การสร้างทีมงาน Teamwork
·
ความหมายของทีม (การสร้างทีมงาน, ผศ.ดร.สุนันทา เลาหนันทน์, หน้า ๖๐–๖๒) ฟรานซิส และยัง (Francis and Young, 1979: 8) ได้กล่าวถึงทีมว่าหมายถึง กลุ่มบุคคลผู้มีพลัง มีความผูกพันรับผิดชอบ ที่จะทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน สมาชิกในทีม เป็นผู้ที่ร่วมทำงาน ด้วยกันได้ดี และรู้สึกเพลิดเพลินที่จะทำงานนั้น สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพสูง
ปาร์คเกอร์ (Parker, 1990:16) อธิบายว่าทีมเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและต้องพึ่งพากัน เพื่อปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย หรือปฏิบัติงาน ให้เสร็จสมบูรณ์ คนกลุ่มนี้มีเป้าหมายร่วมกันและยอมรับว่า วิธีเดียวที่จะทำให้งานสำเร็จ คือ การทำงานร่วมกัน
วิชัย โถสุวรรณจินดา (2535:142) ได้แสดงทัศนะว่า ทีมงานนั้นกินความหมายมากกว่ากลุ่มคน ที่มารวมกันเฉยๆ เพราะทีมงานจะรวมความถึง ความเป็นผู้นำกลุ่ม กระบวนการตัดสินใจของกลุ่ม การใช้ทรัพยากรของกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการผสมผสานสมาชิกของกลุ่มซึ่งจะมีผลต่อการทำงานร่วมกัน เป้าหมายของการสร้างทีมงาน จึงเป็น การสร้างทีมงาน ที่มีการทำงานอย่างมี ชีวิตชีวา แทนที่จะเป็นเหมือน เครื่องจักร และ มีการประสาน การทำงาน ของสมาชิกทุกคน ในทีมให้มุ่งสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกัน เมื่อพิจารณาจากความหมายดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปได้ว่า ทีม หมายถึง กลุ่มของบุคคลที่ทำงาน ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ช่วยกันทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เดียวกัน อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้ร่วมงานต่างมี ความพอใจในการทำงานนั้น สำหรับ การสร้างทีมงาน นั้นสรุปได้ว่า หมายถึง ความพยายามทำให้ กลุ่มสามารถเรียนรู้การวินิจฉัยปัญหา เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ต่างๆ ในการทำงานให้ดีขึ้นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้ จะมีผลต่อการทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย ดังนั้น ผู้บริหารงานที่จะประสบความสำเร็จ จำเป็นจะต้องหล่อหลอมทีมงานให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักหาวิธีจูงใจที่ให้เขาเหล่านั้นทำงานด้วยความสมัครใจและเต็มใจ
วัตถุประสงค์ของการสร้างทีมงาน
จุดเน้นของการสร้างทีมงาน คือ การทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน การสร้างทีมงาน จึงมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญดังนี้
(๑) เพื่อสร้างความไว้วางใจกันในหมู่สมาชิกทีมงาน
(๒) เพื่อแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาร่วมกัน สมาชิกของทีมจะทำงานได้ดีขึ้นเมื่อมีการเปิดเผยจริงใจต่อกัน มื่อมีปัญหาจะได้ช่วยกันแก้ไข
(๓) เพื่อเสริมสร้างทักษะความเชี่ยวชาญให้มากขึ้น ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นการใช้ศักยภาพ ของ ทีมงาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(๔) เพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับในทางสร้างสรรค์แก่องค์การ
(๕) เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ที่จะรับฟังความคิดเห็นและข่าวสารของผู้อื่นอย่างตั้งใจ และให้เกียรติ ซึ่งกันและกัน
(๖) เพื่อพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาร่วมกัน
(๗) เพื่อช่วยลดความขัดแย้งระหว่างบุคคล
(๘) เพื่อส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้สมาชิกของทีม
(๙) เพื่อเสริมสร้างขวัญและความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
(๑๐) เพื่อปรับปรุงการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม
ความสำคัญของการสร้างทีมงาน
(๑) งานบางอย่างไม่สามารถทำสำเร็จเพียงคนเดียว
(๒) งานที่เร่งด่วนต้องระดมบุคลากรเพื่อปฏิบัติงานให้เสร็จทันเวลาที่กำหนด
(๓) งานบางอย่างต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญจากหลายฝ่าย
(๔) งานที่หลายหน่วยรับผิดชอบร่วมกันต้องการความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกฝ่าย
(๕) มีงานที่ต้องการความริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อแสวงหาแนวทาง วิธีการและเป้าหมายใหม่
(๖) หน่วยงานต้องการสร้างบรรยากาศของความสามัคคีให้เกิดขึ้น
ส่วนประกอบของทีม
ในการทำงานเป็นทีม จะต้องประกอบด้วย หัวหน้าทีม สมาชิกทีมงานและเลขานุการ ทุกคนจะมี การสื่อสารกันแบบ ๒ ทิศทาง (Two ways communication) ได้แก่ การส่งข้อมูลและการรับข้อมูล ทั้งการสื่อสารกับหัวหน้าและกับสมาชิกด้วยกันเองตลอดเวลา แต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
๑. หัวหน้าทีม
๑.๑ หัวหน้าทีมมีคุณลักษณะดังนี้
- เป็นที่ยอมรับนับถือของสมาชิกในกลุ่มด้วยความจริงใจ
- เปิดเผย จริงใจ ซื่อสัตย์ และเป็นกันเอง
- ไม่ใช้อิทธิพลครอบงำกลุ่ม เป็นประชาธิปไตยไม่เผด็จการ
- มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ในงานสูง
- สามารถดำเนินการประชุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่ผูกขาดการเป็นผู้นำกลุ่มตลอดเวลา
- พร้อมให้ความช่วยเหลือกลุ่ม
- สามารถสื่อสารผลงานของทีมให้สาธารณะชนเข้าใจได้
- มีวุฒิภาวะทางสังคม
- มีแรงจูงใจและแรงขับทางด้านความสำเร็จสูง
๑.๒ บทบาทและหน้าที่สำคัญของหัวหน้าทีม
- รับนโยบายจากองค์การ
- กำหนดเป้าหมาย แนวทางและขั้นตอนในการปฏิบัติ
- มอบหมายงานแก่สมาชิก
- สร้างบรรยากาศด้วยการจูงใจ เสริมแรง ให้กำลังใจ
- ใช้เทคนิคเผชิญความขัดแย้งไม่ว่าเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว
- อำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือแก้ปัญหาต่างๆ
- ประเมินผลงานและผู้ร่วมงาน
ผู้ร่วมงาน
๒. สมาชิกของทีมงาน
๒.๑ คุณลักษณะของสมาชิกของทีมงาน
- สามารถรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตนและของกลุ่ม
- เป็นผู้รู้จักฟัง รู้จักพูด และแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม
- ยอมรับฟังและเคารพความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิก
- เคารพมติของกลุ่ม และป้องกันมิให้เบี่ยงเบนมติของกลุ่มออกไป
- เป็นผู้เสียสละ อาสาช่วยทำงานทุกด้าน
- กล้าแสดงความคิดเห็น
๒.๒ บทบาทและหน้าที่สำคัญของสมาชิก
- รับมอบหมายงานจากหัวหน้าทีม
- ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบให้บรรลุเป้าหมายของทีมงาน
- ให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาต่างๆ
- เป็นผู้ตามที่ดี
- ตั้งใจจริงในการทำงาน
- คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม
- คำนึงถึงความสำคัญของทีมงาน
๓. เลขานุการ
๓.๑ คุณลักษณะของเลขานุการกลุ่ม
- มีความสามารถในการเขียนหนังสือดี
- สามารถจับประเด็นการพูด การปรึกษาหารือของกลุ่มได้ดี
- สามารถสรุปผลการประชุมและทำรายงานให้สมาชิกได้ทราบ
- มีความรู้และประสบการณ์ในการเสนอรายงานอย่างมีแบบแผน
- สามารถเขียนแผนผัง กราฟ ชาร์ท ได้
๓.๒ บทบาทและหน้าที่สำคัญของเลขานุการ
- รับคำสั่งจากหัวหน้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
- ส่งข่าวสารที่รับมาไปยังบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ประสานงานระหว่างผู้บังคับบัญชาและถ่ายทอดสิ่งผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอให้นายได้รับรู้
- มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีแบบสร้างสรรค์ต่อทุกๆ คน
มิติในการพัฒนาทีมงาน
สต๊อทและวอล์คเคอร์ (Stott and Walker, 1995: 82-84) ได้เสนอแนะรูปแบบ “สี่มิติ” (Four dimensions) ในการพัฒนาทีมงาน เพื่อเป็นการชี้นำแนวคิดประกอบการเสริมสร้างความมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของผลการปฏิบัติงานของทีมงาน มิติทั้ง ๔ ประกอบด้วย
(๑) บุคคล
(๒) งาน
(๓) ทีมงาน
(๔) องค์การ
(๑) บุคคล (Individual) การพัฒนาทีมงานในระดับบุคคล ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาเกี่ยวกับแรงจูงใจ ความผูกพันที่มีต่องาน ทัศนคติ ความสามารถและการมีส่วนร่วมของสมาชิกทีมงาน
(๒) งาน (Task) รายละเอียดของงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาทีมงาน ได้แก่ วัตถุประสงค์ การกำหนดเป้าหมาย และ กระบวนการ ทำงาน ที่เป็นระบบ
(๓) ทีมงาน (Team) ทักษะต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการสร้างทีมงาน มีทั้งทักษะส่วนบุคคล และทักษะ ของกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย ภาวะผู้นำ บทบาท การสื่อสาร ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทักษะการจูงใจ การบริหารความขัดแย้ง การวิเคราะห์ปัญหา การตัดสิน การประชุมของ
(๔) องค์การ (Organization) สิ่งที่จำเป็นต้องปรับปรุงในองค์การ ได้แก่ โครงสร้างขององค์การ บรรยากาศในการทำงาน การให้ค่าตอบแทนและบำเหน็จรางวัล วัฒนธรรมองค์การ และการสนับสนุน ให้มีการพัฒนาด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบ
ทักษะที่จำเป็นสำหรับการสร้างทีมงาน
จากการวิเคราะห์กิจกรรมต่างๆ ของมิติในการพัฒนาทีมงาน มีทักษะที่สัมพันธ์กับ การสร้างทีมงาน ดังนี้
(๑) ทักษะในการติดต่อสื่อสาร
(๒) ทักษะการปฏิสัมพันธ์
(๓) ทักษะการเป็นผู้นำทีมงาน
(๔) ทักษะในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ
(๕) ทักษะในการประชุมของทีมงาน
(๖) ทักษะในการบริหารความขัดแย้ง
เมื่อพิจารณาแต่ละทักษะจะเห็นว่าทั้งหมดมีพื้นฐานแนวคิดมาจากการศึกษาทางจิตวิทยา เกี่ยวกับมนุษย์และพฤติกรรม ซึ่งมีการศึกษาแตกแขนงออกไปได้หลายวิชา สำหรับเรื่องการสร้างทีมงานจะศึกษาในแนวคิด
ที่รวบรวมมาจาก ๖ ทักษะนี้ ซึ่งผู้เรียนต้องทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ในเบื้องต้นและค้นคว้าเพิ่มเติม
จึงจะสามารถบูรณาการความรู้ (Integrate) และนำไปประยุกต์ใช้ได้
ธุรกิจส่วนตัว
· Tab 1
สรุปกฏ 21 ข้อจากหนังสือ The Entrepreneur ซึ่งเขียนโดย William E. Heinecke
ได้ความดังต่อไปนี้ค่ะ
กฎข้อที่ 1 : ฝึกฝนตนเองให้มองเห็นโอกาส
ในการทำธุรกิจต้องฝึกฝนตนเองเพื่อมองให้เห็นโอกาสหรือช่องทาง(ส่วนแบ่ง)ในตลาด และรีบดำเนินการเพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้น ให้เร็วที่สุดก่อนคนอื่น
กฎข้อที่ 2 : ทำการบ้าน
ความคิดหลายอย่างอาจเกิดขึ้นด้วยการสังเกตอย่างไม่เป็นทางการ แล้วนำไปสู่การศึกษาอย่างจริงจังในเวลาต่อมา โดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น การทำเอง หรือการเป็นแฟรนไชส์ การแยกแยะปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในเชิงการตลาด ทำการวิจัยทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก คิดถึงสิ่งที่อาจเกิด ตามมาด้วย เช่น ถ้ามีโครงการนี้แล้วควรมีอะไรเพิ่มเติมได้อีกบ้าง คำนึงถึงขีดความสามารถและทรัพยากรที่ต้องการใช้ ศึกษามิติทางการเงินของโครงการด้วย ถ้าคิดอย่างถี่ถ้วนรอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วนธุรกิจก็สามารถที่จะรุดต่อไปข้างหน้าได้
เตรียมตัวให้พร้อมเสมอเมื่อโอกาสมาถึง ต้องทำการบ้านก่อน เพราะถ้ามีข้อมูลอยู่แล้ว ก็พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า เคล็ดลับการเตรียมพร้อม มีดังนี้
· เริ่มจากเล็ก และเรียบง่าย จากหนึ่งความคิดดีๆที่เลือกแล้ว และมุ่งทำตามความคิดนั้น
· หาแฟรนไชส์ เพื่อช่วยให้เข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูล แทนการลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจของคุณเอง
· ตระหนักถึงปัญหาล่วงหน้า
· วิจัย เพื่อดูกลุ่มเป้าหมาย
· การต่อยอดจากความคิดแรก ความคิดรวบยอด เช่น ทำอย่างหนึ่งพ่วงอีกอย่างหนึ่ง
· ประเมินศักยภาพและทรัพยากรให้เหมาะสม
· ประมาณการงบการเงิน คำนึงเสมอว่าจะต้องอยู่รอดให้ได้
กฎข้อที่ 3 : ให้หยุดอย่าถลำลึกถ้าไม่สนุกกับงาน
ถ้าไม่สนุกกับงาน ก็อย่าถลำลึกด้วยการทุ่มเทเวลาและพลังงานลงไป อีกทั้งอย่าทำงานเพื่อหวังเงินและอำนาจ ไม่มีใครประสบความสำเร็จ ถ้าคิดว่าต้องทำงานที่น่าเบื่อ
กฎข้อที่ 4 : ทำงานหนักและสนุกไปพร้อมกัน
ผู้ประกอบการควรมีความสมดุลด้านการงาน ชีวิตส่วนตัวและครอบครัวโดยการวางแผนในเรื่องเวลาของการทำงานหนักและสนุกไปพร้อมกัน ผสมผสานธุรกิจกับความพอใจเข้าด้วยกัน ดังนั้น ยิ่งทำงานหนักก็จะยิ่งรู้คุณค่าของการพักผ่อน ซึ่งความสมดุลจะทำให้พบกับ ความโชคดีมากขึ้น
กฎข้อที่ 5 : ทำงานด้วยสมองของคนอื่น
ในการทำธุรกิจจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงเทคนิคหรือ know how แต่ถ้าผู้ประกอบการมีโอกาสแต่ยังขาดความรู้ด้านเทคนิคหรือ know how ก็สามารถจ้างคนที่มีความรู้ความสามารถสูงมาทำงานให้ได้ โดยเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีทำงาน แต่ผู้ประกอบการก็ต้อง พัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับผู้ที่เราจ้างมาได้
กฎข้อที่ 6 : ตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์
เป้าหมายจะเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจก้าวรุดไปได้ ควรทำธุรกิจโดยการวางเป้าหมายเริ่มเรื่องเล็ก ๆ ก่อนเพื่อให้ธุรกิจอยู่บนฐานที่มั่นคง ถ้าสำเร็จก็ค่อยๆขยายเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ทีละ step ซึ่งการตั้งเป้าหมายควรจะเป็นเป้าหมายที่เป็นฐานรองรับกับวิสัยทัศน์ เพระถ้ามีวิสัยทัศน์โดยปราศจากเป้าหมายรองรับก็จะเป็นวิสัยทัศน์ที่ว่างเปล่า
กฎข้อที่ 7 : เชื่อในสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณเป็นความเข้าใจโดยการใช้ความรู้สึกในทันทีทันใดโดยปราศจากเหตุผลหรือเป็นความเข้าใจในภาพแรกที่เห็น ในบางครั้ง ผู้ประกอบการอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของการเชื่อในความรู้สึกนั้นแล้ว ประสบความสำเร็จกว่าการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล หรือวิชาการ เพราะฉะนั้น จงเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง
กฎข้อที่ 8 : ไปให้ถึงท้องฟ้า
ผู้ประกอบการต้องคิดการใหญ่แล้วพยายามทำให้สำเร็จด้วยความตั้งใจจริงโดยไม่ต้องกลัวยักษ์ใหญ่ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะต้องก้าวอย่างอาจหาญ เพื่อให้ไปถึงท้องฟ้าและคว้าดาวให้ได้แม้เพียงครั้งเดียวก็ยังดี
กฎข้อที่ 9 : เรียนรู้การขาย
ก่อนที่จะเป็นเจ้าของกิจการที่ดีผู้ประกอบการต้องเรียนรู้ที่จะเป็นนักขายที่ดีก่อน เพราะการเป็นนักขายที่ดี สามารถที่จะโน้มน้าวผู้อื่น ให้คล้อยตามได้ดี นักขายที่ดีจะต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวสินค้า ที่จะขายต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี รวมทั้งต้องมีความขยันขันแข็ง ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เกิดจากการขายสินค้าอย่างเดียวแต่ได้มาจากการขายความคิดด้วย
กฎข้อที่ 10 : การเป็นผู้นำ
ผู้ประกอบการคือผู้นำที่ต้องตัดสินใจ การเป็นผู้นำประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การเป็นผู้ฟังที่ดี การสร้างแรงจูงใจ เชื่อมั่นในทีมงาน มีมารยาท เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นต้น ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จบางครั้งก็ต้องใช้ความเป็นเผด็จการบ้าง และต้องมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแม้ว่าบางครั้งจะผิดพลาดก็ตาม
กฎข้อที่ 11 : จดจำความล้มเหลวแล้วดำเนินการต่อไป
ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจะต้องถือว่า ความล้มเหลวคือจุดเริ่มต้นหรือเป็นสิ่งกระตุ้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เมื่อเกิดความผิดพลาด ต้องถือเป็น ประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้แล้วดำเนินการต่อไป อย่ากลัวความผิดพลาด เพราะนั่นจะเป็นเส้นทางใน การเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
กฎข้อที่ 12 : ทำเพื่อให้ได้โชคดีมากที่สุด
โชคคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงจังหวะและเวลาที่เหมาะสม ผู้ที่โชคดีอยู่เสมอคือผู้ที่สร้างโอกาสที่ดีที่อยู่ตรงหน้า โชคอาจเกิดได้จากโอกาสทางธุรกิจ ความสัมพันธ์ส่วนตัว การจ้างคนเข้ามาร่วมงาน เป็นต้น โชคจึงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องรอ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถเตรียมพร้อม ที่จะไขว่คว้า และยึดมาให้ได้
กฎข้อที่ 13 : ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นวิถีของการดำเนินชีวิต
ผู้ประกอบการต้องมีความยืดหยุ่น เปิดรับความคิดใหม่ ๆ และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ต้องมองหาวิธีการใหม่ ๆ ในการผลิตสินค้าตลอดเวลา และต้องมีความเชื่อว่า เมื่อได้ใช้วิธีการใหม่ใด ๆ แล้ว ในไม่ช้ามันก็จะล้าสมัย การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ต้องทำงานบน ความเปลี่ยนแปลงให้ได้
กฎข้อที่ 14 : สร้างสัมพันธภาพ
ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ในสุญญากาศ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จต้องมีสัมพันธภาพกับสังคม ต้องสร้างเครือข่ายกับ หน่วยงานต่าง ๆ ในสังคม เช่น นายธนาคาร นักกฎหมาย นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และลูกค้าที่สำคัญ ๆ ต้องนึกเสมอว่า สันถวไมตรีเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถซื้อ แต่ต้องหาให้ได้โดยการหว่านและเก็บเกี่ยว
กฎข้อที่ 15 : ใช้เวลาอย่างฉลาด
เวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัด และเวลาของผู้ประกอบการ หมายถึงเงิน จึงต้องรู้จักจัดการเรื่องเวลาอย่างเหมาะสม อาจลองวิเคราะห์ดูว่า เวลาที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ไปอยู่ที่ส่วนใดบ้าง และแก้ปัญหาในส่วนนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ
กฎข้อที่ 16 : วัดผลเพื่อประเมินผล
การใช้ Benchmarking ในการวัดผลหรือประเมินผลการทำงานเพื่อการเปรียบเทียบผลระหว่างบุคคลหรือระหว่างหน่วยงาน เป็นสิ่งจำเป็น ในการดำเนินธุรกิจ เพราะ Benchmarking เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับ
กฎข้อที่ 17 : อย่าสร้างธุรกิจด้วยคนธรรมดาๆ
ในบางครั้งผู้ประกอบการต้องยอมเจ็บปวดในการที่จะต้องไล่คนที่ไม่มีผลงานออกไป ถึงแม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตาม แต่เพื่อความแข็งแรงของธุรกิจ จำเป็นต้องทำ แต่ต้องรักษาคนที่เก่งมีความสามารถมีผลงานดีให้อยู่สร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจ ดีกว่าที่จะคิดที่จะพยายามรักษาพนักงานทุกคนไว้ เพราะฉะนั้นจะยิ่งทำให้ธุรกิจอ่อนแอลงไปอีก
กฎข้อที่ 18 : เน้นคุณภาพไม่ใช่เงิน
ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จไม่ควรมุ่งแต่หาเงิน แต่ควรมุ่งเน้นไปในการพัฒนาคุณภาพเพื่อเข้าสู่ภาวการณ์แข็งขัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากกว่า ในช่วงเหตุการณ์วิกฤตผู้ประกอบการไม่ควรลดคุณภาพสินค้าเพื่อรักษาเงินให้ได้เท่าเดิม แต่ควรควบคุมค่าใช้จ่ายแต่คงคุณภาพสินค้าไว้ ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นวิธีการที่จะได้เปรียบคู่แข่งในการแข่งขัน
กฎข้อที่ 19 : รีบลงมือทันทีในช่วงวิกฤต
ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาต่าง ๆ ควรจะพลิกวิกฤตที่เผชิญอยู่ให้เป็นโอกาสในด้านต่าง ๆ โดยเมื่อประสบปัญหาต้องตั้งสติค่อย ๆ พิจารณาสถานการณ์อย่างรอบคอบแล้ววางแผนการทำงานและลงมือทำด้วยความมั่นใจแน่วแน่ไม่ย่อท้อ ซึ่งต้องอาศัย ความเชื่อมั่นในตนเองและเชื่อมั่นในลูกทีมตลอดเวลา จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งอันดับแรกก็คือ การอยู่รอด มีความมั่นคงและเติบโตต่อไปของธุรกิจ
กฎข้อที่ 20 : เมื่อตกม้าต้องรีบกระโดดขึ้นใหม่ทันที
ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาด้านใดก็แล้วแต่ต้องพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ทันทีโดยใช้ความรู้ทั้งหมดที่มีและใช้กฎทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว รวมทั้งการเชื่อมั่นในสัญชาตญาณ กำหนดกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปและเพื่อพิสูจน์ความสามารถในการดำเนินธุรกิจต่อไป
กฎข้อที่ 21 : จงพอใจ
การดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ผู้ประกอบการจะต้องทุ่มเททุกอย่างทั้งแรงกายแรงใจ แต่ความสำเร็จทางธุรกิจ จะต้องสมดุลกับ คุณภาพด้านอื่น ๆ แต่ถ้าชีวิตไม่มีความสมดุลก็จะเป็นอันตรายต่อชีวิตตัวเองและครอบครัว เพราะฉะนั้นจะพึงพอใจกับทุกสิ่งที่มีในชีวิต เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ แ ต่มาจากความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่
บทสรุปสุดท้าย
วิลเลียม ไฮเนคกี้ กล่าวว่าสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนคือการเปลี่ยนแปลง กฎทั้ง 21 ข้อที่กล่าวมาไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับนักธุรกิจ ที่ต้องการประสบความสำเร็จ กฎทั้งหมดนี้ไม่ใช่กฎที่ต้องปฏิบัติตาม เป็นเพียงกฎที่ใช้เป็นแนวทางซึ่งจะปฏิบัติตามเท่านั้น
สุจินต์ พราวพันธุ์
10 กฎทอง Entrepreneur
· Tab 1
ตั้งใจจะทิ้งชีวิต “มืออาชีพ” สิ้นเดือนก็ไดรับเงินเดือน สิ้นปก็ไดโบนัส ไดขึ้นเงินเดือน ไมตองกังวลเรื่องเงินทองมาเปนเจาของกิจการ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน : แต...มีวิถีที่ตรงขามกับมนุษยสิ้นเดือนสิ้นเชิง สิ้นเดือนก็ตองจายเงินเดือน สิ้นปใหโบนัส ขึ้นเงินเดือนใหลูกนอง วันๆ ตองกังวลวาจะมีเงินจายคาน้ํา คาไฟ จายเงินเดือนหรือเปลา ก็ตองทําใหรุง ทําใหสําเร็จ ไมทําอะไรครึ่งๆ กลางๆ ยักแยยักยันจนหมดเวลา หมดแรงฉะนั้นผูที่จะมาเปนเจาของกิจการ จะตองมีแรงขับเคลื่อนที่สตารทเอง ไมตองใหใครมาเข็น ทั้งนี้ตองยึดถือกฎทองทั้ง 10 ขอตอไปนี้
กฎข้อที่ 1 ชัดเจนใน DOs and DON’Ts
ผูที่จะริเริ่มทําธุรกิจใหม ตองการความสําเร็จ ไมใชเพียงแคหาเงินเลี้ยงชีพไปวันๆ จะตองมองใหขาด ตีโจทย ใหแตกวาเงื่อนไขที่ Must กับเงื่อนไข Sufficient มีอะไรบาง
เงื่อนไขแบบที่เรียกวา Must นั้น คือเงื่อนไขจําเปนในการเริ่มตนธุรกิจ นั่นคือ เปนธุรกิจที่มีความตองการในตลาดหรือเปนปญหาที่คนยังแกไดไมดีหรือแกไมได ขณะเดียวกันก็เปนความตองการที่ตัวคุณเองสามารถ ตอบสนองไดดีกวาคนอื่น แกปญหาไดเกงกวาคนอื่น ทั้งสองประการนี้รวมกันก็เทากับวาตลาดจําเปนตองมี คุณจึงจะแกปญหานั้นได มีความเปนเอกลักษณที่คนอื่นเอาอยางไดยาก
คุณตองมองเห็นสิ่งที่คนอื่นเขามองไมเห็น คนพบสิ่งที่สามารถบอกตัวเองไดอยางเต็มปากวา “ขาฯ เจอแลว เจอสิ่งที่ตลาดตองการอยางแทจริง” การเปนเพียง Me-Too Product เลียนแบบคนอื่น ทําสิ่งของใหเหมือนกัน แตขายในราคาต่ํากวา เทานั้นจะไมยั่งยืน ไมนานก็ลมหายตายจากโลกนี้ไป
โอกาสธุรกิจมีอยูเกลื่อนกลาด แตตองเขาใหถึง "แกนแท" ของความตองการตลาดอยางแทจริง คนที่เขาถึง ตลาดไมเคยมีใครลมเหลว ตอบตัวเองใหไดวา “ลูกคา” ของคุณตองการอะไร คนสวนใหญมักจะลําดับ ความคิดไมถูกตอง หลายคนมองแตคูแขงวาเขาทําอะไร หรือมองแตตัวเองวาทําอะไรได แตลืมวาคนที่ตองเขาใจใหดีที่สุดคือลูกคา ตราบใดที่ไมลืมความคิดอันนี้ ไอเดียธุรกิจใหมๆ จะเกิดขึ้นไดตลอดเวลา เพราะลูกคาเปนมนุษยที่มีความตองการไมมีที่สิ้นสุด มีกิเลส ไมรูจักพอ สิ่งที่ลูกคายังไมพอใจอยู ยังมีอยูมากมายรอบตัวตลาดจึงเกิดขึ้นไมมีที่สิ้นสุด
คุณจะตองหัดตั้งคําถามใหถูกตอง “ถาเกิดมีผลิตภัณฑแบบนี้ คุณคิดวาอยางไร” หรือ “ถาเรื่องนั้นเปนไปได คุณจะทําอยางไร” “ถาเกิด......คุณคิดวาอยางไร”.......คําถามทํานองนี้แหละจะทําไปสูไอเดียอันบรรเจิดซึ่งจะตอเนื่องไปสูธุรกิจที่สําเร็จได คนที่ตั้งคําถามเปนกับคนถามไมเปน ลงไปภาคสนามจะเห็นความแตกตางราวฟากับดิน
ยิ่งเรื่องไอเดียผลิตภัณฑใหมดวยแลว ตองมองใหเห็นถึงปญหาอยูเสมอ ถามตัวเองและคนรอบขางใหไดวา“ปญหามันคืออะไร” “อะไรคือสิ่งที่ไมเปนไปตามที่ควรจะเปน” ตอบคําถามนี้ไดเมื่อไร จะมองออกเลยวาโลกเรามีผลิตภัณฑอะไรที่ยังขาดการพัฒนาอีกบาง
กฎข้อที่ 2 เมื่อโอกาสมาถึงตองกดคันเรง
ในระยะแรกนั้นอาจจะระมัดระวัง คอยควบคุมใหโอกาสลมเหลวนอยที่สุด เมื่อสําเร็จแลวหนึ่ง สําเร็จอีกหนึ่ง เมื่อเห็นจังหวะเหมาะตองเหยียบคันเรงใหเต็มที่
คนยุคนี้เลียนแบบเกงมาก ทําอะไรดีๆ เดี๋ยวของปลอม เดี๋ยวของคลายคลึง ของใกลเคียงโผลมาเพียบขณะเดียวกัน วงจรชีวิตผลิตภัณฑ (Product Life Cycle) ก็สั้นลงอยางนาใจหาย เผลอแปบเดียวก็ตกต่ําไปฉิบธุรกิจในสมัยนี้ มีปจจัยความสําเร็จอยูที่การสรางความแตกตางความแตกตางสมัยนี้มีเพียง 2 ประการเทานั้น คือความเร็วและคุณคา (Customers and Value) เดี๋ยวไมมีใคร ทําอะไรไดถูกกวาคนอื่นเทาไรแลว ความเร็วเปนปจจัยหนึ่งที่นํามาซึ่งความสําเร็จ เพราะรุกตลาดเร็วกวาคูแขงเล็กนอย ถอยไดเร็วกวาอีกหนอย เทานี้คุณก็ไดหัวกะทิของตลาดไปแลว ขณะเดียวกันก็ตองไมลืมกฎขอที่ 1 คือสนองความตองการของลูกคาใหถึงกึ๋น เขาใหถึงปญหาของลูกคา ใหลูกคารูสึกวาคุณทําไดดีกวา คูแขงของคุณ (ทางเลือกอื่นของลูกคา) เล็กนอยอยูเสมอ
ลองมามองจากสายตาลูกคาดู ถามีใครที่คุณรูสึกวา “ไอนี่มันดีกวา ตองการเมื่อไรก็มาถึงกอนทุกที” แลวลูกคาจะไปเลือกคนอื่นทําไมกัน
เพราะฉะนั้น ถาคุณมีอะไรเหมือนๆ กับคูแขง มุงแตจะขายราคาต่ํากวาเทานั้น ยอดขายคุณจะเติบโตไดมากขนาดไหนก็ไมยั่งยืน และถาทําอะไรเหมือนๆ กับคนอื่น ดวยความเร็วเทาคนอื่น ก็ไมตองหวังวาจะชนะไดคุณตองมองหาทางที่จะไปถึงจุดมุงหมายไดเร็วกวาคูแขง อาจจะดวยวิธีการที่แตกตาง หรือดวยอะไรก็แลวแต
อยางไรก็ดี คําวา Economies of Speed ก็ไมไดเกิดขึ้นแคความวองไวชวงสั้นๆ เทานั้น การทําธุรกิจเปนเรื่องระยะยาว คุณตองซอมใหมี footwork ดีอยูเสมอ เร็วอยูตลอดเวลา รักษาระดับอยูตลอดเวลา เหมือนกับการวิ่ง มาราธอน ไมไดเรงในชวงสุดทาย แตความเร็วตองไมตกจึงจะเปนผูชนะในที่สุดเมื่อสามารถนําเสนอคุณภาพที่ดีกวาดวยความเร็วที่เหนือกวา สิ่งตอมาที่จะสรางความยั่งยืนของความรวดเร็วและคุณคา นั่นก็คือ ความสามารถที่จะรักษาสิ่งเหลานี้ไมใหถูกลอกเลียนแบบไดงาย ไมวาจะเปนการ lock in ลูกคา หรือการจดทะเบียนสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เพื่อใหกฎหมายคุมครองเอกสิทธิ์เหนือความรูที่อุตสาหสรางมา หรือหาเทคนิคที่ใครก็ไมสามารถลอกเลียนแบบได
กฎข้อที่ 3 เจ้าของธุรกิจต้องรู้คุณคน อย่ามั่นใจในฝีมือตัวเองมากเกินไป
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ คนเก่งๆ ที่ใครๆ ก็เชื่อถือในฝีมือ ล้มมานักต่อนักแล้ว เรื่องนี้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เสมอ
สตีฟ จ็อบส์ ผู้สร้าง iPod อันเกรียงไกร ล้มเหลวมากี่หนกว่าจะสำเร็จ เอดิสันกว่าจะคิดค้นหลอดไฟได้ต้องทดลองกี่หมื่นครั้ง คุณเจริญเองก็เคยล้มแรงๆ มาแล้ว คนเหล่านี้ก็ยังโชคดีกว่าอีกหลายคนที่สำเร็จก่อนแล้วมาล้มทีหลัง กลายเป็นคนที่ถูกโลกลืม
แน่นอน ตอนที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ ฝีมือของผู้ก่อตั้งหรือเจ้าของธุรกิจ ย่อมหมายถึงความสามารถขององค์กรด้วย ตอนนั้นคิดเอง ตัดสินใจเอง ลงมือทำเอง ย่อมเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านั้นอีกแล้ว แต่เมื่อขนาดของบริษัทใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์คนเดียวย่อมไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้หมดทุกเรื่อง
เห็นธุรกิจจำนวนมากที่ออกตัวดีมาก 5 ปีแรก ทุกอย่างราบรื่นเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่พอหลังจากนั้นก็เริ่มแสดงอาการ แล้วก็ล้มครืนไปในที่สุด ก็เห็นมาแยะ สาเหตุส่วนใหญ่มักจะมาจาก 2 ประการหลัก
ประการแรก คือ มีไอเดียทางธุรกิจที่เยี่ยมยอด วางตลาดออกมาแล้วฮิตติดตลาดจนบริษัทประสบความสำเร็จเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานก็ถูกคนอื่นเลียนแบบ ตัดราคา รายใหญ่กว่าทุบจนไม่สามารถต่อกรได้ ประกอบกับตัวเองก็หมดมุข ไม่มีอะไรเป็นไพ่ใบต่อไปให้เล่น ประการต่อมาก็คือ เลือกพันธมิตรผิดทาง ไม่หาเพื่อนที่พึ่งพากันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปล่อยให้ธุรกิจพึ่งพาความสามารถตนเองมากเกินไป
คนเราไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต ก็ต้องโน้มตัวให้ต่ำลงไว้ ทำใจให้นอบน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวดอหังการ และเมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ก็ยิ่งต้องไม่คิดว่า “ตัวข้าฯ เก่ง” “ตัวกูยอด” แต่ตรงกันข้ามต้องยิ่งนอบน้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่เคยให้ความเมตตามาก่อน ต้องมีสำนึกถึงบุญคุณที่เขาให้คำชี้แนะ ให้ความช่วยเหลือเรามา ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักแค่ไหน หรือคนเหล่านั้นจะกลายเป็นคนที่ต่ำต้อยกว่าตนเอง
ความสำนึกต่อบุญคุณที่ “ครู” ให้คำสั่งสอนเรา ให้เราได้มองเห็นแนวทางสู่ความสำเร็จ รวมถึงผู้ที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือยามที่ตกต่ำ จนถึงเพื่อนร่วมงานที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างธุรกิจขึ้นมาในช่วงที่ธุรกิจยังลูกผีลูกคน จะทำให้เราเป็นผู้ที่คนอื่นยินดีให้ความช่วยเหลือ เป็นคนที่เรียนรู้ไม่รู้จบ จะเป็นเลิศอย่างยั่งยืน แล้วจะมีคนยื่นมือมาช่วยให้ก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
คนที่สำเร็จแล้ว “เชิด” มองไม่เห็นหัวคนอื่น ไม่เคยเป็นผู้ที่สำเร็จอย่างแท้จริงเลยสักคน
กฎข้อที่ 4 คบเพื่อนที่มีความเห็นต่าง
การทำธุรกิจ เป็นการทำงานเป็นทีม ต้องรวมพลังจากคนที่มีความคิดจากหลากหลายมุม มีความสามารถจากหลากหลายด้าน แต่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน จึงจะสำเร็จ ไม่ใช่หาแต่คนที่คิดเหมือนกันหมด
การทำงานร่วมกับคนที่แตกต่างจากตัวเรา บางครั้งก็รู้สึกอึดอัด ไม่น่าพึงพอใจในบางช่วงเวลาเหมือนกัน แต่มนุษย์เราย่อมมีความแตกต่างกัน ไม่มีใครที่เหมือนกันไปหมดทุกอย่าง จึงต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น ความสามารถในการยอมรับและร่วมทำงานเป็นทีมกับคนอื่นที่มีความคิดและอุปนิสัยที่แตกต่าง เป็นเรื่องสำคัญมาก มิเช่นนั้นคุณก็ไม่ต้องทำงานกับใครเลย เพราะไม่มีใครเหมือนกับคุณได้ตลอดเวลา
ทีมที่มีผู้นำที่มีความแตกต่างกันเข้ามาบริหารร่วมกัน มักจะแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าเสมอ เพราะคนหนึ่งเกิดมีความคิดที่จะลุยเดี่ยว ก็จะมีอีกคนหนึ่งมองแตกต่างกัน คอยถ่วงดุลให้คิดรอบคอบมากขึ้น งานบางอย่างที่สำคัญอาจจะตรงกับความถนัดของคนหนึ่ง แต่ไม่ตรงกับความถนัดของอีกคนหนึ่งก็เป็นไปได้ กรณีนั้นก็ให้ผู้ที่ถนัดกว่าเข้ามาทำ งานจึงจะเป็นได้อย่างราบรื่น
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างวอลท์ ดิสนีย์ ก็จะมีรอยเป็นคู่หูคู่ถ่วงดุลกัน หรือไมโครซอฟท์สมัยที่เริ่มธุรกิจใหม่ ก็จะมีบิล เกตส์ กับ พอล อัลเลน หรือเดลล์ คอมพิวเตอร์ก็มีไมเคิล เดลล์ ที่ลุยแหลก และมีคู่บารมีอย่างเควิน ลอรินส์ คู่ซี้ตั้งแต่สมัยอยู่หอพักที่เท็กซัส ออสติน
โซนี่มีโมริตะเป็นนักการตลาด คู่กับอิบูกิ นักประดิษฐ์ ฮอนด้ามีฮอนด้า โซอิจิโรผู้เป็นเจ้าของกับฟูจิซาวา ทาเคโอะ สำหรับในเมืองไทยนี้ คนที่เป็นคู่บารมีกันหลายคนเหมือนกัน บางคนก็มีเพื่อนเป็นผู้ร่วมสร้าง บางคนก็มีคู่ครองคู่ชีวิตเป็นคนร่วมกันสร้างธุรกิจ ลองมองดูให้ลึกๆ แล้วจะเห็นเองว่าใครเป็นใคร
ผู้ที่คิดจะสร้างธุรกิจใหม่ ต้องปรับมุมมองเสียใหม่ อย่าเอาคนที่คิดเหมือนกับเรา ถามอะไรก็จะได้คำตอบเหมือนเดิม “ดีครับนาย ใช่ครับท่าน” เป็นประเภท Yes-man ลองมองไปที่คนที่คิดต่าง นิสัยต่าง แต่มีวัสัยทัศน์ อุดมการณ์และค่านิยมเหมือนกัน มาร่วมงานกัน น่าจะเป็นทีมที่ดูดีที่สุด
คนที่มีความกล้าหาญที่จะพูดกับเจ้านายตัวเองว่า “ผมขอมองต่างมุมนะครับ” หรือ “ผมขออนุญาตเสนออีกแบบหนึ่งนะครับ” คนอย่างนี้น่าคบมากกว่าคนที่เป็นแต่เอาใจ เพราะคุณเองคงจะไม่โชคดีเดาถูกเสมอไป และเมื่อถึงวันที่คุณเดาผิด แต่ไม่มีใครท้วง ไม่มีใครให้ second opinion ตอนนั้นคงจะถึงคราวหายนะแน่นอน
กฎข้อที่ 5 หัดตั้งคำถาม เพื่อแก้ปัญหา
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของคนเก่งๆ ก็คือ การตัดสินใจโดย
คิดว่าตัวเองเก่ง คนรอบข้างก็คิดว่าเขาเก่ง จึงไม่ให้ข้อมูล ไม่ให้ความเห็น ปล่อยให้เขากลายเป็น “คุณพ่อรู้ดี” รู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง
เป็นเจ้าของธุรกิจต้องกัดไม่ปล่อย คอยตั้งคำถาม “ทำไม” ไว้ในใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ปัญหาอะไร ต้องมีคำถามนี้เสมอ
ปัญหาอีกประการหนึ่งของเรา โดยเฉพาะคนไทยเรานี้แหละ คือ การมองไม่เห็นปัญหา ขาดสำนึกถึงปัญหา ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอาการที่แสดงออกถึงปัญหา หรือไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา จึงไม่ติดตามหาสาเหตุลงลึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น
มีหลายครั้งที่พนักงานส่งข้อมูลให้เจ้านายผิด เจ้านายเห็นว่าผิดจึงส่งกลับไปให้แก้ให้ถูกต้อง ก็ไม่มีการสืบหาสาเหตุว่าเกิดมาจากการพิมพ์ผิดหรือข้อมูลที่ได้มาแต่แรกผิด ถ้าเป็นอย่างแรก ครั้งต่อไปก็อาจจะผิดหรือไม่ผิดก็ได้ แต่ถ้าหากเป็นอย่างหลัง ครั้งต่อไปก็มีโอกาสผิดอีกสูงอย่างยิ่ง และอาจจะส่งผลให้ข้อมูลอื่นๆ ผิดไปด้วยก็ได้
ก่อนจะมาถึงเทคนิคการถาม ต้องสร้างนิสัยให้มองเห็นปัญหาก่อน แล้วปัญหาคืออะไร มันก็คือทุกอย่างที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่เป็นไปตามที่มันสมควรเป็น ไม่เป็นไปตามที่ปกติมันเป็น พนักงานมาสายบ่อยก็เป็นปัญหา โทรศัพท์เข้ามาไม่มีคนรับสายก็เป็นปัญหา พนักงานหาเอกสารไม่ค่อยพบก็เป็นปัญหา เอกสารทำขึ้นมาแล้วไม่ได้เอาไปใช้งานก็เป็นปัญหา ทำสิ่งที่ลูกค้าต้องการในบางเรื่องไม่ได้ก็เป็นปัญหา ชิ้นส่วนที่ขายไปทำให้ลูกค้าต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งของเขาเองก็เป็นปัญหาของเรา ฯลฯ
เมื่อพบปัญหาแล้วตั้งคำถาม “ทำไม” หาคำตอบได้ คุณก็เก่งขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว หลายๆ ครั้งคำตอบนั้นเองกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง สร้างความแตกต่างกับคู่แข่งอย่างเด่นชัดได้
อย่าลืมว่าก่อนจะได้คำตอบ ต้องเริ่มต้นที่คำถามก่อนเสมอ หาคำตอบให้ได้ ถามคำถามลึกลงไปให้ถึงแก่น ให้ไปถึงรากเหง้าของปัญหาให้ได้คำตอบว่าเราสามารถทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้นได้บ้าง แล้วถามต่อไปอีกว่า วิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้น มีอะไรที่ลูกค้ายอมจ่ายเพื่อแก้ปัญหานั้นบ้าง
เวลาคนโทรศัพท์เข้ามาแล้วไม่มีคนรับ หากคิดว่ามือไม่ว่างก็ช่วยไม่ได้ ก็ไม่เป็นปัญหา แต่มีคนคิดว่าเป็นปัญหา เมื่อคนไม่ว่างจะรับก็ให้เครื่องรับแทน จึงเกิดเป็นระบบรับโทรศัพท์อัตโนมัติขึ้นมา
สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้เสมอก็คือ อย่าทำสิ่งที่คนอื่นเขาทำกันมาแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่มีความพิเศษ ต้องตัดราคาอย่างเดียว
คนที่ประสบความสำเร็จต่อเนื่อง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของวงการธุรกิจอย่าง Henry Ford ผู้พลิกโฉมกระบวนการผลิตรถยนต์ หรือ Steve Jobs ผู้สร้าง Apple Computer แล้วกลับมาสร้าง iPod อีกครั้งหนึ่ง หรือ Edison นักประดิษฐ์คิดค้นเครื่องใช้ไฟฟ้ามากมายจนกลายมาเป็นอาณาจักร GE ในปัจจุบัน ล้วนเป็นนักตั้งคำถามและนักหาคำตอบทั้งนั้น จะสังเกตได้อีกอย่างคือ ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนไม่ได้เรียนสูงเลยสักคนเดียว แต่มีความรู้มากกว่าคนจบปริญญาเอกเสียอีก ทั้งนี้เพราะเขารู้จักตั้งคำถามได้ถูกจุด หาคำตอบได้ถูกต้อง
ในทางตรงกันข้าม คนเก่งอาจจะคิดว่าตัวเองรู้แล้ว หรือมีปริญญาค้ำคอไว้ไม่ให้ตั้งคำถามโง่ๆ กลัวเสียหน้า เราจึงไม่ค่อยจะเห็นคนเรียนสูงๆ ได้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กันนัก ตรงกันข้าม เรามักจะเห็นคนเรียนสูงๆ คิดอะไรเหมือนๆ กัน ทำอะไรคล้ายๆ กัน ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็คงไม่ต้องมีคนแบบนั้นมากนัก มีคนเดียวก็พอแล้ว คนที่คิดเหมือนคนอื่นแบบนั้น ไม่สามารถสร้างธุรกิจที่มีนวัตกรรมเปรี้ยงปร้างดังทะลุโลกได้
เจ้าของกิจการที่จะประสบความสำเร็จ นอกจากความรู้และความสามารถในการทำแล้ว ยังต้องมีความกระหายต่อข้อมูลและความฉลาดที่เกิดมาจากการถามและการหาคำตอบ การรู้จากสิ่งที่ได้สัมผัสอย่างแท้จริงจากสภาพความเป็นจริงเท่านั้น แล้วเอาคำตอบที่ได้นั้นไปทำให้เป็นรูปธรรม
เถ้าแก่มือใหม่ต้องเรียนรู้วิธีคิด มุมมองของเถ้าแก่รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะจากการอ่านหรือจากการได้สนทนา จากการร่วมงาน เอาคนเหล่านั้นมาเป็น role model ให้ตัวเองมีความคิดที่ถูกต้อง
แล้วจะพบว่าผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต ไม่ว่าจะยุคในสมัยใด มีสิ่งที่เหมือนกันคือ “Inquisitive Mind” ที่อยากรู้เหตุผลไปเสียหมด มีคำถามว่า “ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้” “ไม่เป็นอย่างนี้ไม่ได้หรือ” “วิธีนี้ดีที่สุดแล้วหรือ” อยู่ตลอดเวลา
กฎข้อที่ 6 อย่ารีรอ Just Do It
โครงการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต้องมาจากการหาไอเดีย ประเมินไอเดียธุรกิจนั้น แล้วเรียนรู้รูปแบบจากรุ่นพี่ๆ การเรียนรู้ที่ว่านี้ ไม่ได้เรียนรู้ผลจากการคิด แต่เรียนรู้วิธีคิด กระบวนการคิดของคนเหล่านั้น
คนที่สำเร็จมาแล้ว เมื่อเห็นอะไรสักอย่างแล้วจะคิดอยู่สามอย่างว่า “ถ้าเป็นฉันจะทำอย่างไรดี แล้วคู่แข่งจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ลูกค้าล่ะจะตอบสนองอย่างไร” ซึ่งเป็นรูปแบบการคิดแบบสามเหลี่ยมกลยุทธ์ของ Kenichi Ohmae ซึ่งมี 3C ได้แก่ Company, Competitors และ Customers คิดอยู่เสมอว่าระหว่าง 3C นี้ ตัวเรามีการวางตำแหน่งอยู่ตรงไหน พูดอีกอย่างก็คือ คิดหาวิธีการที่จะ “สร้างความได้เปรียบในการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง” นี่แหละคือกลยุทธ์
คุณต้องขจัดอุปสรรคการเรียนรู้ของตัวเอง ความคิดประเภท “ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก” หรือ “อย่าไปคิดอย่างนั้นเลย” มักเป็นอุปสรรคใน การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ของคนไทยเรา ทำให้เราขาดอิสระทางความคิด กลายเป็นคนคิดไม่เป็น เลยคิดได้แค่ทำเหมือนอย่างคนอื่นเขา เลียนแบบแล้วขายให้ถูกกว่า อย่างนี้เมื่อไรจะรุ่งเรือง เมื่อไรจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่าง
จะขจัดอุปสรรคการเรียนรู้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับวิธีคิดนั้น ก่อนอื่นต้องขจัดความคิดว่าตัวเองเข้าใจดีแล้ว ตั้งคำถามลงไป ให้ลึกถึงกึ๋นเลยว่า “เป็นอย่างนั้นจริงหรือ” “กรณีไหนบ้างที่ไม่เป็นอย่างนั้น” “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น” ฝึกคิดบ่อยๆ แล้วคุณจะมีวิธีคิดที่เจิดจรัสกว้างไกล
ธุรกิจใหม่ๆ บางครั้งฝรั่งเรียกว่า “Venture” ซึ่งแปลว่า “เสี่ยง” แปลความหมายได้ชัดเจนว่า ธุรกิจใหม่มีความเสี่ยงเสมอ อยากได้กำไรก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย Nothing ventured, nothing gained.= ไม่เสี่ยงก็ไม่ได้ ไม่มีธุรกิจใหม่อะไรที่สบายๆ ทุกอย่างราบรื่นตลอดเวลา
ผู้ที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ทุกคนจะบอกว่า ต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “พรุ่งนี้เราอาจจะเจ๊งได้” ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคน ทำธุรกิจเจ๊งกับมือมาแล้ว หลายคนเจ๊งมาหลายครั้งด้วยซ้ำ แต่วันนี้เขาสำเร็จแล้ว
ความเสี่ยงทางธุรกิจหลายครั้งถึงขั้นเจ๊งกันเลยทีเดียว แต่คนที่จะทำธุรกิจต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี พร้อมที่จะเจ๊งได้ตลอดเวลา เหมือนกับหัดเล่นสเกตใหม่ๆ ต้องเตรียมตัวล้มตลอดเวลา แต่เมื่อไรที่ล้มก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ และเรียนรู้จากบทเรียนที่ล้มครั้งก่อน ไม่ให้ตัวเองล้มท่าเดิม คนที่ไม่ยอมเรียนรู้ก็จะล้มท่าเดิม ไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้ประกอบการที่ชาญฉลาดและประสบความสำเร็จได้
เพราะฉะนั้น จะทำอะไรต้องไม่กลัวเจ๊ง เตรียมตัวเจ๊งไว้ตั้งแต่แรก เวลาเจ๊งจริงก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าใครมัวแต่คิดหน้าคิดหลัง มะงุมมะงาหรา มัวแต่กลัวโน่นกลัวนี่ไม่ลงมือทำเสียที ก็จะไม่มีโอกาสได้เริ่มต้น โอกาสที่เคยมองเห็นก่อนคนอื่นก็หลุดมือไป กลายเป็นโอกาสของคนอื่นที่เห็นช้ากว่าแต่ลงมือเร็วกว่า คุณก็ไม่มีทางสำเร็จเสียที เหมือนอย่างนักคิดนักวิชาการ หรือนักศึกษาปริญญาโทเก่งๆ หลายคนที่มีไอเดียดีๆ มากมาย เขียนเป็นโครงการสวยๆ แต่ไม่เคยได้มีโอกาสลงมือทำเสียที อย่างมากก็ได้แค่คุยกับคนอื่นได้ว่า “เรื่องนั้นอั๊วก็คิดมาก่อน”
เมื่อความคิดนิ่งแล้ว ต้องลงมือทำ คิดให้เร็ว ทำให้ไว และถ้าพลาดก็ต้องแก้ไขให้เร็ว ถ้าหากเจ๊งก็ต้องลุกขึ้นมาตั้งต้นใหม่ได้เร็วกว่าคนอื่น แล้วคุณจะสำเร็จเร็วกว่าคนอื่นอย่างน้อยก้าวหนึ่งเสมอ
กฎข้อที่ 7 สร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบก่อน
การฝึกฝนให้เป็นนักคิด เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คนที่เป็นนักคิดต้องมีวิสัยทัศน์ ต้องมีจินตนาการเพื่อที่จะจัดทำแผนธุรกิจต่อไป แต่การมีแต่ความคิดโดยไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมนั้น เป็นเพียงการวาดฝันในอากาศ หลอกตัวเองให้มีความสุขไปวันๆ เท่านั้น คุณจำเป็นต้องสร้างรูปธรรมของความคิดสร้างสรรค์นั้นขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ เอาของจริงมาทดลองเก็บข้อมูลต่อว่าเป็นไปได้ตามที่คิดไว้หรือไม่ จึงจะเรียกว่าเป็นความคิดที่ทำให้เป็นจริงได้
การลงมือทำจริงเป็นสิ่งที่สำคัญมากแม้จะไม่ใช่ที่สุด กระบวนการนี้จะทำให้เข้าใจถึงเงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ ในเอาแผนไปปฏิบัติ (implementation) เมื่อเห็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นสำหรับของจริงแล้ว เราจึงจะสามารถวางแผนรับมือสิ่งเหล่านั้นได้ ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่เริ่มจากความคิด มาเป็นจินตนาการแล้วต่อไปแผนธุรกิจ
ต้องจำใส่ใจไว้ให้มั่นถึงสามขั้นตอนนี้ อันได้แก่ หาไอเดีย เอาไอเดียมาสร้างจินตนาการแล้วก็เขียนเป็นแผนธุรกิจ และขั้นที่สำคัญที่สุดได้แก่ขั้นแรก ซึ่งก็คือการสร้างไอเดีย ถ้าขั้นไอเดียนี้ไม่ตกผลึก ก็ไม่สามารถจินตนาการอะไรได้ แผนธุรกิจจึงไม่เกิด
กระบวนการในการสร้างธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใหม่เอี่ยมอ่องของเถ้าแก่มือใหม่หรือ Corporate venture ที่เป็นโครงการธุรกิจใหม่ภายในองค์กร มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันในขั้นตอนของแผนธุรกิจ คือการตั้งสมมติฐาน ทดสอบแผนธุรกิจจากสมมติฐานนั้น เอาผลการทดสอบมาปรับแผนธุรกิจให้ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งในการขัดเกลาแผนธุรกิจให้มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากที่สุด
แผนธุรกิจส่วนใหญ่มักจะตกม้าตายตรงความเป็นไปได้ทางปฏิบัตินี่เอง
การสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ ไม่สามารถค่อยๆ ทำ รอให้มันเติบโตแบบ Organic growth เหมือนกับปลูกต้นไม้ได้ ขืนทำอย่างนั้น ชีวิตเราทั้งชีวิตทำได้ไม่เท่าไรก็จบแล้ว เราจะต้องคิดแบบดิจิทัล ซึ่งหมายความว่า ให้สร้างต้นแบบขึ้นมาทดลองดู ปรับให้ลงตัวจนสามารถสร้าง SOP (Standard Operating Process) ได้แล้ว คราวนี้ต้องให้เติบโตแบบดิจิทัลทีเดียวเป็นสิบเป็นร้อยเท่า เหมือนกับปั๊มแผ่นซีดี หรือกระจายอีเมลอย่างนั้นเลย ผลักดันให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นโอกาสจะหลุดลอยไป เพราะคนอื่นเขาเลียนแบบเราด้วยความไวของดิจิทัลแล้ว
ดูอย่างเซเว่นอีเลฟเว่นหรือสตาร์บัคส์ สาขาแรกๆ เปิดมาไม่มีกำไร แต่เมื่อรูปแบบธุรกิจลงตัวแล้ว เขาก็ก้มหน้าก้มตาเร่งเปิดสาขาอย่างเดียว ไปถึงจำนวนหนึ่งแล้วก็จะเริ่มกำไร เราจึงเห็นว่าเขาขยายตัวได้รวดเร็วมาก ไม่ได้เป็นเพราะเขากำไรจากสาขาแรกๆ แต่เป็นเพราะว่าเมื่อจำนวนสาขาไปถึงระดับเป้าหมายแล้ว ก็จะเริ่มกำไร
เมื่อโตถึงขั้นหนึ่งแล้ว เถ้าแก่ก็ต้องไปลงมือกับธุรกิจใหม่ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า Entrepreneur
ตรงกันข้าม จะคิดทำทีเดียวใหญ่โตเลยโดยไม่สร้างต้นแบบให้ลงตัวเสียก่อน ก็ไม่ได้เช่นกัน อย่างนี้จะเหมือนกับการเดินเงยหน้ามองแต่ดวงดาว ไม่ดูพื้นดินที่ตัวเองยืนอยู่ เดินไปเรื่อยๆ อาจจะตกบ่อน้ำตายได้ นักธุรกิจประเภทนี้มีมามากมายในอดีต เจ๊งมาแล้วเยอะและคงจะมีต่อๆ ไป
ถ้าไม่รู้จักการสร้างต้นแบบขึ้นมาปรับให้ลงตัวก่อนที่จะทุ่มแรงขยายออกไป
กฎข้อที่ 8 มองอย่างพินิจพิเคราะห์ สรุปรูปแบบให้ได้
นักสร้างธุรกิจต้องมีสายตาเป็นนักเรียนรู้ด้วย เวลามองคู่แข่งหรือ role model จะต้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรที่เรียนรู้ได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นข้อดีหรือข้อเสีย
ก่อนอื่นต้องทำจิตใจให้อ่อนน้อมถ่อมตน สร้างคติให้ตัวเองพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนอื่น บริษัทอื่น หรือธุรกิจประเภทอื่นใดก็ตาม สิ่งที่สมควรเรียนรู้ “กูจะเรียนรู้ให้หมด” เพราะเคล็ดลับการบริหารของจอมยุทธ์ทั้งหลายในแวดวงธุรกิจ มักจะมีอะไรคล้ายๆ กันอยู่ ไม่มีบริษัทไหนองค์กรไหนที่ดีไปเสียหมดทุกอย่าง แต่การเป็นบริษัทที่โดดเด่น ก็จะต้องมีจุดเด่นที่เหนือกว่าคนอื่นแน่นอน เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินว่าบริษัทไหนเป็นเลิศ ก็อย่าไปคิดว่าเขาจะดีไปเสียทุกเรื่อง แต่มองให้ลึกลงไปว่าเขามีอะไรที่ดีเด่นน่าเรียนรู้บ้าง
เมื่อเห็นใครที่มีอะไรให้เรียนรู้ ก็ควรจะตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรจากเขา ทุ่มกำลังเน้นเรียนรู้เรื่องนั้น benchmark กับเขา ฝึกฝนให้ตัวเองพัฒนาจนเหนือกว่าเขาให้ได้ ไม่ใช่ทำตัวเป็นนักวิจารณ์ คอยปลอบตัวเองว่า “เขาก็เก่งเหมือนกัน แต่ก็มีจุดอ่อนตรงนั้นตรงนี้” วิธีนี้ไม่ได้ทำให้ตัวเองดีขึ้นแต่อย่างใด
ความสามารถในการมองให้เห็นรูปแบบนั้น เป็นความสามารถที่สำคัญอย่างหนึ่ง นักสร้างธุรกิจต้องมีมุมมองแบบนักวิทยาศาสตร์ด้วย ต้องใช้เวลาเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ คอยสร้างเทคนิคการสังเกตและวิเคราะห์อยู่เสมอ เวลาเห็นร้านค้าที่มีคนนิยมเข้ากันมากๆ ก็ลองจับเหตุผลของความนิยมที่เกิดขึ้นดู สังเกตจนกว่าจะค้นพบเหตุผล หมั่นสร้างนิสัยเช่นนี้ไว้ เป็นการฝึกเทคนิคการสังเกตเพื่อเรียนรู้
ระบบเศรษฐกิจ การค้าการขาย ว่าไปแล้วก็คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่มีอะไรแปลก คนควักกระเป๋าเอาเงินออกมาซื้อสินค้าก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เพราะฉะนั้น การที่สินค้าขายได้ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผล มีกฎของธรรมชาติอยู่ เราจึงต้องมองอย่างนักวิทยาศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติ แล้วทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ คุณก็ขายได้เอง
นักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกทั้งหลาย ล้วนมีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นนักทดลอง เป็นนักสังเกตทั้งสิ้น นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เอาสิ่งที่เขาสังเกตและสรุปไว้มาเขียนเป็นทฤษฎีเท่านั้นเอง เขาจดจำเอาไว้แล้วใช้มันเป็นอาวุธเพื่อต่อสู้ในสังเวียนธุรกิจ ไม่เชื่อลองสังเกตคุณตัน โออิชิดู หรือซิกเว่ แห่งดีแทคดู เขาสังเกตคนที่เป็นลูกค้าของเขาจนเขารู้จักคนเหล่านั้นดี เขาจะพยายามหาคำตอบอยู่เสมอว่า ทำไมสินค้าแบบนั้นถึงขายได้ หาเหตุผลออกมาเป็นร้อยเป็นพันจนกว่าจะสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า “อึม คำตอบนี้พอจะยอมรับได้”
เมื่อมองเห็นรูปแบบของวิทยาศาสตร์ที่เป็นกฎแล้ว ก็จะสามารถมองเห็นอนาคตว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เห็นโลกที่อยู่อนาคต เพราะคุณเข้าใจกฎวิทยาศาสตร์อย่างดีแล้ว เหมือนนักเศรษฐศาสตร์ที่สามารถพยากรณ์เศรษฐกิจได้ นักอุตุนิยมที่พยากรณ์อากาศได้ คุณเองก็สามารถพยากรณ์สังคมได้เช่นกัน
กฎข้อที่ 9 เมื่อตัดสินใจทำแล้ว จงลุยให้เต็มที่
จะเป็นนักสร้างธุรกิจต้องลุยได้สุดแรงเกิด คนที่ขาดความบ้าระห่ำที่จะเกินร้อยกับธุรกิจที่ตัวเองฝัน ไม่มีใครประสบความสำเร็จแน่นอน
คนที่ได้ชื่อว่า entrepreneur ไม่ได้ทำอะไรเพื่อเงินอย่างเดียว เขาต้องค้นหาสิ่งที่เขาสนใจมากกว่าเงินให้ได้ ไม่หมดไฟเมื่อได้เงิน คนพวกนี้มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงบันดาลใจที่จะทำงานต่อไป หมดความอยากรู้อยากเห็นก็หมดพลัง ชีวิตนักสร้างธุรกิจก็สิ้นสุดลง
คนอย่างฟิล ไนท์ ผู้ก่อตั้งไนกี้เองแม้จะประสบความสำเร็จสูงสุดเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอันหนึ่ง ได้รับการทาบทาม ให้บริหารบริษัทเครื่องไฟฟ้า ที่อาจจะใหญ่กว่าไนกี้ เสนอรายได้มากกว่าที่เขามากกว่าไนกี้เสียอีก เขาก็ยังไม่สนใจ และตอบว่า “ผมไม่ชอบเครื่องไฟฟ้า ผมชอบกีฬามากกว่า” ถ้าเป็นเรื่องกีฬาแล้วเขาต้องการชนะในทุกสนาม แต่กลับไร้ความรู้สึกกับเครื่องไฟฟ้า
ประเด็นนี้สำคัญมากเวลาคิดอยากจะเริ่มทำธุรกิจ ฟิล ไนท์บอกว่า “ถ้าคิดจะทำร้านอาหาร ต้องชอบอาหารพอที่จะยอมอยู่ในครัววันละหลายๆ ชั่วโมงได้ ถ้าไม่รักขนาดนั้น เลิกเสียดีกว่า ถ้ารักมันแล้ว ถึงจะไม่สำเร็จก็ยังมีความสุข”
ธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง มีทั้งสำเร็จ มีทั้งล้มเหลว ไม่มีใครรับประกันได้ ใครๆ ก็พลาดได้ทั้งนั้น คนที่สำเร็จวันนี้ก็พลาดมาแล้วเกือบทุกคน สำเร็จมาแล้วก็ใช่จะไม่ล้มเหลว ใครกลัวล้มเหลวก็อย่าเริ่มตั้งแต่แรกจะดีที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าจะลงมือทำอะไรทั้งที ก็จงเลือกสิ่งที่ทำแล้วจะมีความสุข สิ่งที่สามารถหลงใหล อยากรู้อยากเห็น และทุ่มสุดตัวได้อย่างไม่เสียดายเวลา เรียกอีกอย่างว่า “อินกับมันได้ไม่รู้จักเบื่อ”
คนอย่างสรยุทธชอบข่าวเป็นชีวิตจิตใจ โชค บุลกุลก็หลงใหลการเป็นคาวบอย คนอย่างนี้ถึงจะสำเร็จได้สูงสุด ระหว่างทางแม้จะล้มเหลว แม้จะพ่ายแพ้ไปบ้างก็ไม่รู้สึกว่าน่าอาย ใครที่รู้สึกอายเมื่อล้มเหลวจะไม่สามารถเป็นเถ้าแก่นักสร้างธุรกิจแน่นอน
ผมเองอยากเปลี่ยนแปลงความคิดของคน อยากให้คนทั้งหลายเป็นคนเก่ง มีความคิดที่ถูกที่ดี จึงได้เขียนหนังสือ แม้ว่างานเขียนจำนวนมากจะเขียนโดยไม่ได้ค่าตอบแทน มีแต่ความเครียดเพราะต้องหาเรื่องมาเขียนให้ทันกำหนดส่ง แต่ก็เป็นความหลงใหลที่เปรียบเปรยลำบากยิ่ง
กฎข้อที่ 10 วิ่งสู้ฟัด กัดไม่ปล่อย
หากได้พบกับสิ่งที่ตนเองจะหลงใหล มีความสุขที่จะทำ ทำเท่าไรไม่เบื่อ ลืมวันลืมเวลา และเชื่ออย่างยิ่งว่าต้องประสบความสำเร็จ คุณจะยอมแพ้ง่ายๆ เชียวหรือ
ธุรกิจเกินกว่าครึ่งปิดตัวไปในปีแรก เหลือชีวิตรอดครบ 5 ปี ได้ไม่ถึง10% ทั้งนี้เพราะว่าการเริ่มต้นธุรกิจให้ติดลม ให้สามารถอยู่ได้ตัวมันเอง เป็นเรื่องที่สุดแสนจะลำบาก หลายธุรกิจต้องเลิกล้มไปเพราะเหตุผลต่างๆ นานา ตั้งแต่เงินหมด ไฟหมด หุ้นส่วนทะเลาะกัน เจ้าของเบื่อ คนทำหันไปทำอย่างอื่น....หลากหลายสาเหตุ แต่ที่เหมือนๆ กันก็คือ ธุรกิจทั้งหมดที่เลิกไปนั้น ไปไม่ถึงดวงดาวทั้งนั้น
ปีแรกๆ ของธุรกิจเป็นปีที่ยากที่สุด ว่ากันว่า 3 ปีแรก เป็นช่วงที่จะกำหนดชะตาชีวิตธุรกิจว่าจะรอดไปกี่น้ำ เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ใช้เงิน เงินทองร่อยหรอ ชื่อเสียงก็ยังไม่มี ลูกค้าประจำก็ยังไม่ติด ทำอะไรยากลำบากไปหมด เล่นเอาผู้บริหารหมดกำลังใจง่ายๆ เหมือนกัน
แต่ถ้าผู้บริหารที่ก่อตั้งธุรกิจนี้ขึ้นมาเชื่อว่ามีขุมทองรออยู่ข้างหน้า แต่หนทางยากลำบาก ก็สู้อุตส่าห์ดั้นด้นหาทางไปสู่ขุมทองในช่วงลำบากที่สุด ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องเจออะไรอีกมากเท่าไร และอีกนานแค่ไหน พอไปถึงช่วงหนึ่งเกิดหมดกำลังใจ ล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำให้มันสำเร็จเสียกลางคัน ถ้ามีใครมาทำต่ออีกเพียงนิดเดียว ก็อาจจะคว้าความสำเร็จไปครอง เพราะช่วงที่ลำบากที่สุดในปีแรกๆ มีคนทำให้เรียบร้อยไปแล้ว คนที่มาทีหลังลงทุนลงแรงน้อยกว่า แต่ได้ความสำเร็จไป ก็เท่ากับ “เตะหมูเข้าปากหมา” น่าเสียดาย น่าเจ็บใจยิ่ง คนที่เริ่มมาแต่แรกก็ต้องไปเริ่มต้นทำอย่างอื่นใหม่ ลำบากอีกรอบ แต่คว้าน้ำเหลว
ลองถามตัวเองดูสิว่าอยากจะเป็นคนไหน ถ้าให้ผมเลือก ก็จะเลือกเป็นคนแรกที่ไม่ยอมเลิกง่ายๆ จะทำต่อจนรู้ดำรู้แดงว่า มันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง
เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนยุคใหม่ เคยกล่าวว่า “คนที่ตายคนสุดท้ายคือผู้ชนะ” ฟังดูเหมือนกับการเล่นเกม Last man standing แต่นั่นเป็นสัจธรรมที่ฟังดูง่ายๆ แต่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ตัวเขาเองก็ล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้มอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นแมวเก้าชีวิต จนกลายเป็นผู้นำจีนที่สร้างประเทศจีนให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอย่างทุกวันนี้ได้ แล้วเขาก็พิสูจน์ให้คนรุ่นหลังเห็นว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง เขาเอาชนะศัตรูทุกคนในชีวิต ไม่ถูกเขาจับประหารก็แก่ตายก่อนเขา
ความอึดแบบกัดไม่ปล่อยของเถ้าแก่พิสูจน์มาแล้วในธุรกิจเกือบทุกแขนง ว่าเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ ลองดู สตีฟ จ็อบส์ เจ้าของแอ๊ปเปิ้ล ผู้ที่สร้างไอพ็อดกับไอโฟน ให้เป็นกระแสของโลกยุคใหม่ เขาเป็นสัญลักษณ์ของนักนวัตกรรมนักต่อสู้ เขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่น ไม่มีปริญญา ต้องนอนบนพื้นของห้องพักเพื่อน เก็บขวดเปล่าไปขาย จนสร้างบริษัทขึ้นมา ก็ยังถูกปลดออกจากบริษัทที่เขาสร้างขึ้นมากับมือ เขาก็ยังกลับมายึดคืนธุรกิจ สร้างใหม่ให้ยิ่งใหญ่กว่า แล้วยังออกผลิตภัณฑ์ใหม่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย
เอดิสันต้องทดลองกว่าห้าหมื่นครั้งถึงจะประดิษฐ์คิดค้นหลอดไฟฟ้าขึ้นมาได้ คนที่หูหนวกและถูกผู้ใหญ่หาว่าโง่มาแต่เด็กอย่างเขาไม่เคยทิ้งความเชื่อ เขาทุ่มเทครั้งแล้วครั้งเล่าจนประสบความสำเร็จ เขาไม่ลืมที่จะให้กำลังใจตัวเองว่า “ถ้าล้มเหลวไปห้าหมื่นครั้ง ก็เท่ากับว่าเรารู้ว่ามีวิธีผิดถึงห้าหมื่นครั้ง วิธีผิดก็น้อยลง”
ยังมีธุรกิจอีกนับไม่ถ้วนที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคแสนสาหัสกว่าจะประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ธุรกิจ ไม่เชื่อลองถามผู้หลักผู้ใหญ่รอบตัวคุณที่เห็นว่าประสบความสำเร็จดู เขาลำบากมาทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้สามารถรักษาไฟในตัวไม่ให้มอดไปได้คือการคิดบวกอยู่เสมอ คิดในแง่ดีเหมือนอย่างเอดิสันบอกตัวเองว่า “เราใกล้ความสำเร็จไปอีกวันหนึ่งแล้ว”
คุณสมบัตินักวิ่งสู้ฟัด กัดไม่ปล่อยอันนี้ เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักล่าฝันสร้างธุรกิจทุกคนที่ต้องการความสำเร็จ คนที่ไม่ต้องการความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องมีข้อนี้
คอลัมนโรงเรียนเถาแก : สุธี พนาวร กรุงเทพธุรกิจ
31 วิธีข่ม 'ความกลัว' ก่อนลุยธุรกิจ เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สร้างความสำเร็จมาแล้วมากมาย
· Tab 1
อะไรที่ทำให้คุณ "ถอย" ออกมาจากการเริ่มต้นธุรกิจ เกร็ดต่อไปนี้จะช่วยให้คุณเผชิญหน้ากับความกลัวและกลายเป็น "นายตัวเอง" ได้ในที่สุด
หลายครั้งที่การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ เรามักจะคิดถึงกันแต่เรื่องขั้นตอนและวิธีการ แต่แท้จริงแล้ว...ในการเดินทางเพื่อเริ่มต้นนั้นมีเรื่องราวสำคัญพอๆ กับการเขียนแผนธุรกิจหรือการระดมเงินทุนเลยทีเดียว ด้วยแผนธุรกิจ และเงินออมที่มีอยู่ในมือ คุณยังไม่จำเป็นต้องลาออกจากงาน หลังจากที่ออกจากงานและกลับเข้ามาทำใหม่ถึงสองครั้ง ก็พบว่ามีวิธีการที่จะช่วย สร้างขวัญและกำลังใจกลับคืนมาและเอาชนะความกลัวได้ และต่อไปนี้คือ 31 วิธีการที่ใช้ได้ผลกับคุณด้วยเช่นกัน
1. ยอมรับฟังเสียงเรียกร้องในหัวใจของคุณ คุณยังไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้ก็ได้ว่าคุณจะทำอะไรหรือจะทำอย่างไร แค่เพียงตระหนักถึงเสียงภายในของคุณที่ร่ำร้องจะออกมาสู่โลกของ "ผู้ประกอบการ" เขียนว่า "ใช่! ฉันยอมรับว่าฉันอยากได้...." ลงไปในกระดาษ และแปะไว้ที่ผนังเพื่อเตือนตัวเองว่าคุณกำลังก้าวไปข้างหน้า เมื่อคุณทำอย่างนี้ คุณก็จะเริ่มเห็นความเป็นไปได้ของการเป็นเจ้านายตัวเองแล้ว
2. เริ่มจดบันทึก เขียนไอเดีย เป้าหมาย ความรู้สึก หรืออะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุกๆ วัน การบันทึกเรื่องราวจะช่วยทำให้คุณได้รู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น และจะมองเห็นพัฒนาการเมื่อคุณย้อนกลับมาดู
3. เขียน "เป้าหมาย" จากการศึกษาพบว่าคนที่เขียนเป้าหมายนั้นจะประสบความสำเร็จตามที่เขียนไว้มากกว่าคนที่ไม่ได้เขียนถึง 5 เท่า เมื่อไหร่ที่คุณต้องการทำธุรกิจ? ออกจากงาน? คุณต้องเก็บเงินเป็นจำนวนเท่าไหร่? ตั้งเป้าหมายและดำเนินการไปให้ถึงจุดนั้น
4. คิดออกมาเป็นภาพ ลองใช้จินตนาการคิดถึงความต้องการในการเป็นผู้ประกอบการของคุณและเขียนลงไป เพราะคนที่สร้างสรรค์ จินตนาการขึ้นมานั้น มีโอกาสที่จะได้ "สัมผัส" ประสบการณ์นั้นๆ มากกว่า ลองถามตัวเองดูว่า "ฉันอยากทำงานในออฟฟิศแบบไหน?" และ "ฉันอยากให้บริการลูกค้าแบบไหน?"
5. สร้างและอ่านประโยคแห่ง "การยืนยัน" การยืนยันข้อความว่า "ฉันเป็น..." ในสิ่งที่คุณต้องการให้เกิดขึ้น เขียนด้วยประโยค "กาลปัจจุบัน" ประหนึ่งว่ามันเกิดขึ้นแล้ว "ฉันเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ" เป็นตัวอย่างที่ดีในการเริ่มต้น สร้างประโยคแห่งการยืนยันทำนองนี้ขึ้นมาสัก 10-20 ประโยคลงบนแผ่นกระดาษ และนำไปติดในที่ๆ สามารถมองเห็นและอ่านได้ง่าย ข้อความเหล่านี้จะช่วยให้คุณเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง และสามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อไปได้
6. ประเมิน "ความเชื่อ" ของคุณ นำกระดาษมา 1 แผ่น เขียนความเชื่อในตนเอง เงิน และอนาคตของคุณลงไปทางด้านซ้าย และลองดูว่าความเชื่อเหล่านั้นสะท้อนให้เห็นว่าคุณต้องการเชื่ออะไร หรือไม่ก็เขียนความเชื่อใหม่ๆ ของคุณลงทางขวา นำไปรวมกับประโยคแห่งการยืนยัน เคยมีลูกค้าคนหนึ่งที่ค้นพบว่าความเชื่อเกี่ยวกับเงินของเขานั้นจริงๆ แล้วเป็นความเชื่อของพ่อแม่ ดังนั้นเขาจึงสร้างความเชื่อใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเขา
7. ทำในสิ่งที่รัก นี่จะช่วยให้คุณค้นพบและให้ความกระจ่างได้ว่า คุณจะทำกิจการใด หากคุณไม่รู้ว่าตนเองรักที่จะทำอะไร ก็ลองคิดกลับมาถึง สิ่งที่คุณชอบทำในสมัยเด็กๆ ดูก็ได้
8. หัดทำสิ่งที่แตกต่างจากทุกวัน ลองเปลี่ยนตารางเวลาของคุณดูบ้าง ลูกค้าคนหนึ่งเคยคิดว่านี่เป็นวิธีง่ายๆ แต่ปรากฏว่ามันใช้เวลาถึง 3 วันกว่าที่เธอจะลุกขึ้นมาบนเตียงอีกด้านหนึ่งได้ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยปลดปล่อยความกลัว และเตรียมพร้อม สำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจได้
9. ทำ "เหมือนกับว่า" เริ่มต้นแสดงท่าทีเหมือนกับว่าคุณเป็นนายตัวเอง ลองรู้สึกถึงการที่คุณต้องจัดตารางเวลาเอง และหารายได้ให้ตัวเองดูว่าเป็นอย่างไร เมื่อคุณได้ลองเริ่มทำแล้วคุณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น
10. หัดกลัวตัวเองดูบ้าง คุณกลัวที่จะต้องทำอะไร พูดอะไรบางอย่าง หรือออกไปไหนสักแห่งหรือไม่? จงกลัวต่อไปเถอะ!! การกลัวแต่ยังต้องทำต่อไปนั้น จะเป็นการสร้างกำลังใจและความเชื่อมั่นให้ตนเอง และยังเป็นการท้าทายใน การเอาชนะความกลัวด้วยตัวเองได้อีกด้วย
11. ใช้เวลาอยู่กับ "ธรรมชาติ" ทำสวน หรือเดินเล่นตามชายหาด หรือเดินป่า สภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจะช่วยสร้าง ความสงบภายในจิตใจ และสามารถช่วยประคับประคองจิตใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
12. ยอมรับทุกความรู้สึกของคุณ คุณสามารถคาดหวังความรู้สึกทุกชนิด เมื่อคุณเริ่มต้นทำธุรกิจหรือแม้เพียงแต่คิดที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจ ความรู้สึกเปราะบาง ความไม่แน่นอน ความสงสัย ความกลัว ความไม่มั่นคงนั้นเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็รูสึกได้ ลองสร้างบทสนทนาเชิงบวก กับตัวเอง และคุยถึงความรู้สึกเหล่านี้กับเพื่อนที่สนิท และเตือนตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าคุณไม่เป็นอะไร
13. ทำเรื่องที่ยังไม่เสร็จให้เสร็จ ลิสต์รายการที่รบกวนคุณและคุณจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ ปรับปรุงหรือสรุปขั้นสุดท้าย หาช่องว่างสำหรับธุรกิจใหม่ของคุณโดยการทำสิ่งที่อยู่ในรายการของคุณให้เสร็จไปทีละรายการ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมตู้เย็น ข่มความโกรธ หรือทำสวนก็ตาม
14. หาความรู้ใส่ตัว "ความรู้คือพลัง" เข้าเรียนหรือร่วมงานสัมมนาที่เกี่ยวกับการเริ่มต้น การทำตลาด และการดำเนินธุรกิจ ลูกค้ารายหนึ่งที่เริ่มต้นทำธุรกิจได้เข้าร่วมในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ซึ่งผลที่ได้ก็คือธุรกิจของเขาได้ลงในหนังสือพิมพ์ด้วย
15. ยอมรับและเชื่อในคำชม เมื่อมีคนชม ก็ขอให้คุณยอมรับและเชื่อในคำชมนั้นๆ เพราะมันเป็นการสร้างความมั่นใจให้คุณ
16. ยอมรับใน "พรสวรรค์" ของคุณ จงตระหนักและยอมรับในพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของคุณ คุณชอบทำอะไรบ้างแม้ว่าคุณจะไม่ได้อะไรจากสิ่งนั้นเลยก็ตาม
17. หยุดโทษตัวเอง หากคุณได้ยินเสียงตัวเองกำลังกล่าวโทษ ให้จดบันทึกไว้และพึงระวังเหตุการณ์นี้ เช่นหากคุณคิดว่า "ฉันดูไม่ใช่พวกผู้ประกอบการ" ก็ขอให้คุณเปลี่ยนมันเป็น "ฉันมีความสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ที่ฉันตั้งใจทำ"
18. ลบคำว่า "ฉันทำไม่ได้" พึงระวังในขณะที่คุณพูดว่า "ทำไม่ได้" และเปลี่ยนมันเป็นคำถามเปิดว่า "ฉันจะทำได้อย่างไร?" อย่างเช่นหากคุณกำลังรู้สึกว่า "ฉันไม่สามารถขอกู้เงินได้ เพราะเครดิตของฉันไม่ดี" ให้เป็น "ฉันจะกู้เงินได้อย่างไร?" และไปพบกับพนักงานติดตามหนี้สิน เพื่อขอเจรจาปรับเครดิตของคุณ จริงๆ แล้วผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินเก็บของตนเองนั้น มักจะได้รับวงเงินกู้ในที่สุด
19. ยอมรับความยุ่งยาก ความยุ่งยากสับสนเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มธุรกิจ ให้คุณลองบันทึกไว้และนำไปพูดคุยกับเพื่อน และรู้ไว้ว่ามันจะผ่านไปได้ในที่สุด เมื่อคุณยอมรับมันได้
20. รู้ไว้ว่าไม่มีจังหวะเวลาที่ถูกต้อง ผู้ประกอบการอาจเริ่มต้นธุรกิจด้วยหนี้สิน เงินจำนวนน้อยนิด ด้วยเงินมหาศาล ด้วยประสบการณ์น้อยนิด หรือด้วยสถานการณ์ใดๆ ก็ได้
21. เริ่มจากเล็กๆ คุณไม่ได้เริ่มธุรกิจอย่างอลังการ แต่ให้คำนึงถึงความจริงและถามตัวเองว่า "ฉันต้องการอะไรเพื่อเริ่มธุรกิจบ้าง" และเริ่มต้นจากเล็กๆ (เพราะบางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินมาทำธุรกิจเลยก็ได้)
22. บอกว่า "ไม่" เมื่อคุณคิดว่าไม่ และบอก "ใช่" เมื่อคุณคิดว่าใช่ ครั้งต่อไปเมื่อคุณถูกถาม การตอบรับหรือปฏิเสธ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ หรือถ้าหากคุณยังไม่ได้ตัดสินใจก็ขอให้บอกไปว่า "แล้วฉันจะติดต่อคุณกลับไป"
23. หลีกเลี่ยงการประเมินตัวเอง หากคุณกำลังคิดว่า "ความคิดนี้โง่จริง" ให้ระลึกไว้ว่าคุณเป็นคนเลือกที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้คุณยอมรับในตนเอง และสร้างไอเดียใหม่ๆ สำหรับธุรกิจได้มากขึ้น
24. ออกห่างจาก "ความรู้สึกแย่ๆ" ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกแย่ ให้จดสถานการณ์ ความคิดหรือความรู้สึกที่ทำให้คุณรู้สึกเช่นนั้นลงไปทุกครั้ง จนกว่าจะดีขึ้น และดูว่าคุณต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะออกห่างจากความรู้สึกนี้ เช่น หากคุณรู้สึกว่าการจ่ายบิลเป็นเรื่องแย่ๆ และทำให้จ่ายล่าช้าอยู่เสมอ ก็ให้หันมาจ่ายหนี้ให้ตรงเวลา
25. เผื่อใจสำหรับ "การต่อต้าน" คุณอาจมีความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองหรือจากคนรอบข้างก็ได้ คุณควรเดินหน้าต่อไปท่ามกลาง กระแสต่อต้าน โดยที่คุณเองก็ยอมรับและยังคงทำในสิ่งที่จำเป็นต่อไป
26. ตอบคำถาม "แล้วถ้าหาก..." เช่น "แล้วถ้าหากว่ามันไม่ได้ผลล่ะ?" "แล้วถ้าหากฉันไม่ได้เงินเลยล่ะ?" ให้คุณจดบันทึกเหตุการณ์สมมติเหล่านี้ไว้ และตอบคำถามให้ได้ เช่น การตอบคำถามที่ว่า "แล้วถ้าหากฉันไม่ได้เงินเลยล่ะ? "คุณอาจตอบว่า"ฉันก็จะหางานพิเศษทำควบคู่ไปกับธุรกิจนี้"
27. หมั่นอดทน ครั้งต่อไปถ้าคุณติดไฟแดงหรือกำลังต่อคิวอยู่ ให้ลองฝึกความอดทนเอาไว้ เพราะการฝึกความอดทน เป็นลักษณะสำคัญของผู้ประกอบการ
28. เอาชนะอาการ "ยังดีไม่พอ" มีลูกค้าหลายรายที่ต้องพับกระดานหรือล้มเลิกโครงการไปเพราะพวกเขาคิดว่าไม่มีทักษะการขายที่ดี ไม่มีโบรชัวร์ที่ดี หรือไม่มีสินค้าที่ดีพอ ครั้งต่อไปหากคุณรู้สึกอยากจะล้มเลิก ลองหาทนทางที่จะทำให้คุณยอมรับมันให้ได้ และระลึกไว้ว่าคุณรู้มากพอที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้
29. ขอความช่วยเหลือ เมื่อคุณรู้สึกท้าทายและไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครเลย เมื่อนั้นให้คุณขอความช่วยเหลือ เพราะนั่นคือเวลาที่คุณต้องการมันมากที่สุด
30. เชื่อในสัญชาตญาณของคุณเอง คนอื่นๆ อาจจะบอกว่าคุณเพี้ยนที่ออกจากงานดีๆ มาทำธุรกิจ แต่ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวคุณเอง ดังนั้นจงเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรู้ และลงมือทำ
31. ปฏิบัติต่อตนเองด้วยความเอาใจใส่ เข้าถึงความต้องการทางจิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ของคุณด้วยความสมดุล การดูแลตนเองจะทำให้คุณมีพลังในการสร้างสรรค์และสามารถทำงานต่างๆ ได้โดยใช้เวลาน้อยลง
จาก Entrepreneur magazine - April 2005 By Suzanne Mulvehill แปลและเรียบเรียงโดย กมลวรรณ มักการุณ
กลยุทธ์สู่ความสำเร็จในธุรกิจส่วนตัว
· Tab 1
การบริหารธุรกิจชีวิตสู่ความสำเร็จ
ผมมีความเชื่อว่าการดำเนินชีวิตคือการบริหารธุรกิจประเภทหนึ่งที่เป้าหมายสุดท้ายคือกำไร กำไรในที่นี้มิได้หมายถึงเงิน แต่หมายถึง “ความสำเร็จ” ดังนั้น ถ้าเป้าหมายของธุรกิจชีวิตเราคือความสำเร็จ เราคงต้องเริ่มบริหารชีวิตอย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น คนหลายคนสูญเสียเวลา แห่งชีวิต ไปกับเรื่องที่ไร้สาระ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปกับเข็มนาฬิกา ปล่อยให้โอกาสล่องลอยไปกับสายลมและแสงแดด คนหลายคนมีคำว่า “เสียดาย” อยู่เต็มหัว เพราะมารู้สึกตัวในเรื่องต่างๆ หรือคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว กว่าจะรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ก็เจ็บป่วยไปเรียบร้อยแล้ว กว่าจะรู้ว่าครอบครัวสำคัญก็มีปัญหาครอบครัวแตกแยกไปเรียบร้อยแล้ว กว่าจะรู้ว่าความสามารถยังไม่ถึง ก็ต่อเมื่อโอกาสดีผ่านไปแล้ว
เพื่อให้ชีวิตมุ่งไปสู่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของชีวิตคือความสำเร็จ เราคงต้องมีการบริหารชีวิตตามแนวทางการบริหารธุรกิจชีวิตอย่างจริงจัง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราไม่ได้ละเลย หลงลืม หรือแกล้งลืมทำบางสิ่งบางอย่างในชีวิตในเวลาที่ควรจะทำ พูดง่ายๆก็คือ ป้องกันคำว่า “เสียดาย” อย่าให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราเลย ผมจึงขอแนะนำแนวทางในการบริหารธุรกิจชีวิตดังนี้
1. กำหนดวิสัยทัศน์ของชีวิต (Life Vision)
เราต้องกำหนดเป้าหมายสูงสุดในชีวิตให้ชัดเจนว่าเราต้องการความสำเร็จอะไร เมื่อไหร่ เช่น ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเมื่ออายุ 35 ปี ต้องการเป็นนักการเมืองเมื่ออายุ 40 ปี หรือต้องการมีเงินเก็บสัก 10-20 ล้าน ภายใน 10 ปี ฯลฯ คนหลายคนมักจะบอกว่า ไม่รู้จะกำหนดเป้าหมายชีวิตได้อย่างไร จะเริ่มต้นที่ไหน ผมขอแนะนำว่าการกำหนดวิสัยทัศน์ของชีวิตสามารถกำหนดได้ 2 ลักษณะคือ
ก) กำหนดจากความฝันของเราเอง ความฝันของเราอาจจะเกิดจากแรงดลใจบางอย่างในชีวิต หรือเกิดจากความยากลำบากในชีวิต เช่น บางคนฝันอยากทำงานมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็ก เพราะเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน
ข) กำหนดแบบอย่างความสำเร็จของผู้อื่น โดยเราอาจเลือกคนมาเป็นตัวอย่างเพื่อสร้างเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ให้กับตัวเอง หรืออาจจะกำหนดความสำเร็จของคนหลายคนรวมกันก็ได้ เช่น เราอยากเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จเหมือนนักเขียนบางคน หรือเราอยากเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กเหมือนเจ้าของธุรกิจบางคนที่ประสบความสำเร็จ
วิสัยทัศน์ของชีวิตเปรียบเสมือนดวงดาวบนท้องฟ้าที่ถึงแม้จะอยู่ห่างไกล แต่ก็สามารถสร้างพลังแสงสว่างให้กับเราได้ ในขณะเดียวกันวิสัยทัศน์ก็เปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำพาชีวิตเราไปสู่ทิศทางที่ต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาหลงทาง คนที่กำหนดวิสัยทัศน์ของชีวิตได้ชัดเจนย่อมได้เปรียบคนอื่นอย่างแน่นอน เพราะในแต่ละย่างก้าวของชีวิตย่อมเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมาย และคงไม่ปล่อยให้ชีวิตก้าวออกนอกเส้นทางไปสู่เป้าหมายอย่างเด็ดขาด
2. วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง (SWOT Analysis)
เมื่อเรามีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนแล้ว เราก็ต้องกลับมาวิเคราะห์ตัวเราเองว่า ชีวิตเราส่วนไหนบ้างที่เป็น จุดแข็งจะสามารถนำพาเรา ไปสู่ จุดหมาย ที่กำหนดไว้ได้ มีจุดไหนบ้างที่เรายังต้องพิจารณาปรับปรุงเพื่อลดปัญหาอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทาง เช่น เราต้องการเป็น เจ้าของธุรกิจที่ค้าขายกับต่างประเทศทุกภูมิภาคทั่วโลก จุดแข็ง (Strengths) ของเราก็คือเรามีเงินลงทุนเพียงพอ เคยทำธุรกิจครอบครัว มาก่อน แต่จุดอ่อน (Weaknesses) ของเราคือ เราใช้ภาษาต่างประเทศไม่เก่ง หรือไม่ค่อยเข้าใจ วัฒนธรรมของ คนต่างชาติ
ในขณะเดียวกันเราก็คงจะต้องวิเคราะห์ว่าชีวิตของเรามีสภาพแวดล้อมภายนอกอะไรบ้างที่เอื้ออำนวย (Opportunities) และเป็นอุปสรรค (Threats) ในการเดินทางไปสู่จุดหมาย เช่น เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้าช่วยให้เราสามารถขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตได้ แต่เราจะต้องประสบกับปัญหาการกีดกันทางการค้าจากประเทศตะวันตกโดยเงื่อนไขทางการค้าหรือมาตรฐานสากลประเภทต่างๆ
การวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง โอกาสและปัญหาอุปสรรคในชีวิตนั้น จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง ยอมรับจุดบกพร่องของตัวเอง และพร้อมที่ จะพัฒนาให้ถูกต้องและเหมาะสมสอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตได้ ถ้าวิสัยทัศน์ของชีวิตคือ การเดินทางไปเชียงใหม่โดย รถยนต์ภายในเวลา 10 ชั่วโมง การวิเคราะห์ SWOT ของชีวิตก็เปรียบเสมือนการตรวจสภาพของรถยนต์ว่าสามารถวิ่งทางไกลได้หรือไม่ เครื่องร้อนเร็วหรือช้า ทำความเร็วได้กี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งขึ้นเขาได้หรือไม่ มีส่วนไหนของรถที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาระหว่างทางได้บ้าง รวมถึง การวิเคราะห์ว่าเส้นทางที่เราไปนั้นมีบ้านคนมากหรือไม่ มีปั๊มน้ำมันมากหรือน้อย โอกาสที่ฝนจะตกมีมากหรือไม่
3. กำหนดปัจจัยสู่ความสำเร็จ (Critical Success Factors)
การกำหนดปัจจัยสู่ความสำเร็จหมายถึง การกำหนดว่าอะไรคือตัวที่สำคัญที่สุดที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ เช่น เราต้องการเป็นเจ้าของกิจการ ปัจจัยสู่ความสำเร็จอาจจะประกอบด้วย
· เงินลงทุน เพราะถ้าเราไม่มีเงินเราคงเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้
· ความรู้ด้านการจัดการ เราในฐานะเจ้าของกิจการจะต้องมีความรู้ในธุรกิจนั้นๆ เพียงพอ
· ลูกค้า เราต้องมีกลุ่มลูกค้าที่สนับสนุนสินค้าหรือบริการของเรา
· บุคลากร ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการทำงานให้กับเรา
· เทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้เรามีความได้เปรียบในการแข่งขัน
แต่ถ้าเป้าหมายชีวิตของเราคือ การเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง ปัจจัยสู่ความสำเร็จคือ
· ความรู้ เพราะถ้าขาดความรู้คงไม่สามารถเขียนหนังสือหรือบทความได้
· เทคนิคการเขียน เป็นศิลปะการเขียนที่มีเอกลักษณ์ช่วยเพิ่มสีสรรให้กับสิ่งที่เขียน
· ผู้อ่าน เป็นผู้ที่บ่งบอกว่างานเขียนของเราประสบความสำเร็จหรือไม่
· ประสบการณ์ คือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราก้าวไปสู่เส้นทางนักเขียน
เราจะเห็นว่าการมีวิสัยทัศน์เป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จนั้น ถึงแม้เงินลงทุนจะมีความจำเป็นแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จที่สำคัญ ไม่เหมือนกับการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ดังนั้น การกำหนดปัจจัยสู่ความสำเร็จในชีวิตนี้ จะช่วยให้เรามองเห็นความในชีวิตนี้ เราจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งใดมาก ให้ความสำคัญกับสิ่งใดน้อย จะช่วยให้เราสามารถจัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้อย่างดียิ่งขึ้น เราจะเห็นว่าปัจจัยสู่ความสำเร็จของนักกีฬาส่วนมากต้องประกอบด้วยการมีสุขภาพที่แข็งแรง ดังนั้น การดูแลสุขภาพจึงเป็น เรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับความสำเร็จประเภทนี้ ในขณะที่ความสำคัญอันดับแรกๆของคน ที่เป็นนักเขียนคือการแสวงหาความรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา
4. กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (Strategic Aim)
เมื่อทราบเป้าหมายสูงสุดของชีวิตและทราบจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองแล้ว ก็ต้องเริ่มกำหนดเป้าหมายในเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าต้องการเป็นเจ้าของกิจการ เราจะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 1 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเรามีเงินทุนเพียง 5 แสนบาท เราหลือเวลาอีก 5 ปีในการหาเงินทุนให้ครบ ดังนั้น เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในแง่ของเงินทุนเราคือ 5 แสนบาทภายใน 5 ปี
การกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์ให้กับชีวิตในแต่ละด้าน จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้นว่าปัจจัยตัวไหนที่ยังอยู่ห่างจากเป้าหมาย ปัจจัยตัวไหนที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของการไปสู่เป้าหมายได้ง่ายขึ้น เช่น เป้าหมายทางด้านเงินทุนไม่ค่อยยากนักเพราะมีเวลาเก็บเงินอีกหลายปี แต่เป้าหมายทางด้านความรู้และประสบการณ์ในการจัดการทางธุรกิจ เราอาจจะยังห่างจากเป้าหมายอยู่มาก ดังนั้น พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของเราก็จะต้องทุ่มเทเวลา ในการหาความรู้และประสบการณ์มากกว่าการหาเงินทุน
5. กำหนดทางเลือก (Strategic Option)
ในแต่ละเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ย่อยๆ ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น เป้าหมายด้านเงินทุน เป้าหมายด้านความรู้และประสบการณ์ เราจะต้องกำหนด ทางเลือกขึ้นมา เพื่อให้มีความเหมาะสมกับตัวเราให้มากที่สุด เช่น เป้าหมายย่อยทางด้านเงินทุน เราอาจจะกำหนดทางเลือก ในการหาเงินลงทุนดังนี้
· กู้เงินจากสถาบันการเงิน เงื่อนไขคือเราต้องมีหลักทรัพย์หรือการค้ำประกัน
· กู้ยืมเงินจากญาติพี่น้อง เงื่อนไขคือญาติพี่น้องเรามีเงินหรือไม่ เขาไว้ใจเราหรือไม่
· เก็บสะสมเงินด้วยตัวเอง เงื่อนไขคือต้องใช้เวลานาน
· ระดมทุนจากหุ้นส่วน เงื่อนไขคือ กิจการนั้นต้องมีผู้ถือหุ้นหลายคน
คนหลายคนที่มักจะตายน้ำตื้นก็คือมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน วิเคราะห์ตัวเองดี มีการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ไว้อย่างดี แต่พอมาถึง การหาทางเลือก คิดไม่ออก ไม่สามารถหาทางเลือกให้กับตัวเองได้ เพราะคนส่วนมากมักจะคิดในเชิงลบ เช่น คงไม่ไปไม่ได้หรอก เพราะต้องลงทุนเป็นล้าน คงจะยากนะที่จะไปขอกู้เงินเพราะเราไม่มีหลักทรัพย์ คนประเภทนี้มักจะตัดสินความคิดของตัวเองด้วยตัวเอง ทั้งๆที่บางคนคิดอาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ถ้าเราได้ลองลงมือทำจริงๆ เราต้องทดลองทำก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าใช่หรือไม่ใช่
เราคงเคยได้รับทราบประวัติของเจ้าของธุรกิจบางคนที่เริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีเงิน แต่มีความพยายาม มีความขยัน มีความสุจริต มีน้ำใจ วันหนึ่งสิ่งใดๆที่เขาเคยทำในอดีตอาจจะส่งผลต่อการแสวงหาทางเลือกของเขาได้ เช่น มีชายคนหนึ่งยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เดินไปขอกู้เงินที่ไหนก็ไม่มีใครให้เพราะไม่มีหลักทรัพย์อะไรเลย จนมาวันหนึ่งเขาเดินไปขอกู้เงินที่ธนาคารๆหนึ่ง พอเข้าไปคุยกับผู้จัดการแล้ว ผู้จัดการท่านนั้นไม่ได้ให้เขากู้เงิน ธนาคารหรอก แต่ให้เขากู้เงินส่วนตัวของเขาเอง เพราะเมื่อหลายปีก่อนผู้จัดการธนาคาร ผู้นี้เคยประสบอุบัติเหต ุเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ได้ชายคนนี้ช่วยเหลือไว้
จากเรื่องนี้ผมอยากให้ทุกคนคิดอยู่เสมอว่าทุกเส้นทางที่เราต้องการจะไปถึงนั้น มีทางออกอยู่เสมอ เพียงแต่ทางออกสำหรับชีวิตของเราเอง อาจจะแตกต่างจากคนทั่วไป อาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเบื้องหน้าและเบื้องหลังชีวิตของคนแต่ละคน จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่า ไม่ใช่คนทุกคนจะได้รับเงินกู้จากผู้จัดการธนาคารคนนี้ บางคนอาจจะได้รับเงินกู้จากภรรยาผู้จัดการธนาคาร บางคนอาจจะได้รับเงินให้เปล่า จากคนบางคน บางคนอาจจะได้คนมาร่วมลงทุนก็เป็นไปได้ ดังนั้นจะขอให้ทุกคนเชื่อว่า “ทุกปัญหามีทางออกเสมอ” แต่จะต่างกันตรง ที่มีความยากง่าย เร็วหรือช้าเท่านั้น
6. กำหนดแผนกลยุทธ์ (Strategic Plan)
เมื่อเราได้เลือกทางเลือกเชิงกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ไปแล้ว เช่น เราจะหาเงินได้โดยการเก็บออมด้วยตนเอง เราจะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม โดยการศึกษาต่อปริญญาโทการบริหารธุรกิจ เราจะหาประสบการณ์โดยเข้าไปทำงานกับธุรกิจครอบครัวที่เป็นมืออาชีพ เราจะอ่านหนังสือ ด้านการทำธุรกิจแบบมืออาชีพให้มากขึ้น เราต้องนำเอากลยุทธ์ในแต่ละด้าน มาจัดทำเป็น แผนเชิงกลยุทธ์ว่าในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต เราจะทำอะไรก่อนหลัง อะไรที่ทำควบคู่กันไปได้ พูดง่ายๆก็คือการเอาสิ่งต่างๆมาจัดทำตารางการดำเนินชีวิตให้ชัดเจนมากขึ้นว่าเราจะทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร นั่นเอง สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของชีวิตคือ ต้องมีแผนสำรอง (Contingency Plan) กรณีที่แผนที่วางไว้ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ
7. นำไปปฏิบัติตามวงจร PDCA
เมื่อเรากำหนดแผนงานชีวิตไว้เรียบร้อยแล้ว (Plan) จึงจะลงมือนำไปปฏิบัติจริง (Do) จะต้องมีการตรวจสอบเป็นระยะๆ ว่าสิ่งที่ได้ลงมือทำไปนั้น เป็นไปตามแผนและเป้าหมายหรือไม่ (Check) หลังจากนั้นถ้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุง ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย (Action) ซึ่งเราจะต้องคำนึงถึงวงจรนี้อยู่ตลอดเวลา วงจร PDCA นี้ใช้ได้ทั้งวงจรของแผนใหญ่ของชีวิต และแผนสนับสนุนย่อยๆ เช่น แผนด้านการเงินก็ต้องใช้ PDCA แผนด้านการหาความรู้เพิ่มเติม ก็ต้องใช้วงจร PDCA เช่นเดียวกัน
จากแนวทางดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงจะสามารถจุดประกายให้ท่านผู้อ่านได้ลองหยุดคิดพิจารณาดูนิดหนึ่งว่า ชีวิตของเราได้ถูกกำหนดไว้เป็นระบบ และเป็นขั้นเป็นตอนหรือไม่ ทำไมเราจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ของชีวิตได้ เป็นเพราะเรา วางแผนธุรกิจชีวิตไว้ก่อนล่วงหน้าดี หรือเพราะดวงชะตาฟ้าลิขิต หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ แล้วช่วงเวลาแห่งชีวิตที่ยังเหลืออยู่ เราจะยังคงใช้วิธีการเดิมๆเดินไปสู่จุดหมายหรือเราจะต้องกำหนดแผนกลยุทธ์ชีวิตเสียใหม่ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ และไม่จำเป็นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เราต้องเชื่อมั่นเสมอว่าผู้ที่วางแผนชีวิตได้ดีกว่า ย่อมมีโอกาสไปสู่เส้นชัยเหนือคนอื่นมากกว่าอย่างแน่นอน
Source : ดร.ก้องเกรียรติ โอภาสวงการ
Relationship
· การปรับปรุงตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
· วิธีจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามความคิดของเรา
· วิธีปฏิบัติ 6 ประการ เพื่อทำให้ผู้อื่นชอบท่าน
· วิธีปฏิบัติ 12 ประการ เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน
· วิธีปฏิบัติ 9 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น โดยไม่ให้มีความรู้สึกบาดหมางขุ่นเคือง
· จิตวิทยาของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน
· การบริหารความขัดแย้ง (Conflict Management) 1
· การบริหารความขัดแย้ง (Conflict Management) 2
· ทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น
· วิธีชนะมิตรและจูงใจคน ของ เดล คาร์เนกี
· การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ Business to business networking
· ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล Interpersonal
· 9 วิธี เป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่มีความสุข
· คู่มือสะกดใจคน Get Anyone to do Anything
· วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคน
· กลยุทธ์ชนะใจคน Dealing with difficult People
Leadership
· 7 ประเภทนักบริหารสู่ความสำเร็จหรือล่มสลาย
การปรับปรุงตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
· Tab 1
การปรับปรุงตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
แนวทางในการปรับปรุงตนเองเพื่อให้เกิดความราบรื่นใรการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลทั่วไปนั้น ได้มีผู้ให้ทัศนะไว้หลากหลาย ดังจะได้นำเสนอให้เลือกพิจารณา ใช้เป็นแนวคิดดังต่อไปนี้
โรเบิร์ต คอลคลิน (Robert conclin) ได้เสนอความคิดในการปรับปรุงตนเองไว้ดังนี้ (“พลวัต” 2531:1)
1. ให้สิ่งที่คนอื่นอยากได้
2. เปลี่ยนแปลงตัวคุณเองก่อน
3. สร้างความประทับใจกับความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์
4. จูงใจคนให้เป็น
5. จงขจัดความขัดแย้ง และความบาดหมางออกจากสัมพันธภาพ
6. สร้างความอดกลั้นและความพยายามเข้าใจผู้อื่น
7. รู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี
8. จงมองผู้อื่นให้ถูกต้อง มองปัญหาให้ถูกจุด
วิจิต อาวะกุล (วิจิตร อาวะกุล 2526 : 64-65) ได้กล่าวถึงการปรับปรุงตนเองเพื่อ มนุษยสัมพันธ์ไว้ดังต่อไปนี้
1. ท่านต้องมีความรู้สึก อยากคบหาสมาคมเป็นมิตรกับคน ถ้ายังไม่มีต้องสร้างสิ่งนี้ให้
เกิดขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายพูดคุยกับผู้อื่นเสียบ้าง
2. หัดมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยที่เขาไม่ต้องขอร้อง เช่น ช่วยถือของ
รับโทรศัพท์ให้เพื่อนด้วยความเห็นใจ อย่าเป็นคนใจดำ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
3. ไม่ตระหนี่ แบ่งปันของให้กับเพื่อนแม้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ
4. มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน หรืองานที่ทำร่วมกันกับเพื่อนให้ได้ดี
5. เลิกเป็นคนแข็งกระด้าง เพื่อความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกิดความประทับใจ และชอบ
พอของคนทั่วไป
6. มีความเกรงใจผู้อื่น ไม่ล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น เอาเปรียบเพื่อนเอาแต่ได้ มิได้นึกถึงผู้อื่น
หยาบคาย ไร้มารยาท
7. หัดเป็นคนให้ความร่วมมือ ในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เฉพาะประโยชน์
ส่วนตัวจึงจะทำ
8. ต้องไม่เลือกคบเลือกพูดกับคนบางคนเท่านั้น แต่ควรจะทักทายพูดคุย กับคนทั่วไป
9. หลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ไม่จำเป็น ถ้าเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นก็ควรปลีกตัวหนีไปเสีย
จะดีกว่า
10. หัดเป็นคนคิดก่อนพูด ก่อนการกระทำเสมอ
11. หัดตรงต่อเวลาในการนัดหมาย ท่านเคยผิดนัดกับใครบ้างหรือไม่ สายเป็นประจำจน
คนอื่นรำคาญหรือเปล่า
12. มีความจริงใจ มีความสัตย์จริงต่อเพื่อน และมิตรสหาย อย่าเป็นคนไม่น่าไว้ใจหรือไว้
ใจไม่ได้
13. ไม่รับของเพื่อฝ่ายเดียว ท่านต้องให้ตอบแทนเขาบ้างเมื่อท่านมีโอกาส และท่านต้องไม่
เอาเปรียบเพื่อน คอยแต่กอบโกยผลประโยชน์จากเพื่อน
14. ไม่พูดจาหยาบคาย กระด้าง ห้วย กระโชก แต่ต้องพูดสุภาพ หัดพูดมีหางเสียงเสียบ้าง
กิริยาควรสุภาพเรียบร้อย
15. เป็นผู้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการงานส่วนรวมของที่ทำงานอยู่เสมอ
16. ไม่นินทาผู้อื่น ให้ร้ายป้ายสีผู้อื่นลับหลังแต่ต่อหน้าทำดี
17. อย่าเป็นคนโหดร้าย ทารุน แต่ควรมีความกรุณาปราณี
วิทยา เทพยา (วิทยา เทพยา 2521 : 17) ได้เสนอแนวทางการปรับปรุงตนเองในด้านทั่วไป ด้านเจตคตินิสัยในการทำงาน และมารยาทในสำนักงานไว้ดังนี้
· Tab 2
การปรับปรุงตนเองทั่ว ๆ ไป
1. ต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี
2. ต้องเป็นผู้แต่งกายเรียบร้อย เหมาะสม และสวยงาม
3. ต้องรักษาความสะอาดของร่างกาย และเครื่องแต่งกาย
4. การปรากฏตน และการวางตนให้เหมาะสม
5. การพูดจาและน้ำเสียง
6. มีความซื่อสัตว์ และภักดี
7. ความขยันหมั่นเพียร และไว้วางใจได้
8. เป็นผู้สุภาพอ่อนน้อม และมีไหวพริบ
9. การรู้จักเคารพยำเกรงผู้ที่ควรเคารพ รับฟังการติชม คำวิพากษ์วิจารณ์ และคำแนะนำจากผู้อื่น
10. ให้ความร่วมมือกับผู้อื่น
11. มีความร่วมมือกระตือรือร้น และมานะในทางดี
12. สามารถที่จะสมาคมกับบุคคลทุกประเภท
13. มีความไว้วางใจ
เจตคติอันพึงประสงค์
1. ยิ้มแย้มแจ่มใส และมีอัธยาศัยไม่ตรีที่ดี
2. ให้ความร่วมมือและไว้วางใจได้
3. มีความคิดริเริ่ม และรู้จักรับผิดชอบ
4. ทำงานได้ดีเกินคาด
5. รักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีในการปฏิบัติงาน
6. ความภักดีต่องานและต่อนายจ้าง
7. ความซื่อสัตย์
8. ความเข้าใจในแง่คิดของผู้อื่น เช่นผู้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงาน
9. การรู้จักฟัง
นิสัยในการทำงานอันพึงประสงค์
1. มาทำงานทันเวลา
2. ความเป็นระเบียบ และความเรียบร้อย และระมัดระวังเครื่องมือเครื่องใช้
3. ความแม่นยำ
4. ตรวจก่อนจะให้ผ่านไป
5. ทำงานให้เสร็จทันกำหนด
6. ทำงานที่ควรทำก่อน ต้องทำก่อน
7. ประหยดเวลาและวัสดุ
8. รายงาน และแก้ไขข้อผิดพลาด แทนที่จะปิดบังอำพราง
9. ถาม และตอบอย่างชัดเจน
· Tab 3
วิธีศึกษาเพื่อให้เข้าใจผู้อื่น
การศึกษาผู้อื่นให้เกิดความพอใจ เป็นวิธีการของวิชามนุษย์สัมพันธ์ที่สำคัญประการหนึ่ง เราอาจศึกษาผู้อื่นได้จาก ภาษาพูด และท่าทาง โดยยึดหลักดังนี้
1. พิจารณาจากใบหน้า เช่น ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หน้าบึ้ง หน้าแดง
2. พิจารณาจากสายตา เช่น ถ้ามองคนในระดับสายตา ถือว่าปกติ มองในระดับต่ำกว่า
สายตา จ้องตา หลบตา ถือว่ามีความในใจผิดปกติ
3. พิจารณาจากบุคลิก เช่น มือสั่น หายใจแรง ผุดลุกผุดนั่ง หรือสงบ เคร่งขรึม เย็นชา การ
พูดด้วยเสียงปกติ หรือรีบร้อน
4. พิจารณาจากเจตนา เช่น พฤติกรรมบางอย่าง ปิดประตูเสียงดังเพราะโกรธหรือไม่ตั้งใจ
พูดเสียงแข็ง เยาะเย้ยหรือล้อเล่น มาทำงานสายเพราะเบื่อหน่าย มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือเพราะไม่สบาย
วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่น เพื่อเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์
การปฏิบัติต่อผู้อื่นเพื่อเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์นั้น ควรปฏิบัติด้วยความเข้าใจ ในลักษณะ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” และต้องศึกษาเพื่อทำควาวเข้าใจถึงธรรมชาติของความแตกต่าง ระหว่างบุคคล โรเบอร์ต เฮช. ลอสัน (Robert H> Lorson) ได้แบ่งมนุษย์ออกเป็น 5 ประเภท และได้เสนอแนะวิธีปฏิบัติกับบุคคลแต่ละประเภท ไว้ดังนี้
1. พวกดื้อรั้น เป็นพวกที่ชอบคัดค้าน ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง และจะแสดงความไม่พอใจเมื่อให้ปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
วิธีปฏิบัติ - ใช้คำสั่งเชิงขอร้องก่อนที่จะใช้อำนาจสั่งให้ปฏิบัติ
- ไม่ควรพยายามชี้ให้เขายอมรับความผิด แต่ควรชี้ให้เห็นผลประโยชน์
ของ
ส่วนร่วม และความยุติธรรม
- เมื่อเขาให้ความร่วมมือในเรื่องใดเรื่องหนึ่งควรถือโอกาสชมเชยทันที
- พยายามให้กำลังใจช่วยให้เขาแสดงความสามารถเชิงปฏิบัติออกมา
2. พวกเฉื่อยชา เป็นพวกที่คิดแล้วคิดอีก และเสียเวลานานกว่าจะตัดสินใจทำอะไร
วิธีปฏิบัติ - เวลาออกคำสั่ง ควรพูดช้า ๆ ให้คำง่าย ๆ และชัดเจน อาจต้องทวนคำสั่ง
ด้วยและให้เวลาในการปฏิบัตินานพอสมควร
- ต้องทำให้เขารู้สึกว่ามีความสำคัญ และได้รับความเห็นใจ
- ให้คำชมเชยยกย่องการปฏิบัติของเขาโดยเร็วเพื่อให้กำลังใจ
- แสดงท่าทีเป็นมิตร และชี้ข้อบกพร่องอย่างตรงไปตรงมา และให้เวลา
พอสมควรในการปรับปรุงแก้ไข
- อธิบายเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้ชัดเจน และให้เขาได้ซัก
ถามจนเข้าใจแจ่มแจ้ง และพอใจ
3. อารมณ์อ่อนไหว เป็นประเภทที่เห็นเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ถูกกระทบไม่ได้โมโหง่ายและไม่พอใจเมื่อถูกสั่งให้ทำ
วิธีปฏิบัติ - เอาใจใส่เขาในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ความเห็นอกเห็นใจ และให้เขาได้ระบายความในใจ
- ให้คำชม หรือ คำเยินยอให้มากแล้ว จะได้รับความร่วมมือที่ดี รวมทั้งพยายามส่งเสริมจุดเด่น ชี้แจงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงให้เขาหายสงสัย
4. พวกขลาดกลัว เป็นพวกขี้อาย ไม่ค่อยมีความคิดริเริ่ม ไม่ค่อยกล้าซักถาม และเมื่อไม่พอใจก็ไม่แสดงออก
วิธีปฏิบัติ - อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน และทวนคำสั่งเสมอ
- คอยสังเกตความผิดปกติเพื่อให้รู้ว่าไม่พอใจสิ่งใด และให้โอกาสเปิดเผยความในใจ
- รีบชมเชย ยกย่อง เมื่อเขาแสดงความคิดริเริ่มที่เป็นประโยชน์
- พยายามไม่เอ่ยถึงข้อบกพร่องและความผิดพลาด แต่ควรพูดจาให้เขารู้สึกสบายใจ และชี้แจงถึงการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
5. พวกกล้าแสดงออก (กล้าแข็ง) เป็นพวกที่กล้าพูด กล้าโต้เถียง ถือความคิดตนเองเป็นครั้งคราวอาจขาดความรอบคอบในการทำงานต้องตรวจสอบอยู่เสมอ
วิธีปฏิบัติ - ใช้การขอร้องแทนการออกคำสั่ง และแสดงความเชื่อมั่นในตัวเขา แต่บางครั้งอาจขาดความรอบคอบในการทำงานต้องตรวจสอบอยู่เสมอ
- อาจต้องรับฟังเรื่องต่าง ๆ ที่เขาร้องเรียนบ่อย ๆ ควรใช้คำพูดเชิงเห็นใจ แต่อย่าชมเชยพร่ำเพรื่อ ยกเว้นงานที่เด่นจริง ๆ
- การชี้แจงเหตุผล และข้อเท็จจริงกันแบบตัวต่อตัวจะได้ผลดี เพราะเขาเป็นบุคคลประเภทไม่ค่อยยอมรับความจริง
- ใช้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงได้เพราะเป็นพวกที่ปรับตัวได้รวดเร็ว
· Tab 4
กลวิธีการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
การสร้างมนุษยสัมพันธ์ทำได้หลายวิธีและควรกระทำด้วยวิธีต่าง ๆ ทำไปพร้อม ๆ กันให้เหมาะสมกับสถานการณ์เวลาและบุคคล กลวิธีสร้างมนุษยสัมพันธ์ มีหลักการดังนี้
1. สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตนเอง
การสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตนเอง เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เกิดความคิดที่มุ่งมั่น ยินดี และเต็มใจที่จะสร้างแต่สิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้น ความรู้สึกที่ดี ๆ ของคนเรานั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เรามีแนวคิดที่ดี เช่น แนวคิดดังต่อไปนี้
- ถ้าทำให้คนอื่นได้รับความสุข เราก็จะมีความสุขด้วย
- จงเชื่อมั่นว่าท่านทำได้ แล้วท่านจะทำได้
- เตรียมพร้อมสำหรับวันข้างหน้าทำในสิ่งที่ถูก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
- ถ้าเราให้สิ่งทีดี ๆ กับคนอื่น เราก็จะได้รับสิ่งที่ดี ๆ เช่นกัน
2. ใช้เทคนิคการสนทนาเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
การสนทนา คือ การติดต่อสื่อสารความหมายกับบุคคลอื่น การสนทนาที่ดีจะทำให้ใช้ชีวิต
อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เทคนิคการสนทนาเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์มี 4 ประการ คือ
2.1 การสนทนาให้เกิดความอุ่นใจ (Rapport) แบ่งเป็น 3 ประการ คือ
1) ใช้ภาษาพูดและภาษาท่าทาง ได้แก่ การทักทาย หยอกล้อ จับแขน จับมือ แตะไหล่
2) ใช้คำพูดชมเชย เช่น ชมสิ่งของ เสื้อผ้า เครื่องประดับ บ้าน รถยนต์
3) ใช้คำพูดถามถึงครอบครัว เช่น ถามทุกข์สุข ลูกหลาน พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
การสนทนาให้เกิดความอบอุ่นใจ ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น ที่สำคัญจะต้องใช้สายตาที่แสดงถึงความสนใจและจริงใจประกอบไปด้วยเสมอ
2.2 การใช้คำถาม (Asking skill)
การใช้คำถามเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาเพื่อเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ หลักการใช้
คำถาม มีดังนี้
1) ถามถึงความสามารถที่เป็นจุดเด่น หรือความสำเร็จของเขา เช่น เรื่องการเล่นกีฬา การประกอบอาชีพ
2) ถามถึงเรื่องที่น่าสนใจ กำลังเป็นข่าวอยู่ในเวลานั้น เช่น ข่าวการขึ้นการฉลองปีใหม่ ข่าวการเมือง
3) ถามทุกสุขเพื่อให้เขาได้ระบายหรือเล่าเรื่องต่าง ๆ คำถามในข้อนี้ ใช้สำหรับคนที่สนิทสนมกันจริง ๆ เท่านั้น
2.3 การฟัง (Listening Skill)
หลักการฟังที่ดีมีดังนี้
1) เงียบ เพื่อให้ผู้พูดได้พูดเต็มที่
2) ผงกศรีษะ เพื่อให้รู้ว่าเราสนใจ และตั้งใจฟัง
3) เปล่งเสียงรับ เช่น ฮือ, หือ, อ๋อ, อ้อ
4) ตอบรับ เช่น ใช่… ค่ะ, ครับ, ต่อไป
5) แสดงสีหน้าท่าทางประกอบ เช่น หัวเราะ ยิ้ม ทำหน้าเศร้าแสดงแววตาฉงนสนเท่ห์
2.4 การทวนคำพูด (Restatement)
การทวนคำพูดเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในการสนทนา ช่วยให้ผู้พูดรู้ว่าเราสนใจฟัง
เรื่องที่เขาพูดมาโดยตลอด หลักการทวนคำพูด มีดังนี้
1) ทวนคำพูดทุกคำ แต่เปลี่ยนสรรพนาม เช่น เขาพูดว่า “ผมอยากไปพักผ่อนสัก
ระยะ” จะทวนว่า “คุณอยากไปพักผ่อนสักระยะใช่ไหม
2) ทวนคำพูดท้ายประโยค เช่น เขาพูดว่า “ผมกลุ้มใจเรื่องเพื่อนในที่ทำงาน” จะทวน
ว่า “เพื่อนในที่ทำงาน” หรือ “เพื่อนเหรอ”
การทวนคำพูดทั้ง 2 แบบ จะต้องรู้จักเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสม อย่าใช้พร่ำเพรื่อ เพราะจะทำให้ถูกมองว่าเป็นคนพูดซ้ำ พูดตาม หรือ ล้อเลียนผู้อื่น
3. ใช้หลักการสนทนาเพื่อช่วยเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์
การสนทนา ที่ทำให้คู่สนทนาเกิดความรู้สึกที่ดี สบายใจ สนุกสนาน และพอใจที่จะสนทนากับเรา ควรยึดหลักดังต่อไปนี้
1.1 แสดงสีหน้าท่าทาง การยิ้ม การทักทาย เพื่อสื่อความหมายว่าเป็นมิตร
1.2 ให้ความสนใจกับเรื่องที่กำลังสนทนาด้วยความจริงใจ
1.3 ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ขัดจังหวะ ไม่ขัดคอ และไม่ทำท่าทางเหมือนซุบซิบนินทา
1.4 แสดงความรู้ของตนเองบ้าง แต่ระวังอย่าให้กลายเป็นการอวดรู้ จะทำให้ผู้ฟังกระอัก
กระอ่วนใจ หรือความหมั่นไส้
1.5 ไม่ทำตัวเป็นคนเจ้าปัญหา ถามปัญหาสารพัน หรือถามแบบสอดรู้จนคู่สนทนเกิด
ความรำคาญ
1.6 ไม่ควรเจาะจงสนทนากับใครคนหนึ่ง แต่ควรสนทนากับทุก ๆ คนและพยายามให้การ
สนทนาลงรอยกันไม่ให้เกิดความเครียดหรือความขัดแย้งใด ๆ
4. ใช้ศิลปะในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
ศิลปะง่าย ๆ ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
4.1 มีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
4.2 มีความสดชื่นรื่นเริง
4.3 ไม่เห็นแก่ตัว
4.4 มีความเยือกเย็น
4.5 มีความสม่ำเสมอ
4.6 รับฟังผู้อื่น
4.7 ทำตัวง่าย ๆ ไม่เป็นกันเอง
4.8 เป็นคนเปิดเผย
4.9 มีความอดทน
4.10 สุภาพอ่อนโยน
4.11 มีความเมตตากรุณา
4.12 ทักทายผู้อื่นก่อน
4.13 จำชื่อผู้อื่นให้ได้มากที่สุด
4.14 ตอบรับเมื่อได้รับคำชม
4.15 มีอารมณ์ขัน
4.16 มีความจริงใจ
วิธีจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามความคิดของเรา
· Tab 1
วิธีจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามความคิดของเรา
1. อย่าโต้แย้ง หรือ โต้เถียง โดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม
o ถ้าไม่มีหน้าที่ อย่าไปพิสูจน์ว่าผู้อื่นผิด
o หลังการโต้เถียงต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่าตนถูกมากกว่าเดิม และจะรู้สึกเสียหน้าถ้าต้องเปลี่ยนความคิดเห็น
o คนโดยทั่วไปจะไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อเรื่องใดๆ ถ้าเขาต้องเชื่อเพราะถูกบังคับให้เชื่อในเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่แรก
o การโต้แย้ง เปลี่ยนใจมนุษย์ไม่ได้
o มิตรภาพ/ความรู้สึกที่ดี จะไม่มีวันเกิดขึ้นหลังการโต้เถียง
2. เคารพความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้าม อย่าบอกว่าเค้าผิด
o ถ้าต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากเขา อย่าบอกให้เขารู้ตัวล่วงหน้า เช่น
อย่าพูด “ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า สิ่งที่คุณพูดไม่ได้เรื่องหรือผิด” ควรพูด” เรื่องนี้ผมคิดอย่างนี้ ซึ่งอาจจะผิดก็ได้
o นักวิทยาศาสตร์ จะไม่พยายามพิสูจน์สิ่งใดๆ เพียงแต่หาข้อเท็จจริงมาเผยแพร่เท่านั้น
o ไม่มีมนุษย์คนใดชอบฟังความจริง ที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาด หรือ ความล้มเหลวของเขา
3. ถ้าทำผิด ให้รีบผิดทันที โดยไม่มีข้อโต้แย้ง+เตรียมใจ รีบตำหนิตัวเองอย่าแก้ตัว จะทำให้ลดแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามได้มาก
4. เริ่มต้นสนทนาด้วยมิตรไมตรีที่ดี
o ถ้าเขายังโกรธเราอยู่ ไม่ว่าเราจะพูดอะไร เขาจะไม่เชื่อ ไม่ฟัง
o แสดงให้เขาเห็นว่า เรามีเจตนาที่ดีต่อเขา ต้องการช่วยเขา ด้วยใจจริง
o ปรึกษาหารือกันว่า ทำไมเราจึงเห็นขัดแย้งกัน ประเด็นปัญหาคืออะไร
5. ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับ คำว่า ใช่ ,ถูก, ครับ ในทันทีที่เริ่มสนทนา
o เทคนิคของ Socrates
o เลือกเรื่องง่ายๆที่เป็นความจริงของเรื่องที่จะสนทนาที่จะพูดก่อน
6. พูดให้น้อย ฟังให้มาก
o ในบางกรณี การฟังจะได้ประโยชน์มากกว่า สร้างศัตรูได้น้อยกว่าการพูด
o ผู้ประสบความสําเร็จส่วนมากชอบระลึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนในอดีต
o ไม่มีใครอยากฟังเราโม้ถึงความสำเร็จของเรา ควรถ่อมตนจะดีกว่า
7. ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าความคิดที่เราเสนอ แท้ที่จริงเป็นความคิดของเขาแต่ลืมไป หรือ เป็นความคิดของเราแต่ให้เขาพิจารณาใคร่ครวญตัดสินใจเอง
o ไม่มีใครมีความสุขที่ต้องทำอะไรเพราะความคิดของคนอื่น ถูกสั่งให้ทำ
o คนทั่วไปชอบที่จะให้คนอื่นมาพูดกับเขาว่า เขาต้องการอะไร คิดอย่างไร
o พยายามพูดย้ำโดยไม่ตั้งใจ เพื่อให้สิ่งที่พูดฝังอยู่ในใจของเขา เผื่อที่เขาจะได้นำมันมาคิดแล้วคิดอีกแล้วตัดสินใจตามเรา
8. พยายามอย่างสุจริตใจที่จะมองสิ่งต่างๆในแง่คิดของเขา
o คนฉลาด อดทน มีคุณสมบัติพิเศษ มีความเป็นผู้นำ เท่านั้นจึงจะทำได้
o ลองถามตัวเองว่า ถ้าเราตกอยู่ในฐานะเดียวกับเขา เราจะรู้สึกอย่างไร และจะแก้ปัญหาต่างๆอย่างไร
o ผลสำเร็จอันงดงามในการติดต่อกับผู้อื่น อาศัยหลักการของความเข้าใจแง่คิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
o ลองถามตัวเองว่า ทำไมเขาจึงทำอย่างนั้น ทำเพื่ออะไร มีอะไรเป็นมูลเหตุจูงใจซ่อนอยู่ภายใน
9. เห็นใจในความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ขีดจำกัด ของเขา
o แผ่เมตตา ให้อภัย ไม่อาฆาต
o เห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
10. ขอร้องด้วยการพูดด้วยเหตุผลว่า สิ่งที่เราเสนอดีกว่าของเขา แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขาเสนอไม่ดี
o ถ้าเราไม่มั่นใจว่า เขาเป็นคนอย่างไร ต้องสันนิฐานไว้ก่อนว่า เขาเป็นคนมีเกียรติ์ ซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติต่อเขาด้วยดี
o ทุกคนตีราคาคุณค่าของตัวเขาเองทุกคน
o ปล่อยให้เขาคิดและเปรียบเทียบ ตัดสินใจดำเนินการเลือกเอง
o คนแต่ละคนมีนิสัยต่างกัน ได้รับการอบรบสั่งสอน มีประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีวิธีการจัดการไม่เหมือนกัน
11. แสดงความคิดเห็นให้เป็นที่เร้าใจ มีพลัง และด้วยความกระตือรือร้น
o ใช้ถ้อยคำสุภาพ
o ยิ้มแย้มแจ่มใสขณะพูด
o ต้องเชื่อมั่นเต็มที่ว่า สิ่งที่เสนอนั้นสามารถปฏิบัติได้/ดีกว่าของเดิมจริง
12. หรือ ลองใช้วิธีการพูดท้าทายดูบ้าง เช่น
o สิ่งนี้เราเสนอนี้ คนที่เก่ง หรือ คนที่มีความสามารถเท่านั้นที่ทำได้ เราผู้เสนอมีเพียงความคิด แต่ไม่มีความสามารถ หรือ มีความชำนาญมากพอที่จะทำได้
o สิ่งที่จะทํานี้ไม่ง่าย แต่จากสิ่งที่ผ่านมาผมคิดว่าไม่เกินความสามารถของทุกคน
o สิ่งนี้คุณทำได้อยู่แล้ว ถ้าอยากจะทำ
o ผมไม่ตำหนิคุณหรอกที่คุณรู้สึกกลัว เพราะสิ่งนี้มันยาก ต้องใช้ความสามารถและความอดทนมาก คนเก่งๆเท่านั้นที่จะทําได้
วิธีปฏิบัติ 6 ประการ เพื่อทำให้ผู้อื่นชอบท่าน
· Tab 1
วิธีปฏิบัติ 6 ประการ เพื่อทำให้ผู้อื่นชอบท่าน
จงปฏิบัติตามนี้ แล้วจะมีผู้ต้อนรับท่านทุกหนทุกแห่ง
1. การผูกมิตรกับผู้อื่นจะสำเร็จเรียบร้อยภายในเวลา 2 เดือน ด้วยการเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อเขาผู้นั้น ซึ่งจะได้ผลยิ่งกว่าการผูกมิตรซึ่งใช้ เวลาถึง 2 ปี แต่ด้วยความพยายามให้เขาผู้นั้นเอาใจใส่ต่อเรา
2. บุคคลใดที่ละเว้นการเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่เพียงแต่เขาจะดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากความราบรื่น หากเขาจะเป็นมนุษย์ที่มี อันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้อื่นด้วย มนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ห่างไกลจากความก้าวหน้า และความรุ่งเรืองในประการทั้งปวง
3. ฉะนั้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น ขอเน้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น ถ้าท่านต้องการให้ผู้อื่นชอบท่าน
วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ผู้อื่นติดเนื้อต้องใจเมื่อแรกพบ
1. ท่านไม่มีความรู้สึกที่จะยิ้มเลยหรือ? เมื่อเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกจงบังคับตัวท่านให้ยิ้ม
จนได้ ถ้าท่านอยู่ คนเดียว จงบังคับตัวของท่านให้ผิวปาก หรือทำเสียงหึ่มๆเป็นทำนองเพลง หรือร้องเพลง ท่านจงทำกิริยา
ท่าทางเหมือนหนึ่งท่านกำลังมีความสุข และในที่สุด จะโน้มความรู้สึกของท่านให้มีความสุขจริงๆ
2. ความสุขมิได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายนอก แต่อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายในต่างหาก
- ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ท่านมี หรือท่านอยู่ในฐานะใด หรือท่านอยู่ที่ไหน หรือท่านกำลังกระทำสิ่งใดที่ช่วยให้ท่านมีความสุข หรือปราศจาก ความสุข มันอยู่ที่ท่านคิดถึงสิ่งเหล่านั้นต่างหาก คนส่วนมากมีความสุขมากน้อยเพียงใด แล้วแต่จะทำใจให้รู้สึกเช่นนั้น
3. "ท่านจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวคิดถึงศัตรูของท่าน จงพยายามตั้งใจให้แน่วแน่ มั่นคงในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะ
กระทำ ครั้นแล้ว โดยปราศจากการลังเลหันเห ท่านจงมุ่งตรงไปสู่จุดหมายนั้น จงทำใจของท่านให้จดจ่ออยู่เสมอว่า ความปรารถนาของท่านเพื่อกระทำสิ่งใดๆ จะประสบผลอันงามเลิศ แล้วท่านจะพบว่าขณะวันและเวลาล่วงไป โอกาสจะเปิด ให้ท่านประสบความสำเร็จตามความปรารถนาโดยไม่รู้ตัว"
4. จงสร้างมโนภาพของท่าน ถึงบุคคลที่มีสมรรถภาพสูง เข้มแข็งเอาการเอางาน ซึ่งท่านประสงค์จะเป็นเช่นนั้นบ้าง และจากความนึกคิด ทุกๆชั่วโมงอันนี้เอง สามารถเปลี่ยนแปลงท่านให้เป็นบุคคลที่มีความเด่นเป็นพิเศษ..... ความคิด เป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด จงดำรง รักษาจิตใจ แนวจิตไว้ให้อยู่ในท่าทีถูกต้องดีงาม ท่าทีแห่งความกล้าหาญบึกบึน แห่งความเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา และร่าเริงแจ่มใส ความคิดอันถูกต้องดีงามจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ ความสำเร็จสมดังปรารถนามาจากความตั้งใจจริง เราจะเป็นอย่างไร แล้วแต่ใจเราคิด
5. มีภาษิตของจีนกล่าวไว้ว่า คนที่ใบหน้าไม่ยิ้ม อย่าเปิดร้านค้าขาย
ฉะนั้น วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ผู้อื่นติดใจเมื่อแรกพบ ก็คือ "ยิ้ม"
ถ้าท่านไม่ทำตามนี้ ท่านจะบ่ายหน้าไปพบความยุ่งยาก
1. การให้เกียรติโดยการตั้งชื่อ
2. พยายามจดจำชื่อบุคคลที่เราพบปะให้ได้มากที่สุด
3. จงจำไว้ว่า ชื่อของบุคคลใดก็ตาม สำหรับบุคคลนั้น เป็น สำเนียงหวานที่สุด และสำคัญที่สุด ในภาษามนุษย์
หนทางง่ายๆ ที่จะเป็นนักสนทนาที่ดี
1. ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สนใจอย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะเป็นการแสดงความคารวะยิ่งไปกว่านี้
2. มีบุคคลอยู่เป็นอันมาก ประสบความล้มเหลวที่จะเป็นผู้ได้รับความนิยม เนื่องจากไม่ฟังผู้อื่นอย่างตั้งอกตั้งใจ
3. ความสามารถเป็นนักฟังที่ดีของมนุษย์เป็นสิ่งหายาก เกือบจะยิ่งกว่านิสัยดีๆอื่นๆทั้งหลาย
4. จงตั้งคำถามในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งจะตอบด้วยความยินดี สนับสนุนให้ผู้อื่นสนทนาถึงเรื่องของเขา และความสำเร็จของเขา
5. โปรดจำไว้เสมอว่า บุคคลที่ท่านสนทนาด้วย เป็นผู้สนใจตัวของเขาเอง ความต้องการของเขา และปัญหาของเขา ยิ่งกว่าจะสนใจในตัวท่าน และปัญหาของท่านตั้งร้อยเท่า
จงเป็นนักฟังที่ดี จงสนับสนุนให้อีกฝ่ายหนึ่งคุยถึงเรื่องของเขา
วิธีทำให้ผู้อื่นสนใจ
1. ค้นหาความจริงว่าเขาสนใจในสิ่งใด และเขามีความสุขในการสนทนาถึงสิ่งใด
สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งสนใจ
วิธีทำให้ผู้อื่นชอบท่านในทันที
1. จงทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ
2. จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ท่านต้องการจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน
3. คำพูดสั้นๆ เช่น "เสียใจมากที่ต้องรบกวน" , "โปรด", "กรุณา", "ขอบคุณ" ความสุภาพอ่อนโยนเพียงเล็กน้อยจะช่วยปลอบใจ
อีกฝ่ายหนึ่งให้หายจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียจากงานประจำวัน
จงทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ และ จงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
4. Tab 2
5. Tab 3
การสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ในการปฏิบัติงานนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย และสำหรับหน้านี้เรามีเคล็ดลับ 6 ประการ ที่จะช่วยให้คุณ เป็นที่ชื่นชอบของบุคคลอื่น ๆ มาฝาก
1. การสนใจในตัวบุคคลอื่น
มีคำกล่าวไว้ว่าถ้าเรามีความสนใจในตัวบุคคลอื่นแล้วเราอาจจะหาเพื่อนใหม่ได้ภายใน 2 เดือน แต่ถ้าหากเราจะหาเพื่อนใหม่ โดยการจูงใจให้เขามาสนใจในตัวเรา อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปี เราจะสังเกตได้ว่าบุคคลผู้เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีความสนใจในตัวบุคคลอื่น ดังนั้นถ้าเราอยากเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น จึงต้องรู้จักแสดงความสนใจในตัวบุคคลอื่นอาจจะโดยการไต่ถามสารทุกข์สุขดิบส่งการ์ดอวยพรหรือของขวัญให้เขาในวันเกิด หรือเทศกาลสำคัญๆ ส่งบทความ การ์ตูน หรือสิ่งอื่น ๆ ที่คิดว่าน่าสนใจให้แก่เพื่อนร่วมงาน สมาชิกในทีมงานโดยอาจจะส่งทาง E-mail ก็ได้และเมื่อเพื่อนร่วมงานมีปัญหาก็ควรเสนอตนเองช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
2. การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ
บุคคลที่จะเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นมาที่สุด และนานที่สุดก็คือ บุคคลที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ เมื่อเราพบปะกับบุคคลเช่นนี้เราจะรู้สึกว่าเกิดความรัก ความนับถือขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่เราอาจจะยังไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลยก็ตามและจะสังเกตได้ว่าหัวหน้าที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีผลต่อจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างประหลาด ใบหน้าที่ยิ้มแย้มจะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความเกรงใจ ความกระตือรือร้นและความขยันขันแข็งมาเองโดยมิต้องใช้อำนาจบังคับแต่อย่างใด แต่การยิ้มในที่นี้ก็ต้องเป็นการยิ้มอย่างเต็มอกเต็มใจ ยิ้มอย่างเปิดเผย มิใช่แสร้งยิ้มชั่วครั้ง ชั่วคราวเพื่อหาประโยชน์ เพราะการยิ้มเช่นนั้นจะไม่ทำให้เกิดความประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นเลย
3. การจำชื่อบุคคลต่าง ๆ
คนเราย่อมสนใจและพึงพอใจในชื่อของตนเองมากกว่าชื่อใด ๆ ในโลก ดังนั้นการการที่เราสามารถจำชื่อบุคคลอื่นได้ และสามารถเรียกชื่อเขาได้ อย่างถูกต้องจะทำให้เขาเกิดความภาคภูมิใจและคิดว่าเราระลึกถึงความสำคัญของเขาอยู่เสมอเขาจะเกิดความพอใจ และจดจำเราได้ตลอดไปเช่นเดียวกัน
4. การเป็นผู้ฟังที่ดี
บุคคลที่เราสนทนาด้วยนั้นย่อมสนใจในตัวของเขาและความต้องการของเขา ดังนั้นถ้าเราปรารถนาจะเป็นที่รักใคร่ของบคุคลอื่นก็จะต้องรู้จักเป็นผู้ฟัง ที่ดีด้วยการสนใจในเรื่องที่บุคคลอื่น พูดไม่พูดขัดคอขึ้นมา ในขณะที่คู่สนทนายังพูดไม่จบพยายามจูงใจ ให้เขาสนทนาในเรื่องที่เขาสบายใจและควรสนับสนุนหรือชมเชยคู่สนทนาเป็นครั้งคราว
5. การพูดในเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ
เดล คาร์เนกี้ เคยกล่าวไว้ว่าถ้าเราปรารถนาจะสร้างความนิยมขึ้นในตัวเองแล้วจงสนทนาแต่งในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคู่สนทนา ดังนั้นเมื่องเราต้องการเป็นที่รักใคร่ชอบพอของบุคคลอื่นเราก็ต้องรู้ว่าคู่สนทนาของเรา สนใจในเรื่องอะไรและต้องพยายามแสวงหาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ แต่ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างทั้งหมด ในบางเรื่องเรารู้เพียงแต่จะกล่าวนำหรือคอยรับฟังก็เพียงพอแล้ว
6. การรู้จักยกย่องบุคคลอื่น
นักจิตวิทยาหลายท่านกล่าวไว้ว่าความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างหนึ่งของมนุษย์ ก็คือความปรารถนาที่จะได้รับคำสรรเสริญ คนเราต้องการได้รับคำยกย่องจากผู้ที่เราติดต่อด้วย ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าเรามีความสำคัญ และต้องการให้เพื่อนของเรายกย่องสรรเสริญเราอย่างเต็มอกเต็มใจ และชมเชยเราในทุกโอกาสที่จะทำได้ ดังนั้นเมื่อเราปรารถนาจะเป็นที่ชอบพอของบุคคลอื่น เราก็ต้องปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นเดียวกับที่เราต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา นั่นก็คือการระลึกถึงความสำคัญของผู้อื่นในทุกโอกาส
การทำงานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคทั้งสิ้น แต่ถ้าหากว่าพวกเราทุกคนรู้จักสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ในการปฏิบัติงาน และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แล้ว เราก็จะสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
· Tab 3
วิธีการที่ทำให้ผู้อื่นชื่นชอบด้วยความจริงใจ
1. เอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น
o อะไรที่เขาชอบ / ไม่ชอบ
o จะช่วยให้เขาได้สิ่งที่เขาต้องการได้อย่างไร โดยที่เราไม่เดือดร้อน
o ปัญหาของเขาคืออะไร จะช่วยเขาปัญหาของเขาได้อย่างไรโดยเราไม่เดือดร้อน
2. ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ ในทุกสถานการณ์อย่างพอเหมาะพอควร
o มองตาที่พูดด้วย มองด้วยจิตใจที่แจ่มใสเบิกบานตามสถานการณ์
o อย่าเสียเวลาคิดถึงเรื่องไม่สบายใจ หรือ คนที่ไม่ชอบ
3. จำชื่อของบุคคลที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องให้ได้
o ชื่อ นามสกุล ครอบครัว / เรียนหนังสือ
o ที่ทำงาน
o แนวคิดทางการเมือง
4. เป็นนักฟังที่ดี สนับสนุนให้เขาพูด-คุยเรื่องที่เขาชอบ
o ถามเขาเป็นระยะๆ ขณะฟัง ถ้าไม่เห็นด้วย (ถ้าทำอย่างนี้ผลจะเป็นอย่างไร)
o อย่าขัดคอ อย่าด่วนใช้หลักการมันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้
o ให้ความเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างทางความเห็น
o คนส่วนมากมักจะพูดสิ่งที่เป็นปัญหาของเขา ความต้องการของเขา
5. ถ้าจำเป็นต้องพูด ให้พูดเรื่องที่เขาสนใจ
o สิ่งมีค่าสูงสุด ภูมิใจสูงสุด ของเขาคือใคร อะไร พยายามคุยเรื่องนั้น
o หลีกเลี่ยงเรื่องที่ต้องโต้แย้งกัน แสวงจุดร่วม สงวนจุดด่าง
6. การให้เขาเกิดความรู้สึกว่าเขามีความสำคัญในสิ่งที่เขาทำ และต้องชมด้วยจริงใจ
o ใจเขา ใจเรา , ชอบ/ไม่ชอบ , อย่าทำ ,อกเขา อกเรา
o หลายคนเชื่อว่า เขามีอะไรมากกว่าเหนือกว่า ดีกว่า ผู้อื่น ชวนคุยสิ่งนั้น
o ชื่นชม ความสามรถของผู้อื่นอย่างจริงใจ
o
วิธีปฏิบัติ 12 ประการ เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน
· Tab 1
วิธีปฏิบัติ 12 ประการ เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน
กฎข้อที่ 1 ท่านไม่สามารถชนะการโต้แย้ง
1. มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะบันดาลให้การโต้แย้งเป็นสิ่งดีที่สุด นั่นก็คือ หลบหลีกมันเสีย จงหลบหลีกการโต้แย้ง เช่นเดียวกับท่านหลบหลีกงูพิษ
2. 9 ใน 10 ครั้งของการโต้แย้ง จะจบลงด้วยต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปกว่าเก่าว่า ตนเป็นฝ่ายถูกเต็มที่
3. "คนที่จำใจต้องเชื่อ ในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ ความคิดเห็นของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง"
4. เบนจามิน แฟรงคลิน กล่าวไว้ว่า "ถ้าท่านโต้แย้ง พูดให้เจ็บใจ และ เถียง ท่านอาจประสบชัยชนะในบางครั้ง แต่เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า ทั้งนี้ก็เพราะท่านไม่สามารถได้รับไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่ง" ดังนั้นขอให้ท่านพิจารณาด้วยตนเองว่า ท่านต้องการชัยชนะในการโต้แย้ง หรือต้องการไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่ง? น้อยนักที่จะได้รับทั้งสองอย่าง
5. "เป็นสิ่งสุดวิสัย ที่จะเอาชนะคนโง่เขลา เบาปัญญา ด้วยการโต้แย้ง"
6. พระพุทธเจ้าตรัส "เวร (ความเกลียด ความพยาบาท) ย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับด้วยความรัก" และทำนองเดียวกัน ความไม่เข้าใจต่อกัน ย่อมจะไม่ระงับด้วยการโต้แย้ง แต่ด้วยความรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ความสุขุมรอบคอบ ความประนีประนอม และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นแง่คิดของอีกฝ่ายหนึ่งได้
7. ลินคอน กล่าว "บุคคลใดมีเจตนาที่จะได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อตัวเขาเอง เขาจะไม่ใช้เวลาให้หมดไปโดยการโต้เถียงเป็น
อันขาด การโต้เถียงจะเป็นผลให้เกิดโทสะ และทำลายอำนาจบังคับตนเอง และจงยอมจำนนต่อการโต้เถียงในเรื่องใหญ่ ซึ่งผลที่ท่านจะได้รับ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอวดตนว่าท่านไม่แพ้ใคร และจงยอมจำนนต่อการโต้เถียงในเรื่องเล็ก แม้ท่านมีสิทธิ์ที่จะกระทำอย่างเต็มที่ จงให้ทางแก่หมาแทนที่ท่านจะต่อสู้กับมัน เพื่อรักษาสิทธิ์ของท่านจนท่านถูกมันกัดเอา แม้ท่านจะฆ่าหมาตัวนั้นเสีย แต่ท่านก็ยังคงมีแผลถูกกัดอยู่นั่นเอง
ฉะนั้น กฎข้อที่ 1 มีดังนี้ วิธีระงับการโต้แย้ง หรือโต้เถียง ที่ดีที่สุดก็คือ จงหลีกเลี่ยงเสีย
กฎข้อที่ 2. หนทางอันแน่นอนที่จะสร้างศัตรู และวิธีหลีกเลี่ยง
1. ท่านจะกล่าวหาผู้อื่นว่าทำผิด ด้วยสายตา ด้วยสำเนียง หรือด้วยอากัปกิริยาใดก็ตาม ย่อมมีความหมายทำนองเดียวกับ ท่านลั่นวาจาออกไป
2. การกล่าวหาของท่านเปรียบเสมือนท่านชกกร้วมเข้าที่สติปัญญาของเขา ดุลยพินิจของเขา ความภาคภูมิใจของเขา และความเคารพตนเองของเขา ผลก็คือ จะทำให้เขาผู้นั้นต้องการจะตอบโต้บ้าง
3. อย่าเริ่มคำพูดด้วยประโยค "ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้" เป็นวาจาที่ไม่สมควรเลย เป็นวาจาที่ส่อ ความหมายว่า "ผมวิเศษกว่าคุณ"
4. ถ้าท่านต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม จงอย่าให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวเป็นอันขาด จงกระทำอย่าง
มีชั้นเชิง อย่างมีไหวพริบ โดยไม่มีใครรู้สึกว่าท่านได้กระทำลงไป "มนุษย์จะต้องสอนเหมือนกับท่านมิได้สอน และ สิ่งใดที่เขา
ไม่รู้ จงเสนอแก่เขา เหมือนหนึ่งเขาลืมไป"
5. Lord Chesterfield รัฐบุรุษ-นักปราชญ์อังกฤษ ค.ศ.1694-1737 สอนลูกชายว่า "เจ้าจงเป็นผู้ฉลาดกว่าผู้อื่น ถ้าเจ้า สามารถเป็นเช่นนั้นได้ แต่อย่าได้บอกให้เขารู้ว่าเจ้าฉลาดกว่าเขา"
6. คำพูดเช่น "ผมอาจจะผิดไปก็ได้" "ผมมักจะผิดเสมอ" "เรามาพิจารณาข้อเท็จจริงกันดีกว่า" เป็นคำพูดซึ่งมีอำนาจวิเศษอย่างแท้จริงใน อันที่จะทำความพอใจให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
7. ด้วยการยอมรับว่าท่านอาจจะเป็นผู้ผิด ท่านจะไม่มีเรื่องกับใครเป็นอันขาด เพราะการพูดเช่นนี้จะยุติการถกเถียงลงอย่าง
สิ้นเชิง และ "จูงใจให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความยุติธรรม และใจกว้างเหมือนท่าน"
8. จากหนังสือ "การสร้างจิตใจ" ของ ศ.เยมส์ อาร์วีย์ รอบินซัน :-
"ในบางครั้งเราจะพบว่า เราเปลี่ยนใจของเราอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีเรื่องขัดใจ หรือเกิดความสะเทือนใจอันรุนแรง
ใดๆ แต่ถ้ามีใคร มาบอกว่าเราผิด เราจะรู้สึกฉิวในคำกล่าวหานั้น และใจของเราจะเกิดอาการกระด้างกระเดื่องขึ้นมา เราต่างเป็นคนที่ไม่สู้จะเอาใจใส่เลยว่า ความเชื่อถือของเราอยู่ในลักษณะใดบ้าง แต่ถ้าหากมีใครมาข่มเหงน้ำใจเรา เราจะเกิดความเชื่อในสิ่งที่เราเชื่ออย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ไม่ใช่ ความคิดของเราหรอกที่เราหวงแหนนัก แต่เราหวงแหน ความนับถือตนเองโดยจะไม่ยอมให้ถูกข่มขู่ต่างหาก"
9. เมื่อเราทำผิด เราอาจจะยอมรับผิดกับตัวของเราเอง ถ้าผู้อื่นรู้จักปฏิบัติต่อเราด้วยวิธีอันละมุนละไม และถูกกาละเทศะ เราอาจจะยอมรับผิด กับผู้นั้นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาโดยปราศจากความสะทกสะท้าน แต่เราจะไม่ยอมรับผิดเป็นอันขาด ถ้ามีใครมาบังคับขู่เข็ญให้เราพูด ความจริง
10. ละเว้นการคิดค้านโต้แย้งให้ผู้อื่นได้รับความสะเทือนใจ หรือกล่าวยืนยันอย่างหนึ่งอย่างใดว่าข้าพเจ้าถูก และข้าพเจ้า จะไม่ยอมใช้คำพูด ใดๆ ที่บ่งไปโดยชัดแจ้งว่าข้าพเจ้ามีความคิดเห็นอย่างแน่นแฟ้นมั่นคง เป็นต้นว่า "แน่ทีเดียว" , "ไม่มีอะไรที่ควรสงสัย" ฯลฯ ข้าพเจ้าใช้คำพูด แทนว่า "ฉันนึกว่า" , "ฉันเข้าใจว่า" หรือ "ฉันคิดว่า" จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
หรือ "เท่าที่ปรากฎเวลนี้ดูเหมือน" เบนจามิน แฟรงคลิน นัก การทูตชั้นยอดของสหรัฐฯ กล่าวไว้ว่า"เมื่ออีกฝ่ายหนึ่ง ยืนยันบางประการ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเขาผิด ข้าพเจ้าไม่ยอมถือเป็นของสนุกที่จะขัดคอเขาทันที หรือแสดง กิริยาอย่างหนึ่งอย่างใดไปในทางเยาะเย้ยความเข้าใจของเขา"
11. การถ่อมตนในการแสดงความคิดเห็น ช่วยให้คู่สนทนายอมรับความคิดเห็นของเราง่ายยิ่งขึ้น และมีการโต้เถียงน้อยลง ถ้าเราผิดก็จะไม่ รู้สึกอับอายขายหน้ามากมาย เมื่อเราถูก เราจะสามารถจูงใจอีกฝ่ายหนึ่งให้ยอมแพ้อย่างง่ายดาย และมีความคิดเห็นคล้อยตามเรา
12. พระเยซูพูด "จงคล้อยตามปรปักษ์ของท่านโดยเร็ว" หรืออีกนัยหนึ่งคือ อย่าโต้แย้งลูกค้าของท่าน ภรรยาของท่าน หรือปรปักษ์ของท่านอย่าบอกว่าเขาผิด อย่ายั่วให้เขาเกิดโทสะ แต่จงใช้ชั้นเชิงบ้างสักเล็กน้อย
13. จงมี "ชั้นเชิง" อย่าช่วยให้เราได้ชัยชนะ ดังนั้น ถ้าท่านต้องการจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามแนวความคิดของท่าน
กฎข้อที่ 2 มีดังนี้"จงเคารพความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่าบอกผู้ใดว่าเขาผิดเป็นอันขาด"
กฎข้อที่ 3 ถ้าท่านผิด จงสารภาพ
1. ถ้าเรารู้ตัวว่าเราทำผิด จะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะกล่าวถึงความผิดของเราก่อนอีกฝ่ายหนึ่งจะแย้มปาก? "การตำหนิติเตียน
ตนเอง ย่อมจะน่าฟังกว่าให้คนแปลกหน้า หรือคนอื่นมาตำหนิติเตียนเรา"
2. ท่านจงปรักปรำลงโทษตัวของท่านในประการต่างๆ ถ้าหากท่านรู้ตัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิด หรือต้องการจะพูด หรือตั้งใจจะพูด
อย่างไร และ ท่านจงพูดก่อนอีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสแย้มปาก ซึ่งเป็นการลดความโมโหโทโสของเขาให้สงบลงได้ จากการกระทำ
เช่นนี้ ท่านมีโอกาสอัน งดงามที่จะจูงใจให้เขาเป็นคนใจกว้าง เปลี่ยนท่าทีโอนอ่อนไปในทางให้อภัย และจะเห็นความผิด ของท่านเป็นสิ่งเล็กน้อย
3. คนโง่มักจะแก้ตัวเมื่อได้กระทำผิด และคนโง่ส่วนมากปฏิบัติเช่นนี้ แต่ด้วยการสารภาพผิดอย่างน่าชื่นตาบาน ไม่เพียงจะทำให้คนเรา กลายเป็นผู้อยู่เหนือกว่าฝูงสัตว์ หากจะทำให้มีใจสูงขึ้นด้วย
4. เมื่อเราเป็นฝ่ายถูก เราจงชักจูงอีกฝ่ายหนึ่งให้มาสู่แนวทางแห่งความคิดของเราอย่างสุภาพและนิ่มนวล และเมื่อเราเป็นฝ่ายผิด ถ้าเรามีใจ เที่ยงตรง เราจะพบความจริงว่าเราเป็นฝ่ายผิดบ่อยๆ เราจงยอมรับผิดโดยเร็ว และด้วยความร้อนกระวนกระวาย วิธีรับผิดนี้ไม่เพียงแต่จะนำ ผลอันน่าพิศวงมาให้เท่านั้น หากท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยการใช้วิธีเดียวกันนี้ จะทำให้เราเกิดอารมณ์สนุกยิ่งกว่าพยายามแก้ตัว
5. สุภาษิตเก่า "ด้วยการต่อสู้ ท่านจะมิได้รับผลเป็นที่พอใจ แต่ด้วยการยอมจำนน ท่านจะได้รับมากกว่าที่ท่านหวัง
ดังนั้นกฎข้อที่ 3 : ถ้าท่านผิด จงรับผิดโดยอย่าได้รอช้า และ รับด้วยเสียงหนักแน่น
กฎข้อที่ 4. หนทางอันเลิศที่จะเข้าถึงเหตุผลของผู้อื่น
1. "ถ้าหากท่านถูกยั่วให้เกิดโทสะ และท่านพูดใส่หน้าอย่างไม่อั้นต่อผู้ยั่วโทสะท่านสักประโยคสองประโยค ท่านจะสบายใจที่ได้ระบาย ความเดือดดาลของท่าน แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเล่า? เขามีส่วนร่วมสบายใจเหมือนท่านหรือเปล่า การเอะอะโผงผางของท่าน กิริยาท่าทีตั้งท่าเป็น ศัตรูของท่าน ท่านคิดว่าเป็นของง่ายที่จะชักนำให้เขามีความเห็นสอดคล้องกับท่านกระนั้นหรือ?"
2. วูดโรว์ วิลสัน กล่าว "ถ้าท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยการกำหมัด ข้าพเจ้าขอรับรองว่า หมัดของข้าพเจ้าจะกำแน่นยิ่งไปกว่า
ของท่าน แต่ถ้าท่าน มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า "เรามานั่งลงปรึกษาหารือกันดีกว่า และถ้าหากว่าความคิดเห็นของเราขัดแย้งกัน เรามาทำความเข้าใจกันว่าเหตุใดเรา จึงมีความเห็นไม่ตรงกัน และอะไรเป็นแง่ในปัญหานั้น" เราจะพบความจริงว่าเรา กลายเป็นกันเอง และความเห็นขัดแย้งกันในแง่ต่างๆ จะมี อยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อย ในเมื่อแง่ที่มีความเห็นสอดคล้องกันมีอยู่มาก และถ้าเราเป็นคนรู้จักมีน้ำอดน้ำทน พูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และ มีเจตนาที่จะสมัครสมานซึ่งกันและกัน เราจะผ่อนสั้น ผ่อนยาวเข้าหากัน"
3. ถ้าบุคคลใดมีใจปวดร้าวอยู่ด้วยความขุ่นแค้นและโกรธเคืองท่าน ท่านจะไม่สามารถจูงใจเขาให้คล้อยตามแนวความคิด ของท่านเป็นอันขาด แม้จะใช้หลักตรรกวิทยาที่มีอยู่ทั้งหมดในโลก พ่อแม่ที่ชอบดุด่า และนายหรือสามีที่ชอบใช้อำนาจ หรือภรรยาที่ชอบจู้จี้ ควรจะรู้ความจริงว่า จากการปฏิบัติดังกล่าว จะไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความต้องการที่จะเปลี่ยนใจ ท่านและข้าพเจ้าสามารถบังคับบีบคั้นให้บุคคลใดมีความคิดเห็นสอดคล้องกับเราได้ ถ้าเราใช้วิธีสุภาพอ่อนโยนอย่างกันเอง เราจะสามารถ จูงใจเขาเหล่านั้นให้คล้อยตามแนวความคิดของเราได้
4. ลินคอล์น กล่าว "น้ำผึ้งเพียงหยดเดียว จับแมลงวันได้มากกว่าน้ำบอระเพ็ด 1 แกลลอน" เพราะฉะนั้น ถ้าท่านต้องการจูงใจผู้อื่นให้เห็น ดีเห็นชอบในวัตถุประสงค์ของท่าน สิ่งแรกที่สุดที่ท่านจะต้องปฏิบัติก็คือ ทำให้เขาเชื่อถือว่าท่านเป็นมิตรสุจริตของเขา ด้วยเหตุนี้เองถ้าท่านจะใช้น้ำผึ้งสักหยดหนึ่งเหยาะลงในหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่ง
ให้ชื่นฉ่ำ ซึ่งท่านจะพูดอะไรแก่เขาก็ตาม จะเป็นทางอันล้ำเลิศที่จะดึง เหตุผลของเขาให้หันมาสอดคล้องกับของท่าน
5. ติดต่อฉันมิตร เห็นอกเห็นใจ และ ขอร้องในอาการยกย่อง
6. ความสุภาพอ่อนโยน และไมตรีจิต จะต้องมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด และการใช้กำลังบังคับเสมอ
สรุป เมื่อท่านต้องการจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน กฎข้อที่ 4 :-
จงเริ่มต้นด้วยมิตรไมตรี
กฎข้อที่ 5. เคล็ดลับของโซเครตีส
1. ในการสนทนากับผู้อื่น อย่าได้เริ่มต้นพูดในเรื่องที่ท่านไม่เห็นพ้องด้วย แต่จงเริ่มต้นด้วยการเน้นคำพูดให้หนักแน่น และเน้นคำพูดนี้ อยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่ท่านเห็นพ้องด้วย
2. จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพูด "ใช่" , "ใช่แล้ว", "ครับ" , "ถูก" , "ถูกแล้ว" เมื่อเริ่มต้นการสนทนา ถ้าสามารถทำได้ จงอย่าให้อีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวคำปฏิเสธ "ไม่ใช่" , "เปล่า" เป็นอันขาด
3. ยิ่งเราสามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวคำพูดรับคำได้มากเท่าใดในการเปิดฉากการสนทนา ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ จะชักจูงให้อีก ฝ่ายหนึ่งยอมตกลงใจตามจุดประสงค์ของเรามากยิ่งขึ้นเท่านั้น
4. ในการเปิดฉากสนทนา พวกเรามักจะคิดถึงแต่ความยิ่งใหญ่ของตนเอง ผลก็คือ ทำให้เกิดตั้งข้อเข้าหากันตั้งแต่แรกเริ่ม
5. โซเครตีสจะตั้งคำถามชนิดที่แม้ศัตรูของเขาก็ต้องรับคำ คำถามของเขาจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งตอบว่า "ใช่" จนกระทั่งเขา ได้รับคำรับรองอย่าง เหลือเฟือ ครั้นแล้วในที่สุด เขาจะตั้งคำถามประโยคสำคัญ ซึ่งปรปักษ์ของเขาแทบไม่รู้สึกตัว ได้กล่าวรับรองทั้งๆก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตั้งใจที่ จะยืนกรานปฏิเสธ
6. สุภาษิตเก่าๆของจีน "ผู้ก้าวอย่างละมุนละไม จะเดินได้ไกล"
สรุปกฎข้อที่ 5 จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง ตอบรับคำว่า "ครับ", "ใช่", "ถูก"ฯลฯ ในทันทีเมื่อเริ่มสนทนา
กฎข้อที่ 6 วิธีกำจัดความไม่สมหวัง
1. ในบางครั้ง การปล่อยให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายพูด จะนำประโยชน์อย่างล้ำค่ามาให้
2. ผู้ประสบความสำเร็จเกือบทุกคน ชอบระลึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนในอดีต (ใช้ในเทคนิคการพูด สนทนากับผู้ที่มีความสำเร็จในชีวิต)
3. มีความจริงอยู่ว่า มิตรสหายทั้งหลายของเราพอใจที่จะคุยกับเราถึงเรื่องความสำเร็จต่างๆของเขา ยิ่งกว่าที่จะฟังเราโม้ถึงเรื่องของเรา
4. "ถ้าท่านต้องการศัตรู จงเป็นคนเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าเพื่อนของท่าน แต่ถ้าท่านต้องการมิตร จงให้เพื่อนของท่าน เก่งกล้าสามารถ เหนือไปกว่าท่าน" เพราะว่าเมื่อเพื่อนของเราเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าเรา เขาจะเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ แต่ถ้าเราเก่งกล้าสามารถเหนือ กว่าเขา เขาจะเกิดความรู้สึกต่ำต้อย และก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา
5. ชาวเยอรมันมีสุภาษิตอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ความปิติยินดีอย่างแท้จริงก็คือ ความปิติยินดีซึ่งเราได้รับจากเคราะห์กรรมของผู้อื่น" แน่นอน เพื่อนบางคนของท่านอาจจะรู้สึกพอใจในเคราะห์กรรมของท่าน ยิ่งไปกว่าชัยชนะของท่านก็ได้
6. เพราะฉะนั้น เราจง "อย่าฟุ้งซ่าน โอ้อวดในความสำเร็จของเรา" แต่เรา "จงถ่อมตน" เอาไว้ถึงจะได้รับความนิยม ชมชอบอย่างแท้จริงจากผู้อื่น
7. เราควรถ่อมตัวของเรา ทั้งนี้ก็เพราะเมื่อสรุปแล้วท่านและข้าพเจ้าก็ไม่วิเศษวิโสกว่ากัน จากนี้ไปอีกหนึ่งศตวรรษ ท่านและ ข้าพเจ้าต่างจะ ไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และจะไม่มีใครรู้จัก ชีวิตเป็นของสั้นจนเกินไป เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ชีวิตอันสั้น ของเราสร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น ด้วยการคุยโอ้อวดถึงความสำเร็จขี้ปะติ๋วของเรา เราจงส่งเสริมให้ผู้อื่นคุยเสียบ้างเถิด โปรดคิดดูให้ดี ท่านมิได้มีอะไรวิเศษมากมายที่จะคุย อวดโดยไม่รู้จักจบรู้จักสิน้นเสียที ดังนั้น
กฎข้อที่ 6
จงปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้พูดเป็นส่วนมาก
กฎข้อที่ 7 วิธีที่จะได้รับความร่วมมือ
1. ท่านรู้สึกเลื่อมใสในความคิดที่ท่านค้นพบด้วยตนเองยิ่งไปกว่าความคิดซึ่งผู้อื่นค้นพบ และใส่จานเงินยื่นส่งให้ท่านหรือเปล่า? ถ้าเช่นนั้นจริง เป็นของแน่เหลือเกินที่ท่านจะต้องพยายามผลักดันความคิดของท่านให้คนอื่นรับไว้ ใช่ไหม? มันจะไม่เป็นการ
ฉลาดกว่าหรือ? ถ้าเพียงแต่หารือความคิดของท่านกับอีกฝ่ายหนึ่ง และให้อีกฝ่ายหนึ่งใคร่ครวญดูเพื่อการตัดสินใจของเขาเอง
2. "การปรึกษาหารือ" กับเขาถึงความปรารถนาของเขา จึงเป็นสิ่งที่ถูกใจเขาที่สุด
3. การปรึกษาหารือกับผู้อื่น และเคารพต่อคำแนะนำนั้น จะได้รับผลอันงดงาม
4. เมื่อ 25 ศตวรรษมาแล้ว เล่าจื๊อ นักปราชญ์จีนได้กล่าววาทะบางอย่างซึ่งควรจะนำมาปฏิบัติในปัจจุบัน : "เหตุที่แม่น้ำลำคลอง และทะเลทั้งหลายสามารถจะต้อนรับสายน้ำหลายร้อยสายจากภูเขาได้ เนื่องจากแม่น้ำลำคลอง และทะเลเหล่านั้นอยู่ต่ำกว่าสายน้ำ
จากภูเขา เพราะฉะนั้น แม่น้ำลำคลองและทะเลจึงเก่งเหนือไปกว่าสายน้ำจากภูเขา โดยที่สามารถรับกระแสน้ำทั้งหมดไว้ได้ ผู้ที่เฉลียวฉลาด ถ้าปรารถนาจะอยู่เหนือ ผู้อื่น ต้องถ่อมตนให้อยู่ต่ำกว่าผู้อื่น ถ้าปรารถนาจะอยู่หน้าผู้อื่น จะต้องถ่อมตนให้
อยู่หลังผู้อื่น แต่เขาจะไม่หยิ่งผยอง และถือว่าตนเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาจะมีบุญวาสนานำหน้าผู้อื่น เขาจะไม่อวดเด่นให้
บาดใจผู้อื่น
ฉะนั้น กฎข้อที่ 7 จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าความคิดเป็นของเขา
กฎข้อที่ 8 สูตรซึ่งจะบันดาลผลมหัศจรรย์แก่ท่าน
1. อย่าลืมว่าบุคคลใดก็ตาม อาจจะทำผิดอย่างไม่มีทางแก้ตัว แต่บุคคลนั้นจะคิดว่าเขาไม่ผิดเลย ท่านจงอย่าปรักปรำลงโทษเขาผู้นั้น เพราะการ กระทำเช่นนั้น คนโง่ทุกคนย่อมทำได้ ท่านจงพยายามเข้าใจเขาให้ถี่ถ้วน
ถ่องแท้ เพราะการพยายามเข้าใจการกระทำของผู้ผิด คนฉลาด คนมี น้ำอดน้ำทน และคนที่มีคุณสมบัติเป็นพิเศษเท่านั้น จึงจะสามารถปฏิบัติได้
2. จงพยายามอย่างสุจริตใจที่จะสมมุติตัวท่านเป็นตัวของเขา
3. ถ้าหากท่านจะบอกตนเองว่า "ถ้าฉันอยู่ในฐานะเดียวกับเขา ฉันจะรู้สึกอย่างไร และจะปฏิบัติอย่างใร?" ท่านจะไม่เสียเวลาและเกิดโมโห ในการที่จะต้องไปเอาใจใส่แก่สาเหตุต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดผลอันไม่พึงพอใจ และท่านจะสามารถเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ มากยิ่งขึ้น
4. พรุ่งนี้ ก่อนท่านจะบอกใครสักคนว่าเขาทำในสิ่งที่ผิดๆ ไม่ดีกว่าหรือถ้าท่านจะนั่งหลับตา และพยายามคำนึงถึงแง่คิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง เสียก่อน ท่านจงตั้งคำถามแก่ตนเองว่า "ทำไม? เขาจึงต้องการทำเช่นนั้น" จริงอยู่การปฏิบัตินี้อาจเปลืองเวลาบ้าง แต่จะเป็นการผูกมิตรและ นำผลอันงดงามกว่ากันมาให้ และเป็นการหลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง และทะเลาะเบาะแว้งกัน
5. เพราะฉะนั้น ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนใจผู้อื่น โดยไม่ให้เกิดความรู้สึกบาดหมาง หรือก่อให้เกิดความขุ่นเคือง
กฎข้อที่ 8 มีดังนี้ จงพยายามอย่างสุจริตใจที่จะมองสิ่งต่างๆ ในแง่คิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
กฎข้อที่ 9 สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ
1. คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถหยุดการโต้เถียง ทำลายความรู้สึกโกรธเคือง สร้างมิตรไมตรี และทำให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ "ผมมิได้ โทษคุณเลยแม้แต่น้อยที่คุณรู้สึกเช่นนี้ ถ้าผมเป็นคุณ แน่นอนเหลือเกิน ผมจะต้องรู้สึกเหมือนอย่างคุณ เช่นเดียวกัน" คำพูดเช่นนี้แม้แต่คนพาลเกเรอย่างร้ายกาจที่สุดก็จะเยือกเย็นลง
2. ท่านอยู่ในฐานะใดก็ตาม ควรถือว่า มิได้เป็นเกียรติอันใหญ่โตเลย และจำไว้ว่า คนที่ท่านติดต่อด้วย แม้จะเป็นคนขี้หงุดหงิด ฉุนเฉียว พูด ดันทุรัง และปราศจากเหตุผล เขามิได้เป็นต่ำช้าสารเลวมากมายนักที่ต้องอยู่ในฐานะนั้น จงรู้สึกสลดใจต่อ มนุษย์ที่น่าสมเพชคนนั้น จง สงสารเขา เห็นใจเขา
3. "3 ใน 4 ของบุคคลที่ท่านพบปะ ล้วนแต่หิวกระหายที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ จงให้มันแก่เขา แล้วเขาจะรักท่าน"
4. ความเห็นอกเห็นใจ เป็นยาวิเศษที่จะบำบัดความเศร้าใจ
ฉะนั้น กฎข้อที่ 9 จงเห็นอกเห็นใจต่อความรู้สึกนึกคิด และความปรารถนาของอีกฝ่ายหนึ่ง
กฎข้อที่ 10 มนุษย์ทุกคนชอบการขอร้อง
1. เพื่อให้บุคคลใดก็ตามเปลี่ยนใจของเขา จงขอร้องให้เขาเกิดความรู้สึกว่า การปฏิบัตินั้นๆเป็นเจตนาดีงาม ยิ่งกว่าการปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง
2. เมื่อเราไม่ต้องการให้ใครทำอะไรอย่างหนึ่ง จงขอร้องเขาด้วยการอ้างถึงเจตนาที่ดีงามกว่ากัน อ้างถึงสิ่งที่เป็นสิ่ง ที่รักและเคารพ
3. "ถ้ามีใครคิดที่จะโกงท่าน" จงพูดให้เขาเกิดความรู้สึกว่า ท่านนับถือเขาในฐานะเขาเป็นคนสุจริต ซื่อตรง และยุติธรรม
ฉะนั้น กฎข้อที่ 10 จงขอร้องด้วยการพูดให้รู้สึกว่า เป็นเจตนาอันดีงามกว่ากัน
กฎข้อที่ 11 ภาพยนตร์ปฏิบัติเช่นนี้ วิทยุปฏิบัติเช่นนี้ ทำไมท่านจึงไม่ปฏิบัติตามบ้าง?
1. เวลาที่ต้องการเสนออะไรบางอย่าง เพียงแต่กล่าวความจริงอย่างเดียวยังไม่พอ การกล่าวความจริงต้องประกอบด้วย พูดให้ซาบซึ้ง เขย่า ความสนใจ และเกิดความรู้สึกเร้าใจ ทั้งนี้ต้องอาศัยศิลปะแห่งการเชิญชวนอยู่มาก ภาพยนตร์ วิทยุ ปฏิบัติ เช่นนี้ ถ้าต้องการให้มีผู้เอาใจใส่ ข้อเสนอของท่าน ท่านก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้
ฉะนั้น กฎข้อที่ 11 จงแสดงความคิดเห็นของท่านให้เป็นที่เร้าใจ
กฎข้อที่ 12 เมื่อทำอย่างไรๆ ก็ไม่ได้ผล ลองใช้วิธีนี้ดูบ้าง
1. วิธีที่จะผลิตงานได้มากๆ ก็คือ การ "กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกัน" แต่ไม่ได้หมายถึง การแข่งขันอันโสมม และต้องทุ่มเทเงินทอง แต่หมายถึงกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะเป็นคนเก่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ความปรารถนาที่จะเก่งกว่า! การแข่งขัน! เป็นวิธีเดียวที่จะบันดาลผลอันแน่นอนในการหนุนให้มนุษย์เกิดความมานะ
3. "การให้เงินเดือนอย่างเดียว ไม่สามารถจะได้คนดีไว้ใช้ ต้องให้มีการแข่งขัน"
4. นั่นคือ สิ่งที่ผู้ได้รับความสำเร็จทุกคนชอบ : การแข่งขัน การแข่งขันเป็นการเปิดโอกาสให้เขาแสดงความสามารถของเขา เปิดโอกาสให้ เขาพิสูจน์คุณค่าตัวของเขา เพื่อไปสู่จุดหมายแห่งการเป็นคนเก่ง และชัยชนะ
ถ้าท่านต้องการจูงใจบุคคลอื่น บุคคลที่องอาจห้าวหาญ บุคคลที่มีสมรรถภาพ ให้คล้อยตามแนวความคิดของท่าน
กฎข้อที่ 12 มีว่า จงพูดท้าทาย
วิธีปฏิบัติ 9 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น โดยไม่ให้มีความรู้สึกบาดหมางขุ่นเคือง
· Tab 1
วิธีปฏิบัติ 9 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น โดยไม่ให้มีความรู้สึกบาดหมางขุ่นเคือง
ประการที่ 1 ถ้าท่านต้องการคอยจับผิด นั่นคือวิธีที่จะปิดฉาก
· การที่บุคคลใดก็ตาม ได้ยินในสิ่งที่ไม่รื่นหู หลังจากได้ฟังคำชมเชยในสิ่งที่ดีก่อน จะช่วยให้บุคคลนั้นสามารถฟังได้ โดยไม่เกิดความรู้สึก ขุ่นเคืองแต่อย่างใด
จงเริ่มสนทนาด้วยคำพูดยกย่องสรรเสริญอย่างสุจริจใจ
ประการที่ 2 วิธีวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ทำให้ผู้ใดเกลียด
· ตอนเที่ยงวันหนึ่ง ชารลส์ ชะวอบ เดินผ่านโรงถลุงเหล็กโรงหนึ่งของเขา เขาได้มองเห็นคนงานกลุ่มหนึ่งกำลังสูบบุหรี่กัน เหนือหัวของ คนงานเหล่านั้นมีป้ายแขวนไว้ว่า "ห้ามสูบบุหรี่" ท่านคิดว่าชะวอบชี้ที่ป้ายนั้นและพูด "อ่านหนังสือเป็นไหม?" หรือเปล่า? มิได้ ชะวอบมิได้ เป็นคนเช่นนั้น เขาเดินไปหาคนเหล่านั้น ควักซิการ์ส่งให้คนละมวน และพูด "จะดีไม่น้อย ถ้าพวกคุณพากันไปสูบซิการ์นี้กันข้างนอก" คนงานเหล่านี้ตระหนักดีว่าชะวอบรู้ว่าเขาได้พากันฝ่าฝืนกฎ เขาต่างพากันนึกชมเชยชะวอบไปตามๆกัน ชะวอบมิได้พูดถึงความผิดนี้เลย มิหนำซ้ำกลับกำนัลซิการ์แก่เขา "ทั้งนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ ถ้าท่านมีนายอย่างนี้ ท่านจะอดรักเขาได้ไหม?"
จงอย่าเตือนผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาผิด
ประการที่ 3 จงพูดถึงความผิดของท่านก่อน
· ท่านจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองอย่างใดเลยในการที่จะฟังใครคนหนึ่งตำหนิติเตียนท่าน ในเมื่อเขาผู้นั้นเริ่มพูดด้วยการยอมรับ อย่างอ่อนโยนว่า เขา, ในทำนองเดียวกัน, ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปจากการกระทำผิดอย่างไม่มีที่ติเสียได้
ท่านจงพูดถึงความผิดของท่านก่อน แล้วจึงตำหนิติเตียนผู้อื่น
ประการที่ 4 ไม่มีใครชอบรับคำสั่ง
· ควรให้โอกาสผู้ร่วมงานพินิจพิจารณางานด้วยตนเอง ให้ทำการศึกษาจากความผิดนานาประการเอาเอง
เทคนี้ช่วยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้รับความสะดวกในการแก้ไขความผิดพลาดของตน เทคนิคนี้เป็นการให้เกียรติ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ ผลก็คือ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะทำด้วยความปรารถนาร่วมมือ แทนที่จะเอาใจออกห่าง
จงขอความเห็น แทนการออกคำสั่งโดยตรง
ประการที่ 5 จงกู้หน้าอีกฝ่ายหนึ่ง
· กู้หน้าของเขาไว้ ! มันเป็นสิ่งสำคัญ และสำคัญอย่างใหญ่หลวงทีเดียว ! พวกเราน้อยคนนักที่จะหยุดคิดถึงสิ่งนี้ ! "เรามักจะขี่ม้า สวมเกือกมีตะปูแหลมคม ย่ำลงไปที่ความรู้สึกของผู้อื่น" ด้วยการถือเอาแต่ใจของเราฝ่ายเดียว เช่น คอยจับผิด ขู่ตะคอก ดุว่าเด็ก หรือเสมียน พนักงานต่อหน้าผู้อื่นโดยปราศจากความยั้งคิดว่าเป็นการทำให้ปวดร้าวชอกช้ำ แก่เกียรติของเขาอย่างไรบ้าง ! ในเมื่อเพียงแต่สงบจิตสงบใจ ใช้ความคิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง ใช้วาจาที่ประหยัดถ้อยคำเพียง
ไม่กี่คำ มีความเห็นใจในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง จะไม่ก่อให้เกิดความปวดร้าว ขุ่นเคืองแต่อย่างใดเลย
· แม้แต่บุคคลใหญ่โตที่โลกรู้จักดี ยังไม่ยอมเสียเวลาที่จะกำแหงในชัยชนะของเขา จนไม่กู้หน้าผู้แพ้
จงกู้หน้าอีกฝ่ายหนึ่ง
ประการที่ 6 วิธีกระตุ้นให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสำเร็จ
· ใช้การชมเชยแทนการด่าว่า "เราจะชมเชย แม้แต่ในสิ่งที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย" ในการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยเป็นกำลังดันให้อีกฝ่ายหนึ่ง ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นเป็นลำดับ
· เมื่อพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ถ้าท่านและข้าพเจ้าสนับสนุนกำลังใจบุคคลที่สัมพันธ์กับเรา ด้วยการให้เขาสำนึกในคุณค่าแห่ง ความสามารถซึ่งซ่อนอยู่ในกายของเขา เราไม่เพียงแต่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาเท่านั้น หากเราจะเปลี่ยนรูปชีวิตของเขาทีเดียว
· ถ้าลองเปรียบเทียบดูว่า เราควรจะอยู่ในฐานะใด เราเพียงแต่เป็นคนครึ่งหลับครึ่งตื่นดีๆนี่เองเราได้ใช้ประโยชน์ ขุมทรัพย์แห่งร่างกาย และจิตใจของเราแต่ส่วนน้อยเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหมายความว่า มนุษย์เราต่างดำรงชีวิต อยู่ห่างไกลจากจุดหมายที่เราควรจะ ก้าวไปถึง มนุษย์เราต่างมีพลังอยู่นานาชนิด พลังซึ่งเขามักจะล้มเหลวอยู่เสมอ ในอันที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์
จงยกย่องสรรเสริญผู้อื่น แม้เขาได้ทำสิ่งใดๆดีขึ้นเพียงเล็กน้อยและยกย่องทุกครั้งที่เขาทำ สิ่งใดๆได้ดียิ่งขึ้น จง "เห็นพ้องด้วยน้ำใส ใจจริง และยกย่องชมเชยอย่างเต็มที่"
ประการที่ 7 จงตั้งชื่อหมาให้เพราะ
· มนุษย์เราตามปกติธรรมดา จะจูงใจได้ง่ายดาย ถ้าเขานับถือท่าน และท่านแสดงความเลื่อมใสต่อความ ปรารถนาบางประการของเขา
· ถ้าท่านต้องการให้บุคคลใด กระทำบางอย่างดีขึ้นกว่าเก่า จงแสร้งทำเหมือนหนึ่งว่า เขามีคุณสมบัตินั้นอยู่แล้ว
· ถ้าท่านต้องการให้ใครก็ตามเป็นคนดีขึ้น จงอุปโหลกให้เขาเป็นคนดี ซึ่งเขาจะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพูด ของท่าน ยิ่งกว่าจะทำให้ท่านได้พบเห็นความไม่ดีของเขา
· ถ้าท่านต้องการจะติดต่อกับคนขี้ฉ้อคดโกง มีทางเหมาะสมอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงให้เขาทำตนเป็นคนดี
คือ ปฏิบัติต่อเขา ประหนึ่งเขาเป็นสุภาพชนผู้มีเกียรติ จงทึกทักเอาว่า เขาเป็นคนอยู่ในระดับปกติธรรมดาเหมือนมนุษย์อื่น
ทั้งหลาย การปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ซึ่งเขาจะแสดงกิริยาตอบโดยทำตนให้เป็นไปตามที่เขาได้รับการยกย่อง และเขาจะรู้สึกภูมิใจที่มีผู้ไว้วางใจเขา
จงอุปโหลกผู้อื่นในสิ่งดีงาม เพื่อเขาจะได้เป็นไปตามนั้น
ประการที่ 8 จงทำให้ความผิดเป็นของง่ายที่จะแก้ไข
· การบอก เด็ก สามี ภรรยา เสมียนพนักงานว่าเขาโง่ หรือทึ่มในสิ่งโน้นสิ่งนี้ หรือเขาไม่มีพรสวรรค์ในงานนั้นๆ และที่เขาทำไปแล้วล้วนแต่ผิด แปลว่าท่านได้ทำลายโดยสิ้นเชิงต่อสิ่งที่กระตุ้นให้เขามีความพากเพียร เพื่อทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น ท่านควรใช้เทคนิคตรงข้าม ท่านจงมี ใจกว้าง ด้วยการให้ความสนับสนุน กำลังใจแก่เขา ท่านจงกระทำในสิ่งที่จะส่งเสริมให้เขา เห็นว่าเป็นของง่ายในการปฏิบัติสิ่งนั้นๆ ท่านจง แสดงตนให้เขารู้สึกว่าท่านเลื่อมใสในความสามารถของเขา ความสามารถ ซึ่งเขามีแวว แต่เขายังไม่ได้นำออกมาใช้ ผลก็คือ เขาจะพยายาม ปฏิบัติสิ่งนั้นๆ เพื่อเอาชนะมัน แม้ต้องใช้เวลาตลอดคืนก็ตาม
จงใช้การสนับสนุนกำลังใจ จงทำให้ความผิดซึ่งท่านต้องการแก้ไข ดูเป็นของง่ายที่จะแก้ไข จงทำให้สิ่งที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติ เป็นของง่ายที่จะปฏิบัติ
ประการที่ 9 จงทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ท่านต้องการ
· หลักสำคัญแห่งมนุษยสัมพันธ์ : จงทำให้ผู้อื่นมีความสุขที่จะกระทำในสิ่งที่ท่านเสนอแนะแขา
· มีชายคนหนึ่งสามารถปฏิเสธคำเชิญให้เป็นผู้พูดในงานต่างๆ คำเชิญซึ่งมาจากมิตรสหายของเขา คำเชิญซึ่งมาจากบุคคลที่เขารู้สึกใน บุญคุณ แม้กระนั้นเขาสามารถทำให้ผู้ที่ถูกเขาปฏิเสธได้รับความพอใจในการปฏิเสธนั้น เขาทำอย่างไรหรือท่าน? เขามิได้กล่าวแก้ตัวว่าเขา มีธุระยุ่ง หรือมีเหตุติดข้องอย่างนั้นอย่างนี้ เขามิได้ทำเช่นนั้น เขาทำดังนี้
คือ หลังจากแสดงความยินดีที่ได้รับเชิญ และแสดงความเสียใจที่ เขาไม่มีความสามารถพอในการปฏิบัติตามตามคำเชิญนั้น เขาจะเสนอชื่อผู้อื่นให้พูดแทนเขา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขามิได้ทำให้ผู้เชิญเกิด ความรู้สึกเสียใจต่อคำปฏิเสธของเขาเลย แม้แต่ขณะเดียว เขาทำให้ผู้เชิญคิดถึงอีกคนหนึ่ง เพื่อเชิญมาเป็นผู้พูดในทันทีทันใด โดยเน้นความ น่าสนใจของบุคคลอื่น
· เทคนิคแห่งการให้อำนาจและตำแหน่ง ได้ปรากฎผลดีแก่นโปเลียนมาแล้ว
จงทำให้ผู้อื่นมีความสุขที่จะกระทำในสิ่งที่ท่านเสนอแนะแก่เขา
จิตวิทยาของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน
· Tab 1
จิตวิทยาของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน
บุคคลทุกคนมักต้องมีกลุ่มมีพวก ตัวอย่างกลุ่มหรือพวกของกลุ่มบุคคล เช่น ครอบครัว เพื่อนฝูง ทีมงาน สมาคม ชมรม ผู้ทำงานในหน่วยงานเดียวกัน หรือแม้กระทั่งการทำงานในองค์การธุรกิจก็จัดว่าเป็นกลุ่มหรือพวกประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยคนจำนวนมากมาอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันในบทบาทหน้าที่ต่างๆ กันไป ซึ่งแต่ละคนมักมีเพื่อนฝูงร่วมงานทั้งที่อยู่ในระดับที่เหนือกว่า เท่ากัน และเพื่อนร่วมงานที่ต่ำกว่า ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด บุคคลเหล่านี้ต้องทำงานเกี่ยวข้อง และติดต่อสัมพันธ์กัน ถ้าหากบรรยากาศของความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดีมักส่งผลให้บุคคลนั้นเป็นสุข เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความสุขส่วนใหญ่ของชีวิตจึงมักขึ้นอยู่กับมนุษยสัมพันธ์ ทั้งในแง่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นเพื่อให้มีความสุขในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น และทำงานร่วมกับผู้อื่น บุคคลจึงควรเรียนรู้และปรับปรุงตนเองในเรื่องจิตวิทยาของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน อันได้แก่มนุษยสัมพันธ์ในหน่วยงานนั่นเอง
ในที่นี้จะกล่าวถึงความหมายและความสำคัญของมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ องค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์ ลักษณะของกลุ่มทำงานที่มีสัมพันธ์อันดี และการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
ความหมายและความสำคัญของมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ
คำว่า “มนุษยสัมพันธ์” (human relations) นี้ มีผู้ให้ความหมายไว้หลายท่าน จะยกมากล่าวเพียง 3 ตัวอย่าง ดังนี้
เอ็ดวิน บี ฟลิปโป (Flippo 1966:15 อ้างถึงในจรูญ ทองถาวร 2536:2) ให้ความหมายไว้ว่า มนุษยสัมพันธ์คือ การรวมคนให้ทำงานร่วมกันในลักษณะที่มุ่งให้เกิดความร่วมมือ ประสานงาน ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อให้บังเกิดผลตามเป้าหมาย
คีธ เดวิส (Davis 1957:9) กล่าวว่า มนุษยสัมพันธ์ เป็นการจูงใจบุคคลในกลุ่มให้ร่วมมือกันเพื่อทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ บังเกิดผลเป็นที่น่าพอใจทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม
ประยูร ทองสุวรรณ อธิบายว่า มนุษยสัมพันธ์เป็นเรื่องราวที่ว่า ด้วยพฤติกรรมของคนที่มาเกี่ยวข้องกับ การทำงานร่วมกับองค์การหรือหน่วยงาน เพื่อให้การทำงานร่วมกันดำเนินไปด้วยความราบรื่น บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
จากความหมายของมนุษยสัมพันธ์ที่ยกมาเป็นตัวอย่างทั้ง 3 ความหมายดังกล่าว อาจสรุปได้ว่ามนุษยสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์การนั้นหรือสังคมนั้นบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ มนุษยสัมพันธ์อันดีและมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี ถ้ามีมนุษยสัมพันธ์อันดี บุคคลในองค์การหรือสังคมดังกล่าวก็จะมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกันและกันมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงาน ช่วยเหลือ แบ่งปันและให้อภัยต่อกัน แต่ถ้ามนุษยสัมพันธ์ไม่ดี บุคคลในองค์การนั้นหรือสังคมนั้นก็มักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่ช่วยเหลือ ต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือกลุ่มสังคมนั้นๆ เสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุข ซึ่งในท้าที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้นๆ ไม่มากก็น้อย
ที่กล่าวมานี้ นอกจากเป็นการอธิบายความหมายของมนุษยสัมพันธ์ ยังสะท้อนให้เห็นได้ว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ มักมองความสำคัญ ของมนุษยสัมพันธ์ ในแง่ของการนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานร่วมกันในหน่วยงาน ซึ่งถ้าทำงานร่วมกัน ในบรรยากาศของความสัมพันธภาพอันดีต่อกันนอกจากจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของงานแล้วยังส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิต ของบุคคลที่มาทำงานร่วมกันด้วยการมองเห็นความสำคัญของมนุษยสัมพันธ์ต่อการทำงานในหน่วยงานนี้ สอดคล้องกับแนวคิดของ แมรี่ ปาร์กเกอร์ โฟลเล็ตต์ ซึ่งเป็นนักบริหารที่ทำงานทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการแนะแนวอาชีพ โดยโฟลเล็ตต์มีความเห็นว่า ในการดำเนินงานนั้น ผู้เป็นนายทุนไม่ควรคิดแต่เรื่องเงิน หากแต่ควรใช้จิตวิทยา ในการบริหารงานและในการสร้างความสัมพันธ์พัยดีในหน่วยงาน ถ้าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้สึกผูพันต่อกันและต่อองค์การ คือมีมนุษยสัมพันธ์อันดี จะช่วยลดความขัดแย้งในหน่วยงานลงได้ ซึ่งถ้าความขัดแย้งลดลงก็น่าจะเป็นแนวทางให้ประสิทธิภาพของงานเพิ่มขึ้น แนวคิดดังกล่าวนี้ยังสอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ สถาบันเทคโนโลยีคาร์เนกี สถาบันดังกล่าวได้วิเคราะห์ประวัติของบุคคลถึงหมื่นคน และผลการวิเคราะห์พบว่าปัจจัยด้านบุคลิกภาพ ลักษณะส่วนตัว และการปฏิบัติต่อผู้อื่นช่วยให้กลุ่มตัวอย่างประสบความสำเร็จถึงร้อยละ 85 แต่ปัจจัยด้านความสามารถ ด้านมนุษยสัมพันธ์มีความสำคัญมาก ทั้งต่องานและชีวิตส่วนตัวของบุคคล ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า มนุษยสัมพันธ์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในชีวิตและการงาน เรื่องของมนุษยสัมพันธ์ จึงเป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตและการทำงานร่วมกันในสังคม
องค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์
การสร้างมนุษยสัพันธ์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด จะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเป็นปัจจัย สนับสนุน หรือเป็นอุปสรรคของความสัมพันธ์ของกลุ่มแล้วดำเนินการสร้างเสริมพัฒนา และปรับปรุงปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น ให้เป็นปัจจัย ที่เอื้อต่อมนุษยสัมพันธ์ที่ดีให้ได้ สำหรับองค์ประกอบของมนุษย์สัมพันธ์นี้ พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ มีความเห็นว่ามี 3 ประการด้วยกัน ได้แก่ การรู้จักตน การเข้าใจผู้อื่น และการมีสภาพแวดล้อมที่ดี โดยได้เสนอเป็น แผนภูมิแสดงองค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อนำมา ประยุกต์ใชั เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานในองค์การ อาจกล่าวได้ว่า องค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์ ในองค์การ ประกอบด้วยการรู้จักตน การเข้าใจเพื่อนร่วมงานและการสร้างสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้ดี ซึ่งอาจจะเขียนเป็น แผนภูมิแสดงองค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์ในหน่วยงานได้ดังนี้
มนุษยสัมพันธ์
--------------------------------------------------------------------------------
รู้จักตน เข้าใจผู้อื่น สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี
วิเคราะห์ตน วิเคราะห์ความแตกต่างของผู้อื่น วิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
ปรับปรุงตน ยอมรับความแตกต่าง ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม
พัฒนาคนให้เข้ากับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
มนุษยสัมพันธ์
--------------------------------------------------------------------------------
ตนสุข ผู้อื่นสุข สิ่งแวดล้อมดี
แผนภูมิแสดงองค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์
จากแผนภูมิซึ่งแสดงความสัมพันธ์ในหน่วยงาน จะเห็นได้ว่ามนุษยสัมพันธ์ในหน่วยงานมีองค์ประกอบเป็น 3 ประการ คือ การรู้จักตน การเข้าใจเพื่อนร่วมงาน และสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ดี ในเรื่องของการรู้จักตนนั้น บุคคลควรต้องวิเคราะห์ตน เพื่อให้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ทั้งลักษณะที่ดีและไม่ดี แล้วปรับปรุงตน ในส่วนที่เป็นลักษณะที่ไม่ดี ซึ่งอาจสร้างปัญหาและอุปสรรค ในการทำงาน และการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น นอกจากจะเป็นแนวทางให้วิเคราะห์เพื่อนร่วมงานและเข้าใจเพื่อนร่วมงานให้มากขึ้นแล้ว ยังช่วยยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล และพัฒนาตนให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี ส่วนความเข้าใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ในที่ทำงานดี จะเป็นตัวกระตุ้น ให้บุคคลวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นแนวทางพัฒนาตน ให้เข้ากับที่ทำงาน ให้ได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดดังกล่าวนั้น จะส่งผลต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ เมื่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การดี ก็จะทำให้บุคคล เป็นสุข เพื่อนร่วมงานสุข และสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานดี ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพที่ดีขององค์การ จึงเห็นได้ว่า การศึกษาในเรื่อง องค์ประกอบ ของมนุษยสัมพันธ์ดังกล่าว จะข่วยให้บุคคลเกิดความเข้าใจและเกิดแรงกระตุ้น ในการประพฤติ ปฏิบัติให้เกิด องค์ประกอบ ดังกล่าว อันนำมาซึ่งความสัมพันธ์อันดีในองค์การ
ลักษณะของกลุ่มทำงานที่มีความสัมพันธ์อันดี
การศึกษาเรื่องลักษณะของกลุ่มทำงาน ที่มีความสัมพันธ์อันด ีในที่นี้เพื่อให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจ และค้นหาแนวทาง สร้างเสริม ความสัมพันธ์ดันดีต่อกันในหน่วย งานที่ตนเอง เป็นสมาชิกตามบทบาท หน้าที่ของตนในหน่วยงานนั้นๆ คำว่า “ลักษณะของกลุ่มงาน” ที่กล่าวถึงในที่นี้มุ่งเน้นที่พฤติกรรมการกระทำ การปฏิบัติต่อกัน และ กันของผู้ทำงานร่วมกลุ่ม ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้
1 มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย
บุคคลส่วนใหญ่มักต้องการมีส่วนร่วมในกลุ่มที่ตน เป็นสมาชิกซึ่ง การทำงานร่วมกัน แบบประชาธิปไตย จะสนองความต้องการ นี้ได้ โดยที่ทุกคนต่างมีสิทธิมีเสียง ในการแสดงความคิดเห็น ต่องาน รับฟัง ความคิดเห็น ของกันและกัน และเคารพใน มติของ เสียงส่วนใหญ่ซึ่งจาก ผลการศึกษาวิจัยของเลอวิน นักจิตวิทยา กลุ่มทฤษฎีสนาม พบว่า การทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย ช่วยให้กลุ่มมีความร่วมมือ และงานสำเร็จดีกว่า กลุ่มเผด็จการ หรือกลุ่มเสรีนิยม จึงกล่าวได้ว่าการทำงานร่วมกัน แบบ ประชาธิปไตย ช่วยเสริมสร้าง มนุษยสัมพันธ์ ในหน่วยงานได้
2 มีความไว้วางใจ และเชื่อในความสามารถซึ่งกัน และกัน
บุคคลทั่วไปมักต้องการความเชื่อถือไว้วางใจ จากผู้อื่น ดังนั้นในการทำงานร่วมกันทุกคน ควรต้องให้ความไว้วางใจซึ่งกัน และกัน ให้เกียรติ และเชื่อถือในความ สามารถของเพื่อนร่วมงาน ไม่เข้าไปก้าวก่ายถ้าเขาไม่ขอความช่วยเหลือ การก้าวก่าย เกินหน้าที่ มักก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง สร้างผลเสียต่องานมากกว่าผลดี
3 มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน
มนุษย์ทุกคน มักต้องการ ความชัดเจน ในงาน และต้องการความสบาบใจในการอยู่ร่วมกันด้วย ซึ่งการติดต่อสื่อสารที่ดี นอกจาก ช่วยสร้าง ความเข้าใจใน งานร่วมกัน แล้วยังช่วยเสริมความสัมพันธ์ส่วนตัว กันด้วย ถ้ากลุ่มมี การติดต่อสื่อสาร ที่ดีจะมี ส่วนส่งเสริม ทั้งประสิทธิภาพของงาน และการอยู่ร่วมกัน ในกลุ่มทำงานที่ดีนั้น มักใช้การ สื่อสารสองทาง หรือหลายทาง มากกว่า สื่อสารทางเดียว คือให้มีการตอบโต้ อภิปราย แสดงความเห็น หรือซักถามข้อสงสัยร่วมกันมากกว่าที่จะรับคำสั่ง หรือรับฟังความ คิดอยู่ข้างเดียว ขณะเดียวกันในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารไม่ว่า จะเป็นการพูดหรือเขียน ก็ให้เป็นไปตาม ทางสร้าง สรรค์ให้เกิดผลดีต่อกัน และกัน
4 มีการช่วยเหลือกันในขอบเขตที่เหมาะสม ในการทำงาน และอยู่ร่วมกันในกลุ่ม ถ้าทุกคนพร้อมต่อ การเป็นผู้ให้ ย่อมทำให้เกิด ความสุขในกลุ่มได้ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จัดว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึก เป็นมิตร ซาบซึ้งใจ พึงพอใจ และเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้ในขอบเขตที่เหมาะสม เช่น ให้เมื่ออีกฝ่ายต้องการความช่วย เหลือ ให้โดยไม่มีผลกระทบในทางเสียหาย ต่องานส่วนรวม หรือช่วยเหลือโดย เลือกที่รักมักที่ชัง คือขาดความยุติธรรม ซึ่งบางทีนำไปสู่การแตกสามัคคีหรืออิจฉาริษยา กันในหน่วยงาน การช่วยเหลือกัน ในขอบเขตที่เหมาะสม ไม่ว่าจะ อยู่ในสถานะ ของผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่ระดับเดียวกัน หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ก็ย่อมนำมาซึ่งการอยู่ร่วม กันโดยราบรื่นสงบสุข
5 มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
การทำงานร่วมกันโดยหลายคนนั้น ถ้ามีทีมงาน (team work) ที่เหมาะสม คือ มีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคน รู้บทบาทหน้าที่ และมี ขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกัน เป็นอย่างดี มักส่งผลให้งานสำเร็จ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย
6 มีการร่วมมือที่ดี
การร่วมมือ เป็นพฤติกรรมของกลุ่ม ที่มีลักษณะ ไปในทาง เดียวกันของสมาชิกกลุ่ม คือแต่ละบุคคลจะได้รับ ความสำเร็จ ตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อกลุ่มได้รับความ สำเร็จ ดังนั้นจึงจัดได้ว่า ในการทำงานร่วมกันนั้น ถ้าทำให้ทุกคน ร่วมมือกัน ทำเพื่อให้กลุ่ม ทำงานสำเร็จได้ ก็จัดว่า กลุ่มดังกล่าวมีความสามัคคี และมีความ สัมพันธ์อันดีต่อ กัน วิธีนี้จะเป็นที่ยอมรับ ของนักจิตวิทยา มากกว่า การแข่งขัน เนื่องจากในกระบวนการของการแข่งขันนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งได้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเสีย แม้บางครั้งการแข่งขันอาจ ทำให้ผลงาน ของกลุ่มดีขึ้น แต่ในแง่ของสัมพันธภาพมักเสียไป
7 ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะที่เอื้อต่อการมี มนุษยสัมพันธ์ ที่ดี
ในการทำงานร่วมกัน ถ้าผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะบางประการ ที่เอื้อต่อการมี มนุษยสัมพันธ์ ที่ดี คือมีลักษณะส่วนตัว ที่พร้อมอยู่แล้ว ก็ย่อมส่งผลให้การทำ งานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีดอันดี เช่นสมาชิกกลุ่มมีความสมัครใจในการทำงานนั้น รู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม รู้วิธีดำเนินงานกลุ่ม รู้นโยบาย และเป้าหมายของงาน มีความเป็น กันเอง คบคนง่าย มีลักษณะให้กำลังใจผู้อื่น ฯลฯ ด้วยลักษณะของสมาชิกกลุ่มดังกล่าวนี้ มักส่งผลให้เกิด มนุษยสัมพันธ์ อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
ลักษณะ 7 ประการของกลุ่มทำงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดีดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามีทั้งส่วนที่เป็น รูปแบบของการทำงานร่วมกัน และส่วนที่เป็นลักษณะส่วนตัวของผู้มาร่วมกลุ่มทำงาน ในส่วนที่เป็นรูปแบบการทำงานเช่น มีการทำงานร่วมกัน แบบประชาธิปไตย มีความไว้วางใจ และเชื่อในความสามารถ มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน มีการช่วยเหลือกันในขอบเขต ที่เหมาะสม มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ และมีการร่วมมือที่ดี สำหรับส่วนที่เป็น ลักษณะส่วนตัวของผู้มาร่วมกลุ่มทำงานนั้น จัด เป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะช่วย ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อร่วมงาน เป็นไปด้วยดีกรือไม่ ได้แก่ความคิด จิตใจ เจตคติ บุคลิกภาพส่วนตัวของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับ กันว่าสิ่งเหล่านี้ มีอิทธิพลมากต่อ ความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามลักษณะดังกล่าว นักจิตวิทยามีความเชื่อว่า สามารถปรับเปลี่ยนพัฒนาได้ ถ้าบุคคลมีความตั้งใจจริง ผู้ทำงานร่วมกันจึงถือเป็น ความรับผิดชอบที่จะต้อง ปรับเปลี่ยนพัฒนาตน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในหน่วยงาน
การพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในการทำงานร่วมกันนั้น บุคคลควร ตระหนักใน ความรับผิดชอบร่วมกันว่า ทุกคนจะเริ่มที่ตัวของตัวเอง การปรับเปลี่ยนตนเอง เพื่อให้อยู่ร่วมกับผู้อื่น อย่างเป็นสุขนั้น จะอยู่ในวิสัย ที่จะจัดการได้ดีกว่า การมุ่งปรับเปลี่ยนผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อม เมื่อบุคคลมี พฤติกรรมที่ดีกับผู้อื่น ในที่สุดก็จะได้ปฏิกิริยา ตอบสนองที่ดี จากผู้อื่นกลับคืนมา ดังมีคำกล่าวในสุภาษิตไทยตอนหนึ่ง ในประชุมโคลงโลกนิติ ที่ว่า
ให้ท่านจักให้ ตอบสนอง
นบท่านท่านจักปอง นอบไหว้
รักท่านท่านควรครองความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้ แด่ผู้ทรชน คำกลอนดังกล่าวมีความหมายว่า การที่บุคคลให้สิ่งใดแก่ผู้อื่นก็มีแนวโน้ม จะได้รับสิ่งนั้น สะท้อนกลับคืนมา เช่นเดียวกัน ซึ่งบางทีการสะท้อนกลับคืนมานั้นอาจมิใช่ เพราะผู้อื่นนำมาให้เสมอไป ในหลายเรื่อง ได้รับจาก ความรู้สึกของตัวเราเอง เช่น เมื่อให้ความรักให้น้ำใจแก่คนอื่นผลจาก การให้ทำให้ตนเองรู้สึก ปลาบปลื้ม เป็นสุขภาคภูมิใจในตนเอง ความรู้สึกดีๆ ดังกล่าวนี้เป็นผลสะท้อนจาก การให้ที่เกิดขึ้น ในใจของเราเองโดยที่คนอื่น ไม่ต้องนำความรู้สึกนี้มาให้ และนับว่ามีสูงส่ง เนื่องจากเรื่องของความรู้สึกดีๆ นั้น ซื้อหาไม่ได้ด้วยเงิน การพัฒนาตน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี กับเพื่อนร่วมงาน อาจทำได้หลายลักษณะ หลายแนวทาง ในที่นี้จะกล่าว โดยสังเขป ในแนวปฏิบัติ บางประการที่เหมาะสมกับผู้ทำงาน ได้แก่ การสร้างอัตตมโนทัศน์ที่ตรงตามความเป็นจริง การมองตนเอง และผู้อื่นในทางที่ดี การปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
การพัฒนาการวางตนตามสถานะ และบทบาทในองค์การดังนี้
1 การสร้างอัตตมโนทัศน์ ที่ตรงตามความเป็นจริง
คำว่า อัตตมโนทัศน์ ซึ่งบางคนเรียกว่า ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตนเอง นี้ โรเจอร์ ซึ่งเป็นผู้นำของ นักจิตวิทยา กลุ่มมนุษยนิยม กล่าวว่า เป็นความคิดความรู้สึกที่ เป็นข้อสรุปต่อตนเองของบุคคล ความคิดความรู้สึกดังกล่าว เป็นผลิตผลจาก ประสบการณ์ ในชีวิต ที่ได้มี การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง อัตตมโนทัศน์เป็นภาพทั้งหมด ของบุคคล ในความคิดคำนึง ซึ่งมิได้เจาะจง ที่จุดใด จุดหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ไม่เจาะจงว่าเป็นคนสูงมาก อ้วนมาก โกรธง่าย หงุดหงิด หรือเป็นคนอารมณ์ขัน ฯลฯ หากแต่ เป็นความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง ในภาพรวมทั้งหมด เช่น ความรู้สึก เกี่ยวกับ สภาพอารมณ์ และร่างกายทั้งหมด กิจกรรมทุกอย่างที่ปฏิบัติ ทุกสิ่งที่ปฏิบัติ และล้มเหลว รวมทั้ง ความรู้สึก ของบุคคลที่ว่า บุคคลอื่นมองเขาอย่างไร ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ เกิดจากการที่บุคคลติดต่อ สัมพันธ์กับผู้อื่น เช่นได้จาก การสังเกต กิริยาอาการ ของผู้อื่นที่ แสดงต่อตน จากการได้รับ การยอมรับ หรือไม่ได้รับการยอมรับ จากตำแหน่ง หน้าที่ในสังคม ฯลฯ ซึ่งอัตตมโนทัศน์ เหล่านี้จะมีทั้งบวก และลบ
แต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ บุคคลแต่ละคนมิได้มีอัตตมโนทัศน์ที่ถูกต้องเที่ยงแท้เสมอไป บางครั้งมี การเข้าใจตนเอ งผิดจากประสบการณ์บางประการ โดย อาจจะมองบวกมากไปเกี่ยวกับตนเอง เช่น มีเสน่ห์แรง ทำงานเก่ง สติปัญญาเป็นเลิศ หรืออาจจะมองลบเป็นส่วนใหญ่ เช่นอาจคิดว่าตนเองพูดไม่
เป็นอ่อนแองุ่มง่าม บุคลิกภาพไม่ดี ฯลฯ คนบางคนมองแต่แง่ดี ในตัวเอง ไม่ยอมรับข้อเสีย บางคนมองแต่ข้อเสียไม่ยอมรับข้อดี แท้ที่จริงแล้วบุคคลมักจะมีทั้งข้อดี และข้อจำกัดในตัวเอง ซึ่งบุคคลควร ที่จะพยายามสร้างอัตตมโนทัศน์ให้ตรง ตามความเป็นจริง โดยหมั่นสำรวจตรวจสอบ ตนเองอยู่เสมอ โดยอาจจะพูด หรือเขียนประโยคต่างๆ ที่เป็นการบรรยายตนเอง แล้วพูดคุยกับผู้ใกล้ชิดว่า บุคคลเหล่านั้น เห็นด้วยกับสิ่งที่พูด หรือเขียนอย่างไร หรืออีกวิธีหนึ่งที่อาจจะช่วยให้ การสำรวจตรวจสอบตนเองเป็นไปได้ด้วยดี คือ การใช้แบบสำรวจตนเอง ซึ่งบุคคลจะต้อง ควบคุมตนให้ตอบอย่างซื่อตรง และจริงใจต่อตนเองเพื่อให้ค้นพบตัวเองที่แท้จริง ปัจจุบันมีผู้สร้างแบบสำรวจตนเอง เกี่ยวกับ มนุษยสัมพันธ์ ไว้มาก ตัวอย่างแบบสำรวจตนเองชุดหนึ่งที่น่าสนใจ เช่น แบบสำรวจชื่อ “มองตนเพื่อสร้างสัมพันธ์” ของวัชรี ธุวรรม อันเป็นแบบสำรวจที่สร้าง และปรับปรุงขึ้น เพื่อใช้สำหรับให้บุคคลสำรวจ ตรวจสอบตนเอง ในลักษณะของตน บางด้านที่เกี่ยวกับ พัฒนาการทางสังคม เพื่อให้รู้จักตนเองเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับลักษณะทางสังคมของตน เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนด้านสัมพันธภาพกับผู้อื่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนางานในหน้าที่ได้ด้วย
มองตนเพื่อสร้างสัมพันธ์
จากแบบสำรวจดังกล่าว ซึ่งให้เจ้าตัวได้ประเมินตนเองจากความคิดคำนึงของตนว่าตนเองเป็นคนอย่างไร ในลักษณะต่างๆ ตามหัวข้อที่กำหนดให้ทั้ง 30 ข้อ เมื่อ เสร็จการประเมินตนเองแล้ว บุคลอาจนำไปสนทนาแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น กับผู้ใกล้ชิดว่า มีใครเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร แล้วใช้เวลาส่วนหนึ่งอยู่ตามลำพังเพื่อเปรียบ เทียบความคิดเห็นของตน และผู้อื่นต่อตนเอง ลักษณะใด บ้างที่เห็นตรงกัน และลักษณะใดบ้างที่เห็นไม่ตรงกัน จากการหาเหตุผล อาจนำไปสู่การมีอัตตมโนทัศน์ ที่ตรง ตาม ความเป็นจริง และทำให้ค้นพบ ลักษณะบางอย่างที่ดี อยากรักษาไว้ และลักษณะบางอย่างในตัวเอง ที่อยากปรับปรุงอันจะนำไปสู่สัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น จากตัวอย่าง การสำรวจตนเองที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ความสามารถในการมองตนเอง ด้วยสายตาที่แท้จริง นำไปสู่ ความสัมพันธ์อันดี กับผู้อื่น และทำให้มีสุขภาพจิตดี เพราะช่วยให้สามารถทำตัวได้ตามสบาย ยอมรับในข้อจำกัดที่ตนมีอยู่ และมั่นใจ ในข้อดีของตน ไม่มีความจำเป็น ต้องปิดบังซ่อนเร้นตนเองด้วยกลไกการป้องกันตัว หาก แต่เป็นผู้สามารถ เป็นตัวของตัวเอง เมื่ออยู่ในที่แวดล้อมด้วยผู้คนหลากหลาย
· Tab 4
การมองตนเอง และผู้อื่นในทางที่ดี
นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ ซึ่งโดยมากมักเป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม มีความเห็นว่า เรื่องของ มนุษยสัมพันธ์ นั้น ควรเริ่มที่ตัวเองเป็นจุดแรก ทั้งนี้เพราะข้อเท็จจริง ที่ว่าการที่บุคคลรู้สึกต่อผู้อื่นเช่นไรส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับความรู้สึกของตนเอง ถ้ามีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเอง และมองตนเองในทางที่ดี ก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกต่อผู้อื่น ในทางที่ดี และมองผู้อื่นดีด้วย คำว่า “มองตนเองในทางที่ดี” ในความหมายของนักจิตวิทยา กลุ่มมนุษยนิยมนั้นมิได้หมายความว่า จะให้บุคคลหลอกตนเอง ไม่ว่าดีหรือ
ไม่ดีก็ให้มองดีไปหมด แต่หมายถึงการมุ่งให้ความสนใจกับจุดดีของตนเอง การคิดถึงตนเองในจุดที่ดีงาน เช่น มีน้ำใจ รับผิดชอบ ตรงเวลา รักความยุติธรรม ฯลฯ จะส่ง ผลให้ยึดปฏิบัติในสิ่งดีดังกล่าว จนอาจไม่มีเวลาคิดไม่ดี ทำไม่ดี ด้วยกระบวนการ ดังกล่าวนี้ นักจิตวิทยา เชื่อว่า จะยิ่งทำให้ตนเองมีความดีเพิ่มขึ้น ส่วนความไม่ดีก็มีแนว โน้มลดลงเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้ จะทำให้เกิดความคิดความรู้สึกที่ดี เกี่ยวกับตนเองเพิ่มขึ้นดังคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งกล่าวถึงการมองผู้อื่นในแง่ดี ดังนี้
มองแต่ในแง่ดีเถิด เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่เป็นประโยชน์ แก่โลกบ้าง ยังน่าดูส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลยจะหาคน มีดี โดยส่วนเดียวอย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ยเหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลยฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
จากคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เราทุกคนต่างมีส่วนที่ไม่ดีอยู่ในตนเองด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นในการทำงานร่วมกันในหน่วยงาน ทุก คนควรถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา และไม่ควรมุ่งให้ความสนใจ กับความไม่ดี ของเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครที่จะมีแต่ความดีโดยปราศจากความไม่ดี ถ้ามัวเสียเวลากับการค้น หาคนดีที่ปราศจาก ความไม่ดีก็จะพบว่า หาไม่ได้ในโลกนี้ เสียเวลา และแรงงานโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าพยายามมองข้ามความไม่ดีของเขา และมุ่งเลือกส่วนดีๆ เอามาให้ ให้เป็นประโยชน์ในการทำงานร่วมกัน ก็จุช่วยให้บรรยากาศในการทำงาน และผลงานดีขึ้นได้ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้วย กล่าวได้ว่าการมองกันในแง่ดีนั้น เป็น ประโยชน์ทั้งกับผู้มอง ผู้ถูกมอง และหน่วยงานเองก็ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน
การปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี
จอห์ บี.วัตสัน ผู้นำสำคัญของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ซึ่งเป็นกลุ่มจิตวิทยาที่เชื่อในเรื่อง การใช้สิ่งเร้าหรือสิ่งแวดล้อมมา เป็นเงื่อนไข ในการปรับเปลี่ยน และ พัฒนาพฤติกรรมของบุคคล ได้กล่าวให้เห็น อิทธิพลของสิ่งเร้าหรือสิ่งแวดล้อม ต่อพฤติกรรมหรือ การกระทำของคนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “พฤติกรรมนิยม” ซึ่งเขา เขียนไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 ความว่า “จงนำเด็กทารกมา ให้ข้าพเจ้าเลี้ยงดูสัก 1 โหล ซึ่งเป็นเด็กที่สมบูรณ์ ลักษณะปกติ ข้าพเจ้ารับรองว่าจะสามารถสร้างให้เขาเหล่านั้น เป็นอะไร ก็ได้ตาม ต้องการ อาจจะเป็นนายแพทย์ นักกฎหมาย ศิลปิน ผู้นำทางการค้า หรือแม้กระทั่งขอทาน และหัวขโมย… ทั้งนี้โดยไม่สนใจว่า บรรพบุรุษของเด็กเหล่านี้ นั้นมีความสามารถ อาชีพ หรือเชื้อชาติใดมาก่อน” จากคำพูดของวัตสันดังกล่าว แสดงให้เห็น ความเชื่อของ นักจิตวิทยาในด้านพฤติกรรมหรือการกระทำของบุคคลว่า บุคคลจะมีพฤติกรรม โน้มเอียงไปตามสิ่งเร้า หรือสภาพแวดล้อม ถ้าได้รับ แรงกระตุ้น หรือสิ่งแวดล้อมในแง่ดีพฤติกรรมก็ออกมาดี และถ้าแรกระตุ้น เป็นไปในแง่ลบ ก็อาจได้ผลพฤติกรรม ในแง่ลบอ อกมา คำอธิบายนี้ นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในแง่ ของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนร่วมงานได้ แนวปฏิบัติที่สำคัญ เกี่ยวกับ การปฏิบัติต่อผู้อื่น เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกันมีดังนี้
1 ให้ความสนใจเพื่อร่วมงาน คือบุคคลส่วนใหญ่ชอบให้ผู้อื่นสนใจ ดังนั้น จึงควรให้ความสนใจเพื่อนร่วมงานโดยการทักทายปราศรัย ถามในสิ่งดีๆ ของเพื่อนร่วมงาน เช่น ผลงานที่ได้รับความสำเร็จ ครอบครัวที่อบอุ่น ลูกๆ ที่เจริญก้าวหน้า ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนร่วมงาน รู้สึกพอใจ และเป็นสุข
2 ยิ้มแย้ม คือการยิ้มของบุคคลที่ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง มักแสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชื่น ชอบพอ รักใคร่ จึงเห็นได้ว่า การยิ้มเป็นหัวใจ สำคัญของการสร้างสัมพันธภาพ โดยไม่จำกัดสถานะ เชื้อชาติ เพศ หรือวัย แต่ขณะเดียวกัน ก็ควรใช้การยิ้มให้เหมาะสม กับกาละเทศะ ด้วย ถ้ายิ้มผิดเวลาผิดที่ก็อาจทำลายความสัมพันธ์กันได้ เช่น เพื่อน กำลังมีความทุกข์แต่เรายิ้ม เพื่อนกำลังถูกสั่งพักงาน เราก็ยิ้มกับคำสั่งนั้น เช่นนี้เรียกว่ายิ้มผิดเวลา
3 แสดงการจำได้ วิธีการแสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ จำเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ดีๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกัน จำความสำเร็จที่เพื่อนได้รับ จำวันเกิด วันสมรสของเพื่อนได้ ฯลฯ ซึ่งเมื่อมีโอกาสก็ทักทาย หรือคุยเรื่องเก่าที่เก็บไว้ในความทรงจำ หรืออวยพอในโอกาสวันสำคัญ ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันได้มากขึ้น
4 เป็นคู่สนทนาที่ดี การแสดงตนเป็นคู่สนทนาที่ดีของเพื่อนร่วมงานนั้น อาจโดยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้อีกฝ่าย ได้พูดคุยตาม ความต้องการของเขา ทั้งนี้โดยต้อง ฟังอย่างตั้งใจฟัง เพื่อให้จับใจความได้ และตอบสนองตอบคำพูดของคู่สนทนา ไม่ขัดจังหวะ ไม่ขัดคอ ซึ่งหน้าจะช่วยให้ผู้พูดมีความสุข แต่ควรระวัง งดการพูดเสริม เมื่อมีการนินทาบุคคลที่สาม เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อไป
5 รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คือไม่ผูกขาดอยู่กับความคิดของตนเองข้างเดียว ผู้ที่ผูกขาดความคิดเห็น ของตนมักเป็นคนที่ชอบ เอาชนะเมื่อแสดงความคิดเห็น ถือเอา ความเห็นของตนว่า สำคัญกว่าความเห็นของผู้อื่น มักโต้แย้งความเห็นของผู้อื่น ฯลฯ การแสดงต่อผู้อื่น โดยวิธีนี้มักทำให้ขาดเพื่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคม หัวหน้า งานก็มักไม่อยาก มอบหมายงาน ให้ทำงานสำคัญ เพราะมีลักษณะ “เข้าที่ไหนวงแตกที่นั่น” จึงควรทำในสิ่งตรงข้าม คือ พยายามรับฟัง และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้ อื่น
6 แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ ทั้งนี้เนื่องจากเพื่อนร่วมงานของเรานั้น บางคนมีอาวุโสด้านอายุ อาจสูงส่งด้วยชาติตระกูล อาจมีความรู้สูง อาจมีทักษะ ประสบการณ์เหนือผู้อื่น หรืออาจมีตำแหน่งงานเหนือใครอยู่บ้าง ผู้มีจิตใจสูง มีวุฒิภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ ควรให้เกียรติ และเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนร่วมงานตาม สถานภาพนั้นๆ หรืออย่างน้อยก็ยอมรับ ในศักดิ์ศรีของความเป็น เพื่อนมนุษย์ และเพื่อนร่วมงาน
7 แสดงความมีน้ำใจ ซึ่งการมีน้ำใจต่อผู้อื่น อาจแสดงออกได้หลายแนวทาง เช่นการเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ ให้อภัย ให้กำลังใจ คุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยซึ่งควรรักษาไว้ และแสดงต่อเพื่อนร่วมงานด้วยกัน ซึ่งจะช่วยให้สัมพันธภาพเป็นไปด้วยดี
8 แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องจากเพื่อนร่วมงานแต่ละคนในหน่วยงาน มักมีวันพิเศษหรือเหตุการณ์สำคัญของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เช่น อาจจะเป็นวันรับรางวัลพิเศษ การได้เหรียญเชิดชูเกียรติ ฯลฯ ความพิเศษดังกล่าว เหล่านี้บุคคลควรหาโอกาส แสดงความชื่นชม ยินดีต่อเพื่อนร่วมงานด้วยความจริงใจ ซึ่งจัดว่าเป็นการแสดงน้ำใจให้ ความสนใจ และยอมรับเพื่อนร่วมงานในความสำเร็จนั้นๆ ด้วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมดในเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี สิ่งเหล่านี้จัดเป็น การสร้างสิ่งแวดล้อม หรือบรรยากาศทางจิตวิทยาที่ดี ในที่ทำงาน ซึ่งจะเป็น แรงกระตุ้นการสนองตอบที่ดี จากอีกฝ่ายหนึ่ง ช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันมากขึ้นในหน่วยงาน หลักปฏิบัติดังกล่าวนี้ เมื่อพิจารณาใหใดีจะเห็นได้ว่า ตรงกับหลัก สังคหวัตถุในคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักธรรม 4 ประการที่ใช้ปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนร่วมงานได้ อันได้แก่ ทาน ปิยะวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา
คำว่า “ทาน” หมายถึงการให้น้ำใจ ให้เกียรติ ให้คำแนะนำช่วยเหลือ ให้ความเป็นมิตร
คำว่า “ปิยะวาจา” หมายถึงการใช้วาจาดีรู้จักการพูด ยกย่องชมเชยผู้อื่น ไม่พูดจาเหน็บแนม ส่อเสียดใส่ร้ายผู้อื่น ไม่พูดในสิ่งที่ผู้อื่นไม่อยากฟัง
คำว่า “อัตถจริยา” หมายถึงการปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และแก่
ผู้อื่นในแนวทางที่ดีงาม
และคำว่า “สมานัตตตา” หมายถึงการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นอย่างเสมอต้นเสมอปลายในแนวทางที่เหมาะสม
ซึ่งจะเห็นได้ว่า แนวทางปฏิบัติต่อผู้อื่น ในทางที่ดีนั้นมีลักษณะเป็นสากล และไม่ล้าสมัย ไม่ว่าชาติใดภาษาใด หรือยุคสมัยใด ก็ยังยึดถือหลักที่คล้ายคลึงกัน ดังเช่นแนวคิดของนักจิตวิทยาที่สอดคล้องกับหลักคำ สอนของพุทธศาสนา ซึ่งมีมาช้านานแล้ว
· Tab 5
· Tab 6
การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
จากที่กล่าวมาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี จะเห็นว่ามีหลายประการ ที่ต้องอาศัย ทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร เช่น การให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน การ แสดงการจำได้ การเป็นคู่สนทนาที่ดี การแสดงการยอมรับผู้อื่น และการแสดงความชื่นชมยินดี ฯลฯ ถ้าบุคคลมีทักษะที่ดีด้านการสื่อสารกับผู้อื่น จะช่วยเสริมสร้างมนุษย สัมพันธ์ระหว่างกัน ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้ วอลซ์ และเบจามิน ลิบบี้ กล่าวว่าหัวใจของ มนุษยสัมพันธ์ คือทักษะด้านการสื่อสารกับผู้อื่น โดยทำให้ผู้อื่น เกิดความรู้สึกที่ดี เกี่ยวกับ ตัวของ เขาเอง เขาได้ยกตัวอย่างเรื่องที่เล่าต่อกันมาแต่ครั้งโบราณเกี่ยวกับสตรผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รัก ของผู้คนในละแวก บ้านใกล้ เรือนเคียง คุณสมบัติที่น่าทึ่งประจำ ตัวของเธอก็คือ ความสามรถดึงดูดใจใครๆ ให้ชอบ ไว้ใจ และอยากอยู่ใกล้ชิด วันกนึ่งหญิงสาวผู้นี้เสียชีวิต ทุกคนใหมู่บ้านต่างเสียใจ และเสียดาย และพยายามสรรค์หา คำพูดเกี่ยวกับ คุณสมบัติประจำตัวของเธอ ซึ่งทำให้ใครๆ รักเพื่อเขียนคำไว้อาลัย เมื่อต่างก็ได้บบรยายคุณสมบัติ มากมายของหญิงสาวผู้นี้ตามที่แต่ละคนได้พบเห็น ทุก คนได้พบปัญหา อย่างหนึ่งก็คือไม่สามารถสรรค์หาคำที่จะมาแทนคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวของหญิงสาวผู้นี้ได้ตรงตามลักษณะจริงๆ จนกระทั่ง เพื่อนของเธอคนหนึ่ง กล่าวคำพูดซึ่งดูเหมือน จะตรงกับความรู้สึกของทุกคน ในที่นั้นขึ้นมา เมื่อได้ฟังประโยค ดังกล่าวทุกคน ก็กล่าวเป็น เสียงเดียวกันว่า “ใช่แล้ว! ข้อความนี้แหละตรงกับความ รู้สึกของฉันมาก” ประโยคที่ตรงกับความคิดของทุกคนในที่นั้น เกี่ยวกับสุภาพสตรีดังกล่าวคือ “ เมื่อฉันอยู่ใกล้ชิดเธอ เธอมักทำให้ฉันมีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวฉันเอง” ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร กับผู้อื่นของหญิงสาวผู้นี้ที่แสดงการยอมรับ ชื่นชม ให้ความสำคัญกับผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอบอุ่น สบายใจ ไว้วางใจ และ เป็นสุข วิธีการที่บุคคลติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น มักเป็นเครื่องตัดสิน ความสามารถในการสร้างสื่อสัมพันธ์ของบุคคลว่า จะนำไปสู่ความใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้น หรือคงเดิม หรือทำให้ยิ่งห่างเหิน กับเขาออกไป และเมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติอย่างไร ในการติดต่อสื่อสารกับคนๆ หนึ่ง ก็มักทำอย่างนั้นเรื่อย ไปกับคนอื่น จนในที่สุดกลายเป็นความ เคยชิน กลายเป็นลักษณะนิสัยประจำตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทักษะด้านการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นนั้น บุคคลควรฝึกฝนตนเองให้ทำให้ได้ และเมื่อทำได้แล้วกับคนๆ หนึ่งก็มักมี
แนวโน้มในการนำไปใช้กับบุคคลอื่นๆ ต่อไป การฝึกฝนตนเองดังกล่าว อาจเริ่มได้โดยศึกษาหลักปฏิบัติ เพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสาร กับผู้อื่น แล้วหมั่นฝึกตนเองให้ทำตาม หลักดังกล่าวทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นความเคยชิน
หลักปฏิบัติเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสาร กับผู้อื่นในที่ทำงาน ซึ่งช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ดี อาจกล่าวได้โดยสังเขปได้ดังต่อไปนี้
1 สนใจ เอาใจใส่ ให้ความสสำคัญกับผู้ที่ติดต่อสื่อสาร ด้วยทั้งนี้เนื่องจากการให้ความสนใจ เอาใจใส่ ให้ความสำคัญ กับคู่สนทนา หรือผู้ที่ติดต่อสื่อสารจะทำให้จับใจ ความการพูดการคุยได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ถ้าเป็นการทำงานร่วมกัน ในองค์การธุรกิจ ก็จะทำให้เข้าใจเรื่องงานได้ถูกต้อง ทำงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ทุกคนมีความเข้า ใจในงานตรงกัน การแสดงความสนใจเอาใจใส่ และให้ความสำคัญกับผู้ที่ติดต่อสื่อสารด้วยนั้น อาจกระทำได้ทั้งโดยสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และ คำพูด ซึ่งแสดงการยอม รับ กระตือรือร้นต่อการสนทนา มองสบตาโดยเปิดเผยจริงใจ เต็มใจต่อการพูดคุย ให้เวลาเพียงพอ ต่อการพูดคุยหรือติดต่อสื่อสารกัน พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่อีก ฝ่ายหนึ่งต้องการให้รับทราบ
2 หลีกเลี่ยงการพูดพิงถึง “คน” เมื่อสนทนาเรื่องภายนอกตัว คือในกรณีที่เป็นการสนทนาแบบกันเองทั่วไป หรือแม้แต่เรื่องงาน บางเรื่อง ถ้าคูสนทนาต่างพยายามหลีก เลี่ยงการพูดพาดพิงถึง คน จะช่วยให้แต่ละฝ่ายสนใจสิ่งภายนอกตัว ลดการเพ่งเล็งที่คน ซึ่งอาจจะหมายถึงคู่สนทนาหรือบุคคลที่สามอื่นๆ เป็นการป้องกันการวิพากษ์ วิจารณ์ ซึ่งบางทีเป็น น้ำผึ้งหยดเดียว อันอาจนำไปสู่ การขัดแย้งกันต่อไปก็ได้ตัวอย่างที่ 1การพูดพาดพิงถึงคน “คุณสมศรีทำงานผิดพลาด เขาจะต้องแก้ไขใหม่ ”การพูดที่หลีกเลี่ยง การพาดพิงถึงคน “ งานส่วนนั้นผิดพลาดไปบ้าง คงจะต้องแก้ไขใหม่” ตัวอย่างที่ 2การพูดพาดพิงถึงคน “ สมชายผมว่า ความคิดของคุณ ยังแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้”การพูดที่หลีกเลี่ยงการพาดพิงถึงคน “ความคิดเช่นนั้นอาจจะยังแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้มากนัก”
3 ตั้งคำถามไม่เจาะจง การตั้งคำถามเพื่อให้คู่สนทนาตอบโดยประเด็นคำถามพุ่งไปสู่คู่สนทนารู้สึกว่าเขากำลังถูกวิพาษก์วิจารณ์จากอีกฝ่ายหนึ่ง แต่คำถามก็มีข้อดีตรง ที่ว่าทำให้คู่สนทนาฟังด้วยเหตุผลมากขึ้น ดังนั้น การถามยังมีความจำเป็น ต้องใช้อยู่ใน การติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน เมื่อต้องทำงานร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกันอยู่ แต่ทั้งนี้ ควรระวังอย่าให้คำถามเป็นชะนวนไปสู่อุปสรรคของ มนุษยสัมพันธ์ ในหน่วยงาน โดยพยายามตั้งคำถามที่ไม่เจาะจงไปสู่คู่สนทนา หรือคนใดคนหนึ่งในกลุ่มสนทนาหรือ กลุ่มอภิปราย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างคำถามเจาะจง “คุณภา..คุณจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้”คำถามไม่เจาะจง “เรื่องนี้จะจัดการอย่างไรดี”
4 ใช้คำถามเชิงอธิบายแทนการสั่งสอนหรือแนะนำ มนุษย์โดยทั่วไปมักไม่ชอบให้ใครมาอบรมสั่งสอนเรื่อง การวางตัวหรือ การประพฤติปฏิบัติ ยกเว้น เรื่องทักษะหรือ ความรู้ทางเทคนิคในงานบางเรื่อง ที่ทำไม่เป็น และจำเป็นต้องเรียนรู้ หรือมีใคร มาสอน ดั้งนั้นเมื่อจำเป็นต้องให้พนักงานหรือเพื่อนร่วมงาน ได้แนวทางปฏิบัติบางประการ เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายหนึ่ง ได้คิดทบทวน หาเหตุผลในบางเรื่องซึ่งอาจจุช่วยให้เจ้าตัว คิดหาทางออกของปัญหา หรือหาวิธีทำงานได้หลายแนวทางขึ้น โดยที่ลดความรู้สึก ขัดแย้ง คับข้องใจจากการถูกอบรมสั่งสอน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่างการอบรมสั่งสอน “คุณไม่ควรทำอย่างนั้น”คำถามเชิงอธิบาย “การทำอย่างนั้นอาจไม่สมควรใช่หรือไม่”
5 ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่สองเมื่อพูดถึงสิ่งดี เนื่องจาก การใช้ประโยคที่เริ่มต้น ด้วยสรรพนามบุรุษที่สองเช่นท่าน หรือ คุณ หรือ พี่ หรือ เธอ… ช่วย ให้คุณสนทนาเห็นว่าเราสนใจเขายอมรับเขา นอกจากนั้นยังช่วยแทนความรู้สึกในใจ ของผู้พูดแฝงออกมาด้วย เช่น ถ้าผู้พูดพูดว่า “ คุณเป็นคนเฉียบแหลมจริงๆ “ อาจ หมายความว่า “ฉันชื่นชมคุณเหลือเกิน เพราะคุณเป็นคนมี ความคิดสร้างสรรค์ และมีความสามารถมาก ” การใช้สรรพนามบุรุษที่สอง ช่วยเผยความรู้สึกในใจที่ดีๆ ของผู้พูดออกมาได้โดยไม่ต้องบรรยายความรู้สึกออกมาตรง
6 ใช้คำว่า “เรา” เมื่อต้องการให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่มเป็นพวก การใช้คำว่า เรา ในการพูดคุย บางทีหมายถึง คุณ หรือ ท่าน ก็ได้ เช่น เมื่อพูดว่า เราควรพยายามทำ งานชิ้นนี้ให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจหมายความว่า คุณเร่งมือทำงานชิ้นนี้ขึ้นอีกหน่อย นอกจากนั้น การใช้ เรา ในการสนทนา ยังทำให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกพ้องเดียวกัน ลดความรู้สึกแบ่งแยก และใช้พูดชักจูงใจได้ดี เช่น เมื่อพูดว่า เรามีความรู้สึกทำนองเดียวกันเกี่ยวกับ .. มักทำให้ผู้ฟังคล้อยตามผู้พูดโดยง่าย หรือ เมื่อใช้ เรา ใน การตำหนิ ผู้ถูกตำหนิก็จะไม่เสียหน้ามากนัก ดังนั้นแทนที่จะพูดว่า คุณ ก็ใช้คำว่า เรา ทำให้มีความรู้สึกเป็นหมู่เป็นพวก ร่วมแรงร่วมใจ ถึงแม้จะพูดในสิ่งที่เป็นทางลบก็ ยังไม่ดูเป็นการติเตียน ดูว่าเป็นความผิดของเราร่วมกัน
7 ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง เมื่อต้องการแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่พูด การใช้ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง หมายถึงว่าผู้พูด ตระหนักดีถึงความรับผิดชอบส่วนตัว ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ใช้ในการแสดงออก ซึ่งประสบการณ์หรือแนวคิดส่วนตัว ผู้พูดมิได้พยายามปิดบังหรือหลบเลี่ยงความ รับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูด และมีความเต็มใจ ในการแสดงความรู้สึกส่วนตัวกับผู้อื่น แต่บางทีการใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งบ่อยเกินไปในการสนทนา ก็อาจแสดงให้เห็นว่า
ผู้พูดมีลักษณะยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง และชอบที่จะแสดงตัวว่าความคิดเห็นของตนนั้นเหนือกว่าผู้อื่น จึงควรระวัง การใช้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากไม่น้อย เกินไป และไม่ควรใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง เพื่อการยกตนข่มท่าน คือ เพื่อแสดงความเด่น ความเก่ง หรือความมีอำนาจเหนือผู้อื่น ซึ่งเป็นผลเสียต่อ มนุษยสัมพันธ์
8 ใช้สรรพนามบุรุษที่สอง-บุรุษที่หนึ่ง หรือ คุณ-ฉัน เมื่อต้องการแสดงความใกล้ชิด จริงใจ การใช้ คุณ-ฉัน หรือสรรพนามบุรุษที่สอง – หนึ่ง บุคคลสองคน ทำให้ เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และรู้จักกันมากขึ้น และเป็นการสื่อสารที่แท้จริง ระหว่างความหมายไปในทางลบ แต่ก็ยังแฝงความรู้สึกเป็นมิตร และซื่อสัตย์ต่อกัน เช่น ตัวอย่างประโยคที่ว่า ฉันคิดว่าสิ่งที่คุณทำทั้งหมดนั้นมันผิด แม้จะเป็นทางลบ แต่ก็ยังแสดงความรู้สึก และเจตคติของผู้พูดที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่งว่าจริงใจต่อกัน
9 ใช้คำว่า อย่างไร เมื่อต้องการข้อเท็จจริง การใช้ อย่างไร ในคำถาม แสดงว่าผู้ถามต้องการคำตอบจริงๆ และถามด้วยความสนใจจริงๆ เช่น เมื่อถามว่า คุณทำงานนี้ ได้อย่างไร หรือ เมื่อถามว่า คุณรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แสดงว่าผู้ถามต้องการทราบความจริง มิใช่ ต้องการข้อวิจารณ์จากผู้ถูกถาม หรือการปิดบังความเป็นจริงจากผู้ ถูกถาม การใช้ อย่างไร ในการสนทนา เป็นการเปิดทาง ไปสู่การ สื่อสารระหว่างกันอย่างแท้จริง แต่ก็มีข้อระวังที่จะไม่คุกคามหรือล่วงละเมิดเรื่องส่วนตัวของผู้ถูกถามจน เสียสัมพันธภาพ ต่อกัน เนื่องจากบุคคลทุกคนต่างไม่ชอบให้ใครล่วงล้ำขอบเขตส่วนตัวของกัน และกัน
10 ใช้คำว่า ทำไม ให้เหมาะสมตามจุดประสงค์ การใช้ ทำไม ในประโยคคำถาม แสดงว่าผู้ถามต้องการคำอธิบายจากอีกฝ่ายหนึ่ง และบ่อยเหมือนกันที่คำนี้ทำให้แปล ความหมายไปในทำนองวิพากษ์วิจารณ์อีกฝ่ายหนึ่งได้ เช่น เมื่อถามว่า คุณเอาพริกไทย ใส่เข้าไป ในแฮมเบอร์เกอร์ทำไม อาจตีความหมายได้ว่า คุณรู้ไหมพริกไทยน่ะจะ ทำให้คุณจาม ไม่รู้จักหยุด แย่จริง นอกจากนั้นในอีกแง่หนึ่ง คำว่า ทำไม ก็ช่วยแสดงความจริงใจของผู้พูด ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นได้ เช่น เมื่อพูดว่า ทำไมคุณมักคิดถึง แต่คนอื่นอยู่ตลอด เวลา หรืออาจแสดงความรู้สึกไม่จริงใจของผู้พูดออกมาได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่พูดด้วย เช่น ถ้าพูดว่าทำไมนะ คุณมักจะ เป็นฝ่ายเดียวกับผู้ตอบถูกเสมอ อาจตีความ หมายได้ว่า ฉันปวดหัว และเหนื่อยหน่าย ในการที่คุณเป็นฝ่ายที่มาพร้อมกับ การแก้ปัญหา ได้ทุกที รู้สึกอิจฉาจริงๆ ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการใช้ภาษาหรือคำ พูดสื่อสารกันนั้น ผู้ใช้ต้องระวังการใช้ และรอบคอบ ในการสื่อสารความหมาย เพราะถ้าไม่ระวัง บางทีอาจสร้างความเข้าใจผิด และได้ความหมายเป็นตรงข้ามกับที่ต้องการ ซึ่งมัก มีตัวอย่าง ความเข้าใจผิด และความขัดแย้งในหน่วยงานให้เห็นอยู่เรื่อย
11 ใช้วิธีสะท้อนความรู้สึกสะท้อนเนื้อหาคำพูดของคู่สนทนาเพื่อแสดงความเข้าใจ วิธีสะท้อนความรู้สึก หรือสะท้อนเนื้อหาคำพูด ของคู่สนทนานั้น เป็นวิธีการของ นักจิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยมที่ใช้แสดงความเข้าใจ อีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่ต้องพูดคำว่า ฉันเข้าใจคุณ ทั้งนี้เพราะคำว่า ฉันเข้าใจคุณ ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปนั้น บางทีก็เป็น เพียงคำพูดทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง การสะท้อน ความรู้สึกหรือสะท้อนเนื้อหาคำพูดของคู่สนทนาเพื่อแสดงความเข้าใจผู้อื่นนั้น เป็นการเข้าถึงความรู้สึก หรือเนื้อหา ในสิ่งที่เขา กำลังสื่อสาร ให้เรารับทราบ ซึ่งเมื่อเรารับทราบ และเข้าใจสารนั้นแล้ว ก็สือความเข้าใจดังกล่าว ไปสู่เจ้าตัวโดยใช้วิธีสะท้อนความรู้สึก หรือสะท้อน เนื้อหาคำพูด
12 ใช้คำพูดเปิดเผยตนเองเพื่อแสดงความจริงใจ และพร้อมเป็นมิตร คือผู้ที่ขาดทักษะในการพูดคุยกับผู้อื่นบางครั้งก็เป็นอุปสรรคต่อการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ ทำให้คบ คนยาก ไม่มีเพื่อน หรืออาจสร้าง ความเข้าใจผิดแก่ผู้อื่นว่า เป็นคนไม่อยากคบหาสมาคมกับใคร ผู้ที่ขาดทักษะดังกล่าว จึงควรฝึกฝนตนเอง ในการแสดงออกซึ่งความรู้สึก และความในใจที่เป็นในระดับพื้นฐานทั่วไป ซึ่งมักเรียกกันว่า การเปิดเผยตนเอง เพื่อเปิดใจอันเป็น การเปิดทางให้ผู้อื่น เข้ามาใกล้ชิด กับตัวเรา และเพื่อช่วยให้ผู้อื่นรู้จักเรา เพิ่มขึ้น ดังมีคำกล่าวที่ว่า ถ้าเปิดตาโดยไม่เปิดใจให้แก่กันแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร คำพูดดังกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็น ความสำคัญของ การเปิดเผยตนเอง เพื่อให้อยู่ ร่วมกัน และทำงานร่วมกันได้โดยราบรื่น ซึ่งบุคคลอาจฝึกฝนให้เคยชินต่อการแสดงออก และใช้คำพูดเปิดเผลตนเองได้บ้างโดยอาจพยายามฝึกพูดเพื่อเปิดเผยตนเองจาก ประโยคหรือข้อความไม่สมบูรณ์ ในทำนองต่อไปนี้
· Tab 6
การพัฒนาการวางตนตามสถานะ และบทบาทในองค์การ
ในที่ทำงานหนึ่งๆ จะมีผู้ทำงานในตำแหน่ง และระดับต่างๆ กันไป ซึ่งแบ่งได้กว้างๆ เป็น 3 ระดับ คือผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา บุคคลในแต่ละระดับดังกล่าว จะมีสถานะ และบทบาทต่างๆ กันไป ผู้ที่วางตนในการทำงานร่วมกับบุคคลระดับต่างๆ ได้โดยเหมาะสม มักช่วยให้การทำงานเป็นไปโดยราบรื่น และอยู่กันได้ด้วยความสุข แนวทางในการวางตนตามสถานะ และบทบาทในองค์การ มีโดยสังเขปดังต่อไปนี้
5.1 การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาโดยผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็น ผู้นำในการปฏิบัติงาน และเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงานในที่ทำงาน เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชา จึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความเคารพนับถือ ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล และบทบาทหน้าที่โดยปฏิบัติดังนี้ - ยกย่องผู้บังคับบัญชาตามควรแก่ฐานะ
· รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้บังคับบัญชา ความสงบ หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ หรือโต้เถียง
· ปฏิบัติงานด้วยความตั้งใจ และเต็มความสามารถ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาเชื่อถือ
· ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และคำสั่งขององค์กร เพื่อเป็นการให้เกียนติ และยอมรับผู้บังคับบัญชา
· เสนอข้อคิดเห็นโดยสุภาพอ่อนน้อม เมื่อผู้บังคับบัญชาถามความเห็น
· หลีกเลี่ยงการรบกวนผู้บังคับบัญชาด้วยเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิม
· หลีกเลี่ยงการบ่นเรื่องงานที่ยากลำบากให้ผู้บังคับบัญชาฟัง เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดต่อว่าต้องการความดีความชอบ หรือแสดงถึงการขาดความอดทน
· หลีกเลี่ยงการนินทาผู้บังคับบัญชาลับหลัง ถ้ามีปัญหาเรื่องงานเกิดขึ้น ควรหาโอกาสพูดกับผู้บังคับบัญชาโดยตรง ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
· หลีกเลี่ยงการตอบรับหรือปฏิเสธตลอดเวลา การที่จะตอบรับหรือปฏิเสธความเห็นของผู้บังคับบัญชา ควรให้เป็นไปด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเห็นว่าถูกก็ตอบรับ ถ้าเห็น ว่าผิดก็ปฏิเสธ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อมูลที่ปรากฏ ไม่มีการประจบประแจง
· หลีกเลี่ยงการทำตัวแข่งกับผู้บังคับบัญชา การเอาชนะหรือทำตัวเด่นกว่าผู้บังคับบัญชานั้น โดยวัฒนธรรมไทย แล้วอาจดูเป็น การขาดมารยาทที่เหมาะสม
ด้วยหลักการวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาทั้ง 10 ประการ ดังกล่าว ถ้าบุคคลใดปฏิบัติได้โดยครบถ้วนสมบูรณ์ ก็มีแนวโน้มว่า จะมีสัมพันธภาพอันดี กับผู้บังคับบัญชาได้ไม่มากก็น้อย การวางตนในการทำงานร่วม กับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกัน และกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีบทบาทสูงต่อ มนุษยสัมพันธ์ ในองค์การ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด และงานหลายงานก็ยังต้อง อาศัยความร่วมมือ และน้ำใจช่วยเหลือกัน ดังนั้น การวางตนในการทำงาน ร่วมกับ ผู้อยู่ในระดับเดียวกันนั้น จึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้ให้มากที่สุด และปฏิบัติดีต่อกันให้ มากที่สุด ซึ่งได้กล่าวไว้ บ้างแล้ว ในหัวข้ออื่นๆ สำหรับในที่นี้กล่าวโดยสังเขปได้ดังนี้
· มองเพื่อร่วมงานในแง่ดี ให้ความจริงใจ ให้ความช่วยเหลือ
· หลีกเลี่ยงการผลักภาระรับผิดชอบของตนไปให้เพื่อนร่วมงาน
· เมื่อมีปัญหาต้องพูดคุยกัน ควรพยายามเข้าหาเพื่อนร่วมงานก่อนเพื่อให้เกียรติ ให้ความสำคัญ
· หาโอกาสพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานตามสมควร อย่าปลีกตัวตลอดเวลา
· ให้การยกย่องชมเชยตามโอกาสอันควร แต่อย่าให้มากไปจนดูไม่จริงใจ
· หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์เมื่อมีการขัดแย้งเกิดขึ้น และพยายามใช้เหตุใช้ผลในการแก้ปัญหา
· หลีกเลี่ยงการทำตนเหนือเพื่อนร่วมงาน หรือใช้วาจาข่มขู่ ก้าวร้าว ดูหมิ่นเหยียดหยาม
· หลีกเลี่ยงการขอร้องให้ช่วยเหลือในบางเรื่องที่เล็กน้อย และเราทำได้เอง
· หลีกเลี่ยงการนินทาว่าร้าย หรือวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อร่วมงานลับหลัง
· ให้อภัย ให้โอกาส เมื่อเพื่อนร่วมงานปฏิบัติผิดพลาด
หลักปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานทั้ง 10 ประการ ที่กล่าวมานี้ เมื่อทุกคนในที่ทำงานต่างร่วมใจปฏิบัติด้วยกัน ไม่เกี่ยงงอนกันว่าให้เขาทำก่อน และเราจะทำตาม ก็น่าจะ เชื่อได้ว่า ช่วยสร้างสัมพันธภาพอันดีให้เกิดแก่หน่วยงานได้
การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยการคำนึงอยู่เสมอว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคือ ฝ่ายปฏิบัติงาน ในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือ และเท้าของผู้บริหาร ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความสุขในการทำงาน ก็มักส่งผลเสียต่องาน และมีผลกระทบ ทางลบมาถึงผู้บังคับบัญชาได้ในที่สุด นอกจากนั้น ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อรวม กันแล้วก็คือผลงาน ของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควร ต้องให้ความสำคัญ กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผลงานดี และมีบรรยากาศ ของความสัมพันธ์ อันดีต่อกันด้วย เรื่องบทบาทของผู้บังคับบัญชานี้ ได้กล่าวไว้บ้างแล้วในบทบาทที่ว่า ด้วยผู้บริหารงาน ดังนั้นในที่นี้จึงกล่าวเพิ่มเติมบางส่วนโดยสังเขป ดังนี้
· เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเจริญก้าวหน้าในอาชีพ โดยอาจส่งไปอบรม สัมมนา ค้นคว้าวิจัย
· สนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนได้ทำงานที่เหมาะสมแก่ตนทั้งด้านความสามารถ และบุคลิกภาพ เพื่อให้ทำงานได้ด้วยดี และมีความสุขในงาน
· สื่อสารกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างชัดเจน เมื่อต้องการให้ทำงานใด หรือปฏิบัติอย่างไร และหลีกเลี่ยงการสื่อสาร ทางเดียวให้มากที่สุด
· รักษาผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก และเป็นสุข ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสียสละ และทำประโยชน์ให้ หน่วยงานเพิ่มขึ้น
· ยกย่องผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปรากฏแก่ผู้อื่นเมื่อเขาทำดี แต่เมื่อมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นควรเชิญเข้าพบ พูดคุยกันเป็น การส่วนตัว ในบรรยากาศของความจริงใจ
· เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในงานให้มาก โดยการประชุมปรึกษา เสนอความคิดเห็น และ กระจายงาน ให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แบ่งกันรับผิดชอบ
· ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา และปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเป็นธรรม หลีกเลี่ยงการสั่งการลงโทษ คาดโทษ โดยใช้อารมณ์แทนเหตุผล
· หลีกเลี่ยงการยกตนเองว่าสูงกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา เนื่องจากอาจสร้างความรู้สึกต่อต้าน ไม่ยอมรับซึ่งอาจทำให้มีการกลั่นแกล้งกัน ด้วยวิธีการต่างๆ ต่อไปได้
· หลีกเลี่ยงการจับผิดผู้ใต้บังคับบัญชา แต่แสดงให้เห็นว่า เขาจะได้รับ การสนับสนุนช่วยเหลือ จากผู้บังคับบัญชา ให้ทำงานได้โดยเต็มที่ เพื่อให้เกิดผลดีต่อหน่วยงาน
· หลีกเลี่ยงการแสดงความอยากได้ หรือการเบียดเบียนผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งมีรายได้น้อยกว่าอยู่แล้ว หากแต่ควรทำตัวเป็นผู้ให้ในโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ตามสมควร และโดยเสมอภาค
หลัก 10 ประการของการวางตัวต่อผู้ใต้บังคับบัญชาดังกล่าว ถ้าผู้บังคับบัญชาปฏิบัติตามนี้ จะช่วยสร้างความรักความศรัทธา เกิดการยอมรับ จากผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้มีการ่วมมือกัน ดีขึ้นในการทำงานร่วมกัน
บทสรุป
จิตวิทยาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นการนำความรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติพฤติกรรมของบุคคล มาประยุกต์ใช้ใน การเสริมสร้าง มนุษยสัมพันธ์ ในหน่วย งาน เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้โดยเป็นสุข และได้ผลงานดีนั้น ควรทำความเข้าใจตั้งแต่เรื่ององค์ประกอบของ มนุษยสัมพันธ์ ซึ่งจะต้องมีทั้งการรู้จักตัวเอง การเข้าใจผู้อื่น และการเข้าใจสิ่งแวดล้อม แล้วปรับปรุงพัฒนาตนเองให้เข้ากับผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อนที่จะปรับปรุง พัฒนาตนเอง บุคคล ต้องมีความเข้าใจว่า ลักษณะของกลุ่มทำงานที่ดีนั้น ควรเป็นกลุ่มทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย มีความไว้วางใจ เชื่อในความสามารถ ของกัน และกัน มีการทำงานร่วมกัน อย่างเป็นระบบ มีการร่วมมือที่ดี และ ผู้มารวม กลุ่มทำงาน มีลักษระบุคลิกภาพซึ่งเอื้อต่อการสร้างสัมพันธ์ การเข้าใจเรื่อง ลักษณะของกลุ่มทำงาน ที่ดีดังกล่าว จะเป็นแนวทาง ในการพัฒนาปรับปรุงตนเองของ บุคคลเพื่อ ความสัมพันธ์ ระหว่าง เพื่อนร่วมงาน ซึ่งหลักการ พัฒนาตน เพื่อเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ กับเพื่อร่วมงานนั้น บุคคลควรสร้างอัตตมโนทัศน์ที่ตรงตามความเป็น จริง มีความคิด ความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตน ซึ่งจะส่งผลให้มองผู้อื่นในทางที่ดีด้วย เมื่อมองดีในผู้อื่นได้ก็จะส่งผล ให้อยากปฏิบัติต่อผู้อื่น ในทางที่ดีซึ่งท้ายสุดก็จะได้ พฤติกรรมที่สะท้อนกลับมา
การบริหารความขัดแย้ง Conflict Management
· Tab 1
การบริหารความขัดแย้ง
รศ. ดร.กุญชรี ค้าขาย
ความหมายและประเภท
ความขัดแย้ง (conflict) หมายถึง เหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นเมื่อ เมื่อบุคคลหรือทีมมีความเห็นไม่สอดคล้องกัน ความขัดแย้งถือเป็นเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นในการอยู่ร่วมกันหรือทำงานร่วมกัน คนโดยทั่วไปมักนึกถึงความขัดแย้งในเชิงทำลาย แต่เป็นที่ยอมรับกันว่าหากความขัดแย้งเกิดขึ้นในปริมาณที่พอเหมาะ ความขัดแย้งนั้นจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์
ความขัดแย้งแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทแล้วแต่จะใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ดังเช่น แรบพาพอร์ต (Rapparport, cited by Caplow,1975: 276) ได้แบ่งความขัดแย้งเป็น การต่อสู้ เกม และการโต้เถียง หรืออาจแบ่งความขัดแย้งเป็นเชิงลบและเชิงบวกก็ได้ แต่ในที่นี้จะแบ่งประเภทความขัดแย้งโดยนำเอาบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นเกณฑ์ ซึ่งแบ่งได้เป็น 5 ประเภทด้วยกัน
1. ความขัดแย้งภายในตัวบุคคลซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพบทางเลือกหลายๆทางและต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง
2. ความขัดแย้งระหว่างบุคคล ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบุคคลเห็นไม่สอดคล้องกัน
3. ความขัดแย้งระหว่างปัจเจกบุคคลกับกลุ่ม เกิดขึ้นเมื่อมีสมาชิกกลุ่มไม่ทำตามข้อตกลงของกลุ่ม
4. ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มหรือทีม เกิดเมื่อแต่ละทีมมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน และต้องขึ้นอยู่กับกันและกันในการทำงานให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้น
5. ความขัดแย้งระหว่างองค์การ เกิดขึ้นจากระบบการแข่งขันเสรีและจากการแข่งขันก็นำไปสู่ความขัดแย้ง
สาเหตุของการเกิดความขัดแย้ง
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าความขัดแย้งเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นกับบุคคลโดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานร่วมกับบุคคลอื่น ในการทำงานเป็นทีมอาจเห็นว่าสมาชิกของทีมขัดแย้งกันด้วยการใช้วาจาหรือท่าทางจนคนอื่นๆสังเกตเห็นได้ สมาชิกของทีมจะขัดแย้งกันได้ง่ายเมื่อได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กัน เพราะในระหว่างนั้นความคิด ความสนใจ ความรู้สึกและผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งอาจไม่สอดคล้องกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต่างฝ่ายต่างต่อต้านกันและเกิดสภาพการณ์ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาข้อยุติได้ สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งอาจมาจาก
การตกอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกัน
สิ่งแวดล้อมที่ล้อมรอบตัวสมาชิกแต่ละคนเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาได้ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนที่ทำให้สมาชิกมีลักษณะต่างกันออกไป แม้ไม่มีผลการวิจัยที่ยืนยันถึงเรื่องนี้แต่มีข้อสังเกตว่า การจำแนกงานออกเป็นแผนกย่อยๆหลายแผนกมีผลต่อการเพิ่มปริมาณความขัดแย้งของคนงานในแผนกต่างๆ ทั้งๆที่อยู่ในองค์การเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนงานเหล่านั้นใช้เวลา เงินและทรัพยากรต่างกัน อันอาจกล่าวได้ว่าตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันซึ่งมีผลก่อให้เกิดลักษณะประจำตังที่ต่างกันขึ้นมา และความขัดแย้งระหว่างแผนกต่างๆขององค์การจะลดลงได้ หากลดข้อจำกัดเฉพาะแผนกลงมาให้มีลักษณะใกล้เคียงกัน นอกไปจากนั้นการกระทำเช่นดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความร่วมมือกันมากขึ้น
การมีผลประโยชน์ขัดกัน
สาเหตุของความขัดแย้งในข้อนี้ คือ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการของสมาชิกในทีม และแสดงออกเป็นพฤติกรรมให้เห็นอย่างเปิดเผย ความขัดแย้งชนิดนี้อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากสมาชิกมีความต้องการสิ่งเดียวกันในการทำงาน แต่อาจแบ่งปันกันไม่ได้ต่างฝ่ายต่างจึงพยายามกีดกันมิให้อีกฝ่ายหนึ่งบรรลุถึงความต้องการ หรือให้ได้น้อยกว่าฝ่ายตน หรืออาจเกิดขึ้นจากการที่สมาชิกมีความต้องการคนละอย่างในการทำงานร่วมกันก็ได้
การมีความคาดหวังในบทบาทต่างกัน
เมื่อคนมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มนั้นตามธรรมชาติแล้วต่างคนต่างจะคาดหวังในพฤติกรรมซึ่งเป็นบทบาทของอีกฝ่ายหนึ่ง ความขัดแย้งของความคาดหวังในบทบาทนี้อาจเกิดขึ้นได้ใน 3 ลักษณะ
* อาจเกิดจากการรับรู้บทบาทผิดทำให้มีพฤติกรรมต่างจากที่ควรจะเป็นจริง
* เกิดจากการที่ต้องสรวมบทบาทในขณะเดียวกันทำให้เกิดความสับสนในบทบาท
* เกิดจากการที่มีบทบาทแย้งกันจนเป็นเหตุให้มีพฤติกรรมขัดแย้งกัน
โดยสรุปแล้วความขัดแย้งที่เกิดจากความคาดหวังในบทบาท คือ การที่ต่างฝ่ายต่างทำนายพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งไว้ แต่กลับประเมินได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับที่ตนทำนายความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น
การมีอคติ
พฤติกรรมต่างๆที่คนๆหนึ่งแสดงออกมาต่อคนอื่นๆย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกส่วนตัวของคนผู้นั้น ความขัดแย้งอันเกิดจากอคตินี้เป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายมีความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่ดีต่อกัน และแสดงออกมาให้เห็นในขณะที่มีการติดต่อสื่อสารกันจนเป็นเหตุให้ก้าวร้าวกัน สำหรับลักษณะที่จะลดอคติลงได้นั้นสรุปได้ว่า ขึ้นอยู่กับการมองโลกในแง่ดีเพราะการมองโลกในแง่ดีเป็นเหตุให้แต่ละคนเต็มใจที่จะค้นหาวิธีแก้ไขความขัดแย้ง และการไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจะช่วยอำนวยความสะดวกต่อการยอมรับผู้อื่นได้ง่ายเข้า
การมีปทัสถาน ค่านิยมและการรับรู้ที่ต่างกัน
ความขัดแย้งที่เกิดจากสาเหตุนี้เป็นความขัดแย้งที่หาข้อยุติได้ยาก หากทั้งสองฝ่ายยังคงยึดวิธีการเดิมในการมองสิ่งแวดล้อมและตัดสินตามเกณฑ์ที่ตนมีอยู่ ทั้งๆที่ตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวกัน คนแต่ละคนอาจมองสิ่งที่ปรากฏอยู่ไปคนละอย่างและต่างก็ยืนยันในความเห็นของตน โดยหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้
· Tab 2
การปฏิสัมพันธ์
สาเหตุหลังสุดหากกล่าวไปแล้วก็เป็นผลมาจากสาเหตุทั้ง 5 ประการข้างต้น เนื่องจากการที่คนเรามีการสื่อสารกันนั้นย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะประจำตัวที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ อคติ ความคาดหวัง ปทัสถานและค่านิยมส่วนตน การปฏิสัมพันธ์คือการนำเอาปัจจัยต่างๆเหล่านั้นมาติดต่อกันนั่นเอง ความขัดแย้งที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์นี้นี้จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น หากการติดต่อระหว่างสองฝ่ายนั้นมุ่งที่จะแข่งขันกัน เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่ตนต้องการ โดยที่ต่างฝ่ายได้แสดงพฤติกรรมซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกันออกมา อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดจากสาเหตุนี้อาจเปลี่ยนไปได้หาก กระบวนการคิดและการรับรู้ของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนไปจากเดิม
การตอบสนองต่อความขัดแย้ง
ความขัดแย้งจะส่งผลต่อทีมอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกในทีมตอบสนองต่อความขัดแย้งอย่างไร คนเรานั้นมีวิธีการต่างกันที่จะโต้ตอบกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และมักพบว่าวิธีการโต้ตอบจะเป็นรูปแบบสม่ำเสมอที่เรียกกันว่านิสัย และผู้โต้ตอบเองไม่ค่อยรู้สึกตัว ดังนั้นก่อนที่จะเรียนรู้ถึงวิธีการจัดการกับความขัดแย้ง สิ่งหนึ่งที่ควรทราบในเบื้องต้นคือรูปแบบของตนเองในการตอบสนองต่อความขัดแย้ง ในการประเมินว่าเราจะโต้ตอบความขัดแย้งแบบใดคนส่วนใหญ่จะมีคำถามสำคัญที่ต้องถามตนเองสองข้อ ข้อแรก คือ ตามความเห็นของเราความขัดแย้งนั้นสำคัญหรือไม่ และคำถามที่สอง คือ เราเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคู่ขัดแย้งสำคัญพอที่จะต้องรักษาไว้หรือไม่ หลังจากนั้นจึงตอบโต้ด้วยแบบใดแบบหนึ่ง จอร์นสัน (Johnson,1991: 229-232) ได้จำแนกแบบของการแก้ปัญหาโดยใช้สัตว์ชนิดต่างๆเป็นตัวแทน และลุสเซอร์ (1996: 259-260) ได้ให้ข้อเสนอแนะสำหรับการเลือกใช้ในเงื่อนไขที่เหมาะสม
* เต่า (หลีกเลี่ยง)
o ลักษณะเป็นการหลีกปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งและหลีกบุคคลที่มีแนวโน้มจะขัดแย้งด้วย ปรกติแล้วคนที่ใช้แบบที่หนึ่งนี้จะเชื่อว่าหลีกเลี่ยงง่ายกว่าขัดแย้ง และไม่คิดว่าความขัดแย้งจะแก้ไขได้
o ข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ เป็นการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ส่วนข้อเสีย คือ ความขัดแย้งไม่ได้รับการแก้ไข และอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม
o เงื่อนไขที่เหมาะสม ควรใช้เมื่อ
* ความขัดแย้งไม่สำคัญมากนัก
* การเผชิญหน้าจะทำลายความสัมพันธ์ซึ่งเป็นเรื่องวิกฤตของการทำงาน
* มีข้อจำกัดด้านเวลาซึ่งทำให้ต้องหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง
* ลูกหมี (ผ่อนปรน)
o ลักษณะ วิธีนี้คือลดปริมาณความขัดแย้งลงเพื่อว่าความสัมพันธ์ในทีมจะได้ไม่มีปัญหาเบื้องหลังของการใช้แบบนี้ ได้แก่ ความเชื่อที่ว่าการนำเอาความขัดแย้งมาพูดจะทำลายความสัมพันธ์มากกว่าจะกระชับความสัมพันธ์ ดังนั้นจึงยอมสละความคิดเห็นส่วนตัวเพื่อคงสายสัมพันธ์ของทีมไว้
o ข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ ยังรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ แต่ข้อเสีย คือ อาจไม่เกิดผลในทางสร้างสรรค์
o เงื่อนไขที่เหมาะสม ควรใช้เมื่อ
* การรักษาความสัมพันธ์สำคัญที่สุด
* การตกลงเรื่องข้อเปลี่ยนแปลงไม่สำคัญมากนักสำหรับฝ่ายผ่อนปรนแต่สำคัญกับอีกฝ่ายหนึ่ง
* เวลาในการแก้ไขความขัดแย้งมีจำกัด
ทั้งแบบแรกและแบบที่สองเป็นวิธีซ่อนความขัดแย้ง ซึ่งอาจเห็นได้โดย ปฏิเสธว่าไม่มีปัญหา พยายามผ่อนปรน เปลี่ยนเรื่องอภิปรายเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หรือทำเป็นไม่สนใจความรู้สึกที่ตนมีต่อปัญหา การโต้ตอบแบบนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้งแบบปกปิด และเมื่อมันเปิดเผยออกมา จะนำไปสู่ความคลอนแคลนของทีมได้ในที่สุด
* ฉลาม (บังคับ)
o ลักษณะ เป็นการพยายามใช้อำนาจเหนือคนอื่นให้ยอมรับตำแหน่งของตน ผู้ที่ใช้วิธีนี้จะเห็นว่าความเห็นส่วนตนสำคัญมากและความสัมพันธ์กับคนอื่นๆสำคัญน้อยกว่า กลวิธีจัดการกับความขัดแย้ง จะเป็น แบบแพ้-ชนะ และยิ่งทำให้ความขัดแย้งที่มีอยู่เพิ่มขึ้น อาจแสดงให้เห็นโดยโจมตีความคิดของคนอื่น หรือใช้ความชำนาญ ตำแหน่งหรือประสบการณ์ที่ตนมีมากกว่าข่มผู้อื่น
o ข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ เหมาะสำหรับการตัดสินใจในองค์การที่ยอมรับว่าผู้บังคับเป็นฝ่ายถูกและการบังคับได้ผลมากกว่าวิธีอื่น แต่ข้อเสีย คือ หากใช้วิธีนี้มากเกินไปทำให้เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ใช้
o เงื่อนไขที่เหมาะสม ควรใช้เมื่อ
* ความขัดแย้งเป็นเรื่องความแตกต่างส่วนบุคคล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่านิยมซึ่งเปลี่ยนแปลงยาก)
* การรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดไม่ใช่เรื่องวิกฤต
* การแก้ความขัดแย้งเป็นเรื่องรีบด่วน
* สุนัขจิ้งจอก (ประนีประนอม)
o ลักษณะ วิธีนี้ใช้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ต่างฝ่ายต่างได้บางส่วนและเสียไปบางส่วน ไม่มีฝ่ายใดได้เต็มทั้งคู่ และส่วนที่เสียไปก็อาจเสียด้วยความไม่เต็มใจ ต่างฝ่ายต่างพยายามประสานผลประโยชน์กันในบางกรณี การแก้ปัญหาแบบนี้ก็ใช้การได้หากวิธีการแก้ปัญหาใช้แก้ความขัดแย้งไม่ได้
o ข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ แก้ความขัดแย้งได้เร็ว และยังคงรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ แต่ข้อเสีย คือ นำไปสู่การตัดสินใจที่ทำให้ผลได้ลดลง และการใช้วิธีนี้บ่อยจะทำให้เกิดการเล่นเกม เช่น เรียกร้องให้มากไว้ก่อนให้มากเพื่อต่อรองการลดหย่อน เป็นต้น
o เงื่อนไขที่เหมาะสม ควรใช้เมื่อ
* ประเด็นปัญหาซับซ้อนและวิกฤตและไม่มีวิธีแก้ที่ทำได้ง่าย
* ทุกฝ่ายมีผลประโยชน์อย่างมาก ซึ่งผลประโยชน์นั้นขึ้นอยู่กับการใช้วิธีการแก้ที่ต่างกัน
* เวลาสั้น
* นกฮูก (แก้ปัญหา)
* ลักษณะ เป็นกลวิธีที่เรียกว่าการแก้ความขัดแย้งแบบชนะ-ชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างให้ความสำคัญต่อเป้าหมายของตนและความสัมพันธ์ระหว่างกันในระดับสูง วิธีนี้ใช้เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างบรรลุเป้าหมายของตนและยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ในทีมไว้ได้
* ข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ มีแนวโน้มที่จะเป็นวิธีแก้ไขที่เหมาะที่สุดสำหรับความขัดแย้งซึ่งต้องอาศัยพฤติกรรมกล้าแสดงออก ส่วนข้อเสีย คือ ใช้เวลาและความพยายามมากกว่าวิธีอื่น
* เงื่อนไขที่เหมาะสม ควรใช้เมื่อ
* การรักษาความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญ
* มีเวลา
* เป็นความขัดแย้งระหว่างเพื่อน
· Tab 3
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
การแก้ปัญหาความขัดแย้งอันเป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ แบบที่เรียกว่าชนะ-ชนะหรือการต่อรองแบบบูรณาการ แต่การแก้ปัญหาแบบนี้ก็มีสิ่งที่ต้องพิจารณาร่วมกันอยู่อย่างน้อย 3 ด้าน คือ
* ขั้นตอนการแก้ปัญหา
1. เริ่มนำข้อขัดแย้งมาพิจารณา โดย วางแผนที่จะใช้วิธีแก้ปัญหากับข้อขัดแย้ง หาวิธีการนำแผนไปใช้ปฏิบัติ และหาข้อตกลงร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลง
2. ตอบสนองการแก้ปัญหา โดย ฟังและสรุปข้อปัญหา แสดงความเห็นด้วยในบางแง่ ถามหรือเสนอทางเลือก และหาข้อตกลงร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลง
3. หากเป็นคนกลางในการแก้ปัญหา ควรจะ ให้แต่ละฝ่ายบอกถึงปัญหาของตน ให้ความเห็นเรื่องปัญหา พัฒนาทางเลือกและหาข้อตกลงร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลงและติดตามผล
* เงื่อนไขของการแก้ปัญหาแบบชนะ-ชนะ
การแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบชนะ-ชนะ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทำตามเงื่อนไขต่อไปนี้(ทิศนา แขมมณี,2522)
1. สมาชิกแต่ละฝ่ายต้องคิดว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในการทำงานและสามารถแก้ไขได้
2. เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น สมาชิกทั้งสองฝ่ายต้องเปลี่ยนวิธีคิดที่มุ่งเอาชนะกัน มาเป็นพยายามหาข้อมูลและวิธีการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
3. สมาชิกของแต่ละฝ่ายต้องมีความจริงใจในการแสดงออกซึ่งความต้องการของฝ่ายตนออกมาให้เห็นชัดเจน เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาแก้ปัญหา
4. พยายามหลีกเลี่ยงการลงคะแนนเสียงเพื่อใช้เสียงข้างมากตัดสิน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเอาชนะกันมากขึ้น
5. สมาชิกทั้งสองฝ่ายต้องพยายามเอาใจใส่ปัญหาของกันและกัน ทั้งนี้ เพื่อจะช่วยให้ได้ข้อสรุปของการแก้ปัญหาอย่างเป็นที่น่าพอใจ
* ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ดูบริน (1990: 207) ได้เสนอข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ดังนี้
1. เหลือช่องทางไว้สำหรับการต่อรอง โดยไม่บีบบังคับอีกฝ่ายหนึ่งจนไม่มีทางเลือก
2. เริ่มจากข้อเรียกร้องที่สมเหตุสมผล การตั้งข้อเรียกร้องที่สมเหตุสมผลแสดงว่าเรามีความจริงใจในการแก้ปัญหา
3. วางกรอบการคิดในแง่บวก เนื่องจากกรอบความคิดจะมีผลต่อการแสดงพฤติกรรมขณะที่กำลังแก้ไขความขัดแย้ง
4. รุกทีละน้อย จากผลการศึกษาพบว่าหากเจรจาเพื่อให้ได้ในเรื่องเล็กๆก่อนแล้วค่อยขยับไปเรื่อยๆจะได้ผลมากกว่าการเรียกร้องในเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
5. ใช้เส้นตาย การระบุถึงเส้นตายจะช่วยให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องพิจารณาข้อขัดแย้งอย่างจริงจังและต้องลงมือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
6. ควบคุมอารมณ์ กฏทองสำหรับความสำเร็จในการแก้ปัญหาใดๆคือกความสามารถในการควบคุมอารมณ์ให้เยือกเย็นภายใต้แรงกดดัน
7. รักษาหน้าคู่ขัดแย้ง หากเราเชื่อในกลวิธีของชนะ-ชนะก็จะต้องระวังมิให้อีกฝ่ายเสียหน้าในขณะที่กำลังแก้ไขความขัดแย้งกัน
สรุป
ปรากฏการณ์ปรกติแต่มีความสำคัญอีกประการหนึ่งในการทำงานเป็นทีม ได้แก่ ความขัดแย้ง ซึ่งหมายถึง การที่สมาชิกในทีมมีความเห็นไม่สอดคล้องกันในเรื่องต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ในหลายระดับ เช่น ระหว่างคนกับคน คนกับกลุ่ม กลุ่มกับกลุ่ม หรือองค์การกับองค์การ สาเหตุของการเกิดความขัดแย้งเกิดจาก การตกอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกัน ผลประโยชน์ขัดกัน คาดหวังในบทบาทต่างกัน อคติ มีปทัสถานค่านิยมและการรับรู้ต่างกัน และการได้มาปฏิสัมพันธ์กัน ส่วนการตอบสนองต่อความขัดแย้งนั้นเบื้องต้นจำแนกออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ แบบหลีกเลี่ยง ผ่อนปรน บังคับ ประนีประนอม และแก้ปัญหา ซึ่งแต่ละแบบล้วนมีข้อดีข้อเสียและเงื่อนไขในการใช้ให้เหมาะสมต่างกัน สำหรับการแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ การแก้ปัญหาแบบ ชนะ-ชนะ ซึ่งต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์เต็มส่วนทั้งคู่และสามารถรักษาสายสัมพันธ์ไว้ได้ แต่ก็ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
บรรณานุกรม
ทิศนา แขมมณี และคณะ 2522 กลุ่มสัมพันธ์: แนวทฤษฎีและปฏิบัติ เล่ม 1 กรุงเทพ: บูรพาศิลป์การพิมพ์.
Caplow, T. 1975 Sociology New Jersey: Prentice-Hall.
Dubrin, A.J. 1990 Effective Business Psychology 3rd Edition New Jersey: Prentice-Hall.
Hodgetts, R.M. 1993 Modern Human Relations at Work 5th Edition Fort Worth: The Dryden Press
Johnson , D.W. 1991 Human Relationships and Your Career 3rd Edition New Jersey: Prentice Hall
Lussier, R. N. 1996 Human Relation in Organization Chicago: IRWIN
Penrod, S. 1983 Social Psychology New Jersey: Prentice-Hall.
Scholtes, P.R. and Others 1996 The TEAM Handbook Madison: JOINER Associates Inc.
Resource : รศ. ดร.กุญชรี ค้าขาย