พัฒนาการทางบุคลิกภาพ (Development of Personality)
โรเจอร์ส ได้อธิบายถึง กระบวนการพัฒนาการทางบุคลิกภาพว่า มีกระบวนการ 2 ประการดังนี้
1. กระบวนการพัฒนาการค่านิยม (Organizing Valuing Process) ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า โรเจอร์สเชื่อว่า บุคคลเกิดมา พร้อมพลัง หรือแรงจูงใจ ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่สภาวะของการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และเนื่องจากบุคคลเกิดมาจาก สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมและโลกส่วนตัวของบุคคลด้วย(Internal Frame of Reference) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่บุคคลจะเลือกรับรู้ และให้ ความหมายต่อประสบการณ์ต่างๆ เช่น เด็กที่ถูกนำไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ อาจเกิด ความกลัว ที่อาจเกิดมาจาก การรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องมาจากสภาพ ความเป็นจริงของสิ่งแวดล้อมเสมอไป และเมื่อเด็กมีประสบการณ์เพิ่มเติม ที่ทำให้เกิด ความเชื่อว่าสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่นั้น ไม่น่ากลัวอย่างที่เคยรับรู้ ทำให้เด็กมีการรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องมาจากสภาพ ความเป็นจริงของสิ่งแวดล้อมเสมอไป และเมื่อเด็กมีประสบการณ์เพิ่มเติม ที่ทำให้เกิด ความเชื่อว่า สภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่นั้น ไม่น่ากลัวอย่างที่เคยรับรู้ ทำให้เด็กมีการรับรู้เปลี่ยนแปลงไป เป็นการรับรู้ใหม่ หากจะกล่าวโดยสรุป จะเห็นว่า การที่เด็กเกิดมาหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อบอุ่น ปลอดภัยเต็มไปด้วย ความรักเอาใจใส่ จะทำให้เด็กรับรู้และให้ค่านิยม ต่อประสบการณ์นั้น ไปทางบวก เด็กจะรับรู้ต่อสภาพแวดล้อม และให้ ความหมายของการรับรู้ตาม ความเป็นจริง ในทางตรงข้าม เด็กที่ได้รับสิ่งแวดล้อมทางลบ เขาก็จะให้ค่านิยมต่อประสบการณ์ในทางลบ สิ่งเหล่านี้ ถือว่าเป็นกระบวนการพัฒนาการทางค่านิยม ที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นประสบการณ์ของบุคคล จะมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาการทางค่านิยมของบุคคล
2. การยอมรับจากผู้อื่น (Positive Regard from others) จะเห็นได้ว่า ตัวตน (self) ของบุคคล จะเริ่มพัฒนาเมื่อบุคคล มีปฏิกิริยาสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อม รอบตัวเขา เขาจะรับรู้ ความจริงของสภาพแวดล้อม และนำเอาประสบการณ์ต่าง มาให้ ความหมายต่อการรับรู้เรียกว่า ประสบการณ์แห่งตนเอง (Self-Experience) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเอง กับบุคคลที่สำคัญที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมของเขา จะนำไปสู่การพัฒนา อัตมโนทัศน์ (Self-Concept) เพราะทำให้บุคคลรู้สึกถึง ความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
การพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลจะเริ่มจาก ในช่วงแรกของชีวิต ทารกไม่สามารถแยกตนเองออกจากสิ่งแวดล้อม และนึกว่าเป็นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม ทำให้เด็กติดพ่อแม่ และสิ่งแวดล้อมตนเองได้ และเริ่มเข้าใจตัวตนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้ จะเป็นช่วงที่เด็กมุ่งแสวงหา ความต้องการ พึงพอใจเพื่อสนอง ความต้องการของตน เพราะเขาพึ่งตนเองไม่ได้ต้องพึ่งคนอื่น จึงเรียนรู้ที่จะเรียกร้อง ความสนใจและการยอมรับจากผู้อื่น เมื่อโตขึ้นเด็กจะเริ่มเรียนรู้ว่าพฤติกรรมบางอย่างทำให้ผู้อื่นตอบสนองเขาอย่างรักใคร่ บางอย่างอาจทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ ไม่ยอมรับและไม่ได้รับการตอบสนอง ปฏิกิริยาเหล่านี้ทำให้เด็กเลือกพฤติกรรมที่ทำให้คนอื่นพอใจ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ เด็กจึงเรียนรู้ที่จะรับค่านิยมของผู้อื่นมาไว้ในตนเอง ทำให้เกิดการประเมินตนเอง (Self-Evaluation) จากพฤติกรรมที่ผู้อื่นยอมรับ หรือไม่ยอมรับ เขามาเป็นเครื่องตัดสิน
3. การยอมรับตนเอง (Self-Regard) บุคคลจะเรียนรู้ที่จะยอมรับตนเองจากการที่เขารับรู้ว่าผู้อื่นแสดงการยอมรับในตัวเขาหรือไม่ อย่างไร โดยไม่คำนึงถึง ความต้องการของตนเอง แต่จะเอา ค่านิยมของผู้อื่นที่มีต่อตัวเขา เป็นเกณฑ์ในการประเมินพฤติกรรมของตนว่า ดีเลว ทำให้เขาแสดงพฤติกรรรมเพื่อให้สนอง ความต้องการของผู้อื่น และให้ผู้อื่นยอมรับมากกว่า การคำนึงถึง ความพึงพอใจของตน ทำให้เขารับเอา (Interject) ค่านิยมผู้อื่นเข้ามาไว้ในตนเอง
4. ภาวะของการมีคุณค่า (Conditions or Worth) เป็นลักษณะที่บุคคลรู้สึกว่าตน มีคุณค่า เพราะเขาสามารถยอมรับตนเองได้ โดยมโนภาพแห่งตนที่เขารับรู้สอดคล้องกับ ความเป็นจริง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่ถ้ามโนภาพแห่งตนของเขาแตกต่างไปจาก ความจริง จะทำให้เขาเกิด ความวิตกกังวลและปฏิเสธ ไม่ยอมรับตนเองตาม ความเป็นจริง ทำให้เขามีพฤติกรรมไม่สมเหตุสมผล ไม่สามารถปรับตัวได้ หากบุคคลรับเอาค่านิยมของผู้อื่น หรือบรรทัดฐานของผู้อื่น และสังคมเข้าไว้ในตนเองมากเกินไป จะทำให้เขาไม่สามารถยอมรับตนเองได้ เกิด ความรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า เกิด ความคับข้องใจขึ้น
จะเห็นได้ว่า การที่บุคคลจะมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพได้อย่างเหมาะสมนั้น จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เด็กได้รับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเด็กได้รับ ความรักจากครอบครัวโดยปราศจากเงื่อนไข (Unconditional Positive Regard) จะทำให้เด็กเกิด ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยซึ่งเป็น ความรู้สึกที่เป็นพื้นฐานของการมีบุคลิกภาพสมบูรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการยอมรับโดยปราศจากเงื่อนไข จะทำให้บุคคลเรียนรู้ถึงแม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างของเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับ แต่พ่อแม่ก็ยังให้ ความรักและยอมรับเขาอยู่เขาจะไม่เกิด ความรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า และยังสามารถยอมรับตนเอง และสามารถมองตนเองในทางบวก (Positive Self-Regard) ได้และแม้ว่า เขาจะมีการตัดสินใจทำบางอย่างที่ผิดพลาด เขาก็ยังกล้าที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ไปสู่การเปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้ กล้าที่จะเผชิญกับประสบการณ์ใหม่ๆ สามารถใช้พลังที่มีอยู่ในตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระบวนการพัฒนาค่านิยมและการยอมรับตนเองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สามารถรับรู้ และให้ ความหมายต่อประสบการณ์ต่างๆ ตาม ความเป็นจริง มี ความพอใจในตนเอง และสามารถพัฒนาตนเองให้อยู่อย่างมีประสิทธิภาพ (Fully Functioning Person)
ลักษณะของผู้ทีมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ (Healthy Personality) ผู้ที่มีบุคลิกที่สมบูรณ์ในทัศนะของโรเจอร์ส จะมีลักษณะต่างๆ ได้แก่ เป็นผู้ที่มี ความสามารถปรับตัวได้ตาม ความเป็นจริง มี ความสอดคล้องระหว่างตัวตนกับประสบการณ์ สามารถเปิดตนเองออกรับประสบการณ์ใหม่ ๆ รับ ความต้องการที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก ได้ถูกต้องเข้าใจตนเอง สามารถเลือกและตัดสินใจตอบสนอง ความต้องการของตนเองได้ รับรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันเป็นตัวของตัวเองสามารถนำเอาประสบการณ์ต่างๆมาพัฒนาตนเอง เชื่อใน ความสามารถของตนเอง ตลอดจนรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และไม่ตัดสินใจที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยขึ้นอยู่กับการยอมรับหรือการไม่ยอมรับจากผู้อื่น
ทฤษฎีการเลือกอาชีพของฮอลแลนด์
จอห์น แอล ฮอลแลนด์ (John L. Holland) เป็นผู้สร้าง "แบบสำรวจความพอใจในอาชีพ" (The Vocational Preference Inventory) ได้สร้าง "ทฤษฎีการเลือกอาชีพ" ขึ้นโดยมีความคิดพื้นฐาน 4 ประการ (Holland. 1973 : 2 - 4) ดังนี้
1. บุคลิกภาพ ของบุคคลทั่วไปแบ่งได้เป็น 6 ลักษณะ ตามความสนใจอาชีพประเภทต่าง ๆ ต่อไปนี้คือ งานช่างฝีมือและกลางแจ้ง งานวิทยาศาสตร์และเทคนิค งานบริการการศึกษาและสังคม งานสำนักงานและเสมียน งานจัดการและค้าขาย งานศิลปะดนตรี และ วรรณกรรม
บุคลิกภาพ แต่ละลักษณะเป็นผลจาก การปะทะสัมพันธ์ระหว่าง วัฒนธรรมต่าง ๆ กับ แรงผลักดันส่วนบุคคล ซึ่งประกอบด้วย ศักดิ์ตระกูล บิดามารดา ระดับชั้นทางสังคม และ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ประสบการณ์เหล่านี้ จะก่อให้เกิด ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ และ ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนี้ จะกลายเป็น ความสนใจ และจาก ความสนใจ จะนำไปสู่ ความสามารถเฉพาะ ท้ายที่สุด ความสนใจ และ ความสามารถเฉพาะ จะกำหนดให้บุคลิกคิด รับรู้ และแสดงเอกลักษณ์ของตน
2. สิ่งแวดล้อมของบุคคลก็แบ่งได้เป็น 6 อย่างตามความสนใจอาชีพประเภทต่าง ๆ ข้างต้นเช่นเดียวกัน สิ่งแวดล้อมแต่ละอย่างนี้ ถูกครอบงำโดยบุคลิกภาพ และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาและความกดดันบางประการ
และโดยเหตุที่บุคลิกภาพต่างกัน ทำให้ความสนใจ และความถนัดต่างกันด้วย บุคคลจึงมีแนวน้ม จะหันเข้าหาบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของตน ดังนั้น บุคคลในกลุ่มเดียวกันจึงมักจะมีอะไร ๆ คล้าย ๆ กัน
3. บุคคลจะค้นหาสิ่งแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยให้เขาได้ฝึกทักษะ และใช้ความสามารถของเขา ทั้งยังเปิดโอกาส ให้เขาได้แสดงทัศนคติ ค่านิยม และบทบาทของเขา
4. พฤติกรรมของบุคคลถูกกำหนดโดยบุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราทราบบุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อมบุคคล ก็จะทำให้เราทราบถึง ผลที่จะติดตามมาด้วย ซึ่งได้แก่การเลือกอาชีพ การเปลี่ยนงาน ความสำเร็จในอาชีพ ความสามารถเฉพาะ พฤติกรรมทางการศึกษาและสังคม
นอกจากความคิดพื้นฐาน 4 ประการข้างต้นแล้ว ฮอลแลนด์ยังมีแนวคิดปลีกย่อยเพิ่มเติมอีก 4 ประการ (Holland. 1973 : 4 - 5) ดังนี้
1. ความสอดคล้องต้องการ (Consistency) บุคลิกภาพบางลักษณะมีความสอดคล้องต้องการ เช่น บุคลิกภาพของผู้มีความสนใจ อาชีพประเภทงานช่างฝีมือและกลางแจ้งกับ บุคลิกภาพ ของผู้มีความสนใจ อาชีพประเภทงานวิทยาศาสตร์และเทคนิค หรือบุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทงานสำนักงานและ เสมียน กับ บุคลิกภาพ ของผู้มีความสนใจอาชีพประเภท งานศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม
2. ความแตกต่างกัน (Differentiation) โดยปกติ บุคคลจะมีบุคลิกภาพเด่นชัด อยู่ลักษณะหนึ่ง แม้จะมีบุคลิกลักษณะอื่น ๆ ปะปนอยู่บ้าง แต่บางคนอาจจะมีบุคลิกภาพลักษณะต่าง ๆ อยู่ในระดับใกล้เคียงกันจนยากต่อการชี้ชัดลงไปว่า บุคคลนั้นมีบุคลิกภาพลักษณะใด
3. ความเหมาะสมกัน (Congruence) บุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อมต้องมีความเหมาะสมกัน เช่น สิ่งแวล้อมของผู้มีความสนใจประเภทงานช่างฝีมือและกลางแจ้ง ย่อมเหมาะสมกับบุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทนี้มากกว่าบุคลิกภาพของผู้มีความสนใจประเภทอื่น
4. การคาดคะเน (Calculus) โดยเหตุที่บุคลิกภาพแต่ละลักษณะและสิ่งแวดล้อมแต่ละอย่างมิได้แยกจากกันโดยเด็ดขาด และต่างก็มีความสัมพันธ์ภายในกันอยู่ ดังนั้นเมื่อบุคคลมีบุคลิกภาพลักษณะหนึ่งก็ทำให้สามารถคาดคะเนถึงบุคลิกภาพลักษณะอื่นได้ด้วย
ทฤษฎีการเลือกอาชีพของฮอลแลนด์
"ทฤษฎีการเลือกอาชีพ" ของฮอลแลนด์เป็นผลจากการสังเกตของเขาและของคนอื่น ๆ เกี่ยวกับความสนใจ ลักษณะและพฤติกรรมของบุคคล และมีส่วนสัมพันธ์กับทฤษฎีของกิลฟอร์ด (Guilford. 1954) ซึ่งได้วิเคราะห์บุคลิกภาพและความสนใจของบุคคลออกเป็น 6 ประเภท คือ ด้านจักรกล ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านบริการสังคม ด้านสารบรรณ ด้านธุรกิจ และด้านศิลปะ นอกจากนี้ ทฤษฎีของฮอลแลนด์ยังมีส่วนคล้ายคลึงกันกับ ทฤษฎีของแอดเลอร์ (Adler. 1939) ของฟรอมม์ (Fromm. 1947) ของจุง (Jung. 1933) ของเซลดอน (Sheldon. 1954) ของสแปรงเจอร์ (Spranger. 1928)
โดยเฉพาะการประเมินสิ่งแวล้อม เพื่อช่วยจำแนกลักษณะของบุคคลมีแนวความคิดมาจากลินดัน (Linton. 1945) ซึ่งกล่าวว่า "แรงผลักดันจากสิ่งแวดล้อมจะถูกถ่ายทอดไปยังบุคคล"
อนึ่ง ทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องความต้องการ (needs) และแรงกดดัน (pressures) ของเมอร์เรย์ (Murray. 1938) ก็เป็นแรงกระตุ้นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ฮอลแลนด์คิดทฤษฎีของเขาขึ้น
กล่าวโดยสรุป "ทฤษฎีการเลือกอาชีพ" ของฮอลแลนด์มีแนวคิดพื้นฐานดังนี้
1. การเลือกอาชีพเป็นการแสดงออกซึ่งบุคลิกภาพ
2. แบบสำรวจความสนใจคือแบบสำรวจบุคลิกภาพ
ฮอลแลนด์ได้กล่าวถึง "การเลือกอาชีพ" ไว้ว่า "การเลือกอาชีพคือ การกระทำที่สะท้อนให้เห็นถึง แรงจูงใจ ความรู้ บุคลิกภาพ และความสามารถของบุคคล อาชีพเป็นวิถีชีวิต ส่วนสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นงานและทักษะ"
การกำหนดลักษณะบุคลิกภาพ
ฮอลแลนด์ได้จำแนกลักษณะบุคลิกภาพตามความสนใจอาชีพต่าง ๆ 6 ประเภท โดยมีเป้าหมายดังนี้
1. ชี้แนะประสบการณ์ที่จะนำไปสู่ลักษณะเฉพาะของบุคคล
2. อธิบายให้ทราบว่า ประสบการณ์นำไปสู่ลักษณะเฉพาะได้อย่างไร และลักษณะเฉพาะนำไปสู่พฤติกรรมได้อย่างไร
3. แยกแยะความเหมาะสมระหว่างบุคลิกภาพแต่ละลักษณะกับเหตุการณ์ทั้งเก่าและใหม่
บุคลิกภาพ คือ ลักษณะโดยรวมของพฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายในของแต่ละบุคคลซึ่งรวมถึงความสามารถ ความถนัด ความสนใจและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นของบุคคลนั้น อันส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมและ ลักษณะนิสัยเฉพาะ ของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันไป
ทฤษฎีที่จะแนะนำว่าบุคลิกของคุณ เหมาะสมกับงานลักษณะใด แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าคุณควรจะทำอาชีพนี้เพียงเท่านั้น เพราะยังต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมาก ที่จะต้องนำมาเป็นตัวช่วยพิจารณาในการตัดสินใจ ทั้งความฝัน ความชอบ ความถนัดส่วนตัว และความรู้ความสามารถต่างๆ ที่มี แต่อย่างน้อยหากเรารู้จักตัวเอง และความต้องการของตัวเอง ก็จะสามารถทำให้เราเลือกอาชีพได้ตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น
คนเราก็จะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไป มากมายหลากหลาย แล้วแต่สภาวะทางใจและทางกายของแต่ละบุคคล ทั้งการเลี้ยงดู การศึกษา และสภาวะทางสังคม รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งทฤษฎีนี้ก็ได้แบ่งประเภทของบุคลิกภาพออกเป็นกลุ่มๆ 6 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของงานที่เหมาะกับคนในบุคลิกต่างๆ ดังนี้
1. บุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทงานช่างฝีมือและกลางแจ้ง (Realistic)
พันธุกรรมและประสบการณ์ ทำให้บุคคลกลุ่มนี้ ชอบประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของ เครื่องมือ จักรกล และสัตว์เลี้ยง แต่ไม่ชอบกิจกรรมด้านการศึกษาและการแพทย์ ดังนั้นบุคคลกลุ่มนี้จึงมีความสามารถทางด้านการช่าง เครื่องยนตร์ การเกษตร ไฟฟ้า และเทคนิค แต่ด้อยความสามารถทางด้านสังคมและการศึกษา
สรุปแล้ว บุคคลกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมดังนี้
1. ชอบอาชีพประเภทงาช่างฝีมือและกลางแจ้ง แต่ไม่ชอบอาชีพประเภทงานบริการการศึกษาและสังคม
2. เขาจะใช้ความสามารถที่เขามีแก้ปัญหาเกี่ยวกับการงานและเรื่องอื่น ๆ
3. เขาจะรับรู้ตัวเองในฐานะผู้มีความสามารถทางด้านเครื่องยนตร์และกีฬา แต่ขาดความสามารถทางด้านการเข้าสังคม
4. เขาจะนิยามสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนิยามลักษณะภายนอกของบุคคล เช่น เงิน อำนาจ สถานภาพ
ด้วยเหตุที่มีความสนใจ ความสามารถและค่านิยมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีลักษณะต่อไปนี้คือ ขี้อาย หัวอ่อน เปิดเผย จริงจัง แข็งแรง วัตถุนิยม เป็นธรรมชาติ เรียบ ๆ พากเพียร เสมอต้นเสมอปลาย เก็บตัว มั่นคง มัธยัสถ์ ไม่คิดลึก ไม่หมกมุ่น
อาชีพที่บุคคลกลุ่มนี้สนใจ ได้แก่ ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างวิทยุ ช่างทำบล็อค คนขับรถขุดดิน เป็นต้น
2. บุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทงานวิทยาศาสตร์และเทคนิค (Investigative)
พันธุกรรมและประสบการณ์ทำให้บุคคลกลุ่มนี้ ชอบประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การสังเกตสัญลักษณ์ การจัดระบบ การทดลองด้านกายภาพ ชีวภาพ และปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม เพื่อจะได้เข้าใจและควบคุมปรากฏการณ์นั้น ๆ แต่ไม่ชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการชักชวน การเข้าสังคม และการเลียนแบบ ดังนั้นบุคคลกลุ่มนี้จึงมีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และการคำนวณ แต่ด้อยความสามารถทางด้านการโฆษณาชักชวน
สรุปแล้ว บุคคลกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมดังนี้
1. ชอบอาชีพประเภทงานวิทยาศาสตร์และเทคนิค และไม่ชอบอาชีพประเภทงานจัดการและค้าขาย
2. เขาจะใช้ความสามารถที่เขามีแก้ปัญหาเกี่ยวกับการงานและเรื่องอื่น ๆ
3. เขาจะรับรู้ตัวเองในฐานะนักวิชาการ เชื่อมั่นในความคิดของตนเอง มีความสามารถทางด้านการคำนวณและวิทยาศาสตร์ แต่ขาความสามารถทางด้านการเป็นผู้นำ
4. เขาจะมีค่านิยมทางด้านวิทยาศาสตร์
ด้วยเหตุที่มีความสนใจ ความสามารถ การรับรู้ตนเอง และค่านิยมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีลักษณะต่อไปนี้คือ ชอบวิเคราะห์ รอบคอบ เป็นนักวิจารณ์ ใฝ่รู้ รักอิสระ ฉลาด เก็บตัว มีหลักการ อดทน เฉียบขาด มีเหตุผล ไว้ตัว
อาชีพที่บุคคลกลุ่มนี้สนใจ ได้แก่ นักอุตุนิยมวิทยา นักชีววิทยา นักเคมี นักฟิสิกส์ นักเขียนบทความทางวิชาการ เป็นต้น
3. บุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทงานบริการการศึกษาและสังคม (Social)
พันธุกรรมและประสบการณ์ทำให้บุคคลกลุ่มนี้ชอบประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้ความรู้ การฝึกหัด การพัฒนา การอนุรักษ์ และการสั่งสอน แต่ไม่ชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัตถุเครื่องมือ เครื่องยนต์ ดังนั้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีความสามารถ ทางด้าน มนุษยสัมพันธ์ เช่น งานประชาสัมพันธ์ งานบริการวิชาการ แต่ด้อยความสามารถด้านการช่างและเทคนิค
สรุปแล้ว บุคคลกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมดังนี้
1. ชอบอาชีพประเภทงานบริการการศึกษาและสังคม แต่ไม่ชอบอาชีพประเภทงานช่างฝีมือและกลางแจ้ง
2. เขาจะใช้ความสามารถที่เขามีแก้ปัญหาเกี่ยวกับการงานและเรื่องอื่น ๆ
3. เขาจะรับรู้ตัวเองในฐานะคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น มีความสามารถทางด้านการสอน แต่ขาดความสามารถทางด้านเครื่องยนต์และวิทยาศาสตร์
4. เขาจะมีค่านิยมเกี่ยวกับปัญหาและกิจกรรมด้านสังคมและการกีฬา
ด้วยเหตุที่มีความสนใจ ความสามารถ การรับรู้ตนเอง และค่านิยมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีลักษณะต่อไปนี้คือ มีอำนาจ ให้ความร่วมมือ มีความเป็นหญิง มีไมตรีจิต กว้างขวาง ชอบบำเพ็ญประโยชน์ มีอุดมคติ มีความคิดลึกซึ้ง เมตตากรุณา จูงใจคนเก่ง มีความรับผิดชอบ ชอบเข้าสังคม รู้จักกาละเทศะ มีความเข้าใจเพื่อนมนุษย์
อาชีพที่บุคคลกลุ่มนี้สนใจ ได้แก่ ครู นักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ ที่ปรึกษาปัญหาส่วนตัว เป็นต้น
4. บุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทงานสำนักงานและเสมียน (Conventional)
พันธุกรรมและประสบการณ์ทำให้บุคคลกลุ่มนี้ชอบกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เป็นการจัดระบบหรือระเบียบ เช่น เก็บรายงาน จัดข้อมูล คัดลอกข้อมูล จัดหมวดหมู่รายงาน และข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลข แต่ไม่ชอบกิจกรรมที่เป็นนามธรรม มีอิสระ ต้องค้นคว้า ไม่เป็นระบบแบบแผน
ดังนั้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีความสามารถทางด้านงานสารบรรณ การคำนวณ งานธุรกิจ แต่ด้อยความสามารถทางด้านศิลปะ
สรุปแล้ว บุคคลกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมดังนี้
1. ชอบอาชีพประเภทงานสำนักงานและเสมียน แต่ไม่ชอบอาชีพประเภทงานศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม
2. เขาจะใช้ความสามารถที่เขามีแก้ปัญหาเกี่ยวกับการงานและเรื่องอื่น ๆ
3. เขาจะรับรู้ตัวเองในฐานะผู้ชอบเลียนแบบ ชอบขัดระเบียบ มีความสามารถทางด้านงานสารบรรณและตัวเลข แต่ขาดความสามารถทางด้านศิลปะ
4. เขาจะนิยมผู้ประสบความสำเร็จด้านงานธุรกิจและเศรษฐกิจ
ด้วยเหตุที่มีความสนใจ ความสามารถ การรับรู้ตนเอง และค่านิยมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีลักษณะต่อไปนี้คือ ชอบเลียนแบบ ยุติธรรม วางท่า มีสมรรถภาพ ไม่ยืดหยุ่น มีหิริโอตัปปะ อ่อนน้อม เรียบร้อย พากเพียร คล่องแคล่ว เจ้าระเบียบ เยือกเย็น ไม่มีจินตนาการ
อาชีพที่บุคคลกลุ่มนี้สนใจ ได้แก่ นักบัญชี ผู้ดูแลสินค้าในสต๊อก ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ เสมียนจ่ายเงิน พนักงานจดคำให้การในศาล เป็นต้น
5. บุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทงานจัดการและค้าขาย (Enterprising)
พันธุกรรมและประสบการณ์ทำให้บุคคลกลุ่มนี้ชอบประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน หรือผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่ชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสังเกต เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นระเบียบแบบแผน ดังนั้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีความสามารถ ทางด้านการเป็นผู้นำ การประชาสัมพันธ์ การชักชวน แต่ด้อยความสามารด้านวิทยาศาสตร์
สรุปแล้ว บุคคลกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมดังนี้
1. ชอบอาชีพประเภทงานจัดการและค้าขาย แต่ไม่ชอบอาชีพประเภทงานวิทยาศาสตร์และเทคนิค
2. เขาจะใช้ความสามารถที่เขามีแก้ปัญหาเกี่ยวกับการงานและเรื่องอื่น ๆ
3. เขาจะรับรู้ตัวเองในฐานะผู้กว้างขวาง มีความเชื่อมั่นในตนเอง เข้าสังคมเก่ง มีความสามารถทางด้านการเป็นผู้นำ การพูด แต่ด้อยความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์
4. เขาจะนิยมผู้มีความสามารถทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
ด้วยเหตุที่มีความสนใจ ความสามารถ การรับรู้ตนเอง และค่านิยมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีลักษณะต่อไปนี้คือ ชอบเสียงภัย ทะเยอทะยาน กล้าโต้แย้ง น่าเชื่อถือ กระปรี้กระเปร่า เปิดเผย ใจร้อน มองโลกในแง่ดี สนุกสนาน เชื่อมั่นในตนเอง เข้าสังคมง่าย ช่างพูด
อาชีพที่บุคคลกลุ่มนี้สนใจ ได้แก่ นักธุรกิจ พ่อค้า แอร์โฮสเตส นายหน้า นักจัดรายการโทรทัศน์ เป็นต้น
6. บุคลิกภาพของผู้มีความสนใจอาชีพประเภทงานศิลปะ ดนตรีและวรรณกรรม (Artistic)
พันธุกรรมและประสบการณ์ทำให้บุคคลกลุ่มนี้ชอบประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนามธรรม เป็นอิสระ ไม่เป็นระเบียบแบบแผน แต่ไม่ชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับรูปธรรม เป็นระเบียบแบบแผน
ดังนั้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีความสามารถทางด้านศิลปะ ภาษา ดนตรี การละคร การเขียน แต่ด้อยความสามารถด้านธุรกิจ งานสารบรรณ
สรุปแล้ว บุคคลกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมดังนี้
1. ชอบอาชีพประเภทงานศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม แต่ไม่ชอบอาชีพประเภทงานสำนักงานและเสมียน
2. เขาจะใช้ความสามารถที่เขามีแก้ปัญหาเกี่ยวกับการงานและเรื่องอื่น ๆ
3. เขาจะรับรู้ตัวเองในฐานะคนที่ชอบแสดงออก มีความคิดริเริ่ม มีพรสวรรค์ มีความเป็นหญิง ไม่ชอบเลียนแบบ รักอิสระ มีความสามารถทางด้านศิลปะและดนตรี การแสดง การเขียน การพูด
4. เขาจะนิยมผู้มีความสามารถทางด้านการศึกษา
ด้วยเหตุที่มีความสนใจ ความสามารถ การรับรู้ตนเอง และค่านิยมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีลักษณะต่อไปนี้คือ จุกจิก ไม่มีระเบียบ เจ้าอารมณ์ มีความเป็นหญิง มีอุดมคติ เพ้อฝัน ไม่จริงจัง ใจร้อน รักอิสระ ช่างคิด ไม่ชอบเลียนแบบ มีความคิดริเริ่ม
อาชีพที่บุคคลกลุ่มนี้สนใจ ได้แก่ นักดนตรี นักประพันธ์ นักโฆษณา นักร้อง ผู้ค้าศิลปวัตถุ เป็นต้น
บุคลิกภาพนั้นนอกจากจะเป็น ตัวช่วยส่งเสริมให้บุคคลแต่ละคน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยส่วนตัวของแต่ละบุคคลแล้ว ยังสามารถมีส่วนช่วยในการ เลือกอาชีพ ให้เหมาะสมกับตัวคุณได้อีกด้วย ดังที่ปรากฏใน "ทฤษฎีการเลือกอาชีพ" ของของ John L. Holland ซึ่งเชื่อว่าบุคลิกภาพของคนจะสะท้อนผ่านการเลือกอาชีพของตน โดยเหตุผลในการเลือกอาชีพนั้นเกิดจาก การผสมผสานความคิดต่อตัวเอง และความเข้าใจต่ออาชีพที่เลือก นั่นคือ คนที่เลือกอาชีพได้สอดคล้องกับบุคลิกภาพของตนมากที่สุด จะมีความพึงพอใจในอาชีพและส่งผลให้ประสบความสำเร็จในอาชีพนั้นๆ ได้
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
ฟรอยด์ (Freud, 1856-1939) เป็นชาวออสเตรีย เป็นคนแรกที่เห็นความสำคัญของพัฒนาการในวัยเด็ก ถือว่าเป็นรากฐานของ พัฒนาการของบุคลิกภาพ ตอนวัยผู้ใหญ่ สนับสนุนคำกล่าวของนักกวี Wordsworth ที่ว่า "The child is father of the man” และมีความเชื่อว่า 5 ปีแรกของชีวิตมีความสำคัญมาก เป็นระยะวิกฤติของพัฒนาการ ของชีวิตบุคลิกภาพของผู้ใหญ่ มักจะเป็นผลรวมของ 5 ปีแรก ฟรอยด์เชื่อว่า บุคลิกภาพของผู้ใหญ่ ที่แตกต่างกัน ก็เนื่องจากประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อเวลาอยู่ในวัยเด็ก และขึ้นอยู่กับว่าเด็กแต่ละคน แก้ปัญหาของความขัดแย้งของแต่ละวัยอย่างไร ทฤษฎีของฟรอยด์มีอิทธิพลทางการ รักษาคนไข้โรคจิต วิธีการนี้เรียกว่า จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) โดยให้คนไข้ระบายปัญหาให้จิตแพทย์ฟัง
ทฤษฎีของฟรอยด์อาจจะกล่าวหลักโดยย่อดังต่อไปนี้
ฟรอยด์ได้แบ่งจิตของมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. จิตสำนึก (Conscious)
2. จิตก่อนสำนึก (Pre-conscious)
3. จิตไร้สำนึก (Unconscious)
เนื่องจากระดับจิตสำนึก เป็นระดับที่ผู้แสดงพฤติกรรมทราบ และรู้ตัว ส่วนเนื้อหาของระดับ จิตก่อนสำนึก เป็นสิ่งที่จะดึงขึ้นมา อยู่ในระดับจิตสำนึก ได้ง่าย ถ้าหากมีความจำเป็นหรือต้องการ ระดับจิตไร้สำนึกเป็นระดับที่อยู่ในส่วนลึกภายในจิตใจ จะดึงขึ้นมาถึงระดับจิตสำนึกได้ยาก แต่สิ่งที่อยู่ในระดับไร้สำนึก ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ฟรอยด์เป็นคนแรก ที่ได้ให้ความคิดเกี่ยวกับแรงผลักดันไร้สำนึก (Unconscious drive) หรือแรงจูงใจไร้สำนึก (Unconscious motivation) ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของพฤติกรรม และมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของมนุษย์
ฟรอยด์กล่าวว่า มนุษย์เรามีสัญชาติญาณติดตัวมาแต่กำเนิด และได้แบ่งสัญชาติญาณออกเป็น 2 ชนิดคือ
1) สัญชาติญาณเพื่อการดำรงชีวิต (Life instinct)
2) สัญชาติญาณเพื่อความตาย (Death instinct)
สัญชาตญาณบางอย่าง จะถูกเก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก ฟรอยด์ได้อธิบายเกี่ยวกับสัญชาตญาณ เพื่อการดำรงชีวิตไว้อย่างละเอียด ได้ตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์เรามีพลังงานอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด เรียกพลังงานนี้ว่า "Libido” เป็นพลังงานที่ทำให้คนเราอยากมีชีวิตอยู่ อยากสร้างสรรค์ และอยากจะมีความรัก มีแรงขับทางด้านเพศ หรือกามารมณ์ (Sex) เพื่อจุดเป้าหมาย คือความสุขและความพึงพอใจ (Pleasure) โดยมีส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึก และได้เรียกส่วนนี้ว่า อีโรจีเนียสโซน (Erogenous Zones) แบ่งออกเป็นส่วนต่างดังนี้
- ส่วนปาก ช่องปาก (Oral)
- ส่วนทางทวารหนัก (Anal)
- และส่วนทางอวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Organ)
ฉะนั้น ฟรอยด์กล่าวว่าความพึงพอใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายนี้ เป็นไปตามวัย เริ่มตั้งแต่วัยทารก จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ
1. ขั้นปาก (Oral Stage)
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage)
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
4. ขั้นแฝง (Latence Stage)
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage)
1) ขั้นปาก (0-18 เดือน) ฟรอยด์เรียกขั้นนี้ว่า เป็นขั้นออรอล เพราะความพึงพอใจอยู่ที่ช่องปาก เริ่มตั้งแต่เกิด เด็กอ่อนจนถึงอายุราวๆ 2 ปี หรือวัยทารก เป็นวัยที่ความพึงพอใจ เกิดจากการดูดนมแม่ นมขวด และดูดนิ้ว เป็นต้น ในวัยนี้ความคับข้องใจ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "การติดตรึงอยู่กับที่” (Fixation) ได้และมีปัญหาทางด้านบุคลิกภาพ เรียกว่า "Oral Personality” มีลักษณะที่ชอบพูดมาก และมักจะติดบุหรี่ เหล้า และชอบดูด หรือกัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีความเครียด บางครั้งจะแสดงด้วยการดูดนิ้ว หรือดินสอ ปากกาู้มีลักษณะแบบนี้อาจจะชอบพูดจาถากถาง เหน็บแนม เสียดสีผู้อื่น
2) ขั้นทวารหนัก (18 เดือน – 3 ปี) ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กวัยนี้ได้รับความพึงพอใจทางทวารหนัก คือ จากการขับถ่ายอุจจาระ และในระยะซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง และความคับข้องใจของเด็กวัยนี้ เพราะพ่อแม่มักจะหัดให้เด็กใช้กระโถน และต้องขับถ่ายเป็นเวลา เนื่องจากเจ้าของความต้องการของผู้ฝึก และความต้องการของเด็ก เกี่ยวกับการขับถ่ายไม่ตรงกันของเด็ก คือความอยากที่จะถ่ายเมื่อไรก็ควรจะทำได้ เด็กอยากจะขับถ่ายเวลาที่มีความต้องการ กับการที่พ่อแม่หัดให้ขับถ่ายเป็นเวลา บางทีเกิดความขัดแย้งมาก อาจจะทำให้เกิด Fixation และทำให้เกิดมีบุคลิกภาพนี้เรียกว่า "Anal Personality” ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ อาจจะเป็นคนที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ และค่อนข้างประหยัด มัธยัสถ์ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้าม คืออาจจะเป็นคนที่ใจกว้าง และไม่มีความเป็นระเบียบ เห็นได้จากห้องทำงานส่วนตัวจะรกไม่เป็นระเบียบ
3) ขั้นอวัยวะเพศ (3-5 ปี) ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่อวัยวะสืบพันธุ์ เด็กมักจะจับต้องลูกคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กผู้ชายมีปมเอ็ดดิปุส (Oedipus Complex) ฟรอยด์อธิบายการเกิดของปมเอ็ดดิปุสว่า เด็กผู้ชายติดแม่และรักแม่มาก และต้องการที่จะเป็นเจ้าของแม่แต่เพียงคนเดียว และต้องการร่วมรักกับแม่ แต่ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน และก็รู้ดีว่าตนด้อยกว่าพ่อทุกอย่าง ทั้งด้านกำลังและอำนาจ ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ ฉะนั้นเด็กก็พยายามที่จะเก็บกดความรู้สึก ที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่คนเดียว และพยายามทำตัวให้เหมือนกับพ่อทุกอย่าง ฟรอยด์เรียกกระบวนนี้ว่า "Resolution of Oedipal Complex” เป็นกระบวนการที่เด็กชายเลียนแบบพ่อ ทำตัวให้เหมือน "ผู้ชาย” ส่วนเด็กหญิงมีปมอีเล็คตรา (Electra Complex) ซึ่งฟรอยด์ก็ได้ความคิดมาจากนิยายกรีก เหมือนกับปมเอ็ดดิปุส ฟรอยด์อธิบายว่า แรกทีเดียวเด็กหญิงก็รักแม่มากเหมือนเด็กชาย แต่เมื่อโตขึ้นพบว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชาย และมีความรู้สึกอิจฉาผู้ที่มีอวัยวะเพศชาย แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ยอมรับ และโกรธแม่มาก ถอนความรักจากแม่มารักพ่อ ที่มีอวัยวะเพศที่ตนปรารถนาจะมี แต่ก็รู้ว่าแม่และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้กลไกป้องกันตน โดยเก็บความรู้สึกความต้องการของตน (Represtion) และเปลี่ยนจากการโกรธเกลียดแม่ มาเป็นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดียวกันก็อยากทำตัวให้เหมือนแม่ จึงเลียนแบบ สรุปได้ว่าเด็กหญิงมีความรักพ่อ แต่ก็รู้ว่าแย่งพ่อมาจากแม่ไม่ได้ จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับ หรือต้นแบบของพฤติกรรมของ "ผู้หญิง”
4) ขั้นแฝง (Latency Stage) เด็กวัยนี้อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปี เป็นระยะที่ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กเก็บกดความต้องการทางเพศ หรือความต้องการทางเพศสงบลง (Quiescence Period) เด็กชายมักเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กชาย ส่วนเด็กหญิง ก็จะเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
5) ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป จะมีความต้องการทางเพศ วัยนี้จะมีความสนใจในเพศตรงข้าม ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์กล่าวว่า ถ้าเด็กโชคดี และผ่านวัยแต่ละวัย โดยไม่มีปัญหาก็จะเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพปกติ แต่ถ้าเด็กมีปัญหา ในแต่ละขั้นของพัฒนาการ ก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ ซึ่งฟรอยด์ได้ตั้งชื่อตามแต่ละวัย เช่น "Oral Personalities” เป็นผลของ Fixation ในวัยทารกจนถึง 2 ปี ผู้ใหญ่ที่มี Oral Personality เป็นผู้ที่มีความต้องการที่จะหาความพึงพอใจ ทางปากอย่างไม่จำกัด เช่น สูบบุหรี่ กัดนิ้ว ดูดนิ้ว รับประทานมาก มีความสุขในการกิน และชอบดื่ม คนที่มี Oral Personality อาจจะเป็นผู้ที่เห็นโลกในทางดี (Optimist) มากเกินไป จนถึงกับเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงของชีวิต หรืออาจจะเป็น คนที่แสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ไม่กลัวใคร และใช้ปากเป็นเครื่องมือ เช่น ชอบพูดเยาะเย้ย ถากถางและกระแนะกระแหนผู้อื่น
ถ้า Fixation เกิดในระยะที่ 2 ของชีวิต คือ อายุราวๆ 2-3 ปี จะทำให้บุคคลนั้น มีบุคลิกภาพแบบ Anal Personality ซึ่งอาจจะมีลักษณะต่างๆ ดังนี้
(1) เป็นคนเจ้าสะอาดมากเกินไป (Obsessively Clean) และเรียบร้อยเจ้าระเบียบ เข้มงวด และเป็นคนที่ต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ เปลี่ยนแนวไม่ได้
(2) อาจจะมีลักษณะตรงข้ามเลย คือ รุงรัง ไม่เป็นระเบียบ
(3) อาจจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย หรือตระหนี่ก็ได้ ผู้ชายที่แต่งงานก็คิดว่า ตนเป็นเจ้าของ "ผู้หญิง” ที่เป็นภรรยาเก็บไว้แต่ในบ้าน หึงหวงจนทำให้ภรรยาไม่มีความสุข ผู้หญิงที่มี Anal personality ก็จะหึงหวงสามีมาก จนทำให้ชีวิตสมรสไม่มีความสุข
บุคลิกภาพ : Id Ego และ Superego
Id เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่เป็นส่วนที่จิตไร้สำนึก มีหลักการที่จะสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น เอาแต่ได้อย่างเดียว และจุดเป้าหมายก็คือ หลักความพึงพอใจ (Pleasure Principle) Id จะผลักดันให้ Ego ประกอบในสิ่งต่างๆ ตามที่ Id ต้องการ
Ego เป็นส่วนของบุคลิกภาพ ที่พัฒนามาจากการที่ทารกได้ติดต่อ หรือมีปฎิสัมพันธ์กับโลก ภายนอก บุคคลที่มีบุคลิกภาพปกติ คือ บุคคลที่ Ego สามารถที่ปรับตัวให้เกิดสมดุลระหว่างความต้องการของ Id โลกภายนอก และ Superego หลักการที่ Ego ใช้คือหลักแห่งความเป็นจริง (Reality Principle)
Superego เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่เกิดขึ้นในระยะที่ 3 ของพัฒนาการที่ชื่อว่า "Phallic Stage” เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ตั้งมาตรการของพฤติกรรมให้แต่ละบุคคล โดยรับค่านิยมและมาตรฐานจริยธรรมของบิดามารดา เป็นของตน โดยตั้งเป็นมาตรการความประพฤติ มาตรการนี้จะเป็นเสียงแทนบิดามารดา คอยบอกว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ มาตรการของพฤติกรรมโดยมากได้มาจากกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พ่อแม่สอนและ มักจะเป็นมาตรฐานจริยธรรม และค่านิยมต่างของพ่อแม่ ฟรอยด์กล่าวว่าเป็นผลของการปรับของ Oedipus และ Electra Complex ซึ่งนอกจาก ทำให้เด็กชายเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้ชาย” จากบิดา และเด็กหญิงเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้หญิง” จากมารดาแล้ว ยังยึดถือหลักจริยธรรม ค่านิยมของบิดามารดา เป็นมาตรการของพฤติกรรมด้วย
Superego แบ่งเป็น 2 อย่างคือ
1. "Conscience” ซึ่งคอยบอกให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
2. "Ego ideal” ซึ่งสนับสนุนให้มีความประพฤติดี
"Conscience” มักจะเกิดจากการขู่ว่าจะทำโทษ เช่น "ถ้าทำอย่างนั้นเป็นเด็กไม่ดี ควรจะละอายแก่ใจที่ประพฤติเช่นนั้น” ส่วน "Ego ideal” มักจะเกิดจากการให้แรงเสริมบวก หรือการยอมรับ เช่น แม่รักหนู เพราะหนูเป็นเด็กดี
ฟรอยด์ถือว่าความต้องการทางเพศเป็นแรงขับ และไม่จำเป็นจะอยู่ในระดับจิตสำนึกเสมอไป แต่จะอาจอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious) และมีพลังงานมาก ความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับแรงขับระดับจิตไร้สำนึก เป็นประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมของคน ซึ่งปัจจุบันนี้นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ยอมรับความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับ Unconscious motivation แม้ว่าจะไม่รับหลักการของฟรอยด์ทั้งหมด
ฟรอยด์กล่าวว่า พัฒนาการทางบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะขั้นวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุ่น ระบบทั้ง 3 ของบุคลิกภาพ คือ Id, Ego และ Superego จะทำงานประสานกันดีขึ้น เนื่องจากเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือโลกภายนอกมากขึ้น ยิ่งโตขึ้น Ego ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และสามารถที่จะควบคุม Id ได้มากขึ้น
องค์ประกอบที่มีส่วนพัฒนาการทางบุคลิกภาพมีหลายอย่างซึ่งฟรอยด์ได้กล่าวไว้ดังต่อไปนี้
1. วุฒิภาวะ ซึ่งหมายถึงขั้นพัฒนาการตามวัย
2. ความคับข้องใจ ที่เกิดจากความสมหวังไม่สมหวัง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
3. ความคับข้องใจ เนื่องมาจากความขัดแย้งภายใน
4. ความไม่พร้อมของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกาย ด้านเชาวน์ปัญญา และการขาดประสบการณ์
5. ความวิตกกังวล เนื่องมาจากความกลัว หรือความไม่กล้าของตนเอง
ฟรอยด์เชื่อว่า ความคับข้องใจ เป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ แต่ต้องมีจำนวนพอเหมาะที่จะช่วยพัฒนา Ego แต่ถ้ามีความคับข้องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้เกิดกลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก
กลไกในการป้องกันตัวมักจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตั้งแต่อนุบาลจนถึงวัยชรา
กลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ฟรอยด์และบุตรีแอนนา ฟรอยด์ ได้แบ่งประเภทกลไกในการป้องกันตัวดังต่อไปนี้
1. การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก จนกระทั่ง ลืมกลไกป้องกันตัวประเภทนี้มีอันตราย เพราะถ้าเก็บกดความรู้สึกไว้มากจะมีความวิตกกังวลใจมาก และอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้
2. การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น (Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล โดยการป้ายความผิด ให้แก่ผู้อื่น ตัวอย่าง ถ้าตนเองรู้สึกเกลียด หรือไม่ชอบใครที่ตนควรจะชอบก็อาจจะบอกว่า คนนั้นไม่ชอบตน เด็กบางคนที่โกงในเวลาสอบ ก็อาจจะป้ายความผิด หรือใส่โทษว่าเพื่อโกง
3. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับตัว โดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูก มักจะบอกว่า การตีทำเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องได้รับการทำโทษเป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตี เพราะโกรธลูก นักเรียนที่สอบตกก็อาจจะอ้างว่าไม่สบาย แทนที่จะบอกว่าไม่ได้ดูหนังสือ บางครั้งจะใช้เหตุผลแบบ "องุ่นเปรี้ยว” เช่น นักเรียนอยากเรียนแพทยศาสตร์ แต่สอบเข้าไม่ได้ ได้วิศวกรรมศาสตร์ อาจจะบอกว่าเข้าแพทย์ไม่ได้ก็ดีแล้ว เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีเวลาของตนเอง เป็นวิศวกรดีกว่า เพราะเป็นอาชีพอิสระ "การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง” แตกต่างกับการโกหก เพราะผู้แสดงพฤติกรรมไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิด
4. การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข ตัวอย่างเช่น เด็ก 2-3 ขวบ ที่ช่วยตนเองได้ มีน้องใหม่ เห็นแม่ให้ความเอาใจใส่กับน้อง มีความรู้สึกว่าแม่ไม่รัก และไม่สนใจตนเท่าที่เคยได้รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกที่ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องให้แม่ทำให้ทุกอย่าง
5. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคม อาจจะไม่ยอมรับ ตัวอย่างแม่ที่ไม่รักลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม โดยการแสดงความรักมากอย่างผิดปกติ หรือเด็กที่มีอคติต่อนักเรียนต่างชาติที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน การจะแสดงพฤติกรรมเป็นเพื่อนที่ดีต่อนักเรียนผู้นั้น โดยทำตนเป็นเพื่อนสนิท เป็นต้น
6. การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day dreaming) กลไกป้องกันตัวประเภทนี้ เป็นการสร้างจินตนาการ หรือมโนภาพ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้างวิมานในอากาศขึ้น เพื่อสนองความต้องการชั่วขณะหนึ่ง เป็นต้นว่า นักเรียนที่เรียนไม่ดี อาจจะฝันว่าตนเรียนเก่ง มีมโนภาพว่าตนได้รับรางวัล มีคนปรบมือให้เกียรติ เป็นต้น
7. การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง ตัวอย่างเช่น เด็กที่คิดว่าพ่อแม่ไม่รัก อาจจะแยกตนปิดประตูอยู่คนเดียว
8. การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคน หรือสิ่งของ ที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ เป็นต้นว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่ หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภรรยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป เช่น อาจจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อภรรยา และลูก ๆ นักเรียนที่โกรธครู แต่ทำอะไรครูไม่ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่งของ เช่น โต๊ะเก้าอี้เป็นสิ่งแทนที่ เช่น เตะโต๊ะ เก้าอี้
9. การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง ตัวอย่างเช่น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้เหมือนแม่ ในพัฒนาการขั้นฟอลลิคของฟรอยด์ การเลียนแบบนอกจากจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมือนบุคคลที่ตนเลียนแบบ แม้ยังจะยึดถือค่านิยม และมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เราเลียนแบบในความสำเร็จ หรือล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่จำเป็นจะต้องเลียนแบบจากบุคคลจริงๆ แต่อาจจะเลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความรู้สึกร่วมกับผู้แสดง เมื่อประสบความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ หรือเมื่อมีความสุขก็จะพลอยเป็นสุขไปด้วย
กลไกในการป้องกันตัว เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจ การใช้กลไกป้องกันจะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผล หรือแก้ไขปัญหาได้
สรุปแล้วทฤษฎีของฟรอยด์ เป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากทั้งทางตรง และทางอ้อม ผู้ที่มีความเชื่อ และเลื่อมใสในทฤษฎีของฟรอยด์ ก็ได้นำหลักการต่างๆ ไปใช้ในการรักษาคนที่มีปัญหาทางบุคลิกภาพ ซึ่งได้ช่วยคนมากว่ากึ่งศตวรรษ ส่วนนักจิตวิทยาที่ไม่ใช้หลักจิตวิเคราะห์ ก็ได้นำความคิดของฟรอยด์ ไปทำงานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ จึงนับว่าฟรอยด์เป็นนักจิตวิทยา ผู้มีอิทธิพลมากต่อพัฒนาการของวิชาจิตวิทยา
ทฤษฎีบุคลิกภาพของ Erikson หรือ ทฤษฎีจิตสังคม ( Psychosocial Theory of Personality )
·
ทฤษฎีบุคลิกภาพของ Erikson หรือ ทฤษฎีจิตสังคม ( Psychosocial Theory of Personality )
ทฤษฎีจิตสังคม (Psychosocial Theory of Personality ) ผู้ให้กำเนิดทฤษฎี คือ Erik Homburger Erikson ดังอธิบายรายละเอียดดังนี้
ประวัติErik H. Erikson เป็นนักจิตวิทยาคลินิก เกิดที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมัน เมื่อปี 1902 หลังจากที่เข้าเกิดไม่นาน พ่อก็แยกจากแม่เขาไป ต่อมา Theodor Homburger ได้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรม หนังสือของเขาที่พิมพ์ก่อนปี ค.ศ. 1939 จะปรากฏว่าเขาใช้ชื่อ Erikson Homburger ต่อมาเขาได้ใช้นามสกุลเดิมมาต่อท้ายชื่อจึงเป็น Erik H. Erikson
Erik H. Erikson ได้รับยกย่องเป็นศาสตราจารย์ในวิชาพัฒนาการมนุษย์จากมหาวิทยาลัย Harvard งานเขียนของเขาเป็นที่แพร่หลาย มีการนำไปแปล และตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ มากมาย ตัวอย่าง ปัญหาต่างๆ ที่ Erikson ยกมาประกอบในงานเขียนของเขาได้มาจากคนไข้ Erikson ถือว่าเป็นศิษย์ของ Freud ที่มี ความเข้าใจในงาน และ ความคิดของ Freud เขาได้นำจิตวิเคราะห์มาประยุกต์ ในขั้นพัฒนาการต่างๆ และได้รับยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ มี ความสามารถไม่ด้อยกว่า Freud
Erikson ได้เข้ามาร่วมงาน และถือว่าเป็นศิษย์คนหนึ่งของ Freud ในการตั้งทฤษฎีเขาก็นำแนวคิดพื้นฐานมาจากทฤษฎีของ Freud แต่มีแบบแผนที่แตกต่างไปจาก Freud สำคัญๆ 3 เรื่อง คือ
1. ระบบโครงสร้างของบุคลิกภาพ ( ซึ่ง Freud เน้นการทำงานของ id พัฒนาการมนุษย์ โดยใช้ขั้นพัฒนาการทางเพศ ภายใต้การทำงานของพลังเพศ) แต่ทฤษฎีของ Erikson เน้นการวิเคราะห์ ego ว่ามี ความสำคัญ เพราะเป็นพลังที่ทำให้มนุษย์เกิด พัฒนาการของชีวิต เช่น การเกิดพัฒนาการของมโนมติต่างๆ และ ความสามารถในการตี ความหมาย การสร้างมโนภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ego ยังทำให้เกิด ระบบ ความคิดที่แสดง ความเป็นปัจเจกบุคคลเขาเชื่อว่า การศึกษาพัฒนาการของชีวิต นับตั้งแต่เกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นด้วย ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับพัฒนาการมนุษย์คือ ความสัมพันธ์ และ ความต่อเนื่องของประสบการณ์กับการทำหน้าที่ของ ego และเพิ่มช่วงพัฒนาการที่ขาดหายไปเป็น 8 ขั้น
2. แบบพิมพ์ทางสังคม (social matrix) Erikson กล่าวว่า แบบพิมพ์ทางสังคม คือ ความสัมพันธ์ของบุคคลกับผู้เลี้ยงดู และบุคคลนอกครอบครัว ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมภายนอกของบุคคลด้วย
3. Erikson มุ่ง ความสนใจไปที่โอกาสที่บุคคล จะพัฒนาตนเองเพื่อ ความอยู่รอดของชีวิต เขาเห็นว่าทั้งบุคคล และสังคมต่างก็ สามารถ อยู่ร่วมกัน และมี ความต้องการที่จะเจริญก้าวหน้า
จากแนว ความคิดที่แตกต่างไปจาก Freud ดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่า Erikson วางแนวทางใหม่ของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซึ่งทำให้การนำไปใช้ และการแปล ความหมายพฤติกรรมกว้างขวางกว่าเดิม และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ข้อตกลง เบื้องต้นของทฤษฎี ( Assumption Basic to Erikson’s Theory )
การสร้างทฤษฎีของ Erikson มีพื้นฐานมาจากแนว ความคิดของ Freud ตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นข้อตกลงเบื้องต้นในทฤษฎีของเขา จึงมีรายละเอียด และแนว ความคิดของ Freud และของเขาร่วมกัน
ข้อตกลงเบื้องต้นของทฤษฎี Erikson ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
1. วิธีการสร้างทฤษฎี (Approach to Theory Formation)
2. แบบแผนชีวิตมนุษย์ (Order of Human Life)
3. คุณค่าพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Values)
4. สาเหตุพฤติกรรมมนุษย์ (Etiology of Human Behavior)
5. แกนการทำหน้าที่ของมนุษย์ (Core of Human Functioning)
6. ทารกแรกเกิด (The Newborn)
7. สิ่งแวดล้อม (Environments) ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical) สังคม (Social) วัฒนธรรม (Culture) และ ความคิด (Ideational) ดังจะอธิบายเป็นข้อๆ คือ
1. วิธีการสร้างทฤษฎี (Approach to Theory Formation)
Erikson ยอมรับในวิธีการ และเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลของทฤษฎีจิตวิเคราะห์โดยวิธีสังเกตเขาให้ ความสนใจเป็นพิเศษ กับ ความสำคัญของจิตไร้สำนึก (unconscious) และจิตก่อนสำนึก ( preconscious ) ซึ่งแสดงออกมาในรูปของคำพูด หรือจากพฤติกรรมที่แสดงออก แนว ความคิดของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในทัศนะของเขาคือ การทำ ความเข้าใจบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว และเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เขากล่าวว่า กระบวนการสำคัญของ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ในการเข้าใจพัฒนาการของบุคคลคือการเข้าใจบุคลิกภาพที่เบี่ยงเบนออกไปจากปกติ ซึ่งถือเป็นปัญหาหลักที่จะต้องพิจารณาเพื่อจะได้เข้าใจพัฒนาการของบุคลิกภาพปกติได้ชัดเจน Erikson ได้อธิบายเพิ่มเติม หลักสำคัญของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ให้กว้างขวางขึ้นโดยกล่าวว่า การวิเคราะห์เป็นรายบุคคลนั้นจ ะต้องพิจารณาบุคคลนั้นในกลุ่มสังคม และวัฒนธรรมของเขาด้วย Erikson ได้นำ ความรู้ทางจิตวิเคราะห์มาใช้ร่วมกับวิธีการทางสังคมวิทยา ส่วน Freud จะพิจารณาว่า บุคคลยึดตนเองเป็นศูนย์กลางในการกระทำ หรือ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ โดยอิทธิพลของจิตไร้สำนึก (unconscious) Erikson ให้ ความคิดเห็นในเรื่องการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางที่แตกต่างไปว่าการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางนั้น เป็นเรื่องการรู้สำนึก (conscious) ตัวอย่างเช่น การเล่นของเด็กแสดงถึงการยึดตัวเองของเด็กได้เป็นอย่างดี
Erikson กล่าวว่า ไม่มีการสังเกตโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่จะนำมาใช้อย่างได้ผล โดยไม่มีทฤษฎีนำทางก่อน ดังนั้นการจะอธิบานถึงลักษณะของพัฒนาการด้านต่างๆ ได้จะต้องมี ความรู้ ความเข้าใจในทฤษฎีพัฒนาการต่างๆ ทั้งหมดก่อน Erikson ได้ตั้งทฤษฎี และใช้คนไข้ในคลีนิกของเขาเป็นกลุ่มตัวอย่าง เขาศึกษาคนไข้จากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติประกอบกับประวัติส่วนตัวโดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นจำนวนมากซึ่งผลจาก การศึกษาได้พิสูจน์ทฤษฎีของเขาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามการศึกษาเพื่อพิสูจน์ทฤษฎี Erikson กล่าวว่า ผู้ศึกษาจะต้องมี ความมั่นใจในกลุ่มตัวอย่าง มีระยะเวลาในการศึกษานานพอ และมีเทคนิคในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง เขาให้ ความสนใจ ความสำคัญในคุณภาพของข้อมูลมากกว่าวิธีการวัดต่างๆทฤษฎีของเขาจะเป็นไปตามลำดับ คือนำข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาโดยใช้หลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไปมาประกอบกับ ความคิดเห็นของเขาแล้ว พิจารณาคัดเลือกอีกครั้ง เพื่อให้ตรงกับปัญหาที่ตั้งไว้ ซึ่งวิธีการนี้มีแนว ความคิดไปทางเดียวกับจิตวิเคราะห์ของ Freud และ Erikson ได้นำ ความรู้ที่ได้จากวิธีการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เช่น การพิจารณาขั้นพัฒนาการต่างๆ ของเด็ก แต่เขาได้นำการศึกษาทางสังคมวิทยา และมานุษยวิทยาเข้ามาร่วมพิจารณาด้วย
2. แบบแผนชีวิต (Order of Human Life)
Erikson กล่าวว่า “บุคลิกภาพกับ ความสมดุลกับของสุขภาพจิตมี ความสัมพันธ์ซึ่งกัน และกัน” เขาให้ ความคิดเห็นว่าการมองเห็นคุณค่า และคุณธรรมต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของการเจริญเติบโต และ ความต้องการที่จะพัฒนาตนเองซึ่งคุณค่า และคุณธรรม นี้ส่วนหนึ่ง เกิดขึ้นจาก กระบวนการฝึกหัดในวัยเด็ก ใน ความคิดของเขานั้น ขอบข่ายพัฒนาการของมนุษย์ ในแง่จิตวิทยา มีการเปลี่ยนแปลง เหมือนๆ กับโครงสร้างทางชีวภาพทั้งจิตวิทยา และชีววิทยามี ความสัมพันธ์ภายในกันมาก คือนับตั้งแต่คลอดเป็นต้นมา บุคคลจะมี การพัฒนาโครงสร้างทางกายภาพ ควบคู่ไปกับ คุณลักษณะทางด้านจิตใจ ตัวอย่างเช่น สิ่งแรกที่จะทำให้ทารกมีชีวิตอยู่รอดคือ ความสามารถในการใช้ปาก การย่อยอาหาร และการขับถ่าย ดังนั้นพัฒนาการขั้นแรกคือ การใช้ปากดูดเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด และในขณะเดียวกัน การดูดก็ให้ ความสุขแก่เด็กด้วย ในพัฒนาการแต่ละขั้นพบว่า มีพัฒนาการร่วมกันไปทั้ง ทางด้านร่างกาย และจิตใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคลอดออกมาแล้วอวัยวะต่างๆ ก็หยุดการสร้างเพิ่มขึ้น แต่จะพัฒนาอวัยวะแต่ละส่วน ให้เจริญเติบโตต่อไปซึ่ง การพัฒนานี้ จะควบคู่กับ พัฒนาการทางด้านจิตใจ ทำให้มี ความสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี Erikson กล่าวว่า กฎของ ความเจริญเติบโตทางร่างกาย ระยะเวลา และสิ่งแวดล้อม จะเข้ามาสัมพันธ์กันทุกครั้งที่มี ความเจริญเติบโตเกิดขึ้น การพัฒนาบุคลิกภาพ เป็นหน้าที่ของ ego และกระบวนการทางสังคม ความเจริญเติบโตทางร่างกาย จิตใจ และสังคม เป็นผลจาก การทำงานร่วมกัน ของอินทรีย์ซึ่งประกอบด้วย ego และ ความตระหนักในการเป็นสมาชิกของสังคม ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้จะเข้ามาทำงานร่วมกันตลอดเวลา
3. คุณค่าพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Values)
คุณค่าพื้นฐานของมนุษย์ เขาเน้นถึง ความสามารถสร้างสรรค์ และ ความสามารถในการปรับตัวเขายอมรับใน ความสามารถของแต่ละคนที่สามารถฟันฝ่าชีวิตอยู่ได้ด้วย ความสามารถ และ ความเป็นตัวของตัวเอง Erikson ไม่ได้มองว่าคนดี หรือเลวแต่บุคคลมีศักยภาพที่จะทำในสิ่งที่ดี หรือเลวได้เท่าๆ กัน ส่วน ความเชื่อในเรื่อง ความคิดสร้างสรรค์นั้นเขากล่าวว่า บุคคลมีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์สังคมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และสภาพแวดล้อมต่างๆ ทางด้านการปรับตัว เขากล่าวว่า มีพฤติกรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บุคคลไม่สามารถแก้ไขได้ แต่มีพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา เป็นจำนวนมากที่สามารถป้องกันไว้ก่อนได้
บุคคลจะมีคุณค่าเป็นที่รับรองจาก บุคคลอื่นได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับ ความไว้วางใจ และได้รับการยอมรับจากสังคม และในทำนองเดียวกัน สังคมก็ต้องการบุคคลที่มี ความคิดเห็นตรงกัน พึ่งพาอาศัย และยอมรับซึ่งกัน และกัน คุณค่าพื้นฐานประการสุดท้ายคือบุคคลต้องมี ความไว้วางใจ และเคารพสถาบันของสังคม เช่น ศาสนา เป็นต้น
4. สาเหตุพฤติกรรมมนุษย์ (Etilology of Human Bahavior)
Erikson ยอมรับในแบบแผนพัฒนาการทางจิตเพศของ Freud (psychosexual) ซึ่งมี ความเห็นว่าการที่บุคคลจะทำพฤติกรรมใดนั้น ก็เนื่องจากพลังที่เรียกว่าแรงขับซึ่งมีมาแต่กำเนิดจะเห็นว่า ความคิดของเขาก็เป็นไปตามหลักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ โดยถือว่าแรงขับนี้เกิดจากสัญชาตญาณ (instincts) และทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ แสดงออกมาร่วมกันเรียกว่าพลังเพศ (libido)
พลังเพศ (libido) แสดงออกเป็นพฤติกรรมสำคัญ 2 ลักษณะ คือ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด
พลังนี้แสดงออก เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด โดยสนอง ความต้องการที่เกิดจากสัญชาตญาณของการมีชีวิตเพื่อให้บุคคลเจริญเติบโตต่อไป (life instincts) และ เพื่อการทำลาย แสดงออกโดยพฤติกรรมต่างๆ เช่น ความก้าวร้าว เป็นการแสดงออกของสัญชาตญาณ ความตาย (dead instincts) โดยการทำงานของจิตไร้สำนึก (unconscious) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลต้องการจะกลับไปสู่ ความมั่นคง ตัวอย่าง เช่น ชีวิตในวัยเด็กผู้ใหญ่มักหันกลับมามองว่าเป็นระยะเวลาแห่งการสุขสบาย ดังนั้นบางครั้งคนเราก็ต้องการมี ความสุข จึงอาจมีพฤติกรรมถอยกลับไปสู่สภาพเดิมซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นสัญชาตญาณของ ความตาย
Erikson ยอมรับในพลังเพศ libido และถือว่าเป็นสิ่งกำหนดกรรมมนุษย์ พลังนี้ได้ทำงานออกมาในระบบ id ego และ superego การทำงานของ id และ superego จะขัดแย้งกันอยู่เสมอโดยมี ego เป็นตัวกลางที่จะประนีประนอมทั้ง 2 ระบบ
Ego ในทัศนะของเขาเป็นตัวตัดสินในการที่บุคคลจะแสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมาโดยนำ ความรู้จากประสบการณ์มาร่วมพิจารณาด้วย ego จึงเป็นระบบที่แสดงคุณค่าของมนุษย์ ego ทำให้มนุษย์มี ความคิดสร้างสรรค์ และมี ความสามารถในการปรับตัว
พลังเพศ (libido) จะมีผลต่อประสบการณ์การรับรู้ของชีวิตทั้ง 3 ระดับคือประสบการณ์สำนึก (conscious experience) ประสบการณ์ใกล้สำนึก (preconscious experience) และประสบการณ์ไร้สำนึก (unconscious experience) โดยประสบการณ์ 2 ตัวหลังมีอิทธิพลสำคัญต่อแรงจูงใจในการกระทำพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคล พลังเพศจะแสดงออกอย่างเปิดเผยในจิตทั้ง 3 ระดับ โดยมีระบบการทำงานที่ควบคุมโดย ego ซึ่งเป็นระบบที่สัมผัส ความจริงในชีวิต และเป็นตัวตัดสินว่าพฤติกรรมใดควรแสดงออก
5. แกนการทำหน้าที่ของมนุษย์ (Core of Human Functioning)
Erikson มี ความคิดเห็นเช่นเดียวกับ Freud ว่าอารมณ์แทรกซึมอยู่ในการทำหน้าที่ทุกกระบวนการของมนุษย์ ธรรมชาติของอารมณ์พิจารณาได้จากคุณภาพ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น สภาพทางอารมณ์ต่างๆ ที่แสดงออกมาในรูปของ ความคิด การกระทำ ความรู้สึก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับสภาพ ความสมดุลของการทำงานร่วมกันของ id ego และ superego
สำหรับช่วงพัฒนาการ ในวัยเด็ก การเล่นของเด็กถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ Erikson เห็นว่าการเล่นเป็นหน้าที่สำคัญของ ego ในระยะนี้ เพราะการเล่นประกอบด้วยกระบวนการ 3 อย่าง คือ การคิด การสื่อสาร และพฤติกรรม เช่น การคิด ขณะเล่นเด็กจะมีรูปแบบของการคิด และคำพูดการสื่อสาร เด็กมีการสื่อสารซึ่งกัน และกัน โดยใช้ทั้งภาษาท่าทาง (non verbal) และภาษาพูด (verbal) และพฤติกรรม คือสิ่งต่างๆ ทีแสดงออกในขณะเล่นการเล่นของเด็กจึงเป็นการทำหน้าที่สำคัญแสดงถึงประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตที่เด็กสะสมมา เป็นการช่วยให้เด็กได้รู้จักตัวเอง รู้ถึง ความสามารถ นอกจากนั้นเด็กยังใช้การเล่นเป็นเครื่องมือในการระบาย ความเครียด ความยุ่งยาก และ ความคับข้องใจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการพัฒนาการใช้ภาษา และทำให้เด็กรู้สึกเป็นอิสระจากข้อจำกัดต่างๆ และนอกจากนี้การเล่นจะแตกต่างกันไปในแต่ละสังคมทำให้ทราบถึงโครงสร้างของสังคมนั้นๆ ได้
การเล่นกับ ego Erikson เสนอแนะว่าการเล่นเป็นเครื่องมือของ ego ที่จะแสดงออกในตัวตนของบุคคล เช่นเดียวกับ ความฝันที่แสดงออกถึงพลัง id เขาสรุปว่า ”การเล่นของเด็ก และการให้เหตุผลของผู้ใหญ่เป็น ผลิตผลเดียวกันแต่เกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน”
แกนการทำหน้าที่ของมนุษย์ซึ่งมีอารมณ์ และการเล่นของเด็กดังกล่าวมาแล้ว สิ่งที่จะต้องสร้างขึ้น เพื่อให้มีบุคลิกภาพ สมบูรณ์ใน ระยะต่อมาคือ การที่บุคคลไม่ขัดแย้งกับ ความต้องการทางเพศ การไม่ขัดแย้งกันในเรื่องของ ความรักกับกามารมณ์ และการไม่ขัดแย้งกัน ของการแสดงออกทางเพศกับพฤติกรรมทั่วๆ ไปของบุคคล
6. ทารกแรกเกิด ( The newborn )
ทารกแรกเกิดดย่อมได้ปะทะสังสรรค์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างไปจากสิ่งแวดล้อมภายในครรภ์ และเริ่มต้นที่จะมีบุคลิกภาพ เป็นของเขาเอง ในระยะทารกสิ่งแรกที่เขาจะได้รับคือบทบาททางเพศ ทั้งเพศชาย และเพศหญิงจะได้รับประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน เป็นที่ทราบแล้วว่าสิ่งแวดล้อมย่อมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทุก ๆ ด้าน สิ่งแวดล้อมในสังคม และสถาบันต่างๆ จะขัดเกลาพฤติกรรม และบุคลิกภาพของเด็ก นอกจากนี้สังคม และสถาบันต่างๆ จะเป็นแหล่งที่ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจพัฒนาการของเด็ก แล้วนำ ความรู้นั้นมาอบรมเด็กเพื่อให้มีบุคลิกภาพตามที่สังคมยอมรับ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสังคม และทารกแรกเกิดจะอยู่ในเงื่อนไขพึ่งพออาศัยซึ่งกัน และกัน คือสังคมต้องการทารกที่เกิดมาเพื่อมารับสถานภาพต่างๆ ตามเกณฑ์กำหนดในขณะเดียวกันทารกที่เกิดมาก็ต้องการสังคมเพื่อพัฒนา ความเจริญเติบโตของบุคลิกภาพของเขา
7. สิ่งแวดล้อม ( Environments )
ได้แก่สิ่งแวดล้อมทางกาย (Physical) สังคม (Social) วัฒนธรรม (Culture) และ ความคิด(Ideational) สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ มีอิทธิพลสำคัญต่อการวางรูปแบบการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคล เพราะการปฏิบัติต่อกันของบุคคลในสังคม เช่น การอบรมสั่งสอน การฝึกหัด และการพยายามให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพของตนเองเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ ดังกล่าวทั้งสิ้น พลัง หรืออำนาจ ของสิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลต่อบุคคลโดยการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ เช่น จากพ่อแม่ และคนใกล้ชิด ความศรัทธาในศาสนา การถ่ายทอด หรือปลูกฝังอุดมคติเหล่านี้ จะเป็นแนวทางในการค้นหาศักยภาพของตนเอง ดังนั้นทุกคนจึงต้องการ ความรู้ และคำแนะนำ เพื่อการดำรงชีวิต และพัฒนาตนในเรื่องของวัฒนธรรมมีส่วนใน การสร้างแบบแผนการดำรงชีวิต การดำรงชีวิต ส่วนใหญ่เป็นแรงจาก สัญชาตญาณ โดยมีวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดการแสดงออกที่ถูกต้อง Erikson กล่าวว่า ความแตกต่างของ วัฒนธรรม และกลุ่มสังคม มีผลทำให้บุคคลแตกต่างกัน เด็กเล็กๆที่กำลังเจริญเติบโตจะรับรู้ ความจริงต่างๆจาก ประสบการณ์ที่เขาได้รับ และเป็นจุดเริ่มต้น ของแบบแผนการดำเนินชีวิตของเขา ต่อไป และเป็นแรงที่จะกำหนด ความสามารถ ในการที่ชีวิต จะประสบ ความสำเร็จ หรือไม่
แนวคิดของ Erikson เกี่ยวกับพัฒนาการ (Erikson’s Concept of Development)
พัฒนาการทั้ง 8 ขั้น เป็นตัววางรูปแบบของ ego ความสำเร็จจากการแก้ปัญหา ข้อขัดแย้งในแต่ละขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งเร้าให้เกิด วุฒิภาวะได้เป็นอย่างดี แต่ก็อาจมี ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ คือ ถ้ามีระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติบุคคลนั้น จะไม่สามารถพัฒนา ศักยภาพของตน ให้ถึงขั้นสูงสุดได้ นอกจากนี้การพัฒนาไปยังขั้นสูงต่อไปนั้นจะต้องมี ความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม
พัฒนาการของบุคลิกภาพ
ขั้นพัฒนาการ 8 ขั้นของ Erikson นั้น 5 ขั้นแรกจะอยู่ในช่วงวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุ่น ซึ่งเขาให้ ความสนใจมากกว่า 3 ขั้นสุดท้าย ซึ่งอยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่ พัฒนาการ 8 ขั้นของชีวิต ตามแนว ความคิดของ Erikson พัฒนาการทั้ง 8 ขั้น เรียงลำดับดังต่อไปนี้
1. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกไว้วางใจพื้นฐานซึ่งทำให้ผ่านพ้น ความรู้สึกไม่ไว้วางใจไปได้ – ความหวังเกิดขึ้น (Acquiring a Sense of Basic Trust While Overcoming a Sense of Basic Mistrust – a Realization of Hope) เป็นระยะตั้งแต่เกิด – 1 ขวบ
2. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกเป็นอิสระซึ่งตรงข้ามกับ ความรู้สึกไม่แน่ใจ และ ความละอาย – การรับรู้ใน ความสามารถ (Acquiring a Sense of Autonomy While Combating a Sense of Doubt and Shame – a Realization of Will) เป็นระยะ 1 – 3 ขวบ
3. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกของ ความคิดริเริ่มซึ่งทำให้ผ่านพ้น ความรู้สึกผิด – การตั้ง ความมุ่งหมาย (Acquiring a Sense of Initiative and Overcoming a Sense of Guilt – a Realization of Purpose) เป็นระยะ 3 – 5 ปี
4. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และขจัด ความรู้สึกเป็นปมด้อย- ความสามารถเกิดขึ้น (Acquiring a Sense of Industry and Fending Off a Sense of Inferiority – a Realization of Competence) เป็นระยะอายุ 6 – 12 ปี
5. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกใน ความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และผ่านพ้น ความรู้สึกสับสนในตนเองไปได้ – รับรู้ตาม ความจริง (Acquiring a Sense of Identity While Overcoming a Sense of Identity Diffusion – a Realization of Fidelity) เป็นระยะ 13 – 17 ปี
6. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกสัมพันธภาพ และเป็นมิตรกับบุคคลอื่นโดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศ และหลีกเลี่ยง ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง – ความรักเกิดขึ้น (Acquiring a Sense of Intimacy and Solidarity and Avoiding a Sense of Isolation – a Realization of Love) ช่วงอายุ 18 – 21 ปี
7. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกที่จะเป็นผู้ให้กำเนิด และสร้างสรรค์สังคม และหลีกเลี่ยง ความรู้สึกที่คำนึงถึงแต่ตนเอง – การเอาใจใส่ดูแลเกิดขึ้น (Acquiring a Sense of Generativity and Avoiding a Sense of Self – absorption – a Realization of Care) ช่วงอายุ 22 – 40 ปี
8. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิต และหลีกเลี่ยง ความรู้สึกสิ้นหวังท้อถอยในชีวิต – รู้จักชีวิต (Acquiring a Sense of Integrity and Avoiding a Sense of Despair – a Realization of Wisdom) ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป
ขั้นพัฒนาการทั้ง 8 ขั้นประกอบด้วย ความรู้สึกต่างๆ นั้นหมายถึง ความรู้สึกของการประสบ ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลวในการที่จะปลูกฝังองค์ประกอบที่สำคัญของ
บุคลิกภาพคือ ความไว้วางใจ ความเป็นอิสระ ความคิดริเริ่ม ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า การมีเอกลักษณ์ของตนเอง เป็นต้น ซึ่ง ความรู้สึกเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการตัดสินว่า พัฒนาการทางด้านจิตใจของบุคคลนั้น ผ่านพ้นไปได้ตามช่วงอายุ หรือไม่ ถ้าสามารถผ่านไปได้บุคคลย่อมมีบุคลิกภาพที่มั่นคงสมบูรณ์มีการพัฒนาทั้งร่างกาย และจิตใจเป็นปกติ รายละเอียดของ พัฒนาการแต่ละขั้นมีดังนี้
1.ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกไว้วางใจพื้นฐาน ซึ่งทำให้ผ่านพ้น ความรู้สึกไม่ไว้วางใจไปได้– ความหวังเกิดขึ้น
พัฒนาการขั้นแรก นี้มีระยะเวลาตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 1 ขวบ พัฒนาการขั้นแรกนี้นับว่าเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการขั้นต่อๆ ไป Erikson ได้อธิบายถึงธรรมชาติของพัฒนาการในระยะนี้ว่า เมื่อทารกคลอดจากครรภ์มาสู่สิ่งแวดล้อมใหม่จะมี ความต้องการ 2 ประการ เกิดขึ้น คือ ความต้องการทางกาย คือ ต้องการอาหาร ความอบอุ่นทางร่างกาย เป็น ความรู้สึกต้องการให้รับสิ่งที่ร่างกายต้องการ และ ความต้องการอีกอย่างคือ ความต้องการที่จะได้รับการตอบสนองทางด้านจิตใจ คือ การได้รับความรัก ความรู้สึกอบอุ่นมั่นคง ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ถ้าทารกได้รับการตอบสนองในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาต้องการอย่างพอเพียง ก็จะเป็นผลให้พัฒนา ความรู้สึกไว้วางใจ ในประสบการณ์ใหม่ที่เขาได้รับ ซึ่ง ความรู้สึกไว้วางใจที่เกิดขึ้นในระยะนี้ จะเป็นพื้นฐานของการสร้าง ความรู้สึกไว้วางใจต่อบุคคล หรือสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ในระยะต่อมา แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าทารกไม่ได้รับ ความสุขสบายทั้งทางกาย และทางใจ ย่อมทำให้ทารกเกิด ความรู้สึกหวาดกลัวต่อสถานที่ หรือ สถานการณ์ต่างๆ ต่อไปในอนาคตการพัฒนา ความรู้สึกไว้วางใจ ให้เกิดขึ้นในบุคลิกภาพ จะช่วยให้บุคคลมีสุขภาพจิตที่ดี และยอมรับ หรือกล้าเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ในวัยเด็กเขาควรจะได้เรียนรู้ที่จะไว้วางใจในคนอื่นๆ หรือ ต่อประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งนอกจากจะได้จากประสบการณ์ตรงของเขาแล้วก็จะได้จาก การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ด้วย การพัฒนา ความรู้สึกไว้วางใจของเด็กในระยะนี้ เป็นระยะที่เด็กกำลังเจริญเติบโตซึ่งสัมพันธ์กับระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบการหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต่างๆ ความรู้สึกของร่างกายที่เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อได้รับการตอบสนองจากสังคมจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิด ความรู้สึกไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจสังคม หรือบุคคลในสังคมได้ ซึ่งเป็น ความสัมพันธ์ของพลังจิต (psychic energy) กับบริเวณร่างกายที่ถูกเร้าเป็นผลให้เกิดการรับรู้ประสบการณ์ ในเรื่องของพลังจิต Erikson ก็มี ความเห็นคล้อยตามกับ Freud ว่าเป็นการทำงานของพลังเพศ (libido)
ทารกในช่วง 3 – 4 เดือนแรก การดูด และการกลืนอาหารเป็นสิ่งที่ทำให้ทารกมี ความสุข ดังนั้นช่วงระยะเวลาของการดูดนม อาหาร และปริมาณของอาหารทีได้รับจึง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทารกรู้สึกว่า สังคมนี้ให้ ความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคงแก่จิตใจของเขา สิ่งแวดล้อมที่เขาได้รับ คือ แม่ที่ให้นมแก่เขา ความรัก ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของแม่ รอยยิ้ม และวิธีการพูดของแม่ทำให้ทารกมี ความสุข และสบายใจ Erikson กล่างถึงระยะของ ความรู้สึกเกี่ยวกับปาก และการหายใจ(an oral – respiration – sensory stage) ไว้ว่าทั้ง 2 ระบบนี้จะทำงานร่วมกัน และมีผลโดยตรงกับการสร้าง ความรู้สึกไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจของเด็ก ลักษณะของอารมณ์เด็ก ขึ้นอยู่กับ การได้รับ และปริมาณของการได้ผ่อนคลาย ความเครียด ทารกจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากการปฏิบัติที่ให้ ความรัก ความเอาใจใส่ และ ความห่วงใยจากพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงเขา
การที่สามารถหยิบ คว้า สิ่งต่างๆ ได้ก็เป็นแนวทางที่ทำให้ทารกได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในสังคมของเขาด้วย การหยิบ หรือคว้าบางอย่างเข้าปาก หรือการดูดจุกนม หรือสิ่งอื่นๆ แม้กระทั่งเสียงที่ได้ยิน ตลอดถึง ความอ่อนนุ่ม หรือแข็งกระด้างที่ เขาสัมผัสล้วนมีผลต่อ การปลูกฝัง ความรู้สึกไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจ ถ้าทารกขาดประสบการณ์เหล่านี้ หรือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เกิด ความไม่สบายใจไม่พอใจ จะเป็นสัญญาณเตือนถึงการเริ่มต้นปลูกฝัง ความไม่ไว้วางใจในสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นในใจของทารกต่อไป
พัฒนาการทางสังคมระยะแรก (Early Social Outreach) Erikson แบ่งพัฒนาการทางปากเป็น 2 ระยะ ระยะแรกเรียกว่า Oral dependent เริ่มตั้งแต่คลอดและสิ้นสุดเมื่อฟันซี่แรกเริ่มขึ้น เป็นระยะที่ทารกยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นที่จะสนอง ความต้องการต่าง ๆ ให้ตน เช่น การกิน การช่วยเหลือในเรื่อง การขับถ่าย เป็นต้น ระยะที่ 2 เรียกว่า Oral aggressive เริ่มเมื่อฟันซี่แรกขึ้นเป็นต้นมาจนสิ้นสุดพัฒนาการระยะนี้ ในระยะที่ 2 นี้ทารกโตมากขึ้นสามารถควบคุมกล้ามเนื้อมือได้ การหยิบจับสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วย ความตั้งใจมากขึ้น ทารกเริ่มเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่างๆ จากประสบการณ์ซึ่งมีทั้งประสบการณ์ที่ทำให้เกิด ความพอใจ และไม่พอใจ ประสบการณ์ที่ทำให้เกิด ความไม่พอใจ หรือไม่สบายใจทารกจะแสดงออกโดยการกัดสิ่งต่างๆ
พัฒนาการขั้นปาก – จุดเริ่มต้นของ ego พัฒนาการในขั้นปากจะแสดงถึง ความสัมพันธ์ระหว่างทารกกับแม่ ทารกต้องการอาหาร และ ความอบอุ่นใจ ซึ่งถ้าได้รับ 2 สิ่งนี้อย่างเพียงพอย่อมเป็นจุดเริ่มต้นในการวางพื้นฐาน ego ให้กับทารก แต่ถ้าทารกได้รับประสบการณ์ในทางตรงข้าม จะเป็นการหยุดชะงักการพัฒนาศักยภาพ และ ego ของเขา ถ้าทารกมี ความมั่นคงในจิตใจก็ย่อมมี ความไว้วางใจในผู้อื่น และสามารถเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดี Erikson ได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ของทารกกับแม่ไว้ดังนี้ “การที่แม่ดูแลเอาใจใส่ใน ความต้องการของเด็กอย่างสมบูรณ์ เป็นการนำให้เด็กเรียนรู้ ที่จะไว้วางใจแม่ไว้วางใจตัวเอง และไว้วางใจโลกในที่สุด”
รากฐานการเลียนแบบ (Roots for Identification)
ลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก และ ความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลูก เป็นตัวทำนายถึงลักษณะของเด็กในอนาคต เด็กจะเลียนแบบกับสิ่งที่ได้รับจากแม่ และเป็นลักษณะที่เขาจะแสดงต่อบุคคลอื่นต่อไป ซึ่งลักษณะนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อเด็กอายุได้ 6 เดือน Erikson ได้กล่าวถึง ประสบการณ์ และการเกิด ความข้องคับใจว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเลียนแบบ โดยเฉพาะ ความข้องคับใจ จะนำไปสู่ ความรู้สึกไม่แน่ใจซึ่งเป็นพื้นฐานของ ความไม่ไว้วางใจเด็กจะเรียนรู้ และรับเข้าไว้ในจิตไร้สำนึก (unconscious) และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่เปิดเผยโดยที่เด็กไม่เข้าใจถึงสาเหตุ และ ความหมายของพฤติกรรมเหล่านั้น ความจริงแล้ว Erikson ไม่ได้กล่าวเน้นถึง ความเคยชิน หรือการเอาใจใส่ของแม่ที่มีต่อเด็กแต่เขาเน้นที่อารมณ์ ทัศนคติที่แม่มีต่อเด็กแต่เขาเน้นที่อารมณ์ ทัศนคติที่แม่มีต่อการเลี้ยงดูเด็กจริง ๆ ไม่ใช่เลี้ยงตามหน้าที่ Erikson แนะนำว่าการฝึกหัดในวัยแรกๆ จะล้มเหลว ถ้าเป็นการฝึกที่พ่อแม่ฝึกให้เด็กแทนที่จะให้เด็กฝึกตัวเอง วิธีการที่แม่เลี้ยงดูลูกของตัวเอง จะเป็นอย่างไร นั้นขึ้นอยู่กับว่าแม่ได้รับ การอบรมเลี้ยงดูมาอย่างไร รวมทั้งวิธีการของพ่อ และการยอมรับสถานภาพของครอบครัวจากสังคม รวมถึงอิทธิพลของ วัฒนธรรม ประเพณีด้วย
2. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกเป็นอิสระ ซึ่งตรงข้ามกับ ความรู้สึกไม่แน่ใจ และ ความละอาย – การรับรู้ใน ความสามารถ
พัฒนาการขั้นนี้อายุ 1 – 3 ขวบ ในขั้นนี้เป็นระยะที่เด็กกำลังเติบโตมากขึ้นเขาจึงค้นพบว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเองซึ่งถือว่าเป็นการค้นพบ ความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ยังมี ความรู้สึกลังเลไม่แน่ใจใน ความสามารถ และอิสระของเขา ความไม่แน่ใจนี้จะมีผลต่อการจะเป็นตัวของตัวเอง และทำให้ต้องคอยพึ่งพาอาศัยคนอื่นเสมอ ทำให้เกิด ความขัดแย้งขึ้นในตัวเด็กในการค้นหาถึงสิทธิ และ ความสามารถของตัวเอง เด็กต้องการคำแนะนำ ความเห็นใจ ความเข้าใจจากผู้ใหญ่เพื่อการค้นหาตัวเอง วัยนี้ตรงกับขั้นพัฒนาการของการฝึกขับถ่าย (anal phase) ของ Freud
ในวัยนี้พัฒนาการทางกายของเด็ก มีวุฒิภาวะมากขึ้น การประสานกันระหว่างกล้ามเนื้อมีการทำงานดีขึ้น เด็กสามารถยืน เดิน ถือของ หรือปล่อยของได้ เด็กพยายามค้นหาสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวเขา เด็กสามารถควบคุมกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ทวารหนัก และกระเพาะปัสสาวะ และควบคุมระบบย่อยอาหาร เด็กสามารถกินอาหารที่แข็งขึ้นไม่ต้องกินแต่อาหารอ่อนเหมือนช่วงที่ผ่านมา
วุฒิภาวะทางกาย ความสามารถของวุฒิภาวะทางร่างกายมี ความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของพลังเพศ (libido) พลังเพศจะแสดงออกในรูปของ if ego และ superego ความต้องการเป็นตัวของตัวเอง หรือ ความต้องการพึ่งพาอาศัยผู้อื่น เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงแรงกระตุ้นของ id แรงกระตุ้นของ id นี้มีพลังมากเกินกว่าที่เด็กเล็กๆ ในวัย 1 – 3 ขวบจะจัดการให้เรียบร้อย และเหมาะสมได้ พ่อแม่จึงควรช่วยเหลือเขาด้วย อย่างไรก็ตามโดยทั่วๆ ไปแรงกระตุ้นที่เพิ่มขึ้นของ id นี้ จะเท่ากับ
การเจริญเติบโตของ ego เพเราะมีการพัฒนาการทางด้านการควบคุมกล้ามเนื้อ การรับรู้ ความจำ ความคิด และการปรับตัว ให้เข้ากับสังคม เพิ่มมากขึ้นซึ่งทำให้ ความเข้มแข็งของ ego เพิ่มมากขึ้นด้วย กระบวนการเติบโตทางร่างกายจะพัฒนาไปพร้อม ๆ กับพลัง id และ ego และจะมี superego เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กระบวนการทำงานเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และมีผลให้เด็กมี ความเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ ความสำคัญของ ego การพัฒนาดังกล่าวข้างต้น Erikson เน้น ความสำคัญไปที่การพัฒนา ego มากกว่า id หรือ superego ทั้งนี้ เพราะ ego เป็นตัวที่ยอมรับและรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า เขามีขอบเขตของ ความเป็นอิสระได้มากน้อยเพียงไร เมื่อเด็กมองเห็น ความสามารถของตัวเอง และรู้ว่าคนอื่นมองว่าเขาเป็นอย่างไร รวมกับ
การรับรู้ว่าขอบเขตของอิสระของเขามีมากน้อยเพียงใดในฐานะที่อยู่กับพ่อแม่ หรืออยู่กับคนอื่น หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ รู้สึกมั่นใจ ในตัวเองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกไว้วางใจ หรือมั่นใจในตัวเองของเด็ก อาจหมดไปได้ถ้าเขามี ความรู้สึกว่ายังต้องพึ่งพาคนอื่น หรืออยู่ใต้คำสั่งของคนอื่นรวมทั้งอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเขาจะรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวเขาเป็นศัตรู และมีผลทำให้เกิด ความกลัว ลังเล ไม่แน่ใจ
ความมั่นใจในตนเอง การแสดงพฤติกรรมเด็กมักมี ความวิตกกังวลต่อผลจะเกิดขึ้น หรือผลที่เขาจะได้รับ พลังเพศ (libido) จะเป็นตัวคอยควบคุมการกระทำ ความคิด การสร้าง ความสัมพันธ์กับบุคคลขึ้น ความต้องการ ฯลฯ พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้มีผลต่อ ความคิดของเด็กทำให้มี ความคิดที่ต้องควบวคุมตัวเองที่จะไม่ให้เกิด ความเครียด หรือ ความรู้สึกไม่สบายใจ และพยายามทำในสิ่งที่สังคมต้องการ
การเล่น (Play) การเล่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในพัฒนาการขั้นนี้ เด็กจะต้องรู้ขอบเขต ความสามารถของตนเอง ต้องยอมรับ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของการเล่นนี้ด้วย
Erikson กล่าวว่า “ของเล่นถือเป็นโลกสมมุติเล็กๆ ที่เด็กสร้างขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุง ego ของเขาเอง” เวลาเล่นอารมณ์ของเด็กจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และรวดเร็วซึ่งมีผลต่อการพัฒนา ความรู้สึกที่ต้องการอิสระ และการเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าเด็กได้รับการเอาใจใส่จากพ่อแม่มากเกินไปเด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่มี ความมั่นใจตัวเองไม่กล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง
การสร้าง ความสัมพันธ์ (Relationship Formation) เด็กในวัยนี้ ความต้องการ ความช่วยเหลือจากแม่ลดน้อยลง เด็กพยายามที่จะช่วยตัวเอง ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น รับประทานอาหาร แต่งตัว หยิบจับสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ความรู้สึกต้องการเป็นตัวของตัวเองนี้จะพัฒนาได้มั่นคง หรือไม่ขึ้นอยู่กับเขาสามารถแสดง ความสามารถของเขาออกมา ได้มากน้อยแค่ไหน และเป็นที่ยอมรับจากพ่อแม่ และบุคคลรอบข้าง หรือไม่ การรู้จักให้ และรับ (give and take) ระหว่างพ่อ แม่ ลูก จะช่วยให้เด็กรู้สึกพึ่งพาตัวเองได้ และที่สำคัญก็คือพ่อแม่ควรรู้ขอบเขตของการให้แก่ลูก เด็กจะเชื่อฟังก็ต่อเมื่อ เขาเข้าใจในขอบเขตว่า สิ่งใดที่เขาสามารถกระทำได้ ในทางตรงกันข้ามแล้ว เขาไม่รู้ว่าเขาสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เพเพียงไร ถ้าทำลงไปแล้วถูกขัดขวาง จะยิ่งทำให้เด็กเกิด ความสับสนไม่แน่ใจยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นจุดสำคัญที่จะเริ่มต้นเด็กให้เป็นคนที่สามารถช่วยตัวเอง และควบคุมตัวเองได้ หรือเกิด ความลังเลไม่แน่ใจ และละอายในการกระทำสิ่งต่างๆ ความรู้สึกสงสัยไม่แน่ใจในตัวเองของเด็กเกิดจาก ความไม่แน่นอนในฐานะของตัวเอง เพราะเขามี ความรู้สึกว่าไม่มั่นคงในจิตใจเพียงพอ หรือไม่สามารถควบคุมตัวเอง ให้ทำอะไรได้ทำให้เกิด ความไม่แน่ใจใน ความสามารถว่าเขาจะช่วยเหลือตัวเองได้ หรือไม่
ความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ในระยะนี้เด็กค่อยๆ เรียนรู้ที่จะข่มขู่พ่อแม่เมื่อเขาต้องการอะไร หรือต้องการให้พ่อแม่ทำอะไรให้เขา เด็กจะใช้วิธีการข่มขู่โดยการลงนอนร้องดิ้น และในขณะเดียวกันเป็นระยะที่พ่อแม่ และคนใกล้ชิดคาดหวังว่าเด็กมี ความสามารถเพิ่มมากขึ้น และตัวเด็กเองก็พยายามค้นหา ขอบเขตของ ความอิสระของเขาว่ามีมากน้อยเพียงไร เด็กเรียนรู้ว่าการแสดงพฤติกรรมแบบใดกับใคร จึงจะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
การเลียนแบบ (Identification Formation)
Erikson เสนอแนะว่าในขั้นพัฒนาการระยะที่ 2 นี้ถ้าเป็นระยะที่แม่มีลูกเพิ่มขึ้นเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน ซึ่งทำให้แม่หันมาเอาใจใส่ลูก ที่เกิดใหม่มากขึ้น ทำให้พี่เกิด ความริษยาน้องใหม่ได้ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เด็กต้องการเป็นตัวของตัวเอง ต้องการเป็นอิสระ และไม่ต้องการพึ่งพาผู้อื่น อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการเลียนแบบ สิ่งแวดล้อมของเด็กมีผลต่อ ความคิด ความรู้สึก ทำให้พฤติกรรมของเด็ก แสดงออกมาในทางที่ดี หรือไม่ดีก็ได้ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบทางวัฒนธรรม ระเบียบประเพณี และกระบวนการของสังคมประกิต ที่กำหนดแบบอย่าง ของการปฏิบัติให้แก่เด็ก ถ้าสังคมใดขาดแบบแผน ที่จะเป็นแบบอย่าง จะนำไปสู่การพัฒนา ความรู้สึกสับสน และละอายของเด็กด้วย
3. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกของ ความคิดริเริ่ม ซึ่งทำให้ผ่านพ้น ความรู้สึกผิด-การตั้งจุดมุ่งหมาย ขั้นนี้อายุ 3 – 5 ปี เด็กวัยร่างกายมี ความสามารถ และช่วยตัวเองได้มากขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัด ความคิดริเร่อมสร้างสรรค์พัฒนาขึ้นเมื่อเด็กได้ทำกิจกรรมต่างๆ
ที่ท้าทาย ความสามารถของเขา สิ่งแวดล้อมมีส่วนผลักดันให้เด็กเกิด ความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ คือ ความสามารถภายในตัวเด็กเอง ของเล่น สัตว์เลี้ยง รวมถึงญาติพี่
น้องด้วย เด็กวัยนี้ชอบพูด และตั้งคำถามา เด็กช่างซักถาม ช่างสงสัย และจินตนาการ ความคิดต่างๆ ขึ้นมาในขณะที่กำลังทำกิจกรรมนั้นๆ อยู่ เด็กที่ขาด ความเชื่อมั่นในตน
เองจะมี ความคิดคัดค้าน หรือ ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นเนื่องจากเขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จดังใจ เป็น ความรู้สึกที่สืบเนื่องมาจากการพัฒนา ความรู้สึกไว้วางใจ หรือไม่
ไว้วางใจผู้อื่นในขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูนั่นเอง เด็กเกิด ความรู้สึกผิดขึ้นเนื่องจาก ความสามารถของเขาถูกริดรอน หรือขัดขวาง ความคิดริเริ่ม หรือ ความ
รู้สึกผิดจะเกิดสะสมในตัวเด็ก ในระยะนี้องค์ประกอบสำคัญของการสร้าง ความรู้สึกของ ความคิดริเริ่ม และทำให้ผ่านพ้น ความรู้สึกผิด มีดังนี้ วุฒิภาวะ (Maturity) การ
เลียนแบบ (Identification Formation) ปม (Oedipus Complex) รูปแบบของมนุษย์ (Human Modalities) การเล่น (Play) การสร้าง ความสัมพันธ์
(Relationship Formation) และวุฒิภาวะ (Maturity)
Erikson สนับสนุนในด้านที่ว่าเด็กจะทำสิ่งใดๆ ให้ดีขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของตัวเด็กเองด้วย เช่น ความสามารถด้านการพูด การจับสิ่งของต่างๆ เป็นต้น เด็กวัยนี้สามารถ
เดิน วิ่ง กระโดดโลดเต้นได้ เด็กจะมีทัศนคติไปในทางที่ดี ถ้าเขาได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ของเขาอย่างมีอิสระได้ใช้ ความคิด และพลังงานของเขาเพื่อสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม
เด็กต้องการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาซึ่งผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ชอบ ในขณะเดียวกันเด็กก็มีคำถามอยู่ตลอดเวลา เด็กมี ความสามารถทางภาษา และใช้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม เด็กต้อง
การรู้ในสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ผู้ใหญ่ควรปล่อยให้เด็กได้ใช้ภาษา และทำกิจกรรมต่างๆ อย่างอิสระภายในขอบเขต ความสามารถของเขา และตามจินตนาการของเด็กเอง
กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้มี id เป็นตัวกระตุ้นอยู่ภายใน Erikson กล่าวว่า id จะแสดงพลังเพื่อสนอง ความต้องการของตนตลอดเวลา ถ้า ego ถูกสร้างขึ้นมาแข็งพอเพียง
ก็จะพยายามควบคุม id ให้แสดงออกมาในรูปแบบที่เหมาะสม พร้อมกันนั้นจะมีการสร้าง superego ขึ้นมาในตัวของเด็กเองด้วย id ego และ superego เป็น
กระบวนการที่ถูกสร้าง และขัดเกลาให้เหมาะสมจากครอบครัวของเด็ก และขนบธรรมเนียมประเพณี
การเลียนแบบ (Identification Formation)
ครอบครัวของเด็กจะเป็นแหล่งชี้แนะถึงสิ่งต่างๆ ในสังคมให้แก่เด็ก เด็กจะเริ่มสร้างบุคลิกภาพ และ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจากการได้ปะทะสังสรรค์กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ
ตัวเขา superego ถูกสร้างขึ้นโดยการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว และค่อยๆ สะสมซึมซาบเข้าไปเป็น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวเด็กเอง ความรู้สึกนี้ถูกสะสมมาจาก
ตัวแบบในครอบครัว (stereo-type) โดยตัวแบบบอกให้เขารู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ดังนั้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจึงถูกสร้างขึ้นจาก superego ในครอบครัวนั้นๆ ซึ่ง
รวมถึงแนว ความคิด ค่านิยมของสังคมอีกด้วย เด็กจะพิจารณาสถานการณ์ใดๆ โดยมี superego ของครอบครัวเขาเป็นมาตรฐานในการตัดสิน และการคิดพิจารณา
สิ่งใดๆ รอบตัวของเด็กก็ใช้บุคลิกภาพของเขา ระเบียบประเพณี และวัฒนธรรมในสังคมเป็นแนวทางในการพิจารณาด้วย ดังนั้นในการปลูกฝัง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ให้แก่เด็กครอบครัวจึงมีบทบาทอย่างยิ่ง
ปม (Oedipus Complex)
พัฒนาการขั้นที่ 3 ซึ่งอยู่ระหว่างอายุ 3 – 5 ปี ทัศนะของ Erikson ก็เช่นเดียวกับ Freud คือเข้าสู่ระยะ oedipus complex ซึ่งเป็นกระบวนการของ ความสัมพันธ์
ระหว่างเด็ก และครอบครัวของเขา Erikson และ Freud เห็นพ้องต้องกันว่าปม oedipus complex จะมีผลต่อพัฒนาการบุคลิกภาพในขั้นต่อๆ ไป การผ่านผมนี้
ไปได้แสดงถึง ความสามารถแก่เขาเพียงไร เด็กเริ่มมี ความรู้เกี่ยวกับเพศ เช่น รู้ถึง ความแตกต่างระหว่างเพศ กระบวนการพัฒนาทางเพศในระยะนี้ก็เป็นไปเช่นเดียวกับที่
Freud กล่าวไว้ในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ คือ เด็กชายจะรัก และต้องการเป็นเจ้าของแม่แต่เพียงผู้เดียว เด็กหญิงก็รัก และต้องการเป็นเจ้าของพ่อแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน ความ
รู้สึกรัก และต้องการเป็นเจ้าของดังกล่าวทำให้เกิด ความรู้สึกเกลียด และไม่คุ้นเคยห่างเหินกับพ่อ-แม่ที่เป็นเพศเดียวกับตน ในขณะเดียวกันก็เกิด ความกลัวว่าพ่อ-แม่ที่เป็น
เพศเดียวกับตนจะล่วงรู้ถึง ความรู้สึกนี้จึงพยายามเลียนแบบ (identification) บุคลิกภาพของพ่อ-แม่ที่มีเพศเดียวกันเพื่อให้พ่อ-แม่ที่เป็นเพศตรงข้ามกับตนพอใจ จุดนี้
มีผลให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่จะแสดงพฤติกรรมตามบทบาททางเพศของตน
นอกจากนี้ในระยะ oedipus complex ทั้งเด็กหญิง และเด็กชายจะสนใจอวัยวะเพศ และพบว่าเด็กหญิงนั้นไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชาย คือไม่มี penis ซึ่งทำให้
ทั้งเด็กหญิง และเด็กชายคิดว่าคงจะเกิดบางสิ่งบางอย่างกับอวัยวะเพศของเด็กหญิง และมันอาจเกิดขึ้นกับเด็กชายบ้างก็ได้ ความกลัวนี้ก่อให้เกิด ความไม่แน่ใจ และ
แสดงออกถึง ความกลัวทุกอย่าง หรือการเกิดจินตนาการในสิ่งที่ผิดๆ ที่หาอธิบายไม่ได้
รูปแบบของมนุษย์ (Human Modalities)
รูปแบบพัฒนาการในขั้น ความคิดริเริ่ม และ ความรู้สึกผิดจะแตกต่างกันในแต่ละเพศ ในระยะแรกๆ ของขั้นนี้ เด็กจะมีพฤติกรรมที่แสดงถึง ความกระตือรือร้น และมี ความก้าวร้าวอย่างอ่อนๆ เพื่อจะเอาชนะในที่สุดจะพัฒนาเป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึง ความเป็นชาย และหญิงอย่างเห็นได้ชัด Erikson และ Freud พัฒนาการขั้นนี้เป็นระยะของการพัฒนาทางด้านเพศ
รูปแบบพฤติกรรมของเด็กชาย เด็กชายจะชอบกระโดดโลดเต้น ต้องการมี ความรู้ใหม่ ๆ และชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเพศโดยแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การไม่อยู่นิ่ง การกระวนกระวาย การจู่โจมถึงตัวบุคคล ความอยากรู้อยากเห็น พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นธรรมชาติของ
เด็ก สภาพแวดล้อมของครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อการแสดงออกของเด็กเป็นอย่างมาก เมื่อเด็กผ่านช่วงนี้ไป ความสนใจเรื่องเพศ จะเปลี่ยนจาก ความสนใจในบุคคลอื่น เป็นการค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเอง สำหรับเด็กหญิง รูปแบบที่แสดงออกมาจะเริ่มต้น คล้ายกับหญิงสาวทั่วไป เช่น มีเสน่ห์ น่ารัก มีทีท่าเขินขวย เย้ายวน จนถึงขั้นที่แสดงออกถึง ความสงบเสงี่ยมซึ่งเป็นลักษณะของสาวๆ ทั้งนี้ทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นที่แสดงออกถึงเพศแม่ เด็กหญิงเริ่มมีบทบทของ ความเป็นแม่ต่อไปในรูปของท่วงทีการพูดคุย การแสดงออกต่างๆ ในสังคมจะสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมต่างๆ รวมถึงอุปนิสัยส่วนลึกที่จะยอมรับใครเข้ามาร่วมเกี่ยวข้องด้วย
การเล่น (Play) ทั้งเด็กชาย และเด็กหญิงจะค้นพบวิธีการแก้ ความขัดแย้งของตนแตกต่างกันออกไป การเล่นเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่เขานำมาใช้ในการแก้ปัญหา ความขัดแย้ง ลักษณะการเล่นที่สำคัญของเด็กวัยนี้คือ การเล่นคนเดียว แต่ในบางขณะเด็กก็ต้องการเพื่อนเล่นเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน ของเล่นของเด็กจะมีส่วนใน การสร้างสมประสบการณ์ให้แก่เด็กในเวลาต่อมา การเล่นร่วมกับเพื่อน เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กรู้จัก แก้ปัญหาต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตามเด็กบางคนเกิด ความรู้สึกผิดในการเล่นของตน เพราะบ่อยครั้งที่เด็กถูกห้ามเล่นในสิ่งที่ต้องห้าม และมักจะเป็นการเล่นที่เขาสนุก และชอบมาก ซึ่งการเล่นดังกล่าวนี้นำไปสู่ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในเวลาต่อไป
การสร้างความสัมพันธ์ (Relationship Formation)
เด็กในระยะนี้ ต้องการตัวแบบจากบุคคลภายนอกครอบครัวเพื่อให้ได้ประสบการณ์จากผู้อื่น สำหรับระยะนี้ต้องการตัวแบบ จากบุคคลภายนอกครอบครัว เพื่อให้ได้ประสบการณ์จากผู้อื่น สำหรับการพัฒนาบุคลิกภาพของตน เด็กจะเปรียบเทียบ ความแตกต่าง ระหว่างตัวเอง และตัวแบบที่ได้พบเห็น เขาจะมี ความรู้สึกว่าทำไมพ่อแม่ทำอะไรๆ ได้ในขณะที่ตัวเขาเองถูกห้ามอยู่เสมอ ทำให้เด็กเกิด ความรู้สึกต้องการเอาชนะ เด็กจะมี ความสงสัยในสิ่งต่างๆ และตื่นเต้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมรอบตัวเขา
เขาต้องการรู้ทุกๆ สิ่งในโลกกว้างของเขา ความอยากรู้อยากเห็นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนประถมศึกษา เป็นสถาบันที่ 2 ของเด็กควบคู่ไปกับครอบครัวที่จะสอนให้เด็กได้รับการเรียนรู้ และสร้างระดับของ ความอยากรู้อยากเห็น พฤติกรรมที่ท้าทาย และก้าวร้าวต่างๆ จะแตกต่างกันไปตามอายุ เพศ และระดับชั้นในสังคมของเด็ก Erikson ได้ชี้ให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างการเลี้ยงดูเบื้องต้นกับระบบสังคมเศรษฐกิจในชุมชน เขาเสนอว่า ความสามารถของบุคคลที่จะก้าวไปสู่ ความสำเร็จต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับการพัฒนาในช่วงระยะเวลาเหล่านั้น
จากการสังเกตพบว่า เด็กจะเจริญเติบโตไปอย่างช้าๆ ในลักษณะบูรณาการกันระหว่างการเจริญเติบโตทางร่างกาย และจิตใจ เช่น เด็กเล็กๆ ค่อยๆ เริ่มเป็นตัวของตัวเอง โอกาส และบทบาทที่ได้แสดงออกจะทำให้เด็กมี ความรู้สึกในด้านการรับผิดชอบตัวเอง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กจะรู้สึกสนุกสนานใน ความสามารถของตนเองที่ได้เล่นของเล่นที่ยากๆ ใช้ ความคิด หรือมีเครื่องมือต่างๆ ที่ต้องใช้การควบคุมด้วยตนเอง และรับผิดชอบต่อตัวเอง หรือต่อเด็กที่อายุน้อยกว่า
การสร้าง ความสัมพันธ์ในระยะนี้จะเริ่มด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างแม่-เด็กต่อมาก็มีพ่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และเมื่อสังคมของเด็กกว้างขวางขึ้นเด็กก็เริ่มสร้าง ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เด็กเริ่มเป็นตัวของตัวเองเด็กที่มีประสบการณ์มากก็จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากเด็กที่ไม่สามารถพัฒนา ผ่าน ความคิดริเริ่มไปได้จะเกิด ความรู้สึกสับสนขึ้นในใจเกิดคำถามขึ้นว่า “ตัวเองเป็นใคร ?” และ “คนอื่นเป็นใคร?”
พัฒนาการของเด็กจึงเป็น ความรับผิดชอบร่วมกันทั้งเด็ก พ่อแม่ และชุมชน การได้มีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน หรือการมีประชาสัมพันธ์ (interaction) กันในสังคมจะเป็นการช่วยถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิดเจตคติค่านิยมของสังคมให้แก่เด็กได้ทีละน้อยโดยมีผู้ใหญ่ช่วยกัน ประคับประคองให้เด็กพัฒนาไปสู่ ความสมบูรณ์ได้
4. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และขจัด ความรู้สึกเป็นปมด้อย- ความสามารถเกิดขึ้น
ขั้นนี้อยุ่ในช่วงอายุอายุ 6–12 ปี ช่วงวัยเด็กตอนปลายเป็นระยะที่เด็กมี ความเจริญเติบโต และมี ความอยากรู้อยากเห็น ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ มากขึ้น การเสาะแสวงหาสิ่งต่างๆ ทำให้เด็กมีประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย เขาคิดว่าสิ่งใดที่เขาต้องการ เขาจะต้องแสวงหาให้ได้ตาม ความปรารถนาเนื่องจากในวัยเด็ก ที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถกระทำสิ่งใดๆด้วยตนเอง เพราะมีผู้ใหญ่คอยบังคับ และควบคุม ดังนั้นเมื่อถึงระยะนี้เด็กจึงต้องการที่จะแสดง ความคิดเห็น และแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อแสดง ความเป็นผู้ใหญ่ จุดสำคัญของพัฒนาการระยะนี้คือการแสดงออกว่าเขาโตแล้ว การสะท้อนกลับของกิจกรรมต่างๆ ที่เขาได้กระทำไป จะทำให้เขารู้สึกว่าประสบ ความสำเร็จหรือล้มเหลว ความรู้สึกล้มเหลวทำให้เขามองตัวเองว่ายังเป็นเด็กอยู่ซึ่งทำให้เกิดปมด้อย แต่ถ้ารู้สึกว่าประสบ ความสำเร็จย่อมทำให้เกิด ความภาคภูมิใจเห็น ความสำคัญของตนเอง และเห็น ความสามารถของตนกับ กลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน ทำให้เกิดกำลังใจที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ระยะนี้สังคมควรช่วยชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตเพราะ เป็นระยะที่เด็ก เริ่มไตร่ตรองถึงอนาคต การที่ได้พิสูจน์ว่ามี ความสามารถในการกระทำต่างๆ ในขอบเขตของเขาทำให้เด็กในวัยนี้มี ความเชื่อมั่นว่าเขาจะประสบความสำเร็จในอนาคต
องค์ประกอบสำคัญของการสร้าง ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และขจัด ความรู้สึกเป็นปมด้อยคือ การเลียนแบบ (Identification Formation) และ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก (Parent Relationship) ดังจะอธิบายคือ
1. การเลียนแบบ (Identification Formation)
เด็กจะมีการแสวงหาแบบอย่างต่อไป และแตกต่างไปตามเพศ และทั้งเด็กหญิง และเด็กชายพบว่าสมควรที่จะสนใจกิจกรรมทั้ง 2 เพศแทนที่จะไปมุ่งสนใจกิจกรรมเฉพาะเพศของตน สิ่งสำคัญของการทำกิจกรรมต่างๆ คือ ความรู้สึกที่สะท้อนออกมาว่าเป็นการแข่งขัน หรือการต่อสู้ เด็กต้องการเปรียบเทียบ หรือวัดคุณค่า และ ความถนัดของตนเอง เด็กจะสนใจในสิ่งต่างๆ แล้วพยายามดัดแปลงให้มาสู่แบบฉบับของเขา ความสามารถในการเลียนแบบจะปรากฏออกมาในรูปของ “การเรียนรู้ภายในขอบเขตของตัวเองโดยมีรากฐานมาจากวัฒนธรรม และสังคม”
2. ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก (Parent Relationship)
ความสัมพันธ์นี้เป็นพื้นฐานสำคัญ เด็กตระหนักว่าในไม่ช้า เขาก็ต้องแยกตัวออกไปมีครอบครัวใหม่ เด็กจะมองเห็นว่าพ่อแม่เป็นตัวแทนของสังคมเป็นแบบอย่างแก่เขา แต่เขาก็ต้องการตัวแบบอื่นๆ เพื่อการเปรียบเทียบด้วย เช่น เพื่อนของพ่อแม่ และพ่อแม่ของเพื่อน เป็นบุคคลสำคัญที่ใหม่สำหรับเขา นอกจากนี้เพื่อนบ้าน เพื่อนในโรงเรียน เป็นสิ่งสำคัญ ทางสังคม ที่เขาจะพิจารณา และคนแปลกหน้ากลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขา เด็กหญิง และเด็กชายจะแสวงหาผู้ใหญ่ และบุคคลอื่นๆ เพื่อการวิเคราะห์
เขาคิดว่าพ่อแม่ยังไม่สมบูรณ์พอที่เขาจะเลียนแบบได้ครบทุกด้าน ในโลกของเด็กมีการสมมุติตำแหน่งต่างๆ ที่สำคัญเหมือนผู้ใหญ่ เด็กมี ความนับถือตนเองเป็นเกณฑ์เพื่อวัด ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลวของตน เด็กจะแสวงหาตัวแบบจากครอบครัวที่มีลักษณะพิเศษออกไป ทางด้านการปรับตัวของเด็กในสังคม เด็กจะมีการยอมรับตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้โรงเรียน กลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกัน ศาสนามีส่วนช่วยสนับสนุนการปรับตัวของเด็กได้เป็นอย่างดี เด็กเริ่มเปลี่ยน ความผูกพันจากครอบครัวไปสู่สถาบันอื่นในสังคม
Erikson เน้นว่า ความรู้สึก และนิสัยในการทำงานของแต่ละคนขึ้นอยู่กับการมี ความรู้สึกอุตสาหะขยันหมั่นเพียร ซึ่งกำลังพัฒนาในช่วงนี้วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการปรับปรุง ความถนัด ความสามารถของตัวเองเพื่อนำไปสู่ ความสำเร็จ สังคมที่กว้างขึ้นทำให้เด็กได้รับการยอมรับ ได้เข้าใจหน้าที่ของตนเองมากขึ้น ในวัยนี้เป็นวัยสำคัญที่จะเตรียมตัวเด็กให้รู้จักเสียสละ เพื่อสังคม และเพื่อครอบครัวของเขาเอง ในการแสวงหา หรือการพัฒนา ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และขจัด ความรู้สึกเป็นปมด้อย ขอบเขต ความสามารถของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ และพัฒนาการระยะนี้จะมีผลต่อระยะวัยรุ่น โดยทั่วไปเด็กวัยรุ่น มักชอบทำกิจกรรมต่างๆ เกิน ความสามารถของตัวเองทำให้เกิด ความกลัว ความผิดพลาด หรือ ความล้มเหลว ซึ่งเป็นแรงผลักดัน ให้เขาพยายามทำกิจกรรมนั้นๆ ให้สำเร็จ เด็กวัยรุ่นจะพยายามเอาชนะ เพื่อ ความสำเร็จซึ่งเป็น แนวทางไปสู่ ความเชื่อมั่นในตัวเอง เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กล่าวได้ว่าเด็กวัยรุ่นมีพลังอย่างเพียบพร้อม ที่จะปรับตัวเพื่อ ความสำเร็จในการทำงาน
5. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกใน ความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และผ่านพ้น ความรู้สึกสับสนในตนเองไปได้ – รับรู้ตาม ความจริง
ในขั้นนี้อยู่ในช่วงอายุ 13–17ปี องค์ประกอบสำคัญของการสร้าง ความรู้สึกเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และผ่านพ้น ความรู้สึกสับสนในตนเอง มีดังนี้
การเข้าใจในเอกลักษณ์ของตนเองช่วยให้เด็กวัยรุ่นเกิด ความเข้าใจในปัญหาต่างๆ และช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคต เช่น การเลือกอาชีพ การเลือกคู่ครอง เป็นต้น
ความรับผิดชอบถือว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญของวัยนี้ ซึ่ง ความรับผิดชอบนี้มีรากฐานมาจากการอบรมของพ่อแม่ และ ความรู้สึกไว้วางใจ และ ความมั่นใจในตนเอง ในวัยนี้
เด็กวัยรุ่นจะเกิด ความคิดสงสัยในตัวเอง เช่น เกิดปัญหาถามตนเองว่า “ฉันคือใคร?” หรือ “ฉันจะทำอะไรดี?” เนื่องจากระยะวัยรุ่นเป็นระยะที่มี ความรู้สึกสับสน ขาดความมั่นใจ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจเพื่อเตรียมเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ปัญหาของเด็กวัยนี้มักเป็นไปในทำนองที่ว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำอะไร
ฉันไม่รู้ว่าฉันจะไปทางไหน และฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร” ดังนั้นกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน การยอมรับจากกลุ่มศาสนา และวัฒนธรรม จึงมีผลต่อการปรับตัวอย่างยิ่ง อย่างไรก็
ตามกระบวนการทำงานของ id และ ego ยังพัฒนาต่อไปซึ่งช่วยให้เด็กวัยรุ่นสามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้
การแสวงหาสถานภาพทางสังคม (Acquisition of Social Status)
เด็กวัยรุ่นจะค่อยๆ พัฒนา ความเป็นตัวของตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อพัฒนาเป็นระดับมาตรฐานของตัวเอง เขาจะแสวงหาตนตามอุดมคติ (ego – ideal) และค้นหาเอกลักษณ์ของตัวเองเพื่อบทบาทใหม่ในสังคม Erikson กล่าวว่า มีเด็กวัยรุ่นตอนปลายอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่เป็นตัวของตัวเอง และยังไม่พบเอกลักษณ์ในตัวเอง ซึ่งวัยรุ่นเหล่านี้เมื่อมีปัญหาจะแก้ปัญหาแบบ “หนีเสือปะจระเข้” หรือหลบหนีจากปัญหานั้นไป อย่างไรก็ตามวัยรุ่นแต่ละคนย่อมต้องการเวลาในการปรับตัวเองเพื่อการเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และให้สังคมยอมรับซึ่ง Erikson ได้เสนอแนวทางการปรับตัวไว้ดังนี้
การปรับตัวของเด็กวัยรุ่น ช่วงวัยรุ่น Erikson เสนอว่ามีขั้นตอนในการปรับตัวที่สำคัญมี 7 ขั้น ในแต่ละขั้นถ้าไม่สามารถปรับตัว ได้ย่อมทำให้เกิด ความล้มเหลวในเรื่องนั้นๆ การปรับตัวทั้ง 7 ขั้น มีดังนี้
1. สัดส่วนของเวลาตรงข้ามกับ ความสับสนของเวลา (Time Perspective VS Time Diffusion) หมายถึง เด็กวัยรุ่นต้องการเวลาที่เหมาะสมเพื่อการเตรียมตัว และการปรับตัวต่อ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
2. ความมั่นใจในตนเองตรงข้ามกับ ความเฉยเมยท้อแท้ (Self-certainty VS Apathy) ความมั่นใจในตนเอง หมายถึง การแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเองอย่างถูกต้อง มี ความสนใจเกี่ยวกับตนเอง และ ความคิดของคนอื่นที่มีต่อคน
3. การตรวจสอบบทบาทตรงข้ามกับการมีเอกลักษณ์ที่ไม่ถูกต้อง (Role Experimentation VS Negative Identity) ในวัยเด็กจะมีการแสวงหาบทบาทต่างๆ มากมายหลายชนิด ส่วนเด็กวัยรุ่นจะคัดเลือกเฉพาะบทบาทที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด วัยรุ่นอาจจะทดลอง หรือตรวจสอบหลายๆ บทบาทที่ตนเองพอใจ
4. การคาดการณ์ล่วงหน้าในผลลัพท์ตรงกันข้ามกับ ความชะงักงันในการงาน (Anticipation of Achievement VS Work Paralysis) การทำงานใด ๆ เด็กวัยรุ่นมี ความต้องการที่จะให้งานนั้นประสบ ความสำเร็จ หรือเสร็จลงด้วยดี ดังนั้นก่อนที่เขาจะลงมือกระทำงาน เขาจะคาดการณ์ล่วงหน้าในผลสำเร็จที่เกิดขึ้น การคาดหมายว่างานจะประสบผลสำเร็จเป็นแรงกระตุ้นให้เขาเกิด ความพึงพอใจมี ความสนใจ และมี ความเพียรพยายามเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นๆ การคาดการณ์ล่วงหน้าในผลสัมฤทธิ์จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะพัฒนา ความมั่นใจในตัวเอง และ ความเป็นตัวของตัวเอง
5. เอกลักษณ์ทางเพศตรงข้ามกับ ความสับสนทางเพศ (Sexual Identity VS Bisexual Diffusion) วัยรุ่นต้องการประสบการณ์ที่จะทำให้เขารู้ในบทบาททางเพศของตนเอง และต้องการที่จะแสดงลักษณะ และบทบาททางเพศของตนให้ถูกต้องเป็นที่ยอมรับของสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับเพศตรงข้าม
6. ความเป็นผู้นำตรงข้ามกับ ความสับสนในอำนาจ (Leadership Polarization VS Authority Diffusion) ความสามารถของวัยรุ่นในการเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้ตามเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน และสถานภาพทั้ง 2 ลักษณะนี้เป็นตัวชี้ให้เห็นถึงอำนาจของตัวเองในสังคม เด็กวัยรุ่นควรได้รับการฝึกให้เป็นตัวของตัวเอง มี ความมั่นใจในตน
เองซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เขาพัฒนา ความเป็นผู้นำให้เกิดขึ้น
7. อุดมคติตรงข้ามกับ ความสับสนในอุดมคติ (Ideological Polarization VS Diffusion of Ideals) วัยรุ่นจะเลือกปรัชญา หรือมีอุดมคติเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจซึ่งจะนำทางให้เขาอยู่ในสังคมได้ นอกจากนี้การมีอุดมคติ และมีปรัชญาชีวิตจะช่วยให้เขาไปสู่ ความมีเอกลักษณ์ของตนเอง เขาจะมีแนวทางชีวิตของเขาว่าเขาจะเป็นอะไรต่อไป เมื่อมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับอุดมคติของเขา ๆ ก็จะไม่ยอมรับ หรือต่อต้านกับสิ่งเหล่านี้
ขั้นตอนทั้ง 7 ขั้นดังกล่าวข้างต้นนี้ จะมีผลต่อพัฒนาการ ความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมีประโยชน์ต่อตัวเขาเองโดยตรง เป็นการได้เผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ได้เปรียบเทียบสังคมของผู้ใหญ่กับตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทำให้เกิด ความพร้อม ถ้าวัยรุ่นไม่พร้อม หรือปรับตัวไม่ได้ หรือประสบ ความล้มเหลวจะเกิด ความรู้สึกที่รุนแรง และมีผลต่อบุคลิกภาพ การได้พูด หรือได้แสดง ความคิดเห็นต่อหน้าคนหมู่มากนับว่าเป็นประโยชน์เป็นการแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างหนึ่ง นอกจากนั้นวัยรุ่นจะคัดเลือกผู้ใหญ่ที่เขาเห็นว่า มี ความสำคัญในสายตาของเขาซึ่งไม่ใช่พ่อแม่ มาเป็นบุคคลที่มี ความหมาย และเป็นทีไว้วางใจของเขา วัยรุ่นจะมองคุณค่าของวัฒนธรรม ศาสนา และอุดมคติว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม และเป็นสิ่งที่สนับสนุนส่งเสริมพัฒนาการ และการค้นหาเอกลักษณ์ของเขา
6. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกสัมพันธภาพ และเป็นมิตรกับบุคคลอื่นโดยเฉพาะ เพื่อนต่างเพศ และหลีกเลี่ยง ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ขั้นนี้อยู่ในช่วงอายุ 18 – 21 ปี หลังจากผ่านขั้นที่ 5 มาแล้ว สามารถหาเอกลักษณ์ของตนได้ รู้ว่าตนเองคือใคร มี ความเชื่ออย่างไร ต้องการอะไรในชีวิต เขาก็จะเกิดความรู้สึกต้องการมีเพื่อนสนิทที่จะรับรู้รับฟังสิ่งต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่ ต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนมีอยู่กับผู้อื่น ความรู้สึกผูกพันกับผู้อื่นจึงพัฒนาขึ้น แต่ถ้าบุคคลไม่สามารถสร้าง ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับบุคคลอื่นได้ มี ความต้องการแข่งขันชิงดีชิงเด่น หรือชอบทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น ก็จะนำไปสู่ ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง
การเลือกคู่ครอง เมื่อชีวิต ความเป็นเด็ก และ ความเยาว์วัยสิ้นสุดลง เขาก็จะเริ่มชีวิตของการเป็นสมาชิกของสังคมอย่างเต็มที่ เริ่มใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนในสังคม Erikson กล่าวว่า ความสมบูรณ์ของจิตใจผู้ใหญ่คือ การได้รับการยอมรับ มี ความเจริญเติบโต มีอาชีพที่เหมาะสม มีการสมาคมกับเพศตรงข้าม เพื่อการเลือกคู่ครองต่อไป การปรับตัวของผู้ใหญ่ในวัยนี้คือการเลือกคู่ครอง และการมีหน้าที่การงานที่เหมาะสม การเข้ากันได้กับเพื่อนร่วมงาน การปรับตัวต่อสิ่งดังกล่าวทำให้เกิด ความรู้สึกต่อสังคม ถ้าสังคมทำให้เกิด ความรู้สึกว่างเปล่าสูญเสีย บุคคลก็จะแยกตัวออกไปจากสังคมแยกไปจากครอบครัว และมีผลกระทบไปถึง ความสามารถของการเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ “งาน และ ความรัก” เป็นสิ่งที่ทำให้เขาประสบ ความสำเร็จในการวางบุคลิกภาพ หรือไม่ นอกจากนั้นในระยะนี้ยังแสวงหา ความรู้สึกเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน และ ความเห็นอกเห็นใจจากคู่ครอง
7. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกที่จะเป็นผู้ให้กำเนิด และสร้างสรรค์สังคม และหลีก เลี่ยง ความรู้สึกที่คำนึงถึงแต่ตนเอง – การเอาใจใส่ดูแลเกิดขึ้น
ขั้นนี้อยู่ในช่วงอายุ 22 – 40 ปี วัยกลางคนเป็นวัยที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคม ถ้าพัฒนาการของบุคคลในขั้นต้นๆ เป็นไปด้วยดี รู้ว่าตนเองมีเอกลักษณ์อย่างไร มี ความต้องการอย่างไรในชีวิตตลอดจน สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น และเมื่อมาถึงขั้นนี้ก็พร้อมที่จะ ทำประโยชน์ให้แก่สังคมมี ความรู้สึกต้องการมีบุตรสืบไปภายหน้า ความต้องการบุตร Erikson กล่าวว่า เมื่อบุคคลถึงระยะนี้ จะต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล การที่จะมีบุตร ซึ่งถือเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวจะต้องมาจากรากฐานของ ความรัก และ ความไว้วางใจซึ่งกัน และกันของสามีภรรยา มีการตระเตรียมสิ่งแวดล้อมจำเป็นสำหรับบุตรที่จะเกิดมา บุตรที่เกิดมานี้จะต้องได้รับ การยอมรับจากทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งสามี และภรรยา ในการเลี้ยงดูบุตรจะต้องเอาใจใส่ และให้ ความรักอย่างพอเพียง พ่อแม่ไม่ควรปล่อยเด็กแล้ว มุ่งสนใจแต่งานเพียงอย่างเดียว ความรู้สึกของการให้กำเนิดจะรวมถึง ความรับผิดชอบของพ่อแม่ต่อสังคม เช่น การเลี้ยงดูบุตรให้เติบโตเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ผู้ใหญ่ในวัยนี้ต้องเป็นหลักประกัน และมี ความรับผิดชอบ เพื่อให้เป็นที่วางใจของลูกหลานต่อไป สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ของพัฒนาการขั้นนี้ คือ บุคคลยังต้องมี ความเกี่ยวข้องกับสังคม มี ความสนใจสังคม ความรู้สึกที่มีต่อสังคมนั้น จะเข้ามารวมเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันกับชีวิตส่วนตัว บุคคลที่ไม่พัฒนามาถึงขั้นนี้ย่อมเกิด ความรู้สึกท้อถอยเหนื่อยหน่ายในชีวิตคิดถึงแต่ตนเอง และไม่สร้างประโยชน์ให้กับสังคม
8. ขั้นพัฒนาการ ความรู้สึกมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิต และหลีกเลี่ยง ความรู้สึกสิ้นหวังท้อถอยในชีวิต – รู้จักชีวิต
ขั้นนี้อยู่ในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป พัฒนาการในขั้นสุดท้ายนี้มีพื้นฐานมาจากการปรับตัวในขั้นแรกๆ ของชีวิต วัยนี้จะมีการปรับตัวแสวงหา ความอบอุ่นมั่นคงภายในจิตใจซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเขาสามารถพัฒนาผ่านขั้นต่างๆ มาได้อย่างดี แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาปรับตัวในขั้นต่างๆ ที่ผ่านมาไม่ได้จะเกิด ความรู้สึกท้อแท้ และเหนื่อยหน่ายต่อชีวิตของตัวเอง วัยชราเป็นวัยสุดท้ายของชีวิต บุคคลควรมี ความพึงพอใจในชีวิต รู้จักหา ความสุข ความสงบในจิตใจ พอใจกับการมีชีวิตของตนในวัยชราไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา สามารถยอมรับสภาพ ความจริง ยอมรับ ความเป็นอยู่ของตนในปัจจุบัน Erikson กล่าวว่า “เด็กที่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งกาย และใจ จะไม่หวาดกลัวต่อชีวิต และถ้าพ่อแม่ให้ ความมั่นคงแก่เขาเพียงพอเขาก็จะไม่กลัว ความตาย”
หลักการสำคัญของทฤษฎีจิตสังคม ในการเสนอพัฒนาการของมนุษย์ดังกล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ Eriksonกล่าวว่า เขาไม่ได้สร้าง ทฤษฎีใหม่ ขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง แต่เขาได้ขยาย ความคิดของ Freud ให้กว้างขวางออกไป และให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน Erikson ได้อธิบายถึงบุคลิกภาพจากพื้นฐานทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ Freud เขาเรียกงานของ Freud เป็นงานที่แข็งแกร่ง (rock) เพราะเป็น การวางรากฐานเกี่ยวกับทฤษฎีบุคลิกภาพ ความแตกต่างใน ความคิดระหว่าง Freud กับ Erikson การศึกษาบุคลิกภาพของนักจิตวิทยาทั้ง 2 ท่านแม้ว่าจะมีรากฐาน และโครงสร้างทางบุคลิกภาพ เหมือนกัน แต่ก็มีแนว ความคิดที่แตกต่างกันหลายประการดังต่อไปนี้
1. Erikson ศึกษาพัฒนาการจากบุคคลที่มีบุคลิกภาพปกติ ส่วน Freud ศึกษาจากคนไข้ในคลีนิคของเขาซึ่งเป็นโรคจิต และโรคประสาท
2. กระบวนการพัฒนาทางจิต Erikson เน้นในเรื่องจิตสังคม (psychosocial stage) แต่ Freud เน้นว่าการพัฒนาทางจิตเป็นไปตามขั้นของจิตเพศ (psychosexual stage)
3. ทฤษฎีของ Erikson เน้นประสบการณ์จำเป็นที่เป็นองค์ประกอบของ ego โดยพยายามศึกษาว่า ego มีจุดเริ่มต้น และพัฒนาไปอย่างไรตลอดจนหน้าที่ของ ego ซึ่งได้ปรับปรุงในลักษณะที่มีเหตุมีผลนั้นพัฒนาอย่างไร เขาไม่สนใจพลังเพศแต่ก็ไม่ลบล้างทฤษฎีของ Freud ในเรื่องจิตเขายอมรับในการทำงานของจิตไร้สำนึก (unconscious mind) ว่าเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่ง แต่เขาสนใจเรื่องสังคมประกิต หรือการอบรมเลี้ยงดูมากกว่า และถือว่ากระบวนการนี้ทำให้ ego พัฒนาขึ้น ทฤษฎีของ Erikson จึงได้ชื่อว่า Psychosocial Theory หรืออาจมีชื่ออื่นๆ เช่น David Rapaport เรียกทฤษฎีนี้ว่า Theory of Reality Relationship และเรียกนักจิตวิทยากลุ่มนี้ว่า ego psychologist
4. เอกลักษณ์ของ ego และบุคลิกภาพปกติ Erikson เชื่อว่าการศึกษาบุคคลมีบุคลิกภาพปกติ จะเป็นตัวแบบของ ลักษณะพัฒนาการข องมนุษย์ได้ดีกว่า เพราะย่อมมีพฤติกรรม และการยอมรับโลกมากกว่า และดีกว่า และถูกต้องกว่าคนที่เป็นโรคประสาทเขาให้ทัศนะว่า “เด็กคือบุคคลที่ไม่มีอะไร อยู่ภายในพฤติกรรม ไม่มีทั้งดี และเลวแต่มีศักยภาพที่จะแสดง ความดี หรือ ความเลว” และเมื่อพัฒนาขึ้นมา ถึงขั้นต่างๆ ก็จะทำให้เด็กมี ความแตกต่างกัน สิ่งที่ทำให้แตกต่างกัน คือ การเจริญเติบโต หรือกระบวนการของเอกลักษณ์ ego การพัฒนา ego จะเป็นไป 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกเป็น การพัฒนาส่วนที่อยู่ภายในตัวบุคคล ซึ่งเหมือนกัน และจะก้าวหน้าไป ตามเวลา ลักษณะที่ 2 ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบภายนอก ที่แต่ละคนยอมรับ และการเลียนแบบจากวัฒนธรรม หรือสังคม พัฒนาการของบุคคลจะเริ่มต้นจากการไม่มีเอกลักษณ์ในตัวเองไปสู่การมีเอกลักษณ์ในตัวเอง ฉะนั้นการพัฒนาบุคลิกภาพ จึงขึ้นอยู่กับองค์ประกอบภายในตนของบุคคล และองค์ประกอบภายนอก ซึ่งได้แก่สิ่งแวดล้อม
5. หลักการของ ความเจริญเติบโต Erikson เชื่อว่าแบบแผนของพัฒนาการเป็นผลมาจากพันธุกรรม หรือการถ่ายทอดของ genes เป็นตัวกำหนดแบบแผนของพัฒนาการแต่ละส่วน อิทธิพลของพันธุกรรมไม่ได้หยุดทำงานเมื่อเด็กเกิดแต่จะมีผลไปถึงวัยรุ่น การแสดงออกของพันธุกรรมจะเป็นไปตามระยะเวลา หมาย ความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจริญเติบโตในแบบแผนหนึ่งๆ จะขึ้นอยู่กับเวลา จนกระทั่งแต่ละส่วนไปสู่จุดมุ่งหมายสุดท้าย แม้ว่าการเจริญเติบโตตามโครงสร้างพันธุกรรม ซึ่งถือว่าเป็นกฎภายใน (Inner law) จะทำให้บุคลิกภาพของบุคคลก้าวหน้าขึ้นโดยเพิ่มศักยภาพ ทำให้มี ความสามารถสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเด็กก็ต้องรับอิทธิพลของสังคม สังคมเป็นองค์ประกอบสำคัญใน การพัฒนาแต่ละขั้นตั้งแต่เกิดจนเข้าสู่วัยรุ่น
6. ความต่อเนื่องของขั้นทางจิตวิทยา พัฒนาการทั้ง 8 ขั้นที่กล่าวมาแล้วเป็นพัฒนาการทางจิตซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ในพัฒนาการแต่ละขั้น Erikson ให้แนว ความคิดที่สำคัญ และมีอิทธิพลของสังคมเกี่ยวข้องในพัฒนาการแต่ละขั้นของชีวิต
ทฤษฎีอุปนิสัยของกอร์ดอน ออลพอร์ต
ทฤษฎีอุปนิสัยของกอร์ดอน ออลพอร์ต (Psychology of Individual Gordon Allport 1897 – 1967)
ทฤษฎีอุปนิสัย (Psychology of Individual Gordon Allport ) ของกอร์ดอน ออลพอร์ตเชื่อว่า บุคลิกภาพเกิดจาก อุปนิสัย และเป็น ตัวสนับสนุน ดังจะอธิบายโดยละเอียดเป็นเรื่องต่อไปนี้
ประวัติออลพอร์ต ( Allport ) เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1897 ณ รัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดาเป็นแพทย์มารดาเป็นครู เขาเรียนที่เมืองคลิฟแลนด์ (Cleveland) และ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด (Harvard) เมื่อ ค.ศ. 1919 และกลับมาศึกษาต่อ จนสำเร็จการศึกษาใน ระดับปริญญาเอกทางจิตวิทยา เมื่อ ค.ศ. 1922 จากนั้น เขาได้เดินทางไปศึกษาเพิ่มเติม ที่เบอร์ลิน (Berlin) ฮัมบูร์ก (Hamburg) และ เคมบริช (Cambrige) ทำให้เขามีความรู้ทางจิตวิทยาของต่างแดนอย่างกว้างขวางขึ้น เมื่อกลับมาจากยุโรป ได้มาสอนหนังสือ ที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และครั้งหลังสุดได้ย้ายมาสอนที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อีกครั้งหนึ่ง เขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง ในการเคลื่อนไหวที่จะบูรณการวิชาจิตวิทยา สังคมวิทยา และมนุษยวิทยา เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ เขายังได้พยายามที่จะ ประยุกต์วิธีการทางจิตวิทยา มาช่วยเหลือสังคม หรือสถานการณ์ที่เป็นปัญหา เช่น การศึกษาเรื่อง อคติ (Prejudice) และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relation) เป็นต้น ในชีวิตการทำงาน ออลพอร์ตได้สร้างผลงานในด้านการเขียนต่างๆ ที่สำคัญมากมาย และยังได้รับเกียรติ และรางวัลทางด้านวิชาการต่างๆ แทบทุกชนิด ตลอดจนดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เช่น ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกัน ( American Psychological Association ) เป็นบรรณาธิการวารสารจิตวิทยาอปกติ และจิตวิทยาสังคม (Journal of Abnormal and Social Psychology)
แนวคิดที่สำคัญของทฤษฎีอุปนิสัยของกอร์ดอน ออลพอร์ต
แนวคิดที่สำคัญ เนื่องจากออลพอร์ต ได้ศึกษาแนวคิดทางจิตวิทยาอย่างกว้างขวาง ทำให้เขาได้รับอิทธิพลจาก แนวความคิดต่างๆ เหล่านั้น มาเป็นแนวทางในการสร้างทฤษฎีของเขา เขาได้นำวิธีการสังเคราะห์มาใช้ในการศึกษาบุคลิกภาพ ซึ่งเป็นแบบอย่าง ให้แก่นักทฤษฎีในระยะต่อมา นอกจากนี้ ออลพอร์ต ยังได้เน้นว่า การศึกษาบุคลิกภาพ ควรศึกษาจาก คนปกติมากกว่า เพราะบุคคลปกติจะมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกันอยู่ในตัวเอง มีความสมดุลและการรู้ตัว (Congruence Unit and Conscious) แนวคิดของเขาโดยภาพรวมแล้ว จะมีความคล้ายคลึงกับ แนวคิดของ แนวคิดของกลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic Psychology)
ออลพอร์ต เชื่อว่า บุคคลจะมีพฤติกรรม อยู่ในอิทธิพลของปัจจุบันมากกว่าอดีต โดยแสดงพฤติกรรม ที่เกิดจาก องค์ประกอบ ต่างๆ ในปัจจุบัน มากกว่าเหตุการณ์ในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงพฤติกรรมต่างๆ จะเกี่ยวข้องกับ แรงจูงใจ ที่เกิดจากจิตสำนึก เป็นส่วนใหญ่และรวมถึง การรู้ตัวยิ่งไปกว่านั้น ออลพอร์ตยังมองมนุษย์ในแง่ดีเขาเชื่อว่า ไม่มีความต่อเนื่องกันระหว่าง พฤติกรรมปกติ กับพฤติกรรมผิดปกติของบุคคล เด็กกับผู้ใหญ่ หรือ สัตว์กับมนุษย์ และการสรุปสิ่งหนึ่ง เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ของอีกสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ควรให้ความระมัดระวังอย่างยิ่งเช่นทฤษฎีจิตวิเคราะห์ อาจเป็นทฤษฎีที่เหมาะสมใน การอธิบาย ความแปรปรวนของพฤติกรรม และพฤติกรรมที่ผิดปกติ แต่อาจมีประโยชน์ไม่มากนักในการอธิบายพฤติกรรมปกติ หรือแม้แต่ ทฤษฎีที่มีความสมบูรณ์ในเรื่องการพัฒนาการของเด็ก รายละเอียดของทฤษฎีดังกล่าว ก็ไม่สามารถอธิบายถึง พฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์โดยเขาได้สรุปว่า ไม่มีทฤษฎีใด ที่มีเนื้อหาที่ครอบคลุม ถึงโครงสร้างทางพฤติกรรมของมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์ เขาจึงเน้นความสำคัญของการศึกษา รายละเอียดที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการวัดพฤติกรรม ซึ่งถือว่าเป็นการนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาทางจิตวิทยา และจุดมุ่งหมายที่สำคัญของการศึกษาบุคลิกภาพ คือ การเข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อการแก้ปัญหาทางพฤติกรรม โดยเน้นสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันว่า มีอิทธิพลต่อ การแสดงพฤติกรรมมากกว่าประวัติส่วนตัวในอดีต อย่างไรก็ตาม แนวคิดของออลพอร์ต เป็นทฤษฎีที่เน้นการทำงานของอุปนิสัย (Traits) จึงเป็นที่รับรู้ในกลุ่มนักจิตวิทยาว่า เป็นจิตวิทยาเชิงอุปนิสัย (Traits Psychology)
โครงสร้างทฤษฎีอุปนิสัยของออลพอร์ต
โครงสร้างบุคลิกภาพประกอบด้วย อุปนิสัย (Traits) บุคลิกภาพถูกกำหนดจากอุปนิสัย หรือเป็นการทำงานของอุปนิสัย และในเวลาเดียวกัน พฤติกรรมของบุคคล จะเกิดจากแรงจูงใจ หรือแรงขับจากอุปนิสัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นบุคคลได้เท่าๆ ความคิดของบุคคลนั้นเอง ออลพอร์ตได้แบ่งโครงสร้างหรืออุปนิสัยของบุคคลออกเป็นส่วนๆ ทำให้เข้าใจพฤติกรรม และกระบวนการทำงาน ของอุปนิสัยต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปนิสัยที่อยู่ภายในตัวเอง ซึ่งอุปนิสัยนี้เกิดมาจาก การทำงานของอินทรีย์ (Organism) นั่นเองออลพอร์ตให้ความหมายของคำว่า “บุคลิกภาพ” คือ ระบบการทำงานทั้งหมด ซึ่งอยู่ภายในของแต่ละบุคคลเป็นหลักการของระบบทางกาย และจิตที่มีพลังในตัวบุคคล ซึ่งกำหนดการปรับตัว ที่เป็นเอกลักษณ์ของบุคคล ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม หรืออาจกล่าวสั้นๆ ว่าบุคลิกภาพ คือลักษณะบางอย่าง และการกระทำบางอย่าง ซึ่งอยู่เบื้องหลังของการทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงที่อยู่ภายในบุคคล และการทำหน้าที่ที่สำคัญของบุคลิกภาพก็คือ การปรับตัวของบุคคล ต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ออลพอร์ตให้ความสำคัญในเรื่องระบบการแปรพลัง (Dynamic Organization) ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตลอดเวลา ระบบการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีการเชื่อมโยง และเกี่ยวข้องกับ องค์ประกอบอื่นๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ (Psychophysical) ที่ทำให้เกิดการหล่อหลอม ความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันของบุคคล และเป็นการกำหนด (Determine) แนวทางในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล
โครงสร้างบุคลิกภาพ มีองค์ประกอบ อุปนิสัย (Traits) เจตนารมณ์ ( Intentions ) และ ตน (The Propium หรือ Self) มีรายละเอีดยดังนี้
1. อุปนิสัย (Traits) เป็นตัวกำหนดแนวโน้มในการตอบสนองของบุคคลต่อสิ่งเร้า และชี้นำพฤติกรรมของบุคคล อุปนิสัยจะสังเกตได้จาก พฤติกรรมที่ปรากฏออกมา (Overt Behavior) ถือว่าเป็นศูนย์กลางของ ระบบจิตที่มีลักษณะเฉพาะ และลักษณะพิเศษของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดความสามารถ ที่จะทำหน้าที่ต่อสิ่งเร้า ให้เกิดความสมดุล ในรูปของการปรับตัว และ การแสดงออกทางพฤติกรรม
ออลพอร์ต ได้อธิบายให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างอุปนิสัย (Traits) กับคำอื่นๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน คือ อุปนิสัย (Traits) และนิสัย (Habits) ว่า ทั้งสองต่างก็เป็นตัวกำหนดแนวโน้มของพฤติกรรม โดยที่อุปนิสัย จะมีความหมายกว้าง กว่านิสัย ทั้งนี้ เพราะอุปนิสัยจะทำหน้าที่เชื่อมโยง หรือรวบรวมนิสัยต่างๆ ตั้งแต่ 2 ลักษณะขึ้นไป
ส่วนอุปนิสัยกับ เจตคติ (Attitudes) นั้นมีความหมายที่คล้ายคลึงกันมาก เพราะทั้งสองต่าง ก็เป็นไปตัวกำหนดแนวโน้ม ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ และเป็นเอกลักษณ์ของบุคคล แต่ที่ต่างกันคือ เจตคติ เป็นสิ่งที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงที่เกิดจากการเชื่อมโยงของความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้นๆ ซึ่งอาจจะมีระดับความรู้สึกแตกต่างกันไป ในขณะที่อุปนิสัยจะเกี่ยวข้องกับลักษณะโดยทั่วๆ ไป มากกว่าเจตคติ นอกจากนี้ เจตคติจะเป็นเรื่องของการประเมิน หรือตัดสินที่มีต่อสิ่งต่างๆ มากกว่าอุปนิสัย ตัวอย่าง เช่น การยอมรับ การไม่ยอมรับ และเจตคตินั้น จะนำมาใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับค่านิยม (Value) จะเกิดเมื่อบุคคลถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า ที่ทำให้เกิดความรู้สึกชอบใจ หรือไม่ชอบเท่านั้น แต่ สำหรับอุปนิสัย กับรูปลักษณะ (Type) นั้นแตกต่างกันที่รูปร่างลักษณะ เป็นโครงสร้างทางความคิดเห็นของผู้สังเกตแล้ว จัดบุคคลไว้ในลักษณะที่เห็นว่าเหมาะสม จึงไม่มีลักษณะที่โดดเด่น เป็นของตนเอง แต่จะจัดไว้เป็นภาพรวม ในขณะที่อุปนิสัยนั้น จะเป็นตัวแทน หรือพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึง เอกลักษณ์ของบุคคล นอกจากนี้อุปนิสัยของมนุษย์มีมาก และไม่มีอุปนิสัยใดที่ตายตัว ในแต่ละบุคคล และการที่บุคคลจะแสดงอุปนิสัยที่โดดเด่นออกมานั้น ขึ้นอยู่กับ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) และสิ่งแวดล้อมทางสังคม (Social Environment) รวมทั้งอุปนิสัยของแต่ละคนที่จะแสดงออกนั้น จะมีการประสมประสานกันของหลายๆ อุปนิสัย ที่เป็นเหตุเป็นผลอย่างเกี่ยวข้องกัน เช่น อุปนิสัยของคนชอบเข้าสังคม จะทำงานประสานกับอุปนิสัย ที่ชอบเจรจา ชอบแสดงตัว นอกจากนี้ อุปนิสัยใดๆ ของบุคคลนั้น จะขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจิตใจของผู้นั้นด้วยเช่นกัน
อุปนิสัยจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ อุปนิสัยสามัญ (Common Traits) และอุปนิสัยเฉพาะตัว (Personal Disposition Traits)
1.1 อุปนิสัยสามัญ หมายถึง บุคลิกภาพทั่วๆ ไปที่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกัน และเผ่าพันธุ์เหมือนกัน ก็จะทำให้บุคคล มีบุคลิกภาพเหมือนกัน ได้ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ซึ่งได้แก่ ค่านิยมต่างๆ หรือ ลักษณะรวมๆ ของบุคคลในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คนไทยใจดี คนอเมริกันอิสระ คนจีนมีความขยัน เป็นต้น
1.2 อุปนิสัยเฉพาะตัว หมายถึง เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว ที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับ ระหว่างคนสองคนได้ อุปนิสัยเฉพาะตัวแบ่งออกเป็น 3 ระดับคืออุปนิสัยสำคัญ อุปนิสัยสำคัญหรืออุปนิสัยร่วม และอุปนิสัยทุติยภูมิ ซึ่งทำงานตามความสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคลดังนี้คือ
1.2.1 อุปนิสัยสำคัญ (Cardinal Disposition Traits) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อุปนิสัยเด่น (Eminent Traits) จะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมเกือบทุกด้านของบุคคล เป็นลักษณะเด่นที่แสดงออกชัดเจนเหนือพฤติกรรมอื่นๆ ที่ไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นได้ เป็นอุปนิสัยที่มากำหนดอารมณ์ ความรู้สึก และชี้นำวิถีทางชีวิต ควบคุมแรงจูงใจต่างๆ เพื่อให้บุคคลเกิดพลังในการแสดงพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีความกล้าหาญ เป็นอุปนิสัยที่โดดเด่นที่มีอยู่ในพระองค์ จนเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป เป็นต้น อุปนิสัยสำคัญนี้ อาจไม่ปรากฏกับทุก ๆ คนก็ได้ แต่ถ้าผู้ใดมีอุปนิสัยสำคัญเพียงลักษณะเดียวที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลนั้น ก็จะกลายเป็นบุคลิกภาพอ้างอิง (Reference Personality) ที่มักจะใช้เรียกผู้อื่นที่มีลักษณะเหมือนเขา เช่น เรามักจะอ้างอิงคนที่มีความตระหนี่ขี้เหนียว ว่าเหมือนกับ ไซล็อค หรือผู้ชายที่เจ้าชู้ว่าเป็นขุนแผน เป็นต้น
1.2.2 อุปนิสัยศูนย์กลาง หรืออุปนิสัยร่วม (Central Disposition Traits) เป็นกลุ่มของอุปนิสัยของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่มีอยู่ภายในตัวบุคคล เป็นอุปนิสัยที่สังเกตได้ง่ายเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่มั่นคงอยู่ในบุคลิกภาพ แต่อาจแสดงออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นคุณลักษณะที่มีความสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคล เช่น ความทะเยอทะยาน การแข่งขัน ความซื่อสัตย์ การตรงต่อเวลา และความเมตตากรุณา ลักษณะเหล่านี้จะควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม เป็นการจะเข้าใจอุปนิสัยนี้ต้องสังเกตมาก เพราะบางอย่างไม่สามารถสังเกตอย่างตรงไปตรงมาจากท่วงทีอากัปกิริยาและการแสดงออกภายนอกได้ ดังนั้น จึงควรคำนึงถึงความถี่ และความเข้มของพฤติกรรมนั้น ในสถานการณ์ต่างๆ อย่างหลากหลายในขณะเดียวกัน
1.2.3 อุปนิสัยทุติยภูมิ ( Secondary Traits ) เป็นคุณลักษณะที่อยู่บริเวณรอบนอก (Peripheral) ที่ผลักดันให้บุคคลแสดงออกโดยทั่วไป เป็นลักษณะที่มีอยู่มากในตัวบุคคล ได้แก่ ความสนใจ และปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ เช่น เมื่อบุคคลชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาก็มักจะแสดงความคิดเห็นที่ดีที่มีต่อสิ่งนั้นๆ ทำให้เขาเกิดความชอบ และสนใจ หรือเป็นเจตคติซึ่งบางครั้งเรียกอุปนิสัยชนิดนี้ว่า เป็นอุปนิสัยเชิงเจตคติ (Attitudinal Traits)
2. เจตนารมณ์ ( Intentions ) เป็นความตั้งใจของบุคคลที่จะก้าวไปข้างหน้า หรือแสวงหาเป้าหมายเพื่ออนาคต เป็นสิ่งที่จะช่วยให้บุคคลเข้าใจ บุคลิกภาพของบุคคลได้มากกว่า การค้นหาอดีต หรือ ประวัติความเป็นมาของบุคคล เช่น ความหวัง ความปรารถนา ความใฝ่ฝัน ความทะเยอทะยานและการวางแผน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะผลักดันให้บุคคล ก้าวไปข้างหน้า และเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมของมนุษย์ และเป็นสิ่งชี้นำพฤติกรรมปัจจุบัน เพื่อบรรลุเป้าหมายในอนาคต ดังนั้นเจตนารมณ์ จึงเป็นกุญแจที่สำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์
3. “ตน” (The Propium หรือ Self) ออลพอร์ต จะใช้คำว่า “Proprium” แทนคำว่า “Self” ซึ่งหมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคล เขาเปรียบว่า ถ้าบุคลิกภาพของมนุษย์เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ประกอบไปด้วย ราก กิ่ง ใบ ก้าน เปลือก “The Propium” ก็จะเปรียบเสมือน แก่นของต้นไม้ และอธิบายว่า ลักษณะต่างๆ ที่ประกอบ เป็นบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล จะมีทั้งส่วนกาย จิต สังคม อารมณ์ มีจุดร่วมและจุดรวม หรือ “The Propium” ถ้าจุดร่วมและจุดรวมนี้ สามารถประสานสัมพันธ์ กันได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้บุคคลนั้น มีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ (Healthy Personality) แต่ถ้าจุดทั้งสองไม่สามารถประสานสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม ก็จะนำไปสู่โรคจิต โรคประสาท ความอ่อนแอ ความก้าวร้าว การเป็นอันธพาล เป็นต้น ดังนั้น “The Propium” จึงหมายรวมถึง ทุกสิ่งทุกอย่างของบุคลิกภาพ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึง เอกภาพภายในของบุคคล ที่เกิดจากพัฒนาการที่ต่อเนื่อง ตั้งแต่วัยทารกจนสิ้นอายุขัย โดยผ่านขั้นต่างๆ ของพัฒนาการชีวิต
ขั้นตอนของการพัฒนาการทางบุคลิกภาพ (Stage of Personality Development) แบ่งพัฒนาการของชีวิตเป็น 5 ขั้นได้แก่
1. วัยเริ่มแรกของทารก (Early Infancy) เป็นระยะแรกเกิด โดยในระยะเริ่มแรกของชีวิต ทารกยังไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับตน เพราะ ทารกไม่สามารถแยก “ตัวฉัน” (Me) ออกจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้
2. วัยเริ่มแรกของตัวตน (The Early Self) เป็นระยะ 3 ปีแรกของชีวิต เด็กจะเริ่มรู้สึกเกี่ยวกับ ร่างกายของตนเอง (Sense of Bodily Self) เด็กจะมีพัฒนาการและ การเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย และการทำงาน ของอวัยวะต่างๆ เป็นระยะที่เด็กจะสำรวจ และจัดการสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว โดยการรับรู้สิ่งเร้าต่างๆ จากอวัยวะสัมผัสและเมื่อทารกเจริญเติบโตขึ้น ก็จะมีวุฒิภาวะมากขึ้น เด็กจะเริ่มรับรู้ถึงร่างกายของตนมากขึ้น เช่น “ฉันเป็นคนอ่อนแอ” “ฉันเป็นคนน่าเกลียด” “ฉันเป็นสวยงาม” “ฉันเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็ง” “อดทน” เป็นต้น และการรับรู้เกี่ยวกับร่างกาย จะเริ่มก่อตัวเป็นศูนย์กลางของ “ตน” (The Propium) และสร้าง ความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self-Concept) ไปตลอดชีวิต
จากนั้นเด็กจะรู้สึกใน เอกลักษณ์ของตนเอง (Sense of Self-Identity) โดยสร้างลักษณะเฉพาะตัว หรือเอกลักษณ์ของตนขึ้นมา ที่แตกต่างไปจากผู้อื่น เอกลักษณ์นี้ จะเป็นสิ่งที่ติดตัวต่อไป และเป็นวิถีทางเดียวกัน กับที่เรารับรู้เกี่ยวกับตัวเอง เด็กจะสร้างลักษณะเฉพาะดังกล่าว จากตัวแบบที่สำคัญๆ เช่น จากบุคคลที่เขายกย่องนับถือ คนใกล้ชิด โดยการแสดงเอกลักษณ์ ออกมาในลักษณะต่างๆ เช่น อุดมคติ เอกลักษณ์ เป็นสิ่งที่ควบคุมแรงขับและทำให้รู้สึกว่า ตนเป็นคนอย่างไร หรือต้องการอะไร และควรตัดสินใจอย่างไร ต่อมาเด็กจะพัฒนาความรู้สึกยกย่องตนเอง หรือ ความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-Esteem, Pride) ที่เกิดมาจากความรู้สึกภาคภูมิใจของเขาในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งได้สำเร็จในขณะที่จะเกิดความรู้สึกต่ำต้อย เมื่อประสบความล้มเหลว ถ้าเด็กสามารถจัดการกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้ เขาจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเองที่แยกจากคนอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นระยะของการแสดงออกและการแสดงความสามารถของตนเอง
3. ระยะ 4 – 6 ขวบ (Four to Six) เป็นระยะของเด็กที่มีความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองในลักษณะต่างๆ คือ มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ (The Extension of Self) มีความรู้สึกแข่งขัน และมีแบบแผนมากขึ้นในระยะนี้ คือ การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric) เช่น “นี่เป็นของฉัน” “บ้านของฉัน” “ของๆ ฉัน” เป็นต้น ความรู้สึกเป็นเจ้าของที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นความรู้สึกนี้ทำให้บุคคลพัฒนาคุณลักษณะรวมๆ ในวัยต่อมา เช่น ความรู้สึกที่มีต่อส่วนรวม สังคมและประเทศชาติในที่สุด อีกลักษณะหนึ่งของความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเอง คือ มโนภาพแห่งตน (Self-Image) เป็นบทบาทของบุคคลที่จะแสดงออก เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะกำหนดวิธีการและรูปแบบต่างๆ ในการแสดงพฤติกรรมเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย สำหรับอนาคตในระยะนี้เด็กจะเรียนรู้ว่าพ่อแม่คาดหวังอะไรจากตัวเขาและเขาจะทำอย่างไรและเปรียบเทียบความคาดหวังต่างๆ ดังกล่าวกับพฤติกรรมของตนเองจากกระบวนการปฏิสัมพันธ์ เช่น เด็กทราบว่าพ่อแม่ต้องการให้เขาเป็นเด็กคนดี แต่เด็กก็ยังซุกซน แต่โดยความเป็นจริงแล้ว เขาก็ยังไม่เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนนักในการที่จะสร้างมโนภาพของตนเองว่า ต้องการเป็นเช่นไรเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งระยะนี้ จึงเป็นเพียงความคิดที่จะเป็นรากฐานของการพัฒนาตนในวัยที่สูงขึ้นต่อไป
4. ระยะ 6 – 12 ปี (Six to Twelve) เป็นระยะที่เด็กเข้าโรงเรียน และพัฒนาสติปัญญามากขึ้น ในขณะเดียวกันความรู้สึกของความเป็นเอกลักษณ์ในตนเอง มโนภาพแห่งตนและความ
รู้สึกเป็นเจ้าของ ก็จะพัฒนามากขึ้น ทำให้เด็กรู้สึกมีคุณค่าในตนเองมากยิ่งขึ้น เด็กจะเรียนรู้ถึงสิ่งใหม่ๆ และสามารถเลือกสรรสิ่งต่างๆ เด็กเริ่มรู้สึกว่าตนเองมีพลังใหม่ๆ ในตนเองเกิดขึ้นและได้ค้นพบตนเองในแง่มุมอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง นอกจากนี้ ยังมีลักษณะที่เด่นอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นได้แก่ การมีเหตุผลในตนเอง (Self as Relational Copper) เป็นลักษณะของการมีความเชื่อมั่นว่า เขามีความสามารถที่จะคิดอย่างมีเหตุมีผล ในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของการมีพลังความคิดอย่างมีเหตุผล ทำให้บุคคลมองว่าตนเองมีความสามารถที่จะคิด และตั้งจุดมุ่งหมายที่เป็นประโยชน์
5. ระยะวัยรุ่น (Adolescence) เป็นระยะตั้งแต่อายุ 12 – 21 ปี วัยนี้บุคคลจะมีปัญหาในด้านต่างๆ เช่น ปัญหาการเลียนแบบ การเลือกอาชีพ รวมทั้งปัญหาในการเลือกเป้าหมายของชีวิต เขาจึงเรียนรู้ว่าจะต้องมีการวางแผนเพื่อไปถึงจุดมุ่งหมายระยะยาว (Propriety Striving) ที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจในภายใน ซึ่งถือว่า เป็นศูนย์กลางของการมีชีวิตอยู่ และเป็นจุดกำเนิดของการพัฒนา มโนธรรม (Conscience) ที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ออลพอร์ตได้อธิบาย ขั้นตอนการพัฒนามโนธรรมว่า จะเริ่มจากการที่เด็กจะรับรู้มโนธรรม ในแง่ของการกลัวการถูกลงโทษ(Authoritarian Conscience) จากพ่อแม่เขาจะรู้สึกผิดหากขัดขืนต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แต่เมื่อเด็กมีวุฒิภาวะมากขึ้นก็จะมีการรับรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและบุคคลอื่นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยมีความรู้สึกในเรื่องมโนธรรม โดยความเชื่อฟังจากสังคม และจะเปลี่ยนมาเป็นวิธีการสร้างมาตรฐานภายในตัวเองซึ่งถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างกฎเกณฑ์ของตนเอง (Self-Generated Rules) และโดยความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของบุคคลจะถูกหล่อหลอมความเป็น “ตน” โดยกระบวนการทำงานตามขั้นตอนต่างๆ ร่วมกัน
พัฒนาการของบุคคลที่หล่อหลอมรวมกันจนเข้าสู่วุฒิภาวะ จะมีพัฒนาการเรื่องต่างๆ ได้อย่างสมดุลและมีลักษณะดังนี้คือ
1. พัฒนาการทางบุคลิกภาพที่มีวุฒิภาวะ (Mature Personality) เป็นการพัฒนาการทางบุคลิกภาพ เป็นกระบวนการ ที่ต้องใช้เวลายาวนาน ที่จะต้องพัฒนาตัวเองก่อน และพัฒนาการในระยะแรก เกิดจากแรงจูงใจทางร่างกาย และต่อมาเมื่อ บุคคลมีอายุมากขึ้น ก็จะเปลี่ยนมาเป็นมีแรงจูงใจภายใน รวมทั้ง การใช้ความคิดสร้างสรรค์ ที่จะ ทำให้บุคคลดำเนินไปสู่ ความมีวุฒิภาวะ ได้อย่างสมบูรณ์ ลักษณะของผู้มีบุคลิกภาพ ที่สมบูรณ์จะพิจารณาได้จาก
2. การพัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของ ( Extension of the Sense of Self ) คือ ความสามารถร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากกิจกรรมของตน เขาจะแสดงพฤติกรรมต่างๆ เพื่อความสุขของทั้งตนเองและผู้อื่น อย่างเหมาะสม
3. การพัฒนาการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น (Warm Relatedness to Others) คือมีความสามารถใน การสร้างสัมพันธ์ที่ใกล้ชิและอบอุ่นกับผู้อื่น (Intimacy) สามารถที่จะให้ความรักต่อผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ และยังมีความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Compassion) เขาจะไม่มีอคติในการติดต่อ และสัมพันธ์กับผู้อื่น จะยอมรับ และชื่นชมในพฤติกรรม และความคิดเห็น ที่แตกต่างกันของผู้อื่น ไม่นินทาผู้อื่น มีการปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่ทำให้เสียบรรยากาศใน การมีความสัมพันธ์กัน
4. การพัฒนาการยอมรับตนเอง ( Self-Acceptance ) คือ มีอารมณ์มั่นคง หลีกเลี่ยงการโต้ตอบที่ไม่สมควร ตลอดจนควบคุมตนเองได้ เมื่อมีความคับข้องใจ มีความอดทน ไม่ตำหนิผู้อื่นแบบไม่มีเหตุผล โทษคนอื่นไม่ยอมรับความจริง
5. การพัฒนาการรับรู้ตามความเป็นจริง ( Realistic Perception of Reality ) คือมีความสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง โดยไม่บิดเบือน มีความรอบรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตที่มีประสิทธิภาพ และสามารถอุทิศตนเองเพื่อการทำงานโดยมีลักษณะยึดปัญหาเป็นศูนย์กลาง (Problem-Centered) ไม่ใช่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (Ego-Center)
6. การพัฒนาการมองตนเองด้วยสายตาเป็นกลาง (Self-Objectification) หมายถึง การรู้จักตนเองและมีความสุขที่มองเห็น ความสามารถและ ขีดจำกัดของตนเอง การมีอารมณ์ขัน มีความสามารถที่จะเห็น ความสนุกสนานใน มโนภาพแห่งตน(Self-Image) สามารถมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างเป็นกลาง
ทฤษฎีของ Karen Horney
ทฤษฎีของ Karen Horney
แนวความคิดของ Karen Horney คาร์เรน ฮอร์เนย์ (1885 – 1952) นักจิตวิเคราะห์ คาร์เรน ฮอร์เนย์ ได้อธิบายว่ามนุษย์มีความต้องการดังนี้
1. ความต้องการใฝ่สัมพันธ์และการยอมรับยกย่อง ความต้องการที่ไม่แยกแยะ การที่ทำให้ผู้อื่นพอใจและให้เขายอมรับตนเอง (affection and approval)
2. ความต้องการคู่ และต้องการให้มีผู้ที่ดูแลคุ้มครองตนเอง ต้องการความรัก (partner)
3. ความต้องการจำกัดตนเองในวงแคบ ให้มีคนคอยสั่ง (restrict one's life to narrow borders)
4. ความต้องการอำนาจ ที่จะควบคุมผู้อื่น ( need for power, for control over others)
5. ความต้องการมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ( to exploit others and get the better of them)
6. ความต้องการการยอมรับทางสังคม ความภาคภูมิใจ (social recognition or prestige)
7. ความต้องการได้รับการชื่นชมโดยส่วนตัว ต้องการเป็นคนสำคัญ มีค่า (personal admiration)
8. ความต้องการความสำเร็จ ต้องการเป็นที่ 1 (personal achievement.)
9. ความต้องการความเป็นอิสระ (self-sufficiency and independence)
10. ความต้องการความสมบูรณ์สุด (perfection and unassailability)
เธอเสนอว่ามนุษย์แบ่งออกได้เป็นสามประเภท ตามพื้นฐานของความวิตกกังวลและอาการทางจิตประสาทของมนุษย์ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้ 3 กลุ่มดังนี้
1. การเข้าหาคน (พวกยอมคน) Compliance ได้แก่ ความต้องการที่ 1 ,2 และ 3
2. การพุ่งเข้าใส่คน (พวกก้าวร้าว) Aggression ได้แก่ ความต้องการที่ 4-8
3. การหลีกหนีคน (พวกใจลอย) Withdrawal ได้แก่ ความต้องการที่ 9,10 และ 3
ผลงานวิจัยของฮอร์เนย์พบว่า ไทป์ย่อยในกลุ่มต่าง ๆ เช่น
· กลุ่มก้าวร้าว มีคนอยู่สามประเภทคือ
คนหลงตัวเอง
มนุษย์สมบูรณ์แบบ
คนจองหอง
· กลุ่มใจลอย แบ่งกลุ่มย่อย คือ
กลุ่มบุคลิก ชอบถอนตัว
ชอบต่อต้าน
· กลุ่มยอมคน แบ่งย่อยออกเป็น 3 กลุ่มย่อยอีกคือ
พวกรักสนุก
พวกทะยานอยาก
พวกปรับตัว
ผลงานวิจัยของ ฮอร์เนย์ ต้องการปรับปรุงแก้ไขอีก เพราะบุคลิกภาพที่เแบ่งย่อยซ้ำ ซ้อนกันเอง และบางครั้งกลุ่มเดียวกัน ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ยังแยกเป็นคนละพวก
Self theory
ฮอร์เนย์ได้อธิบาย Self theory ว่ามีความสำคัญในการที่บุคคลจะมีชีวิตที่ราบรื่น มีความสุข หรือมีความวิตกกังวล นั้นปัจจัยสำคัญคือ การรับรู้ตนเอง
Self หมายถึง สาระหลักที่สำคัญของการมีชีวิต เป็นสาระหลักสำคัญหรือเป็นแก่น ของศักยภาพของบุคคล หากบุคคลอยู่ดีมีสุข ชีวิตมีความสุข บุคคลนั้น จะมี มโนภาพ ความรับรู้และเข้าใจ ว่าเขาเป็นใคร อย่างถูกต้องตรงกับที่เขาเป็นจริง ๆ ก็จะเป็นอิสระใน การตระหนักรู้ เกี่ยวกับ ศักยภาพและความสามารถของตน (self-realization).
คนที่เป็นโรคประสาท (The neurotic) จะรับรู้สิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไป การรับรู้นั้นจะแยกออกระหว่าง despised self และ ideal sel
ทฤษฎีบุคลิกภาพของ Adler
ทฤษฎีบุคลิกภาพของ Adler หรือ ทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคล ( Individual Psychology )
ประวัติ Alfred Adler เกิดประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1870 ครอบครัวของเขามีฐานะปานกลาง Adler เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 7 คน การศึกษาหลังจากเรียนจบการศึกษาเบื้องต้นแล้วเขาได้เข้าการศึกษาแพทย์ที่ Vienna Medical School จากการศึกษาที่นี่เขาได้รับการเน้นว่าแพทย์ต้องทำการรักษาคนไข้ทุกเรื่อที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาทั้งหมดไม่เฉพาะแต่เรื่องความเจ็บป่วยเท่านั้น Adler ชอบคำสอนที่ว่า “ถ้าคุณต้องการเป็นหมอที่ดี คุณก็ต้องเป็นคนที่มีความเมตตากรุณา” ( If you want to be a good doctor, you have to be a kind person) คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่เขาสนใจมากและจดจำไม่ลืม
เมื่อเขาได้รับปริญญาแพทย์ศาสตร์แล้วเขาได้ตั้งคลีนิคส่วนตัวในย่านที่อยู่อาศัยของคนชั้นกลางซึ่งมีฐานะไม่ค่อยดีเท่าใดนักในเมือง Vienna ใกล้ๆ กับสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง คนไข้ของเขามีทั้งศิลปินและนักกายกรรมซึ่งมาเปิดการแสดงที่สวนสาธารณะแห่งนี้ ในจำนวนคนไข้เหล่านี้มีคนไข้บางคนที่ทำให้ Adler พบว่าเขาเหล่านั้นได้พบความสำเร็จ มีพละกำลัง หรือความแข็งแรงที่เกิดจากประสบการณ์ของความอ่อนแอและความเจ็บป่วยของตน ชักนำให้เกิดขึ้น จุดนี้เองทำให้ Adler สนใจในความคิดเรื่องการได้รับความสำเร็จจากการชดเชย และได้กลายมาเป็นความคิดรวบยอด (concept) ที่สำคัญอย่างหนึ่งในทฤษฎีบุคลิกภาพของเขา
นักจิตวิทยาในกลุ่มของ Adler ได้เข้ามาทำงานร่วมกับ Freud ต่อมาเขาไม่เห็นด้วยกับ Freud ในเรื่องของความฝัน (dreams) และได้ตีพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นนี้ ปี 1910 เขาได้รับเลือกเป็นประธานคนแรกของสมาคมจิตวิทยาวิเคราะห์ (Vienna Psycho – Analytic Society) ในระยะหลังๆ Adler ไม่เคยสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นกับ Freud หรือกับนักจิตวิทยาคนสำคัญๆ ในกลุ่มจิตวิเคราะห์ เขาไม่ใช่คนที่จะสยบให้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า และประกอบคำถามและคำวิจารณ์ความคิดบางอย่างในทฤษฎีของ Freud อย่างตรงไปตรงมาเป็นเหตุให้เขาต้องลาออกจากสมาคมนี้ไปในปี ค.ศ. 1911
หลังจากนั้น Adler ก็ได้มารวบรวมนักจิตวิทยาที่มีความคิดเห็นตรงกันตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้นใหม่ เรียกชื่อว่า Society for Free Psycho – Analytic Research การตั้งชื่อเช่นนี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงการไม่เห็นด้วยวิธีการที่ Freud ศึกษาคนไข้ แต่ในปี 1913 เขาได้เปลี่ยนชื่อสมาคมนี้ใหม่เป็น Individual Psychology เป็นชื่อที่สะท้อนถึงความเกี่ยวข้องต่างๆ ที่จะเข้าใจบุคลิกภาพทั้งหมด ไม่ใช่เพียงด้านใดด้านหนึ่งในเรื่องพฤติกรรมเท่านั้น ความหมายอีกอย่างหนึ่งของคำว่า “รายบุคคล (individual)” คือการแสดงสิ่งที่ปรากฏทั้งหมด หรือสิ่งที่อยู่ในรายบุคคล แต่คำ ๆ นี้มักนำไปใช้เป็นความหมายในการศึกษารายบุคคล (study of the individual) ซึ่งเป็นการศึกษาที่ตรงกันข้ามกับการศึกษาพฤติกรรมเป็นกลุ่ม และไม่ใช่ความหมายในทัศนะของ Adler ในทฤษฎีของ Adler คำว่า “รายบุคคล” (individual) สามารถเข้าใจได้จากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสมาชิกอื่นๆ ในสังคม
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 Adler ได้เป็นแพทย์รักษาทหารที่บาดเจ็บในโรงพยาบาลในกรุงเวียนนา (Vienna hospital) ซึ่งทำให้เขาได้รับประสบการณ์ต่างๆ กว้างขวางขึ้น เขาได้ค้นพบความสำคัญของมโนมติ (concept) ในเรื่องความสนใจสังคม (social interest) เขาได้เห็นความทารุณโหดร้ายของสงครามที่มีต่อประชาชน สงครามเป็นผลมาจากการขาดความไว้วางใจ และขาดความร่วมมือกัน สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจในการเขียนผลงานเพื่อแสดงให้เห็นถึงข้อมูลทั่วๆ ไปของมนุษย์ เช่น ความต้องการที่จะร่วมมือกัน (cooperation) ความรัก (love) และการได้รับการยอมรับนับถือระหว่างมนุษย์ด้วยกัน (respect) ในขณะเดียวกันเขาก็ให้ความช่วยเหลือที่จะสร้างคลีนิคแนะแนวเด็กขึ้นในโรงเรียนในกรุงเวียนนา (child guidance clinic) ให้คำปรึกษาแก่เด็กและครอบครัว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา
Adler เป็นนักจิตวิทยาที่ได้รับการยอมรับระหว่างประเทศเขาได้ไปบรรยายในยุโรป สหรัฐอเมริกา และได้ถึงแก่กรรมด้วยหัวใจวาย ขณะที่ได้รับเชิญเป็นอาจารย์อาคันตุกะ (tour lecture) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1937
จิตวิทยารายบุคคล (Individual Psychology) เป็นทฤษฎีรายบุคคลที่มุ่งทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์โดยคำนึงถึงความซับซ้อนและการจัดระบบของแต่ละบุคคล
โครงสร้างของทฤษฎี
โครงสร้างทฤษฎีบุคลิกภาพ มีแนวความคิดที่สำคัญๆ ของ Adler มี 6 เรื่องต่อไปนี้
1. การยึดถือสิ่งที่เป็นจินตนาการ ( Fictional Finalism )
2. การแสวงหาความยิ่งใหญ่ ( Striving for Superiority )
3. ความรู้สึกด้อยและการชดเชย ( Inferiority Feeling and Compensation )
4. ความสนใจสังคม ( Social Interest )
5. แบบแผนชีวิต ( Style of Life )
6. การเลี้ยงดูของพ่อแม่ โดยจะอธิบายเป็นภาพรวมดังนี้
Adler เชื่อในเรื่องอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มีผลต่อบุคลิกภาพของบุคคล
นอกจากนี้เขายังเชื่อว่า สถานการณ์ที่กดดันจะทำให้บุคคลที่พิการ หรือคนที่ขาดสามารถย้ำให้เห็นบุคลิกภาพที่โดดเด่นได้ยิ่งขึ้น และ เขาสรุปโครงสร้างทฤษฎีของเขาว่า การสร้างบุคลิกภาพเป็นผลสืบเนื่องมาจากสิ่งที่เป็นมาแต่กำเนิด ( Organism ) เพราะมนุษย์มีระยะเวลาที่เป็นทารกนาน ในช่วงนั้นบุคคลจะได้รับอิทธิพลของเจตคติในครอบครัวของตน หรืออิทธิพลของพ่อแม่ ผู้ปกครองซึ่งทำให้บุคคลอาจ รู้สึกถึงความรู้สึกด้อยและพยายามหาทางชดเชย โดยวิธีการต่อสู้ดิ้นรน เพื่อลบล้างเพื่อให้ตนรู้สึกดี ในกลุ่มผู้ใหญ่โดยการแสวงหาความยิ่งใหญ่ การยึดถือสิ่งที่เป็นจินตนาการ และเดินไปสู่จิตนาการแห่งตน โดยมีความรู้สึกเกี่ยวกับสังคมและความสนใจสังคมซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการพัฒนาการของบุคคล ซึ่งถือเป็นเรื่องของ การมีสามัญสำนึก ( Common sense ) ดังนั้นวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคนมีแบบแผนชีวิตที่หลากหลายกันไป และสิ่งสำคัญใน เรื่องของชีวิต และในเรื่องการเลี้ยงดู การพัฒนาบุคลิกภาพในช่วง 5 ปีแรกนั้น สิ่งแวดล้อม ( Milieu ) ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และยังรวมถึงเจตคติที่พ่อแม่มีต่อเด็ก สัมพันธภาพระหว่างพี่น้องก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาบุคลิกภาพ ดังนั้นพ่อแม่ที่ต้องการ ให้ลูกมีบุคลิกภาพที่ดี พ่อแม่ควรจะส่งเสริมให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง ให้ความรักกับลูกของท่าน ให้ความยุติธรรม ไม่ช่วยเหลือลูกจน ลูกทำอะไรเองไม่เป็น มีความเข้าใจในตัวลูกของท่านและที่สำคัญคือท่านต้องสามารถรับฟังความคิดเห็นลูกท่านได้ และไม่ว่าลูกจะเกิดในลำดับใดหากลูกได้รับความรู้สึกที่ดีๆ ดังกล่าวจากพ่อแม่สมบูรณ์ การพัฒนาบุคลิกภาพจะเป็นไปตามแบบแผน แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าลำดับการเกิดมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ
ความสัมพันธ์ของครอบครัวกับบุคลิกภาพ
ในเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวเขาเชื่อว่า ลำดับการเกิดทำให้บุคลิกภาพของบุคคลแตกต่างกัน เช่น
1. ลูกคนโต มักจะมีบุคลิกภาพ เป็นคนเอาจริงเอาจังต่อชีวิต มีความรับผิดชอบ มักเป็น ผู้นำ ผู้ไว้อำนาจแต่ถ้าแก้ความก้าวร้าวไม่ได้ ลูกคนโตมักมีบุคลิกภาพก้าวร้าว เคร่งเครียด และอิจฉาริษยา
2. ลูกคนรอง มักมีบุคลิกภาพ เป็นคนไม่เคร่งเครียด ไม่เอาจริงเอาจังเท่าไรนัก มีนิสัย รักสนุก ไม่ค่อยสนใจที่จะเป็นผู้นำ หรือรับผิดชอบสักเท่าไร แต่เมื่อลูกคนรองมีน้อง ความรู้สึกการแข่งขันจะเกิดขึ้นทันที ถ้าในครอบครัวมีสัมพันธภาพไม่ดีอาจทำให้ลูกคนรองที่กลายมาเป็นคนกลางอาจมีความรู้สึกว่าพ่อแม่ลำเอียง และเกิดปัญหาในที่สุด
3. ลูกคนสุดท้อง มักมีบุคลิกภาพเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง ช่างประจบ ชอบให้คนอื่น ช่วยเหลือ ได้รับความรักจากพ่อแม่พี่ๆ ค่อนข้างมาก ถ้าเลี้ยงดีก็จะดีมากแต่ถ้าเลี้ยงตามใจมากเด็กอาจเสียในที่สุด
4. ลูกโทน มักจะมีบุคลิกภาพที่มักจะเอาแต่ใจตนเอง มักถูกตามใจจนเคยตัว แต่ถ้า ครอบครัวสอนให้รู้เหตุรู้ผล ลูกโทนจะมี ความเชื่อมั่นในตนเอง องอาจ นับถือตนเอง แต่ความรับผิดชอบอาจน้อย เพราะต้องการอะไรก็มักจะได้โดยง่าย จึงไม่รู้ค่าของสิ่งที่มี
แนวคิดของ Adler ยังเน้นถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และเขาบอกว่าการดูคนต้องดูทั้งหมด ดูทุกแง่ทุกมุมและนำความรู้จากการดูนั้นมาทำความเข้าใจบุคคลนั้นทั้งหมด ( Person as a whole ) และเด็กจะรู้ถึง”ตน” เมื่ออายุ 2 ขวบ และเด็กก็จะรู้ถึงความ”เด่น” และความ”ด้อย” ด้วยเช่นกัน
ทฤษฎีเอกัตบุคคลของ Adler
แนวความคิดที่สำคัญของทฤษฎีเอกัตบุคคล มีดังนี้
1. ความรู้สึกด้อยและการชดเชย (Inferiority Feeling and Compensation)
Adler ได้สังเกตพบว่า คนทีมีร่างกายอ่อนแอหรือพิการ มักจะพยายามชดเชยสิ่งเหล่านี้โดย การฝึกหัดและออกกำลังกาย ซึ่งเราจะเห็นได้ ในคนเด่นดังเกือบทุกคน มีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นเพราะเขาได้เผชิญความเจ็บปวดในช่วงต้นของชีวิต แต่ต่อมา สามารถต่อสู้และเอาชนะความยากลำบากได้ ดังเช่น Roosvelt ที่เคยเป็นเด็กขี้โรคกลายเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ได้ เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ความรู้สึกด้อยทางร่างกาย เป็นพลังกระตุ้นให้ บุคคลประสบ ความสำเร็จ ในชีวิตได้ แต่ความด้อยจะกลายเป็นปมด้อย (inferiority complex) ถ้าความพยายามของบุคคล ในการชดเชย ไม่ประสบความสำเร็จ บุคคลมักจะมีแรงกระตุ้นในการชดเชยปมด้อยทางร่างกาย และความรู้สึกด้อย ที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิด ทางจิตใจของตนต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากความรู้สึกแตกต่างทางร่างกาย ความไม่สามารถทางสังคม ความพิการหรืออ่อนแอทางร่างกาย Adler เชื่อว่า ความรู้สึกด้อยเป็นเสมือนแรงจูงใจขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการต่อสู้ของมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีความเจริญก้าวหน้า เจริญเติบโตและพัฒนาได้ อันเป็นผลมาจากความพยายามที่จะเอาชนะปมด้อยของแต่ละคน ซึ่งอาจเป็นปมด้อยที่แท้จริง หรือปมด้อยที่เกิดจากการคิดขึ้นเอง
ความพิการทางร่างกาย หรือความรู้สึกบกพร่องต่าง ๆ โดยตัวของมันเองไม่มีความสำคัญ แต่มันจะไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกด้อย ซึ่งความรู้สึกด้อยนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้ทุกคนแสวงหาความสมบูรณ์ การแข่งขัน หรือพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สูงขึ้น แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่สนใจความบกพร่องของตัวเอง มันก็จะไม่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่ดิ้นรนต่อไปได้ ความรู้สึกด้อยเกิดจาก ความรู้สึกไม่สมบูรณ์ (incompletion) หรือความไม่สมบูรณ์แบบ (inperfection) ซึ่งมีมาตั้งแต่ทารกแล้ว เนื่องจากเด็กไม่สามารถ ช่วยเหลือตนเองได้ แต่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ เพื่อมีชีวิตอยู่ได้ ประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้ทารกพัฒนาความรู้สึกด้อย
2. การแสวงหาความยิ่งใหญ่ (Striving for Superiority)
แรก ๆ Adler สรุปว่าความก้าวร้าวเป็นเป้าหมายสุดท้าย ซึ่งมนุษย์ทุกคนแสวงหา และให้ความมั่งคงเป็นเอกภาพของบุคลิกภาพ ต่อมาเขาเปลี่ยนความคิดเห็นจากความก้าวร้าวมาเน้นความสำคัญของความต้องการอำนาจ ซึ่งเขาเรียกพลังที่แสดงอำนาจว่า "masculinity” ส่วนพลังที่อ่อนแอเรียกว่า "femininity” ในการอธิบายเกี่ยวกับพลังนี้ เขาได้กล่าวถึง "masculine protest” ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการชดเชยที่เกินความจำเป็น หรือมากเกินไป (overcompensation) ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
เมื่อบุคคลรู้สึกด้อยและรู้สึกไม่พอเพียงในสิ่งที่เป็นของตนเอง ต่อมา Adler ใช้คำว่า การแสวงหาความยิ่งใหญ่ แทนความต้องการอำนาจ การแสวงหาความยิ่งใหญ่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ แสดงพฤติกรรมดังต่อไปนี้ คือ เป็นคนก้าวร้าว, เป็นคนมีอำนาจ, เป็นคนแสวงหาความเป็นใหญ่เหนือผู้อื่น มนุษย์ทุกคนมีความมุ่งมั่น ปรารถนา และขวนขวายไปสู่ความสมบูรณ์ ความเป็นเลิศของมนุษย์ ซึ่ง Adler เชื่อว่าเป็นแรงจูงใจที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ ทุกคนมีความอยากเป็นเลิศในด้านในด้านหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกต่างกัน เช่น คนที่เป็นโรคประสาทมี รูปแบบการแสวงหาความยิ่งใหญ่เป็นไปในลักษณะต้องการการยกย่องนับถือ (self – esteem) อำนาจ (power) การยึดถือตนเองเป็นใหญ่ (egoistic) หรือความเห็นแก่ตัว (selfish) แต่สำหรับคนปกติมี รูปแบบการแสวงหาความยิ่งใหญ่ไปสู่เป้าหมายต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามคุณลักษณะทางสังคม
3. แบบแผนชีวิต (Style of life)
แบบแผนชีวิต เป็นหลักการสำคัญที่ Adler นำมาอธิบายในเรื่องความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน ทุกคนย่อมมีแบบแผนชีวิตของตน และไม่มีบุคคลใดที่จะพัฒนาแบบแผนชีวิตขึ้นมาใน รูปแบบเดียวกัน พฤติกรรมทั้งหมดของบุคคลเกิดขึ้นมาจากแบบแผนชีวิต บุคคลรับรู้ เรียนรู้ จดจำไว้ในสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสมกับแบบแผนชีวิตของตนและไม่สนใจสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง แบบแผนชีวิต เกิดขึ้นในวัยเด็กตอนต้นช่วง 4-5 ขวบ ซึ่งเกิดจากปรับประสบการณ์ และนำประสบการณ์นั้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้สอดคล้อง กับเอกลักษณ์ของแบบแผนชีวิตตน ทัศนคติ ความรู้สึก การรับรู้ ได้ตรึงแน่น และทำงานในระยะต้น ๆ ของชีวิต และสิ่งที่ตรึงแน่นนี้ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงแบบแผนชีวิตในระยะต่อมา แม้ว่าระยะต่อ ๆ มา บุคคลอาจค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ที่จะแสดงถึง เอกลักษณ์ของ แบบแผนชีวิต
ความสนใจในสังคม ( Social Interest)
มนุษย์มีความสนใจสังคม โดยแสดงออกด้วยการให้ความร่วมมือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสังคม การเลียนแบบกลุ่ม การมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้สังคมบรรลุถึงเป้าหมาย ความเป็นสังคม ที่สมบูรณ์แบบ และทำให้ ความเป็นมนุษย ์ใน จินตนาการ สมบูรณ์ขึ้น และลบภาพความรู้สึกทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัว ไปเป็นการคำนึงถึง ประโยชน์ ที่จะให้กับสังคม ความต้องการสังคมที่สมบูรณ์แบบ ทำให้มนุษย์สร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นในสังคม Adler เชื่อว่า ความสนใจสังคม มีมาแต่กำเนิด แต่ยังไม่ปรากฏออกมาทันที โดยไม่มีสิ่งกระตุ้น แต่จะเป็นผลมาจากการแนะแนว และ การฝึกหัด ในตอนโต
การสร้างสรรค์ตนเอง (Creative Self)
การสร้างสรรค์ตนเอง เป็นแนวคิดที่ต่อเนื่องมาจากแบบแผนชีวิต กล่าวคือ แบบแผนชีวิตถูกพัฒนาขึ้น โดยพลังสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคล หรืออีกนัยหนึ่ง แต่ละบุคคลมีอำนาจอิสระในการสร้างแบบแผนชีวิตของตนเอง พลังสร้างสรรค์จะรับผิดชอบเป้าหมายชีวิต กำหนดวิธีแสวงหาจุดมุ่งหมาย และการพัฒนาความสนใจในสังคม พลังสร้างสรรค์ จึงมีอิทธิพลต่อการรับรู้ ความจำ จินตนาการ ความเฟ้อฝัน และความฝัน ซึ่งทำให้แต่ละบุคคลเป็นคนที่มีอิสระในการกำหนดตัวเองได้ เราจะพบการสร้างสรรค์ตนเองของมนุษย์ได้จากวัฒนธรรมและเทคโนโลยีของโลก ดังนั้น Adler อธิบายว่า การสร้างสรรค์ตนเอง คือความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับเป้าหมาย เพื่อตัดสิน เลือก และคิดถึง สิ่งต่างๆ ด้วยจุดประสงค์ และคุณค่าของแต่ละบุคคล
การยึดถือสิ่งที่เป็นจินตนาการ (Fictional Finalism)
Adler ได้แนวคิดจากงานเขียนของนักปรัชญาชื่อ Hans Vaihinger ในหนังสือ "The Philosophy of "As-if” ว่าคนเราสร้าง แนวคิด ที่นำ พฤติกรรม ของเรา การแสวงหาของคนไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่มีการรับรู้เป้าหมาย ซึ่งเป็นตัวบ่งทิศทาง ของ พฤติกรรม ทุกชนิด และเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าของตนเอง Adler เชื่อว่า เป้าหมายเหล่านี้เป็นอุดมคติ และไม่มีตัวตน ยังพิสูจน์ไม่ได้ อาจเป็นความเชื่อทางศาสนา หรือความเชื่อเรื่องนิยาย ซึ่งบุคคลยึดถือเป็น แนวทางในการปฏิบัติ คนปกติจะเป็นอิสระจาก ความคิดนี้ได้ เมื่อจำเป็น แต่คนผิดปกติ ไม่สามารถแยกแนวความคิดนี้ได้เลย
ลำดับการเกิด (Birth Order)
Adler ได้สังเกตว่า บุคลิกภาพของลูกคนโต คนกลาง และคนเล็ก ในครอบครัวหนึ่ง ๆ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งเขาได้ อธิบายว่า ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากประสบการณ์ของเด็กแต่ละคนในฐานะเป็นสมาชิกของครอบครัว รวมทั้งทัศนคติใน การอบรมเลี้ยงดูลูก ของบิดามารดาด้วย เช่น ลูกคนโต มีความรับผิดชอบ เชื่อมั่นในตนเอง มีลักษณะเป็นผู้นำ ลูกคนกลาง มักมีนิสัย ยืดหยุ่น ปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีนิสัยร่าเริง และชอบการแข่งขัน มีความรู้สึกอ่อนไหว คิดมาก ขี้น้อยใจ ลูกคนสุดท้อง มักมี นิสัยเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตนเอง ขี้งอน ไม่อดทน ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพิงคนอื่นตลอดเวลา
ประสบการณ์ในวัยเด็ก (Childhood Experience)
Adler ได้สนใจเป็นพิเศษในประสบการณ์ที่มีอิทธิพลระยะเริ่มแรก ๆ ของชีวิต ซึ่งมีแนวโน้มให้เด็กมีแบบแผนชีวิตผิด ๆ เขาค้นพบองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการของประสบการณ์วัยเด็กที่มีผลต่อบุคลิกภาพ ได้แก่ เด็กที่มีปมด้อยทางร่างกาย เด็กที่ถูกตามใจจนเสียเด็ก เด็กที่ถูกทอดทิ้ง ผลจากประสบการณ์ทั้ง 3 นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กมีมโนคติผิด ๆ ในโลก และชีวิต ซึ่งเป็นผลให้ แบบแผนชีวิต ของเขามีปัญหา และไม่สามารถบรรลุถึงบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ได้
Adler เน้นศึกษาเรื่อง บุคลิกภาพของมนุษย์ ในลักษณะรวม ๆ ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ซึ่งแต่ละคน จะมี พฤติกรรม ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ เขายังเน้นถึง ความสำคัญของ ความรู้สึกด้อย และ การชดเชย ลำดับการเกิด และประสบการณ์ในวัยเด็ก ดังจะเห็นได้จาก การวิจัยค้นคว้าที่สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ ลำดับการเกิด และ บุคลิกภาพ (birth order and personality) , ความจำในวัยเด็ก (early memories), ประสบการณ์วัยเด็ก (childhood experience)
ทฤษฎีบุคลิกภาพตามแนวความคิดของเชลดัน ( Sheldon’s Theory )
ทฤษฎีบุคลิกภาพตามแนวความคิดของเชลดัน ( Sheldon’s Theory )
เชลดัน (William H. Sheldon) เป็นนักจิตวิทยาและแพทย์ชาวอเมริกัน ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่อง ลักษณะความสัมพันธ์ของ โครงร่างของมนุษย์ กับการแสดงออกในลักษณะต่างๆ ของมนุษย์ Sheldon ได้ถ่ายรูปภาพของคนไข้ที่เข้ามาในคลีนิค เชลดันเก็บข้อมูลโดยการนำภาพของคนไข้ เป็นจำนวนมาก มาทำการพิจารณา ลักษณะโครงร่าง และแบ่งประเภทของโครงร่างออกเป็นกลุ่มๆ และสรุปเป็นทฤษฎีว่า มนุษย์มีลักษณะทางรูปร่างแตกต่างกัน และเขาแบ่งโครงสร้างของร่างกายออกเป็น 3 กลุ่ม รวมทั้งศึกษาลักษณะทางอารมณ์ของคนเหล่านั้น ว่าคนแต่ละประเภทมีลักษณะเป็นอย่างไร หลักการแบ่งและชื่อของกลุ่มใช้ตามการแบ่งชั้นของเซลล์และเนื้อเยื่อ ทฤษฎีของ Sheldon มุ่งเน้นในเรื่องบุคลิกภาพของบุคคล ทฤษฎีบุคลิกภาพตามแนวความคิดของเชลดัน (Sheldon’s Theory )แบ่งบุคลิกภาพเป็น 3 พวกมีดังนี้
2.1 พวกที่มีโครงสร้างแบบ Ectomorphic หรือ Ectomorphy ประเภทนี้มักเป็นคนผอมสูง เอวบางร่างน้อย กล้ามเนื้อน้อย ไหล่ห่อ นิ้วมือเรียวยาว แขนขายาว ท่าทางบอบบาง ผิวและเส้นผมละเอียด หน้าอกแบนแฟบ ทรวดทรงชะลูด ประสาทไวต่อความรู้สึกมาก ชอบหลบหนีสังคม กลัวการอยู่ในกลุ่ม ไม่ค่อยกล้า ท่าทางอ่อนแอ ไม่กระตือรือร้น ใจน้อย ชอบสันโดษ ชอบอยู่ตามลำพัง อารมณ์อ่อนไหว วิตกกังวลง่าย ช่างคิด มันเป็นโรคจิตประเภท Heboid คือชอบหลบหนีสังคม หุ่นแบบเอคโตมอฟี เชลดันว่า จะเป็นผู้มีแนวโน้ม ที่จะมีบุคลิกภาพที่เรียกว่า เซเรโบรโทเนีย (Cerebrotonia) คือเป็นคนไม่ชอบสังคม มีความเครียดทางอารมณ์อยู่เป็นนิจ ตัดสินใจอะไรบางอย่างรวดเร็ว เด็ดขาด นอนน้อย และชอบการสันโดษ โดยเฉพาะ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆบุคคล ที่มีลักษณะบุคลิกภาพประเภทนี้ จะไม่ทำอะไรที่เป็นการเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นเลยไม่เหมือนกับพวกอื่นๆ
2.2 พวกที่มีโครงสร้างแบบ Endomorphic หรือ Endomorphy เป็นประเภทมีลักษณะอ้วนเตี้ย มีโครงสร้างอ้วนกลม หน้ากลม มีเนื้อและไขมันมาก ร่างกายเต็มไปด้วยไขมัน พุงยื่นหนา ชอบสนุกสนานร่าเริง ชอบอยู่สบายๆ เปิดเผย กินเก่ง เพราะระบบย่อยอาหารทำงานดี จู้จี้ขี้บ่น โกรธง่ายหายเร็ว มันเป็นโรคจิตชนิด Manic depressive คือ บางครั้งดีใจมาก บางครั้งเสียใจมาก ชอบแสดงอิทธิฤทธิ์ ปล่อยชีวิตตามยถากรรม หุ่นแบบเอนโดมอฟี จะมีบุคลิกภาพประเภทที่เขาเรียกว่า วิซโรโตเนีย (Viscerotonia) กล่าวคือ เป็นผู้มีบุคลิกภาพประเภทรักความสะดวกสบาย ชอบการสังคม ชอบทำอะไรช้าๆ ปล่อยอารมณ์ตามสบาย ชีวิตไม่มีรีบมีร้อน มีความอดทนอดกลั้นทางอารมณ์ดีมาก เป็นคนที่ง่ายแก่การคบค้าสมาคมด้วย รักการกินเป็นที่หนึ่ง
2.3 พวกที่มีโครงสร้างแบบ Mesomorphic หรือ Mesomorphy พวกนี้เป็นประเภทนักกีฬา นักผจญภัย มีร่างกายสมส่วน สง่างาม ไหล่กว้าง ตะโพกเล็ก ชอบกีฬาการต่อสู้ ชอบผจญภัย กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว มีน้ำใจเป็นนักกีฬา กำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อสมบูรณ์ ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ บึกบึน แข็งแรง ชอบใช้กำลัง หรือความก้าวร้าว ขยันขันแข็ง มีกระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรงได้สัดส่วน มีพลังงานมาก มักเป็นโรคจิตประสาท Paranoid คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ในโลก ชอบกำลังมุ่งทำลายชีวิตคน หุ่นแบบเมโซมอฟี จะมีบุคลิกภาพประเภท โซมาโตโตเนีย (Somatotonia) คือเป็นพวกรักการต่อสู้ผจญภัย ชอบการเสี่ยง เป็นคนที่ค่อนข้างจะก้าวร้าว มักจะกระทำการใดๆ ที่เป็นการแสดงว่าตัวมีอำนาจและพละกำลังมาก
มีข้อที่น่าสังเกตคือ ความอ้วน ผอม ลักษณะสูงเตี้ยของร่างกาย เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องโภชนาการอยู่มาก นักกีฬาเลิกเล่นกีฬาอาจกลายเป็นคนอ้วนลงพุง และการกำหนดลักษณะทางจิตใจว่ารูปร่างอย่างนั้น มีอารมณ์อย่างนี้น่าจะเป็นการเหมารวม (Stereotype) มากกว่าเมื่อเห็นคนอ้วนมักจะคาดหวังเอาว่าเป็นคนตลกสนุกสนานร่าเริง ไปเสียหมดทุกคน เพราะเคยมีประสบการณ์มาเช่นนั้น แต่ว่าแท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่เป็นกฎตายตัวว่าต้องเป็นอย่างนั้น ทุกคน และบางครั้งคนอ้วนแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น อาจเป็นเพียงการสวมบทบาท (Role) ที่สังคมคิดว่าเขาควรจะแสดงก็เป็นได้ ซึ่งคนอ้วนบางคนอาจจะก้าวร้าวมาก แต่เก็บกดไว้และหาวิธีการทำร้ายคนอื่นด้วยวิธีที่เราคิดไม่ถึงหรือวิธีแยบยลก็มี
ทฤษฎีบุคลิกภาพของคาร์ จี จุง ( Carl G. Jung Theory )
ทฤษฎีบุคลิกภาพของคาร์ จี จุง ( Carl G. Jung Theory )
ประวัติของคาร์ จี จุง เกิดที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1875 และเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1961 เขาเป็นนักจิตแพทย์ชาวสวิสที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่คิดเก่งหรือนักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง และได้รับการยกย่องว่า เป็นนักจิตวิทยา ที่อยู่ในระดับ แนวหน้า Jung ยังได้ใช้เวลามาก ตลอดชีวิตศึกษาวิทยาการต่างๆ หลายๆ สาขา นอกจากนี้ ยังได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นนักจิตวิทยาที่ร่าเริง ใจดี และมีบุคลิกภาพที่ประทับใจผู้อื่น และยังเป็นผู้ที่เคร่งศาสนา งานวิจัยที่เขาทำเป็นเรื่องพฤติกรรมของบุคคล
แนวคิดที่สำคัญ ในช่วงแรกนั้นJung เน้นการศึกษาเรื่องจิตไร้สำนึก เช่นเดียวกับฟรอยด์แต่ต่อมา ได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้งขึ้น ทำให้มี Jung มีแนวความคิดแตกต่างกัน โดยมีความเชื่อว่ามนุษย์ที่เกิดมามีแนวโน้มที่จะรับมรดกจากบรรพบุรุษของเขา ซึ่งจะเป็นการชี้นำ พฤติกรรม และกำหนดจิตสำนึก ตลอดจนการตอบสนองต่อประสบการณ์ และโลกส่วนตัวของเขา หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า มีการก่อตัวของเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์ (Racial) และจะสะสมในบุคลิกภาพที่นำไปสู่การเลือกรูปแบบของการปรับตัว และการเลือก ที่จะอยู่ในโลก ของประสบการณ์แต่ละบุคคล บุคลิกภาพแต่ละบุคคลจึงเป็นผลของการกระทำของแรงภายใน ( Inner Forces ) ที่กระทำต่อแรงภายนอก (Outer Forces) ทฤษฎีนี้เน้นเรื่องของการเริ่มต้นของบุคลิกภาพที่เชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์ ในขณะที่ ฟรอยด์ เน้นจุดเริ่มต้นของบุคลิกภาพจากหลังกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยทารก
นอกจากนี้ Jung ยังได้อธิบายว่า บุคลิกภาพของแต่ละบุคคล เป็นเสมือนผลผลิตของอดีต กล่าวคือ มนุษย์ได้ถูกปรุงแต่ง และถูกวางรูปแบบ ให้เป็นตัวตนในปัจจุบัน โดยมีประสบการณ์ที่สะสมในอดีตโดยไม่รู้จุดเริ่มต้นของมนุษย์ว่าแยกมาจากเผ่าใด รากฐานของบุคลิกภาพ จึงเป็นเรื่องอดีตชาติ (Archaic) และบรรพกาล ( Primitive ) ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และเป็นเรื่องของความไร้สำนึก ที่ไม่สามารถจดจำได้ และมีขอบเขตอย่างกว้างขวาง (Universal) ในส่วนที่เกี่ยวกับ พฤติกรรมของมนุษย์นั้นทฤษฎีนี้เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลรวม ของอนาคตกาลกับอดีตกาล (Teleology and Causality) พฤติกรรมของมนุษย์ได้รับเงื่อนไขไม่เพียงแต่ ความแตกต่างที่เกิดจาก อดีตกาลเท่านั้น แต่ยังเกิดจากปัจจัยอื่นอีกเช่น ความมุ่งหมาย และความปรารถนาในอนาคตกาลของบุคคลอีกด้วย โดยอดีตกาลเป็น ความจริงที่แสดงออก ในขณะที่อนาคตกาล เป็นเสมือนศักยภาพ ที่จะชี้นำบุคคลให้เกิดพฤติกรรมดังนั้นแนวความคิดที่เกี่ยวกับ บุคลิกภาพคือความคาดหวัง ในผลข้างหน้าอันเป็นการรับรู้ถึงการมองไปสู่อนาคต ซึ่งเป็นสาเหตุให้บุคคลเกิด แนวทางใน การพัฒนาตนเอง ในทางสร้างสรรค์เพื่อแสวงหาความสมบูรณ์ และคำนึงถึง การเกิดมาเพื่อมีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง ( Rebirth )
อย่างไรก็ตามทฤษฎีของ Jung แตกต่างจาก Frued ที่อธิบายว่า พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นทางเพศ แต่ Jung เชื่อว่าบุคคลจะเป็นคนเช่นใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็กด้วยเช่นกันองค์ประกอบของจิต(StructuralComponents of Psyche) เป็นผลรวมทั้งหมดของบุคลิกภาพที่ประกอบด้วยระบบต่างๆ ซึ่งทำงานร่วมกันดังนี้
องค์ประกอบของจิต (Structural Components of Psyche) มี 3 ระบบคือ
1. โครงสร้างทางบุคลิกภาพ (Structure of Personality)
2. ตน ( Self )
3. ระบบความสัมพันธ์ภายใน (Interdependent Systems) ซึ๋งแสดงเป็นแผนภูมิ 2 คือ
องค์ประกอบของจิต (Structural Components of Psyche)
แสดงตัว (Extraversion)
เงา (Shadow)
เก็บตัว (Introversion)
การรู้สึก (Feelings)
ตน เป็นจุดศูนย์กลางของบุคลิกภาพ หมายถึง รูป (Archetype) ซึ่งนำบุคคลไปสู่การแสวงหาวิธีการต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ถึงจุดสูงสุด(Self Realization)
การคิด (Thinking)
ระบบความสัมพันธ์ภายใน (Interdependent Systems)
ตน ( Self )
ลักษณะของหญิงที่มีอยู่ในชาย (Anima)
และลักษณะของชายที่มีอยู่ในหญิง (Animus)
หน้ากาก (Persona)
จิตไร้สำนึกที่สะสมมาแต่อดีตกาล (Collective Unconscious)
ประสบการณ์ไร้สำนึก (Personal Unconscious)
ตัวตน (Ego)
โครงสร้างทางบุคลิกภาพ
(Structure of Personality)
การทำหน้าที่ของบุคลิกภาพ 4 ประการ (Four Functions)
การรับรู้ทางประสาท สัมผัส (Sensing)
การกำหนดรู้ในใจ (Intuition)
แผนภูมิ 2 แสดงเรื่ององค์ประกอบของจิต (Structural Components of Psyche)
องค์ประกอบของจิต (Structural Components of Psyche) มี 3 ระบบดังอธิบายคือ
1. โครงสร้างทางบุคลิกภาพ (Structure of Personality) ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ สำคัญได้แก่ ตัวตน (Ego) ประสบการณ์ไร้สำนึก (Personal Unconscious ) จิตไร้สำนึกที่สะสมมาแต่อดีตกาล (Collective Unconscious) หน้ากาก (Persona) ลักษณะของหญิงที่มีอยู่ในชาย (Anima) และเงา (Shadow)
1.1 ตัวตน (Ego)เป็นการรับรู้ในตนเองมีการระลึกรู้ เป็นจิตสำนึก (Conscious Mind) ประกอบด้วยการรู้สำนึกในการรับรู้สิ่งต่างๆ ได้แก่ ความเข้าใจ ความจำ และระลึกรู้ในการแสดงพฤติกรรมตลอดจนความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์ และบทบาทของตนเองซึ่งถือว่า Ego เป็นศูนย์กลางของความรู้สำนึก ทำให้เกิดบุคลิกภาพ และปม ( Complex ) ที่หมายถึงการรวบรวมความคิดต่างๆ เข้ามาเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเกิดจากความรู้สึกทั่วๆ ไป Ego ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจิต ( Psyche ) ที่ทำให้บุคคลรับรู้พฤติกรรมของตน
1.2 ประสบการณ์ไร้สำนึก (Personal Unconscious) เป็นส่วนที่ติดอยู่กับ Ego ที่ประกอบด้วยประสบการณ์ซึ่งครั้งหนึ่งยังอยู่ในจิตสำนึก(Conscious) แต่บุคคลพยายามเก็บกดไว้ ( Repressed ) การสะกดไว้จนลืม ( Forgotten ) หรือการเพิกเฉยไม่รับรู้ (Ignored) จากเหตุผลบางประการ เช่น เป็นประสบการณ์บางเรื่องที่ไม่เป็นที่พึงพอใจ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้กำลังอ่อนลง ในระยะแรกจะทำให้เกิดการรับรู้อยู่ในระดับจิตสำนึก ลักษณะของประสบการณ์สามารถจะนำขึ้นมารับรู้ได้อีก เมื่อมีสิ่งเร้าที่เหมาะสมมากระตุ้น และเรื่องปม (Complex) หมายถึง การรวบรวมความคิดให้เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นกลุ่มของการจัดระบบทางความคิด การรับรู้ ความจำ การคิด ต่างๆ ที่มีอยู่ในระดับจิตไร้สำนึกเป็นศูนย์กลางซึ่งมีการกระทำเสมือนแม่เหล็กที่คอยดึงดูดกลุ่มประสบการณ์ต่างๆ เช่น ปมเกี่ยวกับแม่ (Mother Complex) จะประกอบด้วยประสบการณ์ในอดีตของเชื้อชาติที่ตนอยู่ และเผ่าพันธุ์ที่มีกับแม่ กับอีกส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ของเด็กกับแม่ความรู้สึกต่างๆ ความทรงจำ ฯลฯที่เกี่ยวข้องจากความสัมพันธ์กับแม่ ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกนึกคิดที่มีแม่เป็นศูนย์กลาง เป็นปมเกี่ยวกับแม่ ว่ามีความยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญ มีความเข้มแข็ง และมีความอ่อนโยน ภาพของแม่จะถูกระลึกในจิตใจ และมีความหมายอย่างสูงต่อบุคคลโดยไม่รู้ตัว แต่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกได้ในเวลา และสถานการณ์ที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ปมจะแสดงคุณสมบัติเหมือนบุคลิกภาพโดยอัตโนมัติ โดยมีระบบความคิด และพลังการเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเอง ซึ่งปมของบางคน อาจมีความเข้มแข็ง และมีความยิ่งใหญ่ จนสามารถควบคุมบุคลิกภาพทั้งหมด ซึ่งนำไปสู่การแสดงออก เพื่อให้ปมไปสู่เป้าหมายในที่สุด เช่น ฮิตเลอร์ จะเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถูกควบคุมด้วยความปรารถนาในอำนาจ ความต้องการยิ่งใหญ่เป็นต้น
1.3 จิตไร้สำนึกที่สะสมมาแต่อดีตกาล (Collective Unconscious) เป็นเสมือนที่รวบรวม และสะสมความทรงจำที่ซ่อนอยู่ภายใน และติดตาม สืบต่อ ตลอดจน ตกทอดเป็นมรดกจากบรรพบุรุษในอดีตก่อนกำเนิดเป็นพลังจิตส่วนที่เหลือหรือตกค้างมาจากพัฒนาการ และวิวัฒนาการของมนุษย์ที่เกิดจากประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง มนุษย์จะสืบทอดประสบการณ์ในอดีตของคนรุ่นก่อนๆ มาเป็นแนวโน้มที่ทำให้เกิดกำหนดพฤติกรรมที่จะโต้ตอบกับแม่โดย Jung อธิบายว่า เมื่อย้อนหลังกลับไปในอดีตชาติใดๆ ก็ตามมนุษย์ย่อมได้รับสิ่งต่างๆ จากแม่ ซึ่งทำให้มนุษย์เกิดความสมบูรณ์ และมีศักยภาพประสบการณ์ระหว่างแม่กับทารกจะถูกถ่ายทอดกัน และสร้างเป็น รูปแบบในสมองของมนุษย์ตกทอดสืบต่อกัน มานานตั้งแต่อดีตชาติ ดังนั้น ปรากฏการณ์เหล่านี้จึงทำให้ทารกเกิดมาพร้อมกับ ความสามารถที่จะมองเห็น และพัฒนาความสามารถ ในการรับรู้ และโต้ตอบกับแม่ โดยผ่านประสบการณ์ และการฝึกหัด ในชาติปัจจุบัน โดยมีรากฐานมาจากอดีตชาติเป็นพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง หรือในกรณีอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมด้วยแนวโน้ม หรือทุนเดิมหลายๆ อย่าง เพื่อคิด รู้สึก และรับรู้ ให้สอดคล้องกับแบบแผนที่มีอยู่ในสมองอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นมนุษย์ส่วนใหญ่กลัวงูทุกคน ทั้งนี้ เพราะเกิดจากการสรุปของคน ในยุคเก่าที่ต้องต่อสู้กับอันตรายในความมืดหลายๆ อย่าง และมนุษย์ก็ตกเป็นเหยื่อของพิษงู ความกลัวภายในจิตเหล่านี้ เกิดจากประสบการณ์ดังกล่าว ที่ยังคงเหลืออยู่จนถึงมนุษย์ในยุคปัจจุบัน หรือในกรณีอื่นๆ เช่น ความคิดที่เกี่ยวกับ ความต้องการความยิ่งใหญ่ ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์มีแนวโน้มในเรื่องดังกล่าวอย่างมั่นคง อยู่ในสมองมาแล้ว จึงต้องการแรงเสริมเพียงเล็กน้อย จากประสบการณ์ในปัจจุบันที่กระตุ้นให้ความคิดเหล่านั้นเข้ามาอยู่ใน ระดับจิตสำนึกของบุคคล ซึ่งจะเข้ามีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรม ของบุคคล และมีการสืบทอดกันไป
Jung เชื่อว่า Collective Unconscious เป็นรากฐานของโครงสร้างทางบุคลิกภาพ ที่ก่อรูปร่างให้กับมนุษย์อย่างเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นเสมือนภาพที่ติดตัวอยู่แล้วนั่นเอง โดยมีสิ่งที่เรียกว่า รูป หรือ แม่พิมพ์ หรือ แม่แบบ (Archetype) จะเป็นส่วนประกอบของ Collective Unconscious ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆ กันไป ได้แก่ สิ่งที่จะมีอิทธิพลต่อสิ่งต่างๆ (Dominant) ภาพในเทพนิยาย (Mythological Images) หรือ รูปแบบในการแสดงพฤติกรรม (Behavior Pattern) โดยที่ Archetype จะเป็นความคิดที่กว้างขวางของมนุษย์ ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นเป็นจินตนาการหรือรูปภาพต่างๆ (Image or Visions) โดยรูปภาพเหล่านี้จะสอดคล้องกับความสำนึก และการรับรู้ตามปกติ ในชีวิตซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่รู้ตัว เช่น ภาพแม่ (Mother Archetype) ที่บุคคลสร้างขึ้นเป็นภาพ จะเป็นเอกลักษณ์ของแม่ตามความเป็นจริง กับความคิดที่ก่อตัว ซึ่งเกิดจากการสร้างความสัมพันธ์ และประสบการณ์ของทารกกับแม่ ที่ทำให้เกิดภาพแม่ (Mother Archetype) ที่เป็นผลผลิตของประสบการณ์จากเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์ในอดีต กับประสบการณ์โลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันมาหลายชั่วอายุคน มาอยู่ในความทรงจำ และการระลึกไว้ ด้วยความสวยงาม ด้วยความดี ในภาพรวมของแม่ (Mother Archetype) ว่าแม่เป็นพระพรหมของลูก
จะเห็นได้ว่า Archetype อื่นๆ จะเป็นประสบการณ์ที่เกิดซ้ำๆ กันหลายชั่วอายุคนเช่น มนุษย์มองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นวนเวียนเป็นประจำ จากฟากฟ้าหนึ่งไปสู่อีกฟากฟ้าหนึ่ง พร้องทั้งให้ความร้อน และแสงสว่างประสบการณ์ประทับใจดังกล่าวจะมีลักษณะวนเวียนซ้ำๆ กันจึงทำให้เรา รู้สึกว่าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ตรึงแน่น หรือผนึกอยู่ใน Collective Unconscious และกลายเป็น Archetype ของสุริยะเทพ (Sun – God) ซึ่งแสดงถึง ความมีอำนาจ ความสว่างไสว ความร้อนดังนั้น มนุษย์จึงบูชา และกราบไหว้พระอาทิตย์ให้เป็นพระเจ้า ดังนั้นมนุษย์จึงมีความรู้สึกนึกคิดที่สร้างรูปของพระอาทิตย์ (Sun – Archetype) นั่นเอง Archetype ในทำนองเดียวกัน เมื่อมนุษย์ได้รับพลังจากธรรมชาติอื่นๆ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ลมพายุ ฟ้าผ่า ไฟไหม้ป่า ประสบการณ์ดังกล่าว ก็จะถูกพัฒนาขึ้นมาในรูปของพลังอำนาจ (Archetype of Energy) นอกจากนี้ Archetype ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปเดียว แต่อาจจะมาจากรูปหลายๆ รูปเข้ามาประสมประสานกันเกิดเป็นรูปใหม่ เช่น ความกล้าหาญของวีรบุรุษกับความฉลาด ความรักชาติรักแผ่นดินอาจกลายมาเป็น “มหาราช” ได้
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในเรื่อง Archetype นั้น Jung พบว่ามี Archetype มากมายที่แทรกซึมเข้ามาอยู่ในจิตสำนึก โดยแสดงออกในรูปแบบของ เทพนิยาย ความฝัน การทำนายฝัน พิธีกรรมทางศาสนา ภาพเขียน งานศิลปะ หรือ แม้แต่แสดงออกมาในรูปแบบของอาการต่างๆ ทางโรคจิตโรคประสาท ก็ได้ ในขณะที่ Archetype อีกมากมายที่อยู่ใน จิตไร้สำนึกที่สะสมมาแต่อดีตอาจจะแสดงออกมาในรูป ของการเกิด การกลับมาเกิดใหม่ ความตาย อำนาจ วีรบุรุษ พระเจ้า ปีศาจ เป็นต้น
1.4 หน้ากาก(Persona) เป็นสิ่งที่ตัวละครใช้สวมไว้ เพื่อแสดงบทบาทต่างๆใน การแสดงหน้ากากยังแสดงปฏิกิริยา หรือตอบโต้กับ ข้อเรียกร้อง ทางสังคม และขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อตอบสนองความต้องการของ Archetype ภายในตนเอง และเพื่อให้สอดคล้องกับ ความคาดหวังของสังคมที่ต้องการทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆหน้ากากจึงมีลักษณะของการประนีประนอม ระหว่างความต้องการต่างๆ ของสิ่งแวดล้อมกับ รากฐานความเป็นจริงที่อยู่ภายในแต่ของละบุคคล และแสดงบทบาทหลายๆ อย่างในชีวิตประจำวันที่จะช่วย ควบคุมพลังรุนแรง ที่เป็นต้นตอแรกๆของอุปนิสัยต่างๆ ที่มีอยู่ใน Collective Unconscious และมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความประทับใจกับคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเสมือนบุคลิกภาพสาธารณะ (Public Personality) ซึ่งเป็นพฤติกรรม ต่างๆ ที่บุคคลแสดง โดยใช้ความเห็นของสาธารณชน ซึ่งตรงกันข้ามกับบุคลิกภาพส่วนตัว (Private Personality) แต่ในเวลาเดียวกัน หน้ากากก็มีส่วนเสีย เพราะทำให้บุคคลเรียนรู้ที่จะปิดบังตัวตนที่แท้จริงไว้ นอกจากนี้ ยังทำให้บุคคลปิดบังศักยภาพ หรือพลังความสามารถต่างๆ ที่อาจทำให้บุคคลสูญเสีย ความเป็นตัวของตัวเองไป ในประเด็น ดังกล่าวหากเราสังเกตจากตัวเราเอง จะพบว่าเมื่อไรก็ตามที่เราสวมหน้ากาก หรือแสดงพฤติกรรมตามบทบาทของสังคมที่กำหนดไว้มากๆ เราอาจทำให้รู้สึกอึดอัด และขาดความเป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถพูด ทำ หรือ แสดงออกตามตัวตนที่เป็นจริงของเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเป็นการสกัดกั้นความสามารถต่างๆ ที่มีอยู่ในตนเอง และเป็นผลเสียต่อการพัฒนาบุคลิกภาพในที่สุด
1.5 ลักษณะของหญิงที่มีอยู่ในชาย (Anima) และลักษณะของชายที่มีอยู่ในหญิง (Animus) หรืออาจเรียกว่าลักษณะเพศแฝงเร้น ซึ่งเป็นการอธิบายถึงลักษณะความเป็นหญิงในบุคลิกภาพของผู้ชาย เช่น ความอ่อนโยน ความนิ่มนวล เป็นต้นลักษณะความเป็นหญิง ที่มักแฝงไว้ในชาย (Anima) และลักษณะความเป็นชายในบุคลิกภาพของผู้หญิง เช่น ความเข้มแข็ง ความเด็ดเดี่ยว ที่มักแฝงไว้ในตัวหญิงเช่นกัน (Animus) หากจะพิจารณาในด้านสรีระจะพบว่า ในเพศชายจะมีทั้งฮอร์โมนเพศชาย และฮอร์โมนเพศหญิง ในขณะที่เพศหญิงก็จะมีฮอร์โมนเพศหญิง และฮอร์โมนเพศชายอยู่เช่นกัน ซึ่ง Jung อธิบายว่า ลักษณะความเป็นหญิงในบุคลิกภาพของชาย หรือความเป็นชายในบุคลิกภาพของหญิงเกิดจาก Archetype คือรูปของผู้หญิงในชาย (Feminine Archetype) ที่เรียกว่า Anima หรือรูปของผู้ชายในผู้หญิง (masculine Archetype) ที่เรียกว่า Animus รูปต่างๆ เหล่านี้แม้ว่าอาจเกิดจากโครโมโซมเพศ (Sex Chromosomes) และการทำงานของต่อมเพศ (Sex Glands) ก็ตาม แต่สาเหตุสำคัญ Jung เชื่อว่าเป็นผลของประสบการณ์ทางเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ระหว่างชายกับหญิง ซึ่งมีชีวิต และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา โดยหมายความว่าประสบการณ์ในอดีตที่เพศชายมีชีวิตอยู่กับเพศหญิงทำให้ผู้ชายรับ ลักษณะความเป็นหญิงไว้ในตนเอง ในขณะที่ประสบการณ์ของการอยู่ร่วมกัน ทำให้ผู้หญิงรับลักษณะของ ความเป็นชายไว้ในตนเองทำให้เพศหญิง มีความเข้มแข็งมีความอดทน และกล้าหาญ ในขณะที่เพศชายเองก็มีความอ่อนโยน และนุ่มนวลแฝงอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุให้แต่ละเพศแสดง คุณลักษณะของเพศตรงข้าม ในตัวตน นอกจากนี้ การแสดงคุณลักษณะ ที่เป็นเพศตรงกันข้ามยังเป็นแรงจูงใจ ให้แต่ละเพศมีการตอบสนองเพื่อการเข้าใจเพศตรงกันข้าม โดยฝ่ายชายจะเข้าใจธรรมชาติของฝ่ายหญิง จากกคุณลักษณะของฝ่ายหญิงที่มีอยู่ในตัวฝ่ายชายเอง และในทำนองเดียวกัน ก็จะทำให้ฝ่ายหญิงเข้าใจธรรมชาติของฝ่ายชายที่มีอยู่ในตัวของหญิงเช่นกัน
1.6 เงา (Shadow) เป็นรูป (Archetypes) เป็นสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณพื้นฐานที่มีคล้ายกับสัตว์ เมื่อมีวิวัฒนาการจนกลายเป็นมนุษย์ๆ จึงรับ และสืบทอดมาจากวิวัฒนาการ จากรูปแบบที่ต่ำกว่ามาสู่ความเป็นมนุษย์ทำให้มนุษย์มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งเลวร้าย และผิดศีลธรรม เป็นส่วนของจิตที่อยู่ลึกที่สุด หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น Shadow ซึ่ง Jung เชื่อว่า Shadow เป็นด้านของความเป็นสัตว์ (Animal Side) ที่อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดของมนุษย์ในส่วนที่เป็นความชั่วร้าย ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็น ในลักษณะภายนอก ทำให้เป็นพฤติกรรมที่ยังไม่ได้ขัดเกลา หรือพฤติกรรมที่แสดงความรู้สึกก้าวร้าว พฤติกรรมที่เป็นศัตรูกับผู้อื่น หรือเป็นพฤติกรรม ที่ไม่น่าชื่นชมรวมถึงความคิด ความรู้สึก และการกระทำที่สังคมไม่ยอมรับ เพราะเป็นการแสดงสิ่งที่ไม่เหมาะสม Shadow เหล่านี้จะถูกปิดบังโดยใช้หน้ากาก (Persona) หรือเก็บลงสู่ประสบการณ์ไร้สำนึกของบุคคล (Personal Unconscious) นั่นเอง
ทฤษฏี Myers-Briggs Type Indicator (MBTI)
ทฤษฏี Myers-Briggs Type Indicator (MBTI)
ทฤษฏีนี้ถือกำเนิดโดย Carl Jung นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง และได้รับการพัฒนาต่อโดย Isabel Myers และ Katharine Briggs จึงมีชื่อว่า Myers –Briggs Type Indicator (MBTI)
ทฤษฏีนี้บอกว่า คนเราทุกคนเกิดมาจะมีความคุ้นชินกับ 4 สิ่งต่อไปนี้แตกต่างกัน
1. การหันเข้าหาคน คนจำพวกหนึ่งมัก
• หันเข้าหาคนอื่นหรือโลกภายนอก (Extroversion)
• ส่วนคนอีกพวกหนึ่งมักหันเข้าหาตัวเอง (Introversion)
2. การรับข้อมูล คนจำพวกหนึ่งถนัด
• การรับรู้ด้วยผัสสะ (Sensing)
• อีกพวกหนึ่งรับรู้ด้วยญาณทัศนะ (Intuition)
3. การประเมินสถานการณ์ คนจำพวกหนึ่งตัดสิน
• ด้วยความคิด (Thinking) ในขณะที่
• อีกพวกหนึ่งตัดสินด้วยความรู้สึก (Feeling)
4. การดำเนินชีวิต พวกหนึ่งชอบ
• ความเป็นระบบและชอบรวบรัด (Judging)
• อีกพวกหนึ่งปล่อยไปตามธรรมชาติและเปิดทางเลือกไว้เสมอ (Perceiving)
ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากการพัฒนาบุคลิกภาพในวัยเด็ก คนเราต้องเลือกแบบใดแบบหนึ่ง เพื่อให้ได้บุคลิกภาพที่ชัดเจน ในช่วงครึ่งหลังของชีวิต ทุกคนจะพัฒนาด้านตรงข้ามของบุคลิกที่ขาดหายไป เพื่อให้เกิดความสมดุล และกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะที่มั่นคง เช่น พวก Extrovert จะเริ่มพัฒนา Introversion ส่วนพวก Introvert จะพัฒนา Extroversion
Extroverts (E)
ร่าเริง เข้ากับคนง่าย ชอบสังคม มองหาประสบการณ์ในมุมกว้าง ค้นพบตัวเองด้วยการพูดและทำ ทำก่อนคิด และรู้สึกว่าการได้อยู่กับ คนอื่นเป็นการเติมพลัง
Introverts (I)
เงียบขรึม ครุ่นคิด สนิทกับคนแบบตัวต่อตัว มองหาประสบการณ์ในมุมลึก ค้นพบตัวเองด้วยการคิด ทำก่อนคิด และรู้สึกว่าเวลาอยู่คนเดียวคือ เวลาของการเติมพลัง
Sensor (S)
รับข้อมูลด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ติดดิน อยู่กับปัจจุบัน เป็นนักปฏิบัติ มองวันนี้เป็นหลัก ทำอะไรตามขั้นตอน เก็บรายละเอียดเก่ง
Intuitive (N)
รับข้อมูลด้วยญาณทัศนะ สัมผัสที่หก หรือ แรงบันดาลใจ สนใจในความเป็นไปได้ ใช้จินตนาการ และวิสัยทัศน์ ชอบลองของใหม่ ทำงานหนักเป็นระยะ ๆ มองภาพรวม ละเลยรายละเอียด
Thinker (T)
ใช้ตรรกะวิเคราะห์หาคำตอบ มีหลักการ มีกฎ มีกระบวนการ ไม่ลำเอียง ช่างวิจารณ์
Feeler (F)
กรองข้อมูลด้วยค่านิยมส่วนตัว ให้ความสำคัญกับการปรองดองกัน ขี้สงสาร ชอบช่วยเหลือ ยุขึ้น และอ่อนไหวกับคำวิจารณ์
Judger (J)
มีระบบ มีประสิทธิภาพ ทำอะไรต้องมีแผน และทำตามแผน ตัดสินใจเร็ว
Perceiver (P)
ปรับตัวไปตามสถานการณ์ ชอบเปิดทางเลือกไว้ มองหาทางออกใหม่ ๆ ไม่ตัดสินใจเพราะอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ
อักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของแนวโน้มทั้งแปดอย่างเมื่อนำมารวมกัน สามารถใช้แทนบุคลิกภาพแบบหนึ่ง ๆของคนได้ และทำให้เกิดบุคลิกภาพที่แตกต่างกันถึง 16 แบบ เช่น ESTJ หมายถึงคนที่มี แนวโน้มเป็น extrovert, sensor, thinker และ judger (สังเกตว่า Intuition ใช้ตัวย่อ N เพื่อมิให้ซ้ำกับ Introversion)
อาจพบว่าคนไทป์เดียวกันสองคน อาจจะดูแตกต่างกันมาก นั้นเป็นเพราะทั้งสองมีแนวโน้มของ MBTI ที่ต่างกันมาก ลองสำรวจตัวเองดูสิว่าคุณเป็น MBTI แบบใด
บุคลิกภาพตามหลักของ MBTI จึงแบ่งออกได้เป็นสี่กลุ่มหลัก หรือ 16 ไทป์ย่อยดังนี้
กลุ่มนักอนุรักษ์นิยม Sensing Judger
• อยากทำตัวเป็นประโยชน์ ชอบบริการ ชอบเป็นส่วนหนึ่ง
• รับผิดชอบ จริงใจ มีมโนธรรม รักครอบครัว และขนบธรรมเนียมประเพณี
• เป็นจริง ชอบระบบ ชอบกระบวนการที่มีแบบแผน
• ห่วงอนาคต
• บางครั้งรู้สึกว่าตนถูกเอาเปรียบ หรือไม่เห็นหัว
ESTJ ใช้ตรรกะ เด็ดขาด มีและให้ค่ากับประสิทธิภาพ กล้าพูด ต้องการเป็นผู้นำ
ESFJ กระตือรือร้น อบอุ่น ช่างพูด เห็นอกเห็นใจ ชอบช่วยเหลือ
ISTJ เงียบ เอาจริงเอาจัง เถรตรง ทำงานหนัก ใส่ใจรายละเอียด ติดตามผล
ISFJ เป็นมิตรอย่างเงียบ ๆ ถ่อมตน ทุ่มเท ดูเหมือนพึ่งไม่ได้แต่พึ่งได้ ปิดทองหลังพระ
กลุ่มนักปฏิบัติ Sensing Perceiver
• รักอิสระ อยู่ในโลกของความเป็นจริง
• มองโลกแง่ดี ใจกว้าง กระตือรือร้น ยืดหยุ่น
• อิสระเสรี และต้องการให้คนอื่นรู้ว่าตนรักอิสระ เกลียดการบังคับ งานจำเจ
• อยู่กับปัจจุบัน ไม่วางแผนระยะยาว
ESTP ชอบลุย มีพลัง ชอบเสี่ยง ชอบท้าทาย อาจมุทะลุ
ESFP เป็นมิตร ง่าย ๆ ชอบสังคม ช่างพูด ชอบช่วยคน
ISTP เงียบ ไว้ตัว เป็นตัวของตัวเอง อยากรู้อยากเห็น
ISFP เป็นธรรมชาติ สุภาพ ถ่อมตัว จริงใจ มีเมตตา ใจกว้าง รอมชอม
กลุ่มผู้รู้ Intuitive Thinking
• อยากรู้ ชอบแข่งขัน
• ริเริ่ม เป็นนักวิเคราะห์ นักทฤษฎี
• สนใจภาพรวม และความน่าจะเป็น
• บังคับตัวเอง
• ท้าทายระบบ
ENTJ ริเริ่ม มีตรรกะ มีประสิทธิภาพ ตรงไปตรงมา เด็ดขาด ต้องการเป็นผู้นำ
ENTP กระตือรือร้น กล้าพูด กบฏ ริเริ่ม ฉลาด ไม่ค่อยติดตามผล
INTJ อิสระ มุ่งมั่น เป็นตัวเอง ผลักดันตนและคนรอบข้างให้บรรลุเป้าหมายได้
INTP นักทฤษฎี อยากรู้อยากเห็น รู้ลึก ไว้ตัว ให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาให้ถูกต้อง ชอบการแก้ปัญหา
กลุ่มผู้ค้นหาตัวเอง Intuitive Feeling
• แสวงหาเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีจินตนาการ รู้ลึก คนอื่นมักไม่เข้าใจ
• อบอุ่น เอาใจใส่ ทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์
• อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์
• อยากให้โลกดีขึ้น อยากเห็นคนประสบความสำเร็จ มองหาวิธีการปรับปรุงความเป็นอยู่
ENFJ ร่าเริง อยากรู้อยากเห็น เป็นมิตร ขี้สงสาร ชอบช่วยเหลือ มีมโนธรรม เป็นนักพูดที่เก่ง เป็นผู้นำ
ENFP กระตือรือร้น ช่างฝัน เก่งหลายอย่าง สื่อสารเก่ง คิดถึงความเป็นไปได้ ชอบริเริ่มโครงการ แต่ไม่อยู่ให้ตลอด
INFJ สุภาพ เงียบ มีมโนธรรม วิริยะ แสวงหาความปรองดอง ยึดมั่นในหลักการ และอุดมคติอย่างเงียบ ๆ
INFP ไว้ตัว สุภาพ อยากรู้อยากเห็น มีหัวศิลป์ เปิดใจกว้าง มีอุดมการณ์ ทำงานคนเดียว
การับรู้เกี่ยวกับตนเอง
การับรู้เกี่ยวกับตนเอง
การับรู้เกี่ยวกับตนเอง เป็นสิ่งที่บุคคลจะต้องทำ การรู้จักตนเองก่อน วิธีที่บุคคลจะรู้จักตนเอง ได้ชัดเจนคือ การสำรวจตนเอง ทำให้บุคคลสามารถมองตนเองอย่างชัดเจน ทั้งในแง่บวกแง่ลบ ทั้งในส่วนที่ดีและส่วนที่ต้องปรับปรุง รวมไปถึง ความสามารถใน การสำรวจตนเอง ว่าตนเองมีบุคลิกภาพ ส่วนใดจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นและ การที่บุคคลจะรู้จักตัวเองได้นั้น
กันยา สุวรรณแสง (2533:322-326) อธิบายโดยสรุปว่า บุคคลจะต้องรู้จักตนเองอย่างน้อยใน 3 ลักษณะคือ
อันดับแรกได้แก่ อุปนิสัยของตนเอง เราต้องวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนว่า ตนเองมีอุปนิสัยอย่างไร อุปนิสัยใดดี ก็ควรส่งเสริมไว้ อุปนิสัยอะไรไม่ดี ก็ควรแก้ไขอาจจะใช้เวลานาน แต่ถ้าเรามีความตั้งใจจริง ก็สามารถทำได้
ประการที่สองคือ ลักษณะส่วนรวมของตน ลักษณะนี้คงต้องอาศัยจากผู้อื่นช่วยบอก บางครั้งเราไม่ต้องการ ฟังคำวิจารณ์ เพราะอาจจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด แต่เราจงอดทนฟัง คำวิจารณ์ เพราะคำทวงติง จากมิตรดีและ คนที่มีความจริงใจแล้ว เรานำมาไตร่ตรอง บางครั้งคำวิจารณ์ คำทวงติงเหล่านั้น อาจมีข้อคิดที่ดีมากมาย
และประการสุดท้ายคือ บทบาทของตน เราแต่ละคนมี สถานภาพ (Status) จึงต้องแสดง บทบาท(Role) เราจึงต้องแสดงตน ตามบทบาท ที่เราได้รับให้สมบูรณ์
นอกจากนี้ในเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง เราทุกคนก็สามารถกระทำได้โดย การที่เราสามารถทำความเข้าใจในตนเองได้ทุกแง่ทุกมุม ทั้งมุมกว้างและมุมลึก ทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ยังต้องพัฒนา โดยเราต้องพยายามทำใจให้เป็นกลาง อย่าเข้าข้างตนเองมากเกินไป จนมองตนไม่ออก นั่นก็เท่ากับว่า ท่านไม่สามารถวิเคราะห์ตนเองได้ และสุดท้ายของการรับรู้ตนเอง คือ ความสามารถเปิดใจกว้าง ในการยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อนำมาพัฒนาตน สำหรับ การรับรู้ตนเอง ตามแนวคิดของคาร์ล โรเจอร์ ( Carl Rogers ) ซึ่งเป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม เขามีความสนใจเรื่อง มนุษย์ เขามองมนุษย์ในแง่ดีและเชื่อว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ดีงาม และมนุษย์ยังเป็นผู้ที่ได้รับการขัดเกลามาแล้ว รักความก้าวหน้า พูดจริง ทำจริง รวมทั้งมีความสามารถหลายๆ อย่าง แนวคิดที่สำคัญคือ เขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนนั้น มีความรู้สึกนึกคิด เป็นของตนเอง หรือ มีแนวความคิดของตนเอง ( Self Concept ) อาจจะกล่าวสรุปว่า มนุษย์มีภาพของตนจากตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆ และภาพของตนจากใจ ในการนึกคิดภาพต่างๆ ที่เกิดเป็น มโนภาพทางจิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คุณสมบัติ รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติ ตัวตนตามแนวคิดของคาร์ล โรเจอร์ จึงประกอบไปด้วยตัวตน 3 ประเภทคือ
1. ตัวตนที่เป็นจริง ( Real self )
2. ตัวตนที่คิดว่าเราเป็น (Perceived self )
3. ตัวตนที่เราต้องการจะเป็น (Ideal self )
ซึ่งในสภาพความเป็นจริงขณะนี้เรากำลังเป็นนักศึกษา เรากำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง การที่เรารับรู้ว่า เราเป็นนักศึกษา และกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง ขณะนี้นั่นคือ ตัวตนที่เป็นจริง พอวันหนึ่งมีคนทักว่า เราอ้วนไป ซึ่งเราก็พยายามที่จะลดน้ำหนัก แต่ยิ่งลดน้ำหนักเท่าใดตัวเราก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อมีเพื่อนๆ เห็นเราก็บอกเราว่า เธอยังคงมีรูปร่างเหมือนเดิม แต่ในใจเราบอกว่าจริงๆ แล้วเราลดน้ำหนักลงแล้ว ความคิดตรงนั้นคือตัวตนที่คิดว่าเราเป็น แต่ก็มีบางช่วงที่เราฝันอยากจะเป็นเศรษฐี เป็นคนรวย อยากมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย นั่นเป็นตัวตนที่เราต้องการจะเป็น ดังนั้นตัวตนที่อยู่กับตัวเรา จะประกอบด้วย ภาพภายในใจของเรา ตามที่เราคิด และจะต้องอยู่กับเราอย่างสมดุล และสอดคล้องกัน ส่วนภาพภายในใจของเรากับตัวตนจริงๆ ของเรา จะไม่ทำให้เราเกิดความคับข้องใจ เมื่อภาพทั้ง ภายในและภาพทั้งภายนอก สมดุลกัน บุคคลก็จะเกิด การรับรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างถูกต้อง การรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง ตามแนวคิดนี้จึงเน้นที่ รับรู้ตัวตน ทั้งภายในและภายนอก อย่างสอดคล้องกัน สำหรับเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง นั้นสิ่งที่บุคคลควรจะพิจารณาเป็นเรื่องต้นๆ 3 เรื่องคือ เรื่องตนเองซึ่งประกอบไปด้วย ลักษณะทางกาย และลักษณะทางจิต และเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ตนอยู่ตั้งแต่สังคม วัฒนธรรมรวมไปจนถึงอิทธิพลของสื่อต่างๆ ที่บุคคลเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังจะอธิบายแยกเป็นข้อๆ คือ
1. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านลักษณะทางกาย ได้แก่การที่บุคคลต้องรู้จักตนเองใน ส่วนของสรีระทางกายว่า ตนเองมีรูปร่างหน้าตา หน้าตาเป็นอย่างไร ขนาดของร่างกาย ทรวดทรงและสัดส่วนของร่างกาย การทรงตัวกิริยาท่าทา งอิริยาบถต่างๆ ผิวพรรณ และรวมไปถึง สุขภาพของร่างกาย และมีสติปัญญา รู้คิดรู้พิจารณาในเรื่องต่างๆ ได้ มีความรู้ความสามารถ ที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ลักษณะทางกาย เป็นเรื่องของพันธุกรรม เราคงกำหนดมากไม่ได้นัก แต่เราอาจดูแลรักษาให้ร่างกายสะอาด เป็นอย่างธรรมชาติ ที่กำหนด และงดงามตามธรรมชาติ หรือปรุงแต่งให้ดูดี ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ลักษณะทางกายของเราอาจบอก บุคลิกภาพของบุคคลได้
2. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านลักษณะทางจิต เป็นการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอารมณ์ ความสนใจ ความถนัด แต่ถ้าจะกล่าว ให้ชัดลงไปคือ การรับรู้ในเรื่อง ลักษณะนิสัยของตนเอง ในความเป็นบุคคล นิสัยของบุคคล จะเริ่มจาก การที่บุคคล มีปฏิกิริยา ต่อสิ่งเร้าซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้น โดยการผ่าน กระบวนการเรียนรู้ พอบุคคลโตขึ้นมาหน่อย เด็กที่เริ่มเรียนรู้ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า หลายๆอย่าง เด็กเกิดการโต้ตอบต่อสิ่งเร้าต่างๆ และเกิด การผสมผสานอย่างเป็นระบบขึ้น ในส่วนนี้ เราเรียกว่า เกิดลักษณะนิสัย ดังนั้นนิสัยจึงเป็น ระบบที่ถูกผสมผสานให้เกิด การโต้ตอบต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาเร้า สิ่งเร้า อาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นสถานการณ์ก็ได้ พอเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเริ่มเรียนรู้ เริ่มสะสมสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิต เด็กเริ่มมี ระบบผสมผสานนิสัยต่างๆ มากขึ้นมี การรวมเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งที่ โรงเรียน วัด สื่อรูปแบบต่างๆเช่นวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต กลุ่มสังคมใกล้เคียงที่อาศัย ทำให้เด็กพัฒนา เจตคติ คุณธรรมและความสนใจเข้าไว้ด้วยกัน จากนิสัยก็กลายเป็น ลักษณะนิสัย และลักษณะนิสัยต่างๆ ถูกจัดระบบให้อยู่ในระบบใหญ่ที่เรียกว่า “ตัวของตัวเอง”หรือ “Self” แต่สามารถมีตัวของตัวเอง ได้มากกว่าหนึ่ง เช่น เป็นลูกที่น่ารักของแม่ เป็นเด็กดีของคุณครู เป็นนักว่ายน้ำ เป็นคนสนุกในหมู่เพื่อนๆ ตัวของตัวเองจึงมีลักษณะ ต่างกันไป ซึ่งการผสมผสานระบบต่างๆในขั้นสุดท้ายจึงเกิดเป็นบุคลิกภาพ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีอะไรที่จะสะท้อนให้เห็น บุคลิกภาพได้ดีเท่า “ลักษณะนิสัย” หรือ”อุปนิสัย”
อุปนิสัยมีความหมายกว้างกว่านิสัย เพราะอุปนิสัยเชื่อมโยงและรวมเอานิสัยต่างๆ ตั้งแต่สองอย่างเข้าไว้ด้วยกัน อุปนิสัยจะเป็นการตอบสนองในสภาพการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น คนที่มีอุปนิสัยเอื้อเฟื้อ ก็จะมีนิสัยหลายๆ อย่างรวมกันเช่น เป็นคนใจดี เสียสละ เป็นคนมีเมตตากรุณา เป็นคนโอบอ้อมอารี ชอบสังคม มีความเป็นมิตรกับทุกคน เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว อุปนิสัย หรือลักษณะนิสัย ยังทำหน้าที่ประเมินค่า เมื่อมันทำงานร่วมกับ เจตคติ โดยเจตคติ จะใช้ประเมินความรู้สึก โดยจะแสดงออก ในเรื่องจะยอมรับได้ หรือไม่สามารถยอมรับ ในสิ่งต่างๆ หรือเรื่องต่างๆ เจตคติเป็น ความรู้สึกนึกคิด ที่บุคคลมีอย่างเฉพาะเจาะจงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนับเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกกับบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะ แต่อุปนิสัยครอบคลุมไปยัง ลักษณะทั่วไป ส่วนเจตคติมีระดับความมากน้อยแตกต่างกันอาจอยู่ในระดับต่ำสุด ปานกลาง สูงสุด แต่อุปนิสัยมีเพียงระดับปกติ โดยอุปนิสัย ทำหน้าที่ชี้นำ หรือกำหนดพฤติกรรมต่างๆของบุคคลและทำหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรม อุปนิสัยบางอย่าง ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้า หรือแรงจูงใจ ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ โดยสิ่งเร้าต่างๆ จะกระตุ้นให้อุปนิสัย ทำหน้าที่ตามบทบาท ต่างๆของตนเอง อย่างเหมาะสม
3. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านสิ่งแวดล้อมนั้น เมื่อบุคคลเกิดมาทุกชีวิต ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ระบบครอบครัว ไปจนถึงระบบสังคมใหญ่ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อบุคคลมาก เป็น ตัวกำหนดบุคลิกภาพ บุคคลต้องเรียนรู้ว่า ตนเองอยู่ใน สภาพสิ่งแวดล้อมอย่างไร และประเมินบรรทัดฐานทางสังคม ได้ว่าตัวเราพึงปฏิบัติตนอย่างไร
อย่างไรก็ดี เพื่อให้การศึกษาในเรื่องนี้เข้าใจยิ่งขึ้นท่านต้องมีความรู้พื้นฐาน เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ และความต้องการของมนุษย์ เพื่อเป็นแนวทาง ให้ท่านเข้าใจเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตนเองมากยิ่งขึ้น