บุคลิกภาพกับความสำเร็จ
·
จอร์จ กาลอป จูเนียร์ เขียนไว้ในหนังสือ "เรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกัน” ซึ่งข้อมูลได้มาจาก การสำรวจ ชาวอเมริกันกว่า 1,500 คนว่า ลักษณะของผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นส่วนใหญ่มีลักษณะดังนี้
1. มีสามัญสำนึกที่ดี การตัดสินใจจะใช้ดุลยพินิจบนพื้นฐานสามัญสำนึกที่ดี สามารถ แยกแยะปัญหา ที่ซับซ้อน ให้เป็น รูปแบบ ที่เข้าใจง่ายที่สุด
2. มีความรู้ลึกซึ้งในงานของตนเอง เป็นผลจากการใฝ่เรียนใฝ่รู้ตลอดชีวิต คนเหล่านี้จะ"ทำการบ้านอยู่เสมอ” ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้มากทีเดียว
3. พึ่งพาตนเอง
4. มีสติปัญญา มีความสามารถในการอ่าน การคิด และการเขียนเป็นอย่างดี
5. มีความสามารถที่จะทำงานให้บรรลุผล ผู้ประสบความสำเร็จมักจะขยันทำงานหนักกว่าใคร มีความสามารถ ใน การจัดการ รู้จักแยกแยะว่า อะไรสำคัญ หรือ ไม่สำคัญ
6. มีภาวะผู้นำ รู้จักใช้ศิลปะการจูงใจคน ไม่ใช่ใช้อำนาจข่มขู่
7. รู้จักแยกแยะสิ่งผิดกับสิ่งถูก มีคุณธรรมและความยุติธรรม ดำรงตนอยู่ในครรลองของศีลธรรม
8. มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับ การรู้จักนำความคิด นั้นมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. มีความมั่นใจในตัวเอง รู้ว่าตนสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปได้ให้บังเกิดผลสำเร็จ
10. รู้วิธีสื่อสารเจรจา สามารถสื่อความให้ทุกคนเข้าใจและยอมรับได้ แม้กระทั่งต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก
11. เห็นใจคนอื่น การเห็นใจคนอื่นจะทำให้เขาเข้ากับใครๆ ได้ง่าย
12. โชคช่วย เก่งอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีโชคช่วยด้วยจึงจะประสบความสำเร็จ
สำหรับประเทศไทยนั้น จากการศึกษาของ ชูชัย สมิทธิไกร (2545) เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะบุคลิกภาพ กับความสำเร็จใน การทำงานของบุคคล ที่มีอาชีพต่างกัน 7 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ เภสัชกร ครู พนักงานธนาคาร พนักงานโรงแรม ทันตแพทย์ พนักงานขาย และเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ พบว่า ความสำเร็จในการทำงานมีความสัมพันธ์ทางบวก กับบุคลิกภาพ ด้านความรับผิดชอบ ด้านการเปิดเผยตัวเอง ด้านความเข้าใจผู้อื่น และด้านการเปิดรับประสบการณ์ นอกจากนั้นยังพบว่า ความรับผิดชอบเป็น บุคลิกภาพด้านเดียว ที่สามารถทำนายความสำเร็จในการทำงานของบุคคลทุกอาชีพ ทุกระดับอายุการทำงานและทุกเพศ
อย่างไรก็ตาม ในโลกเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ สังคมโลกที่ก้าวไปสู่ สังคมแห่งความรู้ (Knowledge-based Society) นั้น นภางค์ คงเศรษฐกุล (2546) ได้กล่าวถึงบุคลิกภาพของบุคคล ที่จะสามารถอยู่รอด และประสบความสำเร็จนั้น จะต้องเป็น ”บุคคลที่เรียนรู้ (Learning Person)” มีทักษะในการศึกษา ค้นคว้า และสร้างความรู้ด้วยตนเอง พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง อันนำไปสู่ความเป็น "บุคคลที่รอบรู้ (Personal Mastery)” ที่มีระบบคิดที่แตกต่างไปจากแนวคิดเดิม ๆ (Divergently) สามารถตั้งข้อสงสัยกับสิ่ง ต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ สร้างกรอบแนวคิดใหม่ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น นำไปสู่การเรียนรู้ที่สามารถขยายหรือเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้สูงขึ้นต่อไป
Self-Concept
·
ตัวตนและอัตมโนทัศน์ กับบุคลิกภาพ
1. มโนภาพแห่งตน (Self-Concept) คืออะไร ?
มโนภาพแห่งตน หมายถึง ผลรวมทั้งหมดของลักษณะประจำตัว ความสามารถ ค่านิยม เจตคติ ที่บุคคลเชื่อว่า เป็นสิ่งอธิบายตัวเขาว่าเป็นอย่างไร หรือ มโนภาพแห่งตน หมายถึง แนวคิดเกี่ยวกับตนเองว่า เป็นใคร เป็นอะไร ซึ่งเปรียบเสมือนมองเงา ในกระจกที่สะท้อนให้บุคคลได้เห็นตนเอง รู้จักตนเอง หรืออาจกล่าวได้ว่า มโนภาพแห่งตน หมายถึง เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับตนเองที่บุคคลรับรู้
มโนภาพแห่งตน มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด กับการนับถือตนเอง แต่ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน หากบุคคลมีมโนภาพแห่งตนในทางที่ดี จะทำให้เพิ่ม การนับถือตนเอง ภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น
การใช้ชีวิตประจำวัน มีผลต่อมโนภาพแห่งตน และในทางกลับกันการที่บุคคลมีมโนภาพแห่งตนอย่างไรก็มีผลต่อการทำงาน มีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของบุคคลด้วยเช่นกัน
มโนภาพแห่งตนสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน ดังภาพ
ที่มา Joseph Massie and John Douglas, Managing : A Contemporary Introduction
(Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall), P. 317.
1. Ideal Self เป็นภาพที่บุคคลอยากเห็น อยากเป็นในอนาคต สำหรับบางคนภาพจะชัดเจน เพราะเขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาต้องการในชีวิต และจะต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นได้ สำหรับบางคนอาจจะมีภาพไม่ชัดเจน และบางคนอาจจะมีภาพที่ไม่สอดคล้อง กับความจริงหรือเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มักจะทำให้บุคคลมีปัญหาก็คือ การที่บุคคลคิดว่าได้บรรลุตนตามอุดมคติแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง จะต้องใช้เวลายาวนาน และอาศัยการตระหนักรู้ตนเอง และต้องใช้เวลาพอสมควรในการที่จะบรรลุ พ่อแม่บางคนสร้างภาพที่เด็ก ควรเป็นหรือจะได้รับการยอมรับไว้ให้เด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กไม่มีความสุข เพราะความคาดหวังเหล่านี้ อาจไม่ตรงกับ สิ่งที่เขาปรารถนา อยากเป็น ความสมบูรณ์ในอุดมคติ และภาพ 4 ส่วนของมโนภาพแห่งตนจะต้องเป็นสิ่งเดียวกันให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามภาพ 4 ส่วนนี้ไม่สามารถ ทับกันได้ สนิทได้ตลอดไป แต่บางครั้งจะเป็นภาพที่เข้ามาใกล้ และทับกัน ก็จะทำให้บุคคล มีความสุข
โดยสรุป ตนตามอุดมคติคือ ตัวตนที่บุคคลปรารถนาจะเป็น หรือที่ควรจะเป็นซึ่งยึดมั่นในคุณงามความดี มีคุณธรรม จริยธรรม เกิดจากการอบรมสั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้าปฏิบัติได้บุคคลก็จะรู้สึกภูมิใจ ชื่นชมในตนเอง ถ้าไม่ได้ก็จะรู้สึกหดหู่ เสียใจ อาจถึงขั้นเกลียดตัวเอง ท้อถอย หรือหมดหวัง
2. Looking - Glass Self เป็นภาพตนเองที่บุคคลคิดว่าคนอื่นมองว่า เขาเป็นคนอย่างไร เป็นภาพของตนเองที่เป็นค่านิยม ความเชื่อ ข้อกำหนดของสังคม (คนอื่นหรือสังคมต้องการให้เป็น) ตนตามความต้องการของสังคมนี้ เป็นส่วนที่ได้จากการปรุงแต่งตาม ค่านิยม หรือตาม ความต้องการของสังคม หรืออาจจะใช้คำว่า Public-self ก็จะมีความหมายใกล้เคียงกัน
3. Self – Image ตนตามการรับรู้ หมายถึง ความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองที่รับรู้เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งการรับรู้นี้อาจจะตรงกับที่เป็นจริง ๆ หรือไม่ตรงก็ได้ ถ้าการรับรู้ตนเองเป็นด้านบวกก็จะทำให้มีเป้าหมายในชีวิตและมีความสุขได้ แต่ถ้ามีในทางกลับกันก็จะไม่มีความสุข
4. Real-Self หรือ Actual –Self ตนตามความเป็นจริงหรือตนตามอัตภาพ หมายถึง ตัวตนที่เป็นจริง ๆ ไม่เกี่ยกับการได้รับการยอมรับหรือไม่ได้รับการยอมรับของบุคคลรอบข้าง ซึ่งต้องใช้เวลาในการค้นพบตนเองว่าเป็นคนชนิดใด มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรในการดำเนินชีวิต มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร มีความสามารถด้านไหน ซึ่งอาจต้องใช้เวลานาน ซึ่งจะเป็นกระบวนการที่ทำให้พัฒนาการของการตระหนักในตนเอง (Self-awareness) เพิ่มมากขึ้นด้วย
Carl Roger ได้เสนอว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีปฏิสัมพันธ์และการตอบสนองในกระบวนการ อบรมเลี้ยงดูที่มีรูปแบบพฤติกรรม ที่ยอมรับเด็กอย่างมีเงื่อนไข และยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขจะ ค่อย ๆ พัฒนาการนับถือตนเองของบุคคล และได้อธิบายเกี่ยวกับตน ตามอัตภาพและตนตามอุดมคติได้มาก โดยเน้นเรื่องตนตามอุดมคติ ที่มาจากการอบรมเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนให้ยึดมั่นคุณงามความดี มีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี จากพ่อแม่ผู้ปกครองและบุคคลรอบข้าง ซึ่งอาจแตกต่างจากตัวตนที่แท้จริงของเขา ดังนั้นปัญหาและโจทย์ชีวิตอาจจะเกิดจาก สาเหตุของการที่ตนที่เป็นจริง กับตนที่ปรารถนา จะเป็นห่างกันมากก็จะทำให้บุคคลรู้สึกหดหู่ เสียใจ หรือถึงขั้นเกลียดตัวเอง ท้อถอย หมดหวัง และสูญเสียการนับถือหรือภาคภูมิใจในตัวเองได้ แต่ถ้าหากตนที่เป็นจริงกับตน ที่ปรารถนาจะเป็นใกล้เคียงกันหรือทับกันสนิท คนจะมีความนับถือตนเองสูง บุคคลจะรู้สึกภาคภูมิใจ และชื่นชมในตัวเอง
การนับถือตนเอง (Self-esteem)
การนับถือตนเอง (Self-esteem) หมายถึง ความรู้สึก ความเชื่อที่บุคคลมีต่อตนเองว่ามีความสามารถมีคุณค่า ซึ่งจะมีระดับตั้งแต่ การนับถือตนเอง ต่ำไปจนถึง การนับถือตนเองสูง การที่บุคคลยอมรับตนเอง นับเป็นทักษะสำคัญในการที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเอง และการดำเนินชีวิต เพราะความสามารถในการรักษา สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ได้ดี มีผลมาจาก การที่บุคคลยอมรับ หรือปฏิเสธตนเอง และจะเป็นสิ่งที่ใช้ทำนายสัมพันธภาพ ที่บุคคลอื่นมีต่อเราได้เช่นกัน ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ จะเป็นผลมาจาก การพัฒนาการนับถือตนเองของบุคคลนั่นเอง จากงานวิจัย (Harris : 1990) พบว่าคนที่มีระดับการนับถือตนเองต่ำ (Low self-esteem) จะมีปัญหาด้านอารมณ์มากกว่า คนที่มีการนับถือตนเองสูง (High self-esteem) และการนับถือตนเอง จะเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อบุคคลเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลอื่น และบางครั้งบุคคลที่นับถือตนเองต่ำ จะแสดงจุดเด่นเฉพาะบางอย่าง เช่น (การแต่งกาย, การแสดงความคิดเห็น, การเล่นกีฬา) เพื่อเป็นการชดเชย แต่บุคคลเหล่านี้ก็ไม่สามารถลดความรู้สึกพร่องใน การนับถือตนเอง หรือความภาคภูมิใจในตนเอง แม้จะพยายามสร้างจุดเด่นให้ตนเองแล้วก็ตาม แต่ในทางกลับกัน บุคคลที่มีการนับถือตนเองสูง (High self-esteem) จะสามารถมีความสุขและพึงพอใจในชีวิต เพราะเขาจะมีแรงจูงใจใน การดำเนินชีวิต ให้ประสบความสำเร็จ ที่มีผลมาจาก ความปรารถนาที่จะทำให้เป้าหมายในชีวิตหรือการทำงานบรรลุผล ไม่ใช่จากแรงจูงใจที่จะชดเชยความ รู้สึกที่ตนเอง ไม่ภาคภูมิใจในตนเอง
1 การนับถือตนเองเกิดขึ้นได้อย่างไร (Origin of Self-esteem)
ปัจจัยที่มีผลในการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลที่สำคัญ ๆ ส่วนใหญ่จะเริ่มหรือตั้งต้นจากวัยเด็กตอนต้น Carl Roger (1902-1987) นักจิตวิทยามนุษยนิยมได้อธิบายว่า การนับถือตนเองพัฒนามาจากวัยเด็ก และเกิดจากปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่ บุคคลรอบข้างที่เด็กได้มี ปฏิสัมพันธ์ ด้วยให้การยอมรับและมีปฏิสัมพันธ์ หรือ ปฏิกิริยาตอบสนองต่อเด็กอย่างไร เด็กก็จะพัฒนาปฏิสัมพันธ์ในทิศทางที่ผู้ใหญ่มีต่อเขา พ่อแม่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดในการพัฒนาการนับถือตนเองในวัยเด็กตอนต้น ครั้นเมื่อพัฒนามาถึงวัยเด็กตอนปลายและวัยรุ่นก็จะได้รับอิทธิพลจากครู, เพื่อนและบุคคลอื่น ๆ ที่เขามีปฏิสัมพันธ์ด้วยว่าจะมีทิศทางในการตอบสนองใน ลักษณะสร้างสรรค์หรือทำลายความรู้สึกที่เขามีต่อตัวเอง (Denis Waitley : 1993)
เมื่อพ่อแม่หรือบุคคลที่มีความสำคัญในชีวิต แสดงให้บุคคลรู้ว่าเขาได้รับการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข คือยอมรับได้ในทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นอย่างไร บุคคลก็จะพัฒนา การนับถือตนเอง มากขึ้น ยกตัวอย่างคำพูดที่ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขได้แก่ “ เอก แม่อยากให้ลูกรู้ว่าแม่รักและภูมิใจในตัวลูกมาก แต่การที่ลูกไปแกล้งเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนนั้นมันเป็นสิ่งแม่ไม่นิยม”
ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองแสดงให้เห็นว่าสามารถยอมรับเด็กต่อเมื่อ เด็กเป็นหรือทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการ เด็กจะพัฒนาการนับถือตนเองได้ไม่ดีนัก เพราะเด็กไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ต้องการให้ทำอะไรหรือต้องการอะไรจากเขา และท้ายที่สุดเขาก็จะรู้สึกว่าเป็นเด็กไม่ดี เพราะไม่สามารถทำตามที่ผู้ใหญ่อยากให้ทำได้ เด็กจะยิ่งสับสนถ้าผู้ใหญ่มีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้นพ่อแม่ไม่ควรตอกย้ำ ความรู้สึกของเด็กโดยเอาเด็กไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือความรู้สึกที่ว่าเด็กยังไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น เพราะเด็กจะเปรียบเทียบ ตนเองกับเด็กคนอื่นแล้วด้อยกว่าก็จะรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองลดลง
ภาพการเกิด Self-esteem
Carl Roger เชื่อว่า Self-esteem จะพัฒนาในเด็กขึ้นอยู่กับ การยอมรับของพ่อแม่ผู้ปกครอง
พ่อแม่ ให้การยอมรับเด็ก โดยปราศจากเงื่อนไข ==>>> การนับถือตนเองสูง
พ่อแม่ ให้การยอมรับเด็ก แบบมีเงื่อนไข ==>>> การนับถือตนเองต่ำ
2. ประเภทการนับถือตนเอง (Self-esteem)
จากการศึกษาที่ผ่านมาได้อธิบายการนับถือตนเองออกเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ความรู้สึกดี-ไม่ดี, บวกหรือลบเกี่ยวกับคุณค่าในตนเอง
ประเภทที่ 2 ความเชื่อในความสามารถของตนเองที่จะจัดการปัญหาได้ ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า Self-efficacy
ประเภทที่ 1 นับเป็นความรู้สึกต่อตนเองเมื่ออยู่คนเดียว ส่วนประเภทที่ 2 จะเกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหาที่ต้องแก้ไขและต้องใช้ความสามารถในการทำงานเฉพาะอย่างให้สำเร็จ ซึ่งแต่ละประเภทอาจจะสูงหรือต่ำกว่าอีกประเภทหนึ่งในบุคคลคนเดียวกันได้
3. การนับถือตนเองกับการทำงาน
ปัจจัยที่สำคัญที่บ่งบอกถึงความสำเร็จและความล้มเหลวของบุคคลคือการนับถือตนเอง (Karen : 1993) ศึกษาพบว่าคนที่มีการนับถือตนเองต่ำจะวิตกกังวลซึมเศร้า, ไม่มีเหตุผล, ก้าวร้าว และรู้สึกแปลกแยก ซึ่งจะทำให้มีปัญหาในการปฏิบัติงาน ไม่มีความสุขในการทำงาน การนับถือตนเองต่ำ มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในงานต่ำ และสัมพันธ์กับการว่างงานด้วย คนที่มีระดับการนับถือตนเองสูง (High self-esteem) จะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ มีการปรับตัวได้ดีเมื่อต้องประสบปัญหา เพราะไม่กลัวว่าความคิดหรือความสามารถของตน จะไม่ได้รับการยอมรับ และพร้อมที่จะรับฟังข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) จากผู้อื่นและมีความพึงพอใจในงานสูงและได้งานทำมากกว่าคนที่นับถือตนเองต่ำ
การเข้าใจตนเองและผู้อื่น
อ.ปนัดดา ญวนกระโทก อ.บัณฑิตา ศักดิ์อุดม
อุปสรรคประการหนึ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีความสุขและไม่พบความสำเร็จคือ การไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจตนเอง อาจมีบางคนแย้งว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จักตนเอง หรือมีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่จะไม่รู้จักตนเอง นั่นเป็นคำโต้แย่งที่ต้องถกเถียงอีกนาน ท่านเคยเป็นหรือเคยพบคนที่มีคุณลักษณะต่อไปนี้บ้างหรือไม่ “คนที่คิดอย่างเดียวว่าตัวเองเรียนไม่เก่ง ทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าตอบคำถาม ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้ารายงานหน้าชั้น ทั้ง ๆ ที่เขามีความสามารถในตัวเองอีกหลายอย่าง”
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าคนเราอาจมีความเข้าใจตนเองไม่ถูกต้อง และความเข้าใจตนเองมีผลต่อพฤติกรรม โดยจะขออธิบายการเข้าใจตนเอง ตามลำดับหัวข้อดังนี้
“ตัวตน” หรือ “อัตตา” คืออะไร
ตัวตน หรืออัตตา ตรงกับคำภาษาอังกฤษ คือ คำว่า “Self” หมายความว่า ความรู้สึกนึกคิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา ด้วยเหตุนี้คนทุกคนจึงมี “ตัวตน หรือ อัตตา” ด้วยกันทุกคน ต่างกันเพียงว่า ตัวตนของใครจะได้รับการขัดเกลาหรือยกระดับให้สูงขึ้น จนเข้าใจธรรมชาติของทุกสิ่งในโลกมากกว่ากัน หาก “ตัวตน” ไม่ได้รับการขัดเกลาหรือยกระดับให้สูงขึ้น ผู้ที่เป็นเจ้าของตัวตนนั้นก็จะเป็นคนประเภท “หลงตัวเอง” หรือ “เห็นแก่ตัว” ซึ่งคนประเภทนี้ย่อมยากที่จะพัฒนาตนเองให้ไปสู่ความสุขความสำเร็จตามที่ใฝ่หา
ทฤษฎีตัวตน
คาร์ล แรนซัม โรเจอร์ส (Carl Ransom Rogerrs,1902-1987) นักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic Psychology) ผู้ที่ศึกษาบุคลิกภาพของมนุษย์จากส่วนที่เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของบุคคล ซึ่งรวมความรู้สึก และเจตคติของบุคคล ต่อโลก ต่อชีวิต ต่อตนเอง และต่อสังคมแวดล้อมโดยมุ่งให้ความสำคัญที่ตัวเอง และความเป็นตัวของตัวเองของบุคคลนั้น (I หรือ Me หรือ Self ) ทฤษฎีของโรเจอร์สจึงมีชื่อว่า ทฤษฎีตัวตน (Self Teory)
โรเจอร์สอธิบายว่ามนุษย์ทุกคนมีตัวตน 3 แบบ คือ
1) ตนที่ตนมองเห็น (Perceived Self หรือ Self Concept)
ตนที่ตนมองเห็น คือ ภาพของตนที่เห็นตนเองว่า ตนเป็นคนอย่างไร คือใคร มีความรู้ ความสามารถ ลักษณะเฉพาะตนอย่างไร โดยทั่วไปบุคคลรับรู้ มองเห็นตนเองหลายแง่หลายมุม อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือภาพที่คนอื่นเห็น เช่น คนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น อาจไม่นึกเลยว่าตนเองเป็นบุคคลประเภทนั้น
2) ตนตามที่เป็นจริง (Real Self)
ตนตามที่เป็นจริง คือ ลักษณะตัวตนที่เป็นไปตามข้อเท็จจริง บ่อยครั้งที่ตนเองมองไม่เห็น ข้อเท็จจริงของตน เพราะเป็นกรณีที่ทำให้รู้สึกเสียใจ เศร้าใจ ไม่เทียมหน้าเทียมตากับบุคคลอื่นๆ รู้สึกผิดเป็นบาป เป็นต้น
3) ตนตามอุดมคติ (Ideal Self)
ตนตามอุดมคติ คือ ตัวตนที่อยากมี อยากเป็น แต่ยังไม่มี ไม่เป็นในสภาวะปัจจุบัน เช่น นาย ก. เป็นคนขับรถรับจ้าง แต่นึกฝันอยากจะเป็นเศรษฐีมีคนขับรถให้นั่ง นางสาว ข. เป็นคนชอบเห็นเห็นแก่ตัว แต่นึกอยากเป็นคนเก่งของสังคม เข้าคนง่าย เป็นต้น
ถ้าตนที่ตนมองเห็นกับตนตามที่เป็นจริงมีความแตกต่างกันมาก หรือมีข้อขัดแย้งกันมาก บุคคลนั้นก็มีแนวโน้มที่จะเป็นบุคคลที่ก่อปัญหาให้แก่ตัวเองและผู้อื่น
ผลดีของตนที่ตนมองเห็นตรงกับตนตามที่เป็นจริง มักมองเห็นตนตามอุดมคติที่ค่อนข้างเป็นไปได้ ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างมีความหวัง กระตือรือร้น และสมใจหวังอยู่เสมอ จึงมีความพอใจตนเองอยู่มาก ซึ่งมักจะนำไปสู่ความพอใจในบุคคลอื่นอีกด้วย ตรงข้ามกับบุคคลที่สร้างภาพของตนตามอุดมคติห่างไกลตนตามที่เป็นจริง มักประสบความผิดหวังในตนเองและผู้อื่น ทำให้มองตนเองและผู้อื่นในแง่ลบ มีเพื่อนน้อย คบหาสมาคมกับใคร ๆ ยาก ทำให้มีข้อสับสนและขัดแย้งในตนเองและผู้อื่น
ความเข้าใจตนเอง
ความเข้าใจตนเอง หรือ อัตมโนทัศน์ (Self Concept) หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดที่บุคคลมีต่อตนเอง ความเข้าใจตนเองเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม หรือกล่าวได้ว่าความเข้าใจตนเองเป็นแกนกลางของบุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่กำหนดคุณภาพของพฤติกรรมที่เราแสดงออกกับคนอื่นและกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้คนที่มีความเข้าใจตนเองต่างกัน ก็ย่อมจะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกัน
ความเข้าใจตนเองของแต่ละบุคคล จะพัฒนาขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและแตกต่างกันมากขึ้น เมื่อบุคคลมีวุฒิภาวะมากขึ้น และเมื่อบุคคลได้พัฒนาและเข้าใจคุณค่าของตนเองแล้ว ความเข้าใจตนเองก็จะคงที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
จุดกำเนิดของความเข้าใจ
ความเข้าใจตนเองไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของตัวเองเราเองเท่านั้น หากแต่ถูกกำหนดขึ้นโดยบุคคลอื่นด้วย เช่น พ่อแม่ สมาชิกในครอบครัว ครู เพื่อน และบุคคลที่อยู่แวดล้อม เป็นต้น ความเข้าใจตนเองจึงถูกกำหนดโดยผ่านคำพูดและการกระทำของคนอื่นที่เขาปฏิบัติต่อเรา ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ดี น่ารักหรือไม่น่ารัก มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า จากปฏิกิริยาต่างๆเหล่านั้น
ดังนั้น คนที่มีความเข้าใจตนเองในทางดี จะมีความรู้สึกนึกคิดที่ดีต่อตนเอง และจะมีพฤติกรรมในทางบวก เช่น ประเมินตนเองในทางบวก เชื่อมั่นในตนเอง มองเห็นศักดิ์ศรีและคุณค่าในตนเอง นับถือตนเอง และยอมรับตนเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่มีความเข้าใจตนเองในทางไม่ดี ก็จะมีความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีต่อตนเอง และจะมีพฤติกรรมในทางลบ เช่น ประเมินตนเองในทางลบ มองตนเองต่ำ ไร้คุณค่า ไม่ยอมรับตนเอง คิดว่าตนไม่เป็นที่ต้องการของคนอื่น
วิธีที่จะทำให้เกิดความเข้าใจตนเอง
วิธีที่จะทำให้รู้จักและเข้าใจตนเอง มีอยู่หลายวิธี เช่น การวิเคราะห์ตนเองโดยใช้ทฤษฎีการวิเคราะห์การสื่อสารสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การตอบแบบสำรวจบุคลิกภาพ การตอบแบบสอบถาม การสังเกตตนเองและการรับฟังคำวิจารณ์ของคนอื่น เป็นต้น
บุคคลจะรู้จักและเข้าใจตนเองอย่างถูกต้องได้ ถ้าเขาพิจารณาตัวเองตามที่เป็นจริง วิเคราะห์และวิจารณ์ตนเอง ตลอดจนยอมรับคำวิจารณ์ของคนอื่น โดยไม่หลอกตัวเองและไม่เข้าข้างตนอง
คุณค่าของการเข้าใจตนเอง
การเข้าใจตนเองของบุคคลย่อมก่อให้เกิดคุณค่าต่างๆ ดังนี้
1. ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น
2. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
3. ช่วยให้เห็นพฤติกรรมและเหตุจูงใจของพฤติกรรมของตนเองชัดเจนขึ้น
4. ช่วยให้สามารถตั้งเป้าหมายและวางแผน ตลอดจนทำงานได้อย่างดี ตามความสามารถที่มีอยู่
5. ช่วยให้รู้จักและเข้าใจคนอื่นดีขึ้น
6. ช่วยทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น
การปรับปรุงแก้ไขตนเอง
หลังจากที่บุคคลรู้จัก เข้าใจ และยอมรับตนเองตามที่เป็นจริงแล้ว ก็จะต้องตั้งเป้าหมายและวางแผนที่จะปรับปรุง แก้ไขส่วนที่บกพร่อง ที่คิดว่ามีความสำคัญและเป็นความจำเป็นในลำดับต้น ดังนั้นถ้าจะเริ่มต้นลงมือปรับปรุงแก้ไขตนเองแล้ว การเขียนเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของเราที่มีต่อเป้าหมายนั้นควรเขียนให้ชัดเจน แล้วจึงเริ่มต้นลงมือดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งมีการประเมินผลการปฏิบัติ เพื่อปรับปรุงแก้ไขเป็นระยะ ๆ ซึ่งอาจเป็นทุก ๆ วัน หรือ ทุก 3 วัน
7 วันก็ได้ ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะแก้ไขได้สำเร็จตามเป้าหมาย
การสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาตนเอง (Self Development)
·
การสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาตนเอง (Self Development)
อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
p_arporn11@hotmail.com
ในยุคปัจจุบันความสำเร็จขององค์กรมิใช่อยู่ที่การจัดระบบหรือกระบวนการภายใน การนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนี้การจัดการความรู้ (Knowledge Management) ภายในองค์กร เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งหลายต่อหลายองค์กรได้เริ่มตระหนัก และให้ความสำคัญกับการสร้าง และปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งความรู้ และการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา โดยการปลูกฝังให้พนักงานสามารถแสวงหาความรู้ และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นแนวคิดเรื่องการพัฒนาตนเอง (Self Development) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self Learner) จึงเกิดขึ้น มีคำถามว่า ทำอย่างไรให้พนักงานสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง? .ไม่ยากคะ ต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กร และตัวพนักงานเอง สำหรับองค์กรควรมีการสร้างบรรยายกาศแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น เช่น การจัดห้องสมุดเพื่อให้พนักงานแสวงหาข้อมูลข่าวสาร ต่าง ๆ ด้วยตนเอง การจัดชมรมนักอ่านขึ้น การมี Poster เพื่อสื่อสารความรู้ใหม่ ๆ ให้กับพนักงาน เป็นต้น
แต่สำหรับตัวพนักงานเอง การพัฒนาตนเองของพนักงานจะเริ่มจากการปลูกฝังหัวใจของการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นก่อน เพราะหากพนักงานมีใจที่จะ พัฒนาตนเอง อยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้ตัวพนักงานพยายาม ขวนขวายหาวิธี การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ ทั้งนี้แนวทางในการพัฒนาตนเองอีกแนวทางหนึ่งที่พนักงานทุกคนย่อมสามารถทำได้ . แต่อาจไม่ได้คิดถึงนั่นก็คือ การสร้างเครือข่ายของความรู้
การสร้างเครือข่าย (Net Working) จึงเป็นรูปแบบการพัฒนาตนเองอีกรูปแบบหนึ่ง ทั้งนี้การสร้างเครือข่าย หมายถึง การแสวงหาโอกาสเพื่อรู้จักกับบุคคลใหม่ ๆ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลที่พึ่งรู้จัก รวมทั้งการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับบุคคลต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวข้องในสายอาชีพหรือแวดวงเดียวกัน
การสร้างเครือข่ายช่วยให้เกิดการพัฒนาตนเองได้อย่างไร? บางคนอาจคิดไม่ถึงว่าการสร้างเครือข่ายนั้นสามารถช่วยทำให้เราเกิดการพัฒนาตนเองได้อย่างไร .ประโยชน์มีมายมายคะ ดังนี้
เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ - ทั้งนี้การที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกับบุคคลต่าง ๆ จะทำให้เราเป็นคนมีโลกกว้างขึ้น ซึ่งทำให้เรารับรู้ถึงความคิดหรือข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ หรืออย่างน้อย ๆ ก็จะทำให้เราเป็นคนทันโลก ทันเหตุการณ์ รับรู้ว่าหน่วยงานหรือ องค์กรอื่นเค้าทำอะไรไปบ้างแล้ว เช่น การนำระบบ Training Road Map มาใช้ การนำหลักของการประเมินผลด้วยวิธีการวัดผลสำเร็จของงานมาใช้ภายในองค์กร เป็นต้น
พัฒนาตนเองจากการประมวลผลข้อมูล - ผู้ได้เปรียบ คือผู้ที่สามารถใช้ข้อมูลที่รับรู้มาเพื่อการพัฒนาตนเอง ผู้ที่แสวงหาโอกาสที่จะสร้างเครือข่ายอยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมจะเป็นผู้ที่มีจิตสำนึกของความพร้อม ในการเปลี่ยนเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา การสร้างเครือข่ายเปรียบเสมือนโมเลกุลแห่งความตื่นตัวกับสิ่งใหม่ ๆ ที่อยู่ในตัวของคุณเอง มันจะทำให้คุณกระหายที่จะหาทางในการพัฒนาตนเอง .ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนา และปรับปรุงงานของตนเองตามไปด้วย
เกิดการยอมรับจากเครือข่ายของคุณ - การยอมรับก็คือ ความศรัทธา การได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ และการได้รับการกล่าวถึงจากเครือข่ายของคุณว่ าคุณเป็นบุคคลที่มีความรู้ และความสามารถในสายอาชีพของคุณเอง ทั้งนี้ประโยชน์ข้อนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่ก็อาจใช้ระยะเวลาพอสมควร เพราะนั่นหมายความว่า คุณจะต้องเป็นผู้มีความรู้ และความสามารถในระดับหนึ่งที่จะทำให้เครือข่ายของคุณยอมรับคุณ . แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณได้รับการยอมรับ จากเครือข่ายของคุณแล้วหล่ะก็ นั่นหมายถึงการประสบความสำเร็จในสายวิชาชีพของตัวคุณเอง
มีที่ปรึกษา หากคุณเผชิญกับปัญหา - การมีเครือข่ายย่อมจะทำให้คุณมีเพื่อนที่มีหลากหลายรูปแบบ หลายความคิด และแน่นอนหากตัวคุณเองมีปัญหาหรืออุปสรรคในการทำงาน คุณเองก็สามารถสอบถามความเห็นจากเพื่อนที่เป็นเครือข่ายของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณได้รับแนวทางเลือกที่หลากหลาย ที่จะเป็นข้อมูลมากเพียงพอที่จะทำให้คุณสามารถตัดสินใจ หาทางออกกับปัญหาหรืออุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่ นอกจากปัญหาจากการทำงานที่คุณกำลังเผชิญอยู่ คุณย่อมสามารถปรึกษาปัญหาชีวิตซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณกับเพื่อนที่เป็นเครือข่ายของคุณเซึ่งคุณไว้วางใจ
จุดประกายความหวังใหม่ - นอกเหนือจากคุณจะได้รับความรู้ และประสบการณ์ใหม่ ๆ สำหรับการพัฒนาตนเอง และพัฒนาการทำงานของคุณเองแล้ว มันอาจจะเป็นตัวจุดประกายความฝันใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวคุณ ซึ่งจะทำให้คุณมีความคิดริเริ่มหรือ ไอเดียใหม่ ๆ ที่แปลกแวกแนวออกไปจากงานปัจจุบันที่คุณกำลังทำอยู่ เช่น ความคิดที่จะทำร้านหนังสือ ความคิดที่จะเป็นนักเขียน ความคิดที่จะเป็นวิทยากรภายนอก เป็นต้น ซึ่งความคิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มันอาจจะทำให้คุณอาจอยากได้หุ้นส่วน หรือได้ที่ปรึกษาในการดำเนินงาน . เครือข่ายของคุณเองนั่นแหละ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่สานฝัน ทำให้ฝันของคุณเป็นจริงได้
การสร้างเครือข่าย คุณสามารถทำให้เกิดขึ้นได้หรือไม่?..ทำได้อย่างแน่นอนถ้าหากคุณมีหัวใจของการพัฒนาตนเอง และเพื่อให้คุณเองมีพฤติกรรมของการสร้างเครือข่าย ขอให้คุณเองเริ่มปฏิบัติตามแนวทางง่าย ๆ ดังนี้
การเป็นนักแสวงหาเครือข่าย - การแสวงหาช่องทางหรือโอกาสในการสร้างเครือข่ายให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าฝึก อบรมในหลักสูตรหรือโปรแกรมต่าง ๆ การเข้าร่วมชมรมที่จัดขึ้น การเข้าร่วมงานสัมมนาต่าง ๆ หรือแม้แต่การท่องอินเตอร์เน็ทบน กระดานสนทนากับเพื่อนร่วมวงการ. คุณเองสามารถทำได้
การเป็นนักสร้างสัมพันธ์ - หากคุณมีโอกาสได้พบเจอกับบุคคลต่าง ๆ แล้วหล่ะก็ อย่าปล่อยให้โอกาสลอยไป .คุณควรเริ่มต้น สร้างความสัมพันธ์ อันดีกับบุคคลต่าง ๆ ก่อน การสร้างประเด็นหรือคำถามเพื่อเริ่มต้น สร้างความสัมพันธ์ กับคนที่คุณอยาก สร้างเครือข่ายด้วย หรือการเริ่มต้นด้วยให้ความช่วยเหลือกับเครือข่ายของคุณเองก่อน ต่อจากนั้น คุณควรขอนามบัตร หรืออีเมล์ หรือขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อการติดต่อในครั้งต่อไป
การเป็นผู้รักษาสัมพันธ์ - หลายต่อหลายครั้งที่คุณหยุดการสร้างเครือข่ายด้วย การขาดการติดต่ออย่างต่อเนื่อง นักสร้างเครือข่ายที่ดี ต้องเป็นผู้รักษาความสัมพันธ์ที่ดีด้วย คุณอาจส่งข้อมูลข่าวสาร หรือบทความต่าง ๆ ที่น่าสนใจให้กับเครือข่ายของคุณเอง การโทรหรือส่งอีเมล์สอบถามสารทุกข์สุขดิบ หรือขอความช่วยเหลือจากเครือข่ายของคุณ หรือแม้กระทั่ง คุณอาจนัดพบปะ หรือ สังสรรกันเป็นบางโอกาส .อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ทำให้เครือข่ายของคุณลืมคุณไป
ดังนั้นการพัฒนาตนเองที่นอกเหนือจากการอ่านหนังสือตำรา การเข้าฝึกอบรมสัมมนา การสอนงาน การให้คำปรึกษาในขณะทำงาน การสร้างเครือข่าย เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการพัฒนาตนเองที่คุณอาจลืมนึกถึง การสร้างเครือข่าย จะทำให้คุณเป็นผู้มี วิสัยทัศน์ กว้างไกล และมีเพื่อนมากมายที่จะให้คำปรึกษาแนะนำ และความช่วยเหลือต่าง ๆ กับคุณ
****จงเปิดโลกทัศน์ของตัวคุณเอง ด้วยการแสวงหา การสร้าง และการรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่ายของคุณ*****
การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-Efficacy)
งานของ Bandura เกี่ยวข้องกับความสามารถของตนนั้น ในระยะแรก Bandura เสนอแนวคิดของความคาดหวังความสามารถของตนเอง (Efficacy Expectation) โดยให้ความหมายว่า เป็นความคาดหวังที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของตน ในลักษณะที่เฉพาะเจาะจง และความคาดหวังนี้เป็นตัวกำหนดการแสดงออกของพฤติกรรม (Bandura, 1977) แต่ต่อมา Bandura (1986) ได้ใช้คำว่า การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Percieved Self-Efficacy) โดยให้ความจำกัดความว่าเป็นการที่บุคคลตัดสินใจเกี่ยวกับ ความสามารถของตนเองที่จะจัดการและดำเนินการกระทำพฤติกรรมให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยที่ Bandura นั้นไม่ได้กล่าวถึงคำว่าคาดหวังอีกเลย
Bandura มีความเชื่อว่า การรับรู้ความสามารถของตนเองนั้น มีผลต่อการกระทำของบุคคล บุคคล 2 คน อาจมีความสามารถไม่ต่างกัน แต่อาจแสดงออกในคุณภาพที่แตกต่างกันได้ ถ้าพบว่าคน 2 คนนี้มีการรับรู้ความสามารถของตนเองแตกต่างกัน ในคนคนเดียวก็เช่นกัน ถ้ารับรู้ความสามารถของตนเองในแต่ละสภาพการณ์แตกต่างกัน ก็อาจจะแสดงพฤติกรรมออกมาได้แตกต่างกันเช่นกัน Bandura เห็นว่าความสามารถของคนเรานั้นไม่ตายตัว หากแต่ยืดหยุ่นตามสภาพการณ์ ดังนั้นสิ่งที่จะกำหนดประสิทธิภาพของการแสดงออก จึงขึ้นอยู่กับการรับรู้ความสามารถของตนเองในสภาวะการณ์นั้น ๆ นั่นเอง นั่นคือถ้าเรามีความเชื่อว่าเรามีความสามารถ เราก็จะแสดงออกถึงความสามารถนั้นออกมา คนที่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถจะมีความอดทน อุตสาหะ ไม่ท้อถอยง่าย และจะประสบความสำเร็จในที่สุด (Evans, 1989)
มักมีคำถามว่าการรับรู้ความสามารถของตนเองนั้น เกี่ยวข้องหรือแตกต่างอย่างไรกับความคาดหวัง ผลที่จะเกิดขึ้น (Outcome Expectation) เพื่อให้เข้าใจและชัดเจน Bandura (1997) ได้เสนอภาพแสดงความแตกต่างระหว่างการรับรู้เกี่ยวกับความสามารถของตนเอง และความคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้น ดังภาพ
บุคคล พฤติกรรม ผลที่เกิดขึ้น
ภาพ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเองและความคาด หวังผลที่จะเกิดขึ้น (จาก Bandura, 1977) การรับรู้ความสามารถของตนเอง เป็นการตัดสินความสามารถของตนเองว่า จะสามารถทำงานได้ในระดับใด ในขณะที่ความคาดหวังเกี่ยวกับผลที่จะเกิดขึ้นนั้น เป็นการตัดสินว่าผลกรรมใดจะเกิดขึ้นจากการกระทำพฤติกรรมดังกล่าว อย่างเช่นที่นักกีฬามีความเชื่อว่าเขากระโดดได้สูงถึง 6 ฟุต ความเชื่อดังกล่าวเป็นการตัดสินความสามารถของตนเอง การได้รับการยอมรับจากสังคม การได้รับรางวัล การพึงพอใจในตนเองที่กระโดดได้สูงถึง 6 ฟุต เป็นความคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้น แต่จะต้องระวังความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ความหมายของคำว่า ผลที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นในที่นี้จะหมายถึง ผลกรรมของการกระทำพฤติกรรมเท่านั้น มิได้หมายถึงผลที่แสดงถึงการกระทำพฤติกรรม เพราะว่าผลที่แสดงถึงการกระทำพฤติกรรมนั้นจะพิจารณาว่า พฤติกรรมนั้น สามารถทำได้ตามการตัดสินความสามารถของตนเองหรือไม่ นั่นคือจะกระโดดได้สูงถึง 6 ฟุตหรือไม่ ซึ่งการจะกระโดดได้สูงถึง 6 ฟุตหรือไม่นั้น มิใช่เป็นการคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมุ่งที่ผลกรรมที่จะได้จากการกระทำพฤติกรรมดังกล่าว
การรับรู้ความสามารถของตนเอง และความคาดหวังผลที่จะเกิดขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กันมาก โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองนี้มีผลต่อการตัดสินใจ ที่จะกระทำพฤติกรรมของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งจะเห็นได้จากภาพ
ความคาดหวังเกี่ยวกับผลที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวแน่นอน แต่ถ้ามีเพียงด้านใดสูงหรือต่ำ บุคคลนั้นมีแนวโน้มจะไม่แสดงพฤติกรรม
ภาพ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเอง และความคาด หวังผลที่จะเกิดขึ้น (จาก Bandura, 1978)
ในการพัฒนาการรับรู้ความสามารถของตนเองนั้น Bandura เสนอว่ามีอยู่ด้วยกัน 4 วิธี คือ (Evans, 1989)
1. ประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จ (Mastery Experiences) ซึ่ง Bandura เชื่อว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการพัฒนาการรับรู้ความสามารถของตนเอง เนื่องจากว่า เป็นประสบการณ์โดยตรง ความสำเร็จทำให้เพิ่มความสามารถของตนเอง บุคคลจะเชื่อว่าเขาสามารถที่จะทำได้ ดังนั้น ในการที่จะพัฒนาการรับรู้ความสามารถของตนเองนั้น จำเป็นที่จะต้องฝึกให้เขามีทักษะเพียงพอที่จะประสบความสำเร็จได้พร้อม ๆ กับการทำให้เขารับรู้ว่า เขามีความสามารถจะกระทำเช่นนั้น จะทำให้เขาใช้ทักษะที่ได้รับการฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด บุคคลที่รับรู้ว่าตนเองมีความสามารถนั้น จะไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แต่จะพยามทำงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ
2. โดยการใช้ตัวแบบ (Modeling) การที่ได้สังเกตตัวแบบแสดงพฤติกรรมที่มีความซับซ้อน และได้รับผลกรรมที่พึงพอใจ ก็จะทำให้ผู้ที่สังเกตฝึกความรู้สึกว่าเขาก็จะสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ถ้าเขาพยายามจริงและไม่ย่อท้อ ลักษณะของการใช้ตัวแบบที่ส่งผลต่อความรู้สึกว่าเขามีความสามารถที่จะทำได้นั้น ได้แก่ การแก้ปัญหาของบุคคลที่มีความกลัวต่อสิ่งต่าง ๆ โดยที่ให้ดูตัวแบบที่มีลักษณะคล้ายกับตนเองก็สามารถทำให้ลดความกลัวต่าง ๆ เหล่านั้นได้ (Kazdin, 1974)
3. การใช้คำพูดชักจูง (Verbal Persuation) เป็นการบอกว่า บุคคลนั้นมีความสามารถ ที่จะประสบความสำเร็จได้ วิธีการดังกล่าวนั้นค่อนข้างใช้ง่ายและใช้กันทั่วไปซึ่ง Bandura ได้กล่าวว่า การใช้คำพูดชักจูงนั้นไม่ค่อยจะได้ผลนัก ในการที่จะทำให้คนเราสามารถที่พัฒนาการรับรู้ความสามารถของตนเอง (Evans, 1989) ซึ่งถ้าจะให้ได้ผล ควรจะใช้ร่วมกับการทำให้บุคคลมีประสบการณ์ของความสำเร็จ ซึ่งอาจจะต้องค่อย ๆ สร้างความสามารถให้กับบุคคลอย่างค่อยเป็นค่อยไปและให้เกิดความสำเร็จตามลำดับขั้นตอน พร้อมทั้งการใช้คำพูดชักจูงร่วมกัน ก็ย่อมที่จะได้ผลดีในการพัฒนาการรับรู้ความสามารถของตน
4. การกระตุ้นทางอารมณ์ (Emotional Arousal) การกระตุ้นทางอารมณ์มีผลต่อการรับรู้ความสามารถของตนเองในสภาพที่ถูกขมขู่ ในการตัดสินถึงความวิตกกังวล และความเครียดของคนเรานั้นบางส่วน จะขึ้นอยู่กับการกระตุ้นทางสรีระ การกระตุ้นที่รุนแรงทำให้การกระทำไม่ค่อยได้ผลดี บุคคลจะคาดหวังความสำเร็จ เมื่อเขาไม่ได้อยู่ในสภาพการณ์ที่กระตุ้นด้วย สิ่งที่ไม่พึงพอใจ ความกลัวก็จะกระตุ้นให้เกิดความกลัวมากขึ้น บุคคลก็จะเกิดประสบการณ์ของความล้มเหลว อันจะทำให้การรับรู้เกี่ยวกับ ความสามารถของตนต่ำลง
Self Image
·
เทคนิคการสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) ให้ประทับใจ
อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
(p_arporn11@hotmail.com)
คุณเข้าใจคำว่าภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) มากน้อยแค่ไหน และคุณคิดว่าภาพลักษณ์ของตนเองมีความสำคัญบ้างหรือไม่ ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่าภาพลักษณ์กันก่อนดีกว่า
ภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) หมายถึง บุคลิกลักษณะ ความสามารถหรือสิ่งที่คุณเป็นและแสดงออกมา ซึ่งจะส่งผลต่อการรับรู้ของผู้พบเห็นเกี่ยวกับลักษณะ บุคลิกภาพ และศักยภาพของตัวคุณ
ภาพลักษณ์ของตนเองสำคัญไฉน…หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าภาพลักษณ์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญมาก จนทำให้ไม่ใส่ใจและไม่ดูแลตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองหรือคิดอย่างไร คุณรู้ไหมว่าภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีจะส่งผลต่อการติดต่อประสานงาน การขอความร่วมมือและความช่วยเหลือต่าง ๆ จากบุคคลอื่น การที่คุณมีภาพลักษณ์และการแสดงออกที่ดี จะเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้ผู้ที่พบเห็น หรือคนที่ติดต่อด้วยอยากเข้าใกล้ อยากให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือกับคุณเอง ในที่สุดจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานที่คุณได้รับการยอมรับ การสนับสนุน ความร่วมมือช่วยเหลือจากทั้งลูกค้า หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และคนรอบข้างของตัวคุณเอง
ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ของตัวคุณจึงเป็นที่สิ่งสำคัญ แบบว่าภาพลักษณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ทั้งนี้การทำให้ภาพลักษณ์ของตนเองดูดีและเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นนั้นไม่ยาก หากคุณคิดจะปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คุณมีบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ที่ดี ดังต่อไปนี้
การจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า
คนทำงานหลายคนอ้างว่าไม่มีเวลาที่จะใส่ใจต่อการจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า คุณเชื่อไหมว่าบางคนเดินเข้ามาทำงาน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าดูเหมือนไม่ได้รีด ใบหน้าดูมอมแมมหรือไม่ชวนมอง ภาพที่พบเห็นเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่น่าดูและไม่มีเสน่ห์ชวนให้อยากพูดคุยหรือช่วยเหลือเอาซะเลย ดังนั้นขอให้คุณเริ่มเอาใจใส่กับเรื่องเหล่านี้ โดยการจัดแต่งทรงผมให้ดูเหมาะสม การสวมเสื้อผ้าที่สะอาดและถูกกาลเทศะ รวมทั้งการดูแลใบหน้าให้สดใส ถ้าเป็นผู้หญิงอาจแต่งหน้าให้ดูสวยงาม แต่ถ้าเป็นผู้ชายควรโกนหนวดเคราให้เรียบร้อยแลดูสะอาดอยู่เสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นภาพลักษณ์ภายนอกของคุณที่จะทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความประทับใจและอยากเข้ามาพูดคุย หรือติดต่อสมาคมด้วย
การเดิน การนั่ง และการยืน
ท่วงท่าในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืนเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อบุคลิกภาพที่คนอื่นมองคุณเอง ขอให้คุณสำรวจว่าคุณมีท่าเดิน ท่านั่ง และท่ายืนอย่างไร คุณไม่ควรเร่งรีบเดิน หรือเดินแบบปลงชีวิต หรือเดินแบบห่อตัว รวมทั้งยืนและนั่งหลังค่อมหรือเชิดหน้าจนเกินไป ดิฉันขอเสนอแนะว่าคุณควรจะมีท่าเดิน นั่งและยืนให้สง่า หลังตรง เวลาเดินให้แขนแกว่งไปมาอย่างพอเหมาะ คุณเชื่อไหมว่าท่วงท่าที่แสดงออกมาไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืนสามารถบ่งบอกถึงบารมีหรือตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณได้
การใช้น้ำเสียง และคำพูด
เสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้คุณเป็นคนน่าคบหาก็คือ การพูด พบว่าคำพูดสามารถทำให้เปลี่ยนจากมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนจากศัตรูไปเป็นมิตรได้ ดังนั้นคุณควรจะใช้คำพูดที่ไพเราะ สุภาพ ถูกกาลเทศะ คุณไม่ควรใช้คำพูดที่ก้าวร้าวหรือดูถูกผู้อื่น รวมทั้งการใช้น้ำเสียงและจังหวะในการพูดสื่อสารกับคนอื่น ควรมีจังหวะจะโคนเพื่อจูงใจและเชิญชวนให้ผู้ฟังสนใจและมีความคิด ความรู้สึกคล้อยตามในสิ่งที่พูด ขอให้คุณตระหนักไว้เสมอว่า คำพูดที่คุณพูดอย่างสุภาพ ไพเราะ และถูกต้องตามกาลเทศะนั้นจะทำให้คุณเองมีเสน่ห์ชวนพูดคุยด้วย ทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเป็นกันเองและเป็นมิตรด้วย นอกจากนี้คำพูดและน้ำเสียงยังสามารถทำนายถึงนิสัยคุณได้อีกด้วย เช่น คนที่พูดเร็ว จะมีนิสัยใจร้อน รีบเร่งทำงานให้เสร็จ ส่วนคนที่พูดช้า แบบค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดนั้น จะเป็นคนที่คิดและทำอะไรช้าตามไปด้วย
คุณลักษณะส่วนบุคคล
คุณลักษณะส่วนบุคคล หรือ Personal Attribute เป็นทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ หรือแรงจูงใจที่มีอยู่ภายในตัวคุณเองซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมีและถูกปลูกผังจนติดเป็นนิสัย คุณลักษณะส่วนบุคคลจึงจัดได้ว่าเป็นภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองตัวคุณอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดีจะทำให้คนอื่นอยากเข้าใกล้ อยากคบหาและพูดคุยด้วย คุณลักษณะส่วนบุคคลที่สำคัญและขอนำเสนอ ได้แก่
* การควบคุมอารมณ์และความเครียด การแสดงกิริยา คำพูด แลพฤติกรรมอย่างเหมาะสมเมื่อคุณเผชิญกับสภาวะความเครียดและปัญหาที่รุมเร้าคุณอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้คุณมีจิตใจที่สงบ มีสติรู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใด
* การมองโลกในแง่ดี เป็นการคิด ทำ และพูดแต่สิ่งดี ๆ และสร้างสรรค์กับตนเอง และผู้อื่น ไม่มองตนเองและคนอื่นในแง่ไม่ดี มีความมั่นใจและศรัทธาในตนเองและผู้อื่นอย่างจริงใจ คนที่มองโลกในแง่ดีจะทำให้มีเสน่ห์ชวนอยู่ใกล้ด้วย เนื่องจากเวลาที่พูดคุยด้วยแล้วจะรู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีหวัง
The Six Pillars of Self Esteem
·
การสร้างพลังความเชื่อมั่นให้กับชีวิต
The Six Pillars of Self Esteem บทความที่นำเสนอคือ The Six Pillars of Self Esteem แต่งโดย Nathaniel Brandon ว่าด้วยเรื่องการสร้างความนับถือตนเองหรือ Self esteem ซึ่งจะแตกต่างกับคำว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง หรือ Self confidence ตรงที่ว่า ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นเรื่องของความกล้าที่จะตัดสินใจในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต แต่ Self esteem หรือความนับถือในตนเองนั้นคือความเชื่อว่าตนเองมีความสามารถที่จะเผชิญโลกได้ในทุกสถานการณ์ และรู้ซึ้งดีว่าตนเองนั้นมีคุณค่าและเป็นคนดี มีความมั่นคงภายในจิตใจ โดยชาวตะวันตกมีสมมติฐานที่ว่า หากคนเราขาดความนับถือตนเอง หรือ Self esteem แล้วนั้น จะทำให้
- ยากที่จะมีความสุขเพราะจะเป็นคนจับจดทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
- ยากที่จะเป็นคนดีเพราะเมื่อไม่สามารถเคารพตนเองได้ก็ยากที่จะเคารพผู้อื่นเช่นกัน
- ยากที่จะประสบความสำเร็จเพราะเมื่อไม่มีจุดยืนในตนเอง จึงไม่สามารถแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใด ๆ ออกมาได้โดยไม่หวั่นไหวต่อเสียงวิพากวิจารณ์จากคนรอบข้าง
คนที่ขาด Self esteem จะมีบุคลิกลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) เป็นคนจับจด ทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ มักล้มเลิกกลางครัน เพราะคิดอยู่เสมอว่าตนเองคงจะทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดีเพราะไม่มีความสามารถเพียงพอ
2) แคร์คนอื่นอยู่ตลอดเวลา เช่นกลัวว่าเพื่อนจะไม่ชอบเรา กลัวว่าแฟนจะทิ้ง กลัวครูจะว่า กลัวเพื่อนร่วมงานจะเกลียด เป็นต้น เพราะเนื่องจากไม่เคยคิดว่าตนเองนั้นมีความสำคัญ จึงหวาดกลัวว่าจะถูกทิ้งอยู่ร่ำไป
3) ชอบปรุงแต่งคิดว่าคนรอบข้างมองตนเองในแง่ลบตลอดเวลา เช่นเมื่อได้ยินผู้อื่นกล่าวพาดพิงถึงตนเองก็คิดว่าต้องเป็นเรื่องตำหนิติเตียนอย่างแน่นอน เป็นต้น
สาเหตุของการขาดความนับถือในตนเองหรือ Self esteem
1. การได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่และครูบาอาจารย์ที่คอยดุด่าว่ากล่าวอยู่ตลอดเวลา และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของลูกหรือลูกศิษย์เลย ไม่เคยให้อิสระทางความคิดใด ๆ เพราะคิดว่าการชื่นชมจนเกินไปจะทำให้เหลิง แต่ในความเป็นจริงการชื่นชมอย่างมีเหตุผลจะเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจ และสร้างความนับถือในตนเองให้แก่เด็กได้อย่างดีเยี่ยม แต่ในกรณีที่ลูกหลานเกกมะเหรกเกเร การไม่ดุด่าว่ากล่าวย่อมเป็นการให้ท้ายเด็ก ยิ่งทำให้เสียคนเข้าไปใหญ่ ทั้งนี้ทั้งนั้นการว่ากล่าวตักเตือนควรทำอย่างมีเหตุผลมาอ้างอิง ตำหนิเพราะอะไร และต้องชี้ให้เห็นว่าหากทำเช่นนี้แล้วจะส่งผลอย่างไรในอนาคต เด็กจะรู้จักคิดเองและเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์เข้าตัดสินปัญหา
2. วัฒนธรรมการใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งที่กำหนด Self esteem เช่นวัฒนธรรมตะวันออกจะสอนให้มีความสำรวมทั้งกิริยาและการแสดงออกทางอารมณ์ ทำให้มี Self esteem ต่ำไปโดยปริยาย ยกตัวอย่างเช่นคนญี่ปุ่นมีความเชื่อที่ว่าคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์เพียงพอต้องสามารถเก็บงำความรู้สึกไว้ภายใต้สีหน้าอันเรียบเฉยได้ เป็นต้น ซึ่งทำให้เป็นคนเก็บกดและเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา
คนที่มี Self esteem จะมีบุคลิกลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) มีดวงตาเป็นประกาย หน้าตาเบิกบาน แจ่มใส สีหน้าไม่ตึงเครียด สงบ มีชีวิตชีวา เปล่งปลั่ง
2) เวลาพูดและเดิน คางจะไม่ตก
3) เวลาพูดสามารถสบตากับฝ่ายตรงข้ามได้ ไม่หลบสายตา
4) เดินอย่างมีจุดมุ่งหมาย รู้ว่าตนเองกำลังจะเดินไปไหน
5) มีสติในการพูด รู้ว่าตนเองกำลังจะพูดอะไร เพื่ออะไร โดยไม่ต้องมีการพูดออกตัวหรือกล่าวคำขอโทษก่อนที่จะพูดอยู่ตลอดเวลา
The Six Pillars of Self Esteem
·
Self esteem จะเป็นเสมือน Software ที่ติดตั้งอยู่แล้วในแต่ละบุคคล ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่าคน ๆ นั้นจะสามารถประสบความสำเร็จได้หรือไม่ เพราะคนที่มี Self esteem ต่ำคือคนที่คิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เพราะคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ล้มเหลวสมความปรารถนา แต่ในขณะเดียวกันคนที่มี Self esteem สูงจะเป็นคนรู้ดีว่าตนเองนั้นเป็นคนดี มีคุณค่า เป็นที่รักของคนอื่น เป็นคนมีความสามารถ พร้อมที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองอยู่ตลอดเวลา และสามารถฝ่าฟันปัญหาชีวิตได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เหล่านี้เป็นเสมือนตัวที่คอยเตือนสติและให้กำลังใจตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ประสบความสำเร็จ และมีความสุขได้อย่างไม่ยากเย็นนัก Self esteem เป็นสิ่งที่สามารถสร้างเองได้ โดยผู้แต่งได้เสนอ
วิธีการสร้าง Self esteem ไว้ 6 ประการ ดังนี้
1. การใช้ชีวิตอย่างมีสติ (Living Consciousness)
ในที่นี้คือการค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ และค่อย ๆ แก้ปัญหา เมื่อเจอปัญหาทุกครั้งให้ใช้สติและปัญญาแก้ไขปัญหาอย่างใจเย็น เพราะคนเราจะรู้สึกนับถือตนเองได้นั้น ต้องเกิดจากการสามารถเอาชนะอุปสรรคในชีวิตได้ เมื่อทำได้จะเกิดกำลังใจ เกิดพลัง เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ดังนั้น ก่อนลงมือทำสิ่งใดต้องมีสติ ต้องพยายามทำอย่างสุดความสามารถ และทำให้ถึงที่สุดอย่าล้มเลิกกลางครัน คนที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ ครั้ง แม้ว่าจะเจออุปสรรคหรือล้มเหลวบ้างก็จะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะส่วนใหญ่ก็มักจะสำเร็จทั้งนั้น ผิดกับคนที่ล้มเหลวมาตลอดซึ่งเดิมก็ขาดกำลังใจในเผชิญอุปสรรคอยู่แล้วกอปรกับการล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จิตใจก็ยิ่งห่อเหี่ยวเพิ่มเป็นทวีคูณ นอกจากนั้น ผู้แต่งได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการจะมีสติได้นั้นต้องสังเกตความคิดและความรู้สึกของตนเองอยู่ตลอดเวลาว่า เราเป็นคนที่มีความคิดมีทัศนคติอย่างไรบ้างในทุก ๆ สถานการณ์ เมื่อรู้จักตนเองดีพอ จึงจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองได้ เพราะปัจจัยอีกประการหนึ่งที่สามารถสร้างความนับถือในตนเองได้ก็คือเมื่อทำผิดแล้วสามารถแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองได้ด้วย
2. การยอมรับตนเอง(Self Acceptance)
ในที่นี้คือ การยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อบกพร่องของตนเอง สิ่งไหนที่แก้ได้ก็แก้ไขเสีย สิ่งใดแก้ไขไม่ได้ให้รู้จักยอมรับความเป็นจริง เพราะหากมัวแต่ง่วนคิดเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลาจะทำให้จิตไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน การทำงานก็เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อถูกตำหนิก็เป็นกังวล เกิดเป็นปมด้อยวกวนเป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุดเป็นวงจรอุบาทว์ และหากตนเองยังยอมรับจุดอ่อนของตัวเองไม่ได้เมื่อมีคนอื่นมาแตะจุดอ่อน ก็จะรู้สึกไม่พอใจ อึดอัด พาลใส่อารมณืกับคนรอบข้าง หาความสุขไม่ได้ สิ่งเหล่านี้แก้ไขได้โดยการยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เหรียญย่อมมีสองด้านมีดีก็ย่อมมีเสีย หากยอมรับได้จิตจะนิ่ง จึงจะมีความสุขและทำสิ่งใดล้วนประสบแต่ความสำเร็จ
3. การมีความรับผิดชอบต่อตนเอง (Self Responsibility)
คือการยอมรับได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เราเลือกเอง รับผิดชอบเอง และเมื่อเกิดอุปสรรคและความล้มเหลวก็ไม่โทษคนอื่น ไม่โทษโชคชะตา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากการมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรและสิ่งที่จะตามมานั้นคืออะไร คนที่โทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์หรือความล้มเหลวของตนเองจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพราะคิดอยู่เสมอ ว่าเป็นความผิดของผู้อื่นจึงไม่สามารแก้ไขได้ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการฝากชีวิตไว้ในกำมือของผู้อื่น
4. การมีความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต (Self Assertiveness)
คือการสามารถเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำได้ (Take Action) ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแนวโน้มพื้นฐานของมนุษย์คือมนุษย์รักความสบาย ไม่ชอบความยากลำบาก และชอบอยู่เฉย ๆ ซึ่งก็คือการผัดวันประกันพรุ่งนั่นเอง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความสุขชั่วครู่เพราะสิ่งที่ตามมาคือความเป็นจริง ซึ่งจะนำมาซึ่งความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะยังมีงานอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ วิธีการป้องกันการผัดวันประกันพรุ่งคือลองคิดถึงผลที่ตามมาเมื่อนั้นแล้วจิตจะกลับไปสู่ความเป็นจริงและลงมือกระทำเอง และต้องมีการปลูกฉันทะคือการสร้างภาพว่าหากเราประสบความสำเร็จ จะมีสิ่งดี ๆ งาม ๆ อะไรบ้างรอเราอยู่ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เรามีกำลังใจในการทำงานต่อไป
5. การใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย (Living Purposefully)
ในที่นี้คือการวางเป้าหมายให้ทัดเทียมกับศักยภาพที่มีอยู่ การจะมองเห็นซึ่งศักยภาพได้ต้องมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองอย่างครบถ้วนเสียก่อน เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วบวกกับพรสวรรค์ ความเชี่ยวชาญและความชอบของตนเองจึงจะเรียกว่าศักยภาพที่แท้จริง ต่อมาคือขั้นตอนในการใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายคือวิธีการที่จะทำให้ถึงซึ่งจุดมุ่งหมายที่หวังไว้ และที่สำคัญเมื่อลงมือกระทำไปแล้วจะต้องมีการประเมินอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่กระทำอยู่นั้นสอดคล้องกับเป้าหมายหรือไม่ เพื่อปรับวิธีการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา
6. การมีศักดิ์ศรีในตนเอง (Personal Integrity)
ในทีนี้คือการสามารถปฏิบัติตามความเชื่อ คุณธรรม หรือหลักการที่ตนเองเชื่อมั่นได้ ซึ่งก็คือการมีปากกับใจตรงกันนั่นเอง การทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นนั้น จะเป็นตัวบ่อนทำลายความนับถือในตนเอง เช่น เราเป็นคนที่ไม่ชอบการโกหก แต่เมื่อเป็นผลประโยชน์ของตนเองกลับยอมโกหกได้นั้น เป็นต้น เหล่านี้เป็นการทำลายความนับถือตนเองโดยไม่รู้ตัว และในทางกลับกันถ้าสามารถทำตามคุณธรรมดังกล่าวได้จะทำให้เรามีความเชื่อมั่นในการที่จะทำความดีต่อไป และจะรู้สึกภูมิใจในตนเอง รู้จักรักตนเอง เมื่อนั้นแล้วจึงจะรักผู้อื่นเป็น ความสุขจึงบังเกิดขึ้น การเป็นคนมีคุณธรรมนั้นสามารถอยู่ได้ทุกสถานการณ์ ถึงแม้เหตุการณ์ภายนอกจะเลวร้ายเพียงใด จะโดนว่ากล่าวเสียดสีอย่างไรก็ไม่เป็นผล จะไม่มีสิ่งใดมากระทบกระเทือนได้เพราะรู้จักตนเองดีพอ รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ และทำไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคือรู้ว่าตนเองเป็นคนดี ก่อให้เกิดความมั่นใจจากภายในอยู่ตลอดเวลา
วิธีการเลี้ยงดูบุตรหลานและวิธีการทำให้คนรอบข้าง มี Self esteem ทำได้ ดังนี้
1) ในกรณีที่เป็นพ่อแม่ต้องให้โอกาสลูกในการใช้เหตุผลในการเลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง กรณีคนรอบข้างเราต้องให้อีกฝ่ายรู้จักคิดและแสดงความเห็น และเราเป็นผู้ฟังที่ดี แต่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องมีเหตุผลในการอธิบาย
2) เวลาวิพากษ์วิจารณ์ หรือดุด่าว่ากล่าวควรมีเหตุผลอธิบายทุกครั้ง ไมใช่ทำตามอารมณ์ และควรจะเฉพาะเจาะจงว่าเป็นเรื่องใด เรื่องเก่าที่เคยทำผิดไม่ต้องขุดมาว่าซ้ำเพราะจะเป็นการทำลาย self esteem ของฝ่ายตรงข้ามได้
วิธีการบริหารลูกน้อง ให้มี Self esteem
1) มองลูกน้องในแง่ดี ไม่ดูถูกความสามารถของลูกน้อง ชื่นชมลูกน้องต่อหน้าผู้อื่น แต่ว่ากล่าวตักเตือนเป็นการส่วนตัว ไม่ประณามต่อหน้าสาธารณชน แต่หากจำเป็นต้องแจ้งให้ผู้อื่นทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่ควรทำเป็นเยี่ยงอย่างให้เรียกประชุมทั้งหมดและแจ้งให้ทราบโดยไม่ต้องเอ่ยชื่อว่า ใครเป็นผู้กระทำผิด
2) มอบหมายงานที่สำคัญ ๆ ให้ลูกน้องทำบ้าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และที่สำคัญคือต้องให้อำนาจในการตัดสินใจและบอกจุดประสงค์ของงานดังกล่าวอย่างชัดเจนก่อนมอบหมายงาน
3) ในฐานะผู้บริหารต้องรู้จักขอความคิดเห็นจากลูกน้อง เพื่อที่ว่าเขาเหล่าจะรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ มีคุณค่า และเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จขององค์กร
การนับถือตนเอง (Self-esteem)
การนับถือตนเอง (Self-esteem) หมายถึง ความรู้สึก ความเชื่อที่บุคคลมีต่อตนเองว่ามีความสามารถมีคุณค่า ซึ่งจะมีระดับตั้งแต่ การนับถือตนเอง ต่ำไปจนถึง การนับถือตนเองสูง การที่บุคคลยอมรับตนเอง นับเป็นทักษะสำคัญในการที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเอง และการดำเนินชีวิต เพราะความสามารถในการรักษา สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ได้ดี มีผลมาจาก การที่บุคคลยอมรับ หรือปฏิเสธตนเอง และจะเป็นสิ่งที่ใช้ทำนายสัมพันธภาพ ที่บุคคลอื่นมีต่อเราได้เช่นกัน ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ จะเป็นผลมาจาก การพัฒนาการนับถือตนเองของบุคคลนั่นเอง จากงานวิจัย (Harris : 1990) พบว่าคนที่มีระดับการนับถือตนเองต่ำ (Low self-esteem) จะมีปัญหาด้านอารมณ์มากกว่า คนที่มีการนับถือตนเองสูง (High self-esteem) และการนับถือตนเอง จะเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อบุคคลเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลอื่น และบางครั้งบุคคลที่นับถือตนเองต่ำ จะแสดงจุดเด่นเฉพาะบางอย่าง เช่น (การแต่งกาย, การแสดงความคิดเห็น, การเล่นกีฬา) เพื่อเป็นการชดเชย แต่บุคคลเหล่านี้ก็ไม่สามารถลดความรู้สึกพร่องใน การนับถือตนเอง หรือความภาคภูมิใจในตนเอง แม้จะพยายามสร้างจุดเด่นให้ตนเองแล้วก็ตาม แต่ในทางกลับกัน บุคคลที่มีการนับถือตนเองสูง (High self-esteem) จะสามารถมีความสุขและพึงพอใจในชีวิต เพราะเขาจะมีแรงจูงใจใน การดำเนินชีวิต ให้ประสบความสำเร็จ ที่มีผลมาจาก ความปรารถนาที่จะทำให้เป้าหมายในชีวิตหรือการทำงานบรรลุผล ไม่ใช่จากแรงจูงใจที่จะชดเชยความ รู้สึกที่ตนเอง ไม่ภาคภูมิใจในตนเอง
1 การนับถือตนเองเกิดขึ้นได้อย่างไร (Origin of Self-esteem)
ปัจจัยที่มีผลในการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลที่สำคัญ ๆ ส่วนใหญ่จะเริ่มหรือตั้งต้นจากวัยเด็กตอนต้น Carl Roger (1902-1987) นักจิตวิทยามนุษยนิยมได้อธิบายว่า การนับถือตนเองพัฒนามาจากวัยเด็ก และเกิดจากปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่ บุคคลรอบข้างที่เด็กได้มี ปฏิสัมพันธ์ ด้วยให้การยอมรับและมีปฏิสัมพันธ์ หรือ ปฏิกิริยาตอบสนองต่อเด็กอย่างไร เด็กก็จะพัฒนาปฏิสัมพันธ์ในทิศทางที่ผู้ใหญ่มีต่อเขา พ่อแม่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดในการพัฒนาการนับถือตนเองในวัยเด็กตอนต้น ครั้นเมื่อพัฒนามาถึง วัยเด็กตอนปลายและวัยรุ่น ก็จะได้รับอิทธิพลจากครู, เพื่อนและบุคคลอื่น ๆ ที่เขามีปฏิสัมพันธ์ด้วยว่าจะมีทิศทางในการตอบสนองใน ลักษณะสร้างสรรค์หรือทำลายความรู้สึกที่เขามีต่อตัวเอง (Denis Waitley : 1993)
เมื่อพ่อแม่หรือบุคคล ที่มีความสำคัญในชีวิต แสดงให้บุคคลรู้ว่าเขาได้รับการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข คือยอมรับได้ในทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นอย่างไร บุคคลก็จะพัฒนา การนับถือตนเอง มากขึ้น ยกตัวอย่างคำพูดที่ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขได้แก่ “ เอก แม่อยากให้ลูกรู้ว่าแม่รักและภูมิใจในตัวลูกมาก แต่การที่ลูกไปแกล้งเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนนั้นมันเป็นสิ่งแม่ไม่นิยม”
ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองแสดงให้เห็นว่าสามารถยอมรับเด็กต่อเมื่อ เด็กเป็นหรือทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการ เด็กจะพัฒนาการนับถือตนเองได้ไม่ดีนัก เพราะเด็กไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ต้องการให้ทำอะไรหรือต้องการอะไรจากเขา และท้ายที่สุดเขาก็จะรู้สึกว่าเป็นเด็กไม่ดี เพราะไม่สามารถทำตามที่ผู้ใหญ่อยากให้ทำได้ เด็กจะยิ่งสับสนถ้าผู้ใหญ่มีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้นพ่อแม่ไม่ควรตอกย้ำ ความรู้สึกของเด็กโดยเอาเด็กไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือความรู้สึกที่ว่าเด็กยังไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น เพราะเด็กจะเปรียบเทียบ ตนเองกับเด็กคนอื่นแล้วด้อยกว่าก็จะรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองลดลง
ภาพการเกิด Self-esteem
Carl Roger เชื่อว่า Self-esteem จะพัฒนาในเด็กขึ้นอยู่กับ การยอมรับของพ่อแม่ผู้ปกครอง
พ่อแม่ ให้การยอมรับเด็ก โดยปราศจากเงื่อนไข ==>>> การนับถือตนเองสูง
พ่อแม่ ให้การยอมรับเด็ก แบบมีเงื่อนไข ==>>> การนับถือตนเองต่ำ
2. ประเภทการนับถือตนเอง (Self-esteem)
จากการศึกษาที่ผ่านมาได้อธิบายการนับถือตนเองออกเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ความรู้สึกดี-ไม่ดี, บวกหรือลบเกี่ยวกับคุณค่าในตนเอง
ประเภทที่ 2 ความเชื่อในความสามารถของตนเองที่จะจัดการปัญหาได้ ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า Self-efficacy
ประเภทที่ 1 นับเป็นความรู้สึกต่อตนเองเมื่ออยู่คนเดียว ส่วนประเภทที่ 2 จะเกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหาที่ต้องแก้ไขและต้องใช้ความสามารถในการทำงานเฉพาะอย่างให้สำเร็จ ซึ่งแต่ละประเภทอาจจะสูงหรือต่ำกว่าอีกประเภทหนึ่งในบุคคลคนเดียวกันได้
3. การนับถือตนเองกับการทำงาน
ปัจจัยที่สำคัญที่บ่งบอกถึงความสำเร็จและความล้มเหลวของบุคคลคือการนับถือตนเอง (Karen : 1993) ศึกษาพบว่าคนที่มีการนับถือตนเองต่ำจะวิตกกังวลซึมเศร้า, ไม่มีเหตุผล, ก้าวร้าว และรู้สึกแปลกแยก ซึ่งจะทำให้มีปัญหาในการปฏิบัติงาน ไม่มีความสุขในการทำงาน การนับถือตนเองต่ำ มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในงานต่ำ และสัมพันธ์กับการว่างงานด้วย คนที่มีระดับการนับถือตนเองสูง (High self-esteem) จะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ มีการปรับตัวได้ดีเมื่อต้องประสบปัญหา เพราะไม่กลัวว่าความคิดหรือความสามารถของตน จะไม่ได้รับการยอมรับ และพร้อมที่จะรับฟังข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) จากผู้อื่นและมีความพึงพอใจในงานสูงและได้งานทำมากกว่าคนที่นับถือตนเองต่ำ
Self Esteem
·
คำนี้ยังไม่มีคำแปลสำหรับภาษาไทย หรืออาจจะมีแต่ผู้เขียนไม่ทราบ นักการศึกษา ผู้ปกครอง นักธุรกิจ ตลอดจนรัฐบาล กำลังมุ่งสร้าง ประชาชนให้มี self-esteemสูง ซึ่งหมายถึง บุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง มีความซื่อสัตย์ มีความภูมิใจในผลสำเร็จ ของงาน บุคคลซึ่งมีความคิดริเริ่ม และมีความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปัญหา และรับผิดชอบปัญหา ที่จะเกิดตามมา เป็นคนที่คนอื่นรักและรักคนอื่น เป็นบุคคลที่สามารถควบคุมตัวเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงาน โดยสรุปแล้วคนที่มี self-esteem สูง จะหมายถึงคนที่มีความคิด สร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบสูง และซื่อสัตย์
ตรงกันข้ามกับคนที่มี self-esteem ต่ำหรือพฤติกรรมป้องกัน (defensive) คนกลุ่มนี้มักจะต้องการ พิสูจญ์ตัวเอง หรือวิจารณ์คนอื่น ใช้คนอื่น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง บางคนอาจจะหยิ่ง หรือดูถูกผู้อื่น มักจะไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มั่นใจว่าตัวเอง จะมีคุณค่า หรือความสามารถ หรือการยอมรับ ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่กล้าที่จะทำอะไร เนื่องจากกลัว ความล้มเหลว คนกลุ่มนี้มักจะวิจารณ์คนอื่น มากกว่าที่จะกระทำ ด้วยตัวเอง และยังพบอีกว่า คนกลุ่มนี้มักจะ ชอบความรุนแรง ติดสุรา ยาเสพติด มีเพศสัมพันธุ์ก่อนวัย
คนที่มี self-esteem จะต้องมีความสมดุลของความต้องการผลสำเร็จ หรืออำนาจ และความรู้จักคุณค่า ความมีเกียรติ และความซื่อสัตย์ ซึ่งอาจจะหมายถึง จิตใต้สำนึก และพฤติกรรมนั่นเอง จิตใต้สำนึกของคนที่มี self-esteem จะต้องรู้จักบาป บุญคุณโทษ รู้สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ความสื่อสัตย์ ความมีเกียรติ ส่วนพฤติกรรมของ self-esteem มีความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหา เชื่อมั่นในความคิด และความสามารถ ของตัวเอง สามารถเลือกวิธีการตัดสินใจที่ถูกต้อง หากสูญเสียความสมดุลก็จะทำให้เกิดปัญหา เช่น หากจิตใต้สำนึกไม่แข็งแรง หรือสมบูรณ์พอ ก็จะทำให้คนเกิด พฤติกรรมเชื่อมั่นตัวเอง มากเกินไป หยิ่งยโส ดูถูกคนอื่น หากแต่มีแต่จิตใต้สำนึกที่ดี แต่ไม่มีความมุ่งมั่น ที่จะ ประสบผลสำเร็จชีวิต ก็อาจจะไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นบุคคลที่ชอบพูดถึงแต่ตัวเอง อวดดี ดูถูกคนอื่น คนพาล ชอบเอาเปรียบคนอื่น คนที่กล่าวโทษคนอื่นไม่ถือว่า มี self-esteem
Self-esteem ประกอบด้วย ความตระหนักถึงคุณค่าตนเอง (Self-respect) และ ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง(Self-efficacy) จนกลายเป็น ภาพแห่งตน (Self-image)
คนที่มี self-esteem มักจะประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
1. มองโลกในแง่ดีเสมอ มองวิกฤตให้เป็นโอกาส เมื่อมีมืดต้องมีสว่าง มีร้ายต้องมีดี ขาวคู่กับดำ
2. ประเมินตัวเราให้มีคุณค่าอยู่เสมอ
3. เชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง
4. มองว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเราสามารถเปลี่ยนแปลงตามที่เราต้องการ
ผู้ที่ไม่รู้คุณค่าตัวเองไม่มีความมั่นใจจะไม่มีความหวัง ไม่มีพลังในการต่อสู้ในที่สุดจะเป็นคนที่ซึมเศร้า
การสร้างความมั่นใจในตัวเอง self-esteem
ความเชื่อมั่นตนเองและรู้คุณค่าตัวเองเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต ลำพังความคิดอย่างเดียวไม่สามารถสร้างความมั่นใจในตัวเองได้ ความมั่นใจจะเริ่มสร้างตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเราตาย ความมั่นใจจะกระทบต่อการตัดสินใจดังนั้นทุกคนความสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างของความมั่นใจเช่นหากคนจะเปลี่ยนอาชีพเขาจะต้องมั่นใจในตัวเองหรือมีคนอื่นเห็นถึงความสามารถของเขาที่จะทำให้ให้สำเร็จ เมื่อมีความผิดหวังหรือความเครียดความมั่นใจหรือเชื่อมั่นในตัวเองจะช่วยให้แก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านไปด้วยดี
· ครอบครัวซึ่งมีความมั่นใจหรือเชื่อมั่นในตัวเองสูงความมั่นใจของลูกก็จะสูง
· การพัฒนาความมั่นใจของเด็กจะเกิดขึ้นได้เมื่อเด็กได้เล่นกับเพื่อน
· ผู้ที่มีความมั่นใจสูงมักจะไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ดื่มสุราหรือติดยาเสพติด
· เด็กหญิงวัยรุ่นที่มีความมั่นใจสูงมักจะไม่ประพฤติผิดประเพณี
· ความมั่นใจเป็นลักษณะของแต่ละคนไม่สามารถที่จะให้กันได้แต่สามารถฝึกฝนได้
ในสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ คนที่มีความมั่นใจและมีความสามารถในการตัดสินใจ ความคิดริเริ่มใหม่ๆการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่น เพื่อให้เข้าใจเหมือนกัน คนเช่นนี้จึงจะอยู่รอดในสังคม
เรามาเสริมสร้าง self-esteem เพื่อที่จะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูง Peak Performance
· หาเวลาสักหนึ่งชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อพัฒนาตัวเอง อาจจะเป็นการนั่งสมาธิ หรือการพิจารณาตัวเอง หรือ่านหนังสือที่สร้างความเชื่อมั่น หรือฟังเทปคำสอนต่างๆ การเริ่มต้นที่ดีจะทำให้เกิดความมั่นในและประสบผลสำเร็จ
· มองปัญหาและมองโลกในแง่ดี เลิกบ่นสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเอง ลองหากระดาษสักแผ่นจดความคิดที่ดีๆเกี่ยวกับตัวเองไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งจดสิ่งที่ไม่ดีแล้วมาวิเคราะห์ ว่ามีสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ดีมากว่ากัน หานามบัตรจดสิ่งที่ดีหรือคำขวัญที่ดีไว้กระตุ้นเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
· ทำบ้านให้ปราศจากความวุ่นวาย ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือคุยกับเพื่อนที่สนิท
· หาวันละ 10 นาทีเพื่อพิจารณาจุดยืนของตัวเอง สิ่งที่สำคัญของชีวิตคืออะไร เราบรรลุหรือยัง เราเดินผิดแนวทางหรือไม่
· คนกับคนที่มองโลกในแง่ดีหรือคนที่มี self-esteem เพราะเพื่อนจะกระตุ้นให้เรามีความมั่นใจและความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามหากคบคนที่มองโลกในแง่ร้ายจะทำให้เรามองโลกในแง่ร้าย ความมั่นใจก็จะสูญเสียไปด้วยดังนั้นเลิกคบกับคนที่มองโลกแง่ร้าย
· ให้เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เพราะเราต้องยอมรับว่าคนเราไม่สมบูรณ์ 100%ทุกคน หากเราเปรียบเทียบกับคนอื่นจะทำให้เกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมากมาย
· ให้หาคนที่จะเป็นต้นแบบเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต
· ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และมุ่งสู่ความสำเร็จนั้น
· หาผู้ที่คอยช่วยเหลือด้านทักษะและทัศนะคติในการดำรงชีวิตหรือการงาน
· หากมีคนชมหรือกล่าวโทษให้กล่าวคำว่าขอบคุณ
· อย่าดูถูกตัวเองหรืออย่ามองว่าตัวเองไม่มีความสามารถ หากเราคอยตอกย้ำถึงจุดด้อยของเรา เราจะไม่มีทางประสบผลสำเร็จ
· ให้เพิ่มทักษะหรือคุณภาพชีวิตจากการทำงาน การอ่านหนังสือ หรือจากสื่ออื่นๆ
· ให้จดสิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวคุณ เช่นความซื่อสัตย์ ความคิดริเริ่ม ความมุ่งมั่น ความเอื้ออาธร เป็นต้น ให้อ่านสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ
· จดผลงานที่คุณชื่นชมหรือประสบผลสำเร็จสัก 10 อย่าง เช่นการศึกษา ผลการศึกษา การได้รับรางวัล การช่วยเหลือผู้อื่น
· จดคำขวัญไว้ในที่เห็นชัดและนำมาท่องเมื่อมีโอกาส เช่น ผมยอมรับความสามารถตัวเอง ผมเป็นคนลิขิตชะตาชีวิตของผมเอง หนูภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเอง
กระบวนการเรียนรู้ จากการเติบโตมากับ.
คำตำหนิ
ความเฉยเมย
ความอับอาย
ความกลัว
กำลังใจ
คำยกย่องชมเชย
การยอมรับนับถือ
ความรัก
ความมั่นคงปลอดภัย
ความสงบ
ผลลัพธ์นี้ เขาจะเป็นคนที่...
สงสัยตนเอง
รู้สึกไร้ค่า
รู้สึกผิด
วิตกกังวล
มีความเชื่อมั่น
เห็นคุณค่าของตนเอง
ยอมรับนับถือตนเอง
รักตนเองและผู้อื่น
รู้สึกว่าโลกนี้เป็นที่น่าอยู่
มีสันติสุขในจิตใจ
Self Esteem กับวิถีชีวิต
elf-Esteem กับ พฤติกรรมความสำเร็จ
Self-Esteem กับผู้อื่น
· แสดงความยอมรับนับถือต่อเขา
· ปฏิบัติต่อเขาด้วยเหตุผล เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ขึ้นๆลงๆ
· สร้างกฎระเบียบที่มีเหตุผลน่านับถือ และชัดเจน
· คาดหวังต่อเขาตามที่ความเหมาะสม ไม่มากไปหรือน้อยไป
· ไม่ทำให้เขาได้อับอาย หรือไปดูหมิ่นดูแคลนเขา
· ไม่ใช้อำนาจเข้าควบคุมอย่างไร้เหตุผล หรือมีเหตุผลแบบข้างๆ คูๆ
· เชื่อมั่นในความดีของเขาในด้านศักยภาพและความสามารถที่เขามี
· จงให้ความรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ว่าต้องทำอย่างซิจึงจะรัก
· เขาต้องไม่ถูกลงโทษ ในสิ่งที่เราเคยบอกว่าเป็นสิ่งดี
· สอนเขาอย่างไร ก็จะทำตามที่เคยสอน
· ให้รางวัลเขาเมื่อเขาทำความดี
· รับฟังเขาด้วยความตั้งใจ โดยไม่โต้เถียง ไม่ตำหนิ และการรับฟังก็ไม่ใช่ว่าเป็นการยอมรับที่เขาทำ
· ยอมรับความรู้สึกของเขา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์บวกหรือลบ
· กระตุ้นให้เขาคิดและตัดสินใจเอง ไม่พยายามควบคุมเขาให้คิดหรือรู้สึกตามที่เราต้องการ
· มองเขาเป็นคน ไม่ใช่วัตถุชิ้นหนึ่ง ที่ไร้ความหมาย
· นับถือความเป็นส่วนตัวของเขา
· สอนให้เขามีความพึงพอใจในตนเอง ยอมรับรูปร่างหน้าตาตนเอง
· ทำให้เขารู้สึกว่าเราพอใจเขา ไม่ใช่เสียใจที่มีเขา
· ฝึกให้เขาค้นหามองสิ่งดีๆ ของเขา แทนที่มัวแต่ค้นหาจุดด้อยของตนเอง
· บอกให้เขาทราบว่า ชีวิตของเขาอยู่เพื่อตัวเขา ไม่ใช่อยู่เพื่อทำตามความคาดหวังของคนอื่น
· เมื่อเขาทำผิดพลาดบกพร่อง อย่าไปโจมตีเขา หาวิธีการสอนให้เขาแก้ปัญหา และเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
· หาจังหวะให้คำชม แต่ต้องไม่ฟุ่มเฟือย
· เวลาตำหนิ ต้องไม่ตำหนิเขา แต่จงตำหนิเฉพาะพฤติกรรมหรือสิ่งที่ทำที่ไม่ดี
· ใจกว้าง ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น
· มีความยุติธรรม มีใจกรุณา
· เคารพตนเอง และรักษาสิทธิของตนเอง
· ไม่ใช้แต่อำนาจร่ำไป ใช้ประชาธิปไตยบ้าง
· มองคนอื่นในแง่ดี
· พยายามทำให้ลูกน้องไว้วางใจ
· สร้างแรงจูงใจ มากว่าใช้อำนาจบังคับ
· พูดให้กำลังใจแทนที่จะตำหนิ
· ให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็น และการตัดสินใจ
· สร้างทัศนคติว่า เราทำได้
10 tips to Kick Start Your Self Esteem! by Julie Plenty
If you're tired of feeling "less than", afraid of making and achieving your desires and goals, feel that no matter what you do it is never "good enough", then your self esteem could do with a boost!
Having low self esteem takes an enormous toll on the quality of your life. You take fewer risks, which limits your opportunities, both personally and professionally. You are reluctant to voice or acknowledge your needs. You are probably also haunted by past mistakes and making future ones.
It doesn't have to be like this, the tools you've used to (unconsciously) lower your self esteem are the same ones you use to raise it. The following article gives you ten tips to raise your self esteem and improve the quality of your life!
1. Stop comparing yourself to other people. If you play this game, you're likely to compare yourself in a negative way and set yourself up for continuing to have low self esteem. Why continue to play a game where you've set the rules against yourself, so that you're less likely to win!
2. Don't keep putting yourself down! You can't develop high self esteem if you constantly repeat negative comments about your skills and abilities. Other people will pick up on it and take on board the negative way you view yourself. How are they likely to treat you? Also don't beat yourself up over "mistakes" that you've made - learn how to reframe them so that they work for you.
3. Using affirmations is an excellent way to raise your self esteem. It's the opposite of no 1. If you can programme your mind to repeat negative phrases about yourself (and see how effective that's been!), then you can certainly get into the habit of continually thinking (and saying to yourself) positive statements about you. When you do, allow yourself to experience the positive feelings about your statements. Also use inspirational quotes to assist you.
4. Accept all compliments graciously. Don't dismiss or ignore them. When you do you give yourself the message that you do not deserve or are not worthy of praise, which reflects low self esteem. It also means that others will become more reluctant to praise or acknowledge your abilities, if you don't.
5. Take advantage of and use life coaching programmes, workshops, books on how to raise your self esteem and develop a more positive attitude. Whatever material you see, read acts as subliminal learning, which means that it will plant itself in your mind and dominate your behaviour. Talk about food for thought - what diet is your mind on? Is it a nourishing one?
6. Mix with positive and supportive people. Who you associate with influences your thoughts, actions and behaviour - another form of subliminal learning. Negative people can put you and your ideas down and it lowers your self esteem. On the other hand, when you are surrounded by supportive people, you feel better about yourself, which helps to raise your self esteem. Learn how to develop your positive personal support network.
7. Acknowledge your positive qualities and skills. Too many people with low self esteem constantly put themselves down (back to no 1 again!) and don't appreciate their many positive attributes. Learn how to truly affirm and value your many excellent qualities. If you find this difficult, ask others to tell you. They'll come up with things you would never have imagined!
8. Stop putting up with stuff! Not voicing or acknowledging your needs means that you are probably tolerating more than you should. Find out what you're putting up with and zap those tolerations. By doing so, you're giving yourself the message that you're worth it.
9. Make positive contributions to others. This doesn't mean that you constantly do for others what they could be doing for themselves. But when you do make a positive contribution to others, you begin to feel more valuable, which increases your sense of your own value and raises your self esteem.
10. Involve yourself in work and activities that you love. So many people with low self esteem stop doing those activities that they most enjoy. Even if you're not in a position to to make immediate changes in your career, you can still devote some of your leisure time to enjoyable hobbies and activities.
and..............................
Start taking action! The universe rewards action. Backing away and avoiding challenges means that your self esteem muscles become weak and flabby. When you start to take action - regardless of the outcome - you will start to feel better about yourself, develop your self confidence and raise your self esteem.
Neurobics ออกกำลังสมองเพื่อความฉับไว
หลายต่อหลายคนมักจะคิดถึงการมีสุขภาพกายที่ดีเป็นอย่างแรก จึงละเลยหรือลืมฝึกสมองในแง่ของความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ วันนี้เรามี 10 วิธีการฝึกสมองเพื่อพัฒนาความสามารถและความคิดสร้างสรรค์สำหรับคุณ ด้วย “นิวโรบิกส์” โปรแกรมที่เปรียบเสมือน การฝึกยิมนาสติกให้กับสมอง จะช่วยบริหารเซลล์สมองให้สดชื่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นค่ะ
1. หลีกหนีความจำเจ
การหลีกหนีความจำเจ เป็นแก่นแท้ของแนวคิดนิวโรบิกส์ เพราะการทำอะไรซ้ำๆ นอกจากจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายแล้ว สมองก็รู้สึกเบื่อได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงควรแสวงหาอะไรใหม่ๆ ทำบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยแต่จะสามารถช่วยให้เซลล์ประสาทเกิดการผ่อนคลายหายเครียดจากงานประจำได้ค่ะ
2. ไม่สูดกลิ่นเดิมๆ ซ้ำๆ
ทุกเช้าเมื่อได้กลิ่นกาแฟเดิมๆ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมๆ ถ้าจมูกคนเราได้รับกลิ่นเดิมๆ บ่อยเข้า จะทำให้จมูกและประสาทส่วนรับกลิ่นชินชาต่อกลิ่นนั้นได้ค่ะ อีกทั้งการรับกลิ่นอื่นๆ ก็จะด้อยคุณภาพลงไปด้วย
3. รับรสสัมผัสใหม่ๆ
ตอนที่คุณอาบน้ำในอ่างหรืออาบแบบฝักบัว ลองแกล้งลืมถูสบู่ เจลอาบน้ำหรือแชมพูดดูสักครั้งสิคะ อาจจะทำให้การรับรสสัมผัสทางกายดีขึ้นได้
4. เปลี่ยนความถนัดส่วนตัว
คนถนัดมือขวา ก็หันมาลองใช้มือซ้ายดูบ้าง หรือหากถนัดซ้าย ก็ลองใช้มือขวาแทน ไม่ว่าจะหวีผม แปรงฟัน หรือเขียนหนังสือ ซึ่งการได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่ซ้ำซากจำเจนั้น ไม่เพียงแค่สนุกสนาน แต่ยังทำให้สมองส่วนต่างๆ แอ็กทีฟขึ้น แล้วคุณก็จะพบว่าการได้ทำอะไรกลับด้านนั้นมันไม่ยากเย็นเหมือนที่คิดไว้เลย
5. หาทางเดินใหม่ ๆ
พยายามหาทางใหม่ๆ เดินเล่น หลีกหนีเส้นทางเก่าที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางไปออฟฟิศหรือทางกลับบ้าน ทำไมไม่ลองเดินผ่านสวนสาธารณะ หรือเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นที่ไม่เคยไปดูบ้างล่ะคะ การทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้สมองของคุณได้มีโอกาสคิดแล้ว คุณยังได้พบกับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
6. ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
การจัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หาที่แขวนรูปและนาฬิกาใหม่ หรือการพบปะผู้คนใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้ค่ะ ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ง่ายนัก แต่คุณจะค่อยๆ ชินไปเอง การปรับเปลี่ยนแบบนี้ทำให้สมองด้านซ้ายซึ่งทำงานทางด้านความคิดสร้างสรรค์มีพัฒนาการที่ดีกว่าเดิมนะคะ
7. เสริมความทรงจำด้วยกลิ่น
ขณะที่พูดโทรศัพท์หรืออ่านหนังสือควรสูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยไปด้วย เช่น กลิ่นมิ้นต์หรือกลิ่นมะนาว เพราะกลิ่นดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ความจำในรายละเอียดดียิ่งขึ้นค่ะ
8. รับประทานอาหารรสชาติแปลกๆ ทุกๆ วัน
ถ้ามีการรับประทานอาหารที่แปลกไปจากเดิม จะทำให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้น ไม่เชื่อลองไปทางอาหารที่ร้านอาหารเวียตนาม ญี่ปุ่น จีน หรืออินเดียดูบ้างสิคะ กลิ่นและรสชาติของอาหาร ที่แปลกแตกต่างไปจะพลอยทำให้สมองของคุณรู้สึกเหมือนได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่นั้นด้วย
9. ปิดประสาทรับเสียง
ลองใช้สำลี หรือที่อุดหูโดยเฉพาะ เพื่อฝึกใช้แต่ประสาททางสายตาและทางจมูกดูสักพัก ไม่แน่นะคุณอาจค้นพบความสามารถพิเศษแปลกใหม่ที่คุณไม่คิดว่าจะมีอยู่ในตัวเองก็เป็นได้
10. ใส่ใจในสัมพันธ์แห่งรัก
การหมั่นเติมความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับชีวิตคู่ของคุณอยู่เสมอ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาสมองและอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ
จิต Mind
·
เรายังไม่ทราบอย่างแน่นอนว่า จิตของคนมีธรรมชาติอันแท้จริงเป็นอย่างไร? นักวิทยาศาสตร์บางคน จูเลียน ฮักสลีย์ (Julian Hexley) เห็นว่า จิตเป็นพลังงานรูปหนึ่งเรียกว่า พลังจิต (Gsychergy) แต่เจอรัลด์ ไฟน์เบอร์ก (Gerald Feinberg) แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเห็นว่า กระแสจิตอาจประกอบด้วย อนุภาคปฐมภูมิ (Elementary particles) บางชนิดที่ยังค้นไม่พบ เขาให้ชื่ออนุภาคปฐมภูมินี้ว่าไมน์ดอน (Mindons) บ้าง ไซคอนส์ (Psychons) บ้าง ตาซิออนส์ (Tachyons) บ้าง และยังสันนิษฐานว่า อนุภาคชนิดนี้เดินทางได้เร็วกว่าแสงศาสนาทุกศาสนายืนยันว่า จิตวิญญาณมีอยู่จริงและมีอยู่ในฐานะเป็นตัวตนแท้ (อัตตา) ของคนสิงสถิตอยู่ภายในร่างกาย จิตวิญญาณเป็นอมตะ ไม่รู้จักตาย แม้ร่างกายถึงคราวแตกสลายลง จิตวิญญาณ จะยังคงอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง
จิตตามหลักศาสนาฮินดู
ในศาสนาฮินดู มีความเชื่อว่าคนเราประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญซ้อนกันอยู่ 7 ชั้นด้วยกัน นับตั้งแต่ชั้นในสุดถึงชั้นนอกสุด ดังนี้
1. อาตมัน หรือ วิญญาณ เป็นอมตภาพ เป็นตัวตนแท้ของคน เป็นแกนกลางของชีวิต และอาตมันนี้โดยเนื้อแท้แล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรหมัน คือ วิญญาณสากล
2. จิต เป็นผู้ทำหน้าที่ออกคำสั่ง บังคับบัญชากิจการทุกอย่างในชีวิต
3. ปัญญา หมายถึง มโนธรรม หรือความรู้สึกผิด ชอบ ชั่ว ดี
4. สัญญา หมายถึง การรับรู้ทางทวารทั้ง 5 และความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดจากการรับรู้นั้น
5. ปราณ หมายถึง ลมหายใจ คนโบราณแทบทุกชาติเชื่อว่าลมหายใจเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิต
6. เจตภูต หมายถึง ร่างทิพย์ (Adytsl body) ซึ่งซ้อนอยู่ภายในกายเนื้อนี้ เวลาตายร่างทิพย์จะเคลื่อนออกจากร่างและอาจปรากฎตัวให้คนเห็นได้เป็นครั้งคราว
7. กาย หมายถึง สรีระร่างกายอันเป็นวัตถุที่หยาบที่อยู่ชั้นนอกสุด
อาตมันตามหลักศาสนาฮินดูเป็นสิ่งหนึ่งต่างหากที่อาศัยอยู่ในกาย แต่เป็นอิสระจากร่างกาย เวลาคนตายลง จิตจะออกจาก ร่างไป เกิดใหม่ในร่างอื่น อาตมันเป็นอมตะ ไม่รู้จักตาย อาตมันในชาติปัจจุบัน เป็นอันหนึ่งอันเดียว กับ อาตมันในอดีตชาติ และ อาตมันในชาติอนาคต
จิตตามหลักศาสนาพุทธ
ทางพุทธศาสนาถือว่า คนเราประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
นามรูป นาม หมายถึง ส่วนที่เรียกว่า “จิต” เป็นสิ่งนามธรรม ไม่มีรูปร่างตัวตน (อสรีรํ) อาศัยอยู่ในถ้ำคือกายนี้ (คูหาสยํ) มีลักษณะสำคัญ 4 ประการคือ
(วิญญาณ) รับรู้อารมณ์ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มโน
(สัญญา) จำอารมณ์ได้
(สังขาร) คิดเกี่ยวกับอารมณ์นั้น
(เวทนา) เกิดความรู้สึกสุขทุกข์หรือกลาง ๆ เกี่ยวกับอารมณ์นั้น ๆ
รูป หมายถึง ส่วนรูปธรรม ประกอบด้วยธาตุดิน (ของแข็ง) ธาตุน้ำ (ของเหลว) ธาตุลม (แก๊ส) และธาตุไฟ (พลาสม่า)
รูปกับนามต้องอาศัยกันอย่างใกล้ชิด ขาดเสียแต่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ นอกจากจะไปเกิดในบางภพเท่านั้น (อรูปภพ-มีแต่นามไม่มีรูป)
จิตในทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นเป็นดวง ๆ ในเมื่อมีอารมณ์มากระทบ กระทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ดับไป แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีก เกิดดับสลับกันไป อย่างรวดเร็วจนดูเป็นจิตดวงเดียวอยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนดวงไฟฟ้าที่เราเห็น เป็นไฟดวงเดียวตลอดเวลานั้น ความจริงสว่างแล้วดับติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ววินาทีละ 50 ครั้ง
แดนทั้ง 3 ของจิต ตามหลักพุทธศาสนา จิตทำงานอยู่ใน 3 แดน คือ
1. แดนปัญจทวาร หมายถึง จิตตื่นจากภวังค์ออกมารับอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อจิตรับอารมณ์ทางทวารทั้ง 5 จิตจะอยู่ในภาวะตื่นตัวเต็มที่ เรียกว่า “วิถีจิต”
2. แดนมโนทวาร หมายถึง จิตตื่นจากภวังค์ขึ้นสู่วิถี แต่ไม่ออกมารับอารมณ์ภายนอก หันเข้ากลับรับอารมณ์ภายในที่เรียกว่า ธรรมารมณ์ ซึ่งได้แก่ บรรดามโนภาพและจินตภาพต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในมโนทวาร จิตทำงานอยู่ในแดนมโนทวาร ในขณะที่คนกำลังคิดถึงอดีตหรือคิดอย่างลึกซึ้งหรือในขณะทำสมาธิ
3. แดนภวังค์ หมายถึง จิตที่นอนนิ่งอยู่ในฐานเดิมของตนที่ศูนย์กลางของสมอง เป็นจิตกำลังอ่อนไม่ขึ้นสู่ วิถีรับรู้ อารมณ์ภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก็เกิดดับรับอารมณ์ภายในของตนเองอยู่เป็นปกติ อารมณ์ภายในของจิตในแดนภวังค์ ท่านว่าได้แก่ พลังกรรม ที่ก่อให้ เกิดกรรมนิมิตและคตินิมิต (เพราะจิตจะอยู่โดยไม่มีอารมณ์ใด ๆ ไม่ได้) ในขณะที่คนนอนหลับสนิทโดยไม่ฝัน หรือในขณะสลบ จิตจะอยู่ในแดนภวังค์
จิต หมายถึง ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ สภาพที่นึกคิด ความคิด
การทำงานของจิตใจ เราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตสำนึก (consciousness) ซึ่งมีอยู่ 4 ระดับ
1. จิตสำนึก (conscious)
2. จิตใต้สำนึก (sub-conscious)
3. จิตไร้สำนึก (unconscious)
4. จิตเหนือสำนึก (supra-conscious)
1. จิตสำนึก คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เกิดมาดูโลก ถูกบันทึกไว้ในสำนึก และมีเพียง 10% เท่านั้นที่เราสามารถจำได้ การทำงานของสำนึก มีกฎอยู่ 2 ข้อ คือ
1.1. กฎแห่งอิสระภาพ คือมันสามารถคิดอะไรก็ได้ อย่างอิสระ เช่นมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน
1.2. กฎของการเลือก จิตใจสามารถเลือกสิ่งที่มันชอบได้ และจะสนใจเฉพาะสิ่งนั้น ซึ่งมันจะทำงานเหมือนกับตรรกะ คือมีเหตุมีผล
2. จิตใต้สำนึก มันอยู่ลึกกว่าจิตสำนึก แต่อาจจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนในบางครั้ง เช่นในขณะที่เรากำลังอาบน้ำ ผ่อนคลาย หรือขับรถอยู่บนถนนเปลี่ยวโดยลำพัง เราอาจคิดว่า เราเคยเห็นอะไรหรือเคยทำอะไรมาก่อน
การเปลี่ยนจิตใต้สำนึก
บางครั้งจิตใต้สำนึก สามารถทำให้เราทำในสิ่งที่จิตสำนึกไม่อยากจะทำ บัดนี้เราได้ค้นพบว่า การฝึกสมาธิเป็นการขจัดความโกรธ ซึ่งได้ผลดี เป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ทำไมเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ อะไรเกิดขึ้น? จิตสำนึก ต้องการที่จะควบคุมให้ได้ แต่สิ่งที่สะสมไว้ในจิตใต้สำนึกนั้น มันตรงกันข้าม ดังนั้นจิตใต้สำนึกทำให้เราโมโห จิตใต้สำนึก เป็นแหล่งที่มีพลังมาก ซึ่งมันถูกควบคุมโดยกฎ 2 ข้อ คือ
1. กฎของการยอมรับ มันจะยอมรับทุกอย่างที่เราพูด มันเหมือนกับบ่าวที่เชื่อง ไม่เคยเถียง
2. กฎแห่งสัจจะ มันจะเก็บทุกอย่างไว้ จิตใต้สำนึกมันจะไม่คิด ไม่เถียง ไม่ต้องมีตรรกะ (เหตุผล) แล้วมันทำอะไร มันทำงานที่ทุกอย่างจะถูกพิมพ์ไว้ในจิตใต้สำนึก และทำงานคล้ายบ่าวที่เชื่อง ถ้าต้องการเปลี่ยนจิตใต้สำนึก เราต้องติดต่อกับมัน โดยผ่านสภาวะที่ผ่อนคลายและสมาธิ เราจะเข้าไปพิมพ์ทุกสิ่งที่คิด พูด จะถูกพิมพ์ไว้ ถ้าเราไม่เข้าใจกฎนี้ เราจะพิมพ์สิ่งที่ผิดๆ เข้าไปในจิตใต้สำนึก มีตัวอย่าง
มีชายหนุ่มคนหนึ่งเขาต้องการเป็นเศรษฐี เขาต้องการอยู่ท่ามกลางเงินสด ต่อมาเขาได้เป็นพนักงานเก็บเงินในธนาคาร
หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีบุตร กล่าวว่าฉันต้องการเล่นกับเด็กๆ และอยู่ร่วมกับพวกเขา ต่อมาเธอได้เป็นครู
ทั้งหมดนี้เป็นคำอธิบายที่เกี่ยวกับจิตสำนึกที่ถูกพิมพ์โดยคำพูด และในอนาคตก็ส่งผลให้เป็นจริงขึ้นมาได้ จิตสำนึกจะไม่เข้าใจ ภาษาที่ซับซ้อน มันคล้ายๆ กับแรงงานที่ไร้การศึกษา พูดคำง่ายๆ และเป็นไปในทางบวก
3. จิตไร้สำนึก จะอยู่ลึกกว่าจิตใต้สำนึก จะไม่แสดงออกเป็นสำนึก แต่จะเป็นเรื่องราวของอดีตชาติ จิตใต้สำนึก และจิตไร้สำนึก จะควบคุมจิตสำนึก บ่อยครั้งเรามีประสบการณ์ว่า เราต้องกระทำบางสิ่ง แต่เราไม่สามารถทำได้ ซึ่งเกิดจากจิตใต้สำนึก ที่ดึงเรากลับ จากการเดินไปข้างหน้า ดังเช่น บางคนไม่เคยตื่นตอนตี 4 แต่มีวันหนึ่งจำเป็นต้องตื่นเพื่อให้ทันรถไฟ หรือเที่ยวบิน เขาปลุก นาฬิกา ตี 3 แต่เขากลับตื่นสาย อะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่นาฬิกาก็ปลุก แต่เขาปิดมันและนอนต่อ นี่เป็น เพราะอิทธิพลของ จิตใต้สำนึก นั้นเอง
4. จิตเหนือสำนึก เป็นชั้นที่อยู่ลึกที่สุด ไม่มีขีดจำกัด และมีการสร้างที่ไม่มีที่สิ้นสุด มันคล้ายๆ กับการหลับไหล ของนางฟ้าจิต เหนือสำนึก จะไม่ถูกปลุกได้โดยง่าย มีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่จะปลุกได้ ในขณะที่ 99% ของจิตสำนึกและจิตสลบถูกปลุกได้ มีน้อยคนที่จะปลุกจิตเหนือสำนึกได้ ดังเช่น คานธี บราห์มาบาบา ในการฝึกสมาธิที่ลึก ๆ จนสามารถลืมร่างกายทั้งหมด ซึ่งไม่ง่าย แต่ถ้าฝึกเป็นประจำ เราจะสามารถอยู่เหนือจิตและโลกได้
ขั้นตอนในการฝึก ถ้าเราต้องการจัดการกับสภาพจิตใจอย่างเหมาะสม ต้องอาศัย ความเข้าใจใน 4 ขั้นตอนคือ
1. การตระหนักรู้ ถ้าเราทำทุกอย่างด้วยความตระหนักรู้ เราจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก มีคำกล่าว ว่า "จับความคิดของท่านก่อนที่มันจะกลายเป็นความรู้สึก และจับความรู้สึกของท่านก่อนที่มันจะกลายเป็นอารมณ์" การที่จะจับความคิดได้ ต้องมีการฝึกฝน
2. ความเข้าใจ คือการเข้าใจว่าความเป็นจริงอะไรเกิดขึ้น เช่น ทำไมฉันต้องอิจฉาคนนั้น รู้สึกมีช่องว่าง มีความโกรธ รู้สึกไม่ปลอดภัย ฯลฯ ถ้าเราเข้าใจ เราสามารถเข้าไปแก้ตรงรากฐาน
3. การวิเคราะห์ ให้วิเคราะห์ว่า ทำไมฉันจึงรู้สึกในทางลบ
4. การยอมรับ เป็นการยอมรับ ที่มีเพียงไม่กี่คนที่จะยอมรับสิ่งที่เป็นลบได้ ดังนั้นถ้าฉันถามบางคนว่า เขาต้องการเปลี่ยน และจัดการกับ สภาพจิตใจ ของเขาไหม เขามักจะตอบว่า "ไม่" ทั้งที่ความเป็นจริง เรามีความจำเป็น ที่จะต้องจัดการ กับสภาพจิตใจ ของเรา เพื่อที่จะให้อยู่ใน สภาวะที่สมบูรณ์ เราจำเป็นต้อง ตระหนักรู้ เพื่อที่จะฝึกฝน ต่อไป เราจะต้องให้ ตัวเองได้อยู่ใน โลกปัจจุบันให้มากที่สุด ไม่ควรปล่อยตัวเอง อยู่ในอดีต และอนาคตมากเกินไป เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง มีคำกล่าวว่า อดีตเหมือนกับ เช็คที่ถูก ยกเลิก และอนาคตเหมือนกับ บันทึกสัญญา ที่เอาไปเบิกเป็นเงินไม่ได้ ดังนั้นปัจจุบันคือ เงินสดที่คุณ ต้องใช้มัน อย่างฉลาด มีคำกล่าวที่สวยงามว่า อดีตเป็นประวัติศาสตร์ อนาคตเป็นความลึกลับ และปัจจุบันเป็นของขวัญ
สิ่งสำคัญคือให้เข้าใจและรู้สึกว่า ฉันเป็นหนึ่งในโลกที่มีแนวคิดเชิงบวก ฉันจะใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ข้างในซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ มากกว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอก เราสามารถพักจิตใจของเรา แม้นแต่การนอนหลับก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่แท้จริง ถ้าจิตยังทำงานอยู่ เราต้องทำจิตของเราให้นิ่ง เอาใจใส่ต่อความคิด และไม่แสดงปฏิกริยาโต้ตอบกับเหตุการณ์ที่เราเห็น สายตาของเรา ต้องเหมือนกับ กล้องถ่ายภาพ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความคิด ต้องมีความสมดุล เราจะรู้สึกสงบ และมีความสุขในชีวิต
ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราเอาใจใส่สังเกตดูการกระทำของจิตอย่างใกล้ชิด เราจะเห็นได้ว่า จิตของเราทำงานอยู่ในสภาพ 8 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
1. จิตดับ (ภวังคจิต) Unconscious mind ตรงกับ จิตไร้สำนึก (unconscious)
2. จิตฝัน Dreaming mind ตรงกับ จิตใต้สำนึก (subconscious)
3. จิตตื่น (วิถีจิต) Conscious mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious)
4. จิตลอย Drifting mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious)
5. จิตคิด Thinking mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious)
6. จิตนิ่ง Concentrating mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious)
7. จิตทำงาน (มโนมยิทธิ) Psychokinetic mind ตรงกับ จิตเหนือสำนึก (superconscious)
8. จิตอภิญญา Extrasensorily Perceiving mind (ESP) ตรงกับ จิตเหนือสำนึก (superconscious)
ปฏิสนธิจิต คือการเกิดใหม่ของจิต ตามวิบากผลกรรม เป็นการเกิดใหม่ของจิต ตามแรงผลักดัน ของกรรมที่สืบทอด ต่อจากจุติจิต ส่งไปสู่ปฏิสนธิจิต สภาพของจิตจะด ีหรือไม่จึงอยู่ที่ กระทำทางกาย วาจา และเจตนา ที่เคยปฏิบัติมาในอดีต
การเกิดดับของจิต หรือวิญญาณในแต่ละขณะจิต ทำให้เกิดภวังคจิต คือ อารมณ์เก่าที่จิต เก็บประทับไว้ในใจ และเกิดอาวัชชนจิต คือจิตที่รับอารมณ์ใหม่, จิตมีการเกิดดับต่อเนื่องรวดเร็วมาก ขณะจิตแต่ละอารมณ์ มีอิทธิพลต่อจิตที่ปฏิสนธิใหม่อยู่ตลอดเวลา และมีการสั่งสมอารมณ์เก่า ที่เกิดขึ้นไว้ในจิตจนเกิดสันดาน คือ การรับรู้อารมณ์นั้น บ่อยจนจิต มีความหวั่นไหว ต่อลักษณะ อารมณ์ นั้น จนเป็นลักษณะอารมณ์ ประจำตัว การเกิดดับของจิต หรือวิญญาณ เป็นการกระทำ ที่มีแรงผลักดันจากเจตนา ภวังคจิตจึงเป็น เหตุปัจจัย ให้เกิดจิตอารมณ์ใหม่ได้ การกระทำทั้งทางกาย และวาจา สำเร็จมาจากจิตเป็นใหญ่ในการบงการ การกระทำทุก รูปแบบ จึงไปประทับสั่งสมไว้ในการรับรู้ของจิตเรียกว่า การสั่งสม
ปฏิจจสมุปปาท ซึ่งมีความหมายว่า สภาพทั้งหลายอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น การที่ทุกข์เกิดขึ้น เพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา มีองค์ประกอบ 12 ข้อ คือ
เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) จึงมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
สังขาร (การปรุงแต่งอารมณ์) จึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย
วิญญาณ (การรับรู้สมบูรณ์) จึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
สฬายตนะ (การรับรู้) จึงมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
ผัสสะ (การสัมผัสการรับรู้) จึงมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
เวทนา (การเสวยอารมณ์) จึงมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
ตัณหา (ความทยาน อยาก) จึงมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
อุปาทาน (การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์) จึงมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ภพ (ภาวะ) จึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย
ชาติ (การเกิดของอารมณ์) จึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย
ชรามรณะ (การแก่ตาย) จึงมี เพราะชรามรณะเป็นปัจจัย
โสกปริเทวทุกขโทมนสสุปายาสา สมภวนติ (ความทุกข์โศกเศร้าเสียใจ) จึงมี ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งปวงนี้จึงมีด้วยประการฉะนี้
กลไกของจิตตามหลักอภิธรรม และตัวอย่างการทำงานของจิตขณะกินมะม่วง (Mechanism)
เมื่อมีสิ่งมากระทบกับทวารทั้งห้า อารมณ์ที่เป็นพลังงานจะเข้าไปกระตุ้นภวังคจิต (จิตตอนหลับ)
- อดีตภวังคะ คือตอนที่ภวังคจิตถูกอารมณ์กระทบครั้งแรก (ตอนตื่นจากหลับ)
- ภวังคจลนะ คือตอนที่ภวังคจิตเริ่มเคลื่อนไหว (ตอนงัวเงียหลังจากตื่น)
- ภวังคปัจเฉทะ คืออาการไหวตัวของภวังคจิตสิ้นสุด (ตอนตาสว่างหายงัวเงีย)
- อาวัชชนะ คือตอนที่จิตพุ่งไปรับอารมณ์ (ตอนหันไปมองทางเสียงมะม่วงตก)
- ปัญจวิญญาณ คือตอนที่จิตรับรู้ชนิดและลักษณะของอารมณ์ (ตอนที่รู้ว่าเป็นมะม่วง)
- สัมปฏิจฉันนะ คือตอนที่จิตเป็นวิบากเข้ารับอารมณ์ต่อจากปัญจวิญญาณ (ตอนลุกไปเก็บมะม่วง)
- สันตีรณะ คือตอนที่จิตเป็นวิบากตรวจตราอารมณ์ (ตอนที่ตรวจดูและรู้ว่ามะม่วงสุก)
- โวฏฐัพพนะ คือตอนที่จิตตัดสินอารมณ์ว่าดีหรือไม่ดี (ตอนที่หยิบมะม่วงมากิน)
- ชวนะ คือตอนที่จิตเสวยผลการตัดสินเจ็ดขณะ (ตอนที่เคี้ยวมะม่วงให้แหลก)
- ตทาลัมพณะ คือตอนที่จิตรับเอาผลการตัดสินมาเสวยต่อจากชวนะอีกสองขณะ (ตอนที่กลืนมะม่วงที่เคี้ยวแหลกแล้ว)หลังจากนั้นจิตจะกลับเข้าสู่ภวังค์ตามเดิม รออารมณ์อื่นมา กระทบแล้ว จะขึ้นสู่วิถีรับอารมณ์เช่นนี้อีกวนเวียนไปเรื่อยๆ
หมายเหตุ
จิตที่อยู่ในสภาวะภวังคจิตแต่ทำหน้าที่เป็น จุติจิต เป็นจิตดวงสุดท้ายในขณะที่ตาย และ ปฏิสนธิจิต เป็นจิตดวงแรก ที่เกิดขึ้นในภพใหม่ด้วยพลังกรรมนิมิตและคตินิมิตร
อารมณ์ (อาเวค = emotion) หมายถึงภาวะกระทบกระเทือนใจ เช่น โกรธ, กลัว, ดีใจ, ใคร่, ขำ, รัก มีนิยามต่างจาก อารมณ์ (อาลัมพณะ) ในเชิงศาสนาพุทธ ซึ่งจะหมายถึง สิ่งที่จิตรับรู้ โดยอาศัยทวารได้แก่
1. ตารับรู้รูป
2. หูหรับรู้เสียง
3. จมูกรับรู้กลิ่น
4. ลิ้นรับรู้รส
5. กายรับรู้การสัมผัส
6. สมองรับรู้มโนภาพ
สิ่งสำคัญคือให้เข้าใจและรู้สึกว่า ฉันเป็นหนึ่งในโลกที่มีแนวคิดเชิงบวก ฉันจะใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ข้างในซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ มากกว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอก เราสามารถพักจิตใจของเรา แม้นแต่การนอนหลับก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่แท้จริง ถ้าจิตยังทำงานอยู่ เราต้องทำจิตของเราให้นิ่ง เอาใจใส่ต่อความคิด และไม่แสดงปฏิกริยาโต้ตอบกับเหตุการณ์ที่เราเห็น สายตาของเราต้องเหมือนกับกล้องถ่ายภาพ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความคิด ต้องมีความสมดุล เราจะรู้สึกสงบ และมีความสุขในชีวิต
ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราเอาใจใส่สังเกตดูการกระทำของจิตอย่างใกล้ชิด เราจะเห็นได้ว่า จิตของเราทำงานอยู่ในสภาพ 8 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
1. จิตดับ (ภวังคจิต) Unconscious mind ตรงกับ จิตไร้สำนึก (unconscious)
2. จิตฝัน Dreaming mind ตรงกับ จิตใต้สำนึก (subconscious) อยู่ในระหว่างระดับจิตไร้สำนึกและกึ่งสำนึก มีสิ่งเร้าเล็ดลอดมากระตุ้นจิตไร้สำนึกผ่านทวารต่างๆได้ แล้วจิตเกิดตื่นขึ้นในแดนไร้สำนึก แต่ร่างกายยังอยู่ในสภาวะหลับ จิตจะเล่นไปตามมโนภาพของความทรงจำที่ฝังอยู่ ซึ่งบางครั้งจะกระตุ้นให้สมองทำงานและสั่งอวัยวะอื่นทำงานโดยที่ยังไม่รู้สึกตัว เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า "การละเมอ" แต่ถ้าสิ่งเร้ากระตุ้นแรงขึ้น จิตก็อาจจะเคลื่อนไปสู่แดนสำนึก ทำให้คนเราตื่นจากภาวะหลับ ในบางครั้งจิตเป็นอิสระจากมิติแห่งกาลเวลา เราก็จะสามารถฝันถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้
3. จิตตื่น (วิถีจิต) Conscious mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious) จิตที่เคลื่อนมาอยู่บริเวณทวารทั้งห้า(ปัญจทวาร) และ มโนทวาร จิตจะอยู่ในวิถีที่รับอารมณ์ภายนอกผ่านปัญจทวารบ้าง ถ้าไม่มีอารมณ์เหล่านั้นมากระทบ จิตก็จะหันไปรับธรรมารมณ์เก่าๆ จากมโนทวารบ้าง แต่ถ้าจิตเพลินกับธรรมารมณ์ต่างๆจนไม่ยอมรับอารมณ์ที่ผ่านทางปัญจทวาร ก็จะเกิดอาการ "ใจลอย" หรือ "ฝันกลางวัน" เป็นลักษณะจิตลอย
4. จิตลอย Drifting mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious) จิตลอยอยู่ในแดนสำนึก รับรู้อารมณ์ที่ผ่านมาทางปัญจทวารอย่างไม่เลือก ไม่มีระเบียบ ไม่ตั้งใจ ไม่มีจุดหมาย อารมณ์ใดปรากฏทางทวารใด ก็รับรู้ เมื่อมีอารมณ์อื่นกระทบทวารอื่นหรือทวารเดิม ก็หันไปรับรู้อารมณ์ทางทวารนั้นต่อไป ฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ เมื่อมีการควบคุม จิตจะเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะ จิตคิด
5. จิตคิด Thinking mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious) จิตจะรับรู้อารมณ์จำนวนจำกัดเท่าที่จำเป็นชุดหนึ่งอย่างตั้งใจและมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน มีการควบคุมให้จิตดำเนินไปตามทางที่แน่นอน มีการเลือกสรรและจำกัดจำนวนอารมณ์ มีการตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้า การคิดมีแบบต่างๆดังต่อไปนี้
ก.คิดตาม เช่นตอนดูหนัง ที่เรารับรู้เหตุการณ์ที่ปรากฏตามลำดับ
ข.คิดค้น เริ่มเมื่อเราเริ่มคิดว่า อะไร ใคร ที่ไหน เท่าใด อย่างไร เป็นต้น
ค.คิดสร้าง คือจิตที่พยามยามสร้างจินตภาพต่างๆขึ้นมา
- คิดสร้างตาม อาศัยเค้าโครงของสิ่งที่เคยรับรู้มา แล้วนำมาคิดทบทวนจนเกิดความเข้าใจ
- คิดสร้างด้วยตัวเอง คิดสร้างจินตภาพใหม่โดยใช้จินตภาพเก่าๆเป็นเครื่องมือ สร้างสรรสิ่งใหม่ๆ
ง.คิดหาเหตุ เมื่อมีประสบกับผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
จ.คิดหาผล คือคิดคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อทราบเหตุและปัจจัย
ฉ.คิดวิเคราะห์ คือการคิดแยกแยะหาส่วนประกอบต่างๆอย่างละเอียด
ช.คิดสังเคราะห์ คือการคิดหาลักษณะร่วมของสิ่งต่างๆ แล้วรวมเป็นหมวดหมู่
ซ.คิดเปรียบเทียบ คือการเอาลักษณะของสิ่งตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไปมาเทียบกัน
ฌ.คิดตัดสิน คือการคิดเลือกสิ่งที่ถูกพิจารณามาจากการคิดอื่นๆแล้ว
6. จิตนิ่ง Concentrating mind ตรงกับ จิตสำนึก (conscious) ป็นจิตที่อยู่ในแดนสำนึก เน้นมากกว่าจิตคิด เนื่องจากบังคับให้รับรู้เพียงอารมณ์เดียว ซึ่งคนส่วนใหญ่ จิตจะอยู่ในสถานะจิตลอย ซึ่งบังคับให้อยู่ในสถานะจิตนิ่งได้ยาก การบังคับให้จิตอยู่ในสถานะนี้จึงต้องทำสมาธิ หรือทำสมถะ
7. จิตทำงาน (มโนมยิทธิ) Psychokinetic mind ตรงกับ จิตเหนือสำนึก (superconscious) การใช้พลังจิตทำงานโดยตรง ทางพุทธศาสนาคือ มโนมยิทธิ
8. จิตอภิญญา Extrasensorily Perceiving mind (ESP) ตรงกับ จิตเหนือสำนึก (superconscious) ถูกอธิบายอย่างละเอียดในหนังสือชื่อ ทิพยอำนาจของพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ตั้งแต่ลักษณะธรรมชาติของจิตตั้งแต่ทำสมาธิขั้นแรกจนถึงหลุดพ้นทุกขั้นญาณ โดยมีผลพลอยได้เป็น ทิพยจักขุ ทิพยโสต เจโตปริยญาณ อนาคตังสญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นต้น
ปฏิสนธิจิต คือการเกิดใหม่ของจิต ตามวิบากผลกรรม เป็นการเกิดใหม่ของจิต ตามแรงผลักดัน ของกรรมที่สืบทอด ต่อจากจุติจิต ส่งไปสู่ปฏิสนธิจิต สภาพของจิตจะด ีหรือไม่จึงอยู่ที่ กระทำทางกาย วาจา และเจตนา ที่เคยปฏิบัติมาในอดีต
การเกิดดับของจิต หรือวิญญาณในแต่ละขณะจิต ทำให้เกิดภวังคจิต คือ อารมณ์เก่าที่จิต เก็บประทับไว้ในใจ และเกิดอาวัชชนจิต คือจิตที่รับอารมณ์ใหม่, จิตมีการเกิดดับต่อเนื่องรวดเร็วมาก ขณะจิตแต่ละอารมณ์ มีอิทธิพลต่อจิตที่ปฏิสนธิใหม่อยู่ตลอดเวลา และมีการสั่งสมอารมณ์เก่า ที่เกิดขึ้นไว้ในจิตจนเกิดสันดาน คือ การรับรู้อารมณ์นั้น บ่อยจนจิต มีความหวั่นไหว ต่อลักษณะ อารมณ์ นั้น จนเป็นลักษณะอารมณ์ ประจำตัว การเกิดดับของจิต หรือวิญญาณ เป็นการกระทำ ที่มีแรงผลักดันจากเจตนา ภวังคจิตจึงเป็น เหตุปัจจัย ให้เกิดจิตอารมณ์ใหม่ได้ การกระทำทั้งทางกาย และวาจา สำเร็จมาจากจิตเป็นใหญ่ในการบงการ การกระทำทุก รูปแบบ จึงไปประทับสั่งสมไว้ในการรับรู้ของจิตเรียกว่า การสั่งสม
ปฏิจจสมุปปาท ซึ่งมีความหมายว่า สภาพทั้งหลายอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น การที่ทุกข์เกิดขึ้น เพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา มีองค์ประกอบ 12 ข้อ คือ
เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) จึงมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
สังขาร (การปรุงแต่งอารมณ์) จึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย
วิญญาณ (การรับรู้สมบูรณ์) จึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
สฬายตนะ (การรับรู้) จึงมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
ผัสสะ (การสัมผัสการรับรู้) จึงมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
เวทนา (การเสวยอารมณ์) จึงมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
ตัณหา (ความทยาน อยาก) จึงมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
อุปาทาน (การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์) จึงมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ภพ (ภาวะ) จึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย
ชาติ (การเกิดของอารมณ์) จึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย
ชรามรณะ (การแก่ตาย) จึงมี เพราะชรามรณะเป็นปัจจัย
โสกปริเทวทุกขโทมนสสุปายาสา สมภวนติ (ความทุกข์โศกเศร้าเสียใจ) จึงมี ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งปวงนี้จึงมีด้วยประการฉะนี้
Gsychergy พลังจิต
พลังจิต (Gsychergy) หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้ จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด (Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
บุคคลที่มีพลังจิตสูง
บุคคลที่มี พลังจิต สูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
การทำงานของ พลังจิต
จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Gland) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบน ของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่งร่างกาย เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์
การศึกษา พลังจิต
ได้มีการค้นคว้าทาง พลังจิต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)
บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือ ผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุม อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใสกระฉับ กระเฉง พลังจิต จะเปล่งเป็นรัศมี ออกโดยรอบ ร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วย จะมี พลังจิต ควบคุมอยู่ เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทาน ในร่างกาย จะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติ เหมือนเดิมได้ เมื่อได้รับ พลังจิต นั้นๆเพิ่มขึ้น
ดังนั้น พลังจิต จึงเป็นพลังงาน ที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใด ขาด พลังจิต ร่างกายส่วนนั้น จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิต ที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
1. Telepathy คือ พลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
2. Telkynesys คือ พลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้ เพื่อการบังคับ หรือเพื่อการทำลาย
3. Teleportation คือ พลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่าน เครื่องกีดขวางได้
พลังจิต ผิดปกติทำให้เจ็บป่วย
จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจ ของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมา จะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้าง การทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้
พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็ง เป็นต้น นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรคมะเร็ง ได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็ง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น ในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดย เซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็ง เกิดขึ้นต่อเมื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัด เซลล์มะเร็ง ที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของสมอง ที่จะควบคุม ระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้
พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของ โรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจ ไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามี ร่างกาย ไม่สมบูรณ์เป็นต้น พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกาย ของแต่ละบุคคลอาจไม่ เท่ากัน ก็เป็นได้ ผมเคยพบว่า การเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือด หรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่ และเลือดเก่าไ ม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่า เป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณา ในสมาธิพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่า พลังงานควบคุม เม็ดเลือด ของแต่ละคนจะเท่ากัน หรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มาก กับกลุ่มผู้หลงผิด ที่ไปรับเอา พลังงานอื่น มากดทับ พลังจิต ของตนเอง ทำให้การทำงานของ พลังจิต ของตนผิดไป จิตนั้นจึงสั่งมาที่ สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคน เหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพราย หรือองค์เทพต่างๆ มาอยู่กับตน ที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิม ของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ ทางการแพทย์จะตรวจหา สาเหตุไม่พบ
การเพิ่มและการรับพลังจิต
บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้น ไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมาย ไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้ง แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิต แต่ละครั้งนาน เท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่า พลังจิต ที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนด แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้น เปลี่ยนเป็น ปกติเร็ว พลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆ จะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด
การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ
1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง
2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล
3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ
ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี
ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม
ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี
1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต
2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน
3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่
4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น
5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว
การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น
บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น
Subconscious จิตใต้สำนึก
·
ในราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อวิชาจิตวิทยาแรกเริ่มมีฐานะเป็นศาสตร์ แยกตัวเป็นเอกเทศจากเป็นส่วนแทรกอยู่ในศาสตร์อื่น ๆ นั้น ในช่วงนั้นนักศึกษาค้นคว้ามุ่งหาความเข้าใจ จิตสำนึก เท่านั้น ฟรอยด์ เป็นผู้ริเริ่มให้ความสนใจกับ จิตไต้สำนึก เขาเปรียบ เทียบว่า จิตใจมนุษย์ มีสภาพคล้าย ภูเขาน้ำแข็ง ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร มีส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำเป็นส่วนน้อย ยังมีส่วนอยู่ใต้ผิวน้ำ เป็นส่วนใหญ่ ภาวะจิต ระดับที่มี ความสำนึก ควบคุมอยู่เช่นเดียวกับ ส่วนของน้ำแข็งที่อยู่เหนือผิวน้ำ ภาวะจิตระดับใต้สำนึก เหมือน ส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ เป็นที่สะสมองค์ประกอบของจิตไว้มากมาย ฟรอยด์อธิบายว่า จิตระดับใต้สำนึก นี้มี กลไกทางจิต หลายประเภท ด้วยกัน เช่น แรงจูงใจ, อารมณ์ที่ถูกเก็บกด, ความรู้สึกนึกคิด,ความฝัน, ความทรงจำ ฯลฯ พลังจิตใต้สำนึก มีอิทธิพลบ เหนือ จิตสำนึกกระตุ้น ให้ปฏิบัติพฤติกรรม ประจำวันทั่ว ๆ ไป, เป็นแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมไร้เหตุผล และผิดปกติในลักษณะต่าง ๆ ฟรอยด์ได้ใช้เวลาศึกษา เรื่องจิตใต้สำนึก อยู่ถึง ๔๐ ปี ได้เขียนหนังสืออธิบายเรื่องนี้ไว้ยืดยาว ภาวะจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก แสดงประกอบด้วยภาพดังนี้
ภาวะสำนึกและจิตใต้สำนึก
รูป เปรียบเทียบจิตทั้งส่วนสำนึก และส่วนใต้สำนึก เหมือน ภูเขาน้ำแข็ง ลอยในมหาสมุทร ส่วนลอยเหนือน้ำต้อง แสงสว่างและอากาศ ปรากฏแก่ สายตาโลก คือ จิต หรือ พฤติกรรม ที่อยู่ในความควบคุมของ ความสำนึกตัว ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ (ซึ่งปริมาณมากกว่า) อยู่ใน ความมืดกว่า ไม่ปรากฏแก่สายตาโลก คือ จิตใต้สำนึก อันเป็นภาคสะสม ประสบการณ์ในอดีตมากมาย ถูกบีบอัด เก็บกด หรือคอย เพื่อให้สม ปรารถนา เพื่อให้ได้ จังหวะเหมาะ สำหรับตอบสนองสิ่งเร้า อันยังไม่ได้ทำ หรือทำ ไม่ได้ในภาวะปกติ (เช่น กฎหมายห้าม, ประเพณีไม่ยอมรับ ว่าถูก, สังคมไม่นิยม ฯลฯ)
รูปซ้ายมือ เปรียบเหมือนเวลาอันเป็นปัจจุบันเท่านั้น และมีความเป็นปกติบุคคลย่อมรู้สึกสงบ สบาย มีสติ พลังจิตสำนึก ควบคุมพฤติกรรม ทั้งหลาย ให้เป็นไปตามที่เขาเห็นว่า ถูกต้อง,สมควร, ทำโดยเคารพกฎหมายและระเบียบของสังคม, รูปขวามือแสดงว่าเวลาลมฟ้าอากาศ แปรปรวน มหาสมุทรมีคลื่นจัด ภูเขาน้ำแข็งโครงเครง ส่วนที่เคยจมใต้น้ำ โผล่ขึ้นเหนือน้ำ ให้มองเห็นได้ เทียบได้กับยามบุคคล มีอารมณ์ขุ่นมัว เคร่งครัด ด้วยความโกรธ เกลียด อิจฉา พยาบาท กลัว ตื่นเต้น วิตก เจ็บป่วย ฯลฯ พลังจิตใต้สำนึกที่ไม่มีโอกาสได้แสดง พฤติกรรมออกมานั้น มักแปรรูปเป็นพฤติกรรมผิดปกติ รูปใดรูปหนึ่งก็ได้ เช่น รู้สึกกลัวตลอดเวลา กามวิปริตซึมเศร้าตลอดเวลาฯลฯ การช่วยเหลือบุคคล ที่มีพฤติกรรมผิดปกติประเภทนี้ จำเป็นจะต้องเข้าใจหยั่งรู้ถึง พลังจิตใต้สำนึก ที่เป็นต้นเหตุ จิตแพทย์สกุลฟรอยด์ อาจใช้วิธีการสะกดจิต หรือทำการบำบัดแบบ Free Association เพื่อให้คนไข้เปิดเผยพลังจิตใต้สำนึก ซึ่งเขาไม่เคยเล่า, ไม่เคยเปิดเผย, ไม่เคยแสดงออก หรือซึ่งเจ้าตัวเองก็อาจไม่ตระหนักรู้มาก่อน
อนึ่ง พลังจิตใต้สำนึกมีหลายระดับ บางอย่างอยู่ในระดับตื้น บางอย่างอยู่ในระดับลึก และยังแตกต่างกันในแง่พลังแรงเข้ม หรืออ่อน ของการขับดัน ด้วยจากข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อธิบายหรือทำความเข้าใจได้ว่า คนแต่ละคนแตกต่างกัน ในรูปของ พลังจิตสำนึก และใต้สำนึก ฉะนั้น คนแต่ละคนจึงมีบุคลิกภาพไม่เหมือนกัน
รูปที่ ๓ พลังจิตสำนึกและใต้สำนึก กระตุ้นให้มนุษย์ประกอบพฤติกรรมต่าง ๆ นานา พฤติกรรมบางประเภทถูกกระตุ้นโดยจิตสำนึกอย่างเดียว (เครื่องหมาย ๑) และจิตใต้สำนึกปะปนกัน (เครื่องหมาย ๒) เช่น บางคราวเผลอพูด คิด ทำ แล้วมีสติระลึกได้ทันทีว่าควรหรือไม่ควร จึงเปลี่ยนคำพูด วิธีคิด การกระทำพฤติกรรมบางประเภทถูกกระตุ้นโดยจิตใต้สำนึกอย่างเดียว (เครื่องหมาย ๓) เช่น ความฝัน การพลั้งปาก การทำอะไรอย่างเผลอไผล ไม่รู้ตัว
โครงสร้างบุคลิกภาพ
ฟรอยด์อธิบายว่า โครงสร้างบุคลิกภาพ ประกอบด้วยพลัง ๓ ประการ ได้แก่ Id, Ego และ Super Ego (ยังไม่พบศัพท์ภาษาไทย ที่แปลตรงความหมายอย่างแม่นยำ จึงขอให้ทับศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษไปพลางก่อน – ผู้เขียน ) พลังทั้ง ๓ มีลักษณะเฉพาะตัว แต่ก็มีอิทธิพลต่อกันและทำงานร่วมกัน บุคลิกภาพของผู้ใดมีลักษณะใดขึ้นอยู่กับพลัง Id, Ego และ Super Ego ทำงานประสานร่วมกันในลักษณะอย่างไร
(๑) Id เป็นพลังงานติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด จึงหมายรวมทั้งสัญชาตญาณด้วย มักเกี่ยวพันกับการสนองความปรารถนาทางกาย เป็นพลังเพื่อให้ได้มาซึ่งความพอใจโดยไม่คิดคำนึงถึงเหตุผลตามความเป็นจริง หรือความถูกต้องดีงามแล้วพลัง Id จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พลังแสวงหาความสุข (Pleasure Seeking Principle) พฤติกรรมที่เกิดจากการกระตุ้นของพลัง Id มีหลายรูปแบบซึ่งไม่พึงประสงค์จะพรรณนา ณ ที่นี้ ในช่วงวัยเด็กพลัง Id มีหลายรูปแบบ ซึ่งไม่พึงประสงค์จะพรรณนา ณที่นี้ ในช่วงวันเด็กพลัง Ego และ Super Ego หากเก็บถูกกักกันมากเกินไปไม่ให้ได้รับความพึงพอใจ ตอบสนอง Id ดังนี้จะเป็นผลร้ายต่อพัฒนาการบุคลิกภาพที่สมดุล ในภายหน้า เช่น เป็นคนอ่อนไหวง่ายต่อคำสรรเสริญ นินทา เป็นต้น
(๒) Ego เป็นพลังแหงการรู้และเข้าใจ, การรับรู้ข้อเท็จจริง, การใช้เหตุผล, การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย, การแสวงหาวิธีการเพื่อตอบสนองพลัง Id เช่น เมื่อหิว (Id)พลัง Ego ก็จะใช้เหตุผลตรึกตรองว่าจะบำบัดความหิวโดยวิธีใด ตามสถานภาพแวดล้อม เช่น ไปสำรวจตู้เย็น ทำอาหารเอง? ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน?ฯลฯ จึงมีชื่อเรียก Ego อีกอย่างพลัง ‘รู้ความจริง’ (Reality principle)
(๓) Super Ego เป็นพลังที่เกิดจากการเรียนรู้ เช่นเดียวกับ Ego แต่แตกต่างจาก Ego โดยลักษณะคือเป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับค่านิยมต่าง ๆ เช่น ความดี ชั่วถูก ผิดมโนธรรม ความยุติธรรม ฯลฯ Super Ego หักห้ามความรุนแรงของพลัง Id โดยเฉพาะพลังจากสัญชาตญาณแรงขับทางเพศและความก้าวร้าว
(๔) การทำงานร่วมกันของพลังทั้ง ๓ : ลักษณะบุคลิกภาพของคนเกิดจาก การทำงานร่วมกันของพลังทั้ง ๓ นี้ พลังใดมีอิทธิพล เหนือพลังอื่น ย่อมเป็นตัวชี้ลักษณะบุคลิกภาพของคนนั้น เช่น ถ้าพลัง Id มีอำนาจสูง บุคลิกของคนผู้นั้นก็เป็นแบบเด็กไม่รู้จักโต, เอาแต่ใจตนเอง ถ้า Ego มีอำนาจสูง คนนั้นจะเป็นคนมีเหตุผล เป็นนักปฏิบัติ ถ้า Super Ego มีอำนาจสูง ก็เป็นนักอุดมคตินักทฤษฎี ดร. ประมวญ คิดคินสัน ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน่าฟังว่า
“สำหรับบุคลิกภาพอันพึงประสงค์ คือ ความมี Ego เข้มแข็ง สามารถจัดการกับ Id ได้อย่างมีสมรรถภาพ โดยอาศัยหลักแห่งความจริงเป็นที่ตั้ง และสามารถโน้มน้อม Super Ego ให้เข้าสู่หลักแห่งความจริง เพื่อให้เกิดการประสมประสานอย่างสนิทสนมในการดำเนินชีวิต” (๒๕๑๙, หน้า ๒๗๔)
รูปภาพที่ ๔ แสดงการปะทะสังสรรค์ของพลัง id, ego, super-ego ซึ่งเป็นโครงสร้างบุคลิกภาพ บุคลิกภาพสับสนตั้งแต่เบาจนถึงรุนแรงเกิดจากพลัง egoสามารถควบคุมพลัง id และ super-ego ได้ดีเพียงใด
ขั้นตอนการพัฒนาบุคลิกภาพ
Hall และ Lindzey (๑๙๗๘) กล่าวว่า บางทีฟรอยด์อาจเป็นนักทฤษฎีบุคลิกภาพคนแรก ที่อธิบายเรื่องขั้นต้อน การพัฒนาบุคลิกภาพ ของมนุษย์ เขาย้ำนักหนาว่าลักษณะพัฒนาการและประสบการณ์ในวัยทารก และวัยเด็กเป็นรากฐานบุคลิกภาพของมนุษย์เมื่อเป็นผู้ใหญ่ การพัฒนาการในวัยผู้ใหญ่เป็นการเสริมต่อจากรากฐานนั้นความจริงฟรอยด์มีประสบการณ์เรื่องเด็กไม่มาก เขาศึกษาพัฒนาการวัยเด็กจากการสอบสวนสาเหตุที่ผู้ใหญ่ประสบปัญหาทางอารมณ์และจิตใจเป็นเวลานาน โดยสืบสาวหา
ต้นเงื่อนของปัญหาต่าง ๆ นั้นที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ฟรอยด์เชื่อว่า ความต้องการทางร่างกายเป็นความต้องการตามธรรมชาติของคน ซึ่งทัดเทียมกับสัตว์ประเภทอื่น ๆ ความต้องการนี้เป็นพลังชีวิต ทำให้คนแสวงหาความสุขความพอใจจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (Zone) ที่แตกต่างไปตามวัย พัฒนาไปเป็นขั้นตอนตามลำดับ เริ่มต้นจากแรกเกิดจนสิ้นสุดในวัยรุ่น พัฒนาการนี้เรียกว่า “Psychosexual developmental stage” บุคคลใดพัฒนาไปตามขั้นตอนดังกล่าวด้วยดี ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ หากไม่เป็นไปดังกล่าวก็จะเกิดสภาวะ “ติดข้ออยู่” (fixation)อาจเป็นการติดต่อข้องอยู่ในขั้นใดขั้นหนึ่งหรือหลายขั้นก็ได้ ผู้ใดติดข้องอยู่ในวัยใดขั้นใด ก้ยังคงแสวงหาความพอใจในขั้นที่ติดข้องอยู่ต่อไปแม่ว่าจะผ่านวัยนั้น ๆ ที่เป็นไป ตามขั้นตอนมาแล้ว สภาพ “ติดข้องอยู่” มีผลต่อพัฒนาการด้านบุคลิกภาพในแง่ลบ แต่บุคคลสามารถเปลี่ยนพลังนี้ให้เป็นบวกได้ หากเขารู้จักปรับตัว
ฟรอยด์ได้อภิปรายถึงขั้นตอนทั้ง ๕ ดังต่อไปนี้
(๑) ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะปาก (Oral stage) ช่วงนี้โดยประมาณตั้งแต่คลอดจนถึง ๑๘ เดือน ทารกมีความสุขในชีวิตโดย ทำกิจกรรมต่าง ด้วยปาก เช่นการดูด เคี้ยว กัด เล่นด้วยเสียง ผู้ที่มีพัฒนาการขั้นนี้ไม่สมบูรณ์ในช่วงวัยนี้ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ยังชอบ แสวงหาความสุขด้วยปากอยู่อีก เช่น ชอบกินจุบจิบ ชอบพูดคุย ชอบ เคี้ยวหมากฝรั่ง ชอบนินทา ชอบสูบบุหรี่ ฯลฯ
(๒) ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะทวารหนัก (Anal stage) ช่วงนี้อายุโดยประมาณตั้งแต่ ๑๘ เดือนถึง ๓ ปี เป็นช่วงที่ทารก หาความสุข โดยทำกิจกรรมที่ใช้ทวารหนัก หากช่วงเวลสนี้มีพัฒนาการไม่สมบูรณ์ทารกนั้น จะโตเป็นผู้ใหญ่ ที่มีบุคลิกภาพเป็น คนเจ้าระเบียบ จู้จี้พิถีพิถัน รักความสะอาดอย่างมาก
(๓) ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศปฐมภูมิ (Phallic stage) ช่วงนี้อายุโดยประมาณตั้งแต่ ๓ ถึง ๖ ปี เด็กมีความพึงพอใจ ทำกิจกรรมที่เนื่องด้วยอวัยวะเพศ เช่น เล่นกับอวัยวะเพศของตน กิจกรรมนี้อาจทำให้พ่อแม่ตกใจ ควรทำความเข้าใจเสียว่า เป็นการเล่นขั้นหนึ่งในการพัฒนาการตามธรรมชาติ เมื่ออายุผ่านพ้นไปแล้วเด็กเลียน แบบผู้ใหญ่เพศเดียว กับตน ซึ่งตนรู้สึกรัก ใกล้ชิดสนิทสนม ถ้าตัวแบบนั้นเป็นพ่อแม่ของตน จะเป็นยุคเด็กชาย “ติดแม่” และ “เอาอย่างพ่อ” เป็นพิเศษในเพศกลับกัน เด็กหญิง “ติดพ่อ” และ “เอาอย่างแม่” เป็นพิเศษเช่นเดียวกัน ช่วงนี้ฟรอยด์เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤต (Critical period) สำหรับเลียนบทบาททางเพศให้คล้อยตามเพศของตนเอง เด็กหญิงเด็กชายที่ละเลย การเลียนแบบให้ถูกแนวในระยะเวลานี้ จะโตเป็นหญิงสาวชายหนุ่มที่นิยม แบบบทบาททางเพศตรงข้ามกับ เพศทางกายจริงของตน ฟรอยด์ยังเชื่อว่า การรู้จักผูกรักกับเพศตรงข้ามมีต้นกำเนิด ในช่วงเวลานี้เช่นกัน และเขายังอธิบายปมเอดิปัสไว้อย่างละเอียดว่าพัฒนาขึ้นในระยะเวลานี้ ซึ่งฟรอยด์ได้อธิบายเกี่ยวกับปม (Complex) นี้อย่างละเอียดแต่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้อย่างสังเขปมาก พร้อม ๆ กับการเลียนบทบาททางเพศ เด็กเริ่มพัฒนาความก้าวร้าว, อยากเป็นตัวของตัวเอง และเริ่มแสวงหาอัตลักษณ์แห่งตน (Self Identity)
(๔) ขั้นแสวงหาความสุขจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Latency stage) ช่วงนี้อยู่ระหว่างอายุประมาณ ๖ ถึง ๑๑ ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาพัก พัฒนาทักษะใหม่ (ศัพท์วิชาจิตวิทยาพัฒนาการเรียกว่า ระยะ plateau) พัฒนาการส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ระยะเวลานี้เด็กเริ่มพัฒนาชีวิตสังคมนอกครอบครัว ดังนั้นจึงแสวงหาความพึงพอใจ จากการติดต่อ กับผู้คนรอบตัวและเพื่อนร่วมวัย เพื่อนสนิทเป็นคนเพศเดียวกันมากกว่าคนต่างเพศ ทั้งนี้เป็นการสืบเนื่องจาก การเลียนและ เรียนบทบาททางเพศต่อออกไปจาขั้นที่ ๓ ข้างต้นดังนี้
(๕) ขั้นแสวงหาความสุขจากแรงกระตุ้นของทุติยภูมิทางเพศ (Genital stage) เด็กอายุประมาณ ๑๒ ถึง ๒๐ ปีย่างเข้าสู่วัยรุ่น และเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะทุติยภูมิ ทางเพศบรรลุวุฒิภาวะสมบูรณ์ทำงานได้เต็มที่ (เช่น เด็กหญิงมีระดูหน้าอกขยาย รังไข่ผลิตไข่ เพื่อสืบพันธุ์ เด็กชายถึงวัยผลิตน้ำอสุจิ ฯลฯ ) เด็กทั้งสองเพศมีความพอใจ คบหาสมาคม รักใครผูกพันกับเพื่อนต่างเพศ ขณะเดียวกันก็พยายามประพฤติตนให้สมบทบาททางเพศ โดยเลียนแบบคนเพศเดียวกันที่ตัวนิยม ระยะนี้มักเห้นแจ่มแจ้งว่า เด็กคนใดแสดงบทบาททางเพศผิดปกติ พวกนี้ได้แก่ผู้นิยมแสดงบทบาททางเพศตรงข้างเพศจริงของตน อีกพวกหนึ่งคือ เด็กที่ไม่มีเยื่อใย ต้องใจบุคคลต่างเพศ หรือเป็นเด็ก เลียนแบบบทบาททางเพศจากคนต้นแบบที่ผิด (เด็กที่แสดงบทบาททางเพศผิด ๆ ที่เรียกว่า ทอม ดี้ ตุ๊ด นั้นมีสาเหตุอย่างไรเป็นเรื่องยืดยาวเกินที่จะบรรยายได้ในที่นี้)
ผู้มีอายุตอนปลายในขั้นตอนนี้ ถ้าไม่ติดพันกับการศึกษา หรือการเริ่มอาชีพแล้ว มักแสวงหาคู่ครองแต่งงาน และครอบครัว
ฟรอยด์ย้ำว่า เมื่อเด็กพัฒนาถึงขึ้นนี้แล้วมิได้หมายความว่า เลิกแสวงหาความสุขจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ทางปาก ทางทวารหนัก ที่ผ่านมาแล้วในวัยต้น ยังอาจแสวงหาความสุขแบบนั้นต่อไป แต่ลดความติดใจและความเข้มข้นลง ผู้ที่พัฒนาตามขึ้นไม่สมบูรณ์ก็เกิดภาวะติดข้องอยู่ ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมแอบแฝงรูปแบบ ต่าง ๆ หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบอย่างอื่น ทางอ้อมแต่แรงจูงใจที่เป็นพื้นฐานคือภาวะติดข้องอยู่
กล่าวโดยสรุป บุคลิกภาพที่ดี คือการประสมประสาน การได้รับความพอใจตอบสนองแรงกระตุ้นจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเหล่านั้น ในอัตราส่วนที่เหมาะเจาะพอควรสมตามวัย แนวคิดเรื่อง Psychosexual developmental stage สัญชาติญาณ
ฟรอยด์กล่าวว่า สัญชาตญาณเป็นเรื่องที่อธิบายยากมาก เพราะตนเองก็ยังไม่เข้าใจสัญชาตญาณทั้งหมด อย่างดรก้ดีเขาได้อธิบาย สัญชาตญาณ ๒ ประเภทไว้ คือ ฐิติสัญชาตญาณ (Life Instinct) หรือมุ่งเป็น และภังคสัญชาตญาณ (Death Instinct) หรือมุ่งตาย (ศัพท์ ‘ฐิติ’ และ ‘ภังคะ’ เดิมเป็นศัพท์ในคัมภีร์พุทธสาสนา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน รับเข้าบรรจุไว้เป็นคำไทยแล้ว มีความหมายตรงตัว กับศัพท์อังกฤษในที่นี้จึงได้นำมาใช้) ๗๘๕๔
อานุภาพแห่งพลังจิตใต้สำนึก
รวบรวมจาก หนังสือ “พลังจิตใต้สำนึก”
โดย Dr Joseph Murphy
1. คุณเกิดมาเพื่อชัยชนะ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงด้วยพลังที่ทรงอานุภาพภายในกาย ซึ่งรอให้คุณปลุกขึ้นมาใช้ประโยขน์
2. จรงสร้างภาพแห่งความสำเร็จ และตระหนักถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต จากนั้นจิตใต้สำนึกก็จะสนองตอบ และผลักดันให้คุณบรรลถึง ซึ่งความสำเร็จ
3. แนวคิดต่างๆล้วนถูกลำเลียงสู่จิตใต้สำนึก ด้วยการกล่าวย้ำซ้ำทวน รวมทั้งการมีความเชื่อมั่น และคาดหวัง
4. กฎแห่งจิตใต้สำนึกไม่มีวันล้มเหลว และอะไรก็ตามที่ประทับลงไปในนั้น มันจะทำให้ปรากฎเป็นจริงขึ้นมา
5. คุณร่ำรวยเพราะสิ่งที่มีอยู่ภายใน... ทุกอย่างเป็นไปตามความเชื่อของคุณนั่นเอง
6. สูตรมหัศจรรย์แห่งความสำเร็จ คือการกล่าวย้ำซ้ำเตือนด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่า..... ”พระเจ้าทรงชี้แนะวิถีทางที่ดีกว่า เพื่อให้ฉันได้มีโอกาสรับใช้มนุษยชาติ
7. “ฉันเคารพ และอัญเชิญพระเจ้ามาประดิษฐานอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ฉันดำรงรักษาไว้ซึ่งความมีสุขภาพดี ความเลื่อมใสศรัทธา และเคารพยำเกรงต่อสภาวะแห่งความประเสริฐสุดภายในกาย”
8. จงตัดสินใจควบคุมชีวิตของเราเอง และคิดอย่างสร้างสรรค์ตามแนวทางของพระเจ้า เพื่อมิให้ต้องพบกับการแกว่งไกวของโชคเคราะห์
9. จงเดินทางเข้าไปในจิตวิญญาณ แล้วคุณจะค้นพบความร่ำรวยแห่งสวรรค์ แฝงฝังอยู่ในส่วนลึก
10. จงปรับคลื่นเข้าสู่พลังอันไร้ของเขต พร้อมกับล่วงรู้และรู้สึกว่าพลังไร้ขอบเขตเบื้องบนได้กำหนด ควบคุมและชี้นำชีวิต แล้วคุณจะถูกนำไปสู่ชีวิตที่สร้างสรรค์และสมดุล เป็นอิสระหลุดพ้นจากการแกว่งไกวอย่างรุนแรงของโชคชะตา
11. เราสามารถหนุนเนื่องตัวเองให้อยู่เหนือภาวะจำยอม และพันธนาการทั้งหลาย ของมวลแห่งจิตใจ ด้วยการอัญเชิญพระเจ้าเข้ามาอยู่ในจิตใจ และตระหนักว่า ความรักของพระองค์ อาบไร้จิตวิญญาณ ส่วนปัญญานั้นชโลมความคิดของคุณ
12. ความร่ำรวยเริ่มต้นที่ตัวคุณ ความคิดและความรู้สึกเป็นผู้สร้างโชคชะตา พลังอำนาจ คุณสมบัติ และศักยภาพต่างๆ แห่งพระเจ้า ถูกปิดกั้นอยู่ภายในจิตใต้สำนึก และคุณมีกุญแจที่เปิดเข้าสู่ขุมทรัพย์ภายใน นั่นก็คือ “ความคิดของคุณเอง”
13. มีพลังซ่อนเร้นอยู่ในตัวเราซึ่งสามารถหนุนเนื่องให้หลุดพ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วย จัดวางคุณไว้บนเส้นทางสู่ความสุขสงบและพรอันประเสริฐทั้งมวลแห่งชีวิต
14. มิใช่พายุ แต่เป็นใบเรือที่กำหนดทิศทางเรือฉันใด ความคิด ความรู้สึก และภาพจินตนาการของคุณ ที่กำหนดอนาคต และนำความร่ำรวยมาสู่ชีวิต
15. ความเชื่อมั่นศรัทธาคือการคาดหมาย อย่างมั่นใจว่า ภาพจินตนาการที่คุณสร้างขึ้นในใจจะกลายเป็นจริง
16. จงเติมจิตสำนึกด้วยสัจธรรมแห่งพระเจ้า แล้วคุณจะลบล้างและถอนรากถอนโคนรูปแบบในทางทำลายออกไป จากจิตใต้สำนึก ได้อย่างหมดสิ้น
17. การปรากฎของพระเจ้านั้น มาในรูปแบบของระเบียบวินัย ความสอดคล้องกลมกลืน สุขสงบ ความรัก การมีสุขภาพแข็งแรง และความเพียบพร้อม
18. จิตของพวกเราเป็นหนึ่งเดียว จิตไม่อยู่ในเงื่อนไขของเวลาและระยะทาง
19. เราสามารถพัฒนาประสาทสัมผัสพิเศษ โดยการถ่ายทอดแนวความคิดนี้ลงสู่จิตใต้สำนึก อันเป็นรากฐานที่ตั้งของประสาทสัมผัสพิเศษ ทั้งหลายทั้งปวง
20. หน้าที่หลักของมนุษย์ คือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
21. จงทำตัวให้ใกล้ชิดพระเจ้า แล้วพระองค์จะใกล้ชิดท่าน
22. ทุกๆสิ่งเกิดขึ้นเป็นคู่เสมอ เช่นกลางวัน-กลางคืน รุ่งเรือง-เสื่อมถอย, เหนือ-ใต้, ชาย-หญิง, สร้างสรรค์-ทำลาย, ใน-นอก, หวาน-ขม, หยุดนิ่ง-เคลื่อนไหว, ดีใจ-เสียใจ
23. ความคิดของคุณ เกิดขึ้นเป็นคู่เสมอ ความคิดที่มาจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ต้องมลายไป และความคิดที่มีอยู่ในพระเจ้า จะต้องถูกฟื้นฟูและดำรงอยู่ในตัวคุณ
24. จงแนบชิดสนิทกับพระเจ้า แล้วคุณจะมีจิตใจที่เยือกเย็นบรรลุถึงความมุ่งมาดปรารถนาทั้งมวล
25. ความสงบเย็นและความสันติสุขของพระเจ้า รอคอยอยู่หน้าประตูแห่งจิตวิญญาณของคุณตลอดเวลา
26. คุณเกิดมาในโลกนี้เพื่อแสดงตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ในสิ่งที่อยากทำ
27. คุณเป็นแม่พิมพ์ ผู้กำหนดรูปแบบและสร้างโชคชะตาตนเองด้วยวิถีแห่งความคิด
28. จิตใต้สำนึกของคุณ ตอบสนองต่อธรรมชาติแห่งความคิดและจินตนาการของจิตสำนึก
29. จงเรียกร้องต่อความเฉลียวฉลาดไร้ขอบเขตภายใน ให้แสดงแนวคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่อย่างชัดเจน.......จงเชื่อมั่น เพราะสิ่งต่างๆล้วนเป็นไปตามความเชื่อของคุณ
30. เจตนารมณ์ของพระเจ้า ก็คือให้คุณมีชีวิตที่มั่งคั่งสมบูรณ์ในโลกนี้
31. จิตแห่งสากลจักรวาล มีช่องทางนับพันๆล้านในการอำนวยพรอันประเสริฐ และคุณคือช่องทางของพระเจ้า จงยอมรับความดีงาม ของคุณเสียแต่บัดนี้
32. ถ้าใครบางคนชี้แนะว่า คุณเกิดมาเพื่อความสำเร็จหรือมีชัยชนะเหนือปัญหาชีวิตทั้งหลาย และคุณยอมรับสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยปราศจากความเคลือบแคลงแม้แต่น้อย ความมหัศจรรย์ ก็จะปรากฎขึ้นในชีวิตคุณ
33. จงมองให้เหนือกว่าภาพที่ปรากฏ และมุ่งมั่นอยู่กับความปรารถนาให้สิ่งที่มุ่งหมายกลายเป็นจริง แล้วคุณจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
34. จงเชื่อมั่นในความดีงามแห่งพระเจ้า เชื่อในแรงบันดาลใจ เชื่อในชีวิตที่มั่งคั่งยิ่งๆขึ้นไป
35. คุณคือท่อธารแห่งพระเจ้า ดังนั้นความร่ำรวยจะหลั่งไหลผ่านตัวคุณโดยไม่จำกัด
36. จงเชื่อมั่นว่า คุณคือบุตรแห่งพระเจ้า และเชื่อว่าคุณได้รับถ่ายทอดคุณสมบัติและพลังอันไร้ขอบเขตแห่งพระเจ้า หากยึดมั่นความเชื่อนี้ไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ก็จะสามารถสร้างความมหัศจรรย์ให้กับชีวิต จงเชื่อมั่นว่าคุณสามารถทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จลงได้ด้วย พลังอำนาจ อันเข้มแข็งแห่งพระเจ้าที่ส่งผ่านตัวคุณ
37. ถ้าคุณกล่าวกับภูเขาแห่งความยากลำบาก อุปสรรค ปัญหา ให้เคลื่อนย้ายด้วยความเชื่อมั่นว่าพลังอันไร้ของเขตสามารถดลบันดาล มันก็จะกลายเป็นจริง
38. ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามความเชื่อของคุณ จงเชื่อมั่นว่า พลังอันไร้ของเขตของพระเจ้า.......สรรพสิ่งล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
39. ศรัทธาที่แน่นเหนียว การคาดหมายที่ยิ่งใหญ่ ไฟแห่งจินตนาการ
40. ศรัทธาบำบัด เกิดด้วยแรงศรัทธาเชื่อมั่น จิตวิญญาณบำบัด คือปฏิกิริยาที่สอดคล้องของจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก เป็นการชี้นำอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มันมิใช่สิ่งที่เราเชื่อมั่น แต่เป็นตัวความเชื่อมั่นเอง ที่ก่อเกิดพลังบำบัดอันน่าทึ่งขึ้นมา
41. จงแปลเปลี่ยนความคิด แล้วโชคชะตาของคุณจะเปลี่ยนไป
42. จงรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าความรักของพระเจ้าห้อมล้อมคุณ
43. วิธีการซึมซับจิตใต้สำนึกของคุณไว้ด้วยความร่ำรวยอันมั่นคง ก็คือสงบจิต ระงับใจให้หลับไปทุกๆคือนพร้อมกับถ้อยคำที่ว่า “บัดนี้ความร่ำรวยเป็นของฉัน” แล้วความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นในชีวิต
44. ความศรัทธาในจิตใต้สำนึก ก็คือความร่ำรวยของคุณนั่นเอง
45. มีจิตดวงหนึ่ง เป็นจิตที่เป็นสากล ทุกสิ่งที่ดีงามมาจาก หรือถูกฝากไว้ที่จิตดวงนี้ คุณจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่ในจิตสากล โดยการปรับคลื่นเข้าไปหาเท่านั้น
46. “หากสูเจ้าต้องการความมั่งคั่ง สูเจ้าต้องไม่ครอบครอง”
ธรรมชาติของแรงจูงใจ
1. ความต้องการ
ความต้องการ (needs) เป็นสภาพที่บุคคลขาดสมดุล เกิดแรงผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อสร้างสมดุลให้ตัวเอง เช่น คนที่รู้สึกเหนื่อยล้าโดยการนอน หรือนั่งพัก หรือเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนอิริยาบถ ดูหนังฟังเพลง คนที่ถูกทิ้ง ให้อยู่คนเดียว เกิดความต้องการความรักความสนใจจากผู้อื่น เป็นแรงผลักดันให้คนๆ นั้น กระทำการบางอย่าง เพื่อให้ได้รับความรักความสนใจ ความต้องการมีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรม กล่าวได้ว่าสิ่งที่กระตุ้น ให้บุคคล แสดงพฤติกรรม เพื่อบรรลุจุดหมายปลายทางที่ต้องการนั้น ส่วนใหญ่เกิดเนื่องมาจากความต้องการของบุคคล ความต้องการในคนเรามีหลายประเภท นักจิตวิทยาแต่ละท่าน จะอธิบายเรื่อง ความต้องการในรูปแบบต่างๆ กัน แต่โดยทั่วไปแล้ว เราอาจแบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ความต้องการทางกาย (Physical Needs) เป็นความต้องการที่เกิดจากธรรมชาติของร่างกาย เช่น ต้องการกินอาหาร หายใจ ขับถ่ายของเสีย การเคลื่อนไหว พักผ่อน และต้องการทางเพศ ความต้องการทางกายทำให้เกิดแรงจูงใจ ให้บุคคลกระทำการ เพื่อสนองความต้องการดังกล่าว เรียกแรงจูงใจที่เกิดจากความต้องการทางกายนี้ว่า แรงจูงใจทางชีวะภาพ หรือทางสรีระ (biological motives)
2. ความต้องการทางสังคม หรือ ความต้องการทางจิตใจ (Social or Psychological Needs) เป็นความต้องการที่เกิดจาก การเรียนรู้ทางสังคม เช่น ต้องการความรัก ความมั่นคง ปลอดภัย การเป็นที่ยอมรับในสังคม ต้องการอิสระภาพ ความสำเร็จ ในชีวิต และตำแหน่งทางสังคม ความต้องการทางสังคมหรือทางจิตใจดังกล่าวนี้ เป็นเหตุให้มนุษย์แสดง พฤติกรรม เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการดังกล่าวคือ ทำให้เกิดแรงจูงใจที่เรียกว่า แรงจูงใจทางสังคม (Social Motives)
2. แรงขับ
แรงขับ (drives) เป็นแรงผลักดันที่เกิดจากความต้องการทางกาย และสิ่งเร้าจากภายในตัวบุคคล ความต้องการ และแรงขับมักเกิด ควบคู่กัน คือ เมื่อเกิดความต้องการแล้วความต้องการนั้นๆ ไป ผลักดันให้เกิดพฤติกรรม เราเรียกว่า เป็นแรงขับนอก จากนั้นแรงขับ ยังหมายถึง สภาพทางจิตวิทยาที่เป็นผล เนื่องมาจากความต้องการทางกาย เช่น ความหิว ทำให้เกิดสภาพทางจิตวิทยาคือ ใจสั่น ตาลอย หงุดหงิด อารมณ์เสีย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในหน่วยงาน เช่น การเร่งร้อน หาข้อสรุปจากการประชุม ในบรรยากาศที่ผู้เข้าประชุมทั้งหิว ทั้งเหนื่อย แทนที่จะได้ข้อสรุปที่ดี บางครั้งกลับ ก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้ง ไม่ได้รับผลสำเร็จตามที่ต้องการ หรือเพราะด้วยความหิว ความเหนื่อย ทำให้รีบสรุปและตกลง เรื่องงานโดยขาดการไตร่ตรอง เพื่อจะได้รับประทานอาหารและพักผ่อน ซึ่งอาจก่อให้เกิด ผลเสียต่องานได้ แต่ในบางกรณี บุคคลบางคนก็อาจฉวยโอกาสของการที่คน ในที่ประชุมอยู่ในภาวะมีแรงขับด้านความหิว ความเหนื่อย มาเป็น ประโยชน์ ให้ลงมติบางเรื่องโดยง่ายและรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ต่องาน
3. สิ่งล่อใจ
สิ่งล่อใจ (incentives) เป็นสิ่งชักนำบุคคลให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ จัดเป็น แรงจูงใจภายนอก เช่น การชักจูงให้คนงานมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ โดยยกย่องพนักงาน ที่ไม่ขาดงานให้เป็นที่ปรากฏ การประกาศเกียรติคุณ หรือการ จัดสรรรางวัล ในการคัดเลือกพนักงาน หรือบุคคลดีเด่นประจำปี การจัดทำเนียบ “Top Ten” หรือสิสาขาดีเด่นขององค์การ การมอบโล่รางวัลแก่ฝ่ายงาน ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในรอบปี ฯลฯ ตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้ จัดเป็นการใช้สิ่งล่อใจ มาสร้างแรงจูงใจ ในการทำงาน ให้เกิดแก่พนักงานขององค์การทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า สิ่งล่อใจนั้น อาจเป็น วัตถุ เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นคำพูด ที่ทำให้บุคคลพึงพอใจ
4. การตื่นตัว
การตื่นตัว (arousal) เป็นภาวะที่บุคคลพร้อมที่จะแสดงพฤติกรรม สมองพร้อมที่จะคิด กล้ามเนื้อพร้อมที่จะเคลื่อนไหว นักกีฬาที่อุ่นเครื่องเสร็จพร้อมที่จะแข่งขันหรือเล่นกีฬา พนักงานต้อนรับที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้า ฯลฯ ลักษณะดังกล่าวนี้เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องพร้อมจะทำงาน บุคลากรในองค์การถ้ามีการตื่นตัวในการทำงาน ย่อมส่งผลให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาธรรมชาติ พฤติกรรมของมนุษย์พบว่า การตื่นตัวมี 3 ระดับ คือ การตื่นตัวระดับสูง การตื่นตัวระดับกลาง และการตื่นตัวระดับต่ำ ระดับที่นักจิตวิทยาค้นพบว่าดีที่สุดได้แก่ การตื่นตัวระดับกลาง ถ้าเป็นการตื่นตัวระดับสูง จะตื่นตัวมากไปจนกลายเป็นตื่นตกใจ หรือตื่นเต้น ขาดสมาธิในการทำงาน ถ้าตื่นตัวระดับต่ำก็มักทำงานทำงานเฉื่อยชา ผลงานเสร็จช้า และจากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ทำให้บุคคลตื่นตัว มีทั้งสิ่งเร้าภายนอก และสิ่งเร้าภายในตัวได้แก่ ลักษณะส่วนตัวของบุคคล แต่ละคนที่มีต่างๆ กัน ทั้งในส่วนที่เป็นบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และระบบสรีระภายในของผู้นั้น
นักจิตวิทยาที่ทำการศึกษาเรื่องการตื่นตัวในเชิงสรีระที่มีชื่อเสียงได้แก่ เฮบบ์ (Donald O.Hebb) ซึ่งเขได้ทำ การศึกษาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1955 และค้นคว้าเพิ่มเติมติดต่อกันเรื่อยมา ผลงานล่าสุดเท่าที่ค้นคว้าได้มีถึง ค.ศ.1972 เขากล่าวว่า การตื่นตัวกับอารมณ์ของมนุษย์มีความสัมพันธ์กัน และในขณะตื่นตัวการทำงาน ทางสรีระของมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น การเต้นของหัวใจจะแรงขึ้น กล้ามเนื้อจะเกร็ง ระบบประสาทอัตโนมัติ อยู่ในภาวะพร้อม จะทำงานเต็มที่ ซึ่งนักจิตวิทยามักเรียก ภาวะพร้อมของคนดังกล่าวนี้ว่า “ปฏิกิริยาพร้อมสู้ และพร้อมหนี” ซึ่งคำกล่าวนี้ เป็นการเปรียบเทียบอาการตื่นตัวของหมีป่า ถ้ามันจนมุมมันก็พร้อมสู้กับศัตรู ดังคำกล่าวที่ว่า “สุนัขจนตรอก” แต่ถ้ามันมองเห็น ช่องทางหนี มันก็จะหลบเร้นออกจากการต่อสู้นั้น คือพร้อมที่จะทำได้ทุกรูปแบบ
5. การคาดหวัง
การคาดหวัง (expectancy) เป็นการตั้งความปรารถนา หรือการพยากรณ์ล่วงหน้าของบุคคล ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ตัวอย่างเช่น การที่คนงานคาดหวังว่า พวกเขาจะได้รับโบนัสประจำปีสัก 4-5 เท่าของเงินเดือน การคาดหวังดังกล่าวนี้ ส่งผลให้พนักงาน ดังกล่าว กระปรี้กระเปล่า มีชีวิตชีวา ซึ่งบางคนก็อาจจะสมหวัง และมีอีหลายคนที่ผิดหวัง ในชีวิตจริง ของคนเราโดยทั่วไป สิ่งที่คาดหวัง กับ สิ่งที่เกิดขึ้น มักไม่ตรงกันเสมอไป ช่วงห่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถ้าห่างกันมาก ก็อาจทำให้คนงานคับข้องใจ และ เกิดปัญหา ขัดแย้งอื่นๆ ตามมา เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารงาน จึงควรระวังในเรื่องดังกล่าว ที่จะต้องมีการสื่อสาร สร้างความเข้าใจ ที่ถูกต้องในกันและกัน การสร้างความหวัง หรือ การปล่อยให้พนักงาน คาดหวังลมๆ แล้งๆ โดยที่สภาพความเป็นจริง ทำไม่ได้ อาจจะก่อให้ เกิดปัญหายุ่งยากที่คาดไม่ถึง ในเวลาต่อไป ดังตัวอย่างที่เห็นได้จาก การที่กลุ่มคนงานของบริษัทใหญ่บางแห่ง รวมตัวกัน ต่อต้าน ผู้บริหาร และ เผาโรงงาน เนื่องมาจาก ไม่พอใจที่ไม่ได้โบนัสประจำปีตามที่คาดหวังไว้ว่าควรจะได้
การคาดหวังก่อให้เกิดแรงผลักดัน หรือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญต่อพฤติกรรมอีกส่วนหนึ่ง ในองค์การ ถ้าได้มีการกระตุ้น ให้พนักงาน ทำงานโดยวางแผนและเป้าหมาย ตั้งระดับของผลงานตามที่ควรจะเป็น อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยยกระดับ มาตราฐานของผลงาน ของพนักงาน ซึ่งเมื่อได้ผลงานดีขึ้น ผู้บริหารก็พิจารณาผลตอบแทน ที่ใกล้เคียงกับ สิ่งที่พนักงาน คาดว่า ควรจะได้ เช่นนี้นับว่า ได้รับประโยชน์พร้อมกัน ทั้งฝ่ายเจ้าของกิจการและผู้ปฏิบัติงาน
6. การตั้งเป้าหมาย
การตั้งเป้าหมาย (goal settings) เป็นการกำหนดทิศทางและ จุดมุ่งหมายปลายทางของ การกระทำกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่งของบุคคล จัดเป็นแรงจูงใจจากภายในของบุคคลผู้นั้น ในการทำงานธุรกิจที่มุ่งเพิ่มปริมาณและคุณภาพ ถ้าพนักงานหรือนักธุรกิจมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน จะส่งผลให้ทำงานอย่างมีแผน และดำเนินไปสู่เป้าหมาย ดังกล่าวเสมือนเรือที่มีหางเสือ ซึ่งในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นจะเห็นว่า มีคนบางคนที่ทำอะไร ก็มักประสบความสำเร็จ หรือไม่สำเร็จดังกล่าว อาจจะมีหลายประการ แต่ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลมากต่อความสำเร็จในการทำงาน คือการตั้งเป้าหมายในการทำงานแต่ละงานไว้ล่วงหน้า ซึ่งเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารงาน ควรสนับสนุน ให้พนักงาน ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อความเจริญก้าวหน้าขององค์การ และตัวของพนักงานเอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดในเรื่องที่มาของแรงจูงใจ ซึ่งได้แก่ ความต้องการ แรงขับ สิ่งล่อใจ การตื่นตัว การคาดหวัง และ การตั้งเป้าหมาย จะเห็นได้ว่าค่อนข้างยากที่จะกล่าวอธิบายแต่ละเรื่องแยกจากกันโดยเอกเทศ ทั้งนี้เนื่องจาก แต่ละเรื่องมี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น ความต้องการ ทำให้เกิด ภาวะขาดสมดุล ภายในร่างกาย หรือ จิตใจ มนุษย์อยู่ใน ภาวะขาดสมดุลไม่ได้ ต้องหาทางสนอง ความต้องการ เพื่อให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ส่งผลให้เกิดแรงขับหรือแรงผลักดันพฤติกรรม ทำให้มนุษย์แสดง พฤติกรรม อย่างมีทิศทาง มุ่งไปสู่เป้าหมาย เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว แรงผลักดันพฤติกรรมก็ลดลง ภาวะสมดุลก็กลับคืนมา อีกครั้งหนึ่ง จากคำอธิบายดังนี้ จะเห็นได้ว่า ที่มาของแรงจูงใจหลายเรื่องมี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
รูปแบบของแรงจูงใจ
บุคคลแต่ละคนมีรูปแบบแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ซึงนักจิตวิทยาได้แบ่งรูปแบบ แรงจูงใจของมนุษย์ออกเป็นหลายรูปแบบที่สำคัญ มีดังนี้
1. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้บุคคลพยายามที่จะประกอบพฤติกรรม ที่จะประสบสัมฤทธิผลตามมาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Excellence) ที่ตนตั้งไว้ บุคคลที่มีแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ จะไม่ทำงานเพราะ หวังรางวัล แต่ทำเพื่อจะ ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว ้ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. มุ่งหาความสำเร็จ (Hope of Success) และกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)
2. มีความทะเยอทะยานสูง
3. ตั้งเป้าหมายสูง
4. มีความรับผิดชอบในการงานดี
5. มีความอดทนในการทำงาน
6. รู้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง
7. เป็นผู้ที่ทำงานอย่างมีการวางแผน
8. เป็นผู้ที่ตั้งระดับความคาดหวังไว้สูง
2. แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motive)ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ มักจะเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี เป็นที่รักของเพื่อน มีลักษณะเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเมื่อศึกษาจากสภาพครอบครัวแล้วผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์มักจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น บรรยากาศในบ้านปราศจาก การแข่งขัน พ่อแม่ไม่มีลักษณะข่มขู่ พี่น้องมีความรักสามัคคีกันดี ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. เมื่อทำสิ่งใด เป้าหมายก็เพื่อได้รับการยอมรับจากกล่ม
2. ไม่มีความทะเยอทะยาน มีความเกรงใจสูง ไม่กล้าแสดงออก
3. ตั้งเป้าหมายต่ำ
4. หลีกเลี่ยงการโต้แย้งมักจะคล้อยตามผู้อื่น
3. แรงจูงใจใฝ่อำนาจ (Power Motive) สำหรับผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจนั้น พบว่า ผู้ที่มีแรงจูงใจแบบนี้ส่วนมาก มักจะพัฒนามาจาก ความรู้สึกว่า ตนเอง "ขาด" ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ อาจจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดมีความรู้สึกเป็น "ปมด้วย" เมื่อมีปมด้วย จึงพยายามสร้าง "ปมเด่น" ขึ้นมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ตนเองขาด ผู้มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจจะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. ชอบมีอำนาจเหนือผู้อื่น ซึ่งบางครั้งอาจจะออกมาในลักษณะการก้าวร้าว
2. มักจะต่อต้านสังคม
3. แสวงหาชื่อเสียง
4. ชอบเสี่ยง ทั้งในด้านของการทำงาน ร่างกาย และอุปสรรคต่าง ๆ
5. ชอบเป็นผู้นำ
4. แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว (Aggression Motive)ผู้ที่มีลักษณะแรงจูงใจแบบนี้มักเป็นผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป บางครั้งพ่อแม่อาจจะใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นเด็กจึงหาทางระบายออกกับผู้อื่น หรืออาจจะเนื่องมาจากการเลียนแบบ บุคคลหรือจากสื่อต่าง ๆ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
1. ถือความคิดเห็นหรือความสำคัญของตนเป็นใหญ่
2. ชอบทำร้ายผู้อื่น ทั้งการทำร้ายด้วยกายหรือวาจา
5. แรงจูงใจใฝ่พึ่งพา (Dependency Motive) สาเหตุของการมีแรงจูงใจแบบนี้ก็เพราะการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ทะนุถนอมมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่ พึ่งพา จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. ไม่มั่นใจในตนเอง
2. ไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง มักจะลังเล
3. ไม่กล้าเสี่ยง
4. ต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจจากผู้อื่น
การจำแนกแรงจูงใจ (Classification of motives)
แรงจูงใจ สามารถจำแนกประเภทได้หลายวิธีที่มีความสำคัญมากได้แก่ การจำแนกประเภทของแรงจูงใจออกเป็น 5 ลักษณะดังนี้
(1) แรงจูงใจทั่วไป
(2) แรงจูงใจด้านร่างกายกับด้านจิตวิทยา
(3)แรงจูงใจที่รีบด่วน
(4) แรงจูงใจลำดับแรกกับแรงจูงใจลำดับสอง และ
(5) แรงจูงใจที่รู้สึกตัวกับแรงจูงในที่ไม่รู้สึกตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้
แรงจูงใจทั่วไป (Generic motives)
ปกติจะหมายถึง แรงจูงใจที่มีพื้นฐานมาจากความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศการต่อสู้เพื่อการดำรงชีวิต ความภาคภูมิใจ ความสามารถเข้าสังคมได้ ความอยากรู้อยากเห็น ความกลัวและการปกป้องตัวเอง เป็นต้น วิธีการจัดกลุ่มของแรงจูงใจใดๆ ปกติมักจะให้ข้อมูลที่มากกว่า ความเป็นลักษณะทั่วไปอย่างง่ายๆ เช่น การจัดกลุ่มแรงจูงใจเป็นแรงจูงใดด้านร่างกาย และแรงจูงใจด้านจิตวิทยา
แรงจูงใจด้านร่างกาย (Physiological motives)
จะเป็นแรงจูงใจที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่พื้นฐานของร่างกายด้านกายภาพ เช่น ความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ การขจัดของเสียออกจากร่างกาย การพักผ่อน การทำงาน และความสุขสบายทางร่างกาย เป็นต้น
แรงจูงใจด้านจิตวิทยา (Psychological motives)
คือ แรงจูงใจทั้งหลายที่มีอยู่ในจิตใจ (mind) เช่น ความปลอดภัย ความรัก การบรรลุความปรารถนา ความภาคภูมิใจ การสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง การแสวงหาสถานภาพ การเป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นๆ ความสุ่ข ความเศร้า และการมีอำนาจ เป็นต้น
แม้ว่าแรงจูงใจจะไม่มีแรงจูงใจที่พิจารณาในแง่าของการที่ต้องตอบสนองทันทีทันใด หรือไม่สามารถเลื่อนการตอบสนองออกไปได้ โดยแรงจูงใจที่รีบด่วนเป็นแรงจูงใจที่ต้องมีการตอบสนองในทันทีคอยไม่ได้ เราไม่อาจจะระบุชนิดของแรงจูงใจที่เป็นแบบรีบด่วนได้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้บริโภคแต่ละคนที่แตกต่างกันแะในช่วงของเวลาของบุคคลแต่ละคนที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น ความหิวอาจมี
การจำแนกแรงจูงใจ (Classification of motives)
แรงจูงใจมีมากมายหลายอย่าง แต่พอจะแบ่งออกได้เป็นสองประเภทดังนี้
ก. แรงขับปฐมภูมิ (primary drives)
เป็นแรงขับที่มีกำเนิดมาจากความต้องการทางร่างกาย และไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ (unlearned) เช่น ความหิวและความกระหาย มักจะเรียกว่าแรงขับทางสรีรวิทยา (physiological drives) นอกจากนั้นอาจมีแรงจูงใจบางอย่างที่มิได้เกิดจากการเรียนรู้เช่นกัน แต่มิได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น ความรัก ความอยากรู้อยากเห็น การกระตุ้นความรู้สึกจากการสัมผัส (sensory stimulation) เป็นต้น
1. ความหิว (hunger) ร่างกายต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโต อาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต ความรู้สึกหิว จะแตกต่างกันไปในแต่ละคนและแต่ละเวลา สมองบางส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมของความหิวและการกินอาหาร ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ hypothalamus
2. ความกระหาย (Thirst) น้ำเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับร่างกาย น้ำจะสูญเสียไปจากร่างกายในลักษณะต่างๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางปอด ต่อมเหงื่อและไต เมื่อมีการสูญเสียน้ำเกิดขึ้นร่างกาย จำเป็นจะต้องรักษา ความสมดุลย์ของน้ำ และอิเล็กโทรไลท์ให้คงอยู่ ความต้องการในลักษณะเช่นนี้จึงก่อให้แรงขับของความกระหาย ศูนย์ควบคุมความกระหายอยู่ที่ hypothalamus ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ประสาทที่ไวต่อการสูญเสียน้ำมาก
3. แรงขับทางเพศและความเป็นมารดา (Sex and maternal drives) เราเชื่อว่าแรงขับทางเพศและความเป็นมารดา (meternal behavior) เป็นแรงขับทางสรีรวิทยา เพราะว่าในสัตว์ที่ต่ำกว่าคน สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนในเลือด androgens ซึ่งหลั่งออกมาจากอัณฑะ (testes) ของผู้ชายก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศแบบผู้ชาย estrogens ซึ่งหลั่งออกมาจากรังไข่ (ovaries) ของผู้หญิงก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศแบบผู้หญิง โดยปรกติความรู้สึกทางเพศในผู้หญิง จะมีมากเมื่อตอนไข่สุก และพร้อมที่จะเคลื่อน หรือเคลื่อนลงมาแล้วในมดลูก เมื่อมีกิจกรรมทางเพศในระยะนี้อาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนตัวอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องการมีตัวเด็ก (fetus) ในมดลูกกระตุ้นให้มี prolactin จากต่อมปิติวอิทตารี่ prolactin ดังกล่าวจะกระตุ้นต่อมนม ทำให้มีนมหลั่งออกมาสำหรับเลี้ยงทารก prolaction ยังมีส่วนทำให้เกิดพฤติกรรมของความเป็นมารดาในแม่อีกด้วย
4. อุณหภูมิ (Temperature) ร่างกายต้องการความอบอุ่นและความหนาวเย็นที่พอเหมาะ กล่าวคือไม่ร้อนและหนาวจนเกินไป อากาศร้อนจัดหรือหนาวจัดจะก่อให้เกิดการปรับตัวทางร่างกาย เพื่อให้อุณหภูมิคงที่และเกิดแรงจูงใจในการแสวงหาเครื่องนุ่งห่ม ตัวรับ (receptors) สำหรับอุณหภูมิอยู่ที่ผิวหนัง ส่วนศูนย์ควบคุมอุณหภูมิที่ไฮโปทาลามัส
5. การหลีกหนีความเจ็บปวด (Avoidance of pain) ความต้องการที่จะหลีกหนีภยันตรายต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
6. ความอยากรู้อยากเห็นและการกระตุ้นความรู้สึกจากการสัมผัส (Curiosity and sensory stimulation) ถ้าเรามองดูพฤติกรรมในแต่ละวันทั้งของคนและสัตว์จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มาจากแรงขับทางสรีรวิทยาที่เกี่ยวกับความอยากรู้ อยากเห็นและการกระตุ้นความรู้สึกจากการสัมผัส ตัวอย่าง คนเราต้องใช้ตามองหลายสิ่งหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน : หนังสือ รูปภาพ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ทิวทัศน์ ภูเขา การแข่งขันกีฬา รถยนต์ เสื้อผ้า และจุดสนใจอื่นๆ บางครั้งเราต้องใช้พลังงานในกิจกรรมบางอย่าง เช่น การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การยกของ การเย็บเสื้อผ้า การเดินทาง และอื่นๆ การจูงใจมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง มิฉะนั้นคนเราจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ แต่แรงจูงใจในกรณีเหล่านี้มิได้เป็นเรื่องทางสรีรวิทยาโดยตรง
7. กิจกรรมและการจัดแจง (Activity and manipulation) แรงจูงใจบางอย่างมีกิจกรรมทางร่างกายและการจัดแจงเป็นเป้าประสงค์ ทั้งสัตว์และมนุษย์ต้องเสียเวลามากทีเดียว ในการเดินไปเดินมาโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน สัตว์บางอย่างเช่นหนูถีบจักร จะต้องถีบจักรให้มนุษย์อยู่เรื่อย สัตว์ชั้นสูงหรือคนชอบวุ่นวายหรือจัดแจงสิ่งของบางอย่าง เช่น เด็กเล่นง่วนอยู่กับของเล่น บางคนก็ชอบจับฉวย หยิบโน่นจับนี่
8. แรงจูงใจเกี่ยวกับความสามารถ (Competence motive)ถ้าเราแสวงหาหลักการในการศึกษา เรื่องของความอยากรู้อยากเห็น และกิจกรรมต่างๆ เราอาจสรุปได้ว่า มีแรงจูงใจทั่วไปอย่างหนึ่งแฝงอยู่เบื้องหลัง สิ่งนี้คือแรงจูงใจสำหรับความสามารถ (motive for competence) ทั้งคนและสัตว์จะถูกจูงใจโดยแรงขับอันนี้ให้รู้จักศักยภาพ (potentialities) ของตนเองอย่างเต็มที่ และการกระทำดังกล่าว ก็ก่อให้เกิดความพอใจด้วย
ข. แรงขับทุติยภูมิ (secondary drives)
เป็นแรงขับที่สลับซับซ้อนมากกว่าแรงขับปฐมภูมิ ส่วนใหญ่เกิดจากการเรียนรู้ แต่บางทีก็ไม่ใช่ แรงขับทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงได้ (modified) โดยการเรียนรู้ทำนองเดียวกับแรงขับประเภทแรก บางทีเรียกว่าแรงจูงใจทางสังคม (social motives) หรือแรงขับทางจิตใจ (psychological drives) Morgan แบ่งแรงจูงใจทางสังคมออกเป็น
1. ความรักและความเกี่ยวเนื่อง (Affection and affiliation) แรงจูงใจทั้งสองอย่างนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด แต่ก็พอจะแยกออกจากกันได้ อันแรกคือความปรารถนาที่จะรักคนอื่น โดยเริ่มต้นกับแม่ของตนเอง อันหลังเป็นแรงจูงใจที่จะอยู่กับคนอื่น เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความรักและความเกี่ยวเนื่องผูกพันกับคนอื่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น แรงจูงใจเช่นนี้จะต้องมีต่อผู้อื่นด้วย นอกเหนือจากพ่อแม่และพี่น้องของตน มีการตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ
2. การยอมรับและการยกย่องทางสังคม (Social approval and esteem) เมื่อคนเราเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมก็จะต้องมีความรู้สึกว่าคนได้รับการยกย่องทางสังคม สิ่งนี้ยังรวมไปถึงแรงจูงใจเกี่ยวกับสถานภาพ (status) ตำแหน่ง (rank) ชื่อเสียง (prestige) และอำนาจ (power)
3. ความสัมฤทธิ์ (Achievement) แม้นักจิตวิทยาจะยอมรับว่าการยกย่องตนเอง (self-esteem) เป็นแรงจูงใจที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่แรงจูงใจที่มีการศึกษากันอย่างกว้างขวางที่สุดกลับเป็นความต้องการของความสัมฤทธิ์ (need for achievement)
4. ความก้าวร้าว (Aggression) บางคนคิดว่าความก้าวร้าวจัดอยู่ในพวกแรงจูงใจทางสังคม เนื่องจากความรุนแรง ความก้าวร้าว และสงคราม เป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งทุกวันนี้ คนส่วนมากจึงมักคิดว่าความก้าวร้าวเป็นเรื่องของสัญชาตญาณมากกว่า อย่างไรก็ตามจากการศึกษาเป็นจำนวนมาก พอจะสรุปได้ว่าความก้าวร้าวเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์บางอย่าง ตัวอย่างเช่น เมื่อเราแย่งของเล่นมาจากเด็กทันทีทันใด เด็กจะแสดงความโกรธออกมา จากการศึกษาของ Dollard และพรรคพวก (1939) ตอนแรกพบว่า “ความคับข้องใจจะนำไปสู่ความก้าวร้าวเสมอ แต่ตอนหลังพบว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป ความคับข้องใจทำให้เกิดผลที่ตามมาเป็นอย่างอื่นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์ นอกจากนั้นสาเหตุของความก้าวร้าวยังมีผลตามมาเป็นอย่างอื่นได้ขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์
การจัดลำดับขั้นของความต้องการในทัศนะของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of needs)
Abraham Maslow ซึ่งเป็นผู้นำที่สำคัญคนหนึ่งของนักจิตวิทยาแนวมนุษยนิยม ได้จำแนกแรงจูงใจของคนเราอีกทัศนะหนึ่ง โดยมีการจัดลำดับขั้นของแรงจูงใจจากความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพ (basic biological needs) ซึ่งมีมาตั้งแต่เกิดไป จนกระทั่งถึงแรงจูงใจทางจิตใจที่ซับซ้อนมากกว่า แรงจูงใจประเภทหลังนี้ จะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อ ความต้องการพื้นฐานได้รับ การตอบสนองจนเป็นที่พอใจแล้ว
รูป การจัดลำดับขั้นของความต้องการในทัศนะของ Maslow
Maslow ได้จัดลำดับขั้นของความต้องการไว้ดังนี้
1. ความต้องการทางสรีรวิทยา (physiological needs) : ความหิว ความกระหาย เป็นต้น
2. ความต้องการทางความปลอดภัย (sefty needs) : การรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ปราศจากอันตราย
3. ความต้องการทางความเป็นเจ้าของและความรัก (Belongingness and love need) : การผูกพันกับคนอื่น การได้รับการยอมรับและการเป็นเจ้าของ
4. ความต้องการทางการยกย่อง (esteem needs) : การบรรลุผลสำเร็จ การมีความสามารถ การได้รับการยอมรับและการรู้จักจากคนอื่น
5. ความต้องการทางการรู้ (cognitive needs) : การรู้ การเข้าใจและการสำรวจ
6. ความต้องการทางสุนทรียภาพ (aesthetic needs) : สมมาตร ความมีระเบียบและความงาม
7. ความต้องการทางความจริงแท้แห่งตน (self-actualization needs) : การพบความสำเร็จแห่งตนและการเข้าใจศักยภาพของตน
มีความเห็นว่าอย่างน้อยที่สุดความต้องการในระดับต่ำจะต้องได้รับการตอบสนองจนเกิดความพอใจเสียก่อน ความต้องการในระดับที่สูงขึ้นมา จึงสามารถกลายเป็นแหล่งกำเนิดอันสำคัญของการจูงใจได้
ทฤษฎีความต้องการ (Need Theories)
1. ทฤษฎีลำดับความต้องการ (Hierachy of Needs Theory)
เป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นโดย อับราฮัม มาสโลว์ (Abrahum Maslow) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแบรนดีส์ เป็นทฤษฎีที่รู้จักกันมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งระบุว่าบุคคลมีความต้องการเรียงลำดับจากระดับพื้นฐานที่สุดไปยังระดับสูงสุด กรอบความคิดที่สำคัญของทฤษฎีนี้มีสามประการ คือ
1. บุคคลเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการ ความต้องการมีอิทธิพลหรือเป็นเหตุจูงใจต่อพฤติกรรม ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการสนองตอบเท่านั้นที่เป็นเหตุจูงใจ ส่วนความต้องการที่ได้รับการสนองตอบแล้วจะไม่เป็นเหตุจูงใจอีกต่อไป
2. ความต้องการของบุคคลเป็นลำดับชั้นเรียงตามความสำคัญจากความต้องการพื้นฐาน ไปจนถึงความต้องการที่ซับซ้อน
3. เมื่อความต้องการลำดับต่ำได้รับการสนอบตอบอย่างดีแล้ว บุคคลจะก้าวไปสู่ความต้องการลำดับที่สูงขึ้นต่อไป
มาสโลว์ เห็นว่าความต้องการของบุคคลมีห้ากลุ่มจัดแบ่งได้เป็นห้าระดับจากระดับต่ำไปสูง เพื่อความเข้าใจมักจะแสดงลำดับของความต้องการเหล่านี้ โดยภาพ ดังนี้
ภาพ แสดงลำดับความต้องการของมนุษย์ตามแนวคิดของมาสโลว์
ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs)
เป็นความต้องการลำดับต่ำสุดและเป็นพื้นฐานของชีวิต เป็นแรงผลักดันทางชีวภาพ เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ อากาศ ที่อยู่อาศัย หากพนักงานมีรายได้จากการปฏิบัติงานเพียงพอ ก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยมีอาหารและที่พักอาศัย เขาจะมีกำลังที่จะทำงานต่อไป และการมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม เช่น ความสะอาด ความสว่าง การระบายอากาศที่ดี การบริการสุขภาพ เป็นการสนองความต้องการในลำดับนี้ได้
ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs)
เป็นความต้องการที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ความต้องการทางร่างกายได้รับการตอบสนองอย่างไม่ขาดแคลนแล้ว หมายถึงความต้องการสภาพแวดล้อมที่ปลอดจากอันตรายทั้งทางกายและจิตใจ ความมั่นคงในงาน ในชีวิตและสุขภาพ การสนองความต้องการนี้ต่อพนักงานทำได้หลายอย่าง เช่น การประกันชีวิตและสุขภาพ กฎระเบียบข้อบังคับที่ยุติธรรม การให้มีสหภาพแรงงาน ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เป็นต้น
ความต้องการทางสังคม (Social Needs)
เมื่อมีความปลอดภัยในชีวิตและมั่นคงในการงานแล้ว คนเราจะต้องการความรัก มิตรภาพ ความใกล้ชิดผูกพัน ต้องการเพื่อน การมีโอกาสเข้าสมาคมสังสรรค์กับผู้อื่น ได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือหลายกลุ่ม
ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง (Esteem Needs)
เมื่อความต้องการทางสังคมได้รับการตอบสนองแล้ว คนเราจะต้องการสร้างสถานภาพของตัวเองให้สูงเด่น มีความภูมิใจและสร้างการนับถือตนเอง ชื่นชมในความสำเร็จของงานที่ทำ ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองแลเกียรติยศ ความต้องการเหล่านี้ได้แก่ ยศ ตำแหน่ง ระดับเงินเดือนที่สูง งานที่ท้าทาย ได้รับการยกย่องจากผู้อื่น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในงาน โอกาสแห่งความก้าวหน้าในงานอาชีพ เป็นต้น
ความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต (Self-actualization Needs)
เป็นความต้องการระดับสูงสุด คือต้องการจะเติมเต็มศักยภาพของตนเอง ต้องการความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาสูงสุดของตัวเอง ความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาทักษะความสามารถให้ถึงขึดสุดยอด มีความเป็นอิสระในการตัดสินใจและการคิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ การก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในอาชีพและการงาน เป็นต้น
มาสโลว์แบ่งความต้องการเหล่านี้ออกเป็นสองกลุ่ม คือ ความต้องการที่เกิดจากความขาดแคลน (deficiency needs) เป็นความต้องการระดับต่ำ ได้แก่ความต้องการทางกายและความต้องการความปลอดภัย อีกกลุ่มหนึ่งเป็นความต้องการก้าวหน้าและพัฒนาตนเอง (growth needs) ได้แก่ความต้องการทางสังคม เกียรติยศชื่อเสียง และความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต จัดเป็นความต้องการระดับสูง และอธิบายว่า ความต้องการระดับต่ำจะได้รับการสนองตอบจากปัจจัยภายนอกตัวบุคคล ส่วนความต้องการระดับสูงจะได้รับการสนองตอบจากปัจจัยภายในตัวบุคคลเอง
ตามทฤษฎีของมาสฌลว์ ความต้องการที่รับการตอบสนองอย่างดีแล้วจะไม่สามารถเป็นเงื่อนไขจูงใจบุคคลได้อีกต่อไป แม้ผลวิจัยในเวลาต่อมาไม่สนับสนุนแนวคิดทั้งหมดของมาสโลว์ แต่ทฤษฎีลำดับความต้องการของเขา ก้เป็นทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานในการอธิบายองค์ประกอบของแรงจูงใจ ซึ่งมีการพัฒนาในระยะหลังๆ
2. ทฤษฎี ERG ของแอลเดอร์เฟอร์ (ERG Theory)
เคลย์ตัน แอลเดอร์เฟอร์ (Claton Elderfer) แห่งมหาวิทยาลัยเยล ได้รับปรับปรุงลำดับความต้องการตามแนวคิดของมาสโลว์เสียใหม่ เหลือความต้องการเพียงสามระดับ คือ
1. ความต้องการดำรงชีวิตอยู่ (Existence Needs) คือความต้องการทางร่างกายและความปลอดภัยในชีวิต เปรียบได้กับความต้องการระดับต่อของมาสโลว์ ...ย่อโดย E
2. ความต้องการความสัมพันธ์ (Relatedness Needs) คือความต้องการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องนกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทั้งในที่ทำงานและสภาพแวดล้อมอื่นๆ ตรงกับความต้องการทางสังคมตามแนวคิดของมาสโลว์ ย..่อโดย R
3. ความต้องการเจริญเติบโต (Growth Needs) คือความต้องการภายใน เพื่อการพัฒนาตัวเอง เพื่อความเจริญเติบโต พัฒนาและใช้ความสามารถของตัวเองได้เต็มที่ แสวงหาโอกาสในการเอาชนะความท้าทายใหม่ๆ เปรียบได้กับความต้องการชื่อเสียงและการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิตตามแนวคิดของมาสโลว์....ย่อโดย G
มีความแตกต่างสองประการระหว่างทฤษฎี ERG และทฤษฎีลำดับความต้องการ คือ
ประการแรก มาสโลว์ยืนยันว่า บุคคลจะหยุดอยู่ที่ความต้องการระดับหนึ่งจนกว่าจะได้รับการตอบสนองแล้ว แต่ทฤษฎี ERG อธิบายว่า ถ้าความต้องการระดับนั้นยังคงไม่ได้รับการตอบสนองต่อไป บุคคลจะเกิดความคับข้องใจ แล้วจะถดถอยลงมาให้ความสนใจในความความต้องการระดับต่ำกว่าอีกครั้งหนึ่ง
ประการที่สอง ทฤษฎี ERG อธิบายว่า ความต้องการมากกว่าหนึ่งระดับอาจเกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน หรือบุคคลสามารถถูกจูงใจด้วยความต้องการมากกว่าหนึ่งระดับในเวลาเดียวกัน เช่น ความต้องการเงินเดือนที่สูง (E) พร้อมกับความต้องการทางสังคม (R) และความต้องการโอกาสและอิสระในการคิดตัดสินใจ (G)
3. ทฤษฎีสองปัจจัยของเฮิร์ซเบิร์ก (Two-Factor Theory)
เฟรดเดอริค เฮิร์ซเบิร์ก (Frederick Herzberg) ได้ดัฒนาทฤษฎีการจุงใจซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลาย คือ ทฤษฎีสองปัจจัย โดยแบ่งเป็นปัจจัยอนามัย และปัจจัจจูงใจ
ปัจจัยอนามัย (hygiene factors) ได้แก่สภาพแวดล้อมของการทำงาน และวิธีการบังคับผบัญชาของหัวหน้างาน ถ้าหากไม่เหมาะสมหรือบกพร่องไป จะทำให้บุคคลรู้สึกไม่พอใจในงาน ซึ่งถ้ามีพร้อมสมบูรณ์ก็ไม่สามารถสร้างความพอใจในงานได้ แต่ยังคงปฏิบัติงานอยู่ เพราะเป็นปัจจัยที่ป้องกันความไม่พอใจในงานเท่านั้น ไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้คนทำงานโดยมีประสิทธิภาพหรือผลผลิตมากขึ้นได้ ตัวอย่างปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ นโยบายของหน่วยงาน สภาพแวดล้อมการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน แบบการบริหารงาน เงินเดือน สวัสดิการต่างๆ ความมั่นคง ความปลอดภัย เป็นต้น
ปัจจัยจูงใจ (motivating factors) ได้แก่ปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาของงาน และทำให้ผู้ปฏิบัติมีความพอใจในงาน ใช้ความพยายามและความสามารถทุ่มเทในการทำงานมากขึ้น เช่น ความสำเร็จ การได้รับการยกย่อง ได้รับผิดชอบในงาน ลักษณะงานที่ท้าทาย เหมาะกับระดับความสามารถ มีโอกาสก้าวหน้าและพัฒนาตนเองให้สูงขึ้น เป็นต้
การสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ปฏิบัติงานจึงมีสองขั้นตอน คือ ตอนแรกหัวหน้างานหรือผู้บริหารต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าปัจจัยอนามัยไม่ขาดแคลนหรือบกพร่อง เช่น ระดับเงินเดือนค่าจ้างเหมาะสม งานมีความมั่นคง สภาพแวดล้อมปลอดภัย และอื่นๆ จนแน่ใจว่าความรู้สึกไม่พอใจจะไม่เกิดขึ้นในหมู่ผู้ปฏิบัติงาน ในตอนที่สองคือการให้โอกาสที่จะได้รับปัจจัยจูงใจ เช่น การได้รับการยกย่องในความสำเร็จและผลการปฏิบัติงาน มอบความรับผิดชอบตามสัดส่วน ให้โอกาสใช้ความสามารถในงานสำคัญ ซึ่งอาจต้องมีการออกแบบการทำงานให้เหมาะสมด้วย การตอบสนองด้วยปัจจัยอนามัยก่อน จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นกลาง ไม่มีความไม่พอใจ แล้วจึงใช้ปัจจัยจูงใจเพื่อสร้างความพอใจ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานทุ่มเทในการทำงานอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
เฮิร์ซเบิร์กได้ลดความต้องการห้าขั้นของมาสโลว์เหลือเพียงสองระดับ คือ ปัจจัยอนามัยเที่ยบได้กับการสนองตอบต่อความต้องการระดับต่ำ (ความต้องการทางกาย ความต้องการความปลอดภัย และความต้องการทางสังคม) ส่วนปัจจัยจูงใจเทียบได้กับการสนองตอบต่อความต้องการระดับสูง (เกียรติยศชื่อเสียง และความสบูรณ์ในชีวิต)
4. ทฤษฎีความต้องการจากการเรียนรู้ (Learned Needs Theory)
เดวิด ซี แมคเคิลแลนด์ เป็นผู้เสนอทฤษฎีความต้องการจากการเรียนรู้ขึ้น โดยสรุปว่าเคนเราเรียนรู้ความต้องการจากสังคมที่เกี่ยวข้อง ความต้องการจึงถูกก่อตัวและพัฒนามาตลอดช่วงวีวิตของแต่ละคน และเรียนรู้ว่าในทางสังคมแล้ว เรามีความต้องการที่สำคัญสามประการ คือ
ความต้องการความสำเร็จ (need for achievement) เป็นความต้องการที่จะทำงานได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีมาตรฐานสูงขึ้นในชีวิต มีผู้ความต้องการความสำเร็จสูงจะมีลักษณะพฤติกรรม ดังนี้
* มีเป้าหมายในการทำงานสูง ชัดเจนและท้าทายความสามาถ
* มุ่งที่ความสำเร็จของงานมากกว่ารางวัล หรือผลตอบแทนเป็นเงินทอง
* ต้องการข้อมูลย้อนกลับในความก้าวหน้าสู่ความสำเร็จทุกระดับ
* รับผิดชอบงานส่วนตัวมากกว่าการมีส่วนร่วมกับผู้อื่น
ความต้องการอำนาจ (need for power) เป็นความต้องการที่จะมีส่วนควบคุม สร้างอิทธิพล หรือรับผิดชอบในกิจกรรของผู้อื่น ผู้มีความต้องการอำนาจจะมีลักษณะพฤติกรรม ดังนี้
* แสวงหาโอกาสในการควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น
* ชอบการแข่งขันในสถานการณ์ที่มีโอกาสให้ตนเองครอบงำคนอื่นได้
* สนุกสนานในการเชิญหน้าหรือโต้แย้ง ต่อสู่กับผู้อื่น
ความต้องการอำนาจมีสองลักษณะ คือ อำนาจบุคคล และอำนาจสถาบัน อำนาจบุคคลมุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าองค์กร แต่อำนาจสถาบันมุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยทำงานร่วมกับคนอื่น
ความต้องการความผูกพัน (need for affiliation) เป็นความต้องการที่จะรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไว้อย่างใกล้ชิด ผู้มีความต้องการความผูกพันมีลักษณะ ดังนี้
* พยายามสร้างและรักษาสัมพันธภาพและมิตรภาพให้ยั่งยืน
* อยากให้บุคคลอื่นชื่นชอบตัวเอง
* สนุกสนานกับงานเลี้ยง กิจกรรมทางสังคม กละการพบปะสังสรรค์
* แสงหาการมีส่วนร่วม ด้วยการร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม หรือองค์กรต่างๆ
สัดส่วนของความต้องการทั้งสามนี้ ในแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีความต้องการอำนาจสูงกว่าความต้องการด้านอื่น ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจมีความต้องการความสำเร็จสูง เป็นต้น ซึ่งจะเป็นส่วนที่แสดงอุปนิสัยของคนคนนั้นได้
ทฤษฎีแรงจูงใจ Motivation Theory
แนวความคิดของการจูงใจมีได้หลายแง่หลายมุม ดังนั้นจึงมีทฤษฎีต่างๆ ที่พยายามอธิบายสภาวะ ของอินทรีย์เช่นนี้และ พอจะแบ่งออกได้เป็น
1. ทฤษฎีเกี่ยวกับสมดุลยภาพและแรงขับ (Homeostasis and drive theory)
พื้นฐานเกี่ยวกับ มโนภาพของแรงขับ คือ หลักการของสมดุลยภาพ (homeostasis) ซึ่งหมายถึง ความโน้มเอียงของร่างกาย ที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมภายในคงที่อยู่เสมอ ตัวอย่าง คนที่มีสุขภาพดีย่อมสามารถ ทำให้อุณหภูมิใน ร่างกายคงที่อยู่ได้ใน ระดับปรกติไม่ว่าจะอยู่ในอากาศร้อนหรือหนาว ความหิว และความกระหาย แสดงให้เห็นถึงกลไกเกี่ยวกับ สมดุลยภาพเช่นกัน เพราะว่าแรงขับดังกล่าว จะไปกระตุ้นพฤติกรรม เพื่อก่อให้เกิดความสมดุลย์ของส่วนประกอบหรือสารบางอย่างในเลือด ดังนั้นเมื่อเรามองในทัศนะของสมดุลยภาพ ความต้องการเป็นความไม่สมดุลย์ทางสรีรวิทยา อย่างหนึ่งอย่างใดหรือเป็น การเบี่ยงเบนจากสภาวะที่เหมาะสม และการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดตามมาก็คือแรงขับ เมื่อความไม่สมดุลทางสรีรวิทยา คืนสู่ภาวะปกติ แรงขับจะลดลงและการกระทำ ที่ถูกกระตุ้นด้วยแรงจูงใจก็จะหยุดลงด้วย
นักจิตวิทยาเชื่อว่า หลักการของสมดุลยภาพมิได้เป็นเรื่องของสรีรวิทยาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตใจด้วย กล่าวคือความไม่สมดุลย์ทางสรีรวิทยา หรือ ทางจิตใจ (physiological or psychological imbalance) มีส่วนจูงใจพฤติกรรม เพื่อทำให้ภาวะสมดุลย์กลับคืนมาเช่นเดิม
2. ทฤษฎีของความต้องการและแรงขับ (Theory of needs and drives)
เมื่อทฤษฎีของสัญชาตญาณซึ่งจะได้กล่าวต่อไปนั้นได้รับความนิยมลดลง ได้มีผู้เสนอแนวความคิดของแรงขับขึ้นมาแทน แรงขับ (drive) เป็นสภาพที่ถูกยั่วยุอันเกิดจากความต้องการ (need) ทางร่างกายหรือเนื้อเยื่อบางอย่าง เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ ออกซิเจน หรือการหลีกหนีความเจ็บปวด สภาพที่ถูกยั่วยุเช่นนี้จะจูงใจอินทรีย์ให้เริ่มต้นแสดงพฤติกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้น เช่น การขาดอาหารก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีบางอย่างในเลือด แสดงให้เห็นถึงความต้องการสำหรับอาหาร ซึ่งต่อมามีผลทำให้เกิดแรงขับ อันเป็นสภาพของความยั่วยุหรือความตึงเครียด อินทรีย์จะพยายามแสวงหาอาหารเพื่อลดแรงขับนี้ และเป็นการตอบสนองความต้องการไปในตัวด้วย บางครั้งความต้องการและแรงขับอาจถูกใช้แทนกันได้ แต่ความต้องการมักจะหมายถึง สภาพสรีรวิทยาของการที่เนื้อเยื่อขาดสิ่งที่จำเป็นบางอย่าง ส่วนแรงขับหมายถึงผลที่เกิดตามมาทาง สรีรวิทยาของความต้องการ ความต้องการและแรงขับเคียงคู่กัน แต่ไม่เหมือนกัน
3. ทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุกระตุ้นใจ (Incentive theory)
ในระยะต่อมาคือ ราว ค.ศ. 1950 นักจิตวิทยาหลายท่านเริ่มไม่พอใจทฤษฎีเกี่ยวกับการลดลงของแรงขับ (drive-reduction theory) ในการอธิบายการจูงใจของพฤติกรรมทุกอย่าง จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งเร้าจากภายนอกเป็นตัวกระตุ้นของพฤติกรรมได้ อินทรีย์ไม่เพียงแต่ถูกผลักดันให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ โดยแรงขับภายในเท่านั้น เหตุกระตุ้นใจหรือเครื่องชวนใจ (incentives) บางอย่างก็มี ความสำคัญในการยั่วยุพฤติกรรม เราอาจมองการจูงใจได้ในฐานะเป็นการกระทำระหว่างกัน (interaction) ของวัตถุที่เป็นสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อมกับสภาพทางสรีรวิทยาของอินทรีย์อย่างหนึ่งโดยเฉพาะ คนที่ไม่รู้สึกหิวอาจถูกกระตุ้น ให้เกิดความหิวได้ เมื่อเห็นอาหารที่อร่อยในร้านอาหาร
ในกรณีนี้เครื่องชวนใจคือ อาหารที่อร่อยสามารถกระตุ้นความหิวรวมทั้งทำให้ความรู้สึกเช่นนี้ลดลง สุนัขที่กินอาหารจนอิ่ม อาจกินอีกเมื่อเห็นสุนัขอีกตัวกำลังกินอยู่ กิจกรรมที่เกิดขึ้นมิได้เป็นเรื่องของแรงขับภายใน แต่เป็นเหตุการณ์ภายนอก พนักงาน พอได้ยินเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็รีบยกหูขึ้นพูด ดั้งนั้นจึงกล่าวได้ว่าพฤติกรรมที่มีการจูงใจ อาจเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของสิ่งเร้า หรือเหตุกระตุ้นใจมากกว่าที่จะเกิดจากแรงขับ
4. ทฤษฎีเกี่ยวกับสัญชาตญาณ (Instinct theory)
สัญชาตญาณคือแรงทางชีวภาพที่มีมาแต่กำเนิด และเป็นตัวผลักดันให้อินทรีย์แสดงพฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา พฤติกรรม ของสัตว์ ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ เพราะสัตว์ไม่มีวิญญาณ สติปัญญาหรือเหตุผล เช่น มนุษย์ William McDougall กล่าวว่าความคิดและพฤติกรรมทั้งหมดของคนเราเป็นผลของสัญชาตญาณในหนังสือ Social psychology ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1908 ท่านได้จำแนกสัญชาตญาณต่างๆ ไว้ดังนี้
- การหลีกหนี (flight)
- การขับไล่ (repulsion)
- ความอยากรู้ (curiosity)
- ความอยากต่อสู้ (pugnacity)
- การตำหนิตนเอง (self-abasement)
- การเสนอตนเอง (self-assertion)
- การสืบพืชพันธุ์ (reproduction)
- การรวมกลุ่ม (gregariousness)
- การแสวงหา (acquisition)
- การก่อสร้าง(construction)
จะเห็นว่าทฤษฎีเกี่ยวกับสัญชาตญาณ ไม่ค่อยจะสมเหตุผลนักในทัศนะของนักจิตวิทยาหลายท่าน
5. ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตไร้สำนึก (Theory of unconscious motivation)
ฟรอยด์มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ถูกกำหนดโดยพลังพื้นฐานสองอย่างคือ สัญชาตญาณแห่งชีวิต (life instincts) ซึ่งแสดงออกมา เป็นพฤติกรรมทางเพศ และสัญชาตญาณแห่งความตาย (death instincts) ซึ่งผลักดันให้เกิดเป็นพฤติกรรมก้าวร้าว สัญชาตญาณ ทั้งสองอย่างนี้เป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังอย่างยิ่งและอยู่ภายในจิตไร้สำนึก บ่อยครั้งคนเรามักจะไม่รู้ว่าอะไรคือ แรงจูงใจ หรือเป้าประสงค์ ที่แท้จริง เขาอาจให้เหตุผลที่ดีบางอย่างสำหรับพฤติกรรมของเขา แต่เหตุผลเหล่านี้มักไม่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงอยู่เสมอ
6. ทฤษฎีเกี่ยวกับการรู้ (Cognitive theory)
การรู้ (cognition) มาจากภาษาลาติน แปลว่าการรู้จัก (knowing) ทฤษฎีนี้เน้นเกี่ยวกับความเข้าใจหรือการคาดคะเนเหตุการณ์ต่างๆ โดยอาศัยการกำหนดรู้ (perception) มาก่อน อาจรวมทั้งการคิดค้นและการตัดสินใจ เช่น ในกรณีที่ต้องมีการเลือกสิ่งของที่มีคุณค่า ใกล้เคียงกัน การกระตุ้นก็ดีหรือพฤติกรรมที่กำลังดำเนินไปสู่เป้าประสงค์ (goal-seeking behavior) ก็ดีเกิดจากความรู้ ที่เคยพบมาเป็น ตัวกำหนด นอกจากนั้นยังต้องอาศัยเหตุการณ์ในอดีต สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและความคาดหวังในอนาคต
Festinger (1957) ได้อธิบายเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกันของการรู้ (cognitive dissonance) ซึ่งมีผลทำให้เกิด แรงจูงใจ ในการเปลี่ยนพฤติกรรม บางอย่างได้ เช่น คนที่ติดบุหรี่ สูบบุหรี่จัดเมื่อทราบข่าวว่า การสูบบุหรี่มีส่วนทำให้เกิดเป็น มะเร็งของปอด เกิดความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรมของการสูบบุหรี่กับข่าวใหม่ เขาจะต้องเลือกเอา อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อลดความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้น ถ้าเขาตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ความขัดแย้งจะลดลงไปโดยการเลิกความเชื่อเดิมที่ว่าสูบบุหรี่แล้วจะปลอดภัย รวมทั้งความอยากที่จะสูบอีกด้วย
7. ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตวิญญาณ (Spiritual theory)
เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา จำลอง ดิษยวณิช (2545) ได้อธิบายความหมายของคำว่าจิตวิญญาณ ไว้ดังนี้ "จิตวิญญาณ หมายถึง ภวังคจิต (the life continuum) ในพุทธศาสนา หรือจิตไร้สำนึก (the unconscious) ในจิตวิเคราะห์ " จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นส่วนลึกภายในจิตใจของมนุษย์มีแรงจูงใจที่ทรงพลังอย่างหนึ่งคือ"กรรม" กรรมเป็นการกระทำของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นทางใจ ทางวาจา หรือทางกาย ถ้ากระทำกรรมดีก็จะส่งผลไปในทางที่ดี ถ้ากระทำกรรมชั่วก็จะส่งผลไปในทางที่ไม่ดี ทำกรรมเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น สมดังคำกล่าวว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" พลังกรรมและผลของกรรมถือว่า เป็นแรงจูงใจ ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในชีวิตประจำวันของคนเรา และถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตไร้สำนึก ความสุขจะเกิดขึ้นได้เพราะ เป็นผลของการ กระทำกรรมดี แต่ในทางตรงกันข้ามความทุกข์จะเกิดขึ้น เนื่องจากผลของการกระทำกรรมที่ไม่ดี