เงินด่วนอย่างไรไม่ให้ตกหลุมพราง
· Tab 1
เงินด่วนอย่างไรไม่ให้ตกหลุมพราง
......ดอกเบี้ย 0%นาน 15 เดือน.......กู้วันนี้แถมกระเป๋าเดินทางมูลค่า 3 พันบาทฟรี............ชำระหนี้ตรง 3 เดือน ฟรี 1 เดือน....อนุมัติเงินด่วนภายใน 30 นาที.....กู้ 1 แสน ชำระคืน 95,000 บาท ....
สารพัดสารพันสิ่งล่อใจที่พร้อมจะดึงให้คุณก้าวลงไปตก 'หลุมพราง' ของหนี้ ที่ยุคสมัยนี้การสร้างหนี้เกิดขึ้นโดยง่ายดายอย่างน่าอัศจรรย์ โลกยิ่งแคบลง การเป็นหนี้ยิ่งทำได้ไวขึ้น ไวจนบางครั้งคุณเองก็ลืมดูเงื่อนไขอย่างละเอียดถี่ถ้วน มารู้ตัวอีกทีก็สายเสียแล้ว
หลายครั้งหลายคราที่เงินด่วนแทนที่จะเนรมิตอำนาจซื้อให้คุณได้ทำตามความฝัน หรือปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งที่แบกมานาน กลับกลายเป็นว่ายิ่งสร้างภาระให้คุณแบกอย่างแสนสาหัสยิ่งกว่าเดิม
ถ้าไม่อยากติดกับดักของหนี้ที่เกิดจากการกู้เงินด่วน ก่อนตกลงปลงใจเป็นลูกหนี้เงินกู้ส่วนบุคคล ควรจะพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ไว้ก่อน
เปรียบเทียบรายละเอียดของผู้ให้กู้ค่ายต่างๆ....เป็นเรื่องพื้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการกู้เงินอยู่แล้วว่า อันดับแรกคุณต้องเปรียบเทียบ รายละเอียด ของสถาบันการเงินรายต่างๆ ที่ให้บริการสินเชื่อบุคคล เพราะแต่ละแห่งย่อมมีโปรโมชั่น และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน สถาบันการเงินส่วนใหญ่ อาจจะกำหนดเงื่อนไขว่าผู้กู้ต้องมีรายได้ต่อเดือนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท ถ้าคุณเงินเดือนยังไม่ถึงเกณฑ์ ก็อาจต้องมองหา สถาบันการเงิน รายอื่นที่ตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำกว่า
เช่น กรณีของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด และบริษัท บัตรกรุงไทย อาจจะกำหนดรายได้ขั้นต่ำไว้ที่เดือนละ 1 หมื่นบาท ขณะที่ซิตี้ แบงก์ อาจจะตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 15,000 บาท แต่คุณมีรายได้ไม่ถึง ก็อาจต้องหันไปพิจารณาแคปิตอล โอเค ซึ่งกำหนดขั้นต่ำไว้ที่เดือนละ 4,000 บาทเท่านั้น
@ระยะเวลา-วงเงินให้กู้
.......เป็นเงื่อนไขที่ต้องไม่ลืมพิจารณาเช่นกัน สถาบันการเงินส่วนใหญ่จะกำหนดระยะเวลาเงินกู้อยู่ที่ 1-5 ปี เป็นหน้าที่ของคุณแล้วว่า จะเลือก ระยะเงินกู้กี่ปีดี คุณเท่านั้นที่จะรู้กำลังการผ่อนชำระของตัวเองว่าควรจะอยู่ในระดับไหน ถ้ามีภาระต้องใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนมาก ก็ควรเลือกผ่อนชำระให้นานเข้าไว้ วงเงินผ่อนจะได้น้อย และไม่เป็นภาระจนเกินไป แต่ถ้ามีกำลังผ่อนได้เยอะก็ควรจะเลือก ระยะเวลาผ่อน ให้สั้นเข้าไว้ เพราะแบงก์ชาร์จดอกเบี้ยในแต่ละเดือนไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งเลือกผ่อนชำระหลายปีคุณก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแบงก์มากเท่านั้น
ส่วนวงเงินให้กู้จะประมาณ 4-5 เท่าของเงินเดือน ถ้าคุณอยากได้มากกว่านั้น ก็อาจต้องเลือกสถาบันการเงินที่ให้วงเงินสูง 6-7 เท่า เช่น เพอร์ซัลนัลโลนของซิตี้ แบงก์ หรือ สินเชื่อเคทีซี แคช ของบริษัท บัตรกรุงไทย
ดอกเบี้ย.....ดูเหมือนว่าดอกเบี้ยจะเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดสำหรับการกู้เงิน ไม่ว่าจะกู้มาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม ดอกเบี้ยเป็นสิ่งแรก ที่ต้องคำนึงถึง แม้สินเชื่อบุคคลจะมีระยะกู้สั้นๆ แค่ 1-5 ปี คุณอาจรู้สึกว่าไม่ต้องแบกรับ ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ในระยะนาน เหมือนกู้ซื้อบ้าน แต่ใช่ว่าจะปล่อยเลยตามเลย
และสิ่งที่ต้อง 'ระวัง' และ 'รอบคอบ' ให้มากที่สุดก็เรื่องดอกเบี้ยนี่แหละ อย่างที่เคยเกริ่นไว้ว่าสถาบันการเงินมักโฆษณา และป่าวประกาศ เฉพาะอัตราดอกเบี้ยถูกแสนถูกในระยะโปรโมชั่น แต่อัตราที่ชาร์จหลังพ้นระยะโปรโมชั่นไปแล้วนี่สิส่วนมากจะเงียบกริบ นั่นเป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องถามไถ่จากเจ้าหน้าที่ขายให้ละเอียดและถี่ถ้วนที่สุด
เช่นว่า แคปิตอล โอเค เขย่าตลาดด้วยโปรโมชั่น 'ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินต่อเดือน 0% มากถึง 15 เดือน' แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ลูกค้าทุกคนจะได้อัตรานี้ เพราะกำหนดให้เฉพาะลูกค้าที่เลือกระยะเวลาผ่อนชำระคืน 60 เดือน และผ่อนชำระครบถ้วนตรงตามกำหนดทุกๆ 3 งวดติดต่อกันจนสิ้นสุดระยะเวลา 60 เดือน
หรือเพอร์ซันนัลโลนของซิตี้ แบงก์ ที่โฆษณาว่าดอกเบี้ยฟรี 0% 3 เดือน ก็ไม่ใช่ว่าผู้กู้ทุกคนจะได้อัตรานี้ แต่หมายความว่า คุณต้องเป็น ลูกค้าที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และกู้วงเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ส่วนลูกค้าต่างจังหวัด 0% แค่เดือนแรกเท่านั้น
อ่านเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ให้ถี่ถ้วน......ข้อเสียที่ผู้กู้เงินหรือผู้ที่ทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินส่วนใหญ่ คือ ไม่ค่อยอ่านเงื่อนไข สัญญาเงินกู้ให้ละเอียด จึงมักเกิดปัญหาตามมามากมาย โดยเฉพาะเงื่อนไขเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่เกิดการเข้าใจผิดกันอยู่บ่อยๆ
เพราะบางครั้งสถาบันการเงินมักจงใจล่อใจผู้กู้ด้วยการประโคมอัตราดอกเบี้ยที่เป็นระยะโปรโมชั่น จนผู้กู้บางคนเข้าใจผิดว่า เป็นอัตราเท่านี้ตลอดสัญญาเงินกู้ หรือบางครั้งก็ชาร์จอัตราดอกเบี้ยในราคาถูกจริง แต่เพียงแค่คุณชำระล่าช้าหรือทำผิดเงื่อนไขนิดหน่อย ก็เท่ากับว่าคุณต้องถูกชาร์จดอกเบี้ยอีกอัตราหนึ่งซึ่งแพงระเบิดเถิดเทิง
ยอมเสียเวลาสักนิด ในการนั่งอ่านและทบทวนรายละเอียดทั้งหมดของสัญญาเงินกู้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งคอตกทีหลัง
@ค่าธรรมเนียม.......
นอกจากอัตราดอกเบี้ยจะเป็นสิ่งที่ผู้กู้ต้องดูให้ถ้วนถี่แล้ว 'ค่าธรรมเนียม' ประเภทต่างๆ ที่ต้องจ่าย ยังเป็นสิ่งที่คุณต้องไม่ลืมสำรวจ หรือสอบถามเจ้าหน้าที่ขายให้ละเอียดด้วย เพราะในการกู้แต่ละครั้งไม่ได้มีเพียงแค่ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเท่านั้น แต่ยังมีค่าใช้จ่าย จิปาถะอีกหลายอย่างที่คุณควรจะรู้
ไม่ว่าจะเป็น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ที่โดยปกติจะคิดไม่เกิน 3% ของวงเงินสินเชื่อต่อเดือน ค่าธรรมเนียมจัดการสินเชื่อ อัตราปกติไม่เกิน 5% ของวงเงินสินเชื่อหรือขั้นต่ำ 500 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ค่าปรับกรณีชำระล่าช้า ประมาณ 5% ของยอดค้างชำระ หรือขั้นต่ำ 100 บาทต่องวด แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ค่าปรับกรณีเช็คคืน ฉบับละ 200 บาทต่อครั้ง ค่าธรรมเนียมการใช้คืนสินเชื่อ ก่อนครบกำหนดเวลาชำระคืน ประมาณ 5% ของจำนวนยอดเงินที่ค้างชำระ แต่ไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
ทบทวนวัตถุประสงค์ก่อนกู้.....การไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ แต่เอาเข้าจริงๆ ดูเหมือนชีวิตของคนในยุคนี้ ไม่อยากมีลาภอันประเสริฐกันเท่าไหร่นัก บางคนตัดสินใจเป็นหนี้ด้วยวัตถุประสงค์ผิดๆ เช่น เอามาปรนเปรอความสะดวกสบายของตัวเอง กู้มาซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ กู้เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ กู้เพราะอยากได้เสื้อผ้าแบรนด์เนมคอลเลคชั่นใหม่
แต่สำหรับบางคน การกู้สินเชื่อบุคคลจากสถาบันการเงินทั้งแบงก์ และนอน-แบงก์ เพื่อนำไปโปะหนี้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยแพงหูฉี่ อันนี้ถือว่าเป็นการรีไฟแนนซ์หนี้ที่ทำให้ภาระน้อยลง
ฉะนั้น ก่อนจะตกลงปลงใจกู้เงินแต่ละครั้งคิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน ทบทวนจุดมุ่งหมายในการกู้เงินให้ดี จะได้ไม่ติดกับดักหนี้
บัตรเครดิต ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี
· Tab 1
ถ้าใครสังเกตสถานการณ์ การแข่งขันของสถาบันการเงิน ในช่วงนี้ จะพบว่า หลายสถาบันทั้งของไทย และของต่างชาติ ต่างมุ่งเป้าหมาย การหารายได้ ลงมาในส่วนของสินเชื่อลูกค้า รายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ประจำ ซึ่งนอกจาก การให้สินเชื่อ ลักษณะ เงินกู้ส่วนบุคคล ประเภทต่างๆ และวงเงินหมุนเวียนหลากหลายชื่อแล้ว ของเก่าที่ยังนำมาเป็น เครื่องมือเพิ่มรายได้ให้กับสถาบันอีกอย่างก็คือ บัตรเครดิต ซึ่งมีทั้งบัตรที่ออกโดย สถาบันการเงิน เอง ที่เรียกกันว่า LOCAL CARD หรือบัตรที่มีลักษณะเป็น INTERNATIONAL อย่าง VISA / MASTER CARD / AMEX / DINERS บางสถาบันการเงิน ยังมี บัตรลูกผสมที่เป็นทั้ง LOCAL และ INTERNATIONAL ในใบเดียวกัน เพื่อให้ผู้ถือบัตร มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น การแข่งขันด้านบัตรเครดิตที่เริ่มเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2544 ต่อเนื่องจน ถึงปัจจุบัน เมื่อประกอบกับ การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ลดวงเงินรายได้ของผู้มีสิทธิ์ถือบัตรเครดิต จากเดิมต้องมีรายได้ 20,000.- บาท / เดือน คงเหลือไม่ต่ำกว่า 15,000.- บาท / เดือน ทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น มีผู้ถือบัตรรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจาก ธนาคาร แห่งประเทศไทยระบุว่า มีจำนวนบัตรเครดิต ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2544 จำนวน 1.89 ล้านบัตร และคาดว่า จะเพิ่มเป็นมากกว่า 2.0 ล้านบัตร ในปี 2545 ซึ่งจะเป็นจำนวนที่สูงที่สุด และมากกว่าช่วงก่อน เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ด้วยซ้ำไป
จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า จำนวนบัตรเครดิต ที่เพิ่มขึ้น และจะต้องมี การบริโภค มากขึ้นตามมานั้น ไม่ได้สอดคล้อง หรือเป็นไปในทิศทางเดียวกับ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่ยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง กำลังซื้อโดยรวมลดลง หากมองกันใน แง่ร้ายจะเห็น ความเสี่ยงที่จะเกิด NPL ขึ้นใหม่อีกครั้ง นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยเหล่านี้ ซึ่งนั่นเป็นปัญหาระดับประเทศ สำหรับผู้มีส่วน เกี่ยวข้องที่จะดูแล และกำกับควบคุมต่อไป แต่ในส่วนของผู้บริโภค หรือผู้ถือบัตรเอง ก็ควรตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากไม่ใช้บัตรเครดิต ให้ถูกแนวทาง หรือมีความเข้าใจไม่เพียงพอ
โดยคุณสมบัติพื้นฐานบัตรเครดิต คือ เครื่องมือที่ผู้ออกบัตรออกให้กับผู้ถือบัตรเพื่อนำไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ แทนเงินสด ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลาตามที่ตกลง ผู้ถือบัตรจะต้องชำระเงินส่วนนั้นคืนให้กับผู้ออกบัตร แต่เดิม การชำระคืน แต่ละรอบ ผู้ถือบัตรจะต้องชำระคืนเต็ม จำนวนที่ได้รับการแจ้งยอด ธนาคาร หรือผู้ออกบัตร จะมีรายได้หลัก 1 - 3 % จากรายการใช้จ่ายของ ผู้ถือบัตรแต่ละรายการ โดยหักเอาจากร้านค้าที่ขาย ผ่านบัตรเครดิต (นอกจากรายได้จาก ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี) ในปัจจุบันมี การกำหนดเงื่อนไข การชำระคืนเป็นสามารถผ่อนชำระได้ 5 - 10 % ของยอดการใช้จ่ายต่องวดหรือยอดคงค้าง (แต่ต้อง ไม่ต่ำกว่า 2,000.- บาท ตามประกาศของ ธนาคารแห่งประเทศไทย) ในแง่ของผู้ถือบัตรมีแนวทางเลือกมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้เกิดยอดคงค้าง ในบัตรเครดิตมากขึ้น ทำให้ผู้ออกบัตรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก ทางจากดอกเบี้ยซึ่งคิดจากยอดหนี้คงค้าง (ข้อมูล ในไตรมาสที่ 1 ปี 2544 พบว่า ยอดหนี้คงค้างในระบบบัตรเครดิต ทั้งประเทศมีประมาณ 32,000.- ล้านบาท) นอกจากนี้ผู้ออกบัตร ยังมีรายได้จาก ค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสด ฉุกเฉินล่วงหน้า และค่าธรรมเนียมจาก การชำระล่าช้าอีกด้วย
กลยุทธ์ต่างๆ ของผู้ออกบัตร ที่นำมาชักชวนผู้บริโภค ตั้งแต่ต้นปี 2544 อาทิ การยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี การให้ ของแถมมูลค่า ตั้งแต่หลักร้อยบาท จนถึงพันกว่าบาท สำหรับผู้สมัครใหม่ การให้โบนัสหรือรางวัลเป็นสิ่งของ หากมีการใช้จ่ายผ่านบัตร ถึงเป้าที่กำหนด หรือการใช้นโยบายราคา โดยลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับโอนหนี้ เพื่อแย่งชิงลูกค้ากลุ่มเดิม เป็นการแข่งขันที่ไม่เคย ปรากฎมาก่อนตั้งแต่บัตรเครดิต เริ่มเข้ามามีบทบาท ในระบบสถาบันการเงินของประเทศ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน อาจกล่าวได้ว่า ภาวะตลาด บัตรเครดิต ปัจจุบันเป็นของผู้บริโภคก็ย่อมได้ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจของผู้บริโภคที่จะถือบัตรเครดิตสักใบ หรือจะใช้จ่ายผ่านบัตร
เครดิตที่มีอยู่แล้ว ผู้ถือบัตรน่าจะมีกฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับตัวเองคือ
1. เลือกเงื่อนไขชำระคืนที่เหมาะสม การเลือกเงื่อนไขผ่อนชำระคืนเต็ม ตามจำนวนในใบแจ้งยอด แม้จะเป็น การแสดงความตั้งใจ ในการรักษาวินัยทางการเงินของผู้ถือบัตร แต่ในบางครั้งเป็น การบังคับตนเอง เกินไปจน ไม่มีทางถอย และอาจสร้างปัญหาให้กับ ผู้ถือ บัตรได้ในอนาคต โดยเฉพาะใน ภาวะเศรษฐกิจ ที่ยังไม่มีความแน่นอน ผู้ถือบัตรหลายรายเลือกเงื่อนไขชำระคืนเต็มตามจำนวน ในใบแจ้งยอด แต่กลับพบภายหลังว่า ตนเองกลายเป็น ผู้ถือบัตรเครดิตที่มีปัญหา เมื่อไม่สามารถ ชำระคืนได้ตรงตาม กำหนดทุกครั้ง ซึ่งตรงข้ามกับผู้ที่เลือกผ่อนชำระขั้นต่ำ 10 % ผู้ถือบัตรเหล่านั้นสามารถ กำหนดเงื่อนไขให้ตนเองที่จะเลือกชำระเต็มจำนวนได้ โดยที่ ผู้ออกบัตร ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด แต่หากเดือนใดมีเหตุขัดข้องก็ยังสามารถเลือกชำระ 10 % ตามที่ตกลงกับผู้ออกบัตรไว้ได้เรียกว่า ยังเก็บ ทางถอยไว้ให้กับ ตนเอง และในแง่ของสถาบันผู้ออกบัตรจะถือว่าเป็นลูกค้าเกรด A ด้วยซ้ำ เนื่องจากสามารถชำระได้ดีกว่า เงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
2. พยายามชำระหนี้เต็มตามใบแจ้งยอด หลีกเลี่ยงยอดค้างชำระ ไม่ว่าจะเลือกเงื่อนไขใด ในการชำระคืน ก็ตามสิ่งสำคัญที่ ผู้ถือบัตรต้อง คำนึงไว้ตลอดเวลา คืออัตราดอกเบี้ยที่ผู้ถือบัตรถูกคิดจากยอดค้างชำระ (หลังจากครบกำหนดชำระแล้ว) จะอยู่ที่ประมาณ 17 - 18 % ต่อปี หรืออาจสูงถึง 24 - 27 % ต่อปีในกรณีผู้ออกบัตรที่เป็นสถาบันต่างชาติ อัตราดังกล่าวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมาก เพราะฉะนั้น คงจะไม่ถูกต้องตาม หลักทฤษฎีการบริหารเงินแน่ หากสามารถชำระเต็มได้แต่ไม่ชำระ โดยเก็บเงินไว้ในบัญชีเงินฝาก
3. หลีกเลี่ยงการเบิกถอนเงินสดฉุกเฉิน หรือ CASH ADVANCE โดยทั่วไป บัตรเครดิต จะมีวงเงิน ให้เบิก เงินสดฉุกเฉิน ได้ 50-100 % ของวงเงินบัตรหรือ ยอดคงเหลือขณะนั้น การเบิกแต่ละครั้ง ต้องแน่ใจว่าฉุกเฉินจริง ๆ เนื่องจากผู้ถือบัตรจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 4 - 5 % ของยอดที่เบิกทันที และผู้ออกบัตรบางราย ยังคิดดอกเบี้ย จากยอดดังกล่าวนั้น ตั้งแต่วันที่เบิกอีกด้วยซึ่งแสดงว่าจะมี ีต้นทุน ดอกเบี้ยจาก เงินก้อนดังกล่าวนั้น 5 - 6 % ต่อเดือน หรือ 60 - 70 % ต่อปีทีเดียว
4. หลีกเลี่ยงการชำระไม่ตรงกำหนด เนื่องจากจะมีค่าปรับเกิดขึ้นมากน้อยตามแต่สถาบันผู้ออกบัตรจะกำหนด ผู้ออกบัตรบางสถาบัน กำหนดเป็นเกณฑ์แน่นอน 100 - 200 บาทต่อครั้ง แต่ผู้ออกบัตรบางราย กำหนดเป็น เปอร์เซ็นต์ของยอด ที่ต้องชำระคืนตามใบแจ้งยอด ซึ่งหากเดือนใดผู้ถือบัตรหลงลืมชำระไม่ตรงกำหนด อาจจะต้อง ถูกปรับเป็นหลักพันบาททีเดียว
ข้อคิดสำคัญที่ต้องคิดทุกครั้งในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต คือ ก่อนรูดบัตรแต่ละครั้งเพื่อซื้ออะไรก็ตาม ลองคิดดูสักนิดว่า เรามีเงิน ในบัญชีขณะนั้น มากพอที่จะชำระคืนหรือไม่ เงินในบัญชีนั้นต้องเป็นสำหรับส่วนที่กันไว้สำหรับใช้จ่าย ไม่ใช่เงินออมด้วยจึงจะถูกต้อง หากไม่มีเงินพอในขณะนั้น และการรูดบัตรนั้น เป็นการใช้จ่ายเพื่อรอการเงิน ในอนาคตมาชำระคืน ผู้ถือบัตรควรจะหยุดคิดสักนิด ว่า สินค้าหรือบริการนั้นมีความจำเป็นเพียงใด บัตรเครดิต จะมีประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อผู้ถือบัตรใช้แทนเงินสดที่มีอยู่ และมีเวลาอีก 40 - 45 วันที่จะต้องจ่ายเงินสด ที่มีอยู่นั้นออกไป นั้นคือการใช้บัตรเครดิตที่ถูกวิธี แต่ผู้ถือบัตรจะเป็นฝ่ายถูกใช้โดยผู้ออกบัตรให้เป็นลูกหนี้ และภาระหนี้ที่ต้องชำระคืน ไม่จบสิ้นในอนาคตทันที ถ้าผู้ถือบัตรใช้จ่ายโดยหวังว่าจะนำเงินรายได้ในอนาคตมาชำระคืน ผู้ถือบัตรดังกล่าว จะต้องทำงาน เพื่อตามใช้หนี้ที่เกิดขึ้น และไม่สามารถ วางแผนการเงิน ให้ถูกแนวทางได้อีกเลย
ได้ข้อมูลมาจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ข้อมูลมาจา
· Tab 2
กลเม็ดใช้บัตรเครดิตแบบถูกวิธี
ทุกวันนี้การใช้บัตรเครดิตกลายเป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตของคนไทยทั่วไปแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ประกอบการทั้งธนาคาร และสถาบันที่ออก บัตรเครดิต ต่างดึงดูดใจลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่าง ๆ มากมาย จนทำให้จำนวนผู้ใช้บัตรเครดิต เพิ่มอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีบัตรเครดิตแล้วก็ควรใช้อย่างสบายใจและเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยแนวทางดังต่อไปนี้ ใช้บัตรเครดิตกับสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้น จากสภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ ส่งผลทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ฉะนั้น การจะซื้อสินค้า ก็ควรจะเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น ส่วนสินค้าจำพวกอำนวยความสะดวก ให้ชีวิตนั้นคงจะต้องรอไว้ก่อน จนกว่าสภาพคล่องทางการเงินดีขี้นกว่าปัจจุบัน
คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ หลังจากใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าแล้ว ควรชำระหนี้ที่ถูกเรียกเก็บ ให้เจ้าหนี้เต็ม จำนวนที่เรียกเก็บและตรงกำหนดเวลาวันชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดอกเบี้ยและค่าปรับจากการชำระหนี้ช้า ฉะนั้น ก่อนใช้บัตรเครดิต ควรคำนึงถึงรายได้ของตน หรือความสามารถในการชำระหนี้คืนให้แก่เจ้าหนี้
ดูวันก่อนออกจากบ้านไป ช้อปปิ้ง พยายามใช้บัตรครดิต ให้ได้ระยะเวลาในการปลอดหนี้ให้มากที่สุดจากธนาคาร โดยเลือก หลังจากวันที่มี การสรุปยอดการใช้จ่ายทุกครั้ง เนื่องจากถ้านำบัตรเครดิตไปใช้ใกล้ถึงวันตัดยอด ก็จะได้เวลา ในการปลอดหนี้น้อย และต้องชำระเงินเร็ว ยึดแนวนี้ไม่มีพลาด
- ศึกษาเงื่อนไขของบัตรเครดิตที่ถืออยู่อย่างละเอียด
- หมั่นติดต่อกับธนาคารเพื่อจะได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
- ใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้า หรือบริการในระยะเวลาปลอดหนี้
- ตรวจสอบความถูกต้องของรายการสินค้าและจำนวนเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้ง
- เก็บสลิปที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้
- เก็บรักษาบัตรเครดิตให้ปลอดภัย
- ยกเลิกการถือบัตรเครดิต หากไม่มีความจำเป็น
เริ่มต้นอย่างไรดี ถ้าต้องการมีบัตรเครดิตไว้ใช้สักใบ บัตรเครดิต หลายท่านต้องการมีไว้ใช้จ่ายอย่างน้อย 1 หรือ 2 ใบ เพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินของท่านในแต่ละเดือน ปัจจุบันบัตรเครดิตมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิม ซึ่งเคยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 25 % - 29 % ต่อปี เหลือเพียง 18 % ต่อปีเท่านั้น อีกทั้งค่าธรรมเนียม ในการเบิกถอน เงินสดก็ปรับลดลงอีกด้วยเหลือเพียง 3 % ของยอดที่เบิกถอน
ข้อดีของการมีบัตรเครดิต คือ ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องชำระค่าสินค้า หรือบริการ เป็นเงินสด ท่านสามารถใช้บัตรเครดิตของท่าน ชำระค่าใช้จ่ายได้ทันที โดยเงินสดของท่าน ก็ยังคงมีอยู่ ที่สำคัญค่าบริการหรือสินค้าที่ท่านใช้จ่ายนั้น ท่านสามารถชำระคืน ได้ในภายหลัง โดยมี ระยะเวลาประมาณ 45 - 55 วันแล้วแต่บัตรของธนาคาร ท่านไม่จำเป็น ที่จะต้องชำระคืนเต็ม จำนวน เพราะท่านสามารถเลือกชำระคืนเพียง 5 % ของค่าใช้จ่ายท่านของท่าน บัตรเครดิตยังให้ท่านเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า
สำหรับเหตุการณ์ในทุกสถานการณ์ เช่นค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน และบัตรเครดิตยังมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายมากมาย ไม่ว่า จะเป็น การผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตราดอกเบี้ย 0 % การสะสมคะแนนแลกของกำนัล ต่างๆ การเห็นไหมครับว่า บัตรเครดิตน่าสนใจจริงๆครับ
ข้อเสียของการมีบัตรเครดิต
ข้อนี้ขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมของท่านเองว่า ท่านสามารถควบคุมการใช้บัตรของท่านได้ถูกวิธีหรือไม่ หากท่านมีการใช้วงเงินเกิน
การชำระคืนของท่าน การมีบัตรเครดิตก็เป็นดาบ 2 คมเช่นกัน ดังนั้นเมื่อท่านมีบัตรเครดิต ท่านควรมี วิธีการบริหารการใช้จ่าย อย่างถูกวิธี เพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริหารการเงินของตัวท่านเอง
สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกสมัครบัตรเครดิต
1. อัตราดอกเบี้ย
2. ค่าธรรมเนียมต่างๆในการใช้บัตร
3. การให้บริการ
4. ค่าบริการรายปี
5. โปรโมชั่นของบัตรแต่ละประเภท
วิธีเลือกบัตรเครดิต
พิจารณาเงื่อนไขในการสมัครของบัตรนั้น ๆ เช่น เงินเดือนขึ้นต่ำ เงินเดือนต้องผ่านแบงค์ เป็นต้น ใช ้บัตรเครดิต อย่างฉลาด
สินเชื่อหรือเครดิต มีหลายหลายรูปแบบในประเทศไทย นอกเหนือจากบัตรเครดิตที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรมีความยืดหยุ่น และคล่องตัว ในการใช้เงินสูงสุดแล้วก็ยังมี บัตรเครดิต อีกหลายประเภท อาทิ บัตรเพื่อการกู้ยืม สำหรับนักเรียน การกู้เพื่อ วันพักผ่อน การกู้เพื่อซื้อบ้าน หรือการจำนองแม้ว่า บัตรเครดิต เหล่านี้จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป แต่มีลักษณะพิเศษร่วมกัน บางประการ เช่น ช่วยให้เราคง รูปแบบการใช้ชีวิตตามความปรารถนาได้ โดยไม่ต้อง จ่ายเงินครั้งละมากๆ ดังนั้น การใช้บัตรเครดิต อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ผู้ใช้บัตรได้รับประโยชน์ ความปลอดภัย และความสะดวก
ในทางกลับกัน การใช้บัตรเครดิตอย่างไม่เหมาะสม อาจทำให้คุณตกอยู่ในความเดือดร้อน มีหลายกรณีที่ผลของ
การใช้บัตรเครดิตกลายเป็นภาระหนักทางการเงินของคุณ แทนที่จะช่วยส่งเสริมการเงินส่วนตัวของคุณ แนวทางต่อไปนี้เป็นวิธี การใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด และการล่วงรู้สัญญาณอันตรายจากการใช้เครดิตอย่างไม่เหมาะสม ผู้บริโภคที่เฉลียวฉลาด จะใช้เครดิตเพื่อส่งเสริมการใช้เงิน มากกว่าการทำให้กลายเป็น ภาระทางการเงิน ลองพิจารณาแนวทาง อันชาญฉลาดใน การใช้บัตรเครดิตดังนี้
จัดทำงบค่าใช้จ่ายประจำเดือน โดยแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ คอลัมน์แรกเขียนรายการค่าใช้จ่ายและคอลัมน์ที่สอง เขียนรายได้หลังหักภาษี เมื่อคุณนำค่าใช้จ่ายมาเปรียบเทียบกับรายได้ คุณจะเห็นทันทีว่าคุณเป็นหนี้เท่าไร และคุณสามารถ รับภาระได้หรือไม่ ขั้นตอนนั้นนับว่ามีความสำคัญมาก
วิธีการที่ดีที่สุดใน การสร้างกรอบให้ตัวเอง คือการยืมเงินหรือใช้จ่ายเงินล่วงหน้าภายในวงเงินที่คุณสามารถใช้คืนได้ พิจารณาว่าคุณสามารถใช้เงินในจำนวนเท่าไร แล้วค่อยใช้เครดิตตาม จำนวนนั้นแทน การนั่งคำนวณว่า คุณจะได้รับเครดิตเท่าไร
กฎทั่วไป คือ คุณควรจะจำกัดยอดการกู้ยืมเงินไว้ที่ 20% ของรายได้หลังหักภาษี ควรจำกัดตัวเองด้วยการใช้บัตรเพียงใบเดียว เช่น บัตรเครดิตของห้างสรรพสินค้าที่คุณชอบ หรือบัตรสถานีบริการน้ำมัน ควรแน่ใจว่า ในการชำระเงินที่กู้ยืมมานั้น คุณไม่ต้องจ่ายค่าปรับ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมี ความยืดหยุ่น ในการชำระเงินเวลาใดก็ได้
อย่าคิดเอาเองว่า คุณได้รับอนุญาตให้กู้ยืม ดังนั้นคุณจึงพร้อมแล้วที่จะใช้เครดิตให้มากกว่ายิ่งขึ้น หากคุณมีเป้าหมายที่ จะควบคุมการเงินของคุณ ควรแน่ใจว่า การเงินของคุณมีเสถียรภาพเพียงพอก่อนการยอมรับเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มเติม ควรอ่าน รายละเอียดต่างๆ อย่างถี่ถ้วน เพราะมีข้อแตกต่างมากมายระหว่างผู้ออกเครดิต และเงื่อนไขการจ่ายคืน ปรึกษาคู่สมรส หรือสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในภาระหนี้สิน ควรหาข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้ทุกอย่างดำเนิน ไปอย่างราบรื่น การทำเช่นนี้จะช่วยไม่ให้เกิดการใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น หรือการใช้เงิน อย่างไม่สมเหตุผล อีกทั้งช่วย สร้างความมั่นใจว่า ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทุกคน เต็มใจทำตามข้อตกลง ควรคิดเสมอว่า การเซ็นชื่อร่วมกันถือเป็นสัญญา ถ้าผู้ทำสัญญาไม่อาจชำระหนี้ได้ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้นก่อนเซ็นชื่อควรแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีความรับผิดชอบอย่างจริงจัง และพิจารณาว่าคุณ สามารถจัดการกับหนี้สินต่างๆ ได้หากคุณต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากคุณเป็นนักชอปปิ้งด้วย ที่ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ และมักทำผิดเงื่อนไขการกู้ยืม เป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน คุณยังไม่ควรใช้บัตรเครดิตจนกว่า คุณจะสามารถใช้เงินภายในวงเงินที่มีอยู่ได้ ให้บัตรเครดิตเป็น เพื่อนร่วมทางที่คุณวางใจได้ ไม่มีใครต้องการเผชิญกับภาวะเงินขาดมือ ในขณะอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าคุณมีบัตรเครดิต ที่ใช้ได้ทั่วโลกสักใบ ฝันร้ายนี้ย่อมจะไม่เกิดขึ้น
ได้ข้อมูลมาจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ข้อมูลมาจาก http://www.sfac.or.th
บัตรเครดิต เลือกบัตรเครดิตให้เป็น
· Tab 1
บัตรเครดิตอาจจะเป็นเครื่องมือในการ 'ใช้เงิน' ที่ให้ความสะดวกสูง แต่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินชนิดนี้ ก็มีคุณสมบัติพิเศษในการ 'ก่อหนี้' (ที่ไม่มีเหตุผล) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
มาดูกันว่า ในยุคที่บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลเกลื่อนเมืองแบบนี้ เราจะใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ได้อย่าง 'ฉลาดๆ' ได้อย่างไร?
เลือกบัตรที่ 'ใช่' สำหรับคุณ
บัตรเครดิตแต่ละใบนั้นแม้ว่ามองดูเผินๆจะเหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวนัก เพราะแต่ละบัตร ก็ถูกออกแบบมา เพื่อการใช้งานแต่ละประเภท
ลองมาดูกันว่า 'แบบไหน' ที่เหมาะกับคุณ
บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยต่ำ บัตรนี้จะดีมากสำหรับผู้ที่คิดว่าตนเอง 'ไม่สามารถ' จ่ายเงินได้เต็มจำนวนในทุกๆ รอบบัญชี จึงควรเลือกทำบัตรเครดิตกับสถาบันการเงิน ที่คิดค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยต่ำไว้ก่อน
เพราะถึงแม้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีบ้าง ก็ยังดีกว่าการต้องไปเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงๆ เพราะอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อเรา มากกว่าค่าธรรมเนียมรายปี
แต่โดยทั่วไปแล้ว บัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำนี้ จะมีสิทธิประโยชน์และข้อเสนอพิเศษที่จำกัดกว่า เมื่อเทียบกับบัตรเครดิตแบบสะสมแต้ม (เช่น frequent flyer)
สำหรับคนที่มั่นใจ ว่าจะจ่ายหนี้ได้ตามจำนวนที่ใช้จริง ในทุกรอบบัญชี คุณก็ควรเลือกทำบัตร ที่ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี หรือมีค่าธรรมเนียมรายปีน้อย ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้นไม่ต้องไปสนใจ เพราะตราบใดที่คุณจ่ายเงินตรงเวลา แบงก์ก็ไม่ได้แอ้มดอกเบี้ยคุณอยู่แล้ว
บัตรสะสมไมล์ บัตรชนิดนี้จะเหมาะกับ ผู้ที่ไม่มีหนี้บัตรเครดิต และสามารถชำระหนี้ ได้เต็มจำนวนทุกเดือนเช่นกัน บัตรชนิดนี้มักจะมีอัตราดอกเบี้ย สูงกว่าบัตรเครดิตทั่วไป แต่จะมี “ไมล์สะสม” ให้สำหรับเงินทุกบาทที่ใช้ผ่านบัตร ซึ่งไมล์ก็จะแตกต่างกันไปตามโปรแกรมต่างๆ
และโปรแกรมสะสมไมล์นี้ก็ไม่เหมือนกัน จะแตกต่างกันไปในรายละเอียด ว่าได้แต้มมาได้อย่างไร ข้อจำกัดต่างๆ เป็นอย่างไร รวมถึงวันหมดอายุ
ผู้ที่เดินทางบ่อยๆโดยการ โดยสารกับสายการบินที่ร่วมรายการ จะได้ประโยชน์หลายประการจากบัตรชนิดนี้
บัตรสะสมแต้ม ผู้ที่ชื่นชอบกับการได้รับของ หรือเงินสดคืนหลังการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต และไม่คิดจะมีหนี้บัตรเครดิต บัตรชนิดนี้จะเหมาะกับคุณมากที่สุด แม้ว่าโดยปกติบัตรเครดิตแบบสะสมเงินรางวัล จะมีเงินคืนที่แตกต่างกัน แต่โดยปกติก็จะอยู่ที่ราวๆ .025 - 2% โดยขึ้นอยู่กับมูลค่าการซื้อทั้งหมด
ส่วนการยกยอดเงินคืนให้จะเป็นรูปแบบใดบ้างนั้น คุณก็ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อน
บัตรเครดิตสำหรับธุรกิจ เหมาะกับผู้ที่ประกอบธุรกิจ และใช้บัตรเครดิตในการทำธุรกิจต่างๆ และต้องการแยกค่าใช้จ่ายนี้ ออกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัว บัตรนี้มักจะมีส่วนลดให้ในร้านค้า หรือบริษัทพันธมิตร ที่จะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจของคุณได้
ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร นักธุรกิจน่าจะแสวงหาบัตรประเภทนี้ไว้ใช้
ชาร์จการ์ด บัตรนี้จะเหมาะกับผู้ที่ไม่อยากเป็นหนี้บัตรเครดิต เพราะบัตรชนิดนี้ต้องจ่ายเงิน 'เต็มจำนวน' ทุกเดือน แม้ว่าชาร์จการ์ดมักจะมีค่าธรรมเนียมรายปีสูงกว่า แต่ก็มักจะมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากกว่าเช่นกัน และยังไม่นับรวมถึงการใช้จ่ายผ่านบัตร ในรายการสะสมคะแนน ที่มักจะดึงดูดใจด้วยข้อเสนอที่ดีกว่า
การหาบัตรที่ถูกใจนั้นก็เหมือนกับการ “ชอปปิง” หาของที่ถูกใจ คุณต้องหาบัตรเครดิต ที่ให้ผลประโยชน์คุณได้ดีที่สุด หรือให้ข้อเสนอ ส่วนลดพิเศษในสินค้า หรือบริการต่างๆ ที่คุณจะได้ใช้จริงๆ
นี่คือวิธีการหาบัตรเครดิตที่ 'ใช่เลย'
โดย...กมลวรรณ มักการุณ
E-Commerce
· Tab 1
ธุรกิจบน Internet ค้าขายด้วย E-Commerce
ปัจจุบัน IT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตและ การดำเนินธุรกิจ โดยที่มีผลพลอยได้มาจากการพัฒนาการใช้งานระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดเครือข่ายสารสนเทศขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมโยงไปทั่วทุกมุมโลก ความสามารถใน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ ให้เข้ากับธุรกิจที่มีอยู่จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีส่วนช่วยในการสนับสนุนกระบวนการต่างๆ ในระบบธุรกิจ การใช้อินเทอร์เน็ต ในทางธุรกิจที่เรียกว่า อิเล็กทรอนิกส์คอมเมอร์ซ(Electronics commerce) ได้ส่งผลให้รูปแบบการค้า กาติดต่อสื่อสารระหว่างธุรกิจ และ การทำธุรกรรมการค้าเปลี่ยนโฉมหน้าไปมาก อินเทอร์เน็ต เป็นเครื่องมือในด้านการตลาดที่มีความรวดเร็วในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งเห็นได้ว่า มีความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดรูปแบบการค้าและ การซื้อขายสิ้นค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ในเป็นที่นิยมในวงกว้างขึ้น และ ได้มีการส่งเสริมจากภาครัฐให้เกิดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับรองการขยายตัว ทางด้านการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต
หลักการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต
ผู้ประกอบการต้องศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต รวมทั้งกำหนดจุดประสงค์หรือ นโยบายในการทำเว็บ เช่น การบริหาร การประชาสัมพันธ์ การหารายได้จากสินค้า และ การบริการ เป็นต้น ในการทำเว็บ ต้องมีการเตรียมเนื้อหาให้ดึงดูดผู้ที่จะเข้ามาดูเว็บ ให้เกิดความสนใจ และ ควรจะมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ส่วนต่างๆ ของเว็บได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี วิธีในการทำเว็บสามารถศึกษาและ ทำเองหรือ จ้างผู้เชี่ยวชาญทำการออกแบบและ ติดตั้งให้แบบครบวงจร หลังจากที่มีการทำธุรกิจแล้ว ต้องมีการเตรียมการในการปรับปรุงข้อมูลในเว็บรวมทั้งคอยฟังข้อติชมของผู้ที่เข้ามาดูเว็บ เพื่อที่จะได้นำมาแก้ไขให้เว็บน่าดูยิ่งขึ้น
ธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต มีอะไรบ้าง
ปัจจุบันมีธุรกิจหลายประเภทที่ได้เริ่มมีการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต โดยที่เราสามารถแบ่งประเภทของธุรกิจได้ดังนี้
1 ธุรกิจขายตรง สิ่งที่สำคัญในธุรกิจขายตรง คือการบริการและ ดูแลลูกค้าในต่างประเทศ ธุรกิจขายตรงเริ่มมีการใช้อินเทอร์เน็ต เป็นสื่อในการติดต่อระหว่างทีมงาน เป็นที่รับรายการสั่งซื้อของลูกค้าหรือ ตั้งเว็บเพื่อสนับสนุนข้อมูล ให้กับตัวแทนขายสินค้าและ ลูกค้าทำให้สามารถกระจายฐานลูกค้าได้กว้างขวางขึ้น
2 ร้านขายหนังสือ ในต่างประเทศได้มีการทำธุรกิจขายหนังสือผ่านทางอินเตอร์เน็ต เช่น Amazon.com เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดบนอินเทอร์เน็ต สามารถทำกำไรจากการขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ต ได้ปีละหลายร้อยล้านบาท ส่วนในเมืองไทย เริ่มมีเว็บขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ต หลายราย เช่น Thaiamazon.com หรือ ร้านหนังสือจุฬาก็มีเว็บที่ขายหนังสือผ่านอินเทอร์เน็ต
3 ธุรกิจร้านค้าอาหาร ในเมืองไทยที่เริ่มมีเว็บที่สามารถสั่งอาหารทางอินเทอร์เน็ต เช่น พิทซ่าฮัทได้เริ่มเป็นรายแรก ตามมาด้วย KFC ซึ่งก็ตามมาติดๆ จากนี้คงมีเว็บที่สามารถสั่งอาหารบนอินเทอร์เน็ต ตามมาอีกหลายราย
ข้อดีในการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต
1 ช่วยเพิ่มข่องทางการจัดจำหน่าย ในการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต สามารถเพิ่มช่องทางสำหรับ การกระจายและ ขายสินค้าและ ยังสามารถทำการส่งเสริมการขายได้ง่าย เนื่องจากมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต อยู่เป็นจำนวนมาก
2 สามารถให้บริการข้อมูล ข่าวสาร และ การบริการที่ทันสมัยให้กับผู้สนใจอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วย การสืบค้นข้อมูลที่รวดเร็ว อินเทอร์เน็ต สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน โดยที่ไม่ต้องมีการพักทำให้สามารถทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต ได้ตลอดเวลา
3 ลดต้นทุนการทำธุรกิจ การทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต สามารถลดต้นทุนทางธุรกิจได้หลายๆ ด้าน เช่น ด้านการขายและ การตลาด บริษัทไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานขายหรือ พนักงานบริการลูกค้าเป็นจำนวนมาก พนักงานที่มีอยู่สามารถขยายสาขาหรือ ศูนย์บริการไปหลายๆ ที่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มพนักงานบริษัทซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของบริษัทลง 4 ช่วยเพิ่มการประชาสัมพันธ์สินค้าและ บริการ อินเทอร์เน็ต สามารถนำเสนอสินค้าที่เป็นเอกลักษณะของท้องถิ่นหนึ่งให้คนอีกที่หนึ่งได้รู้จัก เช่น ในเมืองไทยสามารถโฆษณาสินค้าหัตถกรรมต่างๆ เช่น ไม้แกะสลัก เครื่องเงิน ให้กับคนต่างประเทศได้รู้จักก่อนที่จะพัฒนาเป็นการทำธุรกิจต่อไป
E-commerce กับธุรกิจผิดกฎหมาย
ปัจจุบันได้มีการนำอินเทอร์เน็ต มาใช้ในทางผิดกฎหมายมากขึ้น เช่น การขายหนังสือลามก, วีดีโอลามก, สื่อลามกประเภทต่างๆ เป็นแหล่งโอนเงินที่ผิดกฎหมายรวมทั้งใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงเพื่อกระทำความผิดเป็นต้น เนื่องจากอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เปิดกว้างให้บุคคลใดก็ได้เข้ามาใช้งาน ทำให้มีบุคคลที่ทำผิดกฎหมายใช้อินเทอร์เน็ต เป็นช่องทางในการกระทำความผิด ทางภาครัฐได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้จึงได้มีการตั้งโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษาและ ยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศโดยให้คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางในการดำเนินงานและ ประสานงานระหว่างหน่ายต่างๆ ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการร่างกฎหมาย ตัวกฎหมายที่ออกมาคาดว่าจะมีการกำหนดเกี่ยวกับกระบวนการและ นิติกรรมสัญญาแบบอิเล็กทรอนิค ความรับผิดชอบและ การคุ้มครองผู้ใช้รวมทั้งอาจจะมีบทลงโทษผู้ที่นำอินเทอร์เน็ต มาใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย