การศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุน
· Tab 1
ผู้ประกอบการ SMEs ท่านหนึ่ง อายุ 33 ปี มีธุรกิจอู่เคาะพ่นสีในกรุงเทพฯ ได้เข้ามาพร้อมเพื่อน ๆ ที่มีธุรกิจเดียวกัน โดยเพื่อนท่านหนึ่งมีความตั้งใจโดยเฉพาะเพื่อมาขอคำปรึกษาเรื่องการเงินในธุรกิจอู่เคาะพ่นสี จนการให้คำปรึกษาเสร็จสิ้น ผู้ประกอบการ SMEs ท่านนี้ จึงได้โอกาสพูดคุยด้วย จนกระทั่งได้พูดคุยถึงเรื่องธุรกิจอพาร์ทเม้นท์ที่กำลังจะลงทุนในเขตรังสิต-วังน้อย ซึ่งเป็นย่านโรงงานอุตสาหกรรม โดยได้กำหนดที่ดินที่จะก่อสร้างไว้และขณะนี้กำลังเขียนแบบอยู่ เป็นโครงการอพาร์ทเม้นท์ 5 ชั้น จำนวน 144 ห้อง ลิฟท์ 1 ตัว ค่าเช่าห้องเดือนละ 2,500 บาท เน้นกลุ่มพนักงานโรงงาน โดยมีแนวคิดว่าต้องการลงทุนในพื้นที่ดินที่มีอยู่ให้มากที่สุด ได้จำนวนห้องมากที่สุด และทำอพาร์ทเม้นท์ให้มีขนาดใหญ่ไปเลย โดยได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนมากจากเครือญาติ และคิดว่าจะคุ้มการลงทุน เพราะย่านนั้นมีพนักงานโรงงานมาก ในอนาคตจะขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันการเงินต่อไป
จากการวิเคราะห์พบว่าผู้ประกอบการ SMEs รายนี้ ขาดประสบการณ์ในธุรกิจอพาร์ทเม้นท์ แต่อาศัยประสบการณ์เดิม ที่มีอยู่มาคิดและทำ โดยคิดว่า สถานการณ์ขณะนี้เป็นโอกาสการลงทุน เพราะมีผู้ลงทุนสร้างอพาร์ทเม้นท์ขนาด 100 ห้อง อยู่ใกล้พื้นที่ที่จะก่อสร้าง เมื่อไม่นานมานี้เอง
การที่จะลงทุนสร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ถ้าผู้ประกอบการ SMEs มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่แล้ว และมีเงินลงทุนค่าก่อสร้างพร้อม โดยไม่ต้อง ไปกู้ยืมใคร ก็จะไม่มีปัญหาวิตกกังวลใด ๆ ในการเจรจาขอกู้ยืมเงินเพื่อลงทุน การชำระหนี้คืนและระยะเวลาการคุ้มทุน และผลตอบแทน การลงทุน เป็นต้น แต่ในกรณีนี้ผู้ประกอบการ SMEs ต้องกู้ยืมเงินจากเครือญาติ เพื่อซื้อที่ดินและค่าก่อสร้าง บางส่วนหลังจากนั้น จึงจะเสนอโครงการเพื่อขอการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันการเงินต่อไป ดังนั้นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน คงไม่ให้การ สนับสนุนเ พียงด้วยวาจาว่าโครงการนี้ดี เมื่อสร้างเสร็จจะมีผู้ขอเช่าเต็มทุกห้อง และผู้ประกอบการ SMEs สามารถคืนหนี้ พร้อมดอกเบี้ยได้ทุกบาททุกสตางค์ในระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป และความเสี่ยงใด ๆ จะไม่มีเกิดขึ้นเลยหรืออย่างไร
ดังนั้นการทำโครงการสร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าหรือเพื่อขาย ควรสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองและผู้ร่วมงาน หรือผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน โดยควรมีการวางแผนโครงการ ในลักษณะที่เรียกว่า "การศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุน" (Project Planning and Feasibility Study) ซึ่งมีเกณฑ์การพิจารณาที่ผู้ประกอบการ SMEs ควรคำนึงถึง ดังนี้
1. ควรพิจารณาเรื่องทำเลที่ตั้ง (Location) ของโครงการอพาร์ทเม้นท์ว่าดีหรือไม่ดี
เกณฑ์การพิจารณาว่าทำเลที่ตั้งดี เช่น ที่ตั้งโครงการอยู่ในย่านชุมชน หรือในละแวกย่านชุมชน อยู่ริมถนนใหญ่ หรือใกล้ถนนใหญ่ ใกล้ตลาดสด การเดินทางสะดวกมีรถโดยสารประจำทางผ่าน หรือมีรถโดยสารผ่านถึงช่วงดึก เป็นต้น
เกณฑ์การพิจารณาว่าทำเลที่ตั้งไม่ดี เช่น ที่ตั้งโครงการอยู่ในซอยลึกเกินไป ระหว่างข้างทางมีพงหญ้าขึ้นหนาทึบ ค่อนข้างเงียบ ระหว่าง ทางเข้า โครงการเปลี่ยว การเดินทางของผู้เช่าห้องพักต้องอาศัยนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างราคาแพง ที่ตั้งโครงการขาดแคลนร้านอาหาร เป็นต้น
2. ควรพิจารณาเรื่องกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Group) และความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs ควรคำนึงถึงสำหรับโครงการเหล่านี้ คือ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สำหรับในกรณีผู้ประกอบการ SMEs รายนี้ เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นพนักงานโรงงานในละแวก รังสิต - วังน้อย ซึ่งถือได้ว่าเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่มีความต้องการเช่าอพาร์ทเม้นท์ เพราะส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด และมีการทำงานเป็นกะ แต่ประเด็นที่ควรพิจารณามีอยู่ว่า มีอพาร์ทเม้นท์เล็กและใหญ่ เกิดขึ้นเป็น จำนวนมากในละแวกรังสิต - วังน้อย ดังนั้นลูกค้าเป้าหมายที่เป็นพนักงานโรงงานกลุ่มนี้ ยังมีความต้องการเช่าอพาร์ทเม้นท์ (Demand) อยู่อีกหรือไม่ หรืออพาร์ทเม้นท์ที่มีอยู่ในละแวกนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการได้ หรืออพาร์ทเม้นท์ในละแวกนั้นมีเพียงพอแล้ว แต่พนักงานโรงงานต้องการเปลี่ยนไปอยู่ตามอพาร์ทเม้นท์ใหม่ ๆ ในราคาค่าเช่าเท่าเดิม และไม่ห่างไกลจากโรงงานเท่าใดนัก สำหรับ สถานการณ์ที่โรงงานมีการลดจำนวนพนักงานที่ด้อยคุณภาพลง และรับพนักงานใหม่ที่มีคุณภาพเข้ามาแทนที่
3. ควรพิจารณาเรื่องพฤติกรรมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สิ่งอำนวยความสะดวก และราคาค่าเช่าห้อง
การวางแผนงานจะมีความถูกต้องและมีความเป็นไปได้มาก ถ้าโครงการที่จะลงทุนนั้น ผู้ลงทุนเข้าใจถึงพฤติกรรมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นอย่างดี สำหรับกรณีผู้ประกอบการ SMEs รายนี้ ยังขาดความเข้าใจพฤติกรรมพนักงานโรงงาน ดังนั้นการกำหนดราคาห้องเช่าเดือนละ 2,500 บาท อาจสูงเกินไป เพราะพนักงานโรงงานนิยมพักอยู่ร่วมกัน 2-3 คนต่อห้อง และอาจเผื่อไว้สำหรับญาติพี่น้องมาเยี่ยม และพักค้างคืนได้ การจ่ายค่าเช่าห้องก็มักจะแชร์กันออก โดยต้องการจ่ายค่าเช่าห้อง ซึ่งเป็นรายจ่ายประจำให้ต่ำที่สุด นอกจากนั้นก็ต้องคิดถึงรายจ่ายอื่น ๆ ของพนักงานโรงงาน เช่น ค่าน้ำ - ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหารแต่ละวัน ส่งเงินให้ที่บ้าน ค่างานสังสรรค์สำหรับกลุ่มเพื่อน เป็นต้น ค่าใช้จ่ายสำหรับพนักงานโรงงานเหล่านี้ เมื่อคิดรวมๆ แล้ว ก็จัดได้ว่าค่อนข้างสูงสำหรับพวกเขา ซึ่งมีเงินเดือนบวกค่า O.T. (Overtime) แล้วถือว่าไม่สูงนัก
จากการพูดคุยกับผู้ประกอบการ SMEs รายนี้ อยากที่จะคงค่าเช่าห้องที่ราคา 2,500 บาท แต่ไปเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้มากขึ้น เช่น เตียง ตู้ โต๊ะเครื่องแป้ง แอร์ เป็นต้น ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นอรรถประโยชน์รองลงไปจากพฤติกรรมที่พนักงานโรงงานต้องการ ห้องเช่าที่ราคาถูกประมาณช่วงราคา 1,000 - 2,000 บาท เช่น ราคาห้องเช่า 1,200 บาทต่อเดือน 1,500 บาทต่อเดือน หรือ 1,700 บาทต่อเดือน เป็นต้น ความต้องการห้องพักใหม่อยู่รวมกันหลายคนได้และไม่แบ่งแยกชาย-หญิง เพราะบางครั้ง มีญาติพี่น้องในครอบครัว มาพักอยู่ร่วมกัน ถ้าเป็นเพื่อนที่ทำงานอยู่ด้วยกันก็จะแชร์ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ-ค่าไฟกันเอง และที่สำคัญไม่อยากให้อพาร์ทเม้นท์อยู่ไกล ที่ทำงานมากนัก เพราะทำงานเป็นกะ สำหรับอพาร์ทเม้นท์บางแห่งถ้าค่าเช่าถูกมาก ห้องน้ำอาจจะเป็นห้องน้ำรวม แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว อยากได้ห้องน้ำในตัว เป็นต้น
4. ควรพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายและวิศวกรรมการก่อสร้างบางประเด็น
4.1 กรณีที่ผู้ประกอบการ SMEs ยังไม่ตัดสินใจซื้อที่ดินเพื่อทำการก่อสร้าง เพียงแต่เล็งที่ดินที่จะทำการซื้อหรือได้เจรจาไว้เท่านั้น
การเข้าถึงที่ตั้งโครงการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ได้สะดวก มีผลต่อค่าการดำเนินการก่อสร้างที่จะถูกลง เช่น ถ้าถนนทางเข้า โครงการสร้าง อพาร์ทเม้นท์แคบ ช่วงเวลาก่อสร้างทำให้เสาเข็มยาวเข้าไม่ได้ จำเป็นต้องใช้เข็มเจาะ ซึ่งมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายแพงกว่า ระยะเวลาดำเนินการ นานกว่าใช้เสาเข็มยาว
4.2 กรณีที่ผู้ประกอบการ SMEs มีที่ดินอยู่แล้ว หรือซื้อที่ดินไว้แล้ว
การก่อสร้างอาคารจะขึ้นอยู่กับความกว้างของถนนที่ติดพื้นที่ก่อสร้าง เนื่องจากมีพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง ต้องมีระยะล่นใน การก่อสร้างและจำกัดความสูงของอาคาร โดยการก่อสร้างอาคารจะมีความสูงไม่เกิน 2 เท่าของความกว้างของถนนรวมกับระยะล่น เช่น พื้นที่ที่จะก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ด้านหน้าติดถนนกว้าง 6 เมตร ดังนั้นพื้นที่ก่อสร้างจะต้องมีระยะล่นไม่ต่ำกว่า 2 เมตรจากที่ดินส่วนที่ติดกับถนน ฉะนั้นการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์จะสูงได้ไม่เกิน 16 เมตร (6 + 2 = 8 เมตร X 2 เท่า = 16 เมตร) เป็นต้น
ส่วนความกว้างของอาคารพิจารณาจากระยะล่นของที่ดินที่ติดกับถนนต้องถอยล่นไม่ต่ำกว่า 2-3 เมตรขึ้นไป ส่วนที่ที่ไม่ติดกับถนน ในกรณีที่การก่อสร้างมีช่องเปิด (ประตูหน้าต่าง) และอาคารก่อสร้างสูงไม่เกิน 2 ชั้น ต้องมีระยะล่น 2 เมตร แต่ถ้าสูงตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไปต้องมีระยะล่น 3 เมตร (กรณีเป็นอาคารขนาดใหญ่จะมีช่องเปิดหรือไม่มีก็ตาม พื้นที่ก่อสร้างมีชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือพื้นที่รวมกันเกิน 2,000 ตร.ม. ต้องมีระยะล่น 6 เมตร รอบด้าน เป็นต้น)
ส่วนการก่อสร้างอาคารกรณีไม่มีช่องเปิด และเป็นอาคารก่อสร้าง 2 ชั้นขึ้นไป ต้องมีระยะล่น 80 ซม. เป็นต้น
4.3 กรณีก่อสร้างอาคารสูงเกิน 16 เมตร นับจากพื้นดินขึ้นไป จะต้องมีลิฟท์
ผู้ประกอบการ SMEs ควรพิจารณาเรื่องต้นทุนการก่อสร้างด้วย เนื่องจากลิฟท์แต่ละตัวมีราคาสูง ดังนั้นควรพิจารณาว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มาใช้บริการ มีความพอใจจะต้องใช้ลิฟท์หรือไม่ ถ้าใช้ลิฟท์มีผลต่อราคาค่าเช่าห้องที่ควรจะสูงขึ้น เพราะลงทุนสูงขึ้น โดยที่กลุ่มลูกค้า เป้าหมาย พอใจที่จะจ่ายค่าเช่าห้องที่แพงขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs รายนี้ บอกได้ว่าคงไม่จำเป็นต้องใช้ลิฟท์ในการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ เพราะกลุ่มลูกค้าเป็นพนักงานโรงงานเป็นหลัก การใช้ลิฟท์ไม่ใช่อรรถประโยชน์สูงสุดที่กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้พอใจเป็นอันดับแรก
กรณีการใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างที่ใช้เสาและคานบนพื้นที่ก่อสร้างที่ถูกจำกัดความสูงไม่เกิน 16 เมตร อาจจะก่อสร้างได้ 4 ชั้น และไม่ต้องมีลิฟท์
แต่ถ้าใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างแบบระบบพื้นแรงดึง (Post Tension) จะทำให้ก่อสร้างได้ 5 ชั้น บนความสูงไม่เกิน 16 เมตร
4.4 ระยะห่างระหว่างเสาอาคารไม่ควรเกิน 5-6 เมตร
เนื่องจากจะทำให้สิ้นเปลืองโครงสร้าง เช่น ถ้าใช้เทคโนโลยีแบบระบบพื้นแรงดึง (Post Tension) ทำให้ต้องใช้เหล็กเส้นใหญ่ขึ้น พื้นต้องหนาขึ้น ถ้าใช้ระบบคานต้องใช้คานที่ใหญ่และหนาขึ้น ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้น
4.5 วิธีการจัดการงานก่อสร้างของผู้รับเหมาก่อสร้าง
ผู้ประกอบการ SMEs ควรมีความเข้าใจบ้างในเรื่องวิธีการจัดการงานก่อสร้างของผู้รับเหมา เนื่องจากผู้รับเหมา อาจมีการรับเหมา งานก่อสร้าง หลายแห่งพร้อม ๆ กัน ซึ่งงานก่อสร้างในแต่ละแห่งผู้รับเหมาควรมีการปรับแผนการก่อสร้างให้เหมาะสมเป็นระยะ ผู้ประกอบการ SMEs ควรพิจารณาตรวจสอบเพื่อให้ระยะเวลาการก่อสร้างเป็นไปตามแผน ซึ่งถ้าต้องมีการกู้เงิน จากสถาบันการเงินเพื่อลงทุน สร้างอพาร์ทเม้นท์ และระยะเวลาการก่อสร้างไม่เป็นไปตามกำหนด ผู้ประกอบการ SMEs รายนั้นอาจได้รับรายได้ล่าช้ากว่ากำหนด แต่มีระยะเวลาต้องชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแล้ว และอาจกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้
4.6 การคำนวณพื้นที่อาคาร
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง ได้กำหนดให้ภายในอาคารต้องมีทางเดินภายในอาคาร กรณีอาคารที่ถูกสร้างมีการสร้างห้อง 2 ฝั่ง ทางเดินภายในอาคารต้องกว้าง 2 เมตร แต่ถ้ากรณีอาคารที่ถูกสร้างมีการสร้างห้องฝั่งเดียว ทางเดินภายในอาคารต้องกว้าง 1.5 เมตร ส่วนพื้นที่ห้องขึ้นอยู่กับความกว้างยาวของแต่ละห้อง
4.7 กรณีการก่อสร้างมีที่จอดรถ
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง ได้กำหนดให้มีพื้นที่จอดรถ 120 ตร.ม.ต่อรถ 1 คัน ดังนั้นถ้ามีพื้นที่ใช้สอยรวม ภายในอาคาร ที่ก่อสร้าง 1,200 ตร.ม. จะต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภายในอาคาร หรือพื้นที่ภายนอกอาคาร 10 คัน
5. ควรพิจารณาเรื่องต้นทุนการก่อสร้าง
โดยปกติแล้ว สถาปนิกและวิศวกรจะบอกข้อมูลเบื้องต้นของค่าก่อสร้าง โดยคิดเป็นตารางเมตร เช่น ถ้าอาคารสูง 5 ชั้น ไม่เกิน 16 เมตร จำนวน 70 ห้อง ไม่ใช้ลิฟท์ ต้นทุนค่าก่อสร้างอาจอยู่ที่ประมาณ 8,500 บาทต่อตร.ม. เป็นต้น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวัสดุตกแต่งพื้นผิวด้วย เช่น พื้น เพดาน ซึ่งใช้วัสดุที่แตกต่างกัน ถ้าพื้นใช้กระเบื้องยางจะมีราคาถูกกว่าพื้นกระเบื้องเซรามิค เป็นต้น
6. ควรพิจารณาเรื่องต้นทุนค่าดำเนินการ
ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีที่ดินอยู่แล้ว ก็สามารถทำการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ได้เลย แต่ส่วนใหญ่ยังต้องเล็งหาที่ดินที่มีทำเลดี และต้องจ่าย ค่าซื้อที่ดิน ค่าโอน ค่าภาษี และดำเนินการก่อสร้าง จึงต้องประเมินค่าก่อสร้างให้ถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีค่าออกแบบ ค่าควบคุมงานก่อสร้าง ของผู้ประกอบการเอง ค่าทำ Survey หากลุ่มลูกค้าที่เหมาะสม ค่าบริหารส่วนกลาง เช่น ค่าจ้างยาม ค่าทำบัญชี ค่าทำป้ายโฆษณา และประชาสัมพันธ์โครงการ (ป้ายติดประกาศอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า) เป็นต้น
7. ควรพิจารณารายรับจากการให้เช่าห้องอพาร์ทเม้นท์
ผู้ประกอบการ SMEs ควรพิจารณาให้ดี เรื่องปริมาณผู้เช่าห้องว่าจะมีสัดส่วนเท่าใด เช่น คาดว่าจะมีผู้เช่าห้องพัก ประมาณ 80% ของจำนวนห้องให้เช่า เป็นต้น ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ในแต่ละเดือนของผู้ประกอบการเอง ในกรณีผู้ประกอบการ SMEs ที่มาขอคำปรึกษา ถ้ามีจำนวนห้องให้เช่าจำนวน 70 ห้อง ราคาห้องเช่า 1,500 บาทต่อเดือน และมีสัดส่วนผู้มาเช่าตั้งแต่ 70% ขึ้นไป จะได้ค่าเช่าต่อเดือน ดังนี้
7.1 กรณีสัดส่วนผู้มาเช่าคิดเป็น 70% ของจำนวนห้องเช่า
รายได้ค่าเช่าห้องต่อเดือน = 70 ห้อง x 1,500 บาท x 70% =73,500 บาท
7.2 กรณีสัดส่วนผู้มาเช่าคิดเป็น 80% ของจำนวนห้องเช่า
รายได้ค่าเช่าห้องต่อเดือน = 70 ห้อง x 1,500 บาท x 80% =84,000 บาท
7.3 กรณีสัดส่วนผู้มาเช่าคิดเป็น 90% ของจำนวนห้องเช่า
รายได้ค่าเช่าห้องต่อเดือน = 70 ห้อง x 1,500 บาท x 90% =94,500 บาท
อพาร์ทเม้นท์บางแห่งมีขนาดห้องที่แตกต่างกัน หรือบางห้องมีแอร์ บางห้องใช้พัดลม ทำให้ราคาค่าเช่าห้องจะแตกต่างกันไป รายได้ค่าเช่าห้องก็จะแตกต่างกันไปด้วย เป็นต้น
8. ควรพิจารณาเรื่องผลตอบแทนที่จะได้รับ และระยะเวลาคืนทุน
จากประเด็นที่ควรพิจารณา 7 ข้อแรก ผู้ประกอบการ SMEs จะทราบว่าที่ดินที่เล็งไว้ว่าจะซื้อ และก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ มีความเหมาะสม ที่จะสร้าง และมีผู้มาใช้บริการมากน้อยแค่ไหน ลูกค้าเป็นกลุ่มไหน จะได้จำนวนห้องเช่ากี่ห้อง ราคาห้องเช่าควรจะเป็นเท่าใด และจะมีรายได้ ค่าห้องเช่าต่อเดือนเท่าใด เงินลงทุนในโครงการสร้างอพาร์ทเม้นท์ทั้งสิ้นเป็นเงินเท่าใด
นอกจากนี้ผู้ประกอบการ SMEs ควรทราบถึงผลตอบแทนจากการลงทุนสร้างอพาร์ทเม้นท์และระยะเวลาคืนทุนกี่ปี ซึ่งต้องใช้หลักเกณฑ์ทางการเงินมาคำนวณ และคิดถึงเรื่องมูลค่าของเงินด้วย โดยพิจารณาจากรายได้ และเงินลงทุนในโครงการในแต่ละปี เช่น ผลตอบแทนที่ได้รับเป็น 19% คืนทุนภายใน 5 ปี ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับควรนำไปเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก เช่น กรณีที่ผู้ประกอบการ SMEs ใช้เงินทุนส่วนตัวเพื่อซื้อที่ดินได้แล้ว แต่ใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ ดังนั้นผู้ประกอบการ SMEs ต้องใช้คืนเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินเป็นงวด ๆ ไป ผลตอบแทนที่ได้รับควรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น
การวางแผนประกันภัย Insurance Plan
· Tab 1
การวางแผนประกันภัย Insurance
ในการวางแผนการเงิน นอกจากจะวางแผนการออม วางแผนการลงทุน วางแผนการเกษียณ วางแผนมรดกแล้ว อีกแผนหนึ่งที่จำเป็น จะต้องวางก็คือ การวางแผนประกันภัย ซึ่งจะหมายถึงทั้งการประกันภัยบุคคล และการประกันภัยทรัพย์สิน
การทำประกัน เป็นการวางแผนป้องกันไม่ให้ท่านหรือครอบครัวของท่านเดือดร้อน ในยามที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น การเสียชีวิตของบุคคลผู้เป็นกำลังสำคัญในการหารายได้ให้ครอบครัว หรือการสูญเสียสินทรัพย์ที่สำคัญ ซึ่งในหลายๆ กรณีสินทรัพย์ที่สำคัญก็คือบุคคล
การทำประกันภัยเป็นการจัดการความเสี่ยงรูปแบบหนึ่ง โดยการโอนความเสี่ยงไปให้ผู้อื่นรับแทน ถือเป็นการเตรียมการไว้ช่วยบรรเทา ความเสียหาย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ขึ้น เช่น หากเกิดไฟไหม้ ก็จะได้เงินค่าสินไหม หรือเงินชดเชย ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน หากต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ดี การทำประกันภัยไม่ได้ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหา คือความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขึ้นก็ยังเท่าเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ต้องแบกรับภาระไว้แต่ลำพัง
แนวคิดของการประกันภัยคือการเฉลี่ยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลใด บุคคลหนึ่งไปยังกลุ่มบุคคลที่เผชิญกับ ความเสี่ยงประเภทเดียวกัน และมีโอกาส คล้ายๆ กันที่จะรับความสูญเสียหรือความเสียหายจากความเสี่ยงนั้นๆ
การประกันแยกเป็นสามประเภทหลักๆ คือ การประกันภัยบุคคล ได้แก่การประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ การประกันทรัพย์สิน ได้แก่ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยรถยนต์ ประกันทางทะเลและขนส่ง และการประกันภัยเบ็ดเตล็ด และ การประกันภัยความรับผิดตามกฎหมาย เช่น การประกันความรับผิดชอบของบุคคลต่อบุคคลอื่น การประกันภัยของผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะต่อบุคคลอื่น และ การประกันภัยความรับผิดชอบของธุรกิจต่อบุคคลอื่น
ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือการประกันชีวิต เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เมื่อไม่สามารถใช้ชีวิตได้เยี่ยงคนปกติ อาจจะเนื่องมาจาก การชราภาพ ทุพพลภาพ หรือจากการเสียชีวิต บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือ ผู้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิต
กรมธรรม์ประกันชีวิต ไม่ว่าจะเรียกชื่อเฉพาะว่าอะไร จะมีหลักการคล้ายกันหมดคือ มีอยู่ 3 ประเภท และแบ่งเป็น 4 แบบ
กรมธรรม์ประเภทแรกคือ ประเภทสามัญ ประเภทนี้จะมีจำนวนเงินเอาประกันค่อนข้างสูง โดยทั่วไปกำหนดการจ่ายเบี้ยเป็นรายปี รายหกเดือน หรือรายไตรมาส หากจำนวนเงินเอาประกันสูง ก่อนทำประกันบริษัทประกันชีวิตอาจกำหนดให้ต้องตรวจสุขภาพ จะชำระเบี้ยประกันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเอาประกันและอายุของผู้เอาประกัน
ประเภทที่สองคือประเภทอุตสาหกรรม จำนวนเงินเอาประกันค่อนข้างต่ำ จึงไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่อาศัยข้อมูลจากคำแถลงในใบคำขอเอาประกันภัย กรมธรรม์ประเภทนี้โดยทั่วไปกำหนดชำระเบี้ยประกันรายเดือน
ส่วนประเภทที่ สาม เป็น ประเภทกลุ่ม คือรับประกันหลายคนในกรมธรรม์เดียวกัน การคิดเบี้ยประกันจะพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของบุคคลในกลุ่ม การประกันประเภทนี้อัตราเบี้ยประกันจะถูกกว่าการประกันภัยประเภทอื่นๆ
นอกจากแบ่งตามประเภทแล้ว ยังแบ่งลักษณะได้เป็น 4 แบบ คือ
1. แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance) ซึ่งจะระบุเวลาคุ้มครองการเสี่ยงภัยที่เกิดจากการเสียชีวิต เมื่อครบสัญญาไม่มีข้อผูกมัดใดๆ และไม่มีมูลค่าใดๆ คืนเงินให้ด้วย
2. แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินตามที่ระบุให้กับผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกัน ภัยเสียชีวิต ไม่คำนึงว่าจะเสียชีวิตเมื่อใด แต่ถ้าผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 99 ปี บริษัทจะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกันแทน ดิฉันมองว่าเสมือนให้รางวัลที่ท่านอยู่มาจนใกล้จะครบร้อยปี
3. แบบที่สามเป็นแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) ซึ่งถือเสมือนเป็นการออมรูปแบบหนึ่ง คือถ้าเสียชีวิตในระหว่างช่วงเวลาที่คุ้มครอง บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ แต่ถ้าผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่เมื่อครบสัญญาที่กำหนด เช่น 10 ปี 20 ปี บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกัน ณ วันครบสัญญา เบี้ยประกันที่จ่ายไปในแต่ละปีก็นำไปใช้คุ้มครองการเสี่ยงภัยส่วนหนึ่ง และออมไว้ใช้ในยามเกษียณอีกส่วนหนึ่ง
4. แบบเงินได้ประจำ (Annuities Insurance) คล้ายๆกับแบบที่สาม แต่เมื่อครบสัญญา บริษัทประกันภัยจะจ่ายเงิน จำนวนหนึ่ง ให้เป็นประจำ ซึ่งโดยทั่วไปจะจ่ายให้เป็นประจำทุกปี จนครบเงื่อนไขตามสัญญา เสมือนหนึ่งบริษัทจ่ายเงินบำนาญ ให้ผู้เอาประกันหลังเกษียณอายุงาน แทนที่จะจ่ายเป็นเงินก้อนหนึ่งเหมือนบำเหน็จอย่างในแบบสะสมทรัพย์
สมาคมประกันชีวิตไทยแนะนำว่า หากต้องการความคุ้มครองระยะสั้น เช่น 5 ปี 10 ปี และต้องการจ่ายเบี้ยต่ำ โดยไม่มีเงินคืนในตอนท้าย ก็ควรเลือกประกันชีวิตแบบชั่วเวลา หากต้องการความคุ้มครองระยะสั้นและออมเงินไปด้วย ก็เลือกแบบสะสมทรัพย์ แต่หากต้องการ ความคุ้มครองแบบถาวร ก็เลือกแบบตลอดชีพ
ประกันภัยรถยนต์ Car Insurance
· Tab 1
การประกันภัย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งในหารบริหารการเงินในปัจจุบัน การประกันภัยไม่ได้หมายความว่าเป็นการประกันมิให้ภัยเกิดขึ้น แต่หมายถึงการที่ผู้รับประกัน รับโอนภาระความเสี่ยงภัยจากผู้เอาประกัน โดยสัญญาว่าเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ชีวิตและทรัพย์สินตามที่ตกลงกันไว้ ผู้รับประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ตามจำนวนที่รับประกัน โดยผู้รับประกันจะได้รับเงินตอบแทนจำนวนหนึ่งเรียกว่า เบี้ยประกัน
ประกันภัยรถยนต์
ไม่มีใครสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ทุกครั้งที่คุณขับรถ คุณสามารถอุ่นใจได้เพราะรู้ว่าตลอดเส้นทางของการใช้รถ ทั้งชีวิต และทรัพย์สินอันมีค่าของท่านจะได้รับความคุ้มครองจากการทำประกันภัยรถยนต์
การประกันภัยรถยนต์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 คุ้มครอง
ความบาดเจ็บต่อร่างกายหรือเสียชีวิตของผู้ประสบภัยจากรถทุกคน
2. การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ คุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์ที่เอาประกัน อันเกิดจากการ
ชน ถูกโจรกรรม ไฟไหม้ และความรับผิดชอบต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินบุคคลภายนอก เป็นต้น แบ่ง ออกเป็น
การประกันภัยรถยนต์ประเภท 1
· ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
· ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
· ความรับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
· ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
การประกันภัยรถยนต์ประเภท 2
· ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
· ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
· ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
การประกันภัยรถยนต์ประเภท 3
· ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
ประกันภัยรถยนต์ Car Insurance
· Tab 2
หมายเหตุ : * ต้องเกิดจากกรณีอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น
ประกันอัคคีภัย
· Tab 1
ประกันอัคคีภัย
อัคคีภัยนับว่าเป็นภัยที่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายได้อย่างมากมาย ภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะในแหล่งชุมชนที่มีสิ่งปลูกสร้าง อย่างหนาแน่น ผู้ประสบภัยจากไฟไหม้อาจจะสูญเสียทรัพย์สินจนหมดตัว จนมีคำกล่าวว่า "โจรปล้นสิบครั้ง ยังไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว" ทุกคนก็คงจะตระหนักถึงภัยดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงมักจะมีการเตรียมการป้องกันอัคคีภัยในรูปแบบต่างๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่วายที่จะเกิดอัคคีภัยขึ้น แม้แต่อาคารที่ทันสมัย เช่น โรงแรม อาคาร สำนักงานต่างๆ ซึ่งมีอุปกรณ์ป้องกันไฟอย่างดีแล้วก็ตาม จริงอยู่ว่าการเตรียมการป้องกันไว้ก่อนย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันที่แน่นอนว่าจะไม่เกิดอัคคีภัยขึ้น
การให้ความคุ้มครองทรัพย์สินต่างๆของผู้เอาประกันภัยไม่ว่าจะเป็น สังหาริมทรัพย์ หรือ อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง ที่อาจเกิดความสูญเสียหรือเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้เป็นหลัก เช่น ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งสต็อกสินค้า และเครื่องจักร โดยมีขอบเขตความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยมาตรฐานมีดังนี้ คือ
1. เพลิงไหม้ ไม่ว่าจะเกิดจากการระเบิดหรือไม่ก็ตาม
2. ฟ้าผ่า จะต้องเป็นการเสียหายที่เกิดขึ้นจากฟ้าผ่าโดยตรงเท่านั้นและไม่จำเป็นต้องมีไฟไหม้
3. การระเบิดของแก๊สที่ใช้สำหรับทำแสงสว่าง หรือประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น เช่น แก๊สหุงต้ม ( ไม่ใช่เพื่อการค้าหรืออุตสาหกรรม )
4. ความเสียหายที่เกิดจากน้ำหรือวัตถุเคมีที่ใช้ในการดับเพลิง
5. ความเสียหายอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เช่น การพังบ้านหรือการกระทำใดๆเพื่อการดับเพลิงและป้องกันไม่ให้ไฟขยายตัวและลุกลาม
6. ความเสียหายจากควัน เขม่า อันเนื่องมาจากการเกิดอัคคีภัย
ประกันภัยเครื่องบิน Aviation Insurance
· Tab 1
ประกันภัยเครื่องบิน
การประกันภัยเครื่องบิน (Aviation Insurance) เป็นการประกัน ตัวทรัพย์คล้ายกับการประกันภัยทางทะเล คือเป็นการประกันภัยตัวเครื่องบิน เครื่องร่อนเฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งสินค้าที่บรรจุอยู่ในเครื่องบินนั้นด้วย ซึ่งอาจแยกเป็นกรมธรรม์ประกันภัยสินค้าต่างหาก ไม่รวมกับตัวเครื่องบินก็ได้ เพราะการประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางเครื่องบิน มักกระทำกันเป็นรายเที่ยว จนกระทั่งสินค้าถึงปลายทาง ในลักษณะการคุ้มครองภัยทุกชนิด ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเครื่องบิน หรือจากสินค้าที่บรรทุกมาในเครื่องบินนั้น เป็นการประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดของเจ้าของเครื่องบิน หรือเจ้าของสินค้าแล้วแต่กรณี ไม่ใช่เป็นการประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์ หากแต่เป็นการประกันภัยความรับผิด (Liability Insurance)
การประกันภัยเครื่องบินจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งผู้ประกอบการต้องจัดทำประกันภัย เพื่อคุ้มครอง ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ดำเนินธุรกิจการขนส่งทางอากาศ จึงจำเป็นต้องจัดซื้อ ประกันภัย เครื่องบินอย่างครบถ้วน ตามระเบียบข้อบังคับของกรมการบินพาณิชย์ และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) มิฉะนั้นแล้ว จะไม่ได้รับอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจการบิน และอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต
การประกันภัยเครื่องบิน สามารถแบ่งเป็นประเภทของความคุ้มครองหลักได้สองประเภท ดังนี้ คือ
1. การประกันภัยตัวเครื่องบินสำหรับความเสี่ยงภัยทุกประเภท ยกเว้นภัยสงคราม รวมทั้งภัยที่เกี่ยวเนื่อง และการรับผิดชดใช้ตามกฎหมาย อันเนื่องมาจากการรับขนส่งทางอากาศต่อการบาดเจ็บ การเสียชีวิต และ ความเสียหายของทรัพย์สินของผู้โดยสาร สัมภาระ สินค้า ไปรษณียภัณฑ์ รวมทั้งบุคคลที่สาม (Aviation Hull All Risks and Legal Liabilities Insurance) นอกจากนี้ยังมีความคุ้มครองชดใช้ต่อบุคคลที่สาม ที่ได้รับความเสียหายจากภัยสงคราม และภัยที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งรวมถึงการก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม การจี้เครื่องบิน การยึดเครื่องบินด้วยเช่นกัน (เงื่อนไข AVN52-War Liability to Third Party)
2. การประกันภัยตัวเครื่องบินประเภทภัยสงครามและภัยที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงการก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม การจี้เครื่องบิน การยึดเครื่องบิน การจลาจล สงครามกลางเมือง และภัยที่เกิดจากการก่อความไม่สงบโดยหวังผลทางการเมือง (Aviation Hall War Risks and Allied Perils Insurance)
· Tab 2
อากาศยานส่วนบุคคล
1. หลักการและเหตุผล
รัฐบาลเห็นสมควรให้เอกชนไม่ว่าจะเป็นบุกคลธรรมดาหรือนิติบุคคลสามารถใช้อากาศยานส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริม การพัฒนาขนส่งทางอากาศ และให้มีบุคลากรเกี่ยวกับการขอส่งทางอากาศมากขึ้น เป็นกำลังสำรองของประเทศ ที่อาจเรียกมาใช้ได้ เมื่อมีความจำเป็น แต่การให้เอกชน สามารถใช้อากาศยานส่วนบุคคลได้นั้น อาจมีผลกระทบไปถึง ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ จำเป็นจะต้องมีการควบคุมอย่างเคร่งครัด โดยบังคับให้เอกชนที่ประสงค์จะใช้อากาศยานส่วนบุคคล จะต้องขอรับใบอนุญาต ใช้อากาศยานส่วนบุคคล จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งรัฐมนตรีมีดุลพินิจโดยเด็ดขาดที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาต
2. คำนิยาม
“อากาศยานส่วนบุคคล” หมายความว่า อากาศยานซึ่งใช้หรือมุ่งหมายสำหรับใช้เพื่อ ประโยชน์ในกิจการอันมิใช่เพื่อบำเหน็จ เป็นทางค้า (มาตรา 4พ.ร.บ การเดินอากาศ พ.ศ 2497) ห้ามมิให้ผู้ใดใช้อากาศยานส่วนบุคคลในการเดินอากาศ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตใช้ อากาศยานส่วนบุคคล จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม(มาตรา 29ทวิ พ.ร.บ. การเดินอากาศ พ.ศ2497)
3. ประเภทอากาศยานที่อนุญาตให้ใช้เป็นอากาศยานส่วนบุคคล
3.1อากาศยานปีกแข็ง (Fixed Wing) ทางราชการมีนโยบายอนุญาตให้แก่หน่วยงานของรัฐ ( ได้แก่ กระทรวง ทบวงกรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมาย จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ) และเอกชน ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
3.2เฮลิคอปเตอร์ ( Helicopter ) ทางราชการมีนโยบายอนุญาตให้แก่ หน่วยงาน ของรัฐ (ได้แก่ กระทรวง ทบวงกรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือ นิติบุคคลที่มีกฎหมายจัด ตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ) และเอกชนเฉพาะที่เป็นนิติบุคคลเท่านั้น
4. คุณสมบัติและลักษณะของผู้ขออนุญาต
4.1 เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่ง
(1) มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์
(2) ไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
(3) ไม่เคยต้อโทษโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดตามกฎหมายว่า ด้วยยาเสพติดหรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
4.2 เป็นกระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่มี กฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
4.3 เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด
5. วิธีการและหลักเกณฑ์การขออนุญาต ผู้มีความประสงค์ที่จะใช้อากาศยานส่วนบุคคล ให้ขอรับแบบฟอร์มคำขอรับใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล พร้อมแบบฟอร์มรายละเอียดประวัติ ได้ที่ ฝ่ายเดินอากาศไทย กองควบคุม
กิจการเดินอากาศ กรมการบินพาณิชย์ เลขที่ 71 ซอยงามดูพลี ถนนพระรามสี่ แขวนทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทรศัพท์ 2868157 โทรสาร 2873139
หลักฐานหรือเอกสารที่ต้องยื่นแสดง
บุคคลธรรมดา
(1) คำขอใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล พร้อมสำเนา 2 ฉบับ
(2) รายละเอียดประวัติบุคคล พร้อมสำเนา 3 ฉบับ(สำหรับผู้มีสัญชาติไทย) และสำเนา 4 ฉบับ (สำหรับผู้มีสัญชาติอื่นๆ)
(3) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
(4) สำเนาทะเบียนบ้าน
(5) สำเนาหลักฐานการได้มาซึ่งสัญชาติไทย (ถ้ามี)
(6) สำเนาหลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล (ถ้ามี)
(7) หลักฐานอื่นๆ ที่กรมการบินพาณิชย์ให้แจ้งหรือให้ส่งเพิ่มเติม (ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องลงลายมือชื่อรับรองเป็นสำเนาเอกสารถูกต้องทุกฉบับด้วย)
5.2 นิติบุคคล
(1) คำขอใบอนุญาตใช้อากาศส่วนบุคคล พร้อมสำเนา 2ฉบับ
(2) รายละเอียดประวัติบุคคล พร้อมสำเนา 3ฉบับ(สำหรับผู้มีสัญชาติไทยและ สำเนา 4 ฉบับ (สำหรับผุ้มีสัญชาติอื่นๆ)
(3) เอกสารแสดงการจัดตั้ง การจดทะเบียน ขอบวัตถุประสงค์ ผู้แทนนิติบุคคล ผู้จัดการ และผู้ถือหุ้นของนิติบุคคล
(4) เอกสารแสดงคุณสมบัติ ของผู้แทนของนิติบุคคล และผู้จัดการของนิติบุคคล นั้น ตามข้อ 5.1 (2) (3) (4) (5) และ (6)
(5) หลักฐานอื่นๆ ที่กรมการบินพาณิชย์ให้แจ้งหรือให้ส่งเพิ่มเติม (ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องลงลายชื่อรับรอง เป้นสำเนาเอกสารถูกต้องทุกฉบับด้วย)
6. การพิจารณาและการอนุญาต
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต คุณสมบัติและลักษณะของผู้ขอ อนุญาต อายุใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล การพักใช้ และการเพิกถอนใบอนุญาตใช้อากาศยาน ส่วนบุคคล แบบใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล และเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตใช้อากาศยานบุคคล
เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ 32 (พ.ศ.2535) ให้ไว้ ณ วันที่ 12 มีนาคม 2535 โดยกระทรวงคมนาคมมีนโยบายเกี่ยวกับ ขนาด น้ำหนัก และจำนวนที่นั่งของอากาศยาน และจำนวน อากาศยาน ว่าจะพิจารณาอนุญาตให้ตามความจำเป็นของการใช้งาน เหมาะสมกับภารกิจการบิน และไม่มีผลกระทบต่อบริการของเที่ยวบินประจำ
7. การขออนุญาตนำอากาศยานเข้าราชอานาจักร เมื่อทางราชการ (รัฐมนตรีการกระทรวงคมนาคม) อนุญาตให้ใช้เป็นอากาศยานส่วนบุคคล แต่อากาศยานตามที่ได้รับอนุญาตดังกล่าว เป็นอากาศยานที่มีเครื่องหมายสัญชาติและ ทะเบียนต่างประเทศและยังอยู่ต่างประเทศ การนำอากาศยานทำการบินเข้ามาในราชอานาจักรนั้น จะต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรี โดยยื่นคำขอตามแบบฟอร์มคำขอ ATD 2ต่อกรมการบิน พาณิชย์ (กองควบคุมกิจการเดินอากาศ ) ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3วัน (แต่หากเป็นอากาศยานที่มีน้ำหนัก สูงสุดเมื่อบินขึ้นไม่เกิน 5,700 กิโลกรัม และเฮลิคอปเตอร์ ต้องยื่นคำขอล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน)
วิธีการยื่นคำขอ สามารถจะมายื่นด้วยตนเอง หรือแจ้งทางโทรสาร 287-3139 หรือ Commercial Telex 72099 DEPAVIA หรือ AFTN –Aeronautical Fixed Telecommunication Network ที่อยู่ VTBAYAYD สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 286-8157
นอกจากนี้ การนำอากาศยานเข้ามาในราชอานาจักรดังกล่าว จะต้องทำการบิน ส่งมายังสนามบินศุลกากรเท่านั้น ได้แก่สนามบินดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นต้น และจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมือง และพิธีการศุลกากร (เช่น รายการอากาศ ยาน เข้า-ออกภายใน 24ชั่วโมง นับจากอากาศยานมาถึงสนามบิน จัดให้อากาศยานอยู่ในอารักขา ของศุลกากรทันทีที่มาถึงสนามบิน การเคลื่อนย้ายอากาศยานจะต้องแจ้งให้ศุลกากรทราบ และจะต้องชำระภาษีศุลกากรให้ถูกต้อง- เมื่อศุลกากรได้ตรวจปล่อยแล้ว ก็จะออกใบรับรองการนำเข้า(แบบที่ 32 ) เพื่อนำไปเป็นหลักฐานว่าได้ชำระอากรและผ่านการตรวจปล่อยจากศุลกากรโดยถูกต้อง )
8.การดำเนินการเพื่อรับใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล เมื่อนำอากาศยานเข้ามาในราชอาณาจักรเรียบร้อยแล้ว ผู้รับอนุญาตให้ใช้อากาศ
ยานส่วนบุคคล เมื่อได้ดำเนินการ ดังนี้
8.1อากาศยานได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
8.2พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบอากาศยานแล้ว เห็นว่า สมควรให้ใช้เป็น
อากาศยานส่วนบุคคลได้
8.3จัดให้มีการประกันภัยอากาศยาน สำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิต
ร่างกายตลอดจนทรัพย์สินของบุคคลที่สาม ตามเงื่อนไขและวงเงินประกันภัยที่ได้รับอนุมัติจากกรมการ
บินพาณิชย์ (ยกเว้นอากาศยานของส่วนราชการ ) และ
8.4 ชำระเงินค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล ( ยกเว้นอากาศยานส่วนราชการ )
การยื่นคำขอจดทะเบียนอากาศยาน การเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน และการนำ พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอากาศยาน ให้ติดต่อได้ที่กองความปลอดภัยในการเดินอากาศ กรมการบินพาณิชย์ ทั้งนี้ จะต้องนำหลักฐานเกี่ยวกับคู่มือการซ่อมบำรุง (General Maintenance Manual ) และคู่มือปฏิบัติการบิน (Flight Operation Manual ) มาแสดงด้วย อากาศยานดังกล่าว หากยังไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุกรณีฉุกเฉิน (Emergency Locator Transmitter-ELT ) ต้องติดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันแต่หากติดตั้งอุปกรณ์ ELT ไว้แล้วต้องซ่อมบำรุงให้ใช้งานได้ ภายใน 90 วัน
การประกันภัยอากาศยาน ให้ยื่นหลักฐานต่อกองควบคุมกิจการเดินอากาศ กรมการบินพาณิชย์ แสดงการจัดทำประกันภัยอากาศยานสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย ตลอดจนทรัพย์สินของบุคคลที่สาม ตามเงื่อนไขและวงเงินประกันภัยที่ได้รับอนุมัติจากกรมการบินพาณิชย์ซึ้งกำหนดวงเงินประกันดังนี้
สำหรับเครื่องบินปีกแข็ง (Fixed Wing )
-น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม วงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 5ล้านบาทต่อครั้ง
-น้ำหนักเกินกว่า500 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 2,700กิโลกรัมวงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อครั้ง
-น้ำหนักเกินกว่า2,700กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 5,700กิโลกรัมวงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 20ล้านบาทต่อครั้ง
-น้ำหนักเกินกว่า5,700กิโลกรัม วงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 50ล้านบาทต่อครั้ง สำหรับเฮลิคอปเตอร์ (Helicpter )
-น้ำหนักไม่เกิน 2,700กิโลกรัม วงเงินประกันไม่ต่ำกว่า20ล้านบาทต่อครั้ง
-น้ำหนักเกินกว่า2,700กิโลกรัม วงเงินประกันไม่ต่ำกว่า50ล้านบาทต่อครั้ง
การชำระเงินค่าธรรมเนียม ในการออกใบอนุญาตให้ใช้อากาศยานส่วนบุคคล ฉบับละ 5,000-บาท (ห้าพันบาทถ้วน )ต่อใบอนุญาต 1 ฉบับต่ออากาศยาน 1 ลำ โดยยื่นต่อกองควบคุม กิจการเดินอากาศ เพื่อยื่นต่อกองคลัง กรมการพาณิชย์ (ควรมายื่นก่อนเวลา 15.00 น )
เมื่อผู้รับอนุญาตได้ดำเนินการตาม 8.1 –8.4 เรียบร้อยแล้ว ทางราชการจะออกใบอนุญาตให้ใช้อากาศยานส่วนบุคคลให้ตามระเบียบต่อไป และส่งสำเนาใบอนุญาตให้ใช้อากาศยาน ส่วนบุคคลให้กระทรวงคมนาคมเพื่อทราบ
ใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคลให้มีอายุห้าปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต
ใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกให้ สำหรับอากาศยานส่วนบุคคลลำใด ให้ใช้ได้เฉพาะอากาศยานส่วนบุคคลลำนั้น
ผู้รับใบอนุญาต ต้องปฏิบัติเงื่อนไขที่กำหนดไว้แนบท้ายใบอนุญาต และห้ามมิให้ผู้ใด นำอากาศยานส่วนบุคคลทำการบิน เว้นแต่จะมีใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคลติดไปกับอากาศยานด้วย
การนำเข้าเครื่องวิทยุสื่อสารประจำอากาศยาน เนื่องจากอากาศยานที่นำเข้ามา ในราชอาราจักร ย่อมมีเครื่องวิทยุสื่อสารประจำอากาศยานด้วย ผู้นำเข้าอากาศยานต้องยื่นคำขออนุญาต เป็นหนังสือต่อกรมไปรษณีย์โทรเลข ถึงผู้อำนวยการกองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม ขออนุญาตนำเข้าเครื่อง วิทยุคมนาคมที่ติดตั้งมากับอากาศยาน โดยระบุแบบ วัน เวลานำเข้า และเอกสารประกอบด้วย ดังนี้
( 1. )ใบสำเนาทะเบียนบ้าน
( 2 )ใบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
( 3 )หลักฐานการจดทะเบียนอากาศยานกับกรมการบินพาณิชย์
( 4 )ถ้ามอบให้ผู้อื่นมายื่นแทน ขอให้แนบใบมอบอำนาจมาด้วย รายละเอียด ติดต่อได้ที่ ฝ่ายกจิการทางน้ำและอากาศยาน กองใบอนุญาตวิทยุคมนาคม กรมไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ 271-0151-60 ต่อ 710
9.การขอต่อใบอนุญาต
เมื่อผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะใช้อากาศยานส่วนบุคคลต่อไปอีก ให้ยื่นคำขอรับใบ
อนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล พร้อม รายละเอียดประวัติบุคคล ต่อการบินพาณิชย์ก่อนวันที่
ใบอนุญาตสิ้นสุดอายุไม่น้อยกว่าหกสิบวัน แบบฟอร์มคำขอ และแบบฟอร์มรายละเอียดประวัติบุคคล
ขอรับได้ที่ ฝ่ายเดินอากาศไทย กองควบคุมกจิการเดินอากาศ กรมการบินพาณิชย์
เลขที่ 71 ซอยงามดูพลี ถนนพระรามสี่ แขวนทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทรศัพท์ 286-8157 โทรสาร 287-3139
10.หลักเกณฑ์ในการบินเดินทางภายในประเทศ
อากาศยานส่วนบุคคลของไทย ที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เป็นอากาศยานส่วนบุคคลได้แล้วทั้งของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนทั่วไป สามารถทำการบินเดินทางภายในประเทศได้ดังนี้
10.1การบินเดินทางมายัง – ไปจากสนามบินที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการบิน
พาณิชย์ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย กองทัพเรือ (เฉพาะสนามบินนานาชาติระยอง-อู่ตะเภา )
ให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ปฏิบัติการบินทำการบินได้โดยแจ้งแผนการบิน ( Flight plan ) ต่อหอบังคับการบิน
ณ สนามบินต้นทางล่วงหน้า อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนทำการบิน
10.2การทำการบินขึ้น-ลง สนามบินอื่นๆ นอกเหนือจาก ข้อ10.1 ที่ขึ้น-ลงชั่วคราวอื่นๆ
และสนามบินทหาร ให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ปฏิบัติการบินขออนุญาตทำการบิน (Flight permit)จากหน่วย
งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุม ดูแล สนามบินหรือที่ขึ้น-ลงชั่วคราวของอากาศยาน ซึ่งได้รับใบอนุญาต
ให้จัดตั้งเป็นที่ขึ้น-ลงสำหรับอากาศยานและใบอนุญาตยังมีผลใช้ได้อยู่ และจะต้องได้รับอนุญาตจาก
หน่วยงานนั้นๆก่อนแจ้งแผนการบิน (Flight Plan) ต่อหอบังคับการบิน ณ สนามบินต้นทางล่วงหน้า
อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนทำการบิน
11.หลักเกณฑ์ในการบินเดินทางไปต่างประเทศ
อากาศยานส่วนบุคคลของไทย ที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เป็นอากาศยานส่วนบุคคลได้แล้วทั้งของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนทั่วไปสมารถทำการบินเดินทางไปต่างประเทศได้ดังนี้
11.1ยื่นคำทำการบินออกนอกราชอาณาจักร มายังกรมการบินพาณิชย์ โดยระบุ
-ชื่อ ที่อยู่ ของผู้ได้รับอนุญาต และเลขที่ใบอนุญาต
-รายละเอียดอากาศยาน จำนวน แบบ เครื่องหมายสัญชาติและทะเบียน
-สมรรถนะของอากาศยาน (Flight Rule and Status)
-กำหนดการบิน (วัน เวลา เส้นทางบิน สนามบิน สนามบินสำรอง )
-ชื่อผู้ประจำหน้าที่ในอากาศยาน และชื่อผู้โดยสาร
-วัตถุประสงค์ในการบิน
-รายละเอียดการบินอื่นๆ เช่น ความเร็ว ระดับความสูงในการบิน เป็นต้น
โดยยื่นคำขอล่วงหน้ายังกรมการบินพาณิชย์ อย่างน้อย 3 วัน(หากบินแบบ VFRหรือ เป็นเฮลิคอปเตอร์
ให้ยื่นคำขอล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน ) และได้รับอนุญาต ( Flight Permit ) จากกรมการบินพาณิชย์ก่อน
11.2การบินผ่าน และการบินแวะลง ประเทศอื่น ๆ ในการบินเดินทางออกไปต่าง
ประเทศหากการบินนั้นจะต้องบินผ่านเหนือ หรือบินแวะลงในอาณาเขตของประเทศใด ผู้รับใบอนุญาต
จะต้องขออนุญาตประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับอนุญาตให้บินผ่าน และอนุญาตให้บินแวะลง
ในประเทศเหล่านั้นก่อนจะทำการบินออกจากประเทศไทย ระเบียบการขอบินผ่าน และระเบียบการขอ
บินแวะลง ในอาณาเขตของประเทศต่าง ๆ สมารถศึกษาได้จากเอกสาร AIP(Aeronautical
lnformation Publication ) ของประเทศที่เกี่ยวข้อง file:hp-อากาศยานส่านบุคคลไทย
7.การขออนุญาตนำอากาศยานเข้าราชอาณาจักร
เมื่อทางราชการ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) อนุญาตให้ใช้เป็นอากาศยานส่วน
บุคคลได้แล้ว แต่อากาศยานตามที่ได้รับอนุญาตดังกล่าว เป็นอากาศยานที่มีเครื่องหมายสัญชาติ
และทะเบียนต่างประเทศและยังอยู่ต่างประเทศ การนำอากาศยานทำการบินเข้ามาในราชอานา
จักรนั้นจะต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรี โดยยื่นคำขอตามแบบฟอร์ม คำขอ ATD 2ต่อกรม
การบินพาณิชย์ (กองควบคุมกิจการเดินอากาศ) ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3วัน (แต่หากเป็นอากาศยานที่มี
น้ำหนักสูงสุดเมื่อบินขึ้นไม่เกิน 5.700 กิโลกรัม และเฮลิคอปเตอร์ ต้องยื่นคำขอล่วงหน้าไม่น้อยกว่า15วัน)
วิธีการยื่นคำขอ สามารถจะมายื่นด้วยตนเอง หรือแจ้งโทรสาร 287-3139 หรือ
Commerial Telex 72099 DEPAVIA TH หรือ AFTN-Aeronautical Fixed Telecommunication Network ที่อยู่ VTBYAYD สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรสาร 286-8157
นอกจากนี้ การนำอากาศยานเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว จะต้องทำการบินนำส่งมา
ยังสนามบินศุลกากรเท่านั้น ได้แก่ สนามบินดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นต้น และจะต้อง
ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมือง และพิธีการศุลกากร (เช่น รายงานอากาศยานเข้า-ออก
ภายใน 24ชั่วโมง นับจากอากาศยานมาถึงสนามบินืจัดให้อากาศยานอยู่ในอารักขาของศุลกากรทันที
ที่มาถึงสนามบิน การเคลื่อนย้ายอากาศยานจะต้องแจ้งให้ศุลกากรทราบ และต้องชำระภาษีศุลกากร
ให้ถูกต้อง เมื่อศุลกากรได้ตรวจปล่อยแล้วก็จะออกใบรับรองการนำเข้า(แบบที่32) เพื่อนำไปเป็นหลักฐาน
ว่าได้ชำระอากรและผ่านการตรวจปล่อยจากศุลกากรโดยถูกต้อง)
8.การดำเดินการเพื่อรับใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล
เมื่อนำอากาศยานเข้ามาในราชอาณาจักรเรียบร้อยแล้ว ผู้รับอนุญาตให้ใช้อากาศยาน
ส่วนบุคคล เมื่อได้ดำเนินการ ดังนี้
8.1 อากาศยานได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
8.2 พนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับตรวจสอบอากาศยานแล้ว เห็นว่า สมควรให้ใช้เป็นอากาศ
ยานส่วนบุคลได้
ข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน
ฉบับที่ ๔๓ เรื่อง อากาศยานเบาพิเศษ
เนื่องจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนมีความประสงค์จะใช้อากาศยานเบาพิเศษทำการบินภายในประเทศเพื่อภารกิจของทางราชการและ ประโยชน์ด้านการกีฬา สมควรกำหนดมาตราการควบคุมด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติการบินอากาศยานเบาพิเศษ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้อากาศยานและสาธารณชน
อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา ๑๕ มาตรา ๒๑ มาตรา ๓๓ มาตรา ๔๔(๓) มาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ คณะกรรมการการบินพลเรือน โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกข้อบังคับเกี่ยวกับอากาศยานเบาพิเศษไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในข้อบังคับนี้
“อากาศยานเบาพิเศษ” หมายความว่า อากาศยานหนักกว่าอากาศซึ่งได้รับแรงยกในการบินส่วนใหญ่จากแรงพลวัตของอากาศและมีน้ำหนักสูงสุดเมื่อบินขึ้นตามที่ระบุไว้ในคู่มือการบินไม่เกิน ๕00 กิโลกรัม
“ข้อบังคับ” หมายความว่า ข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน
ข้อ ๒ อากาศยานเบาพิเศษแบ่งเป็น ๓ ประเภท ดังนี้
(๑) ประเภทไม่มีกำลังขับเคลื่อน ต้องมีน้ำหนักตัวเปล่าไม่เกิน ๗๕ กิโลกรัม
(๒) ประเภทมีกำลังขับเคลื่อน ๑ ที่นั่ง ต้องมีน้ำหนักตัวเปล่า โดยไม่รวมทุ่นหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีไว้ใช้ในสภาวะอันตรายไม่เกิน ๑๖๐ กิโลกรัม ความเร็วสูงสุดไม่เกิน ๕๕ น๊อต ความเร็วร่วงหล่นไม่เกิน ๒๔ น๊อต และมีถังเชื้อเพลิงที่มีความจุไม่เกิน ๒๐ ลิตร
(๓) ประเภทมีกำลังขับเคลื่อน ๒ ที่นั่ง ต้องมีน้ำหนักตัวเปล่า โดยไม่รวมทุ่นหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีไว้ใช้ในสภาวะอันตรายไม่เกิน ๒๕๐ กิโลกรัม ความเร็วสูงสุดไม่เกิน ๙๐ น๊อต ความเร็วร่วงหล่นไม่เกิน ๔๕ น๊อต และมีถังเชื้อเพลิงที่มีความจุไม่เกิน ๕๐ ลิตร
ข้อ ๓ อากาศยานเบาพิเศษ ให้ใช้ทำการบินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ในกิจการของส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ หรือเพื่อการกีฬา การพักผ่อนหย่อนใจและการฝึกบินเท่านั้น
ในกรณีที่สมาคมหรือมูลนิธิใดประสงค์จะใช้ทำการบินเพื่อวัตถุประสงค์ในกิจการของสมาคมหรือมูลนิธิจะต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก กรมการบินพาณิชย์ก่อน
ผู้ที่จะทำการบินกับอากาศยานเบาพิเศษที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจนอกจากจะต้องได้รับใบอนุญาตนักบินแล้วจะต้องเป็นสมาชิกหรือ เจ้าหน้าที่ของสมาคมมูลนิธิ หรือชมรมที่กรมการบินพาณิชย์เห็นชอบในระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการบินแล้ว
อากาศยานเบาพิเศษให้ใช้ทำการบินได้ภายในห้วงเวลา พื้นที่ ความสูงตามเงื่อนไขและกฎการบินที่กรมการบินพาณิชย์กำหนด
ข้อ ๔ เครื่องหมายสัญชาติและเครื่องหมายการจดทะเบียนสำหรับอากาศยานเบาพิเศษให้เป็นไปตามข้อบังคับ ฉบับที่ ๖ ลงวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๐ เว้นแต่เครื่องหมายสัญชาติที่เขียนไว้บนอากาศยานเบาพิเศษให้ใช้ตัวอักษรโรมัน ตัว 1 นำหน้าเครื่องหมายการจดทะเบียนและเครื่องหมายการจดทะเบียนให้ประกอบด้วยตัวอักษรโรมันหนึ่งตัวและหมู่เลขอารบิคสองตัวตาม ที่กรมการบินพาณิชย์กำหนด
ข้อ ๕ ภายใต้บังคับเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตแก่ผู้ประจำหน้าที่ผู้ขออนุญาตเป็นนักบินส่วนบุคคลประเภทอากาศยานเบาพิเศษจะต้องมีอายุ สุขภาพร่างกาย ความรู้และความชำนาญ ดังต่อไปนี้
(๑) อายุไม่ต่ำกว่า ๑๗ ปีบริบูรณ์
(๒) สุขภาพร่างกาย มีความสามารถในการมองเห็น การได้ยิน และโครงสร้างร่างกายสมบูรณ์เพียงพอที่จะทำการบินกับอากาศยานเบาพิเศษ
(๓) ความรู้เกี่ยวกับอากาศยานเบาพิเศษ ในเรื่องดังต่อไปนี้
ก. ทฤษฎีการบินพื้นฐาน เครื่องวัดประกอบการบิน กฎการบินและอุตุนิยมวิทยา
ข. โครงสร้าง เครื่องยนต์ ระบบควบคุม สมรรถนะและข้อจำกัดต่างๆ ของอากาศยานเบาพิเศษ
ค. การถอดประกอบ และการซ่อมบำรุงรักษาขั้นพื้นฐานต่างๆ ตามที่กำหนดในคู่มือของอากาศยานเบาพิเศษ
ง. กฎและระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้ถือใบอนุญาตนักบินเครื่องบินส่วนบุคคลประเภทอากาศยานเบาพิเศษ
จ. การปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยและวิธีปฏิบัติในกรณีฉุกเฉินซึ่งรวมทั้งการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลอื่น
(๔) ความชำนาญ
ก. ประเภทไม่มีกำลังขับเคลื่อน ได้รับการฝึกบินภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่กรมการบินพาณิชย์หรือครูการบินที่มีคุณสมบัติตามข้อ ๖ และสามารถทำการบินได้ หรือแสดงให้เห็นว่าสามารถทำการบินได้
ข. ประกาศกระทรวงคมนาคมประเภทมีกำลังขับเคลื่อนได้รับการฝึกบินภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่กรมการบินพาณิชย์หรือครูการบิน ที่มีคุณสมบัติตามข้อ ๖ และมีชั่วโมงบินไม่น้อยกว่า ๑๕ ชั่วโมง โดยมีชั่วโมงบินเดี่ยวไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง และจะต้องทำการบินขึ้นลงไม่น้อยกว่า ๔๕ เที่ยว
ข้อ ๖ ผู้ถือใบอนุญาตนักบินหรือผู้ถือใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคลประเภทอากาศยานเบาพิเศษที่จะทำหน้าที่เป็นครูการบินอากาศยานเบาพิเศษ จะต้องสามารถสอนความรู้เกี่ยวกับอากาศยานเบาพิเศษตามข้อ ๕(๓) และมีประสบการณ์ในการบินกับอากาศยานเบาพิเศษประเภทนั้นๆ มาแล้วไม่น้อยกว่า ๒๐ ชั่วโมง
ข้อ ๗ สิทธิและหน้าที่ของผู้ถือใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคล ประเภทอากาศยานเบาพิเศษ ให้เป็นไปตามข้อบังคับเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตแก่ผู้ประจำหน้าที่และมีสิทธิทำการบิน ถอดประกอบ ซ่อมบำรุงรักษา รับรองการตรวจ การบำรุงรักษา และการบริการตามปกติของอากาศยานเบาพิเศษ แต่จะใช้สิทธินี้ไม่ได้ ถ้าหากผู้ถือใบอนุญาตมิได้ศึกษาให้ทันสมัยซึ่งข่าวสาร คำแนะนำและคู่มือทั้งปวงเกี่ยวกับการบำรุงรักษา และความสมควรเดินอากาศของอากาศยานเบาพิเศษ
ข้อ ๘ ผู้ถือใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคลประเภทอากาศยานเบาพิเศษ ต้องปฏิบัติตามวินัย ดังต่อไปนี้
(๑) จะต้องบันทึกรายการในสมุดปูมเดินทางตามแบบที่กรมการบินพาณิชย์เห็นชอบทุกครั้งที่ทำการบิน และจะต้องเก็บรักษาไว้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้
(๒) จะต้องทำการบินภายในห้วงเวลา บริเวณพื้นที่ ความสูง และเงื่อนไขที่กรมการบินพาณิชย์กำหนดไว้โดยเคร่งครัด หากไม่แน่ใจในแนวเขตให้สอบถามให้ชัดเจน และให้ถือแนวในสุดที่แน่ใจสำหรับการทำการบิน
(๓) จะต้องไม่ทำการบินในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย ทรัพย์สิน และรบกวนความสงบสุขของบุคคลอื่น
(๔) จะต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ภายในระยะเวลา ๘ ชั่วโมงก่อนทำการบิน
ข้อ ๙ ผู้ถือใบอนุญาตนายช่างภาคพื้นดินประเภทสอง มีสิทธิตามข้อบังคับเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตเป็นนายช่างภาคพื้นดินและสิทธิของผู้ถือใบอนุญาตนายช่างภาคพื้นดินและมีสิทธิถอด ประกอบ ซ่อมบำรุงรักษา รับรองการตรวจการบำรุงรักษา การบริการตามปกติ และการดัดแปลงเล็กน้อยที่ไม่กระทบกับสมรรถนะการบินของอากาศยานเบาพิเศษ หรือตามที่ได้รับอนุญาตไว้แล้วแต่จะใช้สิทธินี้ไม่ได้ ถ้าผู้ถือใบอนุญาตมิได้ศึกษาให้ทันสมัยซึ่งข่าวสารคำแนะนำและคู่มือทั้งปวงเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและความสมควรเดินอากาศยานเบาพิเศษ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๙
วันมูหะมัด นอร์ มะทา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ประธานคณะกรรมการการบินพลเรือน
หลักเกณฑ์ วิธีการ การขออนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล
(อากาศยานเบาพิเศษ : Very Light Aircraft)
คำนำ
เนื่องจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2534 รัฐบาลอนุญาตให้เอกชนไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลสามารถใช้อากาศยานส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งทางอากาศและให้มีบุคลากรเกี่ยวกับการขนส่งทางอากาศและให้มีบุคลากรเกี่ยวกับ การขนส่งทางอากาศมากขึ้น เป็นกำลังสำรองของประเทศที่อาจเรียกมาใช้ได้เมื่อมีความจำเป็น แต่การให้เอกชนสามารถใช้อากาศยานส่วนบุคคลได้นั้น อาจมีผลกระทบไปถึงความมั่นคงและปลอดภัยของประเทศ จึงจำเป็นจะต้องมีการควบคุมอย่างเคร่งครัด โดยบังคับให้ผู้ใดที่ประสงค์จะใช้อากาศยานส่วนบุคคลจะต้องขอรับใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งรัฐมนตรีมีดุลยพินิจโดยเด็ดขาดที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาต
ต่อมามีหน่วยงานของรัฐและเอกชนทั่วไป มีความประสงค์จะใช้อากาศยานขนาดเบาพิเศษทำการบินภายในประเทศ เพื่อภารกิจของทางราชการและประโยชน์ด้านการกีฬา จึงสมควรกำหนดมาตรการควบคุมด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติการบินของอากาศยานเบาพิเศษ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้อากาศยานและสาธารณ
1. คำนิยาม
“ อากาศยานเบาพิเศษ” หมายความว่า อากาศยานหนักกว่าอากาศ ซึ่งได้รับแรงยกในการบินส่วนใหญ่จากแรงพลวัตของอากาศและมีน้ำหนักสูงสุดเมื่อบินขึ้นตามที่ระบุไว้ในคู่มือการบิน ไม่เกิน 500 กิโลกรัม
อากาศยานเบาพิเศษ แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
(1) ประเภทไม่มีกำลังขับเคลื่อน ต้องมีน้ำหนักตัวเปล่าไม่เกิน 75 กิโลกรัม
(2) ประเภทมีกำลังขับเคลื่อน 1 ที่นั่ง ต้องมีน้ำหนักตัวเปล่าโดยไม่รวมทุ่นหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีไว้ใช้ในสภาวะอันตรายไม่เกิน 160 กิโลกรัม มีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 55 น๊อต ความเร็วร่วงหล่นไม่เกิน 24 น๊อต และถังเชื้อเพลิงมีความจุไม่เกิน 20 ลิตร
(3) ประเภทมีกำลังขับเคลื่อน 2 ที่นั่ง ต้องมีน้ำหนักตัวเปล่าโดยไม่รวมทุ่นหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีไว้ใช้ในสภาวะอันตรายไม่เกิน 250 กิโลกรัม มีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 90 น๊อต และถังเชื้อเพลิงมีความจุไม่เกิน 50 ลิตร
2. ความมุ่งหมาย วัตถุประสงค์
อากาศยานเบาพิเศษให้ใช้ทำการบินได้ เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ในกิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเพื่อการกีฬา การผักผ่อนหย่อนใจ และการฝึกบินเท่านั้น
ในกรณีที่สมาคมหรือมูลนิธิใดประสงค์จะใช้ทำการบินเพื่อวัตถุประสงค์ในกิจการของสมาคม หรือมูลธินิจะต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากกรมการขนส่งทางอากาศ (กรมการบินพาณิชย์) ก่อน
3. การขออนุญาต
ผู้มีความประสงค์จะใช้อากาศยานเบาพิเศษในการเดินอากาศให้ขอรับแบบพิมพ์คำขออนุญาตพร้อมแบบพิมพ์การสอบประวัติบุคคลได้ที่ กรมการขนส่งทางอากาศ (สำนักกำกับกิจการขนส่งทางอากาศ) ซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120 โทรศัทพ์ 0-2286-8157 โทรสาร 0-2287-3139
4. หลักเกณฑ์ และวิธีการขออนุญาต
หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาต คุณสมบัติ และลักษณะของผู้ขอใบอนุญาต อายุใบอนุญาต การพักใช้ การเพิกถอนใบอนุญาต แบบใบอนุญาตและเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 32 (พ.ศ.2535) ลงวันที่ 12 มีนาคม 2535 ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ.2497 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 9 ) พ.ศ.2534
5. คุณสมบัติของผู้ขออนุญาต
(ก) บุคคลธรรมดา ซึ่ง
(1) มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์
(2) ไม่เป็นผู้มีพฤติการณ์อันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
(3) ไม่เคยต้องโทษโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(4) จะต้องได้รับใบอนุญาตนักบินและเป็นสมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม มูลนิธิ หรือชมรมที่กรมการขนส่งทางอากาศ (กรมการบินพาณิชย์) เห็นชอบในระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการบินแล้ว
(ข) เป็นสมาคม หรือมูลนิธิ ซึ่งผู้แทนสมาคม หรือมูลนิธิ มีคุณสมบัติตามข้อ (ก) และกรมการขนส่งทางอากาศเห็นชอบในระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการบินแล้ว
(ค) กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การของรัฐบาลที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
6. เอกสารที่ต้องยื่นประกอบการพิจารณา
นอกจากที่ยื่นแบบพิมพ์คำขออนุญาตพร้อมแบบพิมพ์รายละเอียดประวัติบุคคลที่กรมการขนส่งทางอากาศ กำหนดแล้ว ผู้ขออนุญาตจะต้องยื่นเอกสารหรือหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) บุคคลธรรมดา
(1) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน/ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
(2) สำเนาทะเบียนบ้าน
(3) สำเนาใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคลประเภทอากาศยานเบาพิเศษ
(4) สำเนาหลักฐานที่แสดวงว่าเป็นสมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม มูลนิธิ หรือชมรมที่กรมการขนส่งทางอากาศเห็นชอบในระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการบินแล้ว
(5) สำเนาหลักฐานการได้มาซึ่งสัญชาติไทย หรือหลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล (ถ้ามี)
(6) หลักฐานอื่นๆ ที่กรมการขนส่งทางอากาศให้แสดงหรือจัดส่งเพิ่มเติม
(ข) มูลนิธิ สมาคม หรือชมรม
(1) หลักฐานแสดงคุณสมบัติของผู้แทนสมาคม มูลนิธิ ตามข้อ (ก) (1)-(2)
(2) หลักฐานแสดงการจัดตั้ง การจดทะเบียนของสมาคม มูลนิธิ
(3) ระเบียบ ข้อบังคับของสมาคม หรือมูลนิธิ
(4) ข้อบังคับว่าด้วยการบินของสมาคม หรือมูลนิธิ
(5) หลักฐานอื่นๆ ที่กรมการขนส่งทางอากาศขอให้แจ้งหรือส่งเพิ่มเติม (ถ้ามี)
7. หลักเกณฑ์การพิจารณาและอนุญาต
โดยที่การอนุญาตให้มีและใช้อากาศยานส่วนบุคคล (อากาศยานเบาพิเศษ) เป็นดุลพินิจโดยเด็ดขาดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และการพิจารณาเป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ.2497 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2534 ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 32 (พ.ศ. 2535) และข้อบังคับคณะกรรมการการบินพลเรือน ฉบับที่ 43 เรื่อง อากาศยานเบาพิเศษ
8. การออกใบอนุญาตให้ใช้อากาศยานส่วนบุคคล (อากาศยานเบาพิเศษ)
เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอนุญาตให้ใช้อากาศยานส่วนบุคคล (อากาศยานเบาพิเศษ) แล้วผู้รับอนุญาตจะได้รับใบอนุญาตให้ใช้อากาศยานส่วนบุคคล เมื่อได้ดำเนินการดังนี้
(1) อากาศยานได้รับการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ (certificate of registration .0. very light aircraft)
(2) อากาศยานได้รับใบสำคัญสมควรเดินอากาศแบบพิเศษ (special airworthiness certificate)
(3) จัดให้มีการประกันภัยจากอากาศยานเบาพิเศษ โดยผู้ขอจะต้องทำเป็นหนังสือยื่นรายละเอียดและเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ ชีวิต ร่างกาย ตลอดจนทรัพย์สินของบุคคลที่สามเพื่อขอความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางอากาศ และห้ามมิให้นำอากาศยานเบาพิเศษทำการบินในระหว่างเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นอายุและกำหนดวงเงินประกันไว้ ดังนี้
(ก) อากาศยานซึ่งมีน้ำหนักตัวเปล่าไม่เกิน 75 กิโลกรัม โดยไม่รวมทุ่นหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีไว้ใช้ในสภาวะอันตราย กำหนดวงเงินประกันภัยไม่ต่ำกว่า 500,000 บาทต่อครั้ง
(ข) อากาศยานซึ่งมีน้ำหนักตัวเปล่าเกินกว่า 75 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 250 กิโลกรัม โดยไม่รวมทุ่นหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีไว้ใช้ในสภาวะอันตราย กำหนดวงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อครั้ง
(ค) อากาศยานซึ่งมีน้ำหนักตัวเปล่าเกินกว่า 250 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 500 กิโลกรัม โดยไม่รวมทุ่นหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีไว้ใช้ในสภาวะอันตราย กำหนดวงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อครั้ง
(4) การชำระเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้อากาศยานเบาพิเศษ ฉบับละ 5,000 บาท และใบอนุญาต 1 ฉบับต่ออากาศยานเบาพิเศษ 1 ลำ และมีกำหนด 5 ปี
ความใน (3) และ (4) มิใช้บังคับแก่อากาศยาน(เบาพิเศษ)ของส่วนราชการ
เมื่อผู้รับอนุญาตได้ดำเนินการตามนัย (1) (2) (3) และ (4) เรียบร้อยแล้ว กรมการขนส่งทางอากาศจะดำเนินการออกใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล (อากาศยานเบาพิเศษ)ต่อไป
9. การปฏิบัติการบิน
โดยที่อากาศยานส่วนบุคคลประเภทเบาพิเศษ ( Very Light Aircraft ) มีคุณสมบัติ
ต่างไปจากอากาศยานส่วนบุคคลทั่วไป และจำกัดความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการใช้อากาศยานเบาพิเศษให้เป็นไปเพื่อภารกิจของราชการ และประโยชน์ด้านการกีฬา การพักผ่อน
หย่อนใจและการฝึกบินเท่านั้น ดังนั้น จึงกำหนดมาตรการควบคุมด้านความปลอดภัยและการ
ปฏิบัติการบินของอากาศยานเบาพิเศษไว้ เพื่อให้การปฏิบัติการบินเป็นไปโดยความปลอดภัย
ได้แก่
(1) บริเวณ พื้นที่ที่จะใช้อากาศยานเบาพิเศษจะต้องได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งที่ขึ้นลง
ชั่วคราวของอากาศยานและปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งใบอนุญาตจัดตั้งฯ
(2) การทำการบินจะต้องอยู่ในห้วงเวลา บริเวณ ระยะความสูง ทิศทาง วงจรการบิน
(3) การออกประกาศนักบิน ( NOTAM ) หรือมาตรการควบคุมด้านความปลอดภัยอื่น
ที่กรมการขนส่งทางอากาศกำหนด เป็นต้น
ข้อควรระวัง
ตามความในพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ.2497
มาตรา 4 อากาศยานส่วนบุคคล หมายความว่า อากาศยานซึ่งใช้หรือมุ่งหมายสำหรับใช้เพื่อ
ประโยชน์ในกิจการอันมิใช่เพื่อบำเหน็จเป็นทางค้า
มาตรา 16 ห้ามมิให้ผู้ใดนำอากาศยานทำการบิน เว้นแต่มีสิ่งเหล่านี้อยู่กับอากาศยานนั้น คือ
(1) ใบสำคัญการจดทะเบียน
(2) เครื่องหมายสัญชาติและทะเบียน
(3) ใบสำคัญสมควรเดินอากาศ
(4) สมุดปูมเดินทาง
(5) ใบอนุญาตผู้ประจำหน้าที่แต่ละคน
(6) ใบอนุญาตเครื่องวิทยุสื่อสาร ถ้ามีเครื่องวิทยุสื่อสาร
ความในมาตรนี้ไม่ใช้บังคับแก่
(1) อากาศยานที่ทำการบินทดลองภายใต้เงื่อนไขซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
(2) อากาศยานทหารต่างประเทศ
มาตรา 29 ทวิ วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ใดใช้อากาศยานส่วนบุคคลในการเดินอากาศ เว้นแต่จะได้รับใบ
อนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคลจากรัฐมนตรี
มาตรา 29 ทวิ วรรคสอง ผู้รับใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้แนบท้าย
ใบอนุญาต
มาตรา 29 เบญจ ห้ามมิให้ผู้ใดนำอากาศยานส่วนบุคคลทำการบิน เว้นแต่จะได้ปฏิบัติตามมาตรา16 และมีใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคลติดไปกับอากาศยาน ด้วย
มาตรา 68 ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา16 มาตรา29 เบญจ หรือมาตรา 62 ต้องระวางโทษปรับไม่
เกินสี่พันบาท หรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ
มาตรา 68 ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา26 ทวิ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสน
บาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ
มาตรา 68 ตรี ผู้รับใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคลผู้ใดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
ไว้แนบท้ายใบอนุญาตใช้อากาศยานส่วนบุคคล ตามมาตรา 29 ทวิ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทและในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่องกันให้ปรับอีกวันละหนึ่งพันบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
กฎกระทรวงฉบับที่ 32 ( พ.ศ. 2535 )
ข้อ 5 เมื่อผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะใช้อากาศยานส่วนบุคคลต่อไป ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนวันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุไม่น้อยกว่าหกสิบวัน
ข้อ 9 (12) ผู้รับใบอนุญาตต้องไม่จำนำ ให้เช่า ให้ยืมอากาศยานตามใบอนุญาตนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรี
สำนักกำกับกิจการขนส่งทางอากาศ ( ส่วนการเดินอากาศภายในประเทศ )
โทร. 0-2286-8157
โทรสาร. 0-2287-3139
นาย มณี ขึ้นเอื้อย นักวิชาการขนส่ง 6 ว.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 081-6895711 สมพจน์ Fax 02-7048660 E-mail sompoj@srp-consult.com
ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง Marine Insurance
· Tab 1
การประกันภัยทางทะเล (Marine Insurance)
การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง หมายถึง การที่ผู้รับประกันภัย รับภาระการเสี่ยงภัยต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายจาก ภยันตรายนานาประการ อันอาจเกิดแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ในระหว่างการขนส่งทางทะเล ซึ่งปกติแล้วความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหาย หรือสูญเสียของทรัพย์สินที่อยู่ในระหว่างการขนส่งนั้น เป็นความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัย
ความหมาย
ข้อตกลงที่ฝ่ายผู้รับประกันภัยให้คำมั่นสัญญาจะให้ความคุ้มครองนี้ จะกระทำเป็นหนังสือในเอกสารที่เรียกว่า กรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งตามกฎหมายประกันภัยทางทะเลของอังกฤษได้ให้คำนิยามไว้ว่า “ สัญญาประกันภัยทางทะเล “ หมายความว่า สัญญาที่ฝ่ายผู้รับประกันภัยตกลงจะชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยตามเงื่อนไขและจำนวนเงินที่กำหนดตกลงไว้ เมื่อเกิดวินาศภัยทางทะเลกล่าวคือ ความวินาศภัยอันเกิดจาก อุบัติการณ์ของภัยทางทะเล
การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง แบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1. Marine Cargo Insurance คือ การประกันเพื่อคุ้มครองสินค้าหรือทรัพย์สินที่ขนส่ง ระหว่างประเทศจากผู้ขาย ในประเทศหนึ่งไปยังผู้ซื้อในอีกประเทศหนึ่งโดยทางเรือเดินสมุทร เครื่องบินพาณิชย์ หรือทางพัสดุไปรษณีย์ จากอุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น เรือถูกไฟไหม้ เรือคว่ำ เรือจม ความเสียหายจากการขนถ่ายสินค้าขึ้น หรือขนลงจากเรือ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวสินค้า ในบางครั้งอาจมีการขยายความคุ้มครองในขณะทำสัญญา ให้ความคุ้มครองถึงความเสียหาย ขณะลำเลียงสินค้าทางรถยนต์ หรือรถไฟ เป็นต้น รับประกันภัยสินค้าหรือทรัพย์สิน ในระหว่างการขนส่งจากผู้ขายในประเทศหนึ่งไปยังผู้ซื้อในอีกประเทศ หนึ่ง โดยทางเรือเดินสมุทร เครื่องบินพาณิชย์ หรือทางพัสดุไปรษณีย์
2. Inland Transit Insurance คือ การประกันภัยการขนส่งภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศยาน รับประกันภัยสินค้าหรือทรัพย์สิน ในระหว่างการขนส่งจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง โดยยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งคือ รถบรรทุก 6 ล้อ, รถบรรทุก 10 ล้อ, รถเทรลเลอร์ เรือฉลอม เรือโป๊ะ และ เครื่องบินพาณิชย์
3. Marine Hull Insurance คือ การประกันภัยตัวเรือประกันภัยคุ้มครองความสูญเสีย หรือเสียหายของโครงสร้างตัวเรือ รวมถึงเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ประเภทไม่มีเครื่องจักร ส่วนที่เป็นโครงสร้างของเรือ รวมถึงอุปกรณ์บนเรือ และสัมภาระต่าง ๆ
2. ประเภทที่มีเครื่องจักรหรือกำลังขับเคลื่อนเอง คือ ส่วนที่ให้พลังงานการเดินเรือ ทำความร้อน ทำความเย็น
3. Tab 2
หลักการสำคัญของการประกันภัยทางทะเล
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะหลักการที่ใช้ในการประกันภัยทางทะเล ซึ่งต่างจากหลักการของการประกันภัยประเภทอื่นดังนี้
หลักส่วนได้เสียในการประกันภัย ( Insurable Interest )การประกันภัยประเภทนี้จะต่างจากประเภทอื่นตรงที่ ใน ขณะทำประกันภัย ผู้เอาประกันภัยอาจจะยังไม่มีส่วนได้เสียในวัตถุแห่งการประกันภัยนั้นก็ได้ เช่น
ผู้ซื้อสินค้า ในราคา F.O.B. ทันทีที่เปิด L/C เมื่อซื้อสินค้าไปแล้วนั้นก็รีบทำประกันภัยไว้ เพื่อที่ว่าเมื่อผู้ขายนำของลงเรือเดินสมุทรเรียบร้อยแล้ว ผู้ซื้อสินค้าจะได้รับความคุ้มครอง เพราะกรมธรรม์จะให้ความคุ้มครองก็ต่อ เมื่อสินค้าลงเรือเดินสมุทรเรียบร้อยแล้ว สมมติว่าสินค้าเกิดได้รับความเสียหายก่อนถูกขนลงเรือเดินสมุทรดังนั้น ผู้ซื้อสินค้าจะยังไม่มีส่วนได้เสียในสินค้านั้น เพราะส่วนได้เสียของผู้ซื้อจะเริ่มมีเมื่อสินค้าถูกขนลงเรือเดินสมุทรเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
หลักการชดใช้ค่าเสียหาย ( Indemnity ) และการกำหนดมูลค่าการชดใช้จะจ่ายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินประกันภัย ส่วนการกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับการประกันภัย ประเภทนี้ ไม่มีข้อยุ่งยาก เนื่องจากมีเอกสารแสดงราคาการซื้อขายอยู่แล้ว
ภัยที่คุ้มครองและเงื่อนไขความคุ้มครอง
ปัจจุบันข้อกำหนดและเงื่อนไขได้มีการปรับปรุงมาใช้แบบInstitute Cargo Clauses มีเงื่อนไขความคุ้มครองให้เลือกซื้อ 3 เงื่อนไข ดังนี้
1. Institute Cargo Clauses (C)
2. Institute Cargo Clauses (B)
3. Institute Cargo Clauses (A)
ภัยที่คุ้มครองและเงื่อนไขความคุ้มครอง
Marine Cargo Insurance เพื่อความสะดวกในการกล่าวถึงต่อไปนี้ จะใช้ตัวย่อว่า ICC (A), ICC (B), ICC (C) ICC (C) คุ้มครองความเสียหายหรือสูญหาย อันเนื่องมาจาก เพลิงไหม้ ระเบิด เรือเกยตื้น จม หรือ ล่ม ยานพาหนะ
Marine Cargo InsuranceICC (B) นอกจากคุ้มครองภัยทุกอย่างที่ระบุในความคุ้มครองแบบ ICC (C) ยังขยายความคุ้มครองเพิ่มเรื่องแผ่นดินไหวภูเขา ไฟระเบิด ฟ้าผ่า ถูกคลื่นซัดตกทะเล ถูกน้ำทะเล หรือน้ำจากแม่น้ำลำคลองที่ไหลเล็ดลอดเข้ามาในระวางเรือ ตู้ลำเลียงสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าสูญเสียโดยสิ้นเชิงทั้งหีบห่อ เนื่องจากตกน้ำ
Marine Cargo InsuranceICC (A) ระบุให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือสูญหายจากภัยทุกชนิด ยกเว้นภัยที่ระบุไว้ในข้อยกเว้น หมายเหตุ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ จะแสดงตารางเปรียบเทียบความคุ้มครองของ ICC (C), ICC (B) , ICC (A)
ภัยที่คุ้มครองและเงื่อนไขความคุ้มครอง
ข้อยกเว้นทั่วไป
1. ความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการกระทำโดยมิชอบของผู้เอาประกันภัย
2. การรั่วซึมตามปกติ ปริมาณหรือน้ำหนักขาดหาย โดยปกติหรือการสึกหรอ สึกกร่อน ตามปกติของวัตถุแห่งการประกันภัย
3. ความสูญเสีย หรือความเสียหาย หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการบรรจุหีบห่อ หรือ การจัดเตรียมวัตถุแห่งการประกันภัยที่ไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม และรวมถึงการจัดวางในตู้ลำเลียง หรือตู้ยกในกรณีที่การจัดวางนั้น กระทำก่อนที่จะเริ่มความคุ้มครอง หรือกระทำโดยผู้เอาประกันภัยเอง
4. ความสูญเสีย หรือความเสียหาย หรือค่าใช้จ่าย อันมีสาเหตุจากข้อบกพร่องในตัวเอง หรือลักษณะอันเป็นธรรมชาติของวัตถุแห่งการประกันภัยนั้น
5. ความสูญเสียใดๆ อันมีสาเหตุใกล้ชิดมาจากการล่าช้าถึงแม้ว่าการล่าช้านั้นจะเกิดจากภัยที่คุ้มครองก็ตาม
6. ความสูญเสียหรือความเสียหาย อันเกิดจากการใช้อาวุธสงคราม หรือความสูญเสียหรือเสียหาย ที่เกิดจากการแตกตัวของประจุของอะตอม หรือนิวเคลียร์หรือกัมมันตภาพรังสี หมายเหตุ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ จะแสดงตารางเปรียบเทียบข้อยกเว้นความคุ้มครองของICC (C), ICC (B) , ICC (A)
การเริ่มต้นและสิ้นสุดความคุ้มครอง
จุดเริ่มต้นความคุ้มครอง กรมธรรม์ประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเลมีผลคุ้มครองเมื่อสินค้าที่เอาประกันภัย ออกจากคลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้า ณ สถานที่ระบุชื่อในกรมธรรม์เมื่อเริ่มต้นการขนส่ง โดยไม่รวมช่วงการขนของขึ้นรถ เพราะถือว่าสินค้ายังไม่ได้ออกจากโรงเก็บสินค้าต้นทางที่ได้ระบุไว้ ในกรมธรรม์
จุดสิ้นสุดความคุ้มครอง
กรมธรรม์ประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเล จะสิ้นสุดความคุ้มครองทันที ด้วยเหตุการณ์ 4 เหตุการณ์ ดังนี้
1. เมื่อสินค้าถึงผู้รับสินค้าที่ปลายทาง ณ สถานที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ หรือ
2. เมื่อสินค้าถึงสถานที่เก็บสุดท้ายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ซึ่งลูกค้าถือว่าเป็นสถานที่ทำการจำแนกแจกจ่ายสินค้านั้นต่อไป โดยกรมธรรม์ประกันภัยถือว่าเป็นสถานที่เก็บสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในช่วงการขนส่งตามปกติแล้ว
3. กรณีสัญญารับขนสินค้าสิ้นสุดลงก่อนถึงจุดหมายปลายทางซึ่งเกิดจากเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความประมาทเลินเล่อในการ จัดหาเรือเดินสมุทรของผู้เอาประกันภัย เช่น ท่าปลายทางเกิดการจลาจล กรรมการท่าเรือนัดหยุดงานทำให้การขนส่งสินค้าต้องหยุดลง บริษัทเรือบอกเลิกสัญญาการขนส่งสินค้า ทำให้ต้องขนถ่ายสินค้าลงที่เมืองท่าอื่นก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางที่กำหนด
4. เมื่อครบกำหนด 60 วัน นับจากที่ขนส่งสินค้าลงที่ท่าเรือเดินสมุทรแห่งสุดท้าย การให้ความคุ้มครองไปอีก 60 วันจะให้ในกรณีที่เป็นเหตุสุดวิสัย ที่ไม่ใช่เกิดจากผู้เอาประกันภัยหรือเป็นความล่าช้าปกติ เช่น เสียเวลาผ่านพิธีการศุลกากร
เอกสารที่ต้องใช้ในการทำประกันภัยหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
1. ใบกำกับสินค้า (Invoice) คือ เอกสารที่ระบุรายละเอียดของสินค้าที่ขนส่ง ว่ามีอะไรบ้าง ปริมาณ ชนิด ราคาสินค้า ตลอดจน ชื่อเรื่อ หรือเที่ยวบิน วันที่เรือหรือเครื่องบินออก(Departure Date)
2. ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading (B/L) ) คือ หลักฐานการสัญญาการรับสินค้าระหว่าง บริษัทเรือและผู้ส่งสินค้าซึ่งแสดงว่าได้มีการนำสินค้าลงเรือ เพื่อที่จะขนส่งไปยังจุดหมายปลายทาง
3. หนังสือสั่งให้จ่ายเงิน (Letter of credit (L/C)) คือ เอกสารที่ธนาคารออกให้แก่ผู้ขายสินค้า โดยผู้ซื้อสินค้าเป็นผู้ติดต่อกับธนาคารว่า ให้ธนาคารจ่ายเงินค่าสินค้า ให้แก่ผู้ขายตามจำนวนเงินค่าสินค้า
4. หนังสือคุ้มครองชั่วคราว (Cover Note) คือ เอกสารที่บริษัทผู้รับประกันภัยออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย เพื่อเป็นหลักฐาน ว่าได้คุ้มครองสินค้าที่ระบุในหนังสือคุ้มครองชั่วคราวนี้แล้ว แต่ยังไม่สามารถออกกรมธรรม์ได้เนื่องจากยังขาดรายละเอียดบางอย่างเช่น ชื่อเรือ จำนวนหีบห่อ ดังนั้นจะออกกรมธรรม์
ประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเลให้เมื่อบริษัทผู้รับประกันภัยได้รับรายละเอียดครบถ้วน หนังสือคุ้มครองชั่วคราวนี้ (Cover Note) ออกสำหรับยืนยันการคุ้มครองเฉพาะสินค้าเป็นเที่ยวๆ เท่านั้น
5. กรมธรรม์ประกันภัยเปิด (Open Policy) ใช้สำหรับกรณีที่ผู้เอาประกันภัยสั่งสินค้าเดือนละหลายครั้ง ดังนั้นการแจ้งบริษัทผู้รับประกันภัย เพื่อที่จะทำ Cover Note ในแต่ละเที่ยวย่อมเป็นการไม่สะดวก และบางครั้งผู้เอาประกันภัยอาจลืมแจ้งทำประกันภัยได้ดังนั้นผู้เอาประกันภัย อาจร้องขอให้ผู้รับประกันภัยจัดทำ Open Policy ให้เพื่อคุ้มครองสินค้าทุกเที่ยวภายใต้เงื่อนไขและอัตราเบี้ยประกันภัยที่ตายตัว ดังนั้นผู้เอาประกันภัยจะได้รับประโยชน์ทั้งเรื่องความสะดวก และไม่ต้องกังวลเรื่องการลืมแจ้งประกันภัย เพราะผู้เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครองโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว Open Policy นี้ โดยตัวเองไม่ใช่เอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย คือ ไม่สามารถนำมาใช้ฟ้องร้องค่าเสียหายได้ในศาล และไม่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันกับธนาคารเมื่อต้องการรับเงินค่าสินค้าล่วงหน้า ดังนั้นจึงต้องมีการออกกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องตามมาสำหรับการขนส่งสินค้าแต่ละเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง
6. กรมธรรม์ประกันภัย (Marine Insurance Policy) คือ เอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ผู้รับประกันภัย ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัยเป็น หลักฐานในการทำประกันภัย เอกสารการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับ
การประกันภัยสินค้าทางทะเล
เอกสารประกอบ
o ต้นฉบับใบเสร็จรับเงินของผู้ขนส่ง และสัญญาว่าจ้างการขนส่ง
o หนังสือเรียกร้องค่าเสียหาย ซึ่งมีการระบุจำนวนความเสียหาย
3. หนังสือเรียกร้องไปยังบริษัทผู้รับขนส่ง พร้อมหนังสือตอบรับของผู้ขนส่งสำหรับความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น
4. สำเนาทะเบียนรถ สำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ พร้อม รับรองสำเนาถูกต้อง
การประกันภัยตัวเรือ เป็นการคุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายของโครงสร้างตัวเรือ รวมถึงเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรือ
- ตัวเรือ (Hull) คือส่วนที่เป็นโครงสร้างของเรือ ทำด้วยไม้ เหล็ก หรือวัสดุอื่นๆ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ เช่น รอกยกของอุปกรณ์ พัสดุ สัมภาระ เรือบด เรือใหญ่ ปั้นจั่นพวงมาลัยและอื่นๆ
- เครื่องจักร (Machinery) คือ ส่วนที่ให้พลังงานในการเดินเรือ และให้แสงสว่าง ความร้อน ความเย็นเช่น หม้อน้ำ เครื่องจักรใหญ่ เครื่องทำความเย็น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และเครื่องจักรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
กรมธรรม์ประกันตัวเรือแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ชนิดต่อเที่ยว ( Voyage Policy ) คุ้มครองเฉพาะเที่ยว เมื่อสิ้นสุดการเดินทางเที่ยวใดความคุ้มครองก็สิ้นสุดลง
2. ชนิดที่คุ้มครองตามระยะเวลา (Time Policy) คุ้มครองตั้งแต่วันเวลาหนึ่งจนถึงวันเวลาอีกวันหนึ่ง โดยปกติมักเป็นเวลา 1 ปี การสิ้นสุดความคุ้มครองของการประกันภัยตัวเรือ การสิ้นสุดความคุ้มครองการประกันภัยตัวเรือโดยอัตโนมัติ จะเกิดขึ้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
1. การเปลี่ยนแปลงสมาคมมาตรฐานเรือ
2. การเปลี่ยนแปลงธงชาติเรือ
3. การเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของเรือ
4. การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารเรือ
กรมธรรม์ที่จะกล่าวถึงเป็นกรมธรรม์ของสถาบันผู้รับประกันภัย แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถ้าเป็นชนิดกำหนดเวลาใช้ Institute Time Clause (ITC) ซึ่งประกอบไปด้วย
1. Institute Time Clause 289
2. Institute Time Clause 284
3. Institute Time Clause 280
โดยจะเริ่มความคุ้มครองน้อยที่สุดไปก่อน ดังนี้
Institute Time Clause 289 - Hulls Total Loss only (Including Salvage, Salvage Charges and Sue and Labour )
ซึ่งคุ้มครองตัวภัย ( Perils ) ดังนี้
ภัยที่คุ้มครอง
1. คุ้มครองความเสียหายทั้งหมด ( แท้จริงหรือเสมือนความเสียหายทั้งหมด actual or constructive ) ที่เกิดกับวัตถุแห่ง การประกันภัยที่มีสาเหตุโดยตรงจาก
1.1 ภัยทางทะเล แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือน่านน้ำใด ๆ ที่สามารถเดินเรือได้
1.2 ไฟไหม้ และการระเบิด
1.3 การลอบขโมยด้วยความรุนแรงจากบุคคลภายนอก
1.4 การโยนของทิ้งทะเล
1.5 การถูกปล้นสลัดทางทะเล
1.6 การล้มเหลวหรืออุบัติเหตุจากเครื่องปรมาณูหรือเตาปฏิกรณ์ปรมาณู
1.7 การโดนกันกับยานอากาศ หรือวัตถุที่คล้ายกัน หรือวัตถุอื่นที่ตกลงมา พาหนะขนส่งทางบก อู่เรือ หรืออุปกรณ์ หรือเครื่องมือ ที่ติดตั้งอยู่ที่ท่าเรือ
1.8 แผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด หรือฟ้าผ่า
2. คุ้มครองความเสียหายทั้งหมดที่เกิดกับวัตถุแห่งการประกันภัยที่มีสาเหตุโดยตรงมาจาก
2.1 อุบัติเหตุในขณะขนสินค้าลง/ขึ้น หรือเคลื่อนย้ายสินค้าหรือเชื้อเพลิง
2.2 การระเบิดของหม้อน้ำ การแตกของเพลาหรือความบกพร่องที่แฝงอยู่ในเครื่องจักร หรือตัวเรือ
2.3 การประมาทเลินเล่อของนายเรือ เจ้าหน้าที่เรือ ลูกเรือหรือผู้นำร่อง
2.4 การประมาทเลินเล่อของผู้ซ่อมหรือผู้เช่าเหมาลำเรือโดยมีข้อแม้ว่าผู้ซ่อมหรือผู้เช่า เหมาลำเรือไม่ใช่ผู้เอาประกันภัย
2.5 การกระทำผิดอย่างจงใจของนายเรือ เจ้าหน้าที่เรือหรือลูกเรือ
2.6 คุ้มครองภัยจากมลภาวะ ในกรณีที่เกิดความเสียหายทั้งหมด หรือเสมือนความเสียหายทั้งหมดกับตัวเรือที่ มีสาเหตุมาจากการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจของรัฐ เพื่อเป็นการป้องกัน หรือบรรเทาให้น้อยลง
2.7 คุ้มครองค่าจ้างและค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือกอบกู้เรือที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการหลีกเลี่ยงภัยที่เอาประกันภัยไว้
2.8 คุ้มครองค่าใช้จ่าย Sue and Labour ที่เกิดขึ้นโดยผู้เอาประกันภัย ลูกจ้างหรือตัวแทนของผู้เอาประกันภัยเพื่อเจตนา ที่ป้องกันหรือลดความสูญเสีย หรือความเสียหาย ที่เกิดจากภัยที่เอาประกันภัยไว้ให้น้อยที่สุด ภัยที่ยกเว้น กรมธรรม์ไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยสงครามหรือนัดหยุดงาน จลาจล การกระทำโดยมีแรงจูงใจจากการเมืองของบุคคลใด และจากปรมาณู Institute Time Clause 284 - Hulls Total Loss GA And 3/4 Collision Liability (Including Salvage, Salvage Charges And Sue And Labor) ความคุ้มครอง นี้ คุ้มครองมากกว่า Institute Time Clause 289 - Hulls TLO (Including Salvage Charges And Labor ) คือ 3/4 The Collision Liability คือความคุ้มครองค่าชดใช้สินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันเป็นจำนวน 3 ใน 4 ส่วนของจำนวนเงิน ซึ่งผู้เอาประกันภัยได้จ่ายให้บุคคลอื่นในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย เนื่องมาจากเรือที่เอาประกันภัยไปชนกับเรือลำอื่นมีผลทำให้เกิด
1. ความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือหรือทรัพย์สินที่อยู่บนเรือลำอื่น
2. การล่าช้า หรือการสูญเสียการใช้งานของเรือหรือทรัพย์สินที่อยู่บนเรือลำอื่น
3. กรณี GA การช่วยเหลือกอบกู้หรือกอบกู้ภายใต้สัญญาเรือ หรือทรัพย์สินที่อยู่บนเรือลำอื่น
4. ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว ผู้รับประกันจะจ่ายนอกเหนือค่าสินไหมตามเงื่อนไข ข้ออื่น ๆ โดยมีเงื่อนไขว่าเรือที่เอาประกันภัยชนกับเรือลำอื่นแล้วผิดทั้งคู่ แต่ไม่เกิน
3 ใน 4 ส่วนของมูลค่าเอาประกันภัยของตัวเรือ ภัยที่ยกเว้น ข้อยกเว้นสำหรับความคุ้มครองนี้คือ จำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพื่อการเคลื่อนย้าย ขนไปทิ้ง ซึ่งสิ่งกีดขวาง ซากปรักหักพัง สินค้าหรือสิ่งอื่นใด ความเสียหายของทรัพย์สินส่วนตัวยกเว้นที่เป็นของเรือหรือทรัพย์สินบนเรือลำอื่น สินค้าหรือทรัพย์สินบนเรือที่เอาประกันภัย การสูญเสียชีวิต การบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย มลภาวะ และการแปดเปื้อนของทรัพย์สินส่วนตัว หรือสิ่งอื่นใด ยกเว้นแต่เป็นทางเรือลำอื่น Institute Time Clause 280 - Hulls เป็นความคุ้มครองมาตรฐานที่ครอบคลุมกว้างคล้ายกับความคุ้มครอง All Risks คุ้มครอง เพิ่มเติมจากความคุ้มครอง CL284 คือ ความเสียหายบางส่วนเกี่ยวกับตัวเรือไม่ว่าจะเป็นรวมถึงการซ่อมท้องเรือ ทำความสะอาด ทาสีเรือ พ่นทราย ฯลฯ
เอกสารสำคัญประกอบในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับการประกันภัยตัวเรือ
1. กรมธรรม์ประกันภัยตัวเรือ ( Hull Insurance Policy )
2. ทะเบียนเรือ (Ship Certificate)
3. ใบรับรองสถานภาพ ( Class Certificate )
4. รายละเอียดของอุบัติเหตุ ( Details of Accident )
5. สาเหตุและรายละเอียดความเสียหาย ( Cause & Extent of damage ) และหรือรายงานการสำรวจความเสียหาย (Survey Report)
6. รายละเอียดความรับผิดต่อเรือลำอื่นกรณีชนกัน (Collision Liabilities)
การประกันภัยการขนส่งภายในประเทศ ( Inland Transit Insurance )
การประกันภัยการขนส่งสินค้าในประเทศ หมายถึง การที่ผู้รับประกันภัยตกลงจะชดใช้ความเสียหาย หรือการสูญเสีย ของทรัพย์สินที่รับประกันภัยไว้ โดยที่ความเสียหายหรือการสูญเสียนั้นเกิดจากภัยที่ได้รับเสี่ยงภัยในระหว่างการขนส่งทรัพย์สินนั้น
ความสำคัญของการประกันภัยการขนส่งสินค้าภายในประเทศ
1. การประกันภัยการขนส่งสินค้าภายในประเทศ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีการกระจายสินค้า การประกันภัยชนิดนี้ ช่วยให้พ่อค้ามีหลักประกัน มีความมั่นใจในการทำการค้าว่า ทุนของเขาจะไม่สูญหายถ้าหากสินค้าได้รับความสูญเสียหรือเสียหายในระหว่างการขนส่ง ดังนั้นทำให้สินค้าได้กระจายไปถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ
2. ในกรณีถ้าผู้ซื้อสินค้าอาศัยอยู่ในท้องถิ่นชนบท ก็สามารถที่จะสั่งซื้อสินค้าจากแหล่งผลิตได้ จึงทำให้มีการจ้างงานมากขึ้น มีการบริโภคสินค้ามากขึ้น
ภัยที่ต้องเสี่ยงในระหว่างการขนส่ง ภัยธรรมชาติ ฟ้าผ่า ฝนตก หรือภัยจากการกระทำของมนุษย์ เช่น ลักขโมย การแตกหักจากการขนถ่าย ฯลฯ
ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่ง
1. รถยนต์ อาจเป็นรถยนต์บรรทุก 4 ล้อ 6 ล้อ 10 ล้อ หรือรถโดยสาร
2. รถไฟ
3. เรือ เช่น เรือบรรทุกสินค้า เรือฉลอมไม้ เรือโป๊ะเหล็ก
4. เครื่องบิน
5. พัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์
ขอบเขตการขนส่ง
จุดแบ่งของการประกันภัยการขนส่งทางทะเล และการขนส่งภายในประเทศ อยู่ที่ขอบเขตของการขนส่ง การขนส่งทรัพย์สินภายในประเทศจะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการขนส่งอยู่ภายในประเทศไทยซึ่งรวมถึงน่านน้ำไทยด้วย เช่น การขนส่งทรัพย์สินจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดนราธิวาส หรือจากเกาะสีชัง ไปยังเกาะสมุย เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการขนส่งที่ข้ามประเทศแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นการขนส่งระหว่างประเทศ เช่น การขนสินค้าจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ไปยังประเทศมาเลเซีย
ใบคำขอเอาประกันภัย
- หลักสำคัญของใบคำขอเอาประกันภัย คือผู้เอาประกันภัยจะ ต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่เกี่ยวกับ การเสี่ยงภัยทั้งหมด
- ข้อความที่สำคัญในใบคำขอเอาประกันภัยการขนส่งสินค้าภายในประเทศ มีดังนี้
* ชื่อหรือยี่ห้อของผู้เอาประกันภัย
* รายละเอียดของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เช่น จำนวน ชนิด การบรรจุหีบห่อ
* ชนิดของยานพาหนะที่ใช้ขนส่ง พร้อมชื่อ หรือทะเบียนยานพาหนะนั้น
* จำนวนเงินเอาประกันภัย
* ชื่อของเจ้าของยานพาหนะ หรือผู้ขนส่ง
* ระยะเวลาคุ้มครอง
* จุดเริ่มต้นการคุ้มครองอยู่ ณ ที่ใด สิ้นสุดการคุ้มครอง ณ ที่ใด
* ประเภทของภัยที่ต้องการให้คุ้มครอง
* วันที่ขอทำสัญญาประกันภัย
* ช่องลงลายมือชื่อของผู้เอาประกันภัย
กรมธรรม์ ประกันภัยการขนส่งภายในประเทศ เป็นหนังสือหลักฐานของการทำสัญญาประกันภัยการขนส่งภายในประเทศ
ภัยที่คุ้มครอง ภัยเพิ่มเติมพิเศษ และภัยที่ยกเว้น
ภัยที่คุ้มครอง
ภัยที่คุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งภายในประเทศ ได้กำหนดไว้ในหมวด 1 สัญญาความคุ้มครองในหมวดนี้ได้แบ่งประเภทภัยที่ได้รับความคุ้มครองไว้ 6 ประเภทด้วยกัน โดยจะเรียงลำดับความคุ้มครอง ข้อ 1 ซึ่งจะมีความคุ้มครองน้อยสุด จนกระทั่งถึงข้อ 6 จะมีความคุ้มครองมากสุด โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องเลือกความคุ้มครองข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น โดยมีรายละเอียดของภัยที่คุ้มครอง ตามประเภทของความคุ้มครองดังนี้
ข้อ 1) คุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายโดยสิ้นเชิง ของ ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย โดยมีสาเหตุที่เกิดขึ้นโดยตรงจากยานพาหนะ ที่ใช้ในการขนส่ง ได้เกิดความสูญเสียหรือความเสียหาย โดยสิ้นเชิง จาก อัคคีภัย การระเบิด ยานพาหนะ นั้นชนกับยานพาหนะชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือชนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ภายนอกยานพาหนะนั้น (ซึ่งมิใช่ถนน ทางเท้า หลุมบนถนนอากาศ น้ำ) เรือจม เรือเกยตื้น เครื่องบินตก รถหรือรถไฟคว่ำตกสะพาน ตกราง หรือสะพานขาด
ข้อ 2) คุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายโดยสิ้นเชิง ของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย โดยมีสาเหตุที่เกิดขึ้นโดยตรง จากยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งนั้นประสบภัยโดยตรงจาก อัคคีภัย การระเบิด ยานพาหนะ นั้นชนกับยานพาหนะชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือชนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ภายนอกยานพาหนะนั้น (ซึ่งมิใช่ถนน ทางเท้า หลุมบนถนนอากาศ น้ำ) เรือจม เรือเกยตื้น เครื่องบินตก รถหรือรถไฟคว่ำ ตกสะพาน ตกราง หรือสะพานขาด
ข้อ 3) คุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายโดยสิ้นเชิงหรือบางส่วน ของ ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย โดยมี สาเหตุที่เกิดขึ้นโดยตรงจาก ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งนั้นประสบภัยโดยตรงจาก อัคคีภัย การระเบิด ยานพาหนะ นั้นชนกับยานพาหนะชนิดใดชนิดหนึ่ง
หรือชนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งภายนอกยานพาหนะนั้น (ซึ่งมิใช่ถนน ทางเท้า หลุมบนถนน อากาศ น้ำ) เรือจม เรือเกยตื้น เครื่องบินตก รถหรือรถไฟคว่ำ ตกสะพานตกราง หรือสะพานขาด
ข้อ 4) ก. ความคุ้มครองเหมือน ข้อ 3)
ข. คุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายโดยสิ้นเชิงของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย หีบห่อใดหีบห่อหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นโดยตรงในระหว่างการขนขึ้น หรือขนลงจากยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งนั้น
ข้อ 5) ก. ความคุ้มครองเหมือน ข้อ 3) และข้อ 4 ข.
ข. คุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายโดยสิ้นเชิง หรือบางส่วนของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย โดยมีสาเหตุที่เกิดขึ้นโดยตรงจากภัย แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า น้ำทะเล น้ำในแม่น้ำ น้ำฝน น้ำจืด น้ำทะเลสาป
ข้อ 6) คุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายโดยสิ้นเชิง หรือบางส่วนของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย จากการเสี่ยงภัยทุกชนิด ที่เกิดขึ้นจากเหตุภายนอกของทรัพย์สิน
ภัยเพิ่มเติมพิเศษ
* การลักขโมย การโจรกรรม
* การรับมอบทรัพย์สินไม่ครบจำนวนที่ส่งจากต้นทาง
* การแตกหัก การบุบงอ การถลอก
* การเปียกน้ำฝน น้ำจืด น้ำทะเลสาป น้ำทะเล
* การปล้นทรัพย์ การชิงทรัพย์
* การสกปรก เปรอะเปื้อน ถูกเจือปนด้วยสิ่งของอื่นๆที่ส่งมาด้วย
ภัยเพิ่มเติมพิเศษ
* การรั่วไหล หรือการขาดจำนวนไป
* ความเสียหายจากตะขอที่ใช้ในการขนถ่ายสินค้า
* การฉีกขาด
ภัยที่ยกเว้น
ในกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งสินค้าภายในประเทศ ได้กำหนดข้อยกเว้นพื้นฐาน 5 ข้อ ดังนี้
ข้อ 1) จะไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือความสูญเสียใดๆ ที่ต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า ความเสียหายหรือความสูญเสียนั้น จะต่อเนื่องมาจากภัยที่ได้รับความคุ้มครองก็ตาม
ข้อ 2) จะไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือความสูญเสียใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรง หรือต่อเนื่องจากภัยสงคราม (ไม่ว่าจะมีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) สงครามกลางเมือง การกบฏ การปฏิวัติ การก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม ทุ่นระเบิดดอร์ปิโด หรืออาวุธสงครามอื่นๆ การจลาจล การแข็งข้อหรือการต่อสู้ของประชาชน การถูกยึดไปใช้โดยกฎอัยการศึก การนัดหยุดงาน
ข้อ 3) จะไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือความสูญเสียใดๆ อันเกิดขึ้นจากยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งนั้นเสื่อมสภาพหรือไม่เหมาะสม แก่การใช้บรรทุกขนส่ง การบรรทุกเกินขนาดน้ำหนักที่จะบรรทุกได้ การบรรทุกผิดหลักระวาง
ข้อ 4) จะไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือความสูญเสียใดๆ หรือค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุจากการเสื่อมเสีย หรือการขาดหายตามธรรมชาติของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยนั้นเองหรือจากการล่าช้าแม้ว่าการล่าช้านั้น จะเกิดจากภัยที่ได้รับความคุ้มครองไว้ก็ตาม
ข้อ 5) จะไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือความสูญเสียใดๆ หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยตรง หรือต่อเนื่องจากภัยใดๆ นอกเหนือจากที่ได้ระบุไว้ใน “ประเภทภัยที่คุ้มครอง” และภัยเพิ่มเติมดังระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนี้
เอกสารประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน * ต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งภายในประเทศ
* ใบกำกับสินค้า
* ใบแสดงรายละเอียดสินค้า เช่น จำนวนหีบห่อ และปริมาณ ของสินค้า
* ต้นฉบับใบรับขนส่งที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย เป็นใบที่แสดงว่าผู้ขนส่งได้รับขนส่งทรัพย์สินนั้นจริง
เอกสารประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
* รายงานการสำรวจความเสียหายหรือการสูญเสีย
* หนังสือโต้ตอบระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้ขนส่ง หรือผู้ที่ต้องรับผิด
* หนังสือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัย ที่ทำต่อผู้รับประกันภัย