Tab 2
ลำดับขั้นในกระบวนการเรียนรู้
มูลลีย์ (George J. Mouly) กำหนดลำดับขั้นในกระบวนการเรียนรู้ไว้ ๗ ขั้น ดังนี้
๑ เกิดแรงจูงใจ (Motivation) เมื่อใดก็ตามที่อินทรีย์เกิดความต้องการหรืออยู่ในภาวะที่ขาดสมดุลย์ก็จะมีแรงขับ (Drive) หรือแรงจูงใจ (Motive) เกิดขึ้นผลักดันให้เกิดพฤติกรรมเพื่อหา สิ่งที่ขาดไปนั้นมาให้ร่างกายที่อยู่ในภาวะที่พอดี แรงจูงใจมีผลให้แต่ละคนไวต่อการสัมผัสสิ่งเร้าแตกต่างกันเป็นสิ่งที่จะกำหนดทิศทางและความเข้มของพฤติกรรมและเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้น สำหรับการเรียนรู้
๒ กำหนดเป้าประสงค์ (Goal) เมื่อมีแรงจูงใจเกิดขึ้นแต่ละบุคคลก็จะกำหนดเป้าประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความพึงพอใจ เป้าประสงค์จึงเป็น ผลบั้นปลายที่อินทรีย์แสวงหา ซึ่งบางครั้งอาจจะชัดเจน บางครั้งอาจจะเลื่อนลอย บางครั้งอาจกำหนดขึ้น เพื่อสนองความต้องการทางสรีระ หรือบางครั้งเพื่อสนองความต้องการทางสังคม
๓ เกิดความพร้อม (Readiness) คนแต่ละคนมีขีดความสามารถที่จะรับ และความต้องการพื้นฐานเพื่อที่จะเสาะแสวงหาความพอใจ หรือหาสิ่งที่จะสนอง ความต้องการได้จำกัดและแตกต่างกันไปตามสภาพความพร้อมของแต่ละบุคคล เช่น เด็กทารกซึ่งมีความเจริญ ทางสรีระ ยังไม่มากก็จะไม่พร้อมที่จะเรียนรู้วิธีการหาอาหารด้วยตนเองได้ เด็กที่ร่างกายอ่อนแอ หรือมีความบกพร่องของอวัยวะบางส่วน ก็จะไม่พร้อมในการเล่นกีฬาบางอย่างได้ กล่าวได้ว่าสภาพความพร้อมในการเรียนของบุคคลนั้นจะต้องอยู่กับองค์ประกอบอื่น ๆ หลายประการ อาทิเช่น ความเจริญเติบโตของโครงสร้างทางร่างกาย การจูงใจ ประสบการณ์ด้วย เป็นต้น เรื่องของความพร้อมนี้นับว่า เป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะต้องดีก่อนที่จะเกิดการเรียนรู้
๔ มีอุปสรรค (Obstacle) อุปสรรคจะเป็นสิ่งขวางกั้นระหว่างพฤติกรรมที่เกิดจากแรงจูงใจกับเป้าประสงค์ ถ้าหากไม่มีอุปสรรค์ หรือสิ่งกีดขวางเราก็จะไปถึงเป้าประสงค์ได้โดยง่าย ซึ่งเราก็ถือว่าสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เกิดความต้องการที่จะแก้ปัญหาและเรียนรู้ ตรงกันข้ามการที่เราไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้จะก่อให้เกิดความเครียดและจะเกิดความพยายามที่จะหาวิธีการแก้ปัญหาซึ่งจะทำให้เกิด การเรียนรู้ขึ้น
๕ การตอบสนอง (Response) เมื่อบุคคลมีแรงจูงใจ มีเป้าประสงค์ เกิดความพร้อม และเผชิญกับอุปสรรคเข้าก็จะมีพฤติกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น พฤติกรรมนั้นอาจเริ่มด้วยการตัดสินใจ เกิดอาการตอบสนองที่เหมาะสมทดลองทำแล้วปรับปรุงแก้ไขการตอบสนองนั้นให้แก้ปัญหาได้ดที่สุด ซึ่งแนวทางของ การตอบสนองอาจมุ่งสู่เป้าประสงค์โดยตรงหรือโดยทางอ้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง
๖ การเสริมแรง (Reinforcement) การเสริมแรงก็หมายถึง การได้รางวัลหรือให้สิ่งเร้าที่ ก่อให้เกิดความพอใจ ซึ่งปกติผู้เรียนจะได้รับ หลังจากที่ตอบสนองแล้ว ตัวเสริมแรงไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของหรือวัตถุที่มองเห็นได้เสมอไป เพราะความสำเร็จ ความรู้ ความก้าวหน้า ฯลฯ ก็เป็นตัวเสริมแรงได้เช่นเดียวกัน
๗ การสรุปความเหมือน (Generalization) หลังจากที่ผู้เรียนสามารถตอบสนองหรือหาวิธีการที่จะมุ่งสู่เป้าประสงค์ได้แล้ว เขาก็อาจจะประสงค์ใช้กับปัญหา หรือสถานการณ์ที่จะพบในอนาคตได้นั้นก็แสดงว่า ผู้เรียนเกิดความสามารถที่จะสรุปความ เหมือนระหว่างสถานการณ์การเรียนรู้ที่มีมาก่อน กับปัญหาหรือสถานการณ์ที่เพิ่งจะพบใหม่ ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของพฤติกรรม การเรียนรู้ให้กว้างขวางออกไป
· Tab 3
ชนิดของการเรียนรู้
แกนเย (Gane) ได้แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น ๘ ประเภท นับตั้งแต่การเรียนรู้แบบพื้นฐานไปจนถึงการเรียนรู้ที่ซับซ้อน ดังนี้
๑ การเรียนรู้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ (Signal learning)
๒ การเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง (Stimulus Response Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะเชื่อมโยง (Connection) การตอบสนองที่เหมาะสมต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ โดยที่เมื่อได้ตอบสนองอย่างถูกต้องหรือเหมาะสมก็จะได้รับรางวัล หรือตัวเสริมแรง หรือเกิดความพอใจ หรืออยากตอบสนองเช่นนั้นซ้ำ ๆ การเรียนรู้แบบนี้ต่างจากการเรียนรู้แบบแรก เพราะการตอบสนอง การเรียนรู้ในลักษณะนี้เกิดขึ้นด้วยความจงใจ ส่วนแบบแรกการตอบสนองเกิดขึ้นโดยไม่จงใจและการเรียนรู้แบบนี้จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสมองที่สูงกว่า ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้ดังกล่าวอาจสรุปได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้
๑) การเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนองจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ทีละน้อย
๒) การตอบสนองของผู้เรียนที่แสดงตอบโต้สิ่งเร้านั้นจะเป็นการตอบสนองที่ ผู้เรียนมีความมั่นใจมากขึ้นตามโอกาสที่ได้กระทำซ้ำ ๆ
๓) การเรียนรู้แบบนี้ จะเป็นการเชื่อมโยงการตอบสนองบางอย่างต่อสิ่งเร้าเฉพาะอย่าง สิ่งเร้าอื่น ๆ จะไม่มีความหมายที่จะทำให้เ กิดการตอบสนองเช่นเดียวกับที่ได้ตอบโต้สิ่งเร้าเฉพาะอย่างนั้น
๔) สิ่งสำคัญที่เกี่ยวกับการเรียนรู้แบบนี้ ก็คือ รางวัลหรือตัวเสริมแรง คือว่ารางวัลจะทำให้ผู้กระทำเกิดความพอใจ และเป็นการเพิ่มโอกาส ที่จะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นซ้ำอีกในทางตรงข้ามเราจะไม่ให้รางวัลต่อการตอบสนองที่เราไม่ต้องการ ซึ่งจะมีผลให้การตอบสนอง ที่เราไม่ต้องการนั้นค่อย ๆ ลดและยุติลงในที่สุด
จะเห็นว่า การเรียนรู้แบบนี้ มีลักษณะคล้าย ๆ กับการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกของ ธอร์นไดค์ (Thorndike) และการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของ สกินเนอร์ (Skinner) นั่นเอง
๓ การเรียนรู้ด้านทักษะหรือด้านกลไก ( Skill Learning ) หรือ (Motor training) เป็นการเรียนรู้ทำนองเดียวกับแบบที่ ๒ แต่มีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะประกอบด้วยความสัมพันธ์ และการตอบสนองตั้งแต่ ๒ คู่ขึ้นไป และเห็นการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนองในรูปของการใช้กลไกของกล้ามเนื้อและทักษะ ตัวอย่างเช่น เด็กที่จะเรียนรู้การเปิดประตู ก็จะมีลำดับของกิจกรรมต่อเนื่อง เป็นสายโซ่ ดังนี้ มีพวงกุญแจอยู่ในมือ เลือกลูกกุญแจที่จะใช้ขึ้นมาสอดใส่เข้าไปในลูกบิด หมุนลูกกุญแจ จนหมดเสียงแกร๊กแล้ว ก็ผลักประตูให้เปิดออก
๔ การเรียนรู้ความสัมพันธ์ด้านถ้อยคำ (Verbal Association) การเรียนรู้แบบนี้คล้ายกับแบบที่ ๓ แต่ต่างกันที่ การตอบสนอง ต่อสิ่งเร้า ในแบบที่ ๑ เป็นการใช้กลไกกล้ามเนื้อ ส่วนแบบที่ ๔ เป็นเรื่องของการใช้ถ้อยคำ การเรียนรู้แบบนี้เป็น ความสำคัญของภาวะภายใน มากกว่าแบบที่ ๓
๕ การเรียนรู้เพื่อแยกความแตกต่าง ( Discrimination Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งเร้า เพื่อจะตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นให้ถูกต้อง การเรียนรู้ที่จะมีเรื่องการจัดการสัมผัสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ตัวอย่างของการเรียนรู้แบบนี้ ก็ได้แก่การที่ครูซึ่งสอนในชั้นเรียนสามารถเรียกชื่อผู้เรียนแต่ละคนได้ถูกต้อง นักเรียนจะเรียนรู้ความแตกต่างของ พืช สัตว์ และสารเคมี หรือหินชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันได้ เด็กเล็ก ๆ เรียนรู้ที่จะแยกความแตกต่างของสี รูปร่างของสิ่งของ อักษร คำ จำนวน สัญลักษณ์เป็นต้น
การเรียนรู้เพื่อแยกความแตกต่างนี้ อาจเป็นการเรียนรู้เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างสายโซ่ของความสัมพันธ์ของสิ่งเร้า และการตอบสนองตั้งแต่ ๒ คู่ขึ้นไป
๖ การเรียนรู้สังกัป ( Concept Learning) การเรียนรู้สังกัปเป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียน จะจัดประเภทของสิ่งเร้าโดยพิจารณาจากคุณสมบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับสี , รูปร่าง , ขนาด , จำนวน ฯลฯ เป็นหลัก ผู้เรียนต้องเรียนรู้สิ่งที่คล้ายกัน สามารถสรุปความเหมือน และแยกความแตกต่างของ สิ่งเร้ามีข้อสังเกตว่าการเรียนรู้สังกัปนี้ การตอบสนองของผู้เรียนไม่ได้เป็นการเชื่อมโยงกับลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้าเฉพาะอย่าง หากแต่ จะเป็นการเชื่อมโยงกับคุณสมบัติทางนามธรรมของสิ่งเร้านั้น ๆ แกนเยถือว่าการเรียนรู้แบบต่างๆ ที่กล่าวมาทั้ง ๕ ประเภทข้างต้น จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ชนิดนี้
๗ การเรียนรู้กฎหรือหลักการ (Rule Learning หรือ Principle Learning) กฎ (Rule) หรือหลักการ (Principle) เป็นสายโซ่ของความสัมพันธ์ของสังกัป(Concept) ตั้งแต่ ๒ อย่างขึ้นไป เช่น เมื่อเกิดสังกัปความยาวของเส้นตรง และเกิดสังกัปเกี่ยวกับความยาว ความกว้างของสี่เหลี่ยม เราก็สามารถตั้งเป็นกฎของการหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมในรูปของความสัมพันธ์ระหว่างความยาว และความกว้างได้ ตัวอย่างของกฎอื่น ๆ หรือในวิชาพีชคณิต xa + xb = x (a + b) เป็นต้น
๘ การเรียนรู้การแก้ปัญหา (Problem Solving) ในชีวิตของเรานั้นเราจะต้องคิดค้นสิ่งต่าง ๆ เพื่อตั้งเป็นกฎหรือ หลักการเพื่อจะนำไปใช้ ควบคุม หรือแก้ปัญหาต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ตลอดเวลา บางครั้งมนุษย์เราก็จะนำกฎง่าย ๆ ที่มีอยู่นั้นมาสัมพันธ์กันเป็น กฎใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งการรวมกันเป็นกฎใหม่ดังกล่าวนับว่าจำเป็นมากที่จะใช้ในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ
การแก้ปัญหา หมายถึง การคิดหรือการขยายความคิดออกไปเพื่อหากฎใหม่ ๆ (ซึ่งอาจเกิดจากการรวมกฎที่มีอยู่ก่อน เข้าเป็นความสัมพันธ์ใน รูปแบบใหม่นั้นเอง) ฉะนั้นจะเห็นว่า การแก้ปัญหาเป็นการเรียนรู้ ที่ต้องอาศัยความคิด การแก้ปัญหาและการคิด จึงมีความสัมพันธ์กัน อย่างแยกไม่ออก นอกจากนี้แล้วการแก้ปัญหาต้องอาศัยสังกัป (Concept) และกฎที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเป็นพื้นฐานสำคัญ จึงสามารถแก้ปัญหาใหม่ ๆ ได้
· Tab 4
จะเห็นว่านักจิตวิทยาพยายามแบ่งการเรียนรู้ออกเป็นประเภทต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ซึ่งยังมีอีกหลายท่านที่แบ่งประเภทของการเรียนรู้แตกต่างจากที่กล่าวมา อย่างไรก็ตาม ชนิดของการเรียนรู้ที่นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ มีความเห็นพ้องกันนั้น อาจจำแนกออกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๔ แบบ ด้วยกัน คือ
๑) การเรียนรู้สังกัป
๒) การเรียนรู้ทักษะ
๓) การเรียนรู้เจตคติ
๔) การเรียนรู้การแก้ปัญหา และการคิด
ในจำนวนการเรียนรู้ทั้ง ๔ ประเภทนี้ การเรียนรู้สังกัปและทักษะจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการเรียนรู้เจตคติความซาบซึ้ง และการเรียนรู้การแก้ปัญหาและการคิด
- การเรียนรู้สังกัปช่วยพัฒนาบุคคลให้เกิดความรอบรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์และปัญหาวิชาต่าง ๆ
- การเรียนรู้ทักษะช่วยให้เกิดความคล่องแคล่วทางกลไก และทำให้ผลการกระทำมีประสิทธิภาพ
- การเรียนรู้เจตคติและความซาบซึ้งจะมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและแรงจูงใจนับเป็นรากฐานของการที่จะพัฒนาคนให้มีความฝักใฝ่ค้นคว้า หรือที่จะทำให้เกิดทักษะและสังกัป
- การเรียนรู้การแก้ปัญหาและการคิดจะเป็นรากฐานที่จะพัฒนาบุคคลให้สามารถแก้ปัญหา การปรับตัวและปรุงแต่งให้เป็นบุคคลประเภทสร้างสรรค์ (Creative people) ที่สังคมปรารถนา
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Learning Theories)
· Tab 1
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมเน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า (Stimulas) และ การตอบสนอง (Response) โดยอินทรีย์จะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและ การตอบสนองอันนำไปสู่ ความสามารถในการแสดงพฤติกรรม คือการเรียนรู้นั่นเอง ผู้นำที่สำคัญของ กลุ่มนี้ คือ พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ธอร์นไดร์ (Edward Thorndike) และสกินเนอร์ (B.F.Skinner)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning)
ผู้ที่ทำการศึกษาทดลองในเรื่องนี้ คือ พาฟลอฟ ซึ่งเป็นนักสรีระวิทยาชาวรัสเซีย เขาได้ทำการศึกษาทดลองกับสุนัขให้ ยืนนิ่งอยู่ในที่ตรึงใน ห้องทดลอง ที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลาย การทดลองแบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ ก่อนการวางเงื่อนไข (Before Conditioning) ระหว่างการวางเงื่อนไข (During Conditioning) และ หลังการวางเงื่อนไข (After Conditioning) อาจกล่าวได้ว่า การเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค คือ การตอบสนอง ที่เป็นโดยอัตโนมัติเมื่อนำ สิ่งเร้าใหม่มาควบคุมกับสิ่งเร้าเดิม เรียกว่า พฤติกรรมเรสปอนเด้นท์ (Respondent Behavior) พฤติกรรมการเรียนรู้นี้เกิดขึ้นได้ทั้งกับมนุษย์และสัตว์ คำที่พาฟลอฟใช้อธิบายการทดลองของเขานั้น ประกอบด้วยคำสำคัญ ดังนี้
- สิ่งเร้าที่เป็นกลาง (Neutral Stimulus) คือ สิ่งเร้าที่ไม่ก่อให้เกิดการตอบสนอง
- สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus หรือ US ) คือ สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองได้ตาม
ธรรมชาติ
- สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus หรือ CS) คือ สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองได้หลังจากถูก
วางเงื่อนไขแล้ว
การตอบสนองที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข (Unconditioned Response หรือ UCR) คือการตอบสนองที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติ
การตอบสนองที่ถูกวางเงื่อนไข (Conditioned Response หรือ CR) คือ การตอบสนองอันเป็นผลมาจาก
การเรียนรู้ที่ถูกวางเงื่อนไขแล้ว กระบวนการสำคัญอันเกิดจากการเรียนรู้ของพาฟลอฟ มีอยู่ 3 ประการ อันเกิดจากการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข คือ
- การแผ่ขยาย (Generalization) คือ ความสามารถของอินทรีย์ที่จะตอบสนองในลักษณะเดิมต่อสิ่งเร้าที่มี ความหมายคล้ายคลึงกันได้
- การจำแนก (Discrimination) คือ ความสามารถของอินทรีย์ในการที่จะจำแนกความแตกต่างของสิ่งเร้าได้
- การลบพฤติกรรมชั่วคราว (Extinction) คือ การที่พฤติกรรมตอบสนองลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องมาจากการ ที่ไม่ได้รับสิ่งเร้า ที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข การฟื้นตัวของการตอบสนองที่วางเงื่อนไข (Spontaneous recovery) หลังจากเกิด การลบพฤติกรรม ชั่วคราวแล้ว สักระยะหนึ่งพฤติกรรมที่ถูกลบเงื่อนไขแล้วอาจฟื้นตัวเกิดขึ้นมาอีก เมื่อได้รับการกระตุ้นโดยสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
ประโยชน์ที่ได้รับจากทฤษฎีนี้
ก. ใช้ในการคิดหาความสามารถในการสัมผัสและการรับรู้
ข. ใช้ในการแก้พฤติกรรมที่เป็นปัญหา
ค. ใช้ในการวางเงื่อนไขเกี่ยวกับอารมณ์ และเจตคติ
๒) การนำหลักการวางเงื่อนไขของพาฟลอฟไปใช้ในการเรียนการสอน
ก. ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Differences) ความแตกต่างทางด้านอารมณ์ผู้เรียนตอบสนองได้ไม่เท่ากัน ในแง่นี้จำเป็นมากที่ครูต้องคำนึงถึงสภาพทางอารมณ์ของผู้เรียนว่า จะสร้างอารมณ์ให้ผู้เรียนตอบสนองด้วยการสนใจที่จะเรียนได้อย่างไร
ข. การวางเงื่อนไข (Conditioning) การวางเงื่อนไขเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ด้วย โดยปกติผู้สอนสามารถทำให้ผู้เรียนชอบหรือไม่ชอบเนื้อหาที่เรียน หรือสิ่งแวดล้อมในการเรียนหรือแม้แต่ตัวครูได้ ด้วยเหตุนี้ เราอาจกล่าวได้ว่าหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของครูเป็นผู้สร้างสภาวะทางอารมณ์นั่นเอง
ค. การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข (Extinction) ผู้เรียนที่ถูกวางเงื่อนไขให้กลัวครู เราอาจช่วยได้โดยป้องกันไม่ให้ครูทำโทษเขา โดยปกติก็มักจะพยายามมิให้ UCS. เกิดขึ้นหรือทำให้หายไป นอกจากนี้ก็อาจใช้วิธีลดความแรงของ UCS. ให้น้อยลงจนไม่อยู่ในระดับนี้จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางอารมณ์นั้นขึ้นได้
ง. การสรุปความเหมือนและการแยกความแตกต่าง (Generalization และ Discrimination) การสรุปความเหมือนนั้นเป็นดาบสองคม คือ อาจเป็นในด้านที่เป็นโทษและเป็นคุณ ในด้านที่เป็นโทษก็เช่น การที่นักเรียนเกลียดครูสตรีคนใดคนหนึ่งแล้วก็จะเกลียดครูสตรีหมดทุกคน เป็นต้น ถ้าหากนักเรียนเกิดการสรุปความเหมือนในแง่ลบนี้แล้ว ครูจะหาทางลดให้ CR อันเป็นการสรุป กฎเกณฑ์ที่ผิด ๆ หายไป ส่วนในด้านที่เป็นคุณนั้น ครูควรส่งเสริมให้มาก นักเรียนมีโอกาสพบ สิ่งเร้าใหม่ ๆ เพื่อจะได้ใช้ความรู้และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ได้กว้างขวางมากขึ้น
ตัวอย่างเกี่ยวกับการสรุปความเหมือนที่ใช้ในการสอนนี้ คือ การอ่านและการสะกดคำนักเรียนที่สามารถสะกดคำว่า “ round ” เขาก็ควรจะเรียนคำทุกคำที่ออกเสียง O - U - N - D ไปในขณะเดียวกันได้ เช่นคำว่า around , found , bound , sound , ground , mound , pound แต่คำว่า wound (ซึ่งหมายถึงบาดแผล) นั้นไม่ควรเอาเข้ามารวมกับคำที่ออกเสียง O - U - N - D และควรฝึกให้รู้จักแยกคำนี้ออกจากกลุ่ม (Discrimination)
Tab 2
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของ สกินเนอร์
๑) หลักการและแนวคิดที่สำคัญของ สกินเนอร์
ก. เกี่ยวกับการวัดพฤติกรรมตอบสนอง สกินเนอร์ เห็นว่าการศึกษาจิตวิทยาควรจำกัดอยู่เฉพาะพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน และพฤติกรรมที่สังเกตได้นั้นสามารถวัดได้โดยพิจารณาจากความถี่ของการตอบสนองในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือพิจารณาจากอัตราการ ตอบสนอง (Response rate) นั่นเอง
ข. อัตราการตอบสนองและการเสริมแรง สกินเนอร์ เชื่อว่าโดยปกติการพิจารณาว่าใครเกิดการเรียนรู้หรือไม่เพียงใดนั้นจะสรุปเอาจากการเปลี่ยนแปลงการตอบสนอง (หรือพูดกลับกันได้ว่าการที่อัตราการตอบสนองได้เปลี่ยนไปนั้น แสดงว่าเกิดการเรียนรู้ขึ้นแล้ว) และการเปลี่ยนแปลงอัตราการตอบสนองจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการเสริมแรง (Reinforcement) นั้นเอง สิ่งเร้านี้สามารถทำให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนแปลง เราเรียกว่าตัวเสริมแรง (Reinforcer) สิ่งเร้าใดที่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการตอบสนองเราเรียกว่าไม่ใช่ตัวเสริมแรง (Nonreinforcer)
ค. ประเภทของตัวเสริมแรง ตัวเสริมแรงนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะคือ อาจแบ่งเป็นตัวเสริมแรงบวกกับตัวเสริมแรงลบ หรืออาจแบ่งได้เป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิกับตัวเสริมแรงทุติยภูมิ
(๑) ตัวเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcer) หมายถึง สิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้รับหรือนำเข้ามาในสถานการณ์นั้นแล้วจะมีผลให้เกิดความพึงพอใจ และทำให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะเข้มข้นขึ้น เช่น อาหาร คำชมเชย ฯลฯ
(๒) ตัวเสริมแรงลบ (Negative Reinforcer) หมายถึง สิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อตัดออกไปจากสถานการณ์นั้นแล้ว จะมีผลให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนไปในลักษณะเข้มข้นขึ้น เช่น เสียงดัง แสงสว่างจ้า คำตำหนิ ร้อนหรือเย็นเกินไป ฯลฯ
(๓) ตัวเสริมแรงปฐมภูมิ (Primary Reinforcer) เป็นสิ่งเร้าที่จะสนองความต้องการทางอินทรีย์โดยตรง ซึ่งเปรียบได้กับ UCS. ในทฤษฎีของพาฟลอฟ เช่น เมื่อเกิดความต้องการอาหาร อาหารก็จะเป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิที่จะลดความหิวลง เป็นต้น
ลำดับขั้นของการลดแรงขับของตัวเสริมแรงปฐมภูมิ ดังนี้
ก) ความไม่สมดุลย์ในอินทรีย์ ก่อให้เกิดความต้องการ
ข) ความต้องการจะทำให้เกิดพลังหรือแรงขับ (drive) ที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรม
ค) มีพฤติกรรมเพื่อจะมุ่งสู่เป้าหมาย เพื่อให้ความต้องการได้รับการตอบสนอง
ง) ถึงเป้าหมาย หรือได้รับสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ได้รับที่เป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิ ตัวเสริมแรงที่จะเป็นรางวัลที่จะมีผลให้อยากทำซ้ำ และมีพฤติกรรมที่เข้มข้นในกิจกรรมซ้ำ ๆ นั้น
(๔) ตัวเสริมแรงทุติยภูมิ โดยปกติแล้วตัวเสริมแรงประเภทนี้เป็นสิ่งเร้าที่เป็นกลาง (Natural Stimulus) สิ่งเร้าที่เป็นกลางนี้ เมื่อนำเข้าคู่กับตัวเสริมแรงปฐมภูมิบ่อย ๆ เข้า สิ่งเร้าซึ่งแต่เดิมเป็นกลางก็กลายเป็นตัวเสริมแรง และจะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับตัวเสริมแรงปฐมภูมิ เราเรียกตัวเสริมแรงชนิดนี้ว่า ตัวเสริมแรงทุติยภูมิ ตัวอย่างเช่น การทดลองของสกินเนอร์ โดยจะปรากฎว่า เมื่อหนูกดคานจะมีแสงไฟสว่างขึ้น และมีอาหารตกลงมา แสงไฟซึ่งแต่เดิมเป็นสิ่งเร้าที่เป็นกลาง ต่อมาเมื่อนำเข้าคู่กับอาหาร (ตัวเสริมแรงปฐมภูมิ) บ่อย ๆ แสงไฟก็จะกลายเป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิเช่นเดียวกับอาหาร แสงไฟจึงเป็นตัวเสริมแรงทุติยภูมิ
(๕) ตารางกำหนดการเสริมแรง (Schedules of Reinfarcement) สภาพการณ์ที่
สกินเนอร์พบว่าใช้ได้ผล ในการควบคุมอัตราการตอบสนองก็ถึงการกำหนดระยะเวลา (Schedules) ของการเสริมแรง การเสริมแรงแบ่งเป็น ๔ แบบด้วยกัน คือ
ก) Fixed Ratio เป็นแบบที่ผู้ทดลองจะกำหนดแน่นอนลงไปว่าจะให้การ เสริมแรง ๑ ครั้ง ต่อการตอบสนองกี่ครั้ง หรือตอบสนองกี่ครั้งจึงจะให้รางวัล เช่น อาจกำหนดว่า ถ้ากดคานทุก ๆ ๕ ครั้ง จะให้อาหารหล่นลงมา ๑ ก้อน (นั้นคืออาหารจะหล่นลงมาเมื่อหนูกดคานครั้งที่ ๕, ๑๐, ๑๕, ๒๐.....)
ข) Variable Ratio เป็นแบบที่ผู้ทดลองไม่ได้กำหนดแน่นอนลงไปว่าจะต้องตอบสนองเท่านั้นเท่านี้ครั้งจึงจะได้รับตัวเสริมแรง เช่น อาจให้ตัวเสริมแรงหลังจากที่ผู้ถูกทดลองตอบสนอง ครั้งที่ ๔, ๙, ๑๒, ๑๘, ๒๒..... เป็นต้น
ค) Fixed Interval เป็นแบบที่ผู้ทดลองกำหนดเวลาเป็นมาตรฐานว่าจะให้ตัวเสริมแรงเมื่อไร เช่น อาจกำหนดว่าจะให้ตัวเสริมแรงทุก ๆ ๕ นาที (คือให้ในนาทีที่ ๕, ๑๐, ๑๕, ๒๐.....)
ง) Variable Interval เป็นแบบที่ผู้ทดลองไม่กำหนดให้แน่นอนลงไปว่าจะให้ตัวเสริมแรงเมื่อใด แต่กำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ ว่าจะให้การเสริมแรงกี่ครั้ง เช่น อาจให้ตัวเสริมแรงในนาทีที่ ๔, ๗, ๑๒, ๑๔..... เป็นต้น)
๒) ประโยชน์ที่ได้รับจากทฤษฎีนี้
ก. ใช้ในการปลูกฝังพฤติกรรม (Shaping Behavior) หลักสำคัญของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์ คือ เราสามารถควบคุมการตอบสนองได้ด้วยวิธีการเสริมแรง กล่าวคือ เราจะให้การเสริมแรงเฉพาะเมื่อมีการตอบสนองที่ต้องการ เพื่อให้กลายเป็นนิสัยติดตัวต่อไป อาจนำไปใช้ในการปลูกฝังบุคลิกภาพของบุคคลให้มีพฤติกรรมตามแบบที่ต้องการได้
ข. ใช้วางเงื่อนไขเพื่อปรับปรุงพฤติกรรม การเสริมแรงมีส่วนช่วยให้คนเรามีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งได้ และขณะเดียวกันการไม่ให้การเสริมแรงก็จะช่วยให้ลดพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งได้เช่นเดียวกัน
ค. ใช้ในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป (Programed Learning) หรือบทเรียนโปรแกรมและเครื่องสอน (Teaching Machine)
๓) การนำหลักการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ไปใช้ในการเรียนการสอน แนวคิดที่สำคัญประการหนึ่งที่ได้จากทฤษฎีของสกินเนอร์ คือ การตั้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม คือจะต้องตั้ง จุดมุ่งหมายในรูปของพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น ถ้าต้องการฝึกให้ผู้เรียนเป็นบุคคลประเภทสร้างสรรค์ก็จะต้องระบุให้ชัดเจนว่าบุคคลประเภทดังกล่าวสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือถ้าจะสอนให้นักเรียนเป็นนักประวัติศาสตร์ก็บอกได้ว่าเขาจะทำอะไรได้เมื่อเขาเรียนผ่านพ้นไปแล้ว ถ้าครูไม่สามารถตั้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมได้ ครูก็ไม่อาจบอกได้ว่าผู้เรียนประสบผลสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวังหรือไม่ และที่สำคัญก็คือครูจะไม่อาจให้การเสริมแรงได้อย่างเหมาะสมเพราะไม่ทราบว่าจะให้การเสริมแรงหลังจากที่ผู้เรียนมีพฤติกรรมเช่นใด
· Tab 3
ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดด์
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีสัมพันธ์เชื่องโยงของ ธอร์นไดด์ มีดังนี้
๑) ลักษณะการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก (Trial and Eror)
๒) กฎการเรียนรู้ของ ธอร์นไดด์
ธอร์นไดด์ ได้เห็นกฎการเรียนรู้ที่สำคัญ ๓ กฎด้วยกันคือ กฎแห่งความพร้อม (Low of Readiness) กฎแห่งการฝึกหัด (Low of Exercise) และกฎแห่งพอใจ (Low of Effect)
ก. กฎแห่งความพร้อม กฎข้อนี้มีใจความสรุปว่า
- เมื่อบุคคลพร้อมที่จะทำแล้วได้ทำ เขาย่อมเกิดความพอใจ
- เมื่อบุคคลพร้อมที่จะทำแล้วไม่ได้ทำ เขาย่อมเกิดความไม่พอใจ
- เมื่อบุคคลไม่พร้อมที่จะทำแต่เขาต้องทำ เขาย่อมเกิดความไม่พอใจ
ข. กฎแห่งการฝึกหัด แบ่งเป็น ๒ กฎย่อย คือ
- กฎแห่งการได้ใช้ (Law of Use) มีใจความว่าพันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองจะเข้มแข็งขึ้นเมื่อได้ทำบ่อย ๆ
- กฎแห่งการไม่ได้ใช้ (Law of Disuse) มีใจความว่าพันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนองจะอ่อนกำลังลง เมื่อไม่ได้กระทำอย่างต่อเนื่องมีการขาดตอนหรือไม่ได้ทำบ่อย ๆ
ค. กฎแห่งความพอใจ
กฎข้อนี้นับว่าเป็นกฎที่สำคัญและได้รับความสนใจจาก ธอร์นไดด์ มากที่สุด กฎนี้มีใจความว่า พันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองจะเข้มแข็งหรืออ่อนกำลังย่อมขึ้นอยู่กับผลต่อเนื่องหลังจากที่ได้ตอบสนองไปแล้วรางวัล จะมีผลให้พันธะสิ่งเร้าและการตอบสนองเข้มแข็งขึ้น ส่วนการทำโทษนั้นจะไม่มีผลใด ๆ ต่อความเข้มแข็งหรือการอ่อนกำลังของพันธะระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง
นอกจากกฎการเรียนรู้ที่สำคัญ ๆ ทั้ง ๓ กฎ นี้แล้วธอร์นไดด์ ยังได้ตั้งกฎการเรียนรู้ย่อย อีก ๕ กฎ คือ
๑. การตอบสนองมากรูป (Law of multiple response)
๒. การตั้งจุดมุ่งหมาย (Law of Set or Attitude)
๓. การเลือกการตอบสนอง (Law of Partial Activity)
๔. การนำความรู้เดิมไปใช้แก้ปัญหาใหม่ (Law of Assimilation or Analogy)
๕. การย้ายความสัมพันธ์ (Law of Set or Associative Shifting)
ง. การถ่ายโอนการเรียนรู้ (Transfer of Learning) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อการเรียนรู้หรือกิจกรรมในสถานการณ์หนึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้หรือกิจกรรมในอีกสถานการณ์หนึ่ง การส่งผลนั้นอาจจะอยู่ในรูปของการสนับสนุนหรือส่งเสริมให้สามารถเรียนได้ดีขึ้น (การถ่ายโอนทางบวก) หรืออาจเป็นการขัดขวางทำให้เรียนรู้หรือประกอบกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งได้ยากหรือช้าลง (การถ่ายโอนทางลบ) ก็ได้ การถ่ายโอนการเรียนรู้นับว่าเป็นพื้นฐานของการเรียนการสอน
จ. ประโยชน์และการนำหลักการทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของ ธอร์นไดด์ ไปใช้ในการเรียนการสอน
ธอร์นไดด์ มักเน้นอยู่เสมอว่าการสอนในชั้นเรียนต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน การตั้งจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนก็หมายถึงการตั้งจุดมุ่งหมายที่สังเกตการตอบสนองได้และครูจะต้อง จัดแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วย ๆ ให้เขาเรียนทีละหน่วย เพื่อที่ผู้เรียนจะได้เกิดความรู้สึกพอใจในผลที่เขาเรียนในแต่ละหน่วยนั้น ธอร์นไดด์ ย้ำว่าการสอนแต่ละหน่วยก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยากเสมอ
การสร้างแรงจูงใจนับว่าสำคัญมากเพราะจะทำให้ผู้เรียนเกิดความพอใจเมื่อเขาได้รับสิ่งที่ต้องการหรือรางวัล รางวัลจึงเป็นสิ่งควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียน นั่นก็คือในขั้นแรกครูจึงต้องสร้างแรงจูงใจภายนอกให้กับผู้เรียน ครูจะต้องให้ผู้เรียนรู้ผลการกระทำหรือผลการเรียน เพราะการรู้ผลจะทำให้ผู้เรียนทราบว่าการกระทำนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ดีหรือไม่ดี พอใจหรือไม่พอใจ ถ้าการกระทำนั้นผิดหรือไม่เป็นที่พอใจเขาก็จะได้รับการ แก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้รับสิ่งที่เขาพอใจต่อไป
นอกจากนี้ในการเรียนการสอน ครูจะต้องสอนในสิ่งที่คล้ายกับโลกแห่งความจริงที่เขาจะออกไปเผชิญให้มากที่สุด เพื่อที่นักเรียนจะได้เกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้จากการเรียนในชั้นเรียนไปสู่สังคมภายนอกได้อย่างดี
· Tab 4
ทฤษฎีกลุ่มความรู้ความเข้าใจ (Cognitive theory or gestalt Psychologists)
กลุ่มเกสตัลท์ได้เห็นความสำคัญของกรรมพันธุ์มากกว่าสิ่งแวดล้อม กลุ่มนี้ถือว่าความสามารถของอินทรีย์เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด ตรงข้ามกับกลุ่มพฤติกรรมที่มีความเห็นว่าอินทรีย์มีแนวโน้มที่จะจัดหมวดหมู่ของสิ่งของตามประสบการณ์ของเขา ซึ่งได้เห็นอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมมากกว่ากรรมพันธุ์
การรับรู้ (Perception) ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ พื้นฐานของการนำไปใช้ เราจะจัดระเบียบหมวดหมู่ หรือรูปร่างของสิ่งที่รับรู้ก็คือการแยกสนามการเรียนรู้ออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นภาพ (Figure) ซึ่งเป็นส่วนที่เด่นเป็นจุดศูนย์รวมของสิ่งที่เราสนใจ และอีกส่วนหนึ่งคือ พื้น (Ground) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของภาพเป็นส่วนที่รองรับภาพ
นักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์มีความสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างภาพและพื้นและได้ตั้งกฎการจัดระเบียบ หมวดหมู่ หรือรูปร่างของสิ่งที่รับรู้ขึ้นมากมาย แต่กฎที่สำคัญซึ่งจะกล่าวถึงกันอยู่เสมอมีดังต่อไปนี้
๑) กฎความใกล้ชิด (Principle of Proximity) กฎนี้กล่าวว่าสิ่งเร้าใด ๆ ที่อยู่ใกล้กันเรามักจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
๒) กฎความคล้ายกัน (Principle of Similarity) กฎนี้มีใจความว่าสิ่งเร้าใด ๆ ก็ตามที่มีลักษณะรูปร่างขนาดหรือสีคล้ายๆ กันเรามักจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
๓) กฎความต่อเนื่อง (Principle of Continuity) ใจความสำคัญของกฎนี้คือสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะมีทิศทางไปในทางเดียวกัน หรือมีแบบแผนไปในแนวทางใดแนวทางหนึ่งด้วยกัน ก็จะทำให้เรารับรู้เป็นรูปร่าง หรือเป็นหมวดหมู่นั้น
๔) กฎอินคลูซิฟ (Principle of Inclusiveness) กฎนี้กล่าวว่าถ้าหากมีภาพเล็กประกอบอยู่ในภาพใหญ่ เราก็มีแนวโน้มที่จะรับรู้ภาพใหญ่มากกว่าที่จะรับรู้ภาพเล็ก หรือภาพที่เรามองเห็นเป็น รูปร่างนั้น มักจะเป็นภาพที่ประกอบด้วยจำนวนของสิ่งเร้าที่มากที่สุดหรือใหญ่ที่สุดเสมอ
๕) กฎการเคลื่อนไหวไปในทิศทางร่วมกัน (Principle of Common Fate) ใจความของกฎนี้ มีว่า สิ่งใด ๆ ที่เคลื่อนไหวไปทิศทางร่วมกันหรือมีจุดหมายร่วมกันเราก็มีแนวโน้มที่จะรับรู้เป็นพวกเดียวกัน กฎนี้แตกต่างจากความต่อเนื่องตรงที่ว่า กฎความต่อเนื่องนั้นเป็นการรับรู้ภาพสิ่งที่ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่เรามองคล้ายกับว่ามันเคลื่อนไหว แต่กฎข้อนี้สิ่งเร้าที่เรารับรู้นั้นมีการเคลื่อนไหวจริง
๖) กฎการเคลื่อนไหวไปในทิศทางร่วมกัน (Principle of Closure) บางครั้งเราก็เรียกกฎนี้ว่ากฎความสมบูรณ์ เพราะเรามักจะมองภาพที่ขาดความสมบูรณ์ให้เป็นภาพที่สมบูรณ์หรือมองเส้นที่ขาดตอนไปให้ติดหรือต่อกันเป็นรูปร่างขึ้นมาได้
ประโยชน์ และการนำหลักทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ไปใช้ในการเรียนการสอน
ในด้านการเรียนการสอนตามหลักการมองของกลุ่มเกสตัลท์นั้น ครูและนักเรียนจะต้องมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ครูจะเป็นผู้ช่วยผู้เรียนให้มองเห็นความหมายและเกิดความเข้าใจในเรื่องที่สอนควรจะช่วยให้ผู้เรียนเห็นรูปร่างหรือหมวดหมู่ของสิ่งต่าง ๆ ในรูปแบบที่มีความหมายผู้เรียนอาจช่วยครูในแง่ของการเสนอความคิดเห็น อภิปราย และวางแผนการเรียนร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนต้องเป็นไปในลักษณะที่ผู้เรียนต้องได้เห็นรูปร่างทั้งหมดของสิ่งที่จะเรียนเสียก่อน แล้วจึงไปเรียนส่วนย่อย ๆ การเรียนในแต่ละวิชาอาจแบ่งออกเป็นหน่วยที่มีความหมาย แต่ละหน่วยก็จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน นอกจากนี้การเรียนการสอนจะต้องเล็งให้ผู้เรียนเรียนด้วยความเข้าใจมากกว่าที่จะเน้นการเรียนแบบท่องจำ เพราะการเรียนด้วยความเข้าใจและรู้ความหมายจะมีผลให้ความรู้ยั่งยืนถาวรมากกว่าเรียนแบบท่องจำอย่างนกแก้ว
ทฤษฎีความสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connectionism)
· Tab 1
ผู้ที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้ คือ ธอร์นไดค์ (Thorndike) ซึ่งได้กล่าวว่าการเรียนรู้คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง และได้รับความพึงพอใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น ธอร์นไดค์ได้ ทำการทดลองพบว่า การเรียนรู้ของอินทรีย์ที่ด้อยความสามารถเกิดจากการลองผิดลองถูก ( Trial and Error ) ซึ่งต่อมา เขานิยมเรียกว่า การเรียนรู้แบบเชื่อมโยง การทดลองของธอร์นไดค์ที่รู้จักกันดีที่สุด คือ การเอาแมวหิวใส่ในกรง ข้างนอก กรงมีอาหารทิ้งไว้ให้ แมวเห็น ในกรงมีเชือกซึ่งปลายข้างหนึ่งผูกกับบานประตูไว้ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งเมื่อถูกดึงจะทำให้ประตูเปิด ธอร์นไดค์ ได้สังเกตเห็นว่า ในระยะแรก ๆ แมวจะวิ่งไปวิ่งมา ข่วนโน่นกัดนี่ เผอิญไปถูกเชือกทำให้ประตูเปิด แมวออกไปกินอาหารได้ เมื่อจับแมวใส่กรง ครั้งต่อไปแมวจะดึงเชือกได้เร็วขึ้น จนกระทั่งในที่สุดแมวสามารถดึงเชือก ได้ในทันที ธอร์นไดค์ได้สรุปว่า การลองผิดลองถูก จะนำไปสู่การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง และการเรียนรู้ ก็คือการที่มีการเชื่อมโยง (Connection) ระหว่างสิ่งเร้า (Stimuli) และการตอบสนอง ( Responses ) การเรียนรู้แบบ ลองผิดลองถูก มีใจความที่สำคัญว่า เมื่ออินทรีย์ กระทบสิ่งเร้า อินทรีย์จะลองใช้วิธีตอบสนองต่อสิ่งเร้าหลาย ๆ วิธี จนพบกับ วิธีที่เหมาะสมและถูกต้องกับเหตุการณ์และสถานการณ์ เมื่อได้รับการตอบสนองที่ถูกต้องก็จะนำไปต่อเนื่องเข้ากับสิ่งเร้า นั้น ๆ มีผลให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยมีหลักเกณฑ์ และลำดับขั้น ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบนี้ คือ
1. มีสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเป็นสิ่งเร้าให้อินทรีย์แสดงการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมออกมา
2. อินทรีย์จะแสดงอาการตอบสนองหลาย ๆ อย่าง เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
3. ปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ทำให้เกิดความพอใจจะถูกตัดทิ้งไป
4. เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ทำให้เกิดความพอใจถูกตัดทิ้งไป จนเหลือปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดความพอใจ อินทรีย์จะถือเอา กิริยาตอบสนอง ที่ถูกต้องและจะแสดงตอบสนองต่อสิ่งเร้า ( Interaction ) นั้นมากระทบอีก
นอกจากนี้ ธอร์นไดค์ ได้ตั้งกฎแห่งการเรียนรู้ขึ้นอีก 3 กฎ คือ
1. กฎแห่งผล ( Law of Effect ) กล่าวว่าเมื่อการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับอาการตอบสนองนำความพอใจมาให้ การ เชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้ากับอาการตอบสนองก็จะแน่นแฟ้นขึ้น ถ้าความสัมพันธ์นี้นำความรำคาญใจมาให้ ความสัมพันธ์นี้ ก็จะคลายความ แน่นแฟ้นลง หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนรู้อะไรจะต้องมีรางวัลให้ (รางวัลมิได้หมายถึงสิ่งของ แต่อย่างเดียว แต่รวมเอา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ผู้เรียน รู้สึกพอใจ เช่น การให้คำชมเชย เป็นต้น ) เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรม ที่ต้องการออกมา ถ้าจะให้ พฤติกรรมบางอย่างหายไปเมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมนั้นออกมาจะต้องมีการทำโทษ เมื่อธอร์นไดค์ ประกาศ กฎแห่งผล ออกมาเช่นนี้ มีผู้พยายามทดลองเพิ่มเติมและมีผู้ได้แย้งกันเป็นอันมาก ต่อมาธอร์นไดค์พบว่า การทำโทษ มิได้ทำให้การเชื่อมโยงคลายลง ในที่สุดก็สรุปว่า ถ้าการทำโทษมีผลอยู่บ้าง ก็ไม่ได้ทำให้การเชื่อมโยงอันเก่าคลายลง แต่จะเป็นการบังคับ ให้ผู้เรียนพยายาม ลองแสดง อาการตอบสนองอย่างอื่น ในที่สุดธอร์นไดค์จึงล้มเลิกกฎแห่งผลที่เกี่ยวกับ การลงโทษ แต่ยังคงเหลือ กฎแห่งผล ในด้านการให้รางวัลไว้ว่า รางวัลเท่านั้นที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น
2. กฎแห่งการฝึก ( Law of Exercise ) จากการสังเกตเมื่อเอาแมวใส่กรงครั้งหลัง แมวจะหาทางออกจากกรงได้เร็วขึ้น เมื่อทดลอง นาน ๆ เข้า แมวก็สามารถออกจากกรงได้ทันที ตามลักษณะนี้ธอร์นไดค์อธิบายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการ ตอบสนองได้ สัมพันธ์ แน่นแฟ้นขึ้น และความสัมพันธ์นี้จะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่อมีการฝึกหัดหรือซ้ำบ่อย ๆ และความสัมพันธ์นี้ จะคลายอ่อนลง เมื่อไม่ได้ใช้ และธอร์นไดค์เชื่อว่าการกระที่ไม่มีรางวัลเป็นผลตอบแทนหลังการตอบสนองนั้น ๆ สิ้นสุดลง จะต้องลงเอยด้วย ความสำเร็จ มิฉะนั้นการกระทำนั้นก็ไม่มีความหมาย แต่หลังจากปี ค.ศ.1930 ธอร์นไดค์ได้แก้กฎแห่งการฝึกนี้ ใหม่ เพราะใน บางกรณี กฎแห่งการฝึกและกฎแห่งผลไม่สามารถใช้ในสถานการณ์เดียวกันได้ เช่น เมื่อปิดตาแล้ว ทดลองหัด ลากเส้นให้ยาว 3 นิ้ว แม้ให้ฝึกหัดลากเส้นเท่าไรก็ตาม ก็ไม่สามารถลากเส้นให้ยาว 3 นิ้วได้ ดังนั้นการฝึกหัดทำจะมีผลดีต่อ การเรียนรู้ด้วย ตัวของมันเอง ไม่ได้ จะต้องมีเหตุผลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นธอร์นไดค์จึงประกาศยกเลิกกฎแห่งการฝึกนี้ แต่ยังเชื่อว่า การฝึกฝนที่มี การควบคุมที่ดี ก็ยังมีผลดีต่อการเรียนรู้อยู่นั่นเอง กล่าวคือ ถ้าเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทราบผลของ การเรียน แต่ละครั้งว่า ยาวหรือสั้นไปเท่าใด การฝึกหัดก็สามารถทำให้ผู้ฝึกหัดมีโอกาสลากเส้นให้ยาว 3 นิ้วได้
3. กฎแห่งความพร้อม ( Law of Readiness ) ธอร์นไดค์ตั้งกฎแห่งความพร้อมนี้เพื่อเสริมกฎแห่งผล และได้อธิบาย ไว้ในรูปของการเตรียมตัว และการเตรียมพร้อม ในการที่จะตอบสนองกิจกรรมที่ตามมาหลังจากการที่มีการเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่น ในสถานการณ์ของแมวในกรง แมวจะทำอะไรออกมานั้น แมวจะต้องหิว แมวสามารถเอาเท้าตะปบเชือกที่ห้อยแขวนอยู่นั้น ได้ และมีประสาทสัมผัสที่จะรับรู้ว่าได้รับผลพอใจหรือไม่พฤติกรรมที่แสดงออกไปแล้ว เป็นต้น หรือถ้ามนุษย์พร้อม ที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่างได้ พร้อมที่จะแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่จำเป็นสำหรับขบวนการการเรียนรู้นั้น เช่น จะต้องมีร่างกายที่สูงพอ แข็งแรงและอยู่ในสภาวะจูงใจที่เหมาะสม ผู้เรียนจะแสดงหรือไม่แสดงพฤติกรรมอะไรออกมานั้น ธอร์นไดค์ให้หลักไว้ 3 ข้อ คือ
1. เมื่อหน่วยของการกระทำพร้อมที่จะแสดงออกมา ถ้าผู้กระทำทำด้วยความสบายหรือพอใจไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงการกระทำ นี้ได้
2. ถ้าหน่วยของการกระทำพร้อมที่จะแสดงออกแต่ไม่ได้แสดง จะทำให้เกิดความไม่สบายใจ
3. ถ้าหน่วยของการกระทำยังไม่พร้อมที่จะแสดงออก แต่จำเป็นต้องแสดงออก การแสดงออกนั้น ๆ กระทำไปด้วยความไม่สบายใจ ไม่พอใจเช่นกัน ถึงแม้ว่าธอร์นไดค์ได้ปรับปรุงแก้ไขและขยายแนวความคิดของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้กฎแห่งความพร้อมและ กฎแห่งการฝึกหัดหย่อนความสำคัญไป ยังคงเหลือเพียงกฎแห่งผลที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ แต่ในกฎนี้ก็เหลือเพียงด้านของรางวัล ที่มีผลต่อการเรียนรู้ ส่วนด้านการลงโทษกับการเรียนรู้นั้นถูกตัดทิ้งไป
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitive Learning Theories)
· Tab 1
ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มพุทธินิยมนี้ให้ความสำคัญกับความสามารถในการตั้งวัตถุประสงค์
การวางแผน ความตั้งใจ ความคิด ความจำ การคัดเลือก การให้ความหมายกับสิ่งเร้าต่างๆ ที่ได้จากประสบการณ์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มพฤติกรรมนิยมแล้วเห็นว่ามีความแตกต่างกันดังนี้
กลุ่มพฤติกรรมนิยม : อินทรีย์สร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองอันก่อให้เกิดความพึงพอใจ
กลุ่มพุทธินิยม : อินทรีย์ต้องนำสิ่งเร้ามาคิด วิเคราะห์ และให้ความหมายเพื่อตอบสนองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มพุทธินิยมนี้ให้ความสำคัญกับความสามารถในการตั้งวัตถุประสงค์
การวางแผน ความตั้งใจ ความคิด ความจำ การคัดเลือก การให้ความหมายกับสิ่งเร้าต่างๆ ที่ได้จากประสบการณ์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มพฤติกรรมนิยมแล้วเห็นว่ามีความแตกต่างกันดังนี้
กลุ่มพฤติกรรมนิยม : อินทรีย์สร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองอันก่อให้เกิดความพึงพอใจ
กลุ่มพุทธินิยม : อินทรีย์ต้องนำสิ่งเร้ามาคิด วิเคราะห์ และให้ความหมายเพื่อตอบสนองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยการหยั่งรู้ (Insight Learning)
ทฤษฎีการหยั่งรู้นี้เป็นการศึกษาทดลองของนักจิตวิทยาชาวเยอรมันซึ่งเยกว่ากลุ่มเกสตอล (Gestalt) ซึ่งประกอบด้วย นักจิตวิทยาที่สำคัญ 3 คน คือ เวอร์ไทเมอร์ คอฟฟ์ก้าและเคอเลอร์
คำว่า เกสตอล (Gestalt) หมายถึง แบบแผนหรือภาพรวม โดยนักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้ให้ความสำคัญกับส่วนรวม หรือผลรวมมากว่า ส่วนย่อย ในการศึกษาวิจัยพบว่าการรับรู้ของคนเรามักจะรับรู้ส่วนรวมมากกว่ารายละเอียดปลีกย่อย ในการเรียนรู้ และการแก้ปัญหา ก็เช่นเดียวกัน คนเรามักจะเรียนอะไรได้เข้าใจก็ต้องศึกษาภาพรวมก่อน หลังจากนั้นจึง พิจารณา รายละเอียดปลีกย่อย จะทำให้เกิดความเข้าใจ ในเรื่องนั้นได้ชัดเจนขึ้น
การเรียนรู้ตามแนวของกลุ่มเกสตอล จะมีลักษณะดังนี้
ภาพรวม
รายละเอียดปลีกย่อย
ภาพรวม
(Whole) (Parts) (Whole)
(ความเข้าใจ)
(Insight)
การทดลองของกลุ่มการเรียนรู้ด้วยการหยั่งรู้ ผลการทดลองสรุปได้ว่า โดยปกติแล้วคนเราจะมีวิธีการเรียนรู้แลการแก้ปัญหา โดยอาศัยความคิดและประสบการณ์ เดิมมากว่ากาลองผิดลองถูก เมื่อ
เมื่อสามารถแก้ปัญหาในลักษณะนั้นได้แล้ว เมื่อเผชิญกับปัญหาที่คล้ายคลึงกันก็สามารถแก้ปัญหาได้ทันที ลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้ เพราะมนุษย์สามารถจัดแบบ (Pattern) ของความคิดใหม่เพื่อใช้ใน การแก้ปัญหาที่ตนเผชิญอยู่ได้อย่างเหมาะสม หลักการรับรู้ของมนุษย์ เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเรียนรู้มีผลให้นักการศึกษานำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก ทั้งนี้เพราะการรับรู้เป็นปัจจัยสำคัญของการเรียนรู้
การรับรู้ของมนุษย์มีลักษณะเป็นอัตนัย (Subjective) และเห็นความสำคัญของส่วนรวมมากกว่า รายละเอียดปลีกย่อย
กฎการรับรู้ที่สำคัญมี 4 ข้อ ดังนี้
1. กฎแห่งความใกล้ชิด (Proximity) สิ่งเร้าที่อยู่ใกล้กัน มักจะถูกรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
2. กฎแห่งความคล้าย (Similarity) สิ่งเร้าที่มองดูคล้ายกันจะถูกจัดว่าเป็นพวกเดียวกัน
3. กฎแห่งความสมบูรณ์ (Closure) สิ่งเร้าที่มีบางส่วนบกพร่องไปคนเราจะรับรู้โดยเติมส่วนที่ขาดหายไปให้เป็นภาพ หรือเป็นเรื่องที่สมบูรณ์
4. กฎแห่งการต่อเนื่องที่ดี (Good Continuation) สิ่งเร้าที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันอย่างดี จะถูกรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการประมวลสารสนเทศ (Information Processing Model of Learning)
นักจิตวิทยาในกลุ่มพุทธินิยมมีความสนใจว่า มนุษย์มีวิธีการรับรู้ข้อมูลใหม่อย่างไร เมื่อได้ความรู้แล้วมีวีการจำอย่างไร สิ่งที่เรียนรู้แล้วจะมีผลต่อการเรียนข้อมูลใหม่อย่างไร ด้วยความสนใจดังกล่าวจึงได้ทำ การทดลองและตั้งเป็น ทฤษฎีการเรียนรู้โดย การประมวลสารสนเทศขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้กำลังได้รับความสนใจและนำไปใช้ประโยชน์ได้มากในวงการศึกษา
ขั้นตอนการเรียนรู้
ภาพแสดงขั้นตอนการเรียนรู้โดยการประมวลสารสนเทศ
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitive Learning Theories)
· Tab 1
· Tab 2
สิ่งเร้า (Environmental Stimuli) คือ สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ในขณะนั้น สิ่งเร้าในแต่ละขณะจะมีมากมาย แต่จากการศึกษาวิจัยของ นักจิตวิทยาเรื่องกระบวนการรับสัมผัสพบว่ามนุษย์มีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลต่างๆ ในแต่ละครั้งอย่างมากที่สุด ได้ประมาณ 11-12 ชั่วโมง
ระบบบันทึกการรับรู้ (Sensory Register) คือ หน่วยบันทึกความจำหน่วยแรกของมนุษย์ ข้อมูลในขณะนี้เป็น ข้อมูลชนิดเดียวกับ ที่ได้รับรู้มา ระยะของความจำจะมีประมาณ 1-3 วินาที เพื่อให้บุคคลตัดสินใจว่า มีความสนใจในข้อมูลนั้นหรือไม่ ข้อมูลที่ไม่ต้องการ ก็จะสูญหายไปส่วนข้อมูลที่ต้องการก็จะเข้าสู่ความจำระยะสั้นต่อไป
ความใส่ใจ (Attention) ในขั้นนี้จะเป็นการคัดเลือกข้อมูลต่างๆ ที่สนใจเข้าสู่ความจำระยะสั้น ในช่วงนี้เรื่องสมาธิ ค่อนข้างมีความสำคัญมาก
การรู้จัก (Recognition) ในขั้นนี้จะเป็นการเก็บรายละเอียดของลักษณะข้อมูลที่สำคัญและนำมาสร้างความสัมพันธ์กับข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้ว
ความจำระยะสั้น (Short-term Memory) เป็นสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้เพราะเป็นความจำที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานได้ (Working Memory) ตัวอย่างเช่น การจำหมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการใช้ในขณะนั้น การจำในขั้นนี้เหมือนกับการเก็บแฟ้มข้อมูล (File) ซึ่งมนุษย์สามารถเก็บ(จำ) เรื่องต่างๆ ได้ประมาณ 7 เรื่อง ในระยะเวลา 20 วินาที เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ข้อมูลที่ได้รับเข้ามาใหม่ อาจจะรวมกับข้อมูลเดิมหรือ ข้อมูลเดิมถูกลบออกจนหมดสิ้น
การขยายความคิด (Elaborative Rehearsal) เมื่อเกิดความจำระยะสั้นแล้ว ต้องนำข้อมูลนั้นมาขยายความคิด โดยการจัดหมวดหมู่และให้ความหมายกับข้อมูลเพื่อนำไปสู่ความจำระยะยาว
ความจำระยะยาว (Long-term Memory) เป็นสุดยอดปรารถนาของการเรียนรู้ข้อมูล ซึ่งจะต้องมีการจัดระเบียบอย่างดี โดยการแปล ความหมาย สร้างความ สัมพันธ์เชื่อมโยงข้อมูล ข้อมูลใดที่ยังขาดความสัมพันธ์กัน หรือมีช่องว่างอยู่ก็จะต้อง พยายามขจัด ช่องว่างโดย การใช้หลักทางตรรกศาสตร์คือการหาเหตุผลและสร้างความสัมพันธ์
ระบบควบคุม (Control Process) มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ เป็นตัวควบคุมและเชื่อมโยงความจำระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งเป็น ตัวกำหนดปริมาณและคุณภาพของข้อมูลที่ผู้เรียนจำและสามารถนำออกไปใช้ได้
การนำมาใช้บ่อยๆ (Maintenance Rehearsal) การนำข้อมูลมาใช้บ่อยๆ เพื่อเป็นการย้ำในขั้นการจำระยะสั้น และเพื่อใช้สำหรับ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
องค์ประกอบของการเรียนรู้ มีอยู่ 4 ประการ คือ
1. คุณลักษณะของผู้เรียน (Learner Characteristics) คือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน เช่น ความรู้เดิม ทัศนคติ แรงจูงใจ รูปแบบความคิด เป็นต้น
2. กิจกรรมของผู้เรียน (Learner Activities) ในส่วนนี้จะเกี่ยวกับขบวนการใช้สมองของผู้เรียน ในขณะเกิดการเรียนรู้ โดยพิจารณาว่า ผู้เรียนจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เช่น นั่งฟังคำบรรยายด้วยความสนใจ จดโน้ตตาม ขีดเส้นใต้ข้อความที่สำคัญ เป็นต้น
3. ธรรมชาติของสิ่งที่เรียน (Nature of the Learning Material) คือข้อมูลนั้นเป็นข้อมูล ประเภทใด เนื้อหาของข้อมูลนั้น มีลักษณะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม มีการจัดเรียงลำดับเนื้อหาดีมากน้อยเพียงใด เป็นต้น
4. วิธีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน (Nature of the Criterion) คือลักษณะต่างๆ ที่ผู้เรียน แสดงออกมา เมื่อเรียนรู้แล้ว เช่น ตอบข้อเขียนได้ถูกต้อง สอบปากเปล่าได้ แสดงทักษะต่างๆ ให้ปรากฏ เป็นต้น
การเรียนรู้เกี่ยวกับความคิดของตนเอง (Metacognition) การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพต่อเมื่อ ผู้เรียนควบคุมตนเองได้ (Self-Reguletion) ลักษณะดังกล่าวนี้ ฟลาแวล ได้เป็นผู้อธิบายไว้โดยเน้นถึง กระบวนการเรียนรู้ ที่จะต้องอาศัย ความสามารถทางปัญญา โดยเขาใช้คำว่า “Metacognition” เพื่ออธิบายว่าผู้เรียนจะต้องรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิด (Thinking Process) ของตนเอง ถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มการเรียนรู้โดยการประมวลสารสนเทศ คำว่า Metacognition นี้จะเปรียบเทียบได้กับระบบควบคุม (Control Process) ซึ่งความรู้ในลักษณะนี้จะทำให้ผู้เรียนมีความกระจ่าง คือ รู้ว่าจะทำอะไร (What) ทำอย่างไร (How) และทำเมื่อไร (When)
องค์ประกอบของความรู้ มี 3 ประการ คือ
1. องค์ประกอบด้านบุคคล (Person Variable) คือความรู้ความเข้าใจในความสามารถของผู้เรียนว่าตนเองมีคุณสมบัติและ มีความสามารถอยู่ในระดับใด
2. องค์ประกอบด้านงาน (Task Variable) คือ ลักษณะของงานที่จะต้องเรียนรู้
3. องค์ประกอบด้านยุทธวิธี (Strategy Variable) คือ เทคนิคหรือวิธีการที่ผู้เรียนเลือกใช้ใน การเรียนรู้งาน
ทฤษฎีสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเอง (Constructivism)
· Tab 1
ทฤษฎีสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเอง (Constructivism)์
เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานทางจิตวิทยา ปรัชญา และมนุษยวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจิตวิทยาด้านปัญญา เป็นทฤษฎี ที่อธิบายถึง การได้มาซึ่งความรู้ และนำความรู้นั้นมาเป็นของตนได้อย่างไร ซึ่งเพอร์กิน ได้อธิบายว่า Constructivism คือ การ ที่ผู้เรียน ไม่ได้รับเอาข้อมูล และเก็บข้อมูลความรู้นั้นมาเป็นของตนทันที แต่จะแปลความหมาย ของข้อมูลความรู้เหล่านั้น โดย ประสบการณ์ของตน และเสริมขยาย และทดสอบการแปลความหมายของตนด้วย ซึ่งสัมพันธ์กับทฤษฎีพัฒนาการทางปัญญา ของพีอาเจย์ การเรียนรู้เกิดจาก การค้นพบและประสบการณ์ ทฤษฎีนี้เกิดจาก ความคิดที่ว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่ แต่ละบุคคลได้สร้าง ความรู้ขึ้นและ ทำให้สำเร้จ โดยผ่านกระบวนการ ของความสมดุล ซึ่งกลไกของความสมดุล เป็นการปรับตัว ของตนเอง ให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้อยู่ใน สภาพสมดุล ประกอบด้วยกระบวนการ 2 อย่าง คือ
1.การซึมซาบหรือดูดซึม (Assimilation) เป็นกระบวนการที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและซึมซาบหรือดูดซึมเอา ประสบการณ์ใหม่ เข้าสู่ประสบการณ์เดิม ที่เหมือนหรือ คล้ายคลึงกัน โดยสมองจะปรับเอาประสบการณ์ใหม่เข้ากับความคิด ความรู้ในโครงสร้างที่เกิดจาก การเรียนรู้เดิมที่มีอยู่
2. การปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accomodation) เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องมาจากกระบวนการซึมซาบหรือดูดซึม คือ เมื่อได้ซึมซาบ หรือดูดซึม เอาประสบการณ์ใหม่ เข้าไปในโครงสร้างเดิมแล้ว ก็จะทำการปรับประสบการณ์ใหม่ ให้เข้ากับ ครงสร้างของความรู้เดิมที่มีอยู่ในสมองก่อนแล้ว แต่ถ้าไม่เข้ากันได้ก็จะทำการสร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพื่อรับประสบการณ์ ใหม่นั้น
ทฤษฎีการสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเอง ผู้เรียนจะปะทะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม การเรียนรู้ของแต่ละบุคคล จะมีระดับแตกต่างกันไป เรียกได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลมาากขึ้นเป็นลำดับ และผู้เรียน จะควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทฤษฎีสร้างความรู้ใหม่ โดยผู้เรียนเองมีหลักการว่า การเรียนรู้ คือ การแก้ปัญหา ซึ่งขึ้นอยู่กับการค้นพบ ของแต่ละบุคคล และ ผู้เรียนจะมีแรงจูงใจจากภายใน ผู้เรียนจะเป็นผู้กระตือรือร้น มีการควบคุมตนเองและเป็นผู้ที่มีการตอบสนองด้วยจุดมุ่งหมาย ของการสอนจะมีการ ยืดหยุ่นโดยยึดหลักว่า ไม่มีวิธีการสอนใดที่ดีที่สุด ดังนั้นเป้าหมายของการออกแบบการสอนก็ควรจะ ต้อง พิจารณาเกี่ยวกับ การสร้างความคิดหรือปัญญาให้เป็นเครื่องมือ สำหรับนำเอาสิ่งแวดล้อมของการเรียนที่มีประโยชน์มา ช่วยให้เกิดการสร้างความรู้ให้แก่ผู้เรียน การนำเอาทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเองมาใช้ จะต้องคำนึงถึง เครื่องมืออุปกรณ์การสอนด้วย เพราะทฤษฎีนี้เหมาะสำหรับเครื่องมืออุปกรณ์ที่ผู้เรียนสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือหาความรู้ ด้วยตนเอง เช่น คอมพิวเตอร์ ดังนั้นเครื่องมือทั้งHardware และ Software จะต้องเหมาะสมเพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ แนวคิด ของทฤษฎีนี้ได้แก่
1. ผู้เรียนจะมีการปะทะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม บุคคล เหตุการณ์ และสิ่งอื่นๆ และผู้เรียนจะปรับตนเองโดยการดูดซึม สร้าง โครงสร้างทางปัญญาใหม่ และการบวนการของความสมดุล เพื่อให้รับสิ่งแวดล้อมหรือความจริงใหม่เข้าสู่ความคิดของตนเองได้ 2. ในการนำเสนอหรืออธิบายความจริงที่ผู้เรียนสร้างขึ้นนั้น ผู้เรียนจะสร้างรูปแบบหรือตัวแทนของสิ่งของ ปรากฏการณ์ และ เหตุการณ์ขึ้นในสมองของผู้เรียนเอง ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
1. ผู้เรียนอาจมีผู้ให้คำปรึกษา (Mentor) เช่น ครูผู้สอนหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้ได้สร้างความหมายต่อความจริงหรือ ความรู้ที่ผู้เรียนได้รับเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
2. ผู้เรียนจะควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-regulated Learning)
การออกแบบการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเอง
1. ผู้สอนต้องให้บริบทการเรียนรู้ที่มีความหมาย เพื่อสนับสนุน แรงจูงใจภายในของผู้เรียนและ การควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ของผู้เรียน
2. สร้างรูปแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ จากสิ่งที่รู้แล้วไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ รูปแบบนี้จะคล้ายกับ ทฤษฎีการเรียนรู้ อย่างมีความหมาย ของออสซูเบล คือให้เรียนรู้จากสิ่งที่มีประสบการณ์มาก่อนไปสู่สิ่งที่เป็นเรื่องใหม่
3. ให้เกิดความสมดุลระหว่างการเรียนรู้แบบอนุมาน (Deductive) และอุปมาน (Inductive) คือ เรียนจากเรื่องทั่วไปไปสู่เรื่อง เฉพาะเจาะจง และเรียนจากเรื่องเฉพาะหรือตัวอย่างต่างๆ ไปสู่หลักการ ให้มีอย่างสมดุลไม่มากน้อยกว่ากัน เพื่อให้รู้วิธีการเรียน ในการแก้ปัญหาทั้ง 2 แนวทาง
4. เน้นประโยชน์ของความผิดพลาด แต่ทั้งนี้การผิดพลาดนั้นจะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อเป้า ประสงค์ของกิจกรรมนั้น ชัดเจน เพื่อผู้เรียนจะได้หาวิธีแก้ไขข้อผิดพลาดไสู่เป้าประสงค์นั้นได้ถูกต้อง
5. ให้ผู้เรียนคาดการณ์ล่วงหน้า และรักษาไว้ซึ่งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นตามโอกาสอำนวยเนื่องจาก
ทฤษฎีการเรียนรู้นี้ไม่ได้มี การกำหนดแนวทาง ความคิดอย่างแน่นอนตายตัว ดังนั้นผู้เรียนอาจ แสวงประสบการณ์การเรียนรู้ได้ ตามสภาพแวดล้อม หรือเหตุการณ์ที่อำนวยให้ หลักการนี้เหมาะสม สำหรับการออกแบบ การสอนที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้ ผ่านคอมพิวเตอร์
สรุปได้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเองนี้จะไม่เน้นการให้เนื้อหาที่ผู้เรียนจะต้องเรียนแต่เน้นที่ตัวผู้เรียน และประสบการณ์ของผู้เรียน เพอร์กินได้อธิบายว่า Constructivism ก็คือการที่ผู้เรียนไม่รับเอา หรือเก็บเอาไว้ แต่เฉพาะข้อมูล ที่ได้รับแต่ต้องแปลความ ของข้อมูลเหล่านั้น โดยประสบการณ์ และเสริมขยาย ตลอดจนทดสอบ การแปลความนั้นด้วย
ศิลปศาสตร์แห่งการเป็นกระบวนกร
· Tab 1
ที่เชียงรายนี้มีชุมชนกระบวนกร เหมือนที่อื่นถิ่นอื่นอาจจะมีการผลิตอะไรขายเป็นสินค้าประจำหมู่บ้านหรือตำบล ที่เชียงรายมีชุมชนจิตวิวัฒน์ ที่เรียนรู้เรื่องการจัดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อการวิวัฒน์ เราเรียกผู้ฝึกฝนศิลปะแขนงนี้ว่า “กระบวนกร” ภาษาฝรั่งอาจจะตรงกับคำว่า “Facilitator” กระมัง โดยมีลักษณะเด่นๆ สองประการคือ
หนึ่ง ทฤษฎีการเรียนรู้ที่อยู่เบื้องหลังอันเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา และเป็นความรู้ในด้านการวิจัยสมองล่าสุด ณ พรมแดนความรู้ ที่มีสมมติฐานว่ามนุษย์มีกระบวนการเรียนรู้เป็นเมล็ดพันธุ์ในตนอยู่แล้ว กระบวนการที่เราจัดทำเพียงสะกิด หรือเกาให้ถูกที่คัน เพื่อให้การเรียนรู้นั้นๆ ได้ระเบิดตัวออกมาเป็นปฏิกิริยาทางนิวเคลียร์อันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
สอง การเรียนรู้นั้นไม่ได้เป็นเพียงการเรียนรู้ของปัจเจก เมื่อเรามีกติกาและท่าทีกับการพูดคุยที่เหมาะสม เราจะได้เข้าถึงการเรียนรู้แบบสมุหภาพ หรือ collective หรือการเรียนรู้ระดับกลุ่มชน ที่นำพามนุษย์ไปสู่ภูมิปัญญาอันสูงกว่าในระดับปัจเจก
ทั้งสองประเด็นแห่งการเรียนรู้จึงถูกแปลความออกมาเป็นทั้งเนื้อหาให้ได้เรียนรู้เข้าใจ และเป็นกระบวนการ และกิจกรรมที่นำพาผู้คน ได้ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่เนื้อหาเพียงเท่านั้น หากเข้าไปเกี่ยวพันกับ สมองทั้งสามชั้น ปัญญาสามฐาน เราไม่ได้ดูแลเฉพาะแต่เรื่องของ ความคิด แต่เราได้ดูแลพลังชีวิตด้วย เจตจำนงด้วย อารมณ์ความรู้สึกด้วย และในเรื่องความคิดเราไม่ได้จำกัด อยู่เฉพาะในระนาบของพุทธิปัญญา แต่เรายังดำเนินไปในดินแดนของการบ่มเพาะญาณทัศนะ คือเราทำกิจกรรมการเรียนรู้ในเรื่อง กายผสมผสานไปกับเรื่องของหัวใจและหัวสมองไปในเวลาเดียวกัน จึงไม่ใช่ความรู้ที่แห้งแล้งปราศจากความรู้สึก หรือขาดพลังแห่งปฏิบัติการ การแบ่งแยกนั้นได้สลายตัวไปในกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมที่เข้ากันได้กับธรรมชาติแท้จริงแห่งการเรียนรู้ของมนุษย์
โหมดปกติ เจ้าตัวเล็ก คลื่นสมองอัลฟา ผสานปัญญาสามฐาน พื้นที่การเรียนรู้ผ่านมิติของจิตไร้สำนึก โยนิโสมนสิการและวิปัสสนาญาณ
เราจะนำเอาองค์ความรู้ต่างๆ มาผสมผสานกัน แต่มุ่งชี้ไปยังสภาวะเดียวกัน ในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ที่คิดค้นกันขึ้นในกระบวนการเรียนรู้แบบสุนทรียสนทนา เราจะเห็นได้ว่า ในโหมดปกป้องนั้น ชีวิตจะถดถอยจากสภาวะปกติ หรือโหมดปกติ กล่าวคือชีวิตจะหยุดและปิดการเรียนรู้ไปอย่างอัตโนมัติ ปัญญาสามฐาน หรือสมองสามชั้นจะทำงานอยู่ในฐานของความกลัว ร่องอารมณ์และเทปม้วนเก่า โดยลำดับ
แต่ในโหมดปกติ ชีวิตจะเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติธรรมดา เราจะกล้า ไม่กลัว เราจะมีอารมณ์ดี ไม่ตกอยู่ในร่องอารมณ์ เราจะรู้สึกปลอดโปร่ง เราจะยืดหยุ่นสร้างสรรค์ในทางความคิด นี่เองคือการเปิดออกของพื้นที่แห่งการเรียนรู้
เราจะจดจำโหมดของชีวิตว่าปกติหรือไม่ ได้อย่างง่ายๆ โดยจดจำคุณลักษณะของคลื่นสมองสองคลื่น คือคลื่นเบต้า กับคลื่นอัลฟา เวลาเราอยู่ในโหมดปกติ สมองของเราจะเป็นคลื่นอัลฟา แต่ในโหมดปกป้องสมองของเราจะอยู่ในคลื่นเบต้า ที่มีความถี่ ๑๔-๒๑ รอบต่อวินาที ในขณะที่คลื่นอัลฟามีความถี่ ๗-๑๔ รอบต่อวินาที ในคลื่นเบต้า คุณลักษณะของมันคือ เราจะรู้สึกเร่งรีบบีบคั้น ดังนั้น เมื่อเรารู้สึกเร่งรีบบีบคั้นนั้น แสดงว่าเราอยู่ในคลื่นเบต้าแล้ว เราอยู่ในโหมดปกป้องแล้ว ในขณะที่ในคลื่นอัลฟานั้น เราจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายๆ แบบตื่นตัว ไม่ใช่หลับใหล
อีกประการหนึ่งในคลื่นอัลฟานั้น เราเปิดมิติการทำงานร่วมกันระหว่างจิตสำนึกกับจิตไร้สำนึก ในคลื่นเบต้า เนื่องจากเสียงดังของเจ้าตัวช่างพูด หรือ talking self ในศาสตร์แห่งแม่มด จะพร่ำบ่นและตัดสินคน ตัดสินความอยู่ตลอดเวลา มันจึงไม่อาจได้ยินเสียงของจิตไร้สำนึก แต่ในคลื่นอัลฟา ซึ่งเป็นคลื่นของเจ้าตัวเล็ก หรือ younger self ในศาสตร์แห่งแม่มดนั้น มีการพูดคุยกันระหว่างจิตสำนึกและจิตไร้สำนึกอยู่ตลอดเวลา มีการฝากโจทย์จากจิตสำนึกไปยังจิตไร้สำนึก หรือจากหยดน้ำไปถึงมหาสมุทร เพราะเมื่อเทียบเคียงกัน หากจิตสำนึกเทียบได้กับหยดน้ำ จิตไร้สำนึกย่อมอาจเทียบได้กับมหาสมุทร จิตไร้สำนึก ซึ่งเป็นองค์กรจัดการตัวเอง เป็นประดุจคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิต ซึ่งจะทำงานตอบคำถามให้แก่เราได้ทุกๆ เรื่อง
พุทธธรรมกับสมองส่วนหน้า
ในเรื่องของสมอง สมองส่วนหน้านั้น เป็นวิวัฒนาการล่าสุดที่จะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุครบบวช ๒๐ ปี โดยตั้งอยู่บริเวณหน้าผาก หรือที่ตั้งของตาที่สาม อันเปรียบได้ว่าเป็นปัญญาที่ข้ามพ้นความเป็นทวิภาค หรือทวิภาวะออกไป ในคลื่นอัลฟานั้น สมองส่วนหน้าได้ถูก กระตุ้นให้ทำงาน โดยคุณลักษณะหลักในของทำงานในสมองส่วนหน้า คือการใคร่ครวญ ซึ่งตรงกับคุณลักษณะของอุปจารสมาธิ หรือสมาธิในฌานชั้นต้นสองประการ ในภาษาบาลีคือ วิตก วิจาร ซึ่งไม่ได้หมายความว่า วิตกกังวล หรือวิพากษ์วิจารณ์ แต่หมายถึง ความคิดแบบใคร่ครวญ การเฝ้ามองอย่างเนิ่นนานโดยพลิกดูมุมมองต่างๆ อย่างรอบด้าน ซึ่งไปตรงกับคำทางพุทธว่า โยนิโสมนสิการด้วยเช่นกัน
การทำงานของสมองส่วนหน้าแบบนี้ มีนักวิทยาศาสตร์ทางสมอง คือ เดวิด เดวิดสัน หนึ่งในบรรดานักวิทยาศาสตร์ ที่ไปสนทนา กับสมเด็จองค์ทะไลลามะเนืองๆ ได้ศึกษาว่า เมื่อมีการใคร่ครวญเกิดขึ้น มันไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนหน้า และเมื่อสมองส่วนหน้า ทำงาน ร่องอารมณ์ที่มีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่อมิกดาลานี้จะทำงานน้อยลงหรือหยุดทำงาน และในทางกลับกัน เมื่อร่องอารมณ์ในอมิกดาลาทำงาน สมองส่วนหน้าจะทำงานน้อยลงหรือเฉื่อยลง กล่าวคือ เมื่อเกิดร่องอารมณ์ การใคร่ครวญของมนุษย์จะถูกลดทอนลง เหมือนกับคำพูดที่ว่า “เห็นช้างตัวเท่าหมู” นี่คือการเชื่อมโยงงานวิจัยทางสมองเข้ากับองค์ความรู้ในพุทธธรรม
ถ้าเชื่อมอัลฟากับโหมดปกติเข้ากับพุทธธรรม จะเห็นได้ว่า สภาวะในคลื่นอัลฟาก็คือความผ่อนคลายแบบตื่นตัว ที่เชื่อมโยงกับเจ้าตัวเล็กใน ศาสตร์แห่งแม่มด เจ้าตัวเล็กจะมองชีวิตอย่างสนุกสนาน ไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีระบบโรงเรียน ตรงนี้ ผลพวงที่ได้ทันที คือปีติ สุข อันเป็นองค์คุณอีกสองประการของฌานชั้นต้น อาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อจิตมีปิติ มีความสุข และใคร่ครวญ จิตก็จะเป็นสมาธิโดยธรรมชาติ หรืออาจกล่าวได้ว่า จิตในโหมดปกติจะเป็นสมาธิของมัน หรือในคลื่นอัลฟา เมื่อเราหยุดและช้าลง ไปสู่คลื่นสมองที่ช้าลง ไปสู่การใคร่ครวญของสมองส่วนหน้า ไปสู่โยนิโสมนสิการ ไปสู่การเฝ้ามองอย่างเนิ่นนาน ไปสู่การฟังอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งเรากับสิ่งที่เรารับรู้เป็นสิ่งเดียวกัน ผู้สังเกตกับผู้ถูกสังเกตเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อนั้น เราก็เข้าถึงองค์คุณประการที่ห้าของฌานชั้นต้น นั่นคือ เอกัคตา
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งคือ แม้ว่าพระพุทธองค์จะดำดิ่งไปในฌานชั้นไหนๆ ได้ก็ตาม แต่กลับมาตรัสรู้ที่ฌานชั้นต้นนี้เอง
Resource : วิศิษฐ์ วังวิญญู มติชนรายวัน วันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
· Tab 2
เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย
คนที่มีความเครียดและไม่ผ่อนคลาย มักจะไม่รู้ตัวและคิดว่าตัวเองไม่เครียด แต่ความเครียดมันค่อยๆ สะสมเพิ่มพูนโดยเราไม่รู้ตัว จนกระทั่งกลายมาเป็นวิถีชีวิตของเรา เป็นส่วนหนึ่งของความชินชา จนกระทั่ง เราคิดว่านี่คือความเป็นปกติของเรา ที่มากับความเครียดก็คือ การดำรงชีวิตอยู่ในคลื่นเบต้า ในความเร่งรีบบีบคั้น เราอยู่ในความเร่งรีบบีบคั้นจนจำเจ จนกระทั่งคิดว่า ชีวิตและการทำงานแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา เราจึงมีวิถีชีวิตอยู่กับความกลัว ความวิตกกังวล ร่องอารมณ์และความคิดที่วนเวียนอยู่ในเทปม้วนเก่ากันจนชินชา
เราต้องกลับมาเรียนรู้เรื่องการผ่อนคลาย มาเรียนรู้การกลับมาใช้ชีวิตในความเป็นปกติจริงๆ ในความผ่อนคลาย โปร่งโล่ง สบายใจ สบายกาย ในสภาวะที่กายก็ผ่อนคลาย จิตใจก็ไม่เร่งรีบ หากรู้สึกว่ามีเวลา สามารถดำเนินชีวิต กระทำการงาน ในจังหวะและลีลาที่เป็นตัวของตัวเอง
การผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบ (Total Relaxation)
ดร. จอน คาบัต ซิน เปิดคลินิกคลายเครียดอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์แมสสาชูเซต สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเจ็บปวดเรื้อรัง ตั้งแต่คนเป็น โรคไมเกรน ไปจนกระทั่งคนไข้วาระสุดท้ายของโรคเอดส์หรือโรคมะเร็ง จอนจะให้คนไข้ได้เรียนรู้เรื่องความผ่อนคลาย โดยเริ่มจากกิจกรรม การผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบ
การผ่อนคลายแบบนี้ เริ่มโดยให้คนเข้าร่วมนอนหงายอย่างผ่อนคลาย แขนขากางออกเล็กน้อย ฝ่ามือหงายขึ้น ทางโยคะจะเรียกว่าศพอาสนะ หรือท่านอนตาย คือให้ปล่อยวางทุกอย่างลง คลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ซึ่งอาจจะทำให้ดีขึ้นด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนก่อน พร้อมกับ การหายใจเข้า แล้วคลายออกอย่างฉับพลัน พร้อมกับการหายใจออก เราก็จะได้รับรู้ความรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่างกาย
กิจกรรมนี้อาจจะเปิดเพลงบรรเลงที่มีท่วงทำนองผ่อนคลาย และช่วยให้จิตใจสงบรำงับ กระบวนกรอาจกล่าวคำเชิญชวน ให้ผู้เข้าร่วม ผ่อนคลายร่างกายทีละส่วน ใช้ท่วงทำนองของซุ่มเสียงที่ผ่อนคลาย ให้จังหวะลีลาเนินนาบ หยุดเป็นพักๆ อันเป็นเสียงในคลื่นอัลฟา ที่จะทำให้คนได้ยินรู้สึกผ่อนคลายอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง เสียงในคลื่นอัลฟานี้จะพูดตรงไปยังจิตไร้สำนึกของผู้เข้าร่วม ทำให้การชักนำให้ผ่อนคลายเป็นไปอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น
“วันนี้... พวกท่านได้เดินทางมาโดยไม่ได้หลับนอนอย่างเต็มที่... อยากให้ท่านได้ผ่อนคลาย... ได้กลับมามีโอกาส... สำรวจร่างกายของตัวเอง... ลองมาดูไล่เลียงแต่นิ้วเท้าของท่าน... เช็คดูว่ามันสบายดีหรือเปล่า... หัวแม่เท้า... นิ้วเท้าอื่นๆ ...”
แล้วไล่เลียงไปเรื่อยๆ ด้วย จังหวะและซุ่มเสียงที่ทำให้รู้สึกสบายๆ ผ่อนคลาย ไปทั่วทั้งร่างกาย บางทีผู้เข้าร่วมบางท่านอาจจะหลับไป ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ได้จากกิจกรรมนี้นอกจากจะได้ความผ่อนคลายแล้ว ยังได้ความสดหรือการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งจะได้รับการ ให้ความสำคัญ ตลอดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนี้ ดังนั้นในกิจกรรมต่างๆ จะมีการสอดแทรกการกระตุ้นให้กลับมาดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะเสมอๆ ดังเช่น การเชิญระฆังแห่งสติเป็นระยะๆ
การกลับดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะยังเข้ามาเสริมสร้างให้เกิดประสบการณ์ตรง ที่ไม่ผ่านการตีความที่คุ้นชินอีกด้วย ในกรณีนี้คือการรับรู้ตรงๆ ถึงความเป็นไปในร่างกายของเรา เราเริ่มรับรู้เป็นครั้งแรกซึ่งอาการเคร่งเครียดต่างๆ ที่ดำรงอยู่ในร่างกาย และเรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย การตึงตัวของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ หลายคนเมื่อได้เข้ามาร่วมในกิจกรรมนี้ จะได้เรียนรู้เรื่องการผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก หลายคนอาจกล่าวว่า เพิ่งจะรู้สึกว่าผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบเป็นอย่างไร แต่ก็อาจมีบางท่านที่ไม่ผ่อนคลายในกิจกรรมนี้เช่นกัน ซึ่งจะต้องหาวิธีแก้ไขกันไปตามปฏิภาณและญาณทัศนะของกระบวนกรนั้นเอง
สำหรับเรื่องของจังหวะเวลาที่จะนำกิจกรรมนี้เข้ามาใช้ ว่าจะเป็นเวลาไหนดีนั้น ให้ดูเรื่องความเหนื่อยล้าและความเคร่งเครียดเป็นสำคัญ ในช่วงเริ่มต้น ถ้าผู้เข้าร่วมเหนื่อยล้ามา มีหลายครั้งที่เราใช้การผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบเป็นกิจกรรมเริ่มต้น แต่ในบางสถานที่ ที่ไม่อาจ จัดเตรียม ผ้าสำหรับรองนอนได้ เราอาจจะทำกิจกรรมนี้ในท่านั่ง แต่นั่นหมายความว่า ผลความผ่อนคลายที่จะคาดหวังได้ ก็คงจะหย่อนยาน ไปไม่น้อย แต่ก็ดีกว่าจะไม่ทำอะไรเลย อีกช่วงเวลาหนึ่งที่น่าทำคือช่วงบ่าย ที่ร่างกายอ่อนล้า เมื่อได้ทำ ผู้เข้าร่วม จะสดชื่นขึ้นมา มากเลยทีเดียว
บางท่านอาจจะถามว่าเราจะทำได้บ่อยแค่ไหน กรณีนี้ให้กระบวนกรดำเนินกิจกรรมไปได้เลยตามความรู้สึก บางงานเราจะทำกันบ่อยมาก ไม่ต้องกลัวว่าเวลาจะเสียไป เพราะสิ่งที่ได้กลับมาคุ้มค่ามากกว่าเสมอ เพราะถ้าไม่ผ่อนคลายแล้ว กิจกรรมทั้งหลายที่จะทำตามมา ก็ไม่มีค่าอะไรเลย เพราะมันจะไม่ได้ผล อย่างที่ควรจะเป็น
Resource : วิศิษฐ์ วังวิญญู มติชนรายวัน วันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
รูปแบบการคิด (Cognitive Style) และ รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Style)
· Tab 1
ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางความคิดของมนุษย์ที่สำคัญนั้น นอกจากความเชื่อ และทัศนคติแล้ว ปัจจุบันนี้ในบริบทของ การจัดการศึกษา นักจิตวิทยา นักการศึกษา และนักวิจัยกำลังให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นทุกที ต่อสิ่งที่เรียกว่า รูปแบบการคิด (cognitive style) และ รูปแบบการเรียนรู้ (learning style) ในฐานะที่เป็นปัจจัยทางจิตวิทยาสำคัญ ที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มสัมฤทธิผลทางการเรียนของผู้เรียนได้ ทั้งในการจัดการศึกษาในระดับโรงเรียน ระดับอุดมศึกษา และในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาวิชาชีพขององค์กรต่างๆ
ความหมายของคำว่า “รูปแบบ (style)”
คำว่า “รูปแบบ (style)” ในทางจิตวิทยา หมายถึงลักษณะที่บุคคลมีอยู่หรือเป็นอยู่ หรือใช้ในตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม อย่างค่อนข้าง คงที่ ดังที่เรามักจะใช้ทับศัพท์ว่า “สไตล์” เช่น สไตล์การพูด สไตล์การทำงาน และสไตล์การแต่งตัว เป็นต้น ซึ่งก็หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของเราเป็นอยู่ หรือเราทำอยู่เป็นประจำ หรือค่อนข้างประจำ
ความหมายของ รูปแบบการคิด(Cognitive style) และ รูปแบบการเรียนรู้(learning style)
รูปแบบการคิด (cognitive style) หมายถึง หนทางหรือวิธีการที่บุคคลชอบใช้ในการรับรู้ เก็บรวบรวม ประมวล ทำความเข้าใจ จดจำข่าวสารข้อมูลที่ได้รับ และใช้ในการแก้ปัญหา โดยรูปแบบการคิดของแต่ละบุคคลมีลักษณะค่อนข้างคงที่
รูปแบบการเรียนรู้ (Learning style) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพ ความคิด และความรู้สึก ที่บุคคลใช้ในการรับรู้ ตอบสนอง และมีปฎิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางการเรียนอย่างค่อนข้างคงที่ (Keefe, 1979 อ้างใน Hong & Suh, 1995)
ดังนั้นรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ จึงเป็นลักษณะของการคิด และลักษณะของการเรียนที่บุคคลหนึ่งๆ ใช้หรือทำเป็นประจำ อย่างไรก็ตามรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ไม่ได้หมายถึง ตัวความสามารถโดยตรง แต่เป็นวิธีการที่บุคคล ใช้ความสามารถ ของตนที่มีอยู่ในการคิด และการเรียนรู้ ด้วยลักษณะใดลักษณะหนึ่ง มากกว่าอีกลักษณะหนึ่งหรือลักษณะอื่นๆที่ตนมีอยู่
ความเกี่ยวข้องระหว่างรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้
แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการคิด (Cognitive Style) พัฒนามาจากความสนใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งในช่วงแรก ของการ ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการคิดนักจิตวิทยาได้เน้นศึกษาเฉพาะความแตกต่างระหว่างบุคคล ในแง่ของ การประมวลข่าวสารข้อมูล ยังไม่ได้ประยุกต์เข้ามาสู่การเรียนการสอนในชั้นเรียน ต่อมานักจิตวิทยากลุ่มที่สนใจ การพัฒนาประสิทธิภาพ ของการเรียน การสอนในชั้นเรียน ได้นำแนวคิดของรูปแบบการคิดมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเน้นสู่ บริบทของการเรียนรู้ในชั้นเรียน และพัฒนาเป็นแนวคิดใหม่ เรียกว่า รูปแบบการเรียนรู้ (learning style)
Riding และ Rayner (1998) กล่าวว่า รูปแบบการเรียนรู้ ประกอบด้วยรูปแบบการคิด (cognitive style) และกลยุทธ์การเรียนรู้ (learning strategy) ซึ่งหมายถึงวิธีการที่ผู้เรียนใช้การจัดการหรือตอบสนองในการทำกิจกรรมการเรียน เพื่อให้เหมาะสม กับสถานการณ์ และงานในขณะนั้นๆ
ความสำคัญของรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง และต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ผลการวิจัยได้ชี้ชัดว่า รูปแบบการคิด และ รูปแบบการเรียนรู้ ของผู้เรียนมีผลต่อความสำเร็จทางการเรียน โดยผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียน จะเพิ่มขึ้น และผู้เรียนจะสามารถจดจำข้อมูลที่ได้เรียนนานขึ้น เมื่อวิธีสอน วัสดุ/สื่อการสอน และ สภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ มีความสอดคล้องกับรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน (Davis, 1991; Jonassen & Grabowski, 1993; Caldwell& Ginthier ,1996 ; Dunn, et al.,1995 ) เช่น ผู้เรียนที่มีรูปแบบการคิดเป็นรูปภาพ จะเรียนรู้ได้ดี เมื่อผู้สอนใช้สื่อการสอนที่มีภาพประกอบ หรือผู้เรียนที่มีรูปแบบการคิดแบบอิสระ จะเรียนรู้ได้ดี ในกิจกรรม การเรียนที่มีการค้นคว้าด้วยตนเอง หรือผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ก็จะเรียนรู้ได้ดีในกิจกรรมการเรียนที่มีส่วนร่วม มีการร่วมมือกันทำงานเป็นกลุ่ม เป็นต้น
นอกจากนี้การวิจัยยังพบประเด็นที่น่าสนใจอีกว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน จากผลการเรียน ไม่ถึงเกณฑ์จำนวนมาก มีรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการสอน ที่ครูส่วนใหญ่ใช้สอนกัน (Caldwell & Gintheir, 1996; Rayner & Riding,1996) อีกทั้งยังพบว่านักเรียนที่มีปัญหาการเรียนส่วนใหญ่ มีรูปแบบการเรียนรู้ ที่แตกต่างไปจาก นักเรียนผู้สนใจเรียน และเรียนดี (Shaughnessy, 1998) จึงอาจเป็นไปได้ว่า ปัญหาการเรียนของนักเรียนเหล่านี้ มีสาเหตุมาจากการที่มีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกับนักเรียนทั่วไป และไม่สอดคล้องกับรูปแบบการสอนทั่วไปของครู
จึงกล่าวได้ว่าความรู้ความเข้าใจในเรื่องรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ มีความสำคัญ ต่อการส่งเสริม ประสิทธิภาพ ของ การเรียนการสอน และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ และอาจช่วยลดปัญหาผลการเรียนต่ำ ปัญหาการหนีเรียน และไม่สนใจเรียนของผู้เรียนได้ด้วย
ผู้แต่ง ดร.เอมอร กฤษณะรังสรรค์
· Tab 2
การจำแนกประเภทของรูปแบบการคิด (The categorization of cognitive style)
ได้มีการเสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการคิด (cognitive style) อย่างหลากหลาย ซึ่ง ไรดิงก์ และชีมา (Riding & Cheema,1991) ได้จัดกลุ่มแนวคิดรูปแบบการคิดต่างๆเหล่านั้น เพื่อง่ายแก่การเข้าใจ และเห็นภาพชัดขึ้น โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มรูปแบบการคิดแบบภาพรวม-วิเคราะห์ (wholist – analytic dimension)
2. กลุ่มรูปแบบการคิดแบบถ้อยคำ-ภาพ ( verbal – imagery dimension)
1. รูปแบบการคิดในกลุ่มการคิดแบบภาพรวม และแบบวิเคราะห์ (wholist – analytic dimension)
ในกลุ่มของแนวคิดที่จำแนกรูปแบบการคิดในลักษณะของการคิดภาพรวม และการคิดวิเคราะห์ ได้แก่
1.1 รูปแบบการคิดแบบพึ่งพา และแบบอิสระ(Field-dependent / field-independent cognitive style) ของ วิทคิน และคณะ (Witkin, et al., 1971)
รูปแบบการคิด แบบพึ่งพา และ แบบอิสระ เป็น รูปแบบการคิด 2 ขั้ว ซึ่งแต่ละขั้วต่างมีประโยชน์ มีคุณค่า และมีความเหมาะสม กับ สภาพการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นแต่ละรูปแบบการคิดจะมีคุณค่าต่อเมื่อ รูปแบบการคิด ถูกใช้ได้เหมาะสม กับสภาพการณ์นั้นๆ (Witkin et al., 1977; Witkin and Goodenough, 1981)
1.1.1 บุคคลที่มีรูปแบบการคิดแบบพึ่งพา (Field Dependence)
ลักษณะเด่นของบุคคลที่มีรูปแบบการคิดแบบพึ่งพา คือ มีการรับรู้ และจดจำข้อมูลข่าวสาร ในลักษณะภาพรวม และคงสภาพ ของ ข้อมูล ไว้เหมือนเดิมตามที่ข้อมูลปรากฏ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบข้อมูลใหม่ มีความสามารถ และทักษะทางสังคมดี เป็นบุคคล ที่ชอบทำงานร่วมกับผู้อื่น มีความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี มีความเข้าใจผู้อื่น ต้องการมิตรภาพ ต้องการ ความคิดเห็น ของผู้อื่นร่วมใน การตัดสินใจ และแก้ปัญหา ชอบที่จะเรียนเป็นกลุ่ม และชอบการเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในชั้นเรียน รวมทั้งกับผู้สอนด้วย ต้องการการเสริมแรงภายนอก (extrinsic Reinforcement) เช่น คำชมเชยของผู้อื่น มากกว่า การเสริมแรงภายใน สามารถเรียนรู้ได้ดีเมื่อผู้สอนมีการจัดลำดับ ระบบระเบียบ และโครงสร้างของเนื้อหาที่สอนแล้วอย่างดี เรียนรู้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสังคมได้ดี
1.1.2 บุคคลที่มีรูปแบบการคิดแบบอิสระ (Field Independence) ลักษณะเด่นของบุคคลที่มีรูปแบบการคิดแบบนี้ คือ มีการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และจดจำในลักษณะวิเคราะห์แยกแยะข้อมูล และมีการเปรียบเทียบความแตกต่าง และ ความเหมือน ระหว่างข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ กับข้อมูลเก่าที่มีอยู่เดิม มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และจัดระเบียบข่าวสารข้อมูล ที่ได้รับใหม่ตาม ความเข้าใจของตนเอง มักจะมีความสามารถ และทักษะทางสังคมน้อย มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีการตัดสินใจ โดยอาศัย ความคิดของตนเอง เป็นหลัก สามารถเรียนรู้ได้ดีในสภาพการเรียนรู้ที่มีลักษณะเป็นรายบุคคล และให้อิสระแก่ผู้เรียน ชอบการเรียนที่ให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายของงานด้วยตนเอง และตอบสนองต่อการเสริมแรงภายใน (เช่น ความต้องการ มาตรฐาน และค่านิยมของตนเอง) มากกว่าการเสริมแรงภายนอก ชอบที่จะ พัฒนากลวิธีการเรียนด้วยตนเอง ชอบที่จะจัดระบบโครงสร้าง ของเนื้อหาที่ เรียนด้วยตัวเอง จึงไม่มีปัญหาแม้เอกสาร/วัสดุประกอบการเรียนจะอยู่ในรูปแบบที่ขาดการจัดระบบโครงสร้างของเนื้อหา
1.2 รูปแบบการคิดแบบปรับให้เรียบ และแบบลับให้คม (levelling/sharpening) ของ การ์ดเนอร์ และคณะ (Gardner et al.,1959)
การ์ดเนอร์ และคณะ อธิบายความแตกต่างของบุคคลในแง่ของการรับรู้ และการเก็บจำข่าวสารข้อมูล โดยจำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.2.1 รูปแบบการคิดแบบปรับให้เรียบ (levelling) หมายถึง การที่บุคคลมีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งเร้า หรือเหตุการณ์ใหม่ใน ลักษณะเดิมๆ เหมือนที่เคยเก็บจำไว้แล้ว จึงมักจะรับรู้ว่าสิ่งใหม่เหมือน/คล้ายของเดิม ชอบการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม ภาพในความจำมักไม่คงที่ พร่ามัว และ ไม่แม่นยำ
1.2.2 รูปแบบการคิดแบบลับให้คม (sharpening) หมายถึง ลักษณะที่บุคคลมีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งเร้า /เหตุการณ์ใหม่ ในลักษณะ ที่แยกแยะ เพ่งความสนใจเพื่อพิจารณา ให้เห็นชัดเจนใน ความแตกต่างระหว่างสิ่งใหม่ กับกับสิ่งที่เคยเก็บจำไว้แล้ว ชอบการใช้ เหตุผลเชิงรูปธรรม มีการรับรู้เกี่ยวกับเวลาที่ชัดเจน ภาพในความจำจะคงอยู่นาน ความทรงจำหลักจะอยู่ในลักษณะของภาพ
1.3 รูปแบบการคิดแบบหุนหัน และแบบไตร่ตรอง (impulsive / reflectiveness) ของ คาแกน และคณะ (Kagan et al.,1964)
คาแกน และคณะ แบ่งรูปแบบการคิดเป็น 4 ลักษณะ คือ
1.3.1 คิดแบบหุนหัน (cognitively impulsive) มีการตัดสินใจอย่างรวดเร็วหลังจากได้ข้อมูลทางเลือกเพียงย่อๆ และ มักเป็นการตัดสินใจที่มีความผิดพลาดบ่อยๆ
1.3.2 คิดแบบไตร่ตรอง (cognitively reflective) มีการใคร่ครวญ พิจารณาอย่างรอบคอบระมัดระวัง เกี่ยวกับ ทางเลือกทุกทาง ก่อนที่จะตัดสินใจ และมักมีความผิดพลาดในการตัดสินใจเพียงเล็กน้อย
1.3.4 คิดเร็ว (quick) มีการโต้ตอบต่อสิ่งที่เร้าหรือสิ่งที่รับรู้ได้อย่างรวดเร็วแต่ผิดพลาดน้อย
1.3.4 คิดช้า (slow) มีการตอบสนองต่อสิ่งที่ได้รับรู้ช้า และผิดพลาดมาก
1.4 รูปแบบการคิดแบบดัดแปลง และแบบสร้างใหม่ (adaption/innovation) ของ เคอร์ตัน (Kirton,1987)
เคอร์ตัน แบ่งลักษณะรูปแบบการคิดตามลักษณะการแก้ปัญหาเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.4.1 นักดัดแปลง (adaptor) เป็นผู้ที่ชอบ “ทำสิ่งที่ดีกว่า/ดีขึ้นกว่าเดิม” โดยมีแนวทางในการทำงานที่มีระเบียบ และแม่นยำ เป็นนักคิดหาคำตอบสรุป (convergence) แสวงหามติเอกฉันท์โดยอิงวิธีการที่กำหนดขึ้น สามารถจัดการบริหารได้ดีในขอบเขตของระบบที่วางไว้แล้ว
1.4.2 นักสร้างใหม่ (innovator) เป็นผู้ที่ชอบ “ทำสิ่งที่แตกต่าง” มีแนวทาง การทำงานในลักษณะที่ไม่มีลำดับขั้นตอน ตัดสินใจโดยอิสระ เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงความคิดได้ตลอดเวลา มีอุดมการณ์ และสามารถบริหารจัดการในภาวะวิกฤติได้ดี
ผู้แต่ง ดร.เอมอร กฤษณะรังสรรค์
· Tab 3
2. รูปแบบการคิดในกลุ่มมิติของถ้อยคำ-ภาพ ( verbal – imagery dimension)
แนวคิดนี้แบ่งบุคคลออกเป็นประเภท ตาม กระบวนการ ประมวลสารสนเทศ และการเก็บจำ ซึ่งใน กระบวนการ ของ การประมวล ข่าวสารข้อมูล นั้น เมื่อบุคคลรับข่าวสารข้อมูลมาแล้ว จะมีการแปลงรูปข่าวสาร และเก็บจำไว้ใน 2 ลักษณะ คือ เป็นรูปภาพ และเป็น คำพูด และจะดึงสิ่งที่เก็บจำนี้ออกมาใช้ในการคิดตามลักษณะที่เก็บจำไว้ เช่น ถ้าเราเก็บจำข้อมูลนั้นไว้ในลักษณะที่เป็นรูปภาพ เมื่อเวลาที่เราคิดถึงสิ่งนั้น หรือเรียกข้อมูลนั้นออกมาใช้งาน ข้อมูลนั้นก็จะออกมาในลักษณะของรูปภาพ แต่ถ้าเราเก็บจำไว้ใน ลักษณะของถ้อยคำ เวลาที่เราเรียกข้อมูลออกมาใช้ในการคิด ข้อมูลที่เรานึกก็จะออกมาเป็นถ้อยคำ โดยปรกติบุคคล จะมีการแปลงรูป ข้อมูลข่าวสาร ได้ในทั้งสองลักษณะ แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยพบว่า บุคคลหนึ่งๆ มีแนวโน้มที่จะใช้การแปลงข่าวสารข้อมูล ในรูปแบบหนึ่ง มากกว่า อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า เป็นสไตล์ของผู้นั้น (Riding & Rayner, 1998) และก็มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการคิด ให้มีทั้งการคิดที่เป็นคำพูด และการคิดที่เป็นภาพได้เท่าๆกัน โดยยืดหยุ่นไปตาม สภาพการณ์ที่เหมาะสม
แนวคิดนี้จึงแบ่งบุคคลตามรูปแบบการคิด ได้เป็น 2 ประเภท คือ
ผู้ที่คิดเป็นคำพูด (Verbaliser) หมายถึงผู้ที่เมื่อรับรู้ข่าวสารข้อมูลแล้ว มีแนวโน้มที่จะการแปลงรูปข่าวสารข้อมูลนั้น แล้วเก็บจำ และดึงออกมาใช้ในการคิดในรูปของคำพูดมากกว่าในลักษณะของรูปภาพ
ผู้ที่คิดเป็นภาพ (Visualiser) หมายถึงผู้ที่เมื่อรับรู้ข่าวสารข้อมูลแล้ว มีแนวโน้มที่จะการแปลงรูป และเก็บจำ และดึงออกมาใช้ใน การคิดในลักษณะของรูปภาพมากกว่าในลักษณะของคำพูด
การจำแนกประเภทของรูปแบบการเรียนรู้ (The categorization of learning style)
ได้มีการเสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้ ไม่ต่ำกว่า 21 แนวคิด (Moran, 1991) ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเพียง 4 แนวคิดซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป
1. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของโคล์บ (Kolb’s Learning Style Model, 1976)
แนวคิดนี้ได้จำแนกผู้เรียนออกเป็น 4 ประเภท ตามความชอบในการรับรู้ และประมวลข่าวสารข้อมูล ดังนี้
1.1 นักคิดหลายหลากมุมมอง (diverger) เป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ดีในงานที่ใช้การจินตนาการ การหยั่งรู้ การมองหลากหลายแง่มุม สามารถสร้างความคิดในแง่มุมต่างๆกัน และรวบรวมข่าวสารข้อมูลจากแหล่งต่างๆหรือที่ต่างแง่มุมเข้าด้วยกันได้ดี และมีความเข้าใจผู้อื่น แต่มีจุดอ่อนที่ตัดสินใจยาก ไม่ค่อยใช้หลักทฤษฎี และระบบทางวิทยาศาสตร์ในการคิด และตัดสินใจ มีความสามารถในการประยุกต์น้อย
1.2 นักคิดสรุปรวม (converger) เป็นผู้ที่มีความสามารถในการใช้เหตุผลแบบสรุปเลือกคำตอบที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งคำตอบ มีความสามารถในการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ ไม่ใช้อารมณ์ ประยุกต์แนวความคิดไปสู่การปฏิบัติได้ดี และมีความสามารถในการสร้างแนวคิดใหม่ และทำในเชิงการทดลอง แต่มีจุดอ่อนที่มีขอบเขตความสนใจแคบ และขาดการจินตนาการ
1.3 นักซึมซับ (assimilator) เป็นนักจัดระบบข่าวสารข้อมูล มีความสามารถในการใช้หลักเหตุผล วิเคราะห์ข่าวสารข้อมูล ชอบทำงานที่มีลักษณะเป็นนามธรรม และเชิงปริมาณ งานที่มีลักษณะเป็นระบบ และเชิงวิทยาศาสตร์ และการออกแบบการทดลอง มีการวางแผนอย่างมีระบบ มีจุดอ่อนที่ ไม่ค่อยสนใจที่จะเกี่ยวข้องกับผู้คน และความรู้สึกของผู้อื่น
1.4 นักปรับตัว (accomodator) เป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดโดยผ่านประสบการณ์จริง มีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆได้ดี มีการหยั่งรู้ (intuition) ชอบแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ชอบงานศิลปะ ชอบงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน มีความสามารถในการปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามแผน ชอบการเสี่ยง ใช้ข้อเท็จจริงตามสภาพการณ์ปัจจุบัน จุดอ่อนของผู้ที่มีรูปแบบการเรียนแบบนี้คือ วางใจในข้อมูลจากผู้อื่น ไม่ใช้ความสามารถในเชิงวิเคราะห์ของตนเอง ไม่ค่อยมีระบบ และชอบแก้ปัญหาโดยวิธีการลองผิดลองถูก
ผู้แต่ง ดร.เอมอร กฤษณะรังสรรค์
· Tab 4
2. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Myers-Briggs (Myers, 1978)
แนวคิดนี้แบ่งผู้เรียนตามความชอบของการเรียนรู้โดยมีพื้นฐานความคิดมาจากทฤษฎีบุคลิกภาพของคาร์ล ยุง (Carl Jung) โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นประเภทดังนี้ (Felder, 1996 ; Griggs, 1991)
2.1 ผู้สนใจสิ่งนอกตัว และผู้สนใจสิ่งในตัว ( extroversion / introversion)
ผู้สนใจสิ่งนอกตัว (extroversion) หมายถึงผู้เรียนที่มุ่งเน้นข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกของตน และชอบการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม และมีการปฏิสัมพันธ์กัน
ผู้สนใจสิ่งในตัว (introversion) หรือผู้เรียนที่มุ่งเน้นความคิดเกี่ยวกับโลกภายใน ของตน และชอบงานรายบุคคลที่เน้นการใช้การคิดแบบไตร่ตรอง
2.2 การสัมผัส และ การหยั่งรู้ (Sensing / intuition) เป็นการจำแนกผู้เรียนตามวิธีการให้ได้มาซึ่งความรู้
การสัมผัส (sensing) หมายถึงผู้เรียนที่มุ่งเน้นความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง กฎ และกระบวนการ โดยผ่านการปฏิบัติด้วยประสาทสัมผัส 5
การหยั่งรู้ (intuition) ผู้เรียนที่มุ่งเน้นความรู้ที่มีลักษณะของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ปัญหาที่ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน และอาศัยการจินตนาการในการให้ได้มาซึ่งความรู้เหล่านี้
2.3 การคิด และการรู้สึก (thinking / feeling) เป็นการจำแนกผู้เรียนตามลักษณะของกระบวนหาทางเลือกในการตัดสินใจ
การคิด (thinking) หมายถึงผู้เรียนที่รับข้อมูลแล้วคิดตัดสินใจบนฐานของการใช้กฏเกณฑ์ และหลักเหตุผล สามารถทำงานได้ดีในงานที่เกี่ยวข้องกับการตัดสิน และแก้ปัญหาที่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
การรู้สึก (feeling) เป็นผู้ที่ตัดสินใจบนฐานของความความรู้สึก ค่านิยมส่วนตัว ค่านิยมของกลุ่ม และสนใจในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เป็นผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคคล และมักประสบความสำเร็จในการทำงานเป็นทีม
2.4 การตัดสิน และ การรับรู้ (judging VS perception) เป็นการจำแนกผู้เรียนตามกระบวนการประมวลข่าวสารข้อมูล
การตัดสิน (judging) หมายถึง ผู้เรียนที่เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลใดๆแล้ว มักจะประมวลข่าวสารด้วยการตัดสิน และสรุปลงความเห็นเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ
การรับรู้ (perception) หมายถึงผู้เรียนที่มีแนวโน้มที่จะพยายามรวบรวมข้อมูลให้มากกว่าที่มีอยู่ และมักจะยืดเวลาการตัดสินใจออกไปเรื่อยๆ
· Tab 5
3. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Dunn และ Dunn และ Price (1991)
Dunn และคณะ ( Dunn et al.,1995) ได้เสนอแนวคิดรูปแบบการเรียนรู้ว่า ตัวแปรที่มีผลทำให้ความสามารถในการรับรู้ และการตอบสนอง ในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลแตกต่างกันนั้น มีทั้งตัวแปรที่เป็นสภาพแวดล้อมภายนอกของบุคคล และสภาพภายในตัวบุคคล ซึ่งมี 5 ด้าน ได้แก่
3.1 ตัวแปรสภาพแวดล้อมภายนอก (environmental variable) แต่ละบุคคลมีความชอบ และสามารถเรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมทางการเรียนที่แตกต่างกัน ดังนี้
ระดับเสียง บางคนเรียนรู้ได้ดีในที่เงียบๆ แต่บางคนเรียนรู้ได้ดีในที่ที่มีเสียงอื่นประกอบบ้าง เช่น เสียงดนตรี หรือเสียงสนทนา
แสง บางคนเรียนรู้ได้ดีในที่มีแสงสว่างมากๆ แต่บางคนเรียนรู้ได้ดีในที่มีแสงสลัว
อุณหภูมิ บางคนเรียนชอบ และเรียนรู้ได้ดีกว่าในสภาพแวดล้อมที่มี อุณหภูมิอุ่น ในขณะที่บางคนชอบเรียนในที่มีอากาศค่อนข้างเย็น
ที่นั่ง บางคนเรียนรู้ได้ดีในสถานที่มีการจัดที่นั่งไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่บางคนชอบเรียนในที่จัดที่นั่งตามสบาย
3.2 สภาพทางอารมณ์ (emotional variable) เป็นคุณลักษณะของบุคคลที่มีมากน้อย ต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ ได้แก่
* แรงจูงใจในการเรียนให้สำเร็จ
* ความเพียร/ความมุ่งมั่นทำงานที่ได้รับมอบหมายในการเรียนให้เสร็จ
* ความรับผิดชอบในตนเองเกี่ยวกับการเรียน
* ความต้องการการบังคับจากสิ่งภายนอกหรือมีการกำหนดทิศทางที่แน่นอน เช่น เวลาที่ผู้สอนกำหนดให้ส่งงาน การหักคะแนนถ้าส่งงานล่าช้า หรือ การทำสัญญา เป็นต้น
3.3 ความต้องการทางสังคม (sociological variable) แต่ละบุคคลมีความต้องการทางสังคมในสภาพของการเรียนรู้แตกต่างกันได้แก่
ขนาดกลุ่มเรียน บางคนชอบเรียนคนเดียว จับคู่กับเพื่อน เรียนเป็นกลุ่มเล็ก หรือเรียนกลุ่มใหญ่
ลักษณะผู้ร่วมงาน บางคนชอบทำงานร่วมกับผู้ที่มีลักษณะมีอำนาจ ในขณะที่บางคนชอบทำงานร่วมกับผู้ที่มีลักษณะเป็นเพื่อนร่วมคิด ร่วมทำ
ลักษณะกลุ่มเรียน บางคนชอบเรียนรู้จากกลุ่มที่แตกต่างหลายๆกลุ่ม และมีกิจกรรมที่หลากหลาย แต่บางคนชอบเรียนกับกลุ่มประจำ และมีลีกษณะกิจกรรมที่แน่นอน
3.4 ความต้องการทางกายภาพ (physical variable) ได้แก่
ช่องทางการรับรู้ แต่ละบุคคลชอบ และสามารถเรียนรู้ได้ดีโดยผ่านประสาทสัมผัสต่างช่องทางกัน เช่น ผ่านทางการได้ยิน/ฟัง การเห็น การสัมผัส และการเคลื่อนไหว(kinesthetic)
ช่วงเวลาของวัน บางคนเรียนรู้ได้ดีในช่วงเช้าหรือสาย แต่บางคนเรียนรู้ได้ดีในช่วงบ่ายหรือเย็น
การกินระหว่างเรียนหรืออ่านหนังสือ บางคนเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีการกิน การเคี้ยว ระหว่างที่มีสมาธิ แต่บางคนจะเรียนรู้ได้ดีต้องหยุดกิจกรรมการกินทุกชนิด
3.5 กระบวนการทางจิตวิทยา (psychological processing) บุคคลมีความแตกต่างกันกระบวนการที่ใช้ในการประมวลข่าวสารข้อมูล ได้แก่
การคิดเชิงวิเคราะห์หรือแบบภาพรวม(analytic/global) บางคนเมื่อรับรู้ข่าวสารข้อมูลแล้ว มักจะใช้กระบวนการวิเคราะห์ในการแยกแยะ เพื่อทำความเข้าใจ ในขณะที่บางคนใช้กระบวนการคิดแบบภาพรวม
ความเด่นของซีกสมอง (hemisphericity) บุคคลมีแนวโน้มที่จะใช้สมองซีกใดซีกหนึ่ง ในการประมวลข่าวสารมากกว่าอีกซีกหนึ่ง โดยบางคนมีแนวโน้มที่จะใช้สมองซีกซ้ายมากว่าซีกขวา ในขณะที่บางคนมีแนวโน้มที่จะใช้สมองซีกขวามากว่าซีกซ้าย
การคิดแบบหุนหันหรือแบบไตร่ตรอง (impulsivity/reflectivity) บางคนมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็วหลังจากได้ข้อมูลเพียงย่อๆ แต่บางคนจะมีการใคร่ครวญ พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ
· Tab 6
4. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของ กราชา และริเอชแมนน์ (Grasha & Riechmann, 1974 )
กราชา และริเอชแมนน์ (Grasha & Riechmann, 1974) ได้เสนอรูปแบบของการเรียนรู้ในลักษณะของความชอบ และทัศนคติของบุคคล ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอน และเพื่อนในการเรียนทางวิชาการ เป็น 6 แบบ ดังนี้
4.1 แบบมีส่วนร่วม (participant) เป็นผู้เรียนที่สนใจอยากจะรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของรายวิชาที่เรียน อยากเรียน สนุกกับการเรียนในชั้นเรียน และคล้อยตาม และติดตามทิศทางของการเรียนการสอน
4.2 แบบหลีกหนี (Avoidant) เป็นผู้เรียนที่ไม่มีความต้องการที่จะรู้เกี่ยวเนื้อหารายวิชาที่เรียน ไม่ชอบเข้าชั้นเรียน ไม่สนใจที่จะเรียนรู้ รู้สึกต่อต้านทิศทางของการเรียนการสอน
4.3 แบบร่วมมือ (Collaborative) เป็นผู้เรียนที่ชอบกิจกรรมการเรียนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม และการร่วมมือกัน ชอบการมีปฏิสัมพันธ์กัน รู้สึกสนุกในการทำงานกลุ่ม
4.4 แบบแข่งขัน (Competitive) เป็นผู้เรียนที่มีลักษณะของการแข่งขัน และยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง สนใจแต่ตนเอง และมีแรงจูงใจในการเรียนจากการได้ชนะผู้อื่น สนุกกับเกม/กีฬาการต่อสู้ ชอบกิจกรรมที่มีการแพ้-ชนะ สนุกในเกมที่เล่นเป็นกลุ่ม
4.5 แบบอิสระ(Independent) เป็นผู้ที่ทำงานด้วยตนเอง สามารถทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ไวต่อการตอบสนอง/โต้ตอบได้รวดเร็ว และมีความคิดอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
4.6 แบบพึ่งพา (Dependent) เป็นผู้ที่ต้องอาศัยครูให้คำแนะนำ ต้องการการช่วยเหลือ และแรงจูงใจภายนอก (เช่น คำชม รางวัล) ในการจูงใจให้การเรียน ไม่ค่อยไวในการตอบสนอง/โต้ตอบ มีความกระตือรือร้นในการเรียนไม่มาก และมักจะทำตามความคิดของผู้นำ
ประโยชน์ของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลใน รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้มีประโยชน์ต่อทั้งผู้เรียน และผู้สอน ในแง่การส่งเสริมการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และการจัดการศึกษาได้อย่างประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ก. ประโยชน์ของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ต่อผู้เรียน
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจตนเอง และเข้าใจในความแตกต่างระหว่างตนเอง และผู้อื่น และใช้ประโยชน์จาก ความรู้ความเข้าใจใน จุดเด่นของรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ของตน ไปให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อการเรียนทางวิชาการ การเรียนรู้ในสภาพการณ์ทั่วไป และการทำงานในอนาคตต่อไป พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของตนในรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่เคยใช้หรือไม่ค่อยได้ใช้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะได้เป็นผู้มีรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้หลายรูปแบบ ซึ่งจะทำให้สามารถเลือกนำออกมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะถ้าผู้เรียนที่ยึดมั่นในการใช้รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้แบบใดแบบหนึ่งเพียงรูปแบบเดียว ก็จะสามารถเรียนรู้ได้ดีเฉพาะในบางรายวิชาหรือบางสถานการณ์ ที่สอดคล้องกับการจัดการสอนเท่านั้น แต่ในบางรายวิชาหรือบางสถานการณ์ ที่ต้องการรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างออกไป ก็จะเกิดความรู้สึกยุ่งยากหรืออาจเป็นปัญหาการเรียนได้
ข.ประโยชน์ของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ต่อผู้สอน
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ ทำให้นักจิตวิทยา และนักการศึกษาเห็นถึงความจำเป็น ที่ผู้สอนจะต้องปรับสภาพการเรียนการสอน และกลวิธีการสอนให้เข้ากับลักษณะของผู้เรียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนการสอน และช่วยให้ผู้เรียนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของการเรียน (Saracho, 1997; Morgan, 1997) โดยผู้สอนควรจะสร้างความสมดุลในการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนทุกคน ด้วยการจัดรูปแบบการเรียนการสอนให้มีความหลากหลาย และยืดหยุ่น เพื่อสอดรับกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียนที่แตกต่างกัน และช่วยให้นักศึกษามีทักษะในการใช้รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่ตนชอบมากกว่า และอีกทั้งจัดรูปแบบการเรียนการสอน ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มทักษะการใช้รูปการเรียนที่ตนชอบน้อยกว่าให้สูงขึ้นด้วย ดังที่ Robotham (1995) เสนอแนะว่า ในช่วงแรกของการเรียน ผู้สอนควรจัดรูปแบบการสอนให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียน เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ดีกว่า และเมื่อผู้เรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นแล้ว ผู้สอนควรใช้รูปแบบการสอนที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนารูปแบบการเรียนของตนให้กว้างขึ้น และจะได้สามารถใช้เลือกรูปแบบการเรียนให้เหมาะสมกับงานที่แตกต่างได้ต่อไป โดยไม่ติดยึดกับรูปแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่งเพียงแบบเดียว นอกจากนี้ผู้สอนยังสามารถนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ในรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ ไปใช้ในการออกแบบหลักสูตร การเขียนตำรา การพัฒนาชุดการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ และออกแบบวิธีสอน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพได้อีกด้วย (Felder,1996 ; Saracho, 1997)
แนวทางการใช้ประโยชน์จากรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ของตนเอง
1. เลือกกิจกรรมการเรียนที่ตรงกับรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อจะได้ใช้ความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่ เช่น งานเดี่ยว/งานกลุ่ม งานที่ผู้สอนกำหนดให้/งานอิสระที่ผู้เรียนกำหนดเอง งานที่เปิดโอกาสให้คิดได้หลากหลาย/ ต้องการคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
2. เลือกแหล่งความรู้ที่มีการนำเสนอในรูปแบบที่สอดคล้องกับรูปแบบการคิดของตนเอง เช่น หนังสือ/ตำราที่มีการเรียบเรียงจัดระบบเนื้อหาอย่างดี และมีภาพประกอบ หรือวีดีทัศน์
3. จัดสภาพการณ์การเรียนให้กับตนเองให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้ของตน เช่น อ่านหนังสือในที่สงบเงียบ/มีดนตรีเบาๆ มีแสงสว่างมาก/สลัว เลือกสิ่งจูงใจภายใน/แรงจูงใจภายนอกเพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการเรียน
แนวทางการพัฒนารูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ของตนเอง
1. สำรวจรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่ตนเองชอบใช้ และสอดคล้องกับสิ่งที่เรียน (ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็ง) และพิจารณาว่ารูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ใดที่จำเป็นต่อการเรียนของตน แต่ตนเองยังขาดทักษะในการใช้หรือไม่ค่อยได้นำมาใช้ (ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อน)
2. พัฒนา และปรับปรุงตนเองจุดอ่อนของตนเองจากที่ได้จากการสำรวจในข้อที่ 1 โดยฝึกฝนตนเองในการใช้รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนที่จำเป็น โดยเรียนรู้จากเพื่อนที่มีรูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู้ที่เราต้องการฝึก ด้วยการเลือกทำงานกลุ่มหรือทำงานคู่กับเพื่อนที่มีรูปแบบการคิดต่างไปจากตนเพื่อเรียนรู้ซึ่งกัน และกัน และฝึกตนเองในลักษณะที่ต่างไปจากเดิม เช่น เรียนรู้ทักษะทางสังคม ทักษะการสื่อสาร การทำงานร่วมกัน การเลือก/กำหนดเป้าหมายของงานด้วยตนเอง การวิเคราะห์ และประเมินข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ เป็นต้น
องค์กรเรียนรู้ Learning Organization
· Tab 1
ในยุคที่ผ่านมา การบริหารที่มุ่งยึดเป้าหมายเป็นเกณฑ์ (Management by objective=MBO) ด้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยการเน้นที่การตั้งเป้าหมายและวางแผนกระบวนการเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกเป้าหมาย ที่สร้างขึ้นจะบรรลุผลได้เสมอไป การบริหารองค์กรจึงหันมาใช้วิธีบริหารคนโดยเน้นเฉพาะที่ผลงาน (Performance Based) เป็นส่วนใหญ่ ต่อมาแนวคิดของการบริหาร เริ่มเปลี่ยนไปหลายรูปแบบ ตามมุมมองที่ให้ความสำคัญของผู้บริหาร ได้แก่ การยกเครื่ององค์กร (Reengineering) การบริหารเชิงเอื้ออำนาจ (Empowerment) การบริหารเชิงคุณภาพแบบองค์รวม (Total Quality Management) ตลอดจน การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result Based Management = RBMS) ซึ่ง”ไม่ว่า แนวคิดของการบริหาร จะมุ่งไปในแนวใด ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัย ทรัพยากรบุคคล ที่มีประสิทธิภาพ (Efficiency) เพื่อการเกิดประสิทธิผล (Effectiveness) ในความสำเร็จทั้งสิ้น” บุคคลที่มีคุณภาพ จึงเป็นทรัพยากร ที่มีความหมาย และความสำคัญ อย่างยิ่งในการนำให้องค์กรไปสู่ความสำเร็จ และเจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่ องค์กรคุณภาพ ต้องให้ความสำคัญในการสร้าง คนคุณภาพ โดยการกระตุ้นให้มี การเรียนรู้ทักษะการเป็น บุคคลเรียนรู้ (Learning People) เพื่อการมุ่งสู่ องค์กรเรียนรู้ (learning Organization) ในการสร้างความสำเร็จขององค์กรต่อไป
ข้อคิดมุมมองแบบ องค์กรเรียนรู้
“หากเราต้องการปลาคือเป้าหมาย เราจะมุ่งหาปลาให้ได้มากๆ เราจะใช้จำนวนปลาที่หาได้มาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ (Performance Based) ซึ่งไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะได้ความสำเร็จจะจีรัง (Consistency) ตลอดไปหรือไม่
ถ้าเรามุ่งเน้นเรียนรู้ วิธีการการได้มาซึ่งปลาในสภาวะปัจจัยต่างๆ (Learning Based) เราจะหาปลาได้ ทุกฤดูกาลอย่างไม่สิ้นสุด
แต่ถ้าเราเข้าใจความหมายในการต้องหาปลามาเพื่ออะไร (Realization) ไม่ว่าจะเพื่อการประทังชีวิต หรือความมั่งคั่งก็แล้วแต่ ปลาอาจไม่เป็นใช่คำตอบเดียวในเป้าหมายของเราก็ได้”
การใช้แนวทางการบริหารคน โดยมุ่งเน้นเฉพาะผลงาน (Performance Based) นั้น จะทำให้องค์กร สัมฤทธิ์ผล ตามเป้าหมาย ได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะคนมีชีวิตจิตใจ มีความไม่แน่นอนในภาวะอารมณ์ มีความลำเอียง (Bias) ในการแสวงเอา ผลประโยชน์เข้าตน และปกปิดความไม่ดีของตน มีความ”อยากได้และกลัวเสีย”เป็นกิเลสใน ตัวตน อีกทั้งการที่ถูกเร่งรัด และถูกคาดหวังในผลงาน ทำให้เกิดความเครียด และผลงานตกต่ำลงได้ในที่สุด ดังนั้นการนำวิธีการนี้ มาใช้จำเป็นต้องเข้าใจ จุดด้อยที่อาจเป็นเหมือนหลุมพลาง (Pitfall) ที่มักเกิดขึ้นและ มีวิธีการตรวจสอบผล อย่างจริงจัง เพื่อป้องกันผลลัพธ์ ตัวเลข จอมปลอมที่มักปรากฏให้เห็นได้อยู่บ่อยๆ
ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีการมุ่งมั่นให้มีการพัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถของคนทำงาน (Learning Based) อยู่อย่างสม่ำเสมอ ขวัญกำลังใจของพนักงาน จะไม่เสื่อมถอย ถึงแม้จะต้องใช้เวลา เงินทุน และความทุ่มเทที่สูงพอสมควร แต่เป้าหมายสำคัญขององค์กร จะสามารถบรรลุได้ตลอดเวลา และพนักงานจะมีความจงรักภัคดี (Royalty) ต่อองค์กรสูงขึ้นจาก การที่เขาเหล่านั้น ได้รับการพัฒนา ความรู้ความสามารถในการทำผลงานและได้ผลตอบแทนตามมา
ในยุคแห่งการแข่งขัน ทรัพยากรบุคคลเป็นตัวแทนอยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จทั้งหมดขององค์กร จึงต้องมีความสามารถเชี่ยวชาญ (Competency) และเป็นมืออาชีพ (Professional) อย่างแท้จริง โดยมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง เพิ่มพูนความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) อย่างต่อเนื่อง ด้วยกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (Life Long Learning)
Balanced Scorecard เป็นแนวทางการบริหารวิธีหนึ่งซึ่งนำเสนอโดย Robert Kaplan และ David Norton ในปี 1992 ซึ่งเป็นที่นิยม นำมาใช้กับ องค์กรในปัจุบันโดยเฉพาะกับองค์กรทันสมัยขนาดใหญ่ นับเป็นวิธีการบริหารในระบบเน้นผลสัมฤทธิ์ (Result Based Management) รูปแบบหนึ่ง โดยเน้นการบริหารที่ครอบคลุมใน 4 ด้าน (Perspectives) ได้แก่
1.ด้านการเงิน (Financial)
2.ด้านลูกค้า (Customer)
3.ด้านกระบวนการธุรกิจ (Business Process)
4. ด้านการเรียนรู้และเติบโต (Learning & Growth)
ด้วยเหตุผลที่ว่า องค์กรธุรกิจทุกรูปแบบ จำเป็นจะต้องมี องค์ประกอบใน4ด้านข้างต้น ซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตและก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารที่มีประสิทธิภาพทางด้านการเงิน การบริการลูกค้า การบริหารกระบวนการธุรกิจที่มีประสิทธิผล และที่เป็นตัวแปรที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การเรียนรู้พัฒนาของพนักงาน เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่ นวัตกรรมใหม่ๆในสินค้า (Product Innovation) และกระบวนการ ผลิตและบริการ (Process Innovation) ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐาน ในการก่อให้เกิด การเจริญเติบโต ของธุรกิจที่แท้จริงแบบยั่งยืน
นอกจากนี้ ในการบริหาระบบ Balanced Scorecard นี้ ยังได้มุ่งเน้นการวัดผลในทุกด้าน โดยกำหนดเป้าหมาย ผลลัพธ์ของกระบวนการ พร้อมกับตัวดัชนีวัดผล (Key Performance Indicators =Kpi’s) ออกมาเพื่อ วัดผลดำเนินการว่าอยู่ในเกณฑ์ ใหนเมื่อเทียบกับเป้าหมาย ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปแก้ไข หรือพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น (Continuous Quality Improvement = CQI) นอกจากนั้นยังนำเอา ผลลัพธ์ไปให้ คะแนนโดยการถ่วงน้ำหนักหาค่าออกมา นำไปเป็นการประเมินผลงาน ซึ่งมีผลต่อค่าตอบแทนของพนักงานด้วย อย่างไรก็ตาม ระบบ BSC นี้มุ่งเน้นการทำงานแบบเป็นทีม และผลคะแนนที่ได้จะส่งผลทั้งทีม รวมถึงผู้บริหารด้วยทุกองค์กร ควรกำหนดรูปแบบ ของการเรียนรู้ ให้เป็นโครงสร้าง ให้ชัดเจนเพื่อเป็น แนวทางพื้นฐานใน การพัฒนาองค์กร ต่อไปในอนาคต โครงสร้างการเรียนรู้มีอยู่ 7 ระดับ
1. บุคคลเรียนรู้ (Personal Learning) มีการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จัดสอน อบบรม ให้บุคคลมีโอกาสเรียนรู้ รวมถึงการประเมิน วัดผลและทดสอบเป็นรายบุคคล
2. ทีมเรียนรู้ (Team learning) โดยทุกคนร่วมเรียนรู้และมีการถ่ายทอดงานให้กัน และสามารถทดแทน กันได้หาก มีผู้หนึ่งผู้ใดในทีมขาดไป
3. เรียนรู้ข้ามสายงาน (Cross Functional Learning) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าระหว่างทีม ไม่มีการเรียนรู้ข้ามสายงาน ปัญหาในการประสานงานจะเกิดขึ้น การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และทักษะวิธีคิด ข้ามสายงาน จะทำให้เข้าใจระบบงานซึ่งกันและกัน นอกจากนั้น ในการขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง จำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องรอบรู้ในทุกสายงานขององค์กร ควรได้มีการหมุนเวียนให้ครบทุกสายงานก่อน (Spiral Career Path)
4. เรียนรู้เรื่องภายในองค์กร พนักงานต้องรู้และเข้าใจภาวะความเป็นจริงขององค์กรว่าเป็นอย่างไร มีทิศทาง (Corporate Vision) ไปทางใหน กลยุทธ์ธุรกิจ การตลาดและหน้าที่ เป็นอย่างไร ตลอดจน เรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมขององค์กร (Organizational Culture) เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการอยู่ร่วมกัน
5. เรียนรู้สภาวะแท้จริงภายนอกองค์กร พนักงานไม่ใช่จะเรียนรู้เฉพาะแต่งานประจำเท่านั้น ต้องเรียนรู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีเหตุการณ์อะไรที่จะก่อให้เกิดผลคุกคามต่อความอยู่รอดขององค์กร มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นบ้าง เพื่อนำมาปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัย ก้างหน้าทันโลก
6. เรียนรู้อนาคตและโอกาสทางธุรกิจ ในระดับนี้ทำได้ยาก ต้องมีการสอนและฝึกฝนพนักงาน พอควร โดยเฉพาะระดับผู้นำ ต้องรู้ที่จะวิเคราะห์ และคาดการณ์อนาคตได้ มองเห็นช่องทางธุรกิจที่สามารถทำได้ในอนาคตนอกเหนือจากธุรกิจที่ทำในปัจจุบัน
7. องค์ความรู้นำไปปฏิบัติให้เกิดผลตามวิสัยทัศน์ ส่วนนี้มีความสำคัญมากที่สุด เพราะการจะเป็นองค์กรเรียนรู้ได้นั้น จะต้องมีการนำความรู้ไปปฏิบัติจริง การถ่ายทอดเป็นเพียงการสร้างความรู้ความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้เกิดผล และต้องนำผลที่ได้จากการปฏิบัติมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์สร้างภูมิปัญญาใหม่ๆเพื่อเสริมศักยภาพตลอดไป
อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลจะเรียนรู้ในทั้ง7ระดับดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และ”รู้ในวิธีการเรียน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวดที่จะทำให้เกิด “การรู้”อย่างลึกซึ้งเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างได้ผล การที่จะรู้วิธีการเรียน นั้นถือเป็น ปัจจัยพื้นฐาน ของบุคลเรียนรู้ ที่มักถูกมองข้ามบ่อยๆ มนุษย์ทุกคนมีในทักษะในการเรียน (Learning skill & potentiality) และรับรู้ได้ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สภาพทางร่างกาย ภูมิหลังการเลี้ยงดูในอดีต และประสพการณ์ที่ได้รับ รวมถึงปัจจัยความต้องการ ที่กระตุ้นให้บุคคลนั้นมีการเรียนรู้การใช้ชีวิตและการแก้ปัญหา จนก่อเกิดทักษะ ความสามารถที่จะรับรู้ และเข้าใจ ความต้องการ ของตนเอง วิธีการที่จะได้มา ตลอดจนคาดการณ์ผลลัพธ์ จากการลงมือ กระทำได้อย่าง ถูกต้อง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว จะพบได้ใน บุคคล”อัจฉริยะ”ในบ้านเราไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนของบุคคลเพื่อให้ไปสู่”บุคคลเรียนรู้”ดังกล่าวก็สามารถเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งง่ายดายเหมือนเช่นการบวกเลข เพราะต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในหลักการพื้นฐาน ในความเป็นมนุษย์ จิตวิทยา ปรัชญา พุทธธรรม สัจจธรรม ตลอดจนเข้าใจในความต้องการของตนเอง และผู้อื่นและ เรียนรู้ที่จะวางชีวิต ให้อยู่ใน ความสมดุล ทุกสภาวะ (Dynamic Equilibrium) ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้ปฏิบัติตนให้อยู่ในทางสายกลาง
· Tab 2
ปี 1990 ได้มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ The Fifth Discipline –The Art & Practice of The Learning Organization ถูกตีพิมพ์ออกมาและถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก เขียนโดย Dr. Peter M. Senge ศาสตราจารย์แห่ง MIT Sloan School of Management เนื้อหากล่าวถึงการบริหารองค์กรโดยมุ่งเน้นพัฒนาองค์กรเรียนรู้ โดยให้ความสำคัญของ ความเป็นผู้นำ (Leadership) ความคิดความเข้าใจเชิงระบบ(System Thinking) และการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning) แนวคิดในการเขียนได้มาจากปรัชญาทางตะวันออก โดยแฝงด้วยสัจธรรม และความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหลังของของพฤติกรรมมนุษย์ และค่อนข้างจะเข้าใจได้ยากในการอ่านอย่างเดียว โดยไม่พยายามทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ทั้งหมดจะสะท้อนความจริงที่บุคคล และองค์กรต้องมีการเรียนรู้การใช้ชีวิต ร่วมกันในการสร้างความพลัง ความมั่นคง และการรู้จัก คาดการณ์มองไปข้างหน้า ได้อย่างแม่นยำ และเป็นจริงได้
การเรียนรู้มีสองรูปแบบ ในภาวะที่สถานการไม่เอื้ออำนวย การเรียนรู้เพื่ออยู่รอด(Survival Learning) เป็นสิ่งที่จำเป็น ในตรงกันข้าม ถ้าสถานการณ์เปิดโอกาสให้เมื่อได การเรียนรูเพื่อความเจริญเติบโต(Generative Learning) ต้องเกิดขึ้นทันที คำถามอยู่ที่ว่า เรามองสถานการณ์ออกหรือไม่ เราจะเรียนรู้และจัดการในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างไร เวลาใหน ที่ต้องเริ่มลงมือ และคาดการผลลัพธ์อย่างไร เหล่านี้ต้องอาศัยความคิดเชิงระบบ (System Thinking)นั่นคือ วินัยข้อที่5 (The fifth Discipline)ถูกกล่าวถึงในหนังสือของ Dr. Peter Senge นั่นเอง
วินัย 5 ประการ (Five Disciplines) พื้นฐานสู่การเป็นองค์กรเรียนรู้
เมื่อเรามองไปที่องค์กร เราจะเห็นแต่คนซึ่งเป็นผู้กำหนดความเปลี่ยนแปลง ความสำเร็จ ความล้มเหลวขององค์กร ดังนั้นแนวคิดของการพัฒนาองค์กรเรียนรู้จึงมุ่งไปที่การพัฒนาคนขององค์กรทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ภายใต้พื้นฐาน วินัย 5 ประการ ได้แก่
· มุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Personal Mastery)
· รูปแบบความคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง (Mental Models)
· การสร้างและสานวิสัยทัศน์ (Shared Vision)
· การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning)
· ความคิดความเข้าใจเชิงระบบ (System Thinking)
The Fifth Discipline ที่มีความสำคัญที่สุดในความหมายของ Dr. Peter Senge คือ ความสามารถของบุคคลในการคิด และเข้าใจในเชิงระบบ(System Thinking)ได้ ในส่วนวินัยข้อที่ 1-4 นั้น จะเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จำเป็นของบุคคล พึงเรียนรู้ และเข้าใจ และนำไปปฏิบัติให้ได้จนเกิดเป็น นิสัยของบุคคล และก่อเป็น วัฒนธรรมขององค์กร เพื่อสร้าง ความสำเร็จร่วมกัน เป็นทีม
1. มุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Personal Mastery)
การฝึกปฏิบัติของบุคคลให้เป็นผู้ เก่งในทุกๆด้าน ทั้งเก่งคิด เก่งพูด เก่งทำ เก่งเรียนรู้ไม่สิ้นสุด มีไหวพริบ ปฏิภาณ และ ความอดทน เพียรพยายาม คือเป็นศักยภาพพื้นฐานขององค์กรเรียนรู้ต้องสร้างขึ้นมา โดยการกระตุ้น ส่งเสริม อบรม ให้บุคคลใน องค์กรมี ความกระตือรือร้น ในการอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ จะอาศัย ฐานความรู้ (Knowledge –Based) และสินทรัพย์ทางปัญญา(Intellectual Capitals) เป็นปัจจัยในการแข่งขัน ดังนั้น ทรัพยากรบุคคลในความคาดหวังขององค์กรที่จะประสพความสำเร็จ จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีความรอบรู้ทางภาษาโลก(Global Literacy) วัฒนธรรม และการใช้ Internet
2. มีนวัตกรรม(Innovation) ใหม่ๆ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าทำ รอบคอบ วิเคราะห์เป็น
3 มีพลวัตในตัวสูง(Dynamic Status)
4. มีความสามารถสะสมทุนทางปัญญา(Intellectual Capital)
กระบวนการเรียนรู้นั้นมีอยู่ 3 ขั้นตอน
1. การแสวงหาความรู้(Knowledge Searching)
2. การเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่เรียนอย่างถ่องแท้(True Understanding, Realization)
3. การประยุกต์ใช้ความรู้ที่เรียนมา (Knowledge Application)
ในการเรียนรู้มีอยู่ 3 ชนิด
1. เรียนรู้จากอดีต ที่ผ่านมามีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง
2. เรียนรู้จากปัจจุบัน โดยการสังเกต ลงมือกระทำ
3. เรียนรู้จากอนาคต แสวงหา ทดสอบสมมุติฐาน
ความสำเร็จของมนุษย์แบบยั่งยืนขึ้นอยู่กับความคุณสมบัติ 5 ประการคือ
· มีความเฉลียวฉลาดทางปัญญา (Intelligent Quotient =IQ)
· มีความรู้จักอดกลั้นและควบคุมอารมณ์ (Emotional Quotient =EQ)
· มีความอดทนต่อความลำบากได้ (Adversity Quotient =AQ)
· มีความไม่ยึดติด ปล่อยวาง ลดอัตตา(Void Quotient =VQ)
· มีคุณธรรม และจริยธรรม (Moral Quotient =MQ)
ใน ข้อที่ 5 จะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในโลกธุรกิจยุคหน้าซึ่งการแข่งขันที่สูงมีโอกาสที่จะเกิดการเอาเปรียบและเห็นแก่ตัว ซึ่งต้องการการตรวจสอบ และความโปร่งใส คุณธรรมเท่านั้นที่จะเป็นตัวกำหนดสิ่งเหล่านี้ได้ เกิดเป็น จริยธุรกิจ (Moral Business) และเป็นข้อบ่งบอกของความเป็น
“คนดี”หรือ “คนเลว” เพราะคนทั้ง 2 ประเภทจะแยกกันไม่ออกในคุณสมบัติ 4 ข้อแรก
ในการมุ่งสู่ความเป็นเลิศ แนวทางปฏิบัติประกอบไปด้วย
1.สร้างวิสัยทัศน์ส่วนตน (Personal Vision)
คือความคาดหวังของแต่ละคนที่อยากได้สิ่งต่างๆในชีวิตในอนาคต คนเราทุกคนควรมีความมุ่งมั่นปรารถนา หรือคาดหวังว่า ในช่วงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตนั้น เราควรบรรลุผลสำเร็จอะไรบ้าง
· วิสัยทัศน์ในหน้าที่การงาน- เช่น วางเป้าหมายตำแหน่งงานที่หวังไว้ในอนาคต
· วิสัยทัศน์ในชีวิตครอบครัว-เช่น การมีบุตร การสร้างฐานะความมั่นคง
· วิสัยทัศน์เฉพาะตัว- เช่น บั้นปลายชีวิตที่ต้องการ
การสร้างวิสัยทัศน์ให้ชัดเจน โดยการพยายามตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราต้องการอะไร ?” ย้ำให้แน่ใจว่าสิ่งนั้น ใช่ความต้องการจริง หรือไม่ ? ถามต่อไปอีกว่าถ้าเราได้สิ่งนั้นมาแล้ว มันจะมีอะไรตามมาหรือไม่ ? วนไปมาซัก2-3 รอบ แล้วเราจะมีคำตอบกับตัวเองว่า วิสัยทัศน์ของเราเป็นอย่างไร
2 มุ่งมั่นสร้างสรรค์ (Creative Tension)
ถือเป็นแรงใฝ่ดีที่ช่วยส่งให้เรามีความเพียรพยายามมุมานะและพัฒนาการตลอดเวลา ซึ่งตรงข้ามกับแรงใฝ่ต่ำ (Structural Conflicts) ที่คอยฉุดให้ตัวเราท้อถอยต่อความเหนื่อยยากหันไปหาความสบายในชีวิตอย่างเดียว ในเมื่อเราต้องมุ่งสู่ ความเป็นเลิศ (Personal Mastery) และก็ได้กำหนดวิสัยทัศน์ส่วนตน(Personal Vision)ไว้แล้ว ต้องอาศัย แรงสร้างสรรค์ (Creative Tension) ในการทำให้ปรากฏผลที่เป็นจริงขึ้นมาได้
· มีวิสัยทัศน์ แต่ไม่ลงมือทำ ก็เท่ากับฝันไป
· ขยันทำ แต่ไม่มีวิสัยทัศน์ ก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า
· มีวิสัยทัศน์ และขยันทำด้วย ย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกได้
ได้มีผลวิจัยนักธุรกิจในสหรัฐอเมริกา 1000 คนที่มีประสพการณ์ มากกว่า 10 ปีขึ้นไป พบว่า มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่าง ที่มี Creative Tension มาตลอดระยะเวลาทำงาน กลุ่มนี้ในปัจจุบันล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูง หรือ เป็นเจ้าของกิจการทั้งสิ้น
3. รู้จักใช้ข้อมูลเพื่อคิดวิเคราะห์และตัดสินใจ
การใช้ข้อเท็จจริง และเหตุผลทุกครั้งจะช่วยให้เราทำงานไอย่างถูกต้องตลอดเวลา และที่สำคัญจะต้องตระหนัก และยอมรับใน ความเป็นจริง (Commitment to the Truth) ห้ามหลอกตัวเอง อาการ”หลอกตัวเอง”ได้นั้นคือตัดสินใจอะไรไม่คิดให้ท่องแท้ก่อน จึงโลเล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะไม่ใช้หลักการแห่งความเป็นจริง มา พิจารณาทำให้ไม่มีวันรู้สถานภาพที่เป็นจริงของตัวเอง (Current Reality)
4. ฝึกจิตใต้สำนึกในการทำงาน (Subconscious)
เป็นความชำนาญขั้นสูงสุด ช่วยให้การทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดำเนินไปโดยอัตโนมัติ และได้ผลงานออกมาเยี่ยม โดยไม่ต้องใช้สมาธิ ใช้แต่จิตใต้สำนึกเป็นตัวสั่งการ การที่จะบรรลุขีดความสามารถระดับนี้ได้นั้นจะต้องมีการฝึกทักษะ ในงานแต่ละประเภทอย่างจริงจัง เช่น การพิมพ์ที่ชำนาญ การใช้เครื่องคิดเลขที่รวดเร็วของนักบัญชีการเงิน
· Tab 3
2. รูปแบบวิธีคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง (Mental Models)
สรุป และกลายเป็นความเชื่อที่เหนียวแน่น และจะปฏิบัติตามความเชื่อของตนที่สร้างขึ้นมา
Mental Model นี้ จะเป็นพื้นฐานของวุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ) และจะมีผลต่อ การยอมรับ เข้าใจต่อเรื่องราวต่างๆในทุกๆด้านของชีวิต ตลอดจนการงานและมีผลต่อการตัดสินใจกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในการเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวขององค์กรเพื่อให้เกิดศักยภาพในการแข่งขัน ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่มักพบได้ก็คือ ทำอย่างไร พนักงานทุกคนจึงจะมีความรู้ และความเข้าใจถึงความจำเป็นและความถูกต้อง แทนที่จะปล่อยให้ กรอบความคิดของแต่ละคนกลายเป็นตัวสร้างปัญหาให้เกิดการคิดไปคนละทางจนลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โตไปในที่สุด
โดยธรรมชาติของคนมักกลัวการเปลี่ยนแปลงและจะปฏิเสธต่อต้านเพราะเกรงจะเกิดผลกระทบกับสถานภาพของตน หรือไม่ก็เกิดจากอาการยึดติด-ติดยึด อยู่กับรูปแบบเก่าๆที่ตนคุ้นเคย และมักจะใช้กรอบความคิดของตนตัดสินคนอื่นในทางลบไปหมด
การมองต่างมุมอาจมีผลในด้านดีก็เป็นได้ แต่ต้องยอมให้อีกฝ่ายได้แสดงเหตุผลด้วย ไม่ใช่ด่วนสรุป(Jump Conclusion) ซึ่งทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่พอใจและเกิดการทะเลาะกันในที่สุด ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ของผู้บริหารจะต้องให้มีการสร้างความเข้าใจแต่เนิ่นๆโดยการประชาสัมพันธ์ ประชาพิจารณ์ และสร้างบรรยากาศเปิด ให้มีความเข้าใจและมีส่วนร่วม และท้าทายต่อความสำเร็จร่วมกัน
รูปธรรมและแบบวิธีการคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง
การสร้างความเข้าใจในองค์กรอยู่เสมอๆ จะช่วยให้สมาชิกทุกคนค่อยๆปรับรูปแบบวิธีการคิด และมุมมองต่างๆ(Mental Models) ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถูกต้อง และเกิดประโยชน์กับทุกๆคน โดยควรให้การเรียนรู้ในด้านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น
· การบริหารโอกาส(Opportunity Management) ในภาวะที่มีการแข่งขันที่รุนแรง และเป็นไปอย่างรวดเร็ว บางครั้ง โอกาส ยังเป็นสินทรัพย์ที่ไม่อาจจับต้องได้(Intangible Asset) ที่หาได้ยากยิ่งที่จะเข้าไปสู่การแข่งขัน แม้ว่าชัยชนะก็ยังยากที่จะคาดเดาก็ตาม ดังนั้น การแสวงหาโอกาสจึงเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง เมี่อได้มาแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบริหารให้เกิดมูลค่าสูงสุดและยาวนานที่สุดเช่นเดียวกับการบริหารสินทรัพย์อื่นๆ บางคนมองโอกาสคือโอกาสเท่านั้น ขณะที่บุคคลเรียนรู้จะมองเห็นวิกฤติเป็นโอกาสเสมอ แม้ว่าจะเป็นโอกาสอันน้อยนิด แต่เขาก็มุ่งใช้โอกาสที่มีอยู่อย่างเต็มที่และให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ขณะที่บางคนมองไม่เห็นแม้โอกาสทอง แล้วปล่อยให้มันผ่านเลยไปอย่างไร้ค่าน่าเสียดาย
· การพัฒนาสินค้าและบริการ(Products & Services Development) ในสถานการณ์การแข่งขันรุนแรง เราไม่อาจยึดติดกับรูปแบบเดิมๆของสินค้าและบริการที่มีอยู่มาในอดีตได้อีกต่อไป การพัฒนาสินค้าและบริการมีได้หลายรูปแบบ เช่น
1. คิดสินค้าตัวใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมเลย (New Innovation)
2. คิดสินค้าใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับของเดิม (Linked Innovation)
3. คิดวิธีการนำเสนอใหม่ในสินค้าเดิม (Applied Innovation)
การฝึกการวิเคราะห์และหาข้อสรุปการแก้ปัญหาของกลุ่ม ในขบวนการวิเคราะห์
และแก้ปัญหาโดยกลุ่ม เราจะเห็นมุมมองที่หลากหลาย จากกรอบความคิดของคนใน
กลุ่ม บางครั้งเกิดความเชื่อฝังแน่นจากการตีความหมายเหตุการณ์เดียวกัน หรือใกล้เคียงกันในอดีต (Paradigm Effect) ทำให้ ด่วนสรุป(Jump Conclusion)ทันทีโดยไม่หาเหตุผล ที่เป็นจริง ณ ปัจจุบัน (Current Reality) ซึ่งอาจไม่เหมือนกัน มักจะเป็นหลุมพลาง (Pitfall) ที่พบเห็นได้บ่อยในที่ประชุม ดังนั้นผู้นำต้องแก้ไขให้กลุ่มเรียนรูมุมมองด้านตรงข้าม อีกด้านไว้เสมอ ก่อนสรุปใดๆ คือต้องมี Paradigm Shift เหตุการเช่นนี้ หากคนด่วนสรุป สรุปได้ตรง ปัญหาผลลัพธ์อาจไม่เกิด แต่ปัญหาการเรียนรู้ การใช้เหตุผลไม่เป็นยังมีอยู่ หากคนสรุปเป็นผู้มีอำนาจ ก็จะปราศจากคนทัดทานในกลุ่ม ถ้าผิดพลาดเกิดขึ้น ย่อมเกิดผล เสียหายที่มักถูกปกปิด แต่ถ้าผลสรุปถูกต้อง บ่อยๆ ผู้มีอำนาจมักจะเกิดความเชื่อมั่นฝังแน่น และเกิดภาวะหลงสำคัญผิดผิด (Delusion) ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในพวกที่ครองอำนาจไปนานๆ มีทั้งระดับองค์กรจนถึงระดับประเทศ
3. การสร้างและสานวิสัยทัศน์ (Shared Vision)
การสร้างความคิดที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้ของคนในองค์กรจะเป็นพลังที่สำคัญในการก่อให้เกิดความสำเร็จ สิ่งที่จำเป็นต้องมีในการประสานความคิดเข้าด้วยกันคือ
· เป้าหมายที่เหมือนกัน (Commonality of Purpose)
· ความผูกพันของกลุ่ม (Partnership)
เพื่อสร้างให้เกิด ความมุ่งมั่นร่วมกัน (Commitment) และความประสานเข้ากันได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวด ในการสร้างองค์กรเรียนรู้ ผู้บริหารต้องรวบรวม และประสานวิสัยทัศน์ของผู้ที่มีส่วนร่วมในองค์กร(Stakeholders) ตั้งแต่ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า มาสร้างเป็นวิสัยทัศน์ขององค์กร (Corporate Vision) ซึ่งเป็นความคาดหวังร่วมกันของทุกฝ่าย แล้วนำไปสู่การวางแผนปฏิบัติ (Operational Plan)ต่อไป
· Tab 4
4. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นกันเป็นทีม(Team Learning)
คือกระบวนการที่ทำให้เกิดความสามารถ(Capability)ของกลุ่มขึ้นมาจากความสามารถของสมาชิกแต่ละคน ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน (Common Alignment) ให้บรรลุเป้าหมายร่วม ในการพัฒนาองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะในปี ค.ศ.2000 ที่ผ่านมา ได้มีการเน้นให้ความสำคัญของ กลไกภาวะผู้นำ (Leadership Engine) ในการสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง โดยจะมีการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของตัวผู้นำ(Leader)ให้สูงส่ง รวมถึงคุณสมบัติความเป็นครู(Teacher)ที่ดี ซึ่งจะเป็นหัวขบวนในการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม
แนวทางในการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม
ในการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม แนวทางที่สำคัญๆที่จะก่อให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกัน และให้สมาชิกตระหนัก และเข้าใจความมุงหมาย ในวิธีการที่จะกล่าวถีงต่อไปนี้
· ใช้การเสวนา (Dialogue) ในการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยให้ปฏิบัติดังนี้
· เริ่มต้นด้วยหัวข้อเสวนาเท่านั้นโดยไม่มีกำหนดข้อสมมติฐานหรือทางเลือกใดไว้ล่วงหน้า แต่ให้กลุ่มช่วยกันพิจารณากันเอง
· ในการเสวนาให้ได้ประสิทธิผลทุกครั้ง สมาชิกจะต้องมีความคิดและจิตใจที่เปิดกว้าง (Openness) ยอมรับข้อคิดเห็นและรับฟังซึ่งกันและกัน
· ในการทำเสวนา ห้ามเอาอัตตาและตำแหน่ง อำนาจ ในการงานมามีผลต่อวงเสวนา เพราะจะทำให้เกิดอุปสรรคต่อการเรียนรู้ร่วมกัน
· ข้อประโยชน์ในการนำหลักการเสวนามาใช้ในองค์กรของผู้บริหารคือเราต้องการ ระดมสมอง (Brain storming) ค้นหาข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลายสำหรับนำมาพิจรณาหาบทสรุปต่อไป
2. ใช้การอภิปราย (Discussion) หลักการคล้ายๆกับเสวนา ต่างกันเพียงการอภิปรายจะ มีสมมตติฐาน และทางเลือกเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อนำมาอภิปรายกัน ประโยชน์ในการใช้ หลักการนี้คือ ได้มีการสรุปเป็นแนวทางคร่าวๆเอาไว้แล้ว นำมาวิเคราะห์ลึกลงไปเพื่อ หาข้อดีข้อเสียก่อนทีจะทำการการสรุป
3. ใช้เทคนิคการบริหารงานเป็นทีม (Team Management) เป็นวิธีการที่ใช้ความ
สามารถของหัวหน้าทีม (Leader)และความเข้าใจในจิตวิทยาการบริหารทีม เพื่อให้เกิด
การเรียนรู้จากผลสำเร็จหรือความผิดพลาดร่วมกัน
4. ใช้เทคนิคของการบริหารโครงการธุรกิจ(Business Project Management) โดยการบริหารในรูปโครงการ มีหัวหน้าและสมาชิก กำหนดเวลาทำการแล้วเสร็จ กิจกรรม ผู้รับผิดชอบ ตลอดจนมีกระบวนการอย่างเป็นระบบ อาทิเช่น
· การประเมินโครงการ (Estimating)
· การวางแผนโครงการ (Planning)
· การกำหนดกิจกรรมและเวลา (Scheduling)
· การปฏิบัติตามโครงการ (Implementation)
· การติดตามผลความก้าวหน้า (Tracking & Control)
· การปรับปรุงแก้ไข (Fine Tuning)
· การส่งมอบโครงการ (Hand over)
ในขณะนี้ องค์กรธุรกิจชั้นนำหลายๆแห่งในสหรัฐอเมริกา เริ่มกลับมามีแนวคิดที่จะทำการสร้างผู้นำในรุ่นต่อๆไป ด้วยรูปแบบของการสร้างทายาททางการบริหาร (Management Cloning) ขึ้นมากระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมนี้เอง โดยให้ผู้นำทุกระดับในองค์กรทำหน้าที่เสมือนครูผู้สอน เพื่อถ่ายทอดความเป็นเลิศ(Personal Mastery)ให้ในรุ่นต่อไป
5. ความคิดเข้าใจเชิงระบบ (System Thinking)
วินัยข้อนี้มีความสำคัญสูงสุด ที่มีผลอย่างมากในการสร้างความสำเร็จของระดับบุคคลที่ส่งผลถึงความสำเร็จขององค์กร เป็นเป้าหมาย ของการพัฒนาความเป็นเลิศของบุคคล (Persona Mastery) โดยเฉพาะผู้นำขององค์กร เพื่อนใช้ทักษะความคิดเชิงระบบ มาใช้ใน การวิเคราะห์ วางแผน รวมไปถึงการแก้ปัญหา ที่ซับซ้อนขององค์กรได้อย่างได้ผล
ความคิดเข้าใจเชิงระบบนี้ ได้แก่ความสามารถในการเข้าใจในเหตุปัจจัยที่มาของผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างลึกซึ้ง และยังสามารถ วิเคราะห์เชิงซ้อน ได้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้ล่วงหน้าและแม่นยำ รวมทั้งมองเห็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ นำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างราบรื่นรวมถึงวางแผนป้องกันเอาไว้ได้ ผู้ที่มีความสามารถ System Thinking จะใช้ ความคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking) ในการมองเหตุการณ์ทุกเรื่อง ร่วมกับอาศัยข้อมูลที่มีอยู่นำเข้ามาวิเคราะห์หาผลลัพธ์ในอนาคตได้ไม่ยาก ดังนั้น ผู้นำทุกระดับจำเป็นต้องมีคุณสมบัติข้อนี้เป็นความสามารถ จึงจะสามารถนำองค์กรไปสู่การเรียนรู้ (Organizational Learning) และสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้
การฝึกฝนในวินัยข้อนี้บุคคลสามารถทำได้โดยการให้ความสำคัญในการฝึกคิดเชิงตรรกะอยู่บ่อย ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นสิ่งของ (หรือเหตุการณ์) อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้พยายามตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตัวเองดังนี้
· สิ่งที่เห็นคืออะไร (What?) บรรยายรูปธรรมที่เห็นให้ละเอียดทุกแง่มุมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
· มันอยู่ตรงใหน (Where?) บรรยายสถานที่ สิ่งแวดล้อม ที่ที่สิ่งนั้นอยู่
· มันมาอยู่เมื่อไร (When?) ประเมินจากหลักฐานที่เห็นนำมาประมวลบวกกับใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ ตรรกศาสตร์
· ใครเป็นผู้นำมา (Who?) สืบหาบุคคลที่ทำให้เกิดสิ่งที่เราเห็น
· ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ (Why?) ถามหาเหตุผลและ
· มันมาได้วิธีใหน (How) เพื่อวิเคราะห์ความเป็นมาความหมายที่มาอยู่ตรงนี้
· หลังจากนั้นนำข้อมูลคำตอบที่หาได้นำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้ได้คำตอบสุดท้าย
ให้ใช้หลัก 5 W + 1H เป็นสูตรสำเร็จทุกครั้งในการวิเคราะห์ทุกเรื่องจนเป็นนิสัยเพื่อฝึกสร้างมุมมองที่ละเอียด ทั้ง รูปธรรม และ นามธรรม
· Tab 5
ข้ออุปสรรคของการเรียนรู้
องค์กรใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรเรียนรู้ ก็เท่กับว่าเปิดโอกาสให้เผชิญกับความล้มเหลวทางธุรกิจในทศวรรษหน้า เพราะปัจจัยแห่งความสำเร็จอยู่ที่ “คน” ดังนั้นหากองค์กรใดต้องการความสำเร็จที่ยั่งยืน จำเป็นต้องให้ความสำคัญ ตั้งแต่ กระบวนการสรรหา (Recruitment) คัดเลือก (Selection) บุคคลเข้ามาตั้งแต่แรก หากองค์กรได้ คนที่มีความสามารถ และศักยภาพ ในการเรียนรู้สูง เข้ามาในองค์กรแล้ว ขั้นต่อไปเมื่อทำการพัฒนา (Development)ความรู้ ความสามารถ ก็จะสามารถ พัฒนาทักษะ ไปสู่ความเป็นเลิศ(Personal Mastery) ได้ไม่ยาก
สาเหตุขององค์กรที่ไม่พัฒนา และอุปสรรคต่อการเรียนรู้นี้ประกอบด้วย
· ความคร่ำครึขององค์กร นับไล่เรียงมาตั้งแต่ ตัวคณะผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กร สมาชิกในองค์กร ระเบียบวิธีปฏิบัติที่ยึดติด ตลอดจนการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
· ภาคภูมิใจกับความสำเร็จในอดีตมากเกินไป จนอาจเกิดอาการ “หลงตัวเอง”(Delusion) ไม่ใส่ใจกับ ความเป็นจริงในปัจจุบัน (Current Reality) ว่าเป็นอย่างไร จนกระทั่งบางครั้งถึงขั้น คิดไม่เป็น (No Reflective Skill) ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ไม่มีความหมายใดๆกับความสำเร็จในปัจจุบันและอนาคตแม้แต่น้อย มันเป็นได้เพียงการเรียนรู้ข้อดี ข้อด้อยเพื่อนำมาปรับปรุงในปัจจุบันเท่านั้นเอง
· ไม่เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ องค์กรที่ไม่เคยกระอำนาจ และเปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงความคิด วิธีการบริหารโดย คนรุ่นใหม่ ความคิดใหม่ โดยยึดติดและควบคุมการบริหารแบบเดิมๆย่อมพ่ายแพ้ในที่สุด
· ผู้นำองค์กรไม่มีความสามารถ ถือเป็นความโชคร้ายขององค์กร พนักงาน ผู้ถือหุ้น ไปจนถึงลูกค้า เพราะผู้นำต้องมี ความเป็นผู้นำ ในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และกระตุ้นให้พนักงานมีการเรียนรู้ร่วมกัน หากผู้นำองค์กร ไร้ซึ่งความสามารถ องค์กรย่อมไปไม่รอด
· ผู้นำองค์กรทุกระดับไม่สนใจใฝ่รู้ ขาดแรงสร้างสรร (Creative tension) ก็ยากที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จร่วมกันได้ พนักงานระดับล่างก็จะหยุดนิ่ง ไม่มีแรงมากระตุ้นให้เดินไปข้างหน้าได้
· การติต่อสื่อความ(Communication) ในองค์กรไม่มีประสิทธิผล ขาดการประชุม ปรึกษา หารือ มอบหมาย และติดตามแก้ไข ตัวใครตัวมัน ย่อมไม่สามารถร่มกันพัฒนาการเรียนรู้ได้ นานไปกลับกลายเป็นแรงต้าน (Structural Conflict)ในที่สุด
ในการแข่งขันทางธุรกิจของโลกยุคไร้พรมแดน (Globalization) ไก่ทอดบ้านเรายังถูกฝรั่งเข้ามาแย่งตลาด ถึงประตูบ้าน ด้วยการนำเสนอแก่ลูกค้าได้ดีกว่า ดังนั้น เมื่อกฎหมายโลก WTO ออกฤทธิ์เต็มที่ หากคนไทยยังไม่ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง วันหนึ่งเราคงไม่มีอะไรเหลือเป็นเจ้าของอีกต่อไป คนไทยยุคหน้าคงเป็นได้แค่เพียงลูกจ้างฝรั่งชั้นดี และอดีตที่ ชาติตะวันตก เคยใช้อำนาจเข้ามายึดครองบ้านเราคงจะหวลคืนมาอีกในไม่ช้า เพียงแต่รูปแบบได้เปลี่ยนไปเท่านั้นเอง !
ความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities)
Senge. พบว่า บุคคลที่ล้มเหลวในการคิดและเข้าใจเชิงระบบ คือไม่สามารถเรียนรู้ (Learning Disabilities) ไปสู่ความเป็นเลิศได้ คนพวกนี้ไม่มีทักษะในการมองเชิงเหตุและผล ว่า การทำอะไรลงไปจะ ก่อเกิดผลตามมาคืออะไร และผลนั้น จะนำไปเป็น เหตุของสิ่งอื่น อีกหรือไม่ (Cause & Effect Analysis) จะมีพฤติกรรมทำความผิดซ้ำซากโดยไม่เคยที่จะเรียนรู้ในการปรับตัวเปลี่ยนแปลงตนเอง มิหนำซ้ำยังโยนความผิดให้คน หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์อีกต่างหากเพื่อเอาผลประโยชน์หรือเอาตัวรอด พฤติกรรมเหล่านี้ แสดงออกให้เห็นได้บ่อยๆ ดังนี้
· “ก็ฉันเป็นของฉันยังงี้แหละ! มีอะไรไหม?” (“I am my position”)
เวลาทำงาน ไม่เคยเงยหน้ามองสิ่งรอบตัวเลยแม้สักครั้ง มุ่งแต่จะทำงาน ที่กำลังทำอยู่อย่าง เอาเป็นเอาตาย (บางครั้งอาจไม่ใช่ทำงานก็ได้) ใคร (รวมทั้งลูกค้า) จะเดือดร้อนช่างมัน โลกทั้งใบมีฉันคนเดียว เวลาความเสียหายเกิดขึ้น จากการที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งรอบข้าง ถูกเจ้านายตำหนิ มักจะได้ยินคำตอบหน้าตาเฉยว่า “ผมทำดีที่สุดแล้วครับ! งานผมล้นมือ คนอื่นต่างหากที่ไม่เข้าไปจัดการเอง!!!!)
· “ใครกล่าวหาฉัน มันคือศัตรู”(“The enemy is out there”)
มองคนที่ตักเตือน หรือรายงานความผิดของตนว่า “แกล้งกล่าวหา และเห็นเป็นศัตรู”ทั้งๆที่ ตนก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำผิด เป็นการเบี่ยงประเด็นเหตุการณ์ที่ตนรู้สึกเสียหน้า หรือถูกตำหนิ ไปเป็นมุ่งกล่าวหาคนอื่นแทน ว่าเป็นศัตรู ไม่หวังดีกับตน เพื่อให้เกิดประเด็นใหม่กลบเกลื่อนประเด็นเก่า เป็นพฤติกรรมที่หาทางออก ให้กับตนเองชนิดหนึ่งรวมทั้งหลอกคนอื่น ให้เกิดความรู้สึกว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเรื่องส่วนตัว พฤติกรรมเช่นนี้เป็นที่นิยมในเวทีนักการเมืองที่มองการถูกตำหนิส่วนตัวทุกเรื่องไปเป็น “ผมถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองครับ!) หน้าตาเฉย ไร้ยางอาย และคิดว่าประชาชนโง่ !
· ภาพลวงตาในการแก้ปัญหา(“The illusion of taking charge”)
บ่อยครั้งเราจะพบว่า การทำงานแบบ “คิดไวทำไว”(Proactive) มันกลายเป็น “คิดไปทำไป”(Reactive) ก็ได้ สาเหตุเพราะการมุ่งมั่นในความคิดของตนเองเกินไป แม้ว่าจะมีการวางแผนอย่างดีล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ขาดมุมมอง ที่เปิดกว้าง เพราะคิดไวเกินไป อาจทำให้มองข้ามผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์(Complications) ไป พอลงมือทำกลายเป็น “ทำไปแก้ไป”ไม่สิ้นสุด ลงท้ายกลายเป็น “ลองผิดลองถูก (Trial & Error) ซึ่งให้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามที่ตั้งไว้เลย
· ติดแน่นแต่กับเรื่องเหตุการณ์(“The fixation of events”)
ในที่ประชุมเราจะเห็นบ่อยครั้งที่การแก้ปัญหาไม่สำเร็จและไม่มีข้อสรุป เพราะสมาชิกแต่ละคน พยายามแต่จะพูดถึง แต่เหตุการณ์และรายละเอียดที่เกิดขึ้นด้วยความจริงจัง บางครั้งก็ใช้เหตุการณ์เป็นตัวกล่าวโทษกัน หรือนำมาอ้างอิงกันไม่สิ้นสุด ไม่พยายามค้นหาเหตุผลและสรุปหา หลักการ ที่อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้น สมาชิกบงคนชอบ ที่จะโยงไปถึงตัวบุคคล เหมือนการไต่สวนความผิดอย่างเอาเป็นเอาตาย กรณีเช่นนี้ประธานในที่ประชุมต้องเป็นผู้มีมุมมองที่สามารถโยงทุก เหตุการณ์ไปสู่หลักการ (Principled Man) เพื่อสรุปให้ได้
· กบตายในน้ำเย็นที่ค่อยๆร้อน(“The parable of boil frog”)
เป็นตัวอย่างอุทาหรณ์ให้ผู้คนได้สำเหนียกไว้ว่า อันตรายที่แฝงเร้นมากับความเคยชิน เกิดขึ้นได้เสมอ หากเราขาดความตื่นตัว สติ และความรอบคอบ ในการค้นหาความเสี่ยงในสะภาวะต่างๆรอบตัว โดยเฉพาะในยุคนี้ อันตรายหลายอย่างมักไม่แสดงให้เราเห็นหรือเตือนเราล่วงหน้า
· ภาวะหลงตนจากความเชี่ยวชาญ(“The delusion of learning from experience”)
ในคนที่ผ่านโลกมานานสั่งสม ประสพการเรียนรู้ในชีวิตมามากมาย อาจทำให้การตัดสินใจถูกต้องเป็นส่วนมาก เป็นเหตุทำให้เกิด ความเชื่อมั่นในตัวตนสูง จนกระทั่งคิดว่าทุกอย่างที่ตนคิดถูกทุกเรื่อง โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ อาจเกิดภาวะ “หลงตัวเอง(Delusion)” ได้ง่าย พบเห็นได้ทั่วไป
· Tab 6
The law of the fifth discipline
· ปัญหาวันนี้เกิดจากการแก้ปัญหาเมื่อวาน(Today’s problems come from yesterday’s solution )
· ยิ่งออกแรงเท่าไหร่ จะเกิดแรงต้านพอกัน( The harder you push, the harder the system pushes back)
· สิ่งดีๆอาจมาก่อนความเสียหาย (Behavior grows better before it grows worse)
· การแก้ปัญหาแบบง่ายๆมักผลส่งเสียหายภายหลัง(The easy way out usually leads back in)
· ยิ่งรักษาอาจยิ่งแย่กว่าอยู่เฉยๆดีกว่า(The cure can be worse than the disease)
· เร็วกว่าอาจกลายเป็นช้ากว่า(The Faster is Slow)
· เหตุ และผล บางทีไม่สามารถเห็นได้ในเวลา และสถานที่ ใกล้กัน(Cause and Effect are not closely related in time and space)
· การเปลี่ยนแปลงเล็กๆอาจก่อผลเสียหายร้ายแรง-จุดที่มีผลร้ายแรงที่สุดมักจะไม่ค่อยเป็นที่สังเกตให้เห็นโดยง่าย (Small change can produce big result-but the area of highest leverage are often the least obvious)
· คุณสามารถมีเค็กกินมันได้- แต่ไม่ใช่ทันที (You can have your cake and eat it – but not at once) –สถานการณ์ที่หวังผลทั้งคู่ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง
· แบ่งครึ่งช้างออกเป็น2ส่วนไม่ได้หมายความว่าได้ช้างเล็ก 2 ตัว (Dividing an elephant in half does not produce 2 small elephants) การแบ่งองค์กรออกเป็น2ส่วนอาจสูญเยียพลังที่แฝงอยู่ในขณะที่มีการรวมกัน
· ไม่มีการตำหนิกัน (There is no blame)
· คนมักชอบโทษคนอื่น เหตุการณ์ อยู่เสมอ ใน System Thinking สอนให้เรารู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมักมีหลายสาเหตุเสมอ การแก้ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน
หลักธรรมที่ผู้นำควรยึดถือไว้เป็นเครื่องมือบริหาร ตนเองและผู้อื่น ได้แก่
· สติสัมปชัญญะ คือความระลึกได้ และความรู้สึกตัว ซึ่งต้องมีอยู่ตลอดเวลา เพื่อความไม่ประมาท
· หิริโอตตัปปะ คือความละอายใจ และเกรงกลัวต่อบาป ไม่คดโกง ทำชั่ว มุ่งร้ายทำลายผู้อื่น
· ปราศจากอคติ คือความลำเอียง ไม่ยุติธรรม
· พรหมวิหาร 4 คือ
เมตตา - ต้องการให้เขามีความสุข
กรุณา - ปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์
มุทิตา - ยินดีที่เขามีความสุข ประสพความสำเร็จ
อุเบกขา - วางเฉย เมื่อไม่สามารถช่วยเขาพ้นจากความทุกข์ได้
· ฆารวาสธรรม 4 คือ
สัจจะ - ความจริงใจ ไม่หลอกลวง
ทมะ - ความอดกลั้น ข่มใจไม่ให้หวั่นไหตามอารมณ์ที่มาสัมผัส
ขันติ - ความอดทนต่อความลำบาก
จาคะ - การเสียสละเมื่อถึงคราวต้องให้
· สังคหวัตถุ 4 คือ
ทาน - ปันสิ่งของตามควรแก่ กาละ
ปิยวาจา – เจรจาไพเราะ
อัตถจริยา – ประพฤติแต่สิ่งเป็นประโยชน์แก่คนอื่น
สมานัตตา – ตั้งตนไว้ชอบ วางตัวเหมาะสม