ระบบภูมิต้านทานร่างกาย Immune System
ระบบภูมิต้านทานร่างกาย Immune System คือระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของ ร่างกายที่ทำหน้าที่คอยป้องกัน ไม่ให้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอม ที่เป็นอันตรายเข้ามาทำอันตรายต่อร่างกายหรือเมื่อหลุดเข้ามาแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันก็จะพยายามทำลาย กำจัดสิ่งแปลกปลอมให้ หมดไปจากร่างกายโดยเร็วและอย่างมีประสิทธิภาพ
หน้าที่โดยสังเขปของระบบอิมมูนร่างกายคือ
- Defense ป้องกันและทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
- Homeostasis คอยกำจัดเซลปกติที่เสื่อมสภาพเช่นเม็ดเลือดที่มีอายุ มากแล้ว ออกจากระบบของร่างกาย
- Surveillance คอยจับตาดูเซลต่างๆที่จะ แปรสภาพผิดไปจากปกติ เช่น คอยดักทำลาย tumor cells เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ความสามารถในการตอบสนองของระบบอิมมูนต่อสิ่งแปลกปลอมนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทั้งนี้ขึ้นกับ ปัจจัยบางอย่างดังต่อไปนี้
1. Genetic factors ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า การตอบสนองทางระบบอิมมูนอยู่ภายใต้การควบคุมทาง genetic ดังหลักฐานการค้นพบไม่นานนี้ เกี่ยวกับ genetic complex บนโครโมโซม ซึ่งควบคุมการตอบ สนองทางอิมมูน และควบคุมชนิดของ histocompatibility antigens ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ คือคู่แฝดชนิดที่กำเนิดจากไข่ใบเดียวกัน (monozygotic twin) มักจะ เป็นโรคเดียวกัน มากกว่าคู่แฝด ที่กำเนิดจากไข่คนละใบ (dizygotic twin) และโรคบางอย่างมักเป็นในกลุ่ม ชนเชื้อชาติหนึ่งมากกว่าอีก เชื้อชาติหนึ่งเป็นต้น ปัจจุบันเขื่อว่าโรคต่างๆ ในมนุษย์เกิดจากความล้มเหลวของ genes ที่ควบคุมการตอบสนอง ทางอิมมูน
2. Age factors เด็กเล็กๆ และผู้สูงอายุเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าในคนหนุ่มสาวทั้งนี้เพราะในเด็กเล็ก ๆ ระบบ อิมมูนยังเจริญไม่เต็มที่ ขาด specific immunity ที่จะใช้ป้องกันโรค ขณะเดียวกันระบบ non-specific immunity ก็บกพร่องด้วย เช่น ผิวหนังบาง และกลไก การเกิด การอักเสบยังทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์เป็นต้น
เมื่ออายุมากขึ้น การทำหน้าที่ของระบบอิมมูนในร่างกายจะค่อยๆ ลดลงไป ในผู้สูงอายุปริมาณของอิมมูนโนโกลบูลิน และการทำ หน้าที่ของ cell mediated immunity จะน้อยกว่าคนหนุ่มสาว จะเห็นได้ว่า นอกจากผู้สูงอายุจะเป็น โรคติดเชื้อได้ง่ายแล้ว อัตราการเกิดโรค autoimmune และโรคมะเร็ง จะมีมากกว่าในคนหนุ่มสาว
3. Metabolic factors ฮอร์โมนบางชนิด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของระบบอิมมูน เช่น steroid จะมีฤทธิ์ยับยั้ง phagocytosis ลดการอักเสบ และลดการสร้างแอนติบอดีย์ จะเห้นได้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับ steroid นานๆ จะเกิดโรคบางชนิด ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เช่น โรคสุกใส (varicella), การติดเชื้อ staphylococus เป็นต้น
4. Environmental factors สิ่งแวดล้มก็มีความสำคัญ กลุ่มชนที่ยากจนจะมีอัตราการเกิดโรคต่างๆสูงกว่ากลุ่มชน ที่มีความเป็นอยู่ ดีกว่า ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุหลายประการรวมทั้งการขาดอาหาร ซึ่งจะทำให้การทำงานของระบบ อิมมูนเลวลง
5. Anatomic factors ผิวหนังและเยื่อเมือกที่บุอวัยวะต่างๆทำหน้าที่เป็นด่านแรกที่ร่างกายใช้ป้องกันไม่ให้ เชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย (ดูรายละเอียดในเรื่อง non-specific immunity ของบทนี้) ในผู้ป่วยที่เป็น eczema หรือ burns คุณสมบัติดังกล่าวจะเสียไป เกิดการติดโรคและแพร่กระจายไปทั่วร่างกายได้ง่ายกว่าในคนปกติ
6. Microbial factors จุลชีพประจำถิ่น (normal flora) ที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ โดยไม่ทำให้เกิดโรคเช่นใน ลำไส้ นอกจาก จะช่วยผลิตวิตามิน K ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลชีพที่ทำให้เกิดโรค (pathogenicmicroorganism) ได้ด้วย เมื่อใดก็ตามที่จุลชีพชนิดแรกถูกทำลาย เช่น ได้รับ broad-spectrum antibiotic จุลชีพให้เกิดโรค จะทวีจำนวนขึ้นเป็นผลร้ายแก่บุคคลนั้นได้
7. Physiologic fictors ที่มีอยู่ในร่างกายช่วยป้องกันโรคได้ เช่นน้ำย่อยในกะเพาะอาหาร ขนอ่อน (cilia) ในระบบทางเดินหายใจ การขับถ่ายปัสสาวะ ฯลฯ ถ้าสิ่งดังกล่าวผิดไปจากปกติ จุลชีพจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
หลักการเรื่องภูมิต้านทานร่างกายนี้ได้ถูกนำมาใช้อธิบายทั้งในการรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ ใช้อธิบายกลไก การเกิดการอักเสบ การซ่อมแซมของเนื้อเยื่อและการเกิดโรค ถึงแม้ปัจจุบันจะมี chemotherapeutic agentsและ การรักษาในรูปแบบอื่นๆด้วยก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นเพียงการช่วยเสริมกลไกของระบบภูมิชีวิต-ภูมิต้านทานในร่างกาย นั้นเอง การผ่าตัดใหญ่ต่างๆก็ต้องพึ่งความรู้ด้าน immunohematology มาใช้ในการเลือกเลือดที่เหมาะและเข้า กันได้ระหว่างเลือดของผู้ให้และเลือดของผู้รับ มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ การปลูกถ่ายเปลี่ยนอวัยวะก็ต้องใช้ ความรู้ทางด้านภูมิต้านทานร่างกาย (อิมมูโนวิทยา) เข้ามาช่วยในการตรวจหาความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อระหว่าง ผู้รับและผู้ให้อวัยวะ เรียกว่าการทำ histocompatability matching และในการควบคุมระบบภูมิต้านทานของ ผู้รับเพื่อลดการต่อต้านต่อเนื่อเยื่อที่นำมาเปลี่ยนใหม่ ในปัจจุบันโรคเลือดที่สำคัญๆ ล้วนต้องใช้ความรู้เรื่อง อิมมูโน วิทยาเข้ามาช่วยในการวินิจฉัยโรคและในการรักษา ตลอดจนใช้ในการอธิบายพยาธิกำเนิดของโรค โรคทางระบบ ผิวหนัง ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ ระบบสืบพันธุ์ แม้ระบบต่อมไร้ท่อก็ต้องอาศัย วิธิการทางอิมมูโนวิทยามาช่วยในการหาระดับฮอร์โมนในร่างกาย
วิธีการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายมนุษย์ แบ่งออกได้เป็น 2 ระบบใหญ่คือ
1. Non-specific immune response (ดูรายละเอียดในบทความต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อ) เป็นการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายโดยวิธีการง่ายๆ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมนั้นเป็นครั้งแรก หรือแม้ได้รับอีกในคราวต่อมา ร่างกายก็อาจใช้วิธีการนี้กำจัดสิ่งแปลกปลอมร่วมกับ specific immune response 1.1 Barrier หรือเครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ผิวหนัง เยื่อเมือก ซึ่งบุตามอวัยวะต่างๆ ขนอ่อน (cilia) เมื่อสิ่งแปลกปลอมนั้นสามารถผ่าน barrier นี้เข้าไปได้จะถูกร่างกายกำจัดโดยใช้ inflammatory response และ phagocytosis 1.2 Inflammatory response เป็นการเคลื่อนย้ายของ phagocytic cell (neutrophilic granulocyte และ macrophage) มายังบริเวณที่มีสิ่งแปลกปลอม บริเวณนั้นจะมีลักษณะจำเพาะคือ ปวด บวม แดง ร้อน และจะพบว่าประมาณ 30-60 นาที หลังจากที่สิ่ง แปลกปลอมเข้าไป เม็ดเลือดขาว จำพวก neutrophilic granulocyte จะเป็นพวกแรกที่มาถึงบริเวณนี้ โดยการลอดตัวผ่านออกทาง รอยต่อของ endothelial cell ของเส้นเลือดออกมาในเนื้อเยื่อ เพื่อจะมากินและทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น ประมาณ 4-5 ช.ม. หลังจากนั้นเซลล์อีกพวกหนึ่งคือ mononuclear cells ซึ่งได้แก่ Iymphocyte จึงจะผ่าน endothelial cell ออกมาแล้ว monocyte จะเปลี่ยนเป็น macrophage ส่วนเม็ดเลือด ขาว Iymphocyte จะมาทำหน้าที่ specifie immune response ดังจะได้กล่าวต่อไป 1.3 Phagocytosis หรือ cell-eating เมื่อพวก neutrophilic granulocytes และ macrophage มาถึง จะเคลื่อนตัวไปหาสิ่งแปลกปลอมนั้น (chemotaxis) แล้วประกบติด (attachment) ต่อมาจะกลืน (ingestion) แล้วจึงมีการย่อย (intracellular digestion) ด้วยกลไกหลายอย่างในเซลล์ แล้วจึงปล่อย สิ่งแปลกปลอมที่ถูกทำลายแล้วออกไปจากเซลล์ (elimination)
2. Specific immune response เป็นการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ต้องอาศัยกลไกที่ยุ่งยากกว่าวิธีแรก เกิดขึ้นเมื่อร่ายกายไม่สามารถใช้วิธี non-specific immune response กำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไปได้ เซลล์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในด้านนี้คือ lymphocytes สิ่งแปลกปลอมในที่นี้มีชื่อเรียกใหม่ว่า แอนติเจน (antigen) หรืออิมมูโนเจน (immunogen) การตอบสนอง ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
2.1 Humoral immune response คือการตอบสนองทางอิมมูนโดยการใช้สารน้ำ ซึ่งหมายถึง แอนติบอดีย์ (antibody) เซลล์ที่รับผิดชอบในเรื่องน้คือ B Lymphocyte และ plasma cell นอกจากนี้ยังมีสารน้ำ อื่นๆ ช่วยส่งเสริมการทำงานของ specific immunity คือ complement
2.2 Cell-mediated immune response หรือ Cell-mediated immunity (CMI) เซลล์ที่รับผิดชอบ คือ Specifically Sensitized Lymphocyte (SSL) หรือ T lymphocyte ซึ่งมีหน้าที่ผลิตสาร lymphokines
Immune System หรือ ระบบที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ภูมิต้านทานของร่างกาย ประกอบด้วย เซลหลายชนิดหลายพวก ที่ทำหน้าที่ร่วมกัน เซลที่ทำร่วมกัน ทำหน้าที่ป้องกัน กำจัดสิ่งแปลกปลอม สิ่งผิดปกติต่างๆเช่นเซลมะเร็ง ออกไปจากร่างกาย ได้แก่
Hemocytoblast (hematopoetic stem cell) เป็นเซลต้นกำเนิดของเซลในกระแสโลหิต เช่น Red blood cell, Monocyte Polymorphonuclear leukocyte ( Neutrophil,eosinophil และ Basophil) Lymphocyte และ Megakaryocyte (เป็นเซลที่ทำการสร้าง เกล็ดเลือด (platelets) ลักษณะนิวเคลียสมีขนาดใหญ่ มี chromatic เป็นร่างแหบางๆ ทำให้เวลาย้อมนิวเคลียส ติดสีฟ้าอ่อน มี cytoplasm จำนวนเล็กน้อย ในไขกระดูก ( bone marrow ) จะพบเซลนี้ได้ประมาณ 0.5-1% ของเซล
เม็ดเลือดขาวชนิด Neutrophil สร้างขึ้นในไขกระดูกเมื่อเปลี่ยนร่างมาถึงระยะ band shape / matrure neutrophil จึงจะหลุดมาอยู่ในกระแสเลือด ในกระแสโลหิตจะพบได้ประมาณ 60-65% ลักษณะของนิวเคลียสเป็น lope (ประมาณ 2-5 lope) cytoplasm ประกอบด้วย specific granule และ azurophilic granule จัดเป็นพวก phagocyte ใช้กำจัดสิ่งแปลกปลอม ทั้งที่อยู่ใน เนื่อเยื่อและในกระแสโลหิต ปกติ จะไหลไปมาในกระแสเลือด จะเคลื่อนตัวไปยังแหล่งสิ่งแปลกปลอม จากสารดึงดูด เม็ดเลือดขาวชนิด Eosiophil เป็นเซลที่ใน cytoplasm มี granule ย้อมติดสีส้มแดง ในกระแสโลหิตจะ พบได้ประมาณ 2-5% จัดเป็นเซล phagocyte แต่จะเลือกกินเฉพาะ antigen-antibody complex เท่านั้น ในรายที่มี anaphylatic hypersensitivity หรือ มีพยาธิ์ (parasitic infection) จะพบว่ามีระดับ ของ eosinophil เพิ่มสูงขึ้นได้ เม็ดเลือดขาวชนิด Basophil เป็นเซลที่ใน cytoplasm มี granule ขนาดใหญ่กว่าในกลุ่ม เดียวกัน ( neutrophil, eosinophil) granule ย้อมติดสีม่วงเข้ม ใน granule ประกอบด้วยสารสำคัญเช่น histamine และ SRS-A ( slow reaction substance of anaphylacxis) ที่ผิวมี receptor ต่อ IgE มีบทบาท สำคัญในเรื่องภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน (anaphylaxis) ในกระแสโลหิตจะ พบได้ประมาณ 1-2% เม็ดเลือดขาวชนิด Monocyte
เป็นเซลประเภท phagocyte ใน cytoplasm ติดสีฟ้าอมเทาและมี azurophilic granule อยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะของ nucleus อาจ เป็น รูปไข่ หรือรูปเกือกม้า หรือรูปไต ในกระแสโลหิตจะพบได้ประมาณ 3-5%
จะมีชีวิตเฉลี่ยประมาณ 5-7 วัน ส่วนหนึ่งจะผ่านผนังหลอดเลือดเข้าไปอยู่ใน เนื้อเยื่อกลายเป็น macrophage เมื่อมีสิ่งแปลกปลอม lymphocyte จะให้ สารที่เป็นตัวเรียกให้ monocyte มาเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นด้วยวิธีการ
phagocytosis
เม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage
เป็นเซลที่มีความสามารถในด้าน phagocytosis สูง มีกำเนิดมาจากเซล monocyte ในกระแสเลือด มีรูปร่างไม่ แน่นอนแตกต่างกันไปตามเนื้อเยื่อ ที่มันอาศัยอยู่ macrophage แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ fixed macrophage อยู่ประจำที่ มีรูปร่างคล้ายกระสวยหรือดาว wandering macrophage มีนิวเคลียสคล้ายรูปไต เคลื่อนที่ไปที่ต่างๆ ในกรณีที่พบสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ เซลหลายๆตัวจะมารวมตัวกันเป็น เซลขนาดใหญ่ เรียกว่า giant cell
เม็ดเลือดขาวชนิด Mast cell
เป็นเซลรูปไข่ มีขนาดใหญ่ ในส่วนของ cytoplasm จะมี basophilic granule มีลักษณคล้ายกับ basophil มักจะอยู่ใน connective tissue ทั่วไป (ไม่ได้อยู่ในกระแสเลือด) ใน granule มีสารพวก histamine และ
SRS-A เป็นเซลทีทำให้เกิด anaphyactic hypersensitivity ด้วย เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เป็นเซลรูปร่างกลม มี 3 ขนาดคือเล็ก กลาง ใหญ่ แต่ในกระแสเลือดจะพบ ขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ nucleus ติดสีเข้ม มี cytoplasm น้อย ย้อมติด สีฟ้าอ่อน lymphocyte เคลื่อนที่ได้ ในจำนวนเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือด
ทั้งหมดจะพบได้ประมาณ 20-25 % Lymphocyte แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ
T - lymphocyte มีหน้าที่สำคัญในระบบ cellular immunity
B - lymphocyte มีหน้าที่สำคัญในระบบ humoral immunity
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphoblast
เป็นเซลตัวอ่อนของ lymphocyte มีขนาดใหญ่กว่า รูปร่างกลม ไม่มี azurophilic granule ใน cytoplasm ส่วนใหญ่พบได้ใน germinal center ของ lymphoid follicle ใน lymph node ที่ถูกกระตุ้นด้วย แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Plasma cell เป็นเซลรูปไข่ ที่มี cytoplasm ติดสีฟ้าเข้ม มี nucleus กลมและมี chromatin อยู่หนาแน่นแต่กระจายอยู่อย่างไม่สม่ำเสมอ ส่วนใหญ่พบได้ใน lymphoid follicle ที่ถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน เสมอๆเช่น intestinal mucosa หรือในบริเวณที่มีการอักเสบเรื้อรัง และในม้าม หน้าที่ของมันคือสร้างแอนติบอดีย์ ที่มาของพลาสม่าเซล กล่าวกันว่ามาจาก lymphocyte ที่ถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน chemotactic substance จากระบบคอมพลีเมนต์ /และจาก lymphocyte
Cellular immunity
ภูมิต้านทานของร่างกายอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ humoral immunity และ cellular immunity หรืออีกชื่อ หนึ่งคือ cell-mediated immuniity เป็นภูมิต้านทานของร่างกายที่ต้องอาศัย "เซลล์" เป็นสำคัญ ตรงกันข้าม กับ humoral immunity ที่อาศัยสารน้ำ (humor) คือ antibody หรือ immunoglobulin ซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในซีรั่ม
" เซลล์ " ดังกล่าวใน cellular immunity หมายถึง T lymphocyte (thymus-derived lymphocyte T cell) และอาจหมายถึง macrophage ด้วยก็ได้ การที่จะทำให้สัตว์มี humoral immunityต่อแอนติเจน อย่างยึ่งโดยไม่ให้สัตว์ได้รับ แอนติเจนชนิดนั้นเลย (passive cellular immunity) ทำได้ด้วยการให้ซีรั่มของ สัตว์อีกตัวหนึ่งที่เคยได้รับแอนติเจนนั้นมาแล้ว (immune serum) แต่วิธีนี้สัตว์ตัวที่ได้รับ immune serum จะยังไม่มี passive cellularimmunity ต่อแอนติเจน ต้องให้ T lymphocyte ซึ่งมักเตรียมได้จาก peritoneal exudate, lymph node, spleen และ peripheral white blood cell thymus gland
เป็นอวัยวะที่ควบคุมการกำเนิดของ T lymphocyte การตัด thymus ออก (thymectomy) ตั้งแต่ระยะที่สัตว์ ยังเป็น fetus อยู่ในครรภ์หรือเพิ่งเกิดใหม่ๆ (neonates) จะทำให้สัตว์นั้นไม่มี cellular immunity เลย แต่ humoral immunity ยังมีอยู่ และจะทำให้ T dependent area ในต่อมน้ำเหลืองและม้ามไม่เจริญ
ในการตอบสนองบต่อแอนติเจนเกือบทุกชนิดจะมีทั้ง cellular immunity และ humoral immunity เกิดขึ้นไป ด้วยกันเสมอ แต่แบบใดจะมากว่ากันย่อมต้องแล้วแต่ชนิดและขนาดของแอนติเจนที่ร่างกายได้รับ T cell ดูจะไวต่อ การกระตุ้นด้วยแอนติเจนมากกว่า B cell เพราะแอนติเจนขนาดน้อยๆ หรือแอนติเจนที่มี poor antigenicity กระตุ้น T Cell ได้ในขณะที่ไม่อาจกระตุ้น B cell ได้ ส่วนใหญ่ Cellular immune response จะเกิดขึ้นหลัง จากที่แอนติเจนผ่าน Macrophage Processing (Macrophage Preparation) มาแล้ว มีบ้างเหมือนกันที่ แอนติเจนเข้าไปกระตุ้น T Lymphocyte โดยตรง แต่การตอบสนองที่เกิดขึ้นจะไม่ดีเท่า หรืออาจไม่มีการตอบสนอง เกิดขึ้นเลยก็ได้
T lymphocyte มีหลาย subpopulation เท่าที่พอทราบกันในปัจจุบัน มี
1. Helper T cell
ทำหน้าที่ส่งเสริมระบบ Humoral Immune response คือ ช่วย B Lymphocyte ในการตอบสนองทางอิมมูน) และมีส่วน ช่วย Cellular Immune Response ด้วย
2. Suppresssor T cell
ทำหน้าที่ตรงกันข้ามและเป็นเซลต่าง Sub Population กันมีหน้าที่ควบคุม B Lymphocyte และ T Lymphocyte ไม่ให้ทำงานมากเกินไป
3. Killer T cell (Cytotoxic T Cell)
ทำหน้าที่ทำลาย Antigenic Cell เป็นคนละ Suppopulation กับ Helper T Cell
4. T lymphocyte ที่หลั่ง Lymphokines
เพื่อใช้ในระบบ Cell Mediated Immunity บางรายงานระบุ ว่า Cytotoxic T Lymphocyte ก็อาจจะเป็นเซลที่หลั่งเจ้าตัว Lymphokines ด้วย
5. Memory T cell
อาจมาจาก T Lymphocyte หลาย Sub Population ทำงานร่วมกับ Sub Population อื่นทำให้เกิด Killer T cell ได้อย่าง รวดเร็ว ช่วยให้ Killer T Cell สามารถกำจัด target cell ดีขึ้น ทำหน้าที่จดจำแอนติเจนต่างๆ ที่เคยเข้าสู่ร่างกายมาแล้ว เซลที่รู้จัก แอนติเจนแล้วจะเรียกใหม่ว่า SSL - Specifically Sensitized
ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม (แอนติเจน) ทางด้าน Cellular Iimmunity นอกจากอาศัย T Killer Cell โดยตรงแล้ว ยังมี เซลที่มี ความสำคัญไม่น้อยกว่า T cell ก็คือ macrophage ซึ่งจะถูกกระตุ้นให้มีฤทธิ์ทางด้าน phagocytosis มากขึ้น โดยสาร Lymphokine ที T Lymphocyte หลั่งออกมา
Cellular Immunity มีความสำคัญในการต่อต้านโรคติดเชื้อที่เกิดจาก intracellular bacteria เช่น แบคทีเรีย Mycobacterium Tuberculosis ที่ทำให้เกิดโรควัณโรค / Mycobacterium leprae ที่ทำให้เกิดโรคเรื้อน Brucella ที่ทำให้เกิดโรค Brucellosis / Salmonella typhi ที่ทำให้เกิดโรค Typhoid / โรคติดเชื้อที่เกิด จากเชื้อไวรัสเกือบทุกชนิด / โรคติดเชื้อรา
นอกจากนี้ยังทำหน้าที่คอยตรวจตราและคอยทำลายเซลของร่างกายที่เปลี่ยนไปเป็น tumor cell เรียกการทำหน้าที่ นี้ว่า tumor surveillance หรือ immune surveillance ในขณะเดียวกัน cellular immune response อาจให้โทษแก่ร่างกายได้โดย ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้บางอย่าง เช่น contact dermatitis (ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน) เป็น ตัวการทำให้เกิดการต่อต้านต่อเนื้อเยื่อใหม่ ที่นำมาปลูกถ่าย เรียก graft rejection และทำให้เกิด graft versus host eraction ที่อาจทำให้ผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ถึงแก่ชีวิตได้
Humoral immunity
humoral immunity ที่อาศัยสารน้ำ (humor) คือ antibody หรือ immunoglobulin ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในซีรั่ม
แอนติบอดีย์ คือสารโปรตีนที่อยู่ในเลือดส่วนซีรั่ม เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อแอนติเจน และจะทำปฏิกริยาที่มี ความจำเพาะกับแอนติเจนหนึ่งๆเท่านั้น แอนติบอดีย์อยู่ในซีรั่มเป็นส่วนของโปรตีนที่เรียกว่า แกมม่าโกลบูลิน (gammaglobulin) และเป็นส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานของร่างกายจึงเรียกว่า อิมมูโนโกลบูลิน Immunoglobulin หรือย่อว่า Ig ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิดคือ IgG / IgA / IgM / IgD / IgE
แอนติบอดีบ์เป็นผลผลิตของ พล่าสม่าเซล (plasma cell) และ lymphocyte นอกจากพบในซีรั่มแล้วยังพบในสาร
คัดหลั่งอื่นๆของร่างกาย ในเนื้อเยื่อ เช่น ในปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง น้ำนม น้ำลาย น้ำตา ต่อมน้ำเหลือง น้ำอสุจิ เป็นต้น
การสร้างสารภูมิต้านทาน-แอนติบอดีย์ มาจากเม็ดเลือดขาวชนิด B-lymphocyte โดยที่มันจะพร้อมที่จะตอบสนองต่อ
สิ่งแปลกปลอมที่มีความจำเพาะต่อมัน โดยเมื่อเจ้าสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจน มาพยกับ B-lymphocyte จะทำให้เม็ด
เลือดขาวเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้าน proliferation และ differentiation ทำให้เกิดเป็นกลุ่มของ lymphocyte
ที่สามารถผลิตแอนติบอดีย์ (antibody) ที่มีฤทธิ์จำเพาะต่อกับแอนติเจนหรือสิ่งแปลกปลอมนั้นเท่านั้น
ชนิดและคุณสมบัติของแอนติบอดีย์
อิมมูโมนโกลบูลินหรือแอนติบอดีย์ในระบบ humoral immunity แบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆคือ
IgG / IgA / IgM / IgD / IgE
IgG เป็นอิมมูโนโกลบูลินที่มีมากที่สุดในซีรั่ม
- หน้าที่สำคัญคือช่วยร่างกายต่อสู้กับ bacteria / virus / toxin เป็นส่วนใหญ่
- เป็นแอนติบอดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นมามากที่สุดเมื่อมีการพบสิ่งแปลกปลอม ในระบบซ้ำ (secondary immune response)
IgA เป็นอิมมูโนโกลบูลินหรือแอนติบอดีย์ที่พบในซีรั่ม และในสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย โดยในซีรั่มจะพบได้ประมาณ 1/6 ของ IgG
ส่วนในสารคัดหลั่งเช่นน้ำนม น้ำลาย น้ำตา สารคัดหลั่งในระบบทางเดินอาหาร เป้นต้น
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อในบริเวณเยื่อเมือก (mucosal surface) ของระบบทางเดินอาหาร/ระบบทางเดินหายใจ ด่านแรกของการป้องกัน
- ปกติ IgA จะพบมากในสารคัดหลั้งสูงมากกว่าตัวอื่นๆ
- จะเพิ่มระดับสูงขึ้นมากในผู้ป่วยที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร
IgM เป็นสารอิมมูโนโกลบูลิน/แอนติบอดีย์ตัวเรกที่สร้างขึ้นเมื่อพบกับแอนติเจน เป็นสารอิมมูโนโกลบูลินชนิดแรก ที่ทารกเริ่มสร้างได้เอง โดยหากทารกมี การติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์มารดาจะตรวจพบได้ในระดับสูง
เป็นสารอิมมูโนโกลบูลินที่มีความจำเพาะพิเศษต่อ lipopolysaccharide ของแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (เป็นตัวสำคัญในการกำจัดแบคทีเรียกลุ่มนี้)
IgD พบได้น้อนมากในซีรั่ม เชื่อว่าช่วยควบคุมการตอบสนองทางอิมมูน แอนติบอดีย์ใน โรคออโตอิมมูนเป็นชนิด IgD
IgE ตรวจพบเป็นตัวล่าสุด พบได้ในสารคัดหลั่งของร่างกาย พบในซีรั่มได้น้อย หน้าที่สำคัญเป็นตัวร่วม ที่จะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ ชนิด anaphylaxis หรือ type I hypersensitivity (ภูมิคุ้มกันไวเกิน ชนิด ที่หนึ่ง)
ตรวจพบได้ใน ระดับสูงกว่าปกติ ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อพยาธิ์ในร่างกาย
การผสานกันในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย
โดยปกติแล้วในการสร้งแอนติบอดีย์หรือภูมิต้านทานต่อสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจนที่เข้ามาในร่างกายนั้นจะเป็นการ
ผสานกันระหว่าง B-lymphocyte / T-lymphocyte แลพ Macrophage โดยตัวที่ทำหน้าที่ผลิตแอนติบอดีย์
เพื่อตอบสนองต่อแอนติเจนนั้นเป็นหน้าที่ของ พลาสม่าเซล (plasma cell) ซึ่งถือกำเนิดมาจาก B-lymphocyte
โดยแอนติเจนในธรรมชาติส่วนใหญ่ในการกำจัดออกจะเป็นการอาศัยความช่วยเหลือร่วมมือกันจาก helper T cell และ macrophage โดยเมื่อเจ้าสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจนที่เข้าสู่ร่างกายจะไปทำปฏิกริยากับ macrophage แบบไม่จำเพาะเจาะจง ก่อนโดย macrophage จะมีการเตรียมแอนติเจนนั้นให้พร้อมเพื่อส่งให้ กับ T lymphocyte ที่ส่วนผิวของ T cell จะมีส่วนที่คอยจับ กับแอนติเจนนั้นเรียกว่า T cell antigen receptor เมื่อ T cell antigen receptor จับกับ แอนติเจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะ ปล่อยตัวเองออกจากผิวของ T cell มาจับกับ macrophage ที่ส่วน Fc receptor บนผิวของ macrophage แทน จากนั้น macrophage ก็จะพาไปพบกับ B lymphocyte ซึ่งเจ้า B cell นี้ก็จะจับกับเจ้าแอนติเจน-สิ่งแปลกปลอมไว้โดยใช้ส่วนที่ผิวที่เรียกว่า surface immunoglobulin และจะเริ่มตอบสนองต่อแอนติเจนนั้นโดยการเริ่มเพิ่มจำนวน (proliferation) และเปลี่ยนรูปร่าง (differentiation) เป็นพลาสม่าเซล (plasma cell) และพลาสม่าเซลก็จะเริ่ม ผลิตแอนติบอดีย์ที่มีฤิทธิ์จำเพาะต่อสิ่งแปลกปลอมนั้น-แอนติเจน ออกมา lymphocyte
สารสื่อนำประสาท Neurotransmitter Substances
สารสื่อประสาทเป็นสารเคมีที่สรางจากปลายเซลล์ประสาทหรือตัวเซลล์ประสาทและหลั่ง ออกจากปลายประสาทเพื่อเป็นตัวนําสัญญาณ ประสาท (Neurotransmission) ผ่านไซแนปซ์ (Synapse) หรือช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กลามเนื้อหรือเซลล์ประสาทกับเซลล์ประสาท สารสื่อประสาทมีตั้งแต่โมเลกุลขนาดเล็กอย่างเช่น อะเซทีลคลอรีน (Acetylcholine) โดปามีน (Dopamine) นอร์อีพีเนฟรีน (Norepinephrine) เซโรโตนิน (Serotonin) กรดอะมิโนหลายชนิดอย่างเช่นไกลซีน (Glycine) กลูตามิคแอซิด (Glutamic acid) แกมมา-อะมิโนบิวทีริค แอซิด (γ-aminobutyric acid) จนกระทั่งถึงโมเลกุลขนาดใหญ่อย่างเช่นซับสแตนซ์พี (Substance P) วาโสเพรสซิน (Vasopressin) รวมถึงพวกรีลีสซิ่งและ อินฮิบิติ่งฮอร์โมน (Releasing and inhibiting hormone) ในไฮโปธาลามัสและสมองส่วนอื่น ๆ สารสื่อประสาทเหล่านี้ถูกหลั่งผ่านไซเนปส์โดยศักย์การทํางาน (Action potential) ที่ผ่านมายังปลายประสาทแลวทําใหสารสื่อประสาทจับกับตัวรับ (Receptor) ทําใหเกิดการเปลี่ยนการผ่านเขาออกของไอออนที่เยื่อหุมเซลล์ (Membrane) ของเซลล์ถัดไปเกิดการดีโพลาไรเซชั่น (Depolarization) หรือเกิดภาวะกระตุ้น(Excitation) เซลล์ถัดไป แต่อาจมีผล ทําใหเซลล์ถัดไปเกิดไฮเปอร์โพลาไรเซชั่น (Hyperpolarization) หรือ เกิดภาวะยับยั้งเซลล์ถัดไปทําใหไม่เกิดสัญญาณประสาทใหม่ขึ้น
การสร้าง และการทำงานของสารสื่อประสาท (Neurotransmitter)
กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การสรางสารสื่อประสาท (Synthesis) การเก็บรักษา (Storage) การหลั่งสารสื่อประสาท (Release) และการกําจัดสารสื่อประสาท (Clearance) ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เรียกว่านิวโรทรานสมิสชั่น (Neurotransmission) ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงระหว่างปฏิกิริยาทางชีวเคมี และทางไฟฟ้าของเซลล์ ซึ่งแบ่งกระบวนการนิวโรทรานสมิสชั่นได 3 ขั้นตอนดังนี้
1. การสังเคราะห์และการเก็บสารสื่อประสาท บริเวณสารสื่อประสาทขึ้นอยู่กับชนิดของ สารสื่อประสาท สารสื่อประสาทพวกอะเซทีลคลอรีน นอร์อีพิเนฟริน โดปามีน อะดรีนาลีนและเซโรโตนิน
สารสื่อประสาทที่กล่าวถึงข้างต้นเหล่านี้สร้างขึ้นบริเวณปลายประสาท (Nerve terminal) โดยเอนไซม์ (Enzyme) และสารตั้งต้น (Precursor) ที่อยู่ปลายประสาท ในขณะที่สารสื่อประสาทพวกโซมา โตสเตติน (Somatostatin) เอนเคพาลิน (Encephalin) ซับสแตนซ์พี (substance P) สารสื่อประสาทพวกนี้จัดเป็นชนิดนิวโรเปปไตด์ (Neuropeptid) ที่ถูกสร้างขึ้นตาม กระบวนการสังเคราะห์สารโปรตีนทั่วไป (protein synthesis) ถุงบรรจุสารสื่อประสาทที่สร้างขึ้น (Secretory vesicles) จะเคลื่อนไปยังปลายประสาทแบบที่เรียกว่า ฟาสท์แอกโซนอลทรานสปอร์ต (Fast axonal transport) และเรียกถุงที่บรรจุสาร สื่อประสาท นี้ว่า ถุงบรรุสารสื่อประสาทที่ไซแนปซ์ (Synaptic vesicles) ซึ่งห่อหุ้มด้วยเยื่อหุ้มชั้นเดียว เป็นการป้องกันไม่ให้สารเหล่านี้ถูกทำลาย โดยเอนไซม์ที่อยู่ใน ไซโตพลาสซึมและออร์แกแนลของเซลล์ประสาท นอกจากนี้การเก็บสารสื่อประสาทจํานวนมาก ในถุงจะเป็นการช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการหลั่งสารสื่อประสาทไดทีละมาก ๆ เมื่อมีศักย์การทํางานมา กระตุ้นใหเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออก จากปลายประสาท
2. กระบวนการหลั่งสารสื่อประสาท กลไกการหลั่งสารสื่อประสาทเกิดขึ้นโดยคลื่นประสาทหรือ ศักย์การทํางานวิ่งมายัง ปลายประสาท กระตุ้นใหไอออนแคลเซี่ยม (Calcium) จากของเหลวนอกเซลล์ (Extracellular fluid) ซึมผ่านเยื่อหุมเซลล์ปลายประสาทมากขึ้น กระตุ้นใหถุงบรรจุสารสื่อประสาท เคลื่อนมารวมเยื่อหุมเซลล์ประสาทแล้วปล่อยสารสื่อประสาทออกสู่ไซแนปซ์แบบเอกโสไซโตซิส (Exocytosis) ส่วน เยื่อหุมเซลล์ของถุงบรรจุสารสื่อประสาทจะกลับเขาสู่ไซโตพลาสซึมเอาไวใชสรางถุงบรรจุสารสื่อประสาทใหม่ต่อไป ไซแนปซ์ในสมองทั่วไปกวางประมาณ 200 อังสะตอม (AO) ส่วนไซแนปซ์ ระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กลามเนื้อ (Neuromuscular synapse) ห่างกันประมาณ 500 อังสะตอม ใชเวลาเดินทางถึงเซลล์กลามเนื้อประมาณ 0.5 มิลลิวินาทีถึง 2 มิลลิวินาทีเรียกค่านี้ว่า ไซแนปซ์ติคดีเลย์ (synaptic delay)เมื่อสารสื่อประสาทเดินทางไปยังเซลล์ถัดไปแลวจะจับกับตัวรับที่เยื่อหุมเซลล์ อิทธิพล ของ สารสื่อประสาท ตัวหนึ่ง ๆ ต่อ การตอบสนองของเซลล์นั้นขึ้นชนิดตัวรับที่ปรากฏอยู่ในเซลล์นั้น ๆ อย่างเช่น อะเซทีลคลอรีนที่จับกับ ตัวรับที่เซลล์กลามเนื้อโครงร่าง (Skeletal muscle) จะส่งผลใหเกิดการ กระตุ้นเซลล์กลามเนื้อ หรือเกิดการดีโพลาไรเซชั่นเกิดขึ้น เนื่องจากตัวรับที่เซลล์กลามเนื้อเป็น ตัวรับที่เรียกว่า ตัวรับนิโคตินิค (Nicotinic receptor) ที่ส่งผลใหเกิดการซึมผ่านของ โซเดียมเขาสู่เซลล์กลามเนื้อใน
ขณะที่สารสื่อประสาทอะเซทีลคลอรีนที่จับกับตัวรับที่เซลล์กลามเนื้อหัวใจกลับส่งผลใหเกิดการยับยั้ง (Inhibition) หรือเกิดไฮเปอร์โพลาไรเซชั่นของเซลล์กลามเนื้อหัวใจเนื่องจากตัวรับที่เซลล์กลามเนื้อหัวใจเป็นตัวรับที่เรียกว่ามัสคารินิค (Muscarinic receptor) ที่ส่ง ผลใหเกิด การซึมผ่านของโพแตสเซียมออกสู่นอกเซลล์
กลไกที่กล่าวมาข้างต้นเป็นผลของสารสื่อประสาทที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงเขาออกของไอออนต่าง ๆ โดยตรง (Ionotropic effect) นอกจากนี้แลวสารสื่อประสาทยังอาจมีผลไปกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง เมแทบอลิซึมของเซลล์ที่กระตุ้น (Metabotropic effect) โดยอาศัยระบบเอนไซม์ที่เรียกว่า อะดีนัยเลสไซเคลส (Adenylase cyclase system) แต่กลไกชนิดนี้เกิดขึ้นชาและกินเวลานานและมี ผลต่อการเขาออกของไอออนในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังพบตัวรับที่ปลายประสาทของเซลล์ประสาทก่อนไซแนปซ์ (Presynaptic cell) ตัวรับชนิดนี้เรียกว่าออโตรีเซปเตอร์ (Autoreceptor) ซึ่งสารสื่อประสาทที่จับกับ ตัวรับชนิดนี้ ส่งผลใหเกิดการควบคุมแบบยอนกลับชนิดลบ (Negative feedback mechanism) ยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทออกมามากเกินไป
3. กระบวนการกําจัดสารสื่อประสาท เป็นการกําจัดสารสื่อประสาทออกจากไซแนปซ์ภายหลัง ที่สารสื่อประสาทดังกล่าวทําใหเกิดสัญญาณศักย์การทํางาน หรือคลื่นประสาทใหม่ในเซลล์ตอบสนอง
วิธีการในการกําจัดสารสื่อประสาทมีอยู่ 3 วิธีดังนี้
3.1 การทําลายโดยเอนไซม์ อย่างเช่นอะเซทีลคลอรีนถูกทําลายโดยอะเซทีลคลอรีนเอสเตอเรส (Acetylcholine esterase) ซึ่งอยู่ตามผิวของ เยื่อหุ้มเซลล์ไดสารคลอรีน (Choline) และกรดอะซีติค (Acetic acid) แล้วสารสารคลอรีน จะถูกดูดซึมกลับเขา สู่ปลายประสาท เพื่อนําไปใชในการสร้างสารสื่อประสาทใหม่อีกครั้งเป็นการประหยัดพลังงาน สารที่ถูกดูดกลับจะถูกใส่เขาไปใน ถุงบรรจุสาร สื่อประสาทใหม่ กระบวนการดูดซึมสารกลับเขาสู่ปลายประสาทเป็นการกระบวนการขนส่งที่ตองใชพลังงาน (Active transport)
3.2 การแพร่กระจาย (Diffusion) ของสารสื่อประสาทจากไซเนปส์เขาสู่ของเหลวนอกเซลล์เช่นเลือดแลวไปทําลายในตับ ไตและ กําจัดออก ทางปัสสาวะในเวลาต่อมา
3.3 สารสื่อประสาทถูกดูดซึมโดยเกลียลเซลล์ (Glial cell) ที่อยู่รอบ ๆ ปลายประสาท เอาไปใขในไซโตพลาสซึมต่อไปการติดต่อสื่อสาร ระหว่าง เซลล์ต่อเซลล์ที่ไซแนปซ์ (Cell-to-cell communication)
ชนิดของสารเคมีในสมอง
กลุ่มกระตุ้นสมอง ได้แก่ Serotonin Endorphin Acetylcholine Dopamine ฯลฯ
กลุ่มกดการทำงานของสมอง เช่น Adrenaline cortisol
กลุ่มแรกกลุ่มกระตุ้นสมอง จะทำหน้าที่ ควบคุมความประพฤติ การแสดงออก อารมณ์ ทำให้สมองตื่นตัว และมีความสุข ทำให้การอ่านข้อมูลข่าวสาร ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายรู้สึกดี มีความสุข ทำให้เพิ่มภูมิต้านทาน สุขภาพแข็งแรง
จะหลั่งมากเมื่อ การออกกำลังกาย การได้รับคำชมเชย การร้องเพลง การเล่นเป็นกลุ่ม สิ่งแวดล้อมในห้องเรียนที่ดี การให้ทำกิจกรรมกลุ่ม การได้รับสัมผัสที่อบอุ่น (affirmation touch) การมองเห็นคุณค่าของตนเอง การเล่นดนตรี และเรียนศิลปะโดยไม่ถูกบังคับ การได้รับสิ่งที่ชอบ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ยกตัวอย่างกลุ่มแรก
Dopamine : ควบคุมการเคลื่อนไหว ถ้าต่ำมีผลต่อความจำที่ใช้กับการทำงาน ถ้าสูงมาก เกินไป เกิดโรคจิตประสาทหลอน และจะลดลง เมื่ออายุมากขึ้น ผู้ชายจะลดลงมากกว่า ผู้หญิง
Serotonin : ทำให้รู้สึกอารมณ์ดี ทำหน้าที่ส่งข้อมูล เกือบทุกข่าวสารผ่านที่ต่างๆ ในสมอง ถ้าขาดจะทำให้คนซึมเศร้า มองคุณค่าตัวเองต่ำ
Acetylcholine : ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายทำให้ข้อมูลส่งผ่านได้ดีขึ้น มีบทบาท สำคัญในความจำระยะยาว ช่วยให้สมองเก็บความรู้ที่เราเรียนในเวลากลางวันไปเก็บใน สมองในเวลาที่เรากำลังหลับ เป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความฝัน ถ้าขาดสารนี้
ทำให้สมาธิลดลง ขี้ลืม นอนไม่ค่อยหลับ
Endorphin (Endogenous morphine) : เป็นยาชาในร่างกายตามธรรมชาติ ทำให้รู้สึกเจ็บ น้อยลง เช่น ผู้หญิงขณะคลอดจะผลิตสารนี้ 10 เท่า เป็นสารเคมีที่ทำให้ เกิดความสุข อารมณ์ดี และสมองจะเจริญเติบโต และ เรียนรู้ได้ดี ถ้าขาดสารนี้จะทำให้เราขาดความสุข แม้จะฟังเพลงที่เคยชอบ ถ้ามี สารนี้มากจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ และสนุกสนาน
การออกกำลังกายและทำกิจกรรมอื่นๆ หรือการวิ่ง จะทำให้สารนี้หลั่ง หรือการให้ทาน การช่วยเหลือผู้อื่น จะทำให้สารเคมีนี้หลั่งเช่นกัน
สังเกตได้ว่า ถ้าเราออกกำลังกายหรือไดช่วยเหลือผู้อื่น จะทำให้รู้สึกดี สมองปลอดโปร่อง มีความสุข (ไม่ เชื่อ ท่านลองออกกำลังกาย หรือได้ช่วยเหลือผู้อื่นดูสิคะ) แต่ไม่ใช่ออกกำลังกายที่ถูกบังคับ หรือเคี่ยวเข็ญ ซึ่งจะเกิดความทุกข์แทน
การหลั่งของ Serotonin Dopamine Endorphin ทำให้เขาสามารถเรียนรู้ และจำ ได้ดีขึ้น และสมองจะเจริญเติบโตดี เกิดจากการออกกำลังกาย การ สัมผัสที่อบอุ่นการยิ้มแย้มแจ่มใส และการมีความสัมพันธ์ที่ดี การ มองตนในแง่ดี การชมเชย การภูมิใจตนเองทำให้ร่างกายรู้สึกดี และ มีภูมิต้านทานสูงขึ้น เพราะฉะนั้น ครู และพ่อแม่ อาจจะต้องหาช่องทางที่จะชมเชยเด็กอยู่เสมอ
และให้มีการออกกำลังกาย เคลื่อนไหวในขณะที่เรียนบ้าง ไม่ดุเด็กมากมายจนขาด เหตุผล แต่พยายามกระตุ้นให้เด็กมีความสนุกกับการเรียน จะทำให้เด็กมี ความสุข สามารถเรียนรู้ และจำได้ดีขึ้น เด็กอยาก จะเรียนวิชานั้นมากขึ้น คุณครู ทดลองทำดูได้ค่ะ
เราสามารถสร้างภาวะเหล่านี้ในห้องเรียน เช่น ยืนขึ้น ยืดเส้นยืดสาย การเล่นกล เล่นตลก กายบริหารสักเล็กน้อย บิดตัวไปมา ทั้งหลายเหล่านี้เป็น
รูปแบบหนึ่งของการออกกำลังกาย เพิ่มการเต้นของหัวใจและการ หายใจ หรืออาจจะใช้ลูบหัว จับมือ โอบไหล่ (ครูเพศตรงข้ามห้ามทำ) ตบหลัง
เบาๆ ให้กำลังใจ การจับกลุ่มกันทำงาน ทำให้เด็กรู้สึกว่ามีส่วนร่วม การดูแลจากครูดี รู้สึกมั่นคงทำให้หลั่งสาร Endorphin (Jensen 1998) รวมทั้ง การร้องเพลง ดนตรี โดยเฉพาะกลุ่มดนตรีจังหวะสนุกสนานเร้าใจ ที่ อิสระไม่ได้ถูกบังคับ ก็จะทำให้สารเคมีที่ดีเหล่านี้หลั่ง ซึ่งจะมีผลทำ ให้สมองปลอดโปร่ง มีความสุข สุขภาพดี และความจำดี
กลุ่มที่ 2 กลุ่มกดการทำงานของสมอง เป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความเครียด จะหลั่งเมื่อสมองได้รับความ กดดัน ความเครียดอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ ยับยั้งการส่งข้อมูลของแต่ละเซลล์สมอง ยับยั้งการเจริญเติบโตของสมองและใยประสาท คิดอะไรไม่ออก ยับยั้งเส้นทางความจำทุกๆ ส่วน ภูมิต้านทานต่ำ เป็นภูมิแพ้ มะเร็งได้ง่าย ทำลายเซลล์สมองและใยประสาท (Khalsa 1997)
Cortisol สูงทำให้
• Hyperactive
• กังวล
• สมาธิสั้น ควบคุมไม่ได้
• ความสามารถในการเรียนลดลง
Cortisol คล้าย Adrenaline ถ้ามีมากจะมีพิษต่อสมอง เป็นสารที่เกี่ยวกับการตกใจและการ ต่อสู้ การตอบสนองต่อความเครียด ถ้ามีมากเกินไปจะมีอันตราย ต่อทั้งอารมณ์และร่างกาย สารนี้จะ หลั่งเมื่อมีความรู้สึกไม่ดี ความเครียด (เรื้อรัง) มีความทุกข์ การ มองเห็นคุณค่าตัวเองต่ำ โดนดุด่าทุกวัน ซึมเศร้า โกรธ เข้มงวด เกินไป วิตกกังวล ซึ่งจะทำให้เกิดการทำลายองค์ประกอบภายในสมอง ไม่ ว่าใยประสาทต่างๆ หรือแม้แต่เซลล์สมอง รวมทั้งจะหยุดยั้งการส่ง ข้อมูลระหว่างเซลล์สมอง ทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ คุณครู หรือ พ่อ แม่ ผู้ใกล้ชิดต้องระวัง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ในขณะสอน หรืออยู่กับเด็ก ภาวะ Cortisol สูงจะทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ เช่น เป็นโรค กระเพาะ ระบบไหลเวียนโลหิต เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือ ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ เป็นโรคภูมิแพ้ มะเร็งได้ง่าย ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ เหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น ครูที่ดุ หรือเคร่งครัดมากๆ หรือคนที่ทำงาน เครียดมากๆ นานๆ เกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคหัวใจ ฯลฯ ท่านลองสังเกตบุคคลรอบๆ ตัวดูได้ค่ะ
เส้นทางเดินของข้อมูลข่าวสาร (The Information Trail)
ข่าวสารได้เข้าสู่สมองโดยผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า (หู ตา จมูก ลิ้น สัมผัส) ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น จะถูกกลั่นกรอง ที่บริเวณก้านสมองเข้าสู่ทาลามัส (thalamus หรือสมองชั้นใน) เพื่อแยกแยะข้อมูลข่าวสาร เช่น ถ้าเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเห็น ทาลามัสจะส่งข้อมูลข่าวสาร ไปยังหน่วยที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเห็นของเปลือกนอก (cortex) ถ้าได้เป็นข้อมูลข่าวสาร ไปยังหน่วยหรือเปลือกนอก ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ การได้ยิน (auditory cortex) เมื่อข้อมูลเดินทางมาถึง ซีรีบรัล คอรเท็ค (cerebral cortex) หรือ ซีรีบรัม (cerebrum) ก็จะตัดสินว่าเราควรจะแสดงอาการทันที หรือบันทึกเก็บไว้ในหน่วยความจำ ที่จะทำให้จดจำได้นานๆ ขึ้นกับภาวะอารมณ์ และเหตุการณ์ขณะนั้น
นี่คือคำตอบที่ว่าเราจดจำได้อย่างไร เราเรียนรู้โลกของเราได้อย่างไร ซึ่งเป็นการทำงานของเซลล์สมองและใยประสาท แต่อย่างไรก็ตามในบางครั้ง มันไม่ได้เกิดด้วยวิธีที่ได้อธิบายข้างต้น ดังเช่น เวลาที่เราเครียด ตระหนกตกใจ หรือใจจดใจจ่อ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ตื่นเต้น และน่าสะพรึงกลัว สมองเราจะทำงานแตกต่างไปจากภาวะปกติ ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น จะเข้ามาทางก้านสมอง เพื่อตัดสินว่าข้อมูลข่าวสารนั้นสำคัญอย่างไร และส่งต่อไปยังทาลามัส (thalamus) เพื่อจัดกลุ่ม และข้อมูลข่าวสาร จะถูกส่งต่อไปยังเปลือกนอกใหม่ (neocortex) เพื่อตัดสินว่าควรจะมีการส่งต่อข้อมูล ไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ ที่ทำให้เราสามารถจดจำไปได้นานๆ หรือไม่ หากเราอยู่ในภาวะเครียดหรือตื่นเต้นโดยเฉพาะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ สมองชั้นในจะเริ่มทำงานทันที
ในภาวะฉุกเฉิน โดยสั่งงานต่อไปที่ก้านสมอง ให้เราแสดงปฏิกิริยาทันที (ก่อนทาลามัสจะส่งข้อมูลข่าวสารไปยังที่อื่น) นั่นคือ หัวใจจะเต้นรัว มือเย็น สั่น เป็นต้น และเตรียมพร้อมร่างกายของเรา สำหรับภาวะฉุกเฉิน โดยจะมีการหลั่งสารอาดรีนาลีน (adrenaline) และคอรติซอล (cortisol) ออกมา ทำให้ร่างกายของเราเริ่มส่งเลือด จากระบบการย่อยอาหาร ไปยังแขนขาเพื่อเป็นการเตรียมร่างกาย ให้พร้อมเพื่อความอยู่รอด หัวใจจึงต้องเต้นเร็วขึ้น เพื่อช่วยเร่งการส่งเลือดให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น การตอบสนองร่างกายแบบนี้ จะทำให้ร่างกายสามารถอยู่รอดได้
ความเครียด และการลัดวงจร (Stress and Downshifting)
สารเคมีที่หลั่งออกมาเวลาเครียด จะหยุดยั้งการทำงานของสารสื่อนำประสาท (neurotransmitter) ในภาวะปกติ และจะมีการส่ง สัญญาณลัดวงจรเกิดขึ้น (downshifting) เป็นอาการที่สมอง เปลี่ยนการทำงานของระบบความคิดการสั่งงานที่สูงกว่า ไปยังระดับที่ต่ำกว่า เช่น เมื่อเราเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เป็นเวลาที่เปลือกนอกใหม่ (neocortex) ทำการตัดสินใจว่า เราจะไปที่ไหนและซื้ออะไร แต่ความที่กลัวว่า จะมีคนที่รู้จักมาพบเห็นสมอง ทำงานลัดวงจรโดยไม่ผ่านไปที่เปลือกนอกใหม่ (neocortex) เหมือนเคย แต่กลับอยู่ในสมองชั้นในแทน ซึ่งเป็นสัญชาติญาณเกิดภาวะทางอารมณ์ และการเอาตัวรวดเกิดขึ้น ทำให้เราลืมสิ่งที่เราต้องการซื้อได้
การทำงานของสมองของเรา จะถูกทำลายหากเราต้องอยู่ ในภาวะเครียดตลอดเวลา เมื่อสารเคมีที่เกิดขึ้นในภาวะเครียดถูกปลดปล่อยออกมา สารเคมีเหล่านั้น ถ้ามีมากเกินไปนานๆ จะทำให้ระบบการทำงานของสมองของเรา ถูกยับยั้ง ทำลายใยประสาท และจะหลงเหลือ อยู่ในร่างกายของเรา ได้นานกว่าสารเคมีชนิดอื่นๆ การที่มีคอรทิซอล (cortisol) หลงเหลืออยู่จะกลายเป็นสารพิษ ทำลายสมอง ส่วนที่เก็บหน่วยความจำ ที่ทำให้เราจำได้นานๆ (Jensen, 1998) แต่ความเครียดหรือความกดดันชั่วคราว บางครั้งก็มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะจะช่วยให้เราตอบสนองปัญหาแปลกๆ ได้ เช่น การที่หัวใจเต้นเร็ว และมือเย็นอาจจะเกิดขึ้นได้ สำหรับเหตุการณ์บางเหตุการณ์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์ ที่มีความรุนแรงเสมอไป เช่น การสัมภาษณ์งาน การนำเสนองาน และการที่เราเป็นคนไข้ จะเข้าห้องผ่าตัด แต่ถ้าเกิดภาวะเครียดมากๆ เป็นประจำทุกวัน ผลก็จะต่างออกไป เช่น เด็กกำพร้า ที่ถูกทำร้ายร่างกายนานๆ และบ่อยๆ และถูกข่มขืน อาจจะก่อให้เด็กเกิดความกลัวตลอดเวลา ทำให้สมองบางส่วนถูกทำลาย (อารมณ์ความคิด) ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาต่อความจำ และการเรียนรู้ เช่นเดียวกัน ภาวะนี้จะเป็นสาเหตุที่เกิด การทำลายเซลล์ประสาท (neurons) (Khalsa, 1997)
บางครั้งเราอาจจะลืมคิดไปว่า เราอาจจะเป็นคนที่กระตุ้น ให้เกิดความเครียดในเด็กโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น นักเรียนของคุณเดินเข้ามาในห้องเรียน แต่ละคนสนใจแต่เรื่อง งานโรงเรียนที่จะเกิดขึ้นในเย็นวันนี้ กลุ่มนักเรียนหญิงกำลังคุยกันว่า จะใส่ชุดไหนมางานดี ส่วนกลุ่มเด็กผู้ชายก็กำลังคุยกันว่า จะนำเงินมาจำนวนเท่าไร เพื่อเล่นเกมต่างๆในงานโรงเรียน การที่จะให้นักเรียนหยุดคุยนั้น เป็นเรื่องยาก คุณหมดความอดทนและได้ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า "นักเรียนเอากระดาษขึ้นมาคนละหนึ่งแผ่น เราจะมีการทดสอบกันเดี๋ยวนี้" ทันใดนั้น นักเรียนเริ่มตกใจขึ้นมาทันที นักเรียนเริ่มเปลี่ยนเรื่องที่จะต้องคิด และลืมเรื่องงานโรงเรียน คุณได้ตั้งคำถามไว้สิบคำถาม จากการเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งคาดว่านักเรียนควรจะเข้าใจสิ่งที่เรียนมานั้นเมื่อการทดสอบได้เสร็จสิ้น คุณเก็บข้อสอบพร้อมทั้งตรวจข้อสอบอย่างรวดเร็ว ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ ผลสอบออกมาได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ทำให้คุณเริ่มโกรธมากขึ้น คุณเริ่มดุนักเรียนและพูดว่า เพราะนักเรียนไม่ตั้งใจเรียนเท่าที่ควร ดังนั้น นักเรียนจะต้องเรียน ทบทวนซ้ำใหม่อีก คุณตั้งคำถามท้ายบทอีกยี่สิบข้อ นักเรียนก็จะพยายามทำงานให้เสร็จในห้องเรียน เพราะงานโรงเรียนจะเริ่มเย็นนี้ และจะได้ไม่ต้องทำการบ้าน
อะไรเกิดขึ้น ทุกคนเริ่มทำงานภายใต้ภาวะกดดัน ข้อมูลข่าวสารจะไม่ผ่านไปยังเปลือกนอกใหม่(neocortex) เกิดการลัดวงจร โดยแต่ละคำสั่งลัดวงจร ไปที่บริเวณสมองด้านในเกี่ยวกับอารมณ์ทันที
นักเรียนจะเกิดภาวะทางอารมณ์ด้านลบ นั่นคือ เกิดความกลัวนั่นเอง และอาจโกรธร่วมด้วย คุณทำเช่นนี้เพราะคุณโกรธ คุณวู่วามในการให้มีการทดสอบ คุณควรจะเรียนรู้ ในการควบคุม
อารมณ์ตนเองให้ได้ นักเรียนของคุณจะไม่มีความสุข ขึ้นมาทันที เกี่ยวกับงานโรงเรียนที่จะเกิดขึ้น เพราะนักเรียนจะต้องมารู้สึก กลัวการทดสอบที่ไม่มีการบอกล่วงหน้าเช่นนี้ ข้อมูลข่าวสาร
จะไม่มีการส่งผ่านไปยังเปลือกนอกใหม่ (neocortex) แต่จะเกิดการส่งข้อมูลแบบลัดวงจร ทำให้ผลสอบต่ำกว่าเกณฑ์ และครูยิ่งเพิ่มการสอบเข้าไปอีกยิ่งทำให้สมองนักเรียน เกิดการส่งข้อมูลแบบลัดวงจรยิ่งขึ้น มีการใช้อารมณ์มากกว่าการดึงความรู้ที่เคยเรียน และไม่ได้ใช้ความจำที่เปลือกนอกใหม่ (neocortex) ที่เป็นการใช้ความคิด ตามขั้นตอนปกติมาตอบคำถาม
มีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เกี่ยวกับสมองซึ่งเรายังไม่รู้ บางเรื่องนั้นง่ายต่อการเข้าใจ เรารู้ว่า เปลือกนอกใหม่เป็นที่ ซึ่งเราคิดเราวางแผน การจำ การจัดการ และการหาคำตอบในการแก้ปัญหา เรารู้ว่าเนื้อที่ของสมองชั้นใน (limbic area) เป็นที่ซึ่งเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้น มักอยู่เหนือเหตุผล และอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ในหนังสือ "ความเป็นเลิศทางอารมณ์ของเดเนียล โกลแมน" (Emotional Intelligence, Daniel Goleman (1995)) ได้กล่าวถึงผลกระทบว่า ความเป็นเลิศทางอารมณ์จะส่งผลให้เด็ก ประสบผลสำเร็จในชีวิตของเขา เดเนียลกล่าวว่า ความสามารถในการรู้จักควบคุมอารมณ์ของเรา และรู้ถึงภาวะทางอารมณ์ของผู้อื่น และไม่ยินดียินร้าย ต่อความสมหวังหรือผิดหวังมากเกินไป นับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความเป็นเลิศ ทางอารมณ์ เพราะว่าอารมณ์ของเรา อาจเป็นแรงผลักดันที่ดีมากทำให้เราเกิดความตั้งใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ อารมณ์จะเป็นจุดสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจ และรู้จักควบคุมให้ดีเสียก่อนเป็นข้อแรก มีผลวิจัย
หลายๆ แห่งพิสูจน์มาแล้วว่า การมี EQ. ดีจะประสบความสำเร็จในชีวิต ได้มากกว่าคนที่มี IQ. สูง
สารเคมีในสมองที่ว่านี้ที่จริงต้องเรียกว่า "สารสื่อนำประสาท" ซึ่งมาจากคำว่า "neurotransmitter substances" สารพวกนี้เป็น สารเคมีที่เซลล์ประสาทสร้างขึ้นมา เพื่อใช้ในการส่งกระแสประสาท จากเชลล์ประสาทตัวหนึ่ง ไปยังอีกตัวหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อเชลล์ประสาท ต้นทางถูกกระตุ้น กระแสประสาท ที่เกิดขึ้นที่ ตัวเชลล์จะไหล ไปตามเส้นประสาท ในลักษณะคล้ายๆ กระแสไฟฟ้า ไหลไปตามสายไฟฟ้า เมื่อกระแสประสาทไปถึงปลายเส้นประสาท กระแสประสาท จะกระตุ้นให้ปลายประสาทหลั่งสารสื่อนำประสาทออกมา สารสื่อนำประสาทที่ออกมา จะออกฤทธิ์ กับเซลล์ประสาทปลายทาง โดยมันจะไปจับและกระตุ้นตัวรับ (receptor) ซึ่งอยู่บนผิวของ เชลล์ประสาทตัวปลายทาง ทำให้เกิดกระแส ประสาทบนเชลล์ประสาทปลายทางตัวนั้น ส่งต่อๆไป แต่ก็ยังมีสารสื่อนำประสาทบางชนิด เช่น กาบ้า (GABA) ที่เมื่อจับ และกระตุ้นตัวรับแล้ว จะทำให้เชลล์ประสาทปลายทาง ทำงานน้อยลงทำให้กระแสประสาทหยุดลงแค่นั้น การที่สารสื่อนำประสาทที่ถูกหลั่งออกมาสามารถกระตุ้น หรือยับยั้งการทำงานของเชลล์ประสาทปลายทางได้นั้น ร่างกายจะต้องมี ระบบควบคุม ไม่ให้มันทำงานมากเกินไปโดย
1. มีตัวรับไว้ที่ปลายประสาทของเส้นประสาท ที่มาจากเชลล์ประสาทต้นทาง เพื่อคอยตรวจสอบว่า มีสารสื่อนำประสาทออกมา มาก พอหรือยัง ถ้ามีสารสื่อนำประสาทออกมามากสารสื่อนำประสาท จะยับยั้งการทำงานของเชลล์ประสาทต้นทาง ผ่านทางตัวรับนี้ ให้หยุดส่งกระแสประสาทได้แล้ว
2. มีระบบดูดกลับเพื่อคอยเก็บสารสื่อนำประสาทที่ถูกปล่อยออกมา แล้วกลับเข้าคืน ไปเก็บไว้ในปลายประสาทของ เชลล์ประสาท ต้นทาง ทำให้สารสื่อนำประสาทหยุดการกระตุ้นเชลล์ประสาทปลายทาง และยังสามารถ เก็บสารสื่อนำประสาท ที่ยังดีๆเหล่านี้ไว้ใช้คราวต่อไปได้อีก
3. มีเอนไซมส์ที่จะคอยย่อยสลายสารสื่อนำประสาทเหล่านี้ไว้คอยเก็บกวาดทำลายสารสื่อนำประสาทที่ยังหลงเหลืออยู่
สารสื่อนำประสาทกับฮอร์โมนเหมือนกันหรือไม่ ?
ไม่เหมือนกันครับ ฮอร์โมนเป็นสารเคมีที่สร้างโดยต่อมที่ไม่มีท่อ (เราก็เลยเรียกว่า "ต่อมไร้ท่อ") เช่น ต่อมไธรอยด์ ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง เมื่อมันไม่มีท่อฮอร์โมนที่ถูกสร้างขึ้นมาก็จะออกจากต่อม โดยถูกกระแสเลือด ที่มาเลี้ยงต่อมนี้ พาออกไปและกระจายไปทั่วร่างกาย ฮอร์โมนจะออกฤทธิ์กับอวัยวะที่มีตัวรับที่จำเพาะกับฮอร์โมนนั้นๆ ดังนั้น ฮอร์โมน จะถูกสร้างจากต่อมๆ หนึ่งแล้วกระจายไปทางกระแสเลือดไปทั่วร่างกาย ไปออกฤทธิ์กับอวัยวะใดก็ได้ อยู่ห่างจาก ต้นตอแค่ไหนก็ได้ ขอให้อวัยวะนั้นมีตัวรับเป็นใช้ได้ แต่สารสื่อนำประสาท จะออกฤทธิ์กับเชลประสาทตรงรอยต่อ ที่ปลายประสาท ต้นทาง มาแตะกับเชลประสาทปลายทางเท่านั้น
แล้วสารสื่อนำประสาทที่ว่านี่มีกี่ชนิด ?
มีหลายชนิดมากครับแต่ตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคทางจิตเวชมีอยู่ไม่กี่ตัวครับ ได้แก่
· ซีโรโทนิน (serotonin) เกี่ยวข้องกับ โรคซึมเศร้า โรคไบโพล่าร์ โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคแพนิค โรคปวดศีรษะ
· นอร์เอปิเนฟริน (norepinephrine) เกี่ยวข้องกับ โรคซึมเศร้า โรคไบโพล่าร ์ โรคแพนิค
· โดปามีน (dopamine) เกี่ยวข้องกับ โรคจิตเภท โรคจิตชนิดอื่นๆและยาเสพติด
· กาบ้า (GABA; gammabutyric acid) เกี่ยวข้องกับโรควิตกกังวลและแอลกอฮอล์
· อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) เป็นสารเคมีที่มีหน้าที่เกี่ยวกับความจำ เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ส
· เอนดอร์ฟิน (Endorphins) เป็นสารเคมีที่ทำให้เรารู้สึก ผ่อนคลายหายเจ็บปวด การทำงานของเอนดอร์ฟินที่เกิดขึ้นในสมอง จะคล้าย ๆ การทำงานของสารหรือยามอร์ฟีน (Morphine) ที่ใช้ในทางการแพทย์ ในคนไข้ที่ได้รับความเจ็บปวดมาก ๆ เมื่อฉีดมอร์ฟีนเข้าไปจะทำให้ความเจ็บปวดลดลง เกิดอาการผ่อนคลาย สารเอนดอร์ฟินในสมองก็มีการทำงานแบบนี้เช่นกัน
· เมลาโทนิน (Melatonins) สารนี้จะทำให้คนเราหลับสบาย จึงมีการนำสาร เมลาโทนิน มาช่วยทำให้นอนหลับ โดยเฉพาะคนที่เกิดอาการเจ็ตแล็ก (jet lag) หรืออาการนอนไม่หลับเมื่อเดินทางโดยเครื่องบินและมีการเปลี่ยนเวลา จากซีกโลกหนึ่งไปอีกซีกโลกหนึ่ง
· เซโรโตนิน (Serotonins) ถ้าสมองมีสารนี้ในระดับที่พอเหมาะ จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ถ้าหากมีระดับสารเซโรโตนินต่ำ ก็จะทำให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า โรคซึมเศร้า โรคไบโพล่าร์ โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคแพนิค โรคปวดศีรษะ
ซับสแทนซ์พี (Substance P) เป็นสารเคมีที่ทำให้เรารู้สึก เจ็บปวด สารตัวนี้จะเป็นตัวสื่อความเจ็บปวด และยาเช่น มอร์ฟีน หรือ สารเอนดอร์ฟิน สามารถลดการทำงานของซับสแทนซ์พี ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดน้อยลง
· แล้วทำไมอยู่ๆสารสื่อนำประสาทถึงได้เสียสมดุลย์ ?
· ไม่ทราบครับ ! อ้าว...ทำไมไม่ทราบล่ะ...ก็เพราะว่านักวิทยาศาสตร์เขาก็ยังไม่รู้แน่ว่า ทำไมอยู่ๆถึงได้เป็นอย่างนั้น เพราะข้อมูลยังขาดอีกมากและการศึกษาในเรื่องนี้ก็ทำได้ยาก แต่ก็มีสมมติฐานอยู่หลายอย่าง เช่น พันธุกรรม ความเครียด ยาหรือสารเสพติดบางอย่าง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย การเปลี่ยนแปลง ของความยาว ของกลางวัน กลางคืนในฤดูกาลต่างๆ ฯลฯ
· แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสารสื่อนำประสาทในสมองของเราเสียสมดุลย์หรือยัง ?
· ข้อมูลต่างๆที่เราเอามาอธิบายกันเป็นตุเป็นตะนั้น ได้มาจากการศึกษาในผู้ป่วยทางจิตเวช ผู้ศึกษาจะเลือก ผู้ป่วยที่มีอาการ คล้ายๆ กันมาศึกษาด้วยกัน วิธีการก็มีหลายๆแบบตั้งแต่ศึกษาจาก ผลของการใช้ยา ที่ออกฤทธิ์ต่อ สารสื่อนำประสาท ชนิดต่างๆ ตรวจหาสารที่เกิดจาก การสลายตัวของสารสื่อนำประสาทนั้นๆในปัสสาวะ ไปจนถึง การใช้สารกัมมันตรังสี ติดไปกับ สารที่จะนำไปสร้างเป็นสารสื่อนำประสาทนั้น หรือติดกับ สารที่จะไปจับกับ ตัวรับของสารสื่อนำประสาท แล้วสแกนสมองด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น PET scan ซึ่งแพงมาก (ประเทศอังกฤษซื้อ PET scan เครื่องที่ 3 เมื่อปี 1993 ในราคาประมาณ 10 ล้านปอนด์ หรือ 400 ล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนช่วงนั้น) แล้วพยายามหาคำอธิบาย ที่สามารถอธิบายผล การศึกษาต่างๆให้ได้สมเหตุผลมากที่สุด ทำให้เมื่อพบ ผู้ป่วยที่มีอาการ ที่เข้าได้กับที่มี การศึกษาไว้เราก็สามารถตั้งสมมุติฐานได้ว่า ผู้ป่วยรายนั้นน่าจะมีสารสื่อนำประสาทเสียสมดุลย์แบบใด เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องห่มร้องไห้ วันๆคิดแต่จะฆ่าตัวตาย แบบนี้แสดงว่า ในสมองน่าจะขาดซีโรโทนิน และ นอร์เอปิเนฟริน หรือ เมื่อเจอผู้ป่วยที่บอกว่า ตนมาจากราชธานีใหม่ในอนาคต ห่างจากพศ.นี้ไปอีก 200 กว่าปี แบบนี้ในสมองของเขาน่าจะมีโดปามีนทำงานอยู่มากเกินไป เป็นต้น ดังนั้นในการตรวจรักษากันจริงๆ เราไม่มีการส่งผู้ป่วยไปตรวจดูสารสื่อนำประสาทอย่างใน เรื่องของฮอร์โมน แต่เราจะนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยนี้มาใช้เลือกยาที่จะรักษา
· แล้วจะทำอย่างไรให้มันหายเสียสมดุลย์ ?
· การให้การรักษาด้วยยาจิตเวชเป็นการเข้าไปจัดการกับสารสื่อนำประสาทในสมอง เพราะยาทางจิตเวช ทุกชนิดออกฤทธิ์ กับ สารสื่อนำประสาทเช่น ยาแก้โรคจิต หวาดระแวง หูแว่ว จะยับยั้งการทำงานของโดปามีน ยาแก้โรคซึมเศร้า จะเพิ่ม สารซีโรโทนิน และ/หรือ นอร์เอปิเนฟริน ยาคลายกังวลและ ยานอนหลับจะเสริมฤทธิ์ของกาบ้า เป็นต้น ยาเหล่านี้ ทำให้อาการทางจิตเวชดีขึ้นและเราก็เชื่อว่าอาการที่ดีขึ้น เกิดจาก การที่ สารสื่อนำประสาท ในสมอง ถูกปรับให้เข้าที่ เข้าทางนั่นเอง
· โรคซึมเศร้า
· มีการประเมินว่าในระยะเวลา 1 ปีจะมีประชาชนร้อยละ 9 จะเป็นโรคนี้ ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจประเมินมากมาย แต่สูญเสียคุณภาพชีวิตรวมทั้งความทุกข์ที่เกิดกับผู้ป่วยจะประเมินมิได้ โรคซึมเศร้าจะทำให้การดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลง และเกิดความเจ็บปวดทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล บางครั้งอาจจะทำให้ครอบครัวแตกแยก
· ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าและไม่ได้รับการรักษา ทั้งที่ปัจจุบันมียาและวิธีการรักษาที่ได้ผลดี บทความนี้จะเป็นแนวทางใน การวินิจฉัยหากพบว่า คนที่รู้จักมีอาการเหมือนกับ โรคซึมเศร้ารีบแนะนำ ให้เขาไปพบจิตแพทย์
· โรคซึมเศร้าคืออะไร
· โรคซึมเศร้าเป็นการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจและความคิด ซึ่งผลของโรคกระทบต่อชีวิตประจำวันเช่นการรับประทานอาหาร การหลับนอน ความรับรู้ตัวเอง ผู้ป่วยไม่สามารถประสานความคิด ความรู้สึกของตัวเพื่อแก้ปัญหา หากไม่รักษาอาการ อาจจะอยู่เป็นเดือน
· โรคซึมเศร้ามีกี่ชนิด
· 1. Major depression ผู้ป่วยจะมีอาการ(ดังอาการข้างล่าง)ซึ่งจะรบกวนการทำงาน การรับประทานอาหาร การนอน การเรียน การทำงาน และอารมสุนทรีย์ อาการดังกล่าวจะเกิดเป็นครั้งๆแล้วหายไปแต่สามารถเกิดได้บ่อยๆ
· 2. dysthymia เป็นภาวะที่รุนแรงและเป็นเรื้อรังซึ่งจะทำให้คนสูญเสียความสามารถในการทำงานและความรู้สึกที่ดี
· 3. bipolar disorder หรือที่เรียกว่า manic-depressive illness ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ซึ่งบางคน อาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะค่อยเป็นค่อยไป เวลาซึมเศร้าจะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็น ช่วงอารมณ์ mania ผู้ป่วยจะพูดมาก กระฉับกระเฉง มากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานเหลือเฟือ ในช่วง mania จะมีผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจและพฤติกรรม ผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากไม่รักษาภาวะนี้อาจจะกลายเป็นโรคจิต
ต่อมไพเนียล Pineal Gland
ต่อมไพเนียล คือ นาฬิกาชีวภาพที่มีอยู่ในตัวคนเราทุกคน ต่อมไพเนียลเป็นต่อมอยู่เหนือสมอง เป็นต่อมที่มีความ สำคัญ เป็นเหมือน ผู้บัญชาการ ตอนกลางวันเขาจะสร้างเซโรโตนิน กระตุ้นให้เราลุกตื่นขึ้นทำงาน กลางคืนก็สร้าง เมลาโตนิน ให้เรารู้สึกง่วงเหงาหาวนอน อยากพักผ่อน
ต่อมไพเนียลจะส่งคำสั่งเชื่อมโยงไปยังต่อม และอวัยวะต่างๆทั่วร่างกายอีกทอดหนึ่ง โดยอาศัยเส้นใยประสาท สารสื่อนำประสาท ควบคุมต่อมใต้สมอง ซึ่งควบคุมต่อทอดไปยังต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะอีกด้วย ต่อมเหล่านี้นี่เองที่เป็น ผู้บงการ ระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย ทั้งการเจริญเติบโต การเผาผลาญอาหาร การสลายอาหารเป็น พลังงาน การเสริมสร้างร่างกายและเนื้อเยื่อ การตอบรับความเครียด การสร้างเสริมระบบภูมิต้านทาน การตกไข่ การมีประจำเดือน การสนองต่ออารมณ์ทางเพศ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นเส้นใยประสาท สารสื่อนำประสาท และ ฮอร์โมนจากต่อมที่อยู่ใต้คำบัญชาของต่อมไพเนียลนี้เอง มันจึงมีความสำคัญโยงใยกัน ไปหมด ถ้าเรานอนหลับได้ดี การทำงานของร่างกายในส่วนอื่นๆ ก็ย่อมดีด้วย แต่ถ้านอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิทติดต่อกัน จนกลายเป็น นอนไม่ หลับเรื้อรัง แน่นอนว่าร่างกายของเราก็จะเสียสมดุล เกิดอาการต่างๆ ตามมาอีกเป็นลูกโซ่ ต่อมไพเนียล (Pineal gland) เปลือกที่หุ้มมาจาก pia mater มี septa แทรกในเนื้อต่อม ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิดคือ
1. Pinealocytes เป็นเซลล์ที่มีนิวเคลียสขนาดใหญ่
2. Neuroglial cells เป็นเซลล์ขนาดเล็กมีนิวเคลียสติดสีเข้มกว่าเซลล์ชนิดแรก
อยู่บริเวณกึ่งกลางของสมองส่วนซีรีบรัม ซ้ายและขวา ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมนี้ คือ เมลาโทนิน ยับยั้งการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวช้าลง ระงับการหลั่งโกนาโดโพรฟินให้น้อยลง ต่อมไพเนียลเกิดเป็นมะเร็งแล้วสร้างเมลาโทนินไม่ได้ จะทำให้เป็นหนุ่มเร็วกว่าปกติ แต่ถ้าสร้างมากเกินไป จะทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวช้ากว่าปกติ
ลักษณะสำคัญในเนื้อต่อมไพเนียลคือพบ Brain Sand (corpora arenacea) มีลักษณะเป็น calcified accretions ติดสีม่วงเข้ม
ต่อมไพเนียล (Pineal gland or Epiphysis Cerebri) ประกอบด้วย เซลล์สำคัญ 2 ชนิดคือ pinealocytes (pineal chief cells = Pi) และ neuroglial cells (Ng) โดย pinealocytes เป็น highly modified neurons พบเป็นกลุ่มรอบเส้นเลือดแดงฝอยชนิด fenestrated capillaries. ส่วน neuroglial cells มีลักษณะคล้าย astrocytes ของ CNS ลักษณะสำคัญของต่อมไพเนียล คือมี basophilic extracellular bodies เรียกว่า pineal sand หรือ brain sand = BS มีรูปร่างเรียงเป็นชั้นของ Calcium และ magnesium phosphate ภายในบรรจุ organic matrix พบว่า cytoplasmic granules ของ pinealocytes มีองค์ประกอบของ indole compound รวมทั้ง melatonin และ precursor ของสาร serotonin.
วินาทีแรกที่คนเราลืมตาขึ้นมา และได้พบกับแสงสว่าง จากดวงอาทิตย์นั้น แสงสว่างจะผ่านเลนส์แก้วตา ไปตกกระทบ กับจอรับภาพบริเวณส่วนพลังของลูกตา ซึ่งจะมีเส้นปลายประสาทมาเลี้ยง ส่วนหนึ่งของสัญญาณ จะถูกส่งไปยัง ต่อมเล็กๆ ในสมองที่เรียกว่า "ต่อมไพเนียล" เมื่อต่อมไพเนียลได้รับสัญญาณดังกล่าวก็จะเริ่มสร้าง ฮอร์โมนเซโรโทนิน จากวัตถุดิบที่เรียกว่า ทริปเทเฟน
ฮอร์โมนเซโรโทนินตัวนี้เองที่จะทำหน้าที่ กระตุ้นให้ร่างกายของคนเราเริ่มทำงาน อวัยวะต่างๆ จะเริ่มทำงาน สอดคล้องกัน ไปอย่าง กระฉับกระเฉง การที่คนเราอารมณ์แจ่มใสและสามารถทำงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจาก แรงกระตุ้นของฮอร์โมนเซโรโทนินนี่เอง
พอตกค่ำ แสงอาทิตย์หายไปจากโลก ความมืดเข้ามาแทนที่ เมื่อแสงสว่างหายไปจากจอรับภาพของตาแล้ว สัญญาณแห่งความมืด ก็จะถูกส่งไปยังต่อมไพเนียลอีกครั้ง คราวนี้จะกระตุ้นเตือนให้ต่อมไพเนียล ทำหน้าที่ สังเคราะห์ฮอร์โมน "เมลาโทนิน" ออกมา ฮอร์โมนเมลาโทนินนี้จะทำหน้าที่ ไปเตือนให้ร่างกาย ต้องการการพักผ่อน และเหนี่ยวนำ ให้เกิดการง่วงนอนและนอนหลับสนิท
ขณะเดียวกัน เมื่อร่างกายและจิตใจเข้าสู่ภวังค์หลับสนิทนั้น ฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือพูดง่ายๆ ว่า สารต่อต้านไม่ให้ร่างกายเสื่อมก่อนวัย บางคนอาจเรียกว่า สารต่อต้านความชรา คุณสมบัติในการต่อต้าน ความเสื่อมก่อนวัยของฮอร์โมนเมลาโทนิน ก็คือ จะไปกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นผลมาจาก การเผาผลาญอาหาร เป็นพลังงาน หรืออนุมูลอิสระที่เกิดจากความเครียดและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ก็จะโดนกำจัดไปด้วย ฮอร์โมนเมลาโทนิน ดังกล่าว
พูดแบบง่ายๆ ก็คือ ในขณะที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อนนั้น ฮอร์โมนเมลาโทนินจะไปช่วยกำจัดของเสีย หรืออนุมูลอิสระ ที่จะทำให้คนเรา แก่ก่อนวัย เป็นความฉลาดของร่างกายคนเราอย่างหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน เมื่อเรานอนหลับสนิทนั้น ต่อมไร้ท่อในสมองอีกต่อมหนึ่ง คือ ต่อมไฮโปทาลามัส จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน จีเอ็น อาร์ เอช ไปกระตุ้นลูกอัณฑะ ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตกระสุนดินดำของผู้ชาย ให้สร้างฮอร์โมนเพศชายขึ้น ฮอร์โมนเพศชายดังกล่าว คือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
เป็นอันว่า ในขณะที่ผู้ชายนอนหลับสนิทนั้น โรงงานผลิตกระสุนดินดำของเขาก็จะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน แห่งความเป็นชาย ออกมาตลอดคืน ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนนี้ จะมีระดับสูงสุดในช่วงตอนเช้าประมาณ 5-7 โมงเช้า แต่ถ้าผู้มีสุขภาพไม่แข็งแรง หรือการสร้างฮอร์โมนเพศชายลดลง ในผู้ชายวัยทอง เวลาตื่นไปปัสสาวะตอนเช้า น้องชายจะหลับตาฉี่
การที่ฮอร์โมนเพศชายออกมามากในตอนเช้า ก็เพราะว่าเป็นการเตรียมตัวในการทำงานตลอดวัน เพราะฮอร์โมน เพศชาย มีหน้าที่ทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อแข็งแรง มีความตื่นตัวในการทำงานสู้กับชีวิต
จะสังเกตได้ว่า การทำงานของระบบการสร้างฮอร์โมนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น จะทำงานสัมพันธ์กันเหมือนวงมโหรี ที่เครื่องดนตรี หลายชนิดต้อง บรรเลงร่วมกันจึงจะไพเราะ ไม่มีฮอร์โมนตัวใดดังแบบศิลปินเดี่ยว และถ้าเกิดการ กระทบกระทั่ง หรือ ฮอร์โมน ตัวใดตัวหนึ่งลดลงไปแล้ว ก็จะมีผลกระทบต่อเนื่องไปตามแบบของทฤษฎีโดมิโนทีเดียว
การอดเพื่อสุขภาพ Detox
1. การอดเพื่อสุขภาพ
เป็นวิธีหนึ่งในการขจัดของเสีย หรือล้างพิษ สามารถปฏิบัติได้ง่ายและสะดวกสบาย สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองที่บ้าน ในปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้ค้นพบอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุหลักของความเจ็บป่วยมากมาย การอดเพื่อสุขภาพนับเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้
2. สูตรการอดเพื่อสุขภาพ
ในการอดอาหารเพื่อล้างพิษนั้น จะต้องอดอาหารจำพวกโปรตีน , ไขมัน , และ คาร์โบไฮเดรต ทั้งข้าวและขนมปัง กินได้แต่เพียงผักและผลไม้ตามแต่ละจำนวนที่กำหนดให้ในแต่ละสูตรการอดเพื่อสุขภาพมีหลายสูตร ที่นิยมปฏิบัติกันได้แก่
1. การล้างพิษ 10 วัน เป็นการอดด้วยผลไม้และผักสด เกิดผลในการรักษาโรคบางอย่างให้เห็นผลภายใน 10 วัน
2. การล้างพิษ 5 วัน เป็นการอดด้วยผลไม้และน้ำผลไม้ เป็นการย่นย่อหลักสูตร 10 วัน ใช้ได้กับผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพมากนัก เช่น ต้องการลดความเครียด หลบจากความเร่งรัดในการงานมาพักผ่อนและเพิ่มพูนความรู้เรื่องสุขภาพไปด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักที่ไม่มากนัก
3. การล้างพิษ 1 วัน เป็นการทยอยล้างพิษทีละน้อย ค่อย ๆ ปฏิบัติ
การเลือกระดับของการอดเพื่อสุขภาพนั้น ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคล สามารถหัดปฏิบัติด้วยตัวเอง ได้ดังนี้
2.1 การล้างพิษ 1 วัน
ระดับ 1 การกินผลไม้ชนิดเดียวตลอดวัน
ระดับ 2 การอดด้วยน้ำผลไม้
ระดับ 3 การอดด้วยน้ำเปล่า
ระดับ 4 การอดแห้ง
2.2 ขั้นแรกของการอดเพื่อสุขภาพ : เตรียมอด
เลือกวันที่จะทำการอดอาหาร ควรจะเป็นวันขึ้นหรือแรม 11 ค่ำ แต่ถ้าไม่สะดวกจะเลือกตามสะดวก เช่น วันหยุดก็ได้
ในตอนเช้าของวัน ให้เตรียมอดโดย ดื่มน้ำส้มและกินผลไม้เป็นอาหารเช้า
2.3 ขั้นที่สองในการอดอาหาร : วันอด
หลังจากอาหารเช้าที่เตรียมอดแล้ว ก็จำกัดอาหารตามแต่ละระดับของการอดอาหารที่กำหนดไว้ ในช่วงระหว่างวันควรจะมีการทำกิจกรรมต่างๆ และการสวนกาแฟเสริมด้วย
กิจกรรม
เลือกกิจกรรมที่ช่วยในการพักผ่อนร่างกายและจิตใจ เช่น อ่านหนังสือที่ชอบ, การวาดรูป, การฝีมือ, การฟังเพลง, การทำสมาธิ, กิจกรรมออกกำลังกายบางอย่าง เช่น โยคะ , ชี่กง , ไท้เก็ก ก็สามารถทำเพื่อเสริมการล้างพิษด้วย การออกกำลังกายเหล่านี้จะเน้นการทำสมาธิกับลมหายใจ ช่วยขจัดสารพิษออกทางลมหายใจ และทำให้จิตใจสงบ ลดอาการอ่อนเพลียอีกด้วย ส่วนซาวน่าและ การอบสมุนไพรอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยขจัดสารพิษออกทางเหงื่อ
การสวนกาแฟ
การสวนกาแฟจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการล้างพิษ เนื่องจากช่วยกระตุ้นตับในการใช้เอนไซม์ขจัดอนุมูลอิสระ
2.4 ขั้นตอนที่ 3 : วันเลิกอด
ในวันต่อมา ดื่มน้ำผสมน้ำมะนาว ในตอนเช้า
วิธีผสมน้ำมะนาวมีสูตรดังนี้ คือ ใช้น้ำ 2 ขวด ขวดละ 800 cc. บีบมะนาวขวดละ 2 ลูก ใส่เกลือทะเล ขวดละ 1 ช้อนชาครึ่ง ผสมแล้วดื่มให้หมดในตอนเช้า วันนั้น จะทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระ
ควรอดบ่อยเพียงใด
สำหรับคนที่มีสุขภาพดีควรทำทุก 2 สัปดาห์ อาจเป็นทุกขึ้น 11 ค่ำและ แรม 11 ค่ำ หรือทุกวันเสาร์ เว้นเสาร์ และผู้มีปัญหาสุขภาพ เช่น อ้วน ไขมันสูง ภูมิแพ้ ตลอดทุก 1 สัปดาห์
วิธีการปฏิบัติ
เมื่อเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติทั้งหมดแล้ว ก็สามารถลงมือกระทำได้ด้วยตนเองเลย โดยอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือแนะนำ หรือหากยังคงไม่มั่นใจที่จะปฏิบัติด้วยตนเองก็สามารถเข้าร่วมคอร์สที่ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีได้
3. โรคที่สามารถใช้การอดเพื่อสุขภาพในการรักษา
การอดอาหารเป็นขั้นตอนในการพักฟื้นและฟื้นฟูสุขภาพ มีประสิทธิภาพในการดูแลและบำบัดโรคต่อไปนี้ โรคอ้วน, ไขมันในเลือดสูง, รูมาตอยด์, SLE, ไมเกรน, เครียด, โรคนอนไม่หลับ, ภูมิแพ้, หอบหืด, ท้องผูก, โรคอาหารไม่ย่อย, โรคลำไส้ระคายเคือง ฯลฯ
อาการบางอย่างที่ยังไม่สามารถระบุว่าเป็นโรคได้ ก็สามารถใช้การอดอาหารในการบรรเทาอาการของโรค คือ ปากเหม็น, อาการปวดกล้ามเนื้อ, อาการปวดข้อ, ปากเหม็น, กลิ่นตัวแรง, ท้องอืดเฟ้อ, ผิวพรรณหม่นหมอง ฯลฯ
4. ข้อห้าม
ข้อห้ามสำหรับการอดเพื่อสุขภาพ คือ งดปฏิบัติใน เด็กเล็ก, หญิงมีครรภ์, ผู้ป่วยโรคมะเร็ง, ผู้สูงอายุ, หรือผู้ที่ร่างกายอ่อนเพลียมาก
หมายเหตุ
- สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน สามารถที่จะอดอาหารได้ แต่ว่าควรที่จะอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ