แนวทางในการบริหารเวลา ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
· ยุทธวิธีการแข่งขัน (Competitive Strategy)
· กินกบตัวนั้นซะ --- ทำสิ่งที่สำคัญก่อน วันนี้เลย Eat That Frog
· การจัดความสำคัญก่อนหลัง Priority
· บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางในการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
· Tab 1
นี่สิ .. มืออาชีพ GETTING ORGANIZED AT WORK
แนวทางในการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เวลา เป็นสิ่งที่มีค่า และคุณต้องรู้จักที่จะจัดการบริหาร เวลาของคุณให้ได้ประโยชน์สูงสุด หัวใจสำคัญ คือ การปฏิบัติ โดย เลือกความคิด และกลยุทธ์ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้กับตัวคุณ แล้ว ก็ลงมือทำให้เกิดผล
คุณสามารถเลือกที่จะเป็นผู้บริหารจัดการเวลาในแต่ละวัน หรือ เป็นผู้ที่ถูกควบคุมโดยเวลาได้เช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดระเบียบวินัยให้ตนเอง คุณสามารถควบคุมเวลาในแต่ละวัน
• เปลี่ยนกระบวนการทางความคิด : คุณสามารถควบคุมเวลาได้มากกว่าที่คุณคิด แต่คุณต้องเริ่มลงมือปฏิบัติ และจัดการกับกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน
• อดทนให้มากขึ้น : คุณควรทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป แทนที่จะวิ่งพล่านไปรอบๆ ไม่รู้ว่า จะทำอะไรก่อนหลัง
• ควรมีระเบียบวินัยมากขึ้น : ถ้าคุณไม่มีระเบียบวินัยคุณจะทำงานอย่างไม่เป็นระบบ และใช้เวลา ไปกับการทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ
• ทำแต่ละงานให้เสร็จแทนที่จะทำงานนั้นทีงานนี้ที เมื่อคุณได้รับการร้องขออะไรก็ตาม พยายามจัดสรรเวลาเพื่อดำเนินการตามคำขอนั้นๆ
• ทำงานแต่ละอย่างเหมือนบุคคลที่ประสบความสำเร็จเขาทำกัน
ระวัง หากคุณไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน คุณอาจไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้
ขั้นตอนแรกของการบริหารการทำงานในเวลาคือ รู้ถึงความต้องการหรือเป้าหมายที่ต้องการทำงานนั้นๆ ให้แล้วเสร็จ
การตั้งเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. เข้าใจความสำคัญงานขององค์กรในภาพรวม ควรรู้ว่าเป้าหมายของหน่วยงานคืออะไร
2. รู้ว่าผู้บริหารขององค์กรให้ความสำคัญกับงานใดบ้าง
สิ่งที่ควรดำเนินการเมื่อได้รับมอบหมายโครงการ
• นำประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาปรับใช้กับปัจจุบัน
• วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต
การวางแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพ
• บันทึกแผนงานอย่างละเอียด
• สื่อสาร
• ตั้งรางวัลตอบแทนความสำเร็จในแต่ละขั้นตอนการทำงาน
การผัดวันประกันพรุ่ง ทำให้งานที่ง่ายนั้นยากยิ่งขึ้น และงานที่ยากอยู่แล้วนั้นยิ่งยากขึ้นไปอีก
• แนวทางที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับการผัดวันประกันพรุ่ง คือ การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ และค่อยๆ ทำให้เสร็จไปแต่ละวัน
• ควรทำงานที่ได้รับมอบหมายในช่วงเช้าของวัน คุณจะมีพลังและสมาธิในช่วงเช้ามากกว่าช่วงอื่นๆ ของวัน อาจเริ่มจากภารกิจเร่งด่วนก่อน และตามด้วยภารกิจประจำวัน
• ควรลดความตื่นตระหนกเมื่อได้รับมอบหมายงานที่เร่งด่วน ผู้ที่สามารถทำงานภายใต้แรงกดดันได้ คือ ผู้ชนะ ส่วนคนที่ชอบฉายเดี่ยวทำตัวเป็นฮีโร่ อาจไม่เหมาะสมที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานและลูกน้องที่ดี
การจัดทำเป้าหมายของงาน จะทำให้การจัดลำดับความสำคัญของงานง่ายยิ่งขึ้น
• เมื่องานล้นมือ ควรบันทึกงานนั้นๆ ในรายละเอียด ที่จะช่วยประหยัดเวลาในการทำงานและป้องกันการเข้าใจผิด
• ควรบันทึกข้อมูลคร่าวๆ ด้วยความรวดเร็ว โดยไม่กังวลเรื่องการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล แต่คิดว่าเป็นการทุ่มข้อมูลต่างๆ ลงไปเก็บไว้ในคลังสมอง
• ควรหาเวลาในช่วงหลังเลิกงานเพื่อเตรียมงานสำหรับวันรุ่งขึ้น
• ควรทำงานที่สำคัญให้เสร็จก่อนพักเที่ยงวัน เพื่อที่คุณจะได้มีสมาธิ และมีพลังทำงานมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การทำงานทั้งสองชิ้น หรืองานใดงานหนึ่งให้แล้วเสร็จ ประหยัดเวลาทำงาน และลดข้อผิดพลาด การทำงานในแต่ละวันจะดำเนินไปอย่างราบรื่น เพราะคุณได้ทำงานที่สำคัญเสร็จสิ้นไปแล้ว
• คุณต้องบริหารชีวิตการทำงานควบคู่ไปกับชีวิตส่วนตัว
ระยะเวลาที่คุณนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กับปริมาณงานที่คุณทำในแต่ละวันนั้น ไม่ใช่สองสิ่งที่มี ความสัมพันธ์กัน
• ควรพักระหว่างการทำงาน การศึกษาพบว่าคนเราจะมีสมาธิได้นานถึง 90 นาที หลังจากนั้น ควรพักสัก 10 นาที เพื่อเติมพลัง ระหว่างพักอาจดื่มน้ำ และ/หรือทำกิจกรรมส่วนตัว
• ควรเริ่มทำงานก่อนเวลาและกลับบ้านตรงเวลา ซึ่งจะดีกว่าเริ่มงานตรงเวลาและกลับบ้านช้า
จัดลำดับความสำคัญของงาน
• สาเหตุหลักที่ทำให้คนเราจัดลำดับความสำคัญของงานได้ไม่
ถูกต้องก็คือการพยายามที่จะจัดลำดับความสำคัญ
โดยขาดข้อมูลที่บอกว่า ทำไมงานนี้จึงมีความสำคัญ และมีกำหนดส่งเมื่อไร
• รู้ว่าอะไรมีความสำคัญต่อผู้บังคับบัญชา
คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้เรียนรู้วิธีที่จะต่อรองเพื่อจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่แทรกเข้ามาในตารางชีวิตประจำวัน
• คุณควรถามเมื่อได้รับมอบหมายงาน และถามถึงกำหนดเวลาส่ง ถ้าเขาไม่แจ้ง คุณก็ควรถาม เพราะถ้าคุณไม่ทราบ คุณจะไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้ ถ้าคุณขาดข้อมูลดังกล่าว
• บันทึกสิ่งที่ต้องทำและวงวันส่งงานในปฏิทินไว้ด้วย เมื่อคุณมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้แล้วเสร็จ คุณควรรักษาคำมั่น หากคุณไม่สามารถทำตามคำพูดได้ คุณจะสูญเสียอำนาจการต่อรอง
• จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มักเป็นคนทำงาน ทีละอย่าง เนื่องจากใช้เวลาในการทำงานน้อยกว่า นอกจากนั้นยังจะทำให้มีสมาธิและเกิดข้อผิดพลาดน้อยกว่าการทำงานนั้นงานนี้ที
• ความสามารถที่จะทำงานได้หลากหลายเป็นทักษะที่อาจได้รับความชื่นชม และเป็นคุณสมบัติที่ถ้าใครมีแล้ว หลายองค์กรอยากรับเข้าทำงาน แต่ในความเป็นจริง การทำงานที่หลากหลายในเวลาเดียวกันมักทำให้ขาดประสิทธิภาพในการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความสามารถในการบริหารจัดการเวลาที่ต่ำ
• คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำงานหลายอย่าง ซึ่งทำได้สองทาง คือ ทางหนึ่งขึ้นอยู่กับความสำคัญ และอีกทางหนึ่งขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของงานที่เข้ามาแทรกเวลาทำงาน
หากคุณต้องการทำงานให้เสร็จ เพื่อที่จะกลับบ้านได้เร็วขึ้น 2 ชั่วโมง คุณควรเริ่มจากการตัดกิจกรรมต่างๆ ที่จะเอาเวลา 2 ชั่วโมงของคุณออกไป
• ควรจัดเวลาการทำงานโดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงเป็นหลัก และควรคิดถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าด้วย
• การทำงานจะมีประสิทธิภาพมากกว่าถ้าคุณใช้เวลาประมาณ 15 นาทีระหว่างช่วง ที่คุณพัก หรือ 1 ชั่วโมงระหว่างรอทำงานสำคัญ ในการอ่านและเขียนอีเมล์ ตอบข้อความและประสานงานทางโทรศัพท์ก่อนที่จะเริ่มทำงานสำคัญอื่นๆ ต่อไป
จัดระเบียบโต๊ะทำงานของคุณ
ระเบียบก็คือ ผู้จัดการของเวลาที่ดีที่สุด หากไม่มีการจัดระเบียบในการทำงานที่ดี
จะทำให้คุณสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
• การมีโต๊ะทำงานที่รกจะทำให้คุณเสียเปรียบในการทำงานอย่างน้อย 3 ประการ ประการแรก คุณต้องใช้เวลา 45 นาทีเป็นประจำทุกวันเพื่อค้นหาเอกสารและบันทึกบนโต๊ะ ซึ่งจะทำให้คุณขาดสมาธิและเวลาในการทำงาน
• ควรเก็บเอกสารที่จะต้องใช้ในปัจจุบันไว้บนโต๊ะทำงาน หรือคุณใช้ทำงานอยู่ขณะนี้รวมถึงในอีก 4 สัปดาห์ข้างหน้า
• แยกเอกสารในอดีตหรือเอกสารที่ใช้งานเสร็จแล้วออกจากโต๊ะ
• แยกเอกสารในอนาคตออกจากโต๊ะ
การมีระเบียบเป็นหลักการที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการบริหารทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งหลักการก็คือ มีที่ไว้สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และต่างอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่
• ไม่ควรวางเอกสารหลายๆ ประเภทไว้บนโต๊ะทำงาน
• จัดเอกสารทีละเล็กละน้อยทุกๆ วัน จะช่วยลดปริมาณเอกสารที่กองพะเนินได้
ควรนำเอกสารที่ไม่ต้องการออกไปทิ้ง และทบทวนระบบเอกสารต่างๆ เป็นประจำทุกวันศุกร์ เพื่อทิ้งเอกสารที่เป็นสำเนาหรือเอกสารที่ไม่ต้องการออกไป
• ควรทำความสะอาดโต๊ะทำงานเป็นประจำทุกวันทั้งเมื่อเสร็จงานและเมื่อถึงที่ทำงาน เพื่อที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องการวางเอกสารที่เป็นความลับ หรือที่มีโอกาสเสียหาย
การสื่อสารควรมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพ โดยการแบ่งสรรเวลาสำหรับการใช้โทรศัพท์ไปหาบุคคล โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดอาจเป็นเวลา 11.30 น. ถึงเที่ยงและก่อนเลิกงาน
• โดยเฉลี่ยแล้ว การโทรศัพท์ที่ไม่ได้มีการวางแผนเอาไว้ จะทำให้คุณเสียเวลาการทำงานมากกว่าการโทรที่ได้วางแผนไว้แล้วถึง 5 นาที การโทรศัพท์ที่มีการวางแผนการสนทนา อาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 30 วินาทีก็ได้ ก็เพียงแค่บอกว่าคุณต้องการอะไรเท่านั้น
• จัดสรรช่วงเวลาการโทรศัพท์ประสานงาน โดยใช้เวลาในช่วงเช้าประสานงานที่สำคัญ ช่วงพักกลางวัน และก่อนเลิกงาน เพื่อประสานงานที่มีความสำคัญรองลงมา
มีผู้ยิ่งใหญ่บางคนที่ทำให้บุคคลรอบข้างรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ แต่ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง จะทำให้บุคคลรอบด้าน รู้สึกยิ่งใหญ่เช่นกัน
• การแจกจ่ายงานเป็นหนึ่งในวิธีการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
• ขณะที่แจกจ่ายงาน ควรให้ผู้ใต้บังคับบัญชารับรู้ถึงความเชื่อมั่นที่คุณมีต่อเขา และแสดงให้เห็นโดยให้อิสระแก่พวกเขา ซึ่งส่วนหนึ่งได้แก่การที่ให้เข้ามาปรึกษาหารือกับคุณหากมีข้อสงสัยใดๆ คุณไม่ควรบริหารงานในเชิงแคบ และควรติดตามงาน
ผลการสำรวจพบว่า นักธุรกิจร้อยละ 90 เห็นว่าครึ่งหนึ่งของเวลาที่ใช้ไปในการเข้าร่วมประชุม สามารถที่จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่านี้ โดยเฉลี่ยแล้ว พนักงานจะสูญเสียเวลา 31 ชั่วโมงต่อเดือนในการเข้าร่วมประชุมที่ไม่ได้อะไร
• การประชุมที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นการประชุมที่ใช้เวลานานเกินกว่าความจำเป็น การหารือไม่เป็นระบบ ผู้เข้าร่วมไม่มีการเตรียมตัวที่ดี และไม่มีการประสานงานกับเพื่อนร่วมงาน
• ควรจัดประชุมเมื่อมีเหตุผล เป็นที่น่าสังเกตว่าการประชุมในหลายวาระเป็นเพียงพบปะประจำสัปดาห์ หรือประจำวัน ในเวลาและสถานที่เดิมๆ ซึ่งความสม่ำเสมอไม่ใช่เป็นสาเหตุของการจัดประชุม
ไม่มีเวลาที่ดีที่สุดในการจัดประชุมที่ไม่มีความจำเป็น
• ถ้าการประชุมเลยเวลาที่กำหนด ควรขออนุญาตปลีกตัวจากที่ประชุม เพื่อจะได้ไปทำงานที่คอยอยู่ได้อย่างตรงเวลา ไม่ควรให้คนอื่นมา
ควบคุมเวลาการทำงานของคุณ การขออนุญาตออกจากที่ประชุม จะช่วยเตือนว่าการประชุมควรดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สูญเสียเวลามีความแตกต่างจากการสูญเสียวัตถุ เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะกู้กลับคืนได้
และเวลาก็เป็นทั้งสิ่งที่สูญเสียได้ง่ายที่สุด และได้รับการแก้ไขได้ยากที่สุดด้วยเช่นกัน
เวลาที่สูญเสียไปไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ซึ่งต่างจากขยะที่ทิ้งลงบนพื้น
First things First
· Tab 1
โดย Stephen R. Covey, A. Roger Merrill and Rebecca R. Merrill
การบริหารเวลาในอดีตประกอบด้วย 3 ยุค คือ
การบริหารเวลาในยุคที่ 1 เป็นการบริหารเวลาจากแนวความคิดเกี่ยวกับ การเตือนความจำ โดยมีเครื่องมือในการบริหารเวลา คือ การจดโน้ตและการบันทึกรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน
· ข้อดี การบริหารเวลามีความยืดหยุ่น ไม่มีการกำหนดตารางนัดหมายจนล้นหรือเป็นระเบียบ เเบบแผนมากเกินไป และเป็นการบริหารเวลาที่สามารถตอบสนองต่อผู้อื่นมากกว่า เนื่องจากการบันทึกรายการสิ่งที่ต้องทำ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม
· ข้อเสีย การบริหารเวลาไม่สามารถรักษาข้อตกลงที่ทำไว้ได้
เนื่องจากรายการสิ่งที่ต้องทำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และมีแนวคิดว่า สิ่งที่สำคัญ คือ สิ่งที่อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
การบริหารเวลาในยุคที่ 2 เป็นการบริหารเวลาตามแนวความคิดของการวางแผนและการเตรียมพร้อม ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารเวลา คือ ปฏิทิน และสมุดนัดหมาย ในการบริหารเวลายุคนี้จะมีการวางแผนกิจกรรมสำหรับอนาคต มีการบันทึกข้อผูกมัดและกำหนดเวลาที่แน่นอน
· ข้อดี มีการจดรายการข้อผูกมัดและการนัดหมาย มีการกำหนดจุดมุ่งหมายและการวางแผนสิ่งที่จะทำ การประชุมและการนำเสนองานมีประสิทธิภาพ เพราะมีการเตรียมพร้อมและการวางแผนล่วงหน้า
· ข้อเสีย ในการบริหารเวลามีการให้ความสำคัญต่อแผนกำหนดการมากกว่าบุคคล โดยเน้นถึงสิ่งที่ต้องการมากกว่า สิ่งที่จำเป็นหรือสิ่งที่ทำให้บรรลุความตั้งใจ ดังนั้นจึงมีแนวคิดว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิต คือ สิ่งที่อยู่ในแผนกำหนดการ
การบริหารเวลายุคที่ 3 การบริหารเวลาในยุคนี้เป็นการบริหารเวลาภายใต้แนวความคิดของการวางแผน การจัดลำดับงาน และการควบคุมงาน ซึ่งมีวิธีการบริหารเวลา คือ กำหนดเป้าหมายระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น โดยในการกำหนดเป้าหมายแต่ละระยะนั้นจะพิจารณาถึงค่านิยมเป็นหลัก เครื่องมือในการบริหารเวลา คือ สมุดวางแผน หรือตารางบันทึกเวลา
· ข้อดี ให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบ ความมีคุณค่า และความสำคัญต่อการนำค่านิยมมากำหนดเป้าหมายทั้ง 3 ระยะ ซึ่งก่อให้เกิดการกระทำที่มีระเบียบแบบแผน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
· ข้อเสีย เป็นการบริหารเวลาที่ทำให้บุคคลยึดติดในหลักเกณฑ์ของตนเองมากเกินไป ขาดความยืดหยุ่นต่อสิ่งแวดล้อม และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ขาดความสมดุลในบทบาทที่ต้องรับผิดชอบ เนื่องจากรายการสิ่งที่ต้องทำมีมากเกินไป และในการบริหารเวลาให้ความสำคัญต่อแผนการกำหนดเวลามากกว่าบุคคล ดังนั้น สิ่งที่สำคัญในชีวิตจะถูกกำหนดด้วย ความเร่งรีบและค่านิยม เนื่องจากการบริหารเวลายุคนี้ให้ความสำคัญต่อการจัดการเรื่องเร่งด่วน สิ่งกดดัน วิกฤตต่างๆ
ปัญหาสำคัญของการขาดประสิทธิภาพในการบริหารเวลาทั้ง 3 ยุค คือ การให้ความสำคัญต่อความเร่งด่วนมากกว่าสิ่งที่สำคัญ ดังนั้น จึงมีการแนวคิดเรื่องการจัดตารางเวลาสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ มาใช้ในการการแก้ปัญหานี้
การจัดตารางเวลาสำหรับการทำกิจกรรม แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1. กิจกรรมที่สำคัญและเร่งด่วน 2. กิจกรรมที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน 3. กิจกรรมที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ 4. กิจกรรมที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน โดยกิจกรรมที่สำคัญหรือสิ่งที่สำคัญ คือสิ่งที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ แต่กิจกรรมเร่งด่วนหรือสิ่งที่เร่งด่วน คือสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่กำหนดไว้ ดังนั้นการบรรลุถึงประสิทธิภาพของการบริหารเวลาในยุคที่ 4 คือ การต้องทำกิจกรรมที่สำคัญและไม่เร่งด่วนให้สอดคล้อง กับการจัดการเวลา เนื่องจากเป็นการทำกิจกรรมที่มีการจัดระบบ และมีการวางแผนล่วงหน้า
นอกจากเหนือการจัดตารางเวลาสำหรับการทำกิจกรรมแล้ว การเติมเต็มความต้องการและขีดความสามารถของมนุษย์ 4 ประการ ซึ่งประกอบด้วย ความต้องการด้านจิตวิญาณ (Spiritual needs) ความต้องการด้านสติปัญญา (Mental needs) ความต้องการทางกายภาพ (Physical needs) และความต้องการทางสังคม (Social needs) และศักยภาพของคุณสมบัติเฉพาะมนุษย์ 4 ประการ (The Potentiality of the FourHuman Endowments) ซึ่งประกอบด้วย การรู้ตนเอง (Self – awareness) จิตสำนึก (Conscience) จินตนาการที่สร้างสรรค์ (Creative thinking) และความต้องการอิสระ (Independent will) ยังเป็นอีกส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารเวลาทั้ง 3 ยุค มีวิธีการ รูปแบบ ข้อดี และข้อเสียในการบริหารเวลาที่แตกต่างกัน แต่การบริหารเวลาทั้ง 3 ยุคนี้ ยังไม่สามารถที่แก้ปัญหาหรือบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการบริหารเวลาให้เกิดประสิทธิภาพนั้นต้องมีความสอดคล้องขององค์ประกอบ 2 ด้าน คือ การจัดการเวลาและทิศทางในการดำเนินชีวิตหรือปณิธาน
การบริหารเวลายุคที่ 4 เป็นการบริหารเวลาที่มีการผสมผสานการจัดการเวลาและทิศทางในการดำเนินชีวิตเข้าด้วยกัน วิธีการบริหารเวลาที่จะนำไปสู่ยุคการบริหารเวลายุคที่ 4 คือ การจัดตารางเวลาสำหรับการทำกิจกรรมที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
กระบวนการจัดตารางเวลาสำหรับการทำกิจกรรมที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ประกอบด้วย
1. เชื่อมโยงวิสัยทัศน์และปณิธานหรือทิศทางในการดำเนินชีวิตกับการจัดการเวลา โดยกำหนดปณิธาน หรือทิศทางในการดำเนินชีวิต และการจัดการเวลาให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
2. กำหนดบทบาทและทบทวนบทบาทของตนเอง โดยพิจารณาถึงการเติมเต็มความต้องการและขีดความสามารถของมนุษย์ 4 ประการ เป็นหลัก เพื่อแบ่งแยกความแตกต่างของกิจกรรมที่สำคัญและกิจกรรมที่เร่งด่วน การจัดลำดับกิจกรรม และความสมดุลระหว่างบทบาทและการจัดการเวลา
3. กำหนดเป้าหมายของกิจกรรมสำหรับแต่ละบทบาท โดยให้ความสำคัญต่อกิจกรรม ที่สำคัญที่สุดที่สามารถทำได้ ในแต่ละบทบาทและในแต่ละสัปดาห์
4. จัดทำตารางหรือแผนการตัดสินใจประจำสัปดาห์ โดยให้ความสำคัญต่อกิจกรรมที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วนเป็นอันดับแรก
5. ปฏิบัติตนอย่างมีหลักการ คือ การปฏิบัติตามตารางหรือแผนที่กำหนดไว้
6. ประเมินผล โดยสำรวจว่าในเวลา 1 สัปดาห์ สามารถปฏิบัติตามตารางและบรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ เพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาการจัดการหรือการบริหารเวลาต่อไป
นอกจากกระบวนการจัดตารางเวลา องค์ประกอบสำหรับการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพในยุคที่ 4 แล้ว องค์ประกอบที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ การทำสิ่งที่สำคัญร่วมกัน
การทำสิ่งที่สำคัญร่วมกัน หมายถึง การทำสิ่งสำคัญร่วมกันของคนในองค์กรและสังคม เพื่อให้บรรลุถึงการบริหารเวลา อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่ 4 ซึ่งให้ความสำคัญต่อบุคคลมากกว่าการบริหารจัดการสิ่งของ ดังนั้นการทำสิ่งสำคัญร่วมกันของคน ในองค์กรและสังคมจึงต้องสร้างวิสัยทัศน์หรือปณิธาน และเป้าหมายร่วมกัน โดยผ่านเครื่องมือของการบริหารเวลา คือ กระบวนการแห่งการชนะ 3 ประการ ซึ่งประกอบด้วย
· การคิดแบบชนะ – ชนะ ซึ่งเป็นหลักการของมองเห็น/ปฏิบัติหรือการได้รับผลประโยชน์ร่วมกันและความร่วมมือกัน
· การเข้าใจผู้อื่น ซึ่งเป็นหลักการเกี่ยวกับการเคารพ การอ่อนน้อมถ่อมตน และความบริสุทธิ์ใจ
· การประสานความแตกต่าง ซึ่งเป็นหลักการของการให้คุณค่าแก่ความแตกต่างและการมองหาทางเลือกที่สาม
อาจสรุปได้ว่าการบริหารเวลายุคที่ 4 เป็นยุคของการบริหารเวลาที่สามารถแก้ไขปัญหาและรวบรวมข้อดีของการบริหารเวลายุคต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งเป็นการบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพและสามารถก่อให้เกิดประสิทธิผลได้ดีที่สุด
Eat That Frog
· Tab 1
กินกบตัวนั้นซะ --- ทำสิ่งที่สำคัญก่อน วันนี้เลย Eat That Frog
หนังสือเรื่อง “กินกบตัวนั้นซะ” มีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้เวลาอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด เพราะ คนเราไม่มีเวลา พอที่จะทำทุกอย่างได้ในเวลาเดียวกัน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ วิธีการบริหารเวลา จากคนที่ ประสบความสำเร็จ เขาจะไม่พยายามทำทุกสิ่ง แต่จะมุ่งความสนใจ ไปยังงานที่สำคัญที่สุดก่อน และทำมันเป็นอันดับแรก
“กินกบตัวนั้นซะ” เป็นการอุปมาให้เห็นภาพว่าหากสิ่งแรกที่คุณจะทำในแต่ละเช้า คือ การกินกบเป็นๆ ตัวหนึ่งซึ่งมันคงเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของวันนั้นแล้ว แต่ถ้าคุณรีบกินมันเสีย อย่างน้อยคุณจะได้ ภาคภูมิใจว่า คุณจะสามารถผ่านพ้นวันนั้นไปได้ด้วยดี เพราะคงไม่มีอะไรเลวร้ายมากไปกว่านี้อีกแล้ว เปรียบเหมือนกับ การรีบจัดการงานที่ท้าทายที่สุด ในแต่ละวันของคุณ ที่คุณเห็นว่า มันยากและพยายาม ผัดวันประกันพรุ่งไปทำวันอื่น โดยลืมนึกไปว่า บางทีสิ่งนั้นอาจมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อชีวิตของคุณ
สิ่งสำคัญที่หนังสือเล่มนี้ ย้ำอยู่เสมอไม่ใช่ให้ยึดเพียงหลักการ แต่เป็นการลงมือปฏิบัติจริงอย่างเคร่งครัด เพื่อจัดระเบียบ และหาวิธีที่จะลงเอยกับงานที่สำคัญยิ่งเหล่านี้ เพื่อให้ไม่เพียงทำงานได้เร็วขึ้น แต่ได้ทำงานที่ใช่เลยอีกด้วย
ต่อไปนี้คือบทสรุปของวิธีที่ยิ่งใหญ่ 21 วิธี ในการเลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งคุณจำเป็นต้องทบทวนหลักการนี้เป็นประจำ จนกว่ามันจะฝังลึกในความคิด และการกระทำของคุณ
1. จัดโต๊ะ : ก่อนที่จะตัดสินใจว่ากบตัวไหนเป็น “กบ” ของคุณและลงมือกินมัน คุณต้องตัดสินใจให้ชัดเจนว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่คุณต้องการเอาชนะ หลังจากตัดสินใจได้แล้วอย่าลืมจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง กำหนดเส้นตายในการทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ และลงมือทำตามแผนนั้นทันที
2. วางแผนทุกวันไว้ล่วงหน้า : เชื่อหรือไม่ว่าทุก 1 นาทีที่คุณใช้ในการวางแผนจะช่วยให้ประหยัดเวลาได้มากถึง 10 นาทีในการลงมือปฏิบัติ และขณะที่คุณทำงานตามรายการที่ได้วางแผนไว้ คุณจะรู้สึกว่าทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และจะมีแรงบันดาลใจ ให้ทำงานมากขึ้นไปอีก
3. ใช้กฎ 80/20 กับทุกอย่าง : บางครั้งงานในส่วน 20 % นั้น อาจเป็นงานที่มีคุณค่ามากกว่างานอีก 80 % ที่เหลือรวมกัน ดังนั้นจึงควรเลือกทำงานมีผลต่อชีวิตและอาชีพการงานของคุณและให้เวลากับงานที่มีค่าต่ำน้อยลง
4. พิจารณาถึงผลที่จะตามมา : งานที่สำคัญคืองานที่มีผลต่อคุณในระยะยาว ดังนั้นก่อนที่จะลงมือทำอะไรควรถามตัวเองก่อนว่า “กิจกรรมหรือโครงการไหนที่ถ้าฉันทำได้ดีและทำได้ทันจะมีผลกระทบในด้านบวกต่อชีวิตของฉัน”
5. ฝึกวิธี ABCDE อย่างต่อเนื่อง : ก่อนเริ่มลงมือทำงานตามรายการ จงใช้เวลาครู่หนึ่งในการจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยให้งาน “A” คือ งานที่สำคัญที่สุดของคุณ งาน B, C, D, E คืองานที่สำคัญรองลงมา
6. เน้นที่หัวใจของงาน : ถามตัวเองว่า “ทำไมองค์กรถึงจ้างฉัน” นั่นคือการรู้ว่าหัวใจสำคัญของงานคุณคืออะไรและตั้งใจทำให้ดีที่สุด
7. เชื่อฟังกฎแห่งประสิทธิภาพโดยความจำเป็น : คุณไม่มีเวลาพอที่จะทำทุกอย่าง แต่มีเวลาเสมอที่จะทำสิ่งที่สำคัญที่สุด
8. เตรียมพร้อมอย่างรอบคอบก่อนเริ่มลงมือ : การเตรียมการล่วงหน้าที่เหมาะสมเป็นการป้องกันความล้มเหลวของงาน
9. ทำการบ้านของคุณ : จงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะยิ่งคุณรอบรู้และชำนาญในงานที่เป็นหัวใจสำคัญมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำงานนั้นให้แล้วเสร็จได้เร็วขึ้นเท่านั้น
10. ใช้พรสวรรค์ของคุณเป็นอำนาจสู่ความสำเร็จ : พิจารณาให้ชัดเจนว่าคุณถนัดหรือมีพรสวรรค์ในงานอะไรหรือทำงานอะไรได้ดี แล้วก็ทุ่มเทให้กับงานนั้น ๆ อย่างเต็มที่
11. มองหาตัวเหนี่ยวรั้งมิให้ทำงานที่สำคัญของคุณ : พิจารณาคอขวดหรือจุดสกัดทั้ง ภายในหรือภายนอกที่เป็นตัวกีดขวางในการบรรลุเป้าหมายสำคัญที่สุดของคุณ และตั้งอกตั้งใจทำให้มันบรรเทาเบาบางลง
12. เดินตามถังน้ำมันทีละใบ : คุณสามารถทำงานที่ใหญ่ที่สุดและสลับซับซ้อนมากที่สุด ให้ลุล่วงได้ถ้าคุณทำมันทีละขั้นตอน
13. สร้างแรงกดดันให้กับตัวเอง : จงสมมติว่าคุณต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นเวลาหนึ่งเดือนและจงทำงานให้เหมือนกับว่า คุณต้องทำงานสำคัญทั้งหมดของคุณให้แล้วเสร็จก่อนออกเดินทาง
14. เพิ่มอำนาจส่วนตัวของคุณให้สูงสุด : พิจารณาว่าช่วงเวลาไหนที่คุณมีพลังกายและพลังความคิดสูงที่สุดในแต่ละวัน แล้วทำงานที่สำคัญที่สุดของคุณในช่วงเวลานั้น
15. กระตุ้นตัวเองให้ลงมือทำ : จงเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้กับตัวคุณเอง มองหาแต่สิ่งดี ๆ ในทุกสถานการณ์ มองโลกในแง่ดีและสร้างสรรค์อยู่เสมอแม้ในขณะที่มีปัญหา
16. ฝึกนิสัยผัดวันประกันพรุ่งในทางสร้างสรรค์ : เนื่องจากคุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ จึงต้องเรียนรู้ที่จะผัดผ่อนงาน ที่มีค่าต่ำ ออกไปก่อน เพื่อจะได้มีเวลาพอในการทำสิ่งที่สำคัญจริง ๆ
17. ทำงานที่ยากที่สุดก่อน : เริ่มต้นแต่ละวันด้วยงานที่ยากที่สุดก่อน และจงตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะทำมันจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
18. แล่และหั่นงานเป็นชิ้นเล็ก ๆ : แบ่งงานใหญ่ที่ซับซ้อนลงเป็นงานย่อยๆ แล้วเริ่มลงมือทำ ทีละชิ้น
19. สร้างเวลาชิ้นโต : แบ่งวันของคุณออกเป็นช่วงเวลาใหญ่ ๆ ที่จะสามารถทุ่มเทสมาธิเป็นเวลานาน ๆ ให้กับงานที่สำคัญที่สุด
20. สร้างสำนึกแห่งความเร่งรีบ : สร้างนิสัยเสือปืนไวในงาน โดยทำตัวให้ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำงานทุกอย่างได้เร็วและทำได้ดี
21. ทำงานทุกอย่างทีละอย่าง : จัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจน เริ่มต้นทำงานที่สำคัญที่สุดก่อนทันที แล้วทำไม่หยุด จนกระทั่งงานเสร็จสมบูรณ์ 100 %
ทั้งหมดนี้คือเคล็ดลับที่แท้จริงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ดังนั้น จงตัดสินใจที่จะฝึกหัดหลักการเหล่านี้ทุก ๆ วันจนกว่ามันจะกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวคุณ ถ้าคุณติดนิสัยการบริหารเหล่านี้จนมันกลายเป็นบุคลิกที่ถาวรอย่างหนึ่งของคุณแล้วละก็ อนาคตของคุณจะต้องกว้างไกลไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน
The Law of Success
· Tab 1
The Law of Success เป็นหนังสือที่ได้รับการยอมรับสูงสุดจนเรียกได้ว่าเป็นหนังสือต้นแบบของหนังสือ Self-improvement ในปัจจุบัน ผู้แต่งคือ Dr. Napoleon Hills ท่านผู้นี้มีความสามารถและโด่งดังจนได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นที่ปรึกษาของ ประธานาธิบดี อเมริกา ถึงสามสมัย ผู้แต่งใช้เวลารวบรวมข้อมูลนานกว่า 20 ปีในการสัมภาษณ์บุคคล ที่ประสบความสำเร็จทั่วทั้ง สหรัฐอเมริกา เพื่อนำข้อมูล ดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่า บุคคลเหล่านี้มีมุมมองและแนวคิดอย่างไร ที่นำพาไปสู่ความสำเร็จ ตัวอย่างบุคคลดังกล่าวคือ Henry Ford, Firestone, Thomas Edison เป็นต้น
ใจความสำคัญของหนังสือประกอบด้วยกฎทองคำ 16 ประการ เกี่ยวกับหลักปฏิบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จได้แก่
1. อภิจิต
คือกลุ่มคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่มีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน และมีความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน คนที่จะประสบความสำเร็จ ได้จะต้องมี บุคคลเหล่านี้มาร่วมชีวิตหรือร่วมงานเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนเป้าหมายที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จ แต่มีข้อควรระวัง ประการหนึ่งคือ คนที่คิดไม่เหมือนกับเรา ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นศัตรูกับเราเสมอไป เพราะในการทำงานความคิด ที่แตกต่างในเชิงสร้างสรรค์ ย่อมเป็นสิ่งดีที่จะช่วยสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ ดังนั้น คนที่จะเราจะเลือกมาอยู่ในทีมควร มีคนที่คิดแตกต่างแต่ไม่แปลกแยกรวมอยู่ด้วย การสร้างอภิจิตคือ การเลือกคบคน ที่จะเข้ามาในชีวิตของเราอันได้แก่ สามีภรรยา เพื่อนสนิท เป็นต้น คนเหล่านั้นจะต้องมีจิตใจที่ดี มีความเข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร จริงใจ เต็มใจที่จะร่วมหัวจมท้ายกับเรา และมีความสามารถ ส่วนผู้ร่วมงาน ควรเลือกคนดี มีความสามารถ มีความขยันขันแข็ง หนักงาน ไม่คิดเล็กคิดน้อย ใจกว้าง และรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม
2. มีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
การมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนจะทำให้ทุก ๆ พฤติกรรมของเราทั้ง การพูด ความคิด และการกระทำไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ คนที่จะมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนได้ จะต้องรู้ว่า ตนเองมีความชอบ มีความถนัดในงานประเภทใดบ้าง และอยากจะเป็นอะไรในอนาคต การจะรู้ว่า ตนเองชอบสิ่งใดนั้น จะต้องรู้จักสังเกตอารมณ์ของตัวเองว่า เมื่อไรเราทำสิ่งใดแล้ว มีความสุขหรือเมื่อเจอคนในอาชีพใดแล้ว เรารู้สึกประทับใจ ส่วนความถนัดสามารถรู้ได้จาก คำชมจากคนรอบข้างว่า เราเก่งในเรื่องใดบ้าง เป็นต้น เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ให้สร้างเป็น มโนภาพภายในจิตใจ และเขียนติดไว้ในห้องนอนอ่านทบทวนทุกวัน เพื่อสื่อกับจิตใต้สำนึกของเราเอง นอกจากนั้น เป้าหมายของเราควรเก็บไว้ เป็นความลับ จะบอกกล่าวได้ก็แต่คนที่เข้าใจเราจริง ๆ เช่น สามีภรรยา หรือเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีความลังเลสงสัย ดูถูกดูแคลน และอิจฉาริษยาอยู่ตลอดเวลา น้อยคนนักที่จะเชื่อและช่วยเสนอแนวทางให้ไปถึงซึ่งเป้าหมายนั้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เราจะต้องไม่ยอมแพ้กับความยากลำบากทั้งปวง ถึงแม้ว่าจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจสักเพียงไหนและจะต้องใช้เวลานาน สักเพียงใด เราต้องทำได้เพราะ “ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่า ท่านทำได้”
3. มีความมั่นใจในตัวเอง
ความมั่นใจเกิดจาก การรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ทุกแง่ทุกมุม ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ความชอบและไม่ชอบอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรา ไม่เห่อเหิมไปตามคำเยินยอของผู้อื่น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า เรามีจุดแข็งในด้านนี้ และเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์เราก็จะไม่ห่อเหี่ยวเศร้าใจ หรือโมโห โกรธามากจนเกินไปนักเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นจุดอ่อนซึ่งเรากำลังพยายามปรับปรุงแก้ไขอยู่และขอน้อมรับคำติชมด้วยความเต็มใจ ผู้แต่งได้เสนอวิธีการสร้างความมั่นใจคือ
1. ขจัดความกลัว มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ 6 ประการ ได้แก่
· กลัวความยากจน ความยากจนป้องกันได้ด้วยการมีนิสัยประหยัดอดออมและรู้จักใช้จ่ายอย่างพอดี
· กลัวความชราภาพ สังขารย่อมร่วงโรยไปตามสภาวะธรรมชาติแต่จิตใจของเราต่างหากจะต้องไม่ร่วงโรยไปตามร่างกาย ป่วยกายแต่อย่าป่วยจิต
· กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์ มนุษย์ส่วนใหญ่รวมทั้งตัวเราเอง มักจะมองเห็นส่วนที่ไม่ดีของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว และชัดเจนมากกว่า ส่วนดีซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้น เมื่อโดนวิพากษ์วิจารณ์เราต้องเลือกใส่ใจกับคำวิจารณ์ที่มาพร้อมกับทางแก้เท่านั้น คนที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว เราก็รับฟังแต่จะไม่ใส่ใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที
· กลัวสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ยามรักกันอะไรก็ดูดีไปเสียทุกอย่าง มนุษย์จึ่งไม่อยากสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน การพลัดพรากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไปเสียไม่ได้
· กลัวสุขภาพเสื่อมโทรม หากเราดูแลสุขภาพให้ดีเสียตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อดูแลสุขภาพดีก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่า มันจะเสื่อมโทรมไปก่อนวัยอันควร
· กลัวความตาย ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ หากตอนยังมีชีวิตอยู่เราได้ให้ความเอาใจใส่ดูแลคนที่เรารักเป็นอย่างดีแล้ว การอยู่หรือการตาย ย่อมไม่ต่างกันเพราะคน ๆ นั้น จะอยู่ในใจของเราตลอดไป
2. มองโลกในแง่ดี คิดแต่ด้านบวก
· ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ เพียงแต่เราหาทางแก้แล้วหรือยัง
· มองสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ ให้ทะลุปรุโปร่ง เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร มีอะไรที่จะช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านั้นได้บ้าง เมื่อเราสามารถคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ได้ เราจะเกิดความมั่นใจในตัวเองทันที
· Tab 2
4. นิสัยประหยัดอดออม
คนที่ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ จะต้องรู้จักประหยัดอดออม เพราะจะทำให้รู้คุณค่าของเงิน และเมื่อจะต้องลงทุน ทำสิ่งใดจึงไม่ผลีผลามและลงทุนตามความเหมาะสม โอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีน้อย จึงทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความเป็นผู้นำ
คนที่จะเป็นผู้นำได้จะต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อใช้ในการปรับปรุงผลงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คนที่จะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1) มองสถานการณ์เหนือกว่าผู้อื่น
2) มีสิ่งที่คนอื่นไม่มี
3) ลงมือทำ เลิกผลัดวันประกันพรุ่ง
4) มีพลังชีวิต มีความกระตือรือร้น มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน ผู้นำจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
· มีความรู้ความสามารถ
· เชื่อว่าตนเองมีความเชื่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ เหนือกว่าผู้อื่น
· รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้
· กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำโดยไม่โทษผู้อื่น
· ปฏิบัติกับคนอื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนในครอบครัว
· มีความเมตตา รู้จักให้ และเสียสละ
· สามารถสร้างแรงจูงใจให้คนรอบข้างได้ และมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
· มองภาพรวมเน้นผล รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่และอยู่ตรงจุดไหนของทางเดินชีวิต และอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงเป้าหมาย
· ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและถูกต้อง
· มอบหมายงานได้อย่างถูกต้องตามจริตและความสามารถของลูกน้อง
6. มีจินตนาการ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วนใช้จินตนาการในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น จินตนาการเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมา และจะเกิดขึ้น ได้ก็ต่อเมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน กอปรกับความเชื่อมั่นว่าเราต้องสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ เมื่อจิตมีความนิ่งสงบ ในระดับหนึ่งจึงค่อยสร้างมโนภาพและน้อมจิตถามตัวเองว่า เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ทางแก้จะมีมากมายหลายวิธี แต่จะมีเพียงวิธีเดียว ที่ใช้ได้ ซึ่งจะรู้ได้โดยการใช้ความรู้สึกเข้าไปทาบว่า อันไหนใช่หรือไม่ใช่ ส่วนใหญ่แล้วจินตนาการ มักเกิดขึ้นตอนสภาวะวิกฤต แต่ในสภาวะปกติ หากจำเป็นต้องใช้จินตนาการก็ต้องสร้างภาวะความกดดันขึ้นมาเช่น ให้คิดว่าถ้าอีกเจ็ดวันเราจะต้องตายจากโลกนี้ไป เราอยากจะทำอะไรบ้าง และเราได้ลงมือกระทำแล้วหรือยัง เป็นต้น
7. มีความกระตือรือร้น
คนที่มีความกระตือรือร้นจะสามารถดึงดูดคนที่พลัง มีความสามารถเข้ามาร่วมทีมได้โดยง่ายเพราะบุคลิกที่ดูมีชีวิตชีวา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้คบหาสมาคมด้วย ผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า ความกระตือรือร้นอยากจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างเดียว ยังไม่พอ ต้องลงมือกระทำ ให้เกิดเป็นผลงานด้วย และที่สำคัญจะต้องรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันอย่างชัดเจน เวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่ เวลาพักผ่อนก็ไม่เอาเรื่องงานมาเป็นกังวล
8. สามารถควบคุมตนเองได้
การควบคุมตนเองให้ทำในสิ่งที่ตรงตามเป้าหมายทำได้โดยการหมั่นถามตนเองอยู่เสมอว่า ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ (ทั้งในความคิด คำพูด และการกระทำ) ทำไปทำไม ทำแล้วจะเกิดผลอะไร สอดคล้องกับเป้าหมายของเราหรือไม่ เป้าหมายของเราตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแค่ไหนแล้ว นอกจากนั้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การควบคุมอารมณ์โกรธ ต้องบอกตัวเองว่า ห้ามระเบิดอารมณ์ใส่ผู้อื่นโดยเด็ดขาด เพราะจะเกิด ผลเสียมากกว่าผลดี ถึงแม้ว่า เราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม เพราะเวลาคนเราทะเลาะกัน ไม่มีใครยอมฟังเหตุผลแน่นอน จึงเป็นการเปล่าประโยชน์ ที่จะมาเอาชนะในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หัดปิดหูปิดตากับเรื่องไร้สาระแล้วเอาเวลามาสานความฝันของเราให้เป็นจริงจะดีกว่า วิธีการควบคุมอารมณ์และคำพูดคือ พูดทีละคำฟังทีละเสียง เพราะเมื่อเราได้ยินเสียงที่ตัวเองพูดทุกคำ เราจะมีความละอาย ที่จะใช้คำพูดรุนแรง และหยาบคาย
9. มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน
คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีความรักในงานที่ทำอยู่ อยากให้งานออกมามีคุณภาพ และรู้สึก ภูมิใจที่ได้ทำงานนั้น ๆ รู้สึกว่าตนเอง มีค่าต่อองค์กร และอยากให้องค์กรมีความเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ การมีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเราตั้งใจทำงานชิ้นหนึ่งจนประสบความสำเร็จจะเกิด ความมั่นใจและมุ่งมั่น ที่จะทำงานให้ดีต่อไป ความสำเร็จก็ย่อมตามมา อย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่า จะเจออุปสรรคบ้างก็ไม่ย่อท้อเพราะเป็นงานที่เรารัก และมองปัญหาว่า เป็นส่วนที่จะทำให้งานออกมา สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
10. มีบุคลิกภาพที่ดี
บุคลิกภาพที่ดีคือ การมีความมั่นใจในตัวเอง มีความกระตือรือร้น มีความเป็นผู้นำ ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถควบคุมคำพูด อารมณ์ สีหน้า และการแสดงออกได้เป็นอย่างดี มีกาละเทศะ วิธีการสร้างบุคลิกภาพที่เร็วที่สุดคือ การสร้างภาพคน ที่มีบุคลิกภาพที่น่าประทับใจไว้ในจิตใต้สำนึก แล้วทุก ๆ อิริยาบถเราจะลอกเลียนแบบไปตามนั้น
· Tab 3
11. มีความคิดที่ถูกต้องและเที่ยงตรง ได้แก่
· มองความจริงตรงตามความเป็นจริง สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลทั้งหลายได้
· ไม่สนใจคำนินทาหรือข่าวโคมลอย ใส่ใจแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง
· ไม่มองโลกเป็นสีขาวหรือดำให้มองเป็นกลาง ๆ เช่น เมื่อประสบความสำเร็จก็ไม่ดีใจจนออกนอกหน้า เพราะถ้าประมาทชะล่าใจ ก็ล้มเหลวได้เช่นเดียวกัน หรือเมื่อผิดหวังก็ไม่เศร้าสร้อยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ เพียงแต่ว่าเราหาทางแก้แล้วหรือยัง เป็นต้น
· รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวเรา แม้ว่ามันจะเป็นความเป็นจริงที่เจ็บปวดก็ตามเพื่อนำมาแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นต่อไป
· ไม่วิตกกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะความกังวลไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น รังแต่จะทำให้สิ่งที่กังวลเป็นจริงขึ้นมา เพราะการย้ำคิดย้ำทำเสมือนเป็นการสะกดจิตตัวเอง
· รับฟังข้อมูลแล้วนำมาพิจารณาทุกครั้งโดยยึดหลักกาลามสูตร ได้แก่
อย่าเชื่อเพราะเขาทำตาม ๆ กันมา
อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์หรือคนที่เราเคารพเพราะเขาอาจจจะพูดผิดก็ได้ อย่าเชื่อเพราะฟังดูแล้วมีเหตุมีผลเพราะเขาอาจจะหลอกเราก็ได้ อย่าเชื่อเพราะว่ามันเหมือนกับที่เราคิดไว้เลยเพราะเราก็อาจจะคิดผิดได้เช่นเดียวกัน
· อย่าปักใจเชื่อว่าข้อมูลที่ได้รับมา ณ ปัจจุบันนี้จะต้องเป็นจริงไปตลอดกาลเพราะเมื่อมีเหตุและปัจจัยใหม่ ๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงได้เช่น มีข้อมูลใหม่มาหักล้างข้อมูลเดิมหรือข้อมูลเดิมอาจจะล้าสมัยไปแล้วใช้ไม่ได้ เป็นต้น
12. มีความใจจดใจจ่อ
การจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนเรื่องนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยด ีจะเป็นการฝึกจิตให้เป็นสมาธิและมีพลัง เมื่อจิตมีพลังจึงจะสามารถ สานความฝันให้เป็นจริงได้ นอกจากนั้น การทำงานทีละอย่างยังเป็นการฝึกนิสัยอดทนอดกลั้น ไม่ทำตามใจตัวเอง สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกจนเป็นนิสัย ต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าว่อกแว่กทำงานทีละอย่าง และต้องรู้จักเลือกทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์และสำคัญในชีวิต การจะสร้างนิสัยใหม่ได้ จะต้องตระหนักถึง ข้อเสียของนิสัยเดิม และเห็นข้อดีของนิสัยใหม่เสียก่อนเช่น การทำงานหลายอย่างจะจับจด ไม่สำเร็จสักอย่าง จิตก็เป็นกังวล เครียด ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแต่มีผลงานนิดเดียว สุขภาพก็เสื่อมโทรม แต่ถ้าทำทีละอย่าง งานจะมีคุณภาพ เมื่อได้รับคำชมก็จะมีกำลังใจ ที่จะผลิตผลงานดี ๆ ออกมาเรื่อย ๆ เป็นต้น คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีกรอบความคิดที่ถูกต้องและหมั่นปฏิบัติตาม แนวคิดนั้นอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย
13. มีความสามัคคี
ความสามัคคีในกลุ่มอภิจิตเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเพราะ คนที่มีความมุ่งมั่น มีความใจจดใจจ่อ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีเป้าหมายไปใน ทิศทางเดียวกัน เมื่อร่วมพลังกายพลังใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะเกิดพลังที่จะสร้างสิ่งที่หวังไว้ให้เป็นจริงได้อย่างแน่นอน แต่คนส่วนใหญ ที่มาร่วมทีมกันแล้วไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีนิวรณ์ 5 เป็นตัวขัดขวางอันได้แก่ ความอิจฉาริษยา ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ความเบื่อหน่ายไม่กระตือรือร้น ความลังเลสงสัยโลภมาก และความอยากมีอยากเป็นชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน ดังนั้น การจะดึงคนมาร่วมทีม จะต้องเลือกคนที่มีคุณภาพจิตดีเพื่อจะได้ไม่เป็นตัวบั่นทอนกำลังกายและกำลังใจของคนภายในกลุ่ม
14. ไม่กลัวความล้มเหลว
ปัญหาและอุปสรรคเป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญและเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหมด จงมองสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดา และคิดเสียว่า มันเป็นเหมือนบททดสอบความเข้มแข็งและความกล้าหาญ หากเราผ่านพ้นไปได้เราจึง จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เปรียบได้กับว่าว จะลอยสูงได้ก็ต้องปะทะกับลมพายุที่รุนแรง ถ้าว่าวนั้นสามารถประคับประคองจนผ่านวิกฤตไปได้ว่าวนั้นจะลอยสูงเทียมฟ้า ปัญหา อุปสรรค และความล้มเหลวในชีวิตจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราดีขึ้น เก่งขึ้น และฉลาดขึ้นทุกวัน ๆ และยังเป็นการฝึกจิตให้อยู่ได้ในทุกสภาวะ คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันถูกต้อง และจะพยายามทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าความฝัน ที่วาดไว้จะเป็นจริง
15. มีใจกว้าง ได้แก่
· รู้จักให้วัตถุและน้ำใจไมตรีตามสมควรโดยที่เราไม่เดือดร้อนและไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ
· รู้จักให้อภัยต่อคนที่ทำให้เราโกรธเกลียด หรือคนที่เอาเปรียบเรา เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพจิตใจให้สูงขึ้น นอกจากนั้น จะต้องรู้จักให้อภัยตนเองด้วย เมื่อทำผิดพลาดไปแล้วมันย้อนเวลากลับไปไม่ได้ก็ไม่ควรจมอยู่กับอดีต ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทำผิดก็แก้ไขและศึกษาข้อผิดพลาดไว้เป็นบทเรียนจะได้ไม่ทำผิดซ้ำ
· เปิดรับความคิดใหม่ ๆ จะเป็นการสร้างพลังชีวิตทำให้เราสามารถอยู่ได้กับทุกคนในทุกสถาวะ แต่เราจะรู้และเลือกว่า ใครคือบุคคลที่เราควรจะเลือกคบ
16. ท่านทำได้ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้
เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า
· Tab 1
เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า
จากผลการทดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิด ๆ ให้สมองของตัวเอง ดั่งเช่น การทำงานของคอมพิวเตอร์ ถ้าเราใส่ software ที่ผิด ผลการคำนวณก็ออกมาผิด ถ้าจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงาน ระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ในทางทฤษฎี พบว่า " สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลข้อมูล ที่มีความสลับซับซ้อน ได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์ " ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริง ทำไมกลับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะว่า เราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เรา เรียนรู้ช้า และปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว ? เมื่อคุณพบคำตอบ คุณอาจคันพบตัวเองก็ได้
ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า? เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิด ให้คิด ในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจาก คนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอก ชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีต หรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตนเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเอง เข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า, คิดไม่ชัดเจน คิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ
ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว?
1. เปลี่ยนความคิดจาก Negative >>> Positive
· ทำงานอย่างมีเป้าหมาย : ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่า เรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น
· ต้องรู้ระบบความคิดของเราก่อนว่า ความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ , เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น
· ตัดความคิดในทาง Negative ทิ้งแล้วใส่ความคิด Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน , ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น
2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจ จากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือ การสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิด Negative ได้ชั่วคราว
3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใด ถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้อง เหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากพูดคุยกับผู้อื่น, การอ่าน, ต้องคิดหา logic ด้วยตัวเอง, ต้องเห็นด้วยตา
ฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น จำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า
• รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว?
• ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด กระตือรือร้นสูงสุด?
4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมอง จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม , การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะ สูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะทำให้เรามีความสดชื่น กระตือรือร้น แล้วเมื่อเราออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมอง function ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ ส่วนซ้าย ส่วนขวา และสมองส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้เราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วนได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว
6. ควรเข้าใจการทำงานของสมอง การทำงานของสมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้
· ความจำระยะสั้น >>> ช่วงเช้า
· ความจำระยะระยะยาว >>> ช่วงบ่าย
· จำเกี่ยวกับตัวเลข >>> ก่อนนอน
· Tab 2
ทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้? ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดีจากการพูดคุย หรือจากการอ่าน เป็นต้น ดั้งนั้น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
1. การสร้างความจำ ทางกายภาพสมองมนุษย์เราสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ ภายในเวลา 1 / 1000 วินาที และโดยรู้ตัวหรือไม่ ข้อมูลที่เราได้รับจะอยู่ภายในสมองเราครบถ้วน เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจากการ " การลืม " ทุกครั้งที่เราได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10 %จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเรา คำถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจำข้อมูลที่เราอยากจำได้ ?
1. จดบันทึก (take note) : เป็นการสั่งสมองให้จำข้อมูล
2. สร้างภาพ : เพื่อช่วยให้มีความจำดีขึ้น ภาพที่สร้างควร • ขนาดใหญ่กว่าความจริง • ขยับมาก มีสีสัน ความรู้สึกรุนแรง • เกินความจริง เช่น ลิงพูดได้ เป็นต้น
2. การอ่าน Information is power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่งและอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรกคือ ถามตัวเองก่อนกว่า " เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้
" เทคนิคในการอ่านเร็ว
· ควรอ่านไม่มีเสียงในใจ
· การอ่านจับใจความสำคัญ : เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย
• เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา key concept >> ตัดสินใจว่าจำเป็นต้องอ่านรึเปล่า เราต้องการรู้อะไร และจะอ่านส่วนไหนบ้าง >> อ่านเจาะประเด็น ก็ทำให้เราไม่เสียเวลาอ่านทุกหน้า
· ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่านคือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล สามารถวัดได้จาก เช่นเป็นข้อมูลที่ up date หรือไม่, สำนักพิมพ์อะไร เป็นต้น
3. การฟัง ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้
1.ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือ หรือไม่
ความน่าเชื่อถือ ---->> เทคนิค
น่าเชื่อถือ แต่ไม่ชอบพูด ---->> ตั้งคำถาม หรือพูดยั่วยุแต่สุภาพ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ความคิด เพื่อกระตุ้นให้ เขาพูด เป็นต้น
น่าเชื่อถือ แต่พูดไม่ตรงประเด็น ---->> ให้ถามอย่างสุภาพว่า ประเด็นที่กำลัง พูดคืออะไร? ช่วยสรุปให้ฟังสัก 2 ประโยคได้มั้ย?
ไม่น่าเชื่อถือ ---->> ให้เราฟังตามมารยาทสังคม
2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า " ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร "
3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่ หรือไม่ใช่
4. การคิด คนที่จะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ในเรื่องที่มีประโยชน์ โดยมีระบบความคิดทั้งหมด 6 ประเภท ดังต่อไปนี้
ประเภท ลักษณะ
1. Think objectively คิดอย่างเป็นกลาง--เห็นความจริงตรง ตามความจริง
2. Think productively คิด ตัดสินใจโดยมองที่ "ผล" เมื่อเจอสถานการณ์หนึ่ง แล้วสามารถคิด พิเคราะห์ถึงผลทั้ง ด้านบวกและลบที่จะตามมา
3. Think positively คิดหาทางแก้ปัญหา เมื่อพบอุปสรรคก็ยังสามารถคิดหาทางพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
4. Think creatively ความคิดที่สร้างเหตุและปัจจัยอันใหม่ เพื่อ สร้างอนาคตของตัวเอง
ความสามารถในการเชื่อมโยง สิ่งต่าง ๆ ที่ เคยชินกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อาจสร้าง ได้โดยการถามตัวเองว่า "ทำอย่างไรจึงจะ
ทำงานของเราได้ดีกว่าเดิม?"
5. Think intuitively เป็นความคิดที่ได้มาจากการถาม ความรู้สึกภายใน
6. Think about the mode คิดเกี่ยวกับความคิดตัวเอง วิพากษ์วิจารณ์ความคิดตัวเองว่า คิดเป็นระบบหรือไม่, บิดเบือนความจริงหรือไม่, คิด ด้วยอารมณ์รึเปล่า : นักคิดระดับโลกต้องคิดอยู่เหนืออารมณ์
โดยสรุป ทุกคนสามารถเพิ่มความฉลาดให้ตัวเองได้ด้วย การระมัดระวังความคิด ถ้าจะคิดให้ใช้สมองคิดแต่เรื่องที่มีประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
Talent Is Never Enough
· Tab 1
ทำไมคนเก่งจึงไม่ประสบความสำเร็จ
บทความที่นำเสนอสรุปประเด็นจากหนังสือเรื่อง Talent Is Never Enough แต่งโดย John C. Maxwell
ผู้แต่งเชื่อว่า พรสวรรค์และสติปัญญาเพียงอย่างเดียวนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ แต่จะต้องมีปัจจัยอื่นอีก 13 ประการ
มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในศักยภาพของตัวเอง (Belief)
คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีความเชื่อมั่นว่า ตนเองมีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า (Passion)
พลังแห่งความมุ่งมั่นในที่นี้แห่งคือ การที่เรามุ่งมั่นว่า เราจะต้องทำในสิ่งที่เราปรารถนาให้ประสบความสำเร็จให้จงได้ และเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และแม้ว่าจะเจออุปสรรคขวางกั้นสักแค่ไหน ก็ไม่ยอมแพ้โดยเด็ดขาด ผู้แต่งเชื่อว่า คนที่มีสติปัญญาไม่สูงมากนัก แต่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ย่อมสามารถเอาชนะคนที่มีสติปัญญาสูงแต่เหงาหงอยหรือเบื่อหน่าย (A passionate person with limited talent will outperform a passive person who possesses a greatest talent.) เมื่อเรามีความมุ่งมั่นมาจากข้างใน จะทำให้กิริยาท่าทาง คำพูด และการกระทำเต็มไปด้วยพลัง คำพูดจะน่าเชื่อถือ ผู้ฟังจะเกิดกำลังใจ มีความกระตือรือร้น และเต็มใจให้ความ ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม คนที่มีความมุ่งมั่นจะต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังในสิ่งที่ตนเองจะลงมือกระทำด้วย เพื่อช่วยให้ไม่หลงทางและเสียเวลาไปโดยใช้เหตุ
มีจินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Initiative)
การสร้างจินตนาการนั้นแตกต่างจากการฝันกลางวันตรงที่ว่า การจินตนาการจะต้องมีการลงมือกระทำด้วยเสมอ แต่การฝันกลางวันคือ การวาดภาพในอากาศ แต่ไม่เคยมีการลงมือกระทำ ใด ๆ เลย ผู้แต่งเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นเพียงการรอคอยปัจจัยภายนอก ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิต ก็เป็นได้ในการรอคอยให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น ในทางกลับกัน การพยายามริเริ่มความคิดที่สร้างสรรค์จะช่วยพัฒนาสติปัญญาและช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ที่เราวาดฝันไว้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
มีสมาธิ
สมาธิคือ การจดจ่อกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเสร็จแล้วจึงค่อยเปลี่ยนไปทำสิ่งอื่น โดยในระหว่างที่ลงมือกระทำจะต้องไม่คิดเรื่องอื่น ไม่คิดถึงเรื่องอดีต และต้องไม่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ผู้แต่งกล่าวว่า สมาธิจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเกิดความกระตือรือร้น และมุ่งมั่นใน การทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ เพราะคนที่มีสมาธิจะไม่หัวเสียไปกลับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จิตจะพุ่งไปสู่การเป้าหมายที่วางไว้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การมีสมาธิเพียงอย่างเดียวบางครั้งอาจจะเป็นการพยายามที่ผิดทางก็เป็นได้ จึงจำเป็นจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา โดยการหมั่นถามตนเองว่า ขณะนี้เรากำลังทำสิ่งใด ทำไปเพื่ออะไร ตรงประเด็นหรือไม่ เราอยู่ห่างจากเป้าหมายมากน้อยเพียงใด และเราจะต้องทำสิ่งใดอีกบ้างเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายดังกล่าว
มีการเตรียมตัว (Preparation)
การเตรียมตัวนั้นถือว่า เป็นการให้เกียรติคนฟัง เช่น ในกรณีที่เราจะต้องนำเสนอโครงงานให้เพื่อนร่วมงานฟัง เราควรเตรียมตัวไปล่วงหน้า ถึงแม้ว่าเราจะเคยนำเสนอโครงงานนี้มาแล้วก็ตามที เพราะในการนำเสนอแต่ละครั้งสถานการณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในแง่ของกลุ่มผู้ฟัง ตัวผู้พูดเอง และสถานการณ์รอบข้างที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น เราจึงไม่ควรประมาท ควรเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง ทั้งในเรื่องการนำเสนอและการเจรจาทางธุรกิจ เป็นต้น
มีการฝึกฝน (Practice)
การฝึกฝนจะช่วยให้เรามีสติปัญญาที่ลุ่มลึกมากขึ้น และรู้จักตัวเองมากขึ้น เช่น เราถนัดทำงานในช่วงใดของวัน ในสภาพแวดล้อมแบบใด หรือเราชอบมอบหมายงานให้ลูกน้องแบบใด เป็นต้น
มีความมานะบากบั่นพากเพียร (Perseverance)
ผู้แต่งได้ยกตัวอย่างของวอลท์ ดิสนีย์ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะต้องเพียรพยายามในการขอเงินกู้มากกว่าสามร้อยครั้งเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการสร้างดิสนีย์แลนด์แห่งแรกในลอสแองเจลลิส แต่เขาก็ไม่ย่อท้อเพราะเขาเชื่อว่า สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขาล้มเลิกความพยายามได้ก็คือ ความสำเร็จจาก การที่เขาพยายามทำสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง
มีจิตใจเข้มแข็งและกล้าหาญ (Courage)
ความกล้าหาญในที่นี้คือ ความกล้าที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ทั้งความสมหวังและความผิดหวัง เป็นต้น
มีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา (Teachability)
คนที่ประสบความสำเร็จจะมีจิตใจที่เปิดกว้างและคิดอยู่เสมอว่าตนเองนั้นมีความรู้เพียงน้อยนิด จำเป็นจะต้องค้นคว้าและเปิดใจยอมรับ ความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จมากมายแค่ไหนก็ตาม
มีลักษณะนิสัยที่ดี (Character)
บุคลิกลักษณะในที่นี้คือ ในสายตาของผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง เราเป็นคนอย่างไร ฉะนั้น หากอยากจะประสบความสำเร็จ เราจะต้องพยายามปรับตัวและทำตัวเป็นคนดี นิสัยเดิมของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากเป็นนิสัยที่ไม่ดี ขัดต่อศีลธรรมจรรยา เราก็ต้องพยายามแก้ไขเพราะไม่มีคนใดที่อยากจะทำงานกับคนที่มีนิสัยที่ไม่ดี เช่น นิสัยพูดจาขวานผ่าซาก พูดจาเสียดสีนินทาว่าร้ายผู้อื่น หรือทำอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ เป็นต้น นอกจากนั้น โดยทั่วไปแล้วมนุษย์มักเลือกที่จะจดจำนิสัยที่ไม่ดีของผู้อื่นมากกว่านิสัยที่ดี ฉะนั้น ผู้แต่งจึงแนะนำว่า ภาพพจน์และชื่อเสียงนั้นเป็นสิ่งที่จะต้องรักษาไว้ดั่งชีวิต เพราะพลาดครั้งเดียวเท่ากับทำลายภาพพจน์ที่ดีที่เคยสั่งสมมา ให้หายไปได้ภายในพริบตาเดียว
มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างนั้น ตัวเราเองจะต้องเป็นคนพยายามปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น มีน้ำใจ และพยายามอะลุ้มอล่วย ในสิ่งที่พอจะ ทำได้ โดยจะต้องไม่ขัดต่อหลักการความถูกต้อง นอกจากนั้น เราควรเลือกบุคคลที่จะคบหาสมาคมด้วย เพราะอารมณ์ ความคิด คำพูด และการกระทำของคนรอบข้างจะต้องกระทบเราอย่างหลีกเลี่ยงเสียไม่ได้ ฉะนั้น การเลือกคบคนไม่ควรตัดสินจากคำพูด รูปลักษณ์ภายนอก หรือการกระทำเพียงผิวเผินของฝ่ายตรงข้าม แต่วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การสังเกตดูจากคนรอบข้างของคน ๆ นั้น เพราะสิ่งที่เหมือนกันย่อมดึงดูดกัน เช่น คนที่ซื่อสัตย์ย่อมทนไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกับคนที่โกง หลังจากใช้เวลาในการสังเกตในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อจะต้องมีการปฏิสัมพันธ์โดยตรง กับคน ๆ นั้น ให้ใช้ความรู้สึกไปทาบว่า เรารู้สึกอย่างไรเมื่ออยู่ใกล้คน ๆ นี้ อึดอัดหรือสบายใจ และที่สำคัญคือ ความรู้สึกจะไม่มีเหตุผลจาก ปัจจัยภายนอกเข้าไปเกี่ยวข้องเช่น เพราะเขาหน้าตาดี มีฐานะดี หรือมีความสามารถเราจึงอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เหล่านี้มิใช่ความรู้สึกแต่เป็น ความคิดที่ไม่สามารถเชื่อถือได้
มีความรับผิดชอบ (Responsibility)
เมื่อเกิดปัญหาจะต้องไม่โยนความผิดให้ผู้อื่นไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก็ตาม
มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Teamwork)
การทำงานให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยบุคคลที่มีความสามารถในหลาย ๆ ด้านเข้ามาช่วยกันระดมสมอง เพื่อขยายขอบเขตของ จินตนาการออกไปให้กว้างไกลมากขึ้น ฉะนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และจะต้องเน้นเรื่องงาน เป็นหลักมากกว่าเรื่องส่วนตัว
Time Traps
· Tab 1
Time Traps บทความที่นำเสนอมาจากหนังสือเรื่อง Time Traps แต่งโดย Todd Duncan เป็นเรื่องเกี่ยวกับ พฤติกรรมในการทำงาน ที่พล่าผลาญเวลาโดยไม่จำเป็น โดยผู้แต่งมีความเชื่อว่า เวลาทั้งหมดในชีวิต ม่จำเป็นต้องทุ่มเทให้กับเรื่องงานเพียงอย่างเดียว เพราะชีวิตไม่ได้มีเพียงมิติเดียว และในโลกนี้ยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่รอให้เราค้นหา แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ มักใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์จนไม่เหลือเวลา ที่จะมองโลกในมุมอื่น ๆ หรือไม่มีเวลาพอแม้แต่จะสานความฝันที่ตัวเองต้องการให้เป็นจริง ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นหลุมพรางควรแก่การหลีกเลี่ยงเพื่อประหยัดเวลาที่มีค่าในชีวิตดังนี้
1. การตกหลุมพรางกับการสร้างภาพให้ตัวเอง (Identity trap)
การสร้างภาพในที่นี้คือ การทำตัวยุ่งอยู่ตลอดเวลา ขยันขันแข็ง ทุ่มเทให้กับการทำงานทุกวินาทีจนแทบจะไม่มีเวลาว่าง แม้แต่เวลาทานอาหาร ก็ต้องคุยเรื่องงาน กลับบ้านก็เอางานกลับไปทำ พฤติกรรมดังกล่าวดูผิวเผินอาจจะเป็นเรื่องดี แต่ผู้แต่งกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้าง ความ อึดอัด ความกระวนกระวายใจ ความเร่งรีบ และความตึงเครียดให้สั่งสมอยู่ในจิตใจโดยไม่รู้ตัว เหมือนลากโซ่ตรวนติดตามตัว ไปตลอดเวลา สุดท้ายมักจบลงที่คำว่า ทำงานไม่ทัน ทำงานไม่เสร็จ ทำงานไม่ดี เพราะความกังวลที่สะสมในจิตใจเป็นตัวบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน เมื่อไม่มีผลงาน ก็เกิดความเครียด ความกังวลใจวนเวียนเป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด และนอกจากนั้น ผู้แต่งยังเชื่อว่า การสร้างภาพเป็น คนที่มีงาน รัดตัวนั้น อาจจะเป็นการโกหกตัวเอง เพื่อหนีความจริง เพราะรู้ตัวดีว่า ตนเองไม่มีผลงาน
วิธีทางแก้ไขมีดังนี้
รู้ว่าจุดไหนคือเพียงพอแล้ว และเลือกทำแต่สิ่งที่สำคัญ และสร้างผลประโยชน์แก่องค์กรมากที่สุด บอกตัวเองว่า ชีวิตนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานอย่างเดียว บอกตัวเองว่า การใช้เวลาในแต่ละวันจะต้องช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่าแคร์สายตาของผู้อื่นมากนัก แต่ให้รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรและทำเพื่ออะไร
2. การตกหลุมพรางกับระบบงานในองค์กร (Organization trap)
ในที่นี้คือการตอบอีเมลล์ ตอบจดหมาย หรือรับโทรศัพท์ เป็นต้น งานดังกล่าวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้แต่งเปรียบเหมือน การพายเรือใน กระแสน้ำ อันเชี่ยวกราก และถึงแม้ว่าจะหยุดกระแสน้ำไม่ได้ แต่ผู้แต่งมีวิธีชะลอความแรงของกระแสน้ำได้โดยการสร้างเขื่อน มีด้วยกัน 4 วิธี ดังนี้
1.หยุดทุกกิจกรรมที่ไม่จำเป็นเช่น คุยโทรศัพท์ในเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนฝูงตอบอีเมลล์ที่ไม่เร่งด่วน หรือเล่นอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
2.ลงมือทำในสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้กับองค์กร
3.ประเมินตัวเองว่าสามารถหยุดกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่
4.ประเมินตัวเองว่าได้ลงมือทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อองค์กรตามที่คิดไว้บ้างหรือยัง หรือทำแล้วมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง
3. การตกหลุมพรางกับการชอบทำงานทุกอย่างด้วยตนเอง (Control trap)
ผู้แต่งเชื่อว่าคนที่เลือกทำงานเองทั้งหมด มีเหตุผลอยู่ 4 แบบคือ
1.Ego สูงไม่ไว้ใจใคร คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด
2.ไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองกลัวคนอื่น จะดูถูกดูแคลน จึงเลือกที่จะทำเองทั้งหมด
3.คิดแบบตื้น ๆ ว่าทำเองก็ได้ ไม่ต้องไปพึ่งใคร
4.เป็นนิสัยส่วนตัว
การทำงานด้วยตัวเองทั้งหมดเป็น การใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แทนที่จะเอาเวลาไปสร้างผลงานอย่างอื่นที่สำคัญมากกว่า และยังเป็นการแสดงถึง การขาดความสามารถในการทำงานเป็นทีมด้วย สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดย การรู้จักกระจายงานไปให้ผู้ร่วมงานหรือลูกน้องทำบ้าง และควรหมั่นเข้าหาหัวหน้าให้ท่านชี้นำแนวทางที่ถูกต้อง ในการสร้างผลงาน แก่องค์กร เพื่อประหยัดเวลาในการลองผิดลองถูก
4. การตกหลุมพรางกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ (Technology trap)
ในที่นี้คือการเสียเวลากับการรับโทรศัพท์ เล่นอินเตอร์เน็ต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิก รุ่นใหม่ ๆ ที่จะต้องเสียเวลากับการ ทดลองใช้เสียเวลาอ่านคู่มือ ดังนั้น ผู้แต่งจึงแนะนำว่า การให้ผู้ที่เคยใช้เครื่องดังกล่าว มาสาธิตวิธีการใช้จะเป็นการประหยัดเวลา และสะดวก กว่าการศึกษาด้วยตนเอง นอกจากนั้น ผู้แต่งยังให้ข้อคิดว่า การใช้อุปกรณ์ที่ธรรมดาไม่ต้องไฮเทคมากนัก จะประหยัดเวลามากกว่า และได้ประโยชน์เหมือน ๆ กัน เช่นการจดบันทึกข้อมูลในสมุดย่อมรวดเร็วกว่าการคีย์ข้อมูลลงในอิเลคโทรนิคไดอารี่หรือPalm เป็นต้น
5. การตกหลุมพรางกับการพยายามสร้างผลงานที่มากเกินไป (Quota trap)
ในที่นี้คือการพยายามสร้างฐานลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยผู้แต่งได้จำแนกประเภทของลูกค้าที่ควรหลีกเลี่ยงและที่ควรรักษาไว้ ดังนี้
กลุ่มลูกค้าที่ควรหลีกเลี่ยง
-จุกจิกและซื้อสินค้าน้อย
-จุกจิกแต่ก็ซื้อสินค้ามาก ประเภทนี้ต้องหลีกเลี่ยงเพราะทำให้เราเสียเวลามากจนเกินไป
กลุ่มลูกค้าที่ควรรักษาไว้
-ซื้อมาก ไม่เรื่องมากและช่วยแนะนำคนอื่นมาซื้อสินค้าเรา
-ซื้อน้อย แต่ไม่เรื่องมากและชอบสินค้าของเรา กลุ่มนี้ควรรักษาไว้เพราะเมื่อมีโอกาสลูกค้ากลุ่มนี้จะซื้อสินค้าของเราอีกอย่างแน่นอน
6. การตกหลุมพรางกับการกลัวความผิดพลาด (Failure trap)
คือการไม่กล้าเสนอผลงานมากนักเพราะกลัวจะผิดพลาด ส่งผลให้เวลาเสนอผลงานในที่ประชุม จะไม่มั่นใจและเสียเวลามาก เพราะมีแต่ความ หวาดวิตกอยู่ตลอดเวลา ผู้แต่งเสนอทางแก้คือให้ตั้งเป้าหมายให้สูงไว้ก่อนและต้องรู้จักเลือกทำงานที่สำคัญและสร้างประโยชน์ให้องค์กร
7. การตกหลุมพรางกับค่านิยมของสังคม (Party trap)
หลุมพรางสุดท้ายในที่นี้คือ การเห่อเหิมไปตามค่านิยมของสังคม เช่นทำงานหนักเพื่อเก็บเงินซื้อรถรุ่นใหม่ มือถือรุ่นล่าสุด หรือบ้านราคา หลายสิบล้าน เป็นต้น เหล่านี้เป็นความคิดที่ผิดเ พราะชีวิตที่แท้จริงมีหลายมิติเกินกว่าเรื่องวัตถุ คุณภาพชีวิตที่ดีจะต้องประกอบด้วย การมีสุขภาพที่ดี การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง การมีโลกทัศน์ที่กว้างไกล การสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคม และมีเวลาเหลือพอ ที่จะไปทำสิ่งต่าง ๆ ที่ในใจลึก ๆ อยากจะทำ
Life Strategy doing what works, doing what matter
· Tab 1
Life Strategy Laws of Life
From “Life Strategy doing what works, doing what matter” By Phillip C McGraw
1. You either get it or you don’t ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามจะมีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ล้มเหลว คนที่จะประสบ ความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความทุ่มเท และความเพียรพยายาม แต่สำหรับผู้ที่ทุ่มเทแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ ให้ลองวิเคราะห์ว่า หนึ่ง ท่านมีความรู้ในสิ่งที่ทำอยู่เพียงพอหรือไม่ และคนอื่นที่อยู่ในวงการเดียวกับท่านเขารู้มากกว่าท่านหรือไม่ และสอง ท่านรู้จักมนุษย์รอบข้าง ดีพอหรือไม่ เนื่องจากในการทำงานนั้นส่วนใหญ่เราจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับคนอื่น บางคนจึงล้มเหลวเพราะขาดความเข้าใจในมนุษย์
กฎธรรมชาติเกี่ยวกับมนุษย์
· มนุษย์ทั้งโลกกลัวการถูกปฏิเสธ ถ้าเราสามารถทำอะไรให้ใครได้โดยไม่เดือดร้อนหรือไม่ผิดศีลธรรมเราก็ควรทำ
· มนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับ ดังนั้นการสร้างความพันธ์กับคนอื่นจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติกัน
· มนุษย์มองสถานการณ์ต่างๆ จากหลักการของผลประโยชน์ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความถึงในรูปของตัวเงินเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย เช่นประโยชน์ด้านความพึงพอใจ เป็นต้น ดังนั้นในการทำกิจการใดๆ ให้ยึดหลัก Win Win Situation คือการได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
· มนุษย์ชอบคุยแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ชอบฟังเรื่องของคนอื่น ดังนั้นให้ฝึกการเป็นนักฟัง
· มนุษย์นั้นก่อนจะรับฟังและให้ความร่วมมือกับสิ่งใดๆ เขาจะต้องเข้าใจในสิ่งนั้นๆก่อน ดังนั้นเราจะต้องมีความสามารถใน การสื่อความให้อีกฝ่ายเข้าใจเราได้
· มนุษย์มักจะไว้วางใจเฉพาะคนที่เขาชอบหน้าเรา ดังนั้นเราควรมีทัศนคติที่ดีต่อโลกและต่อมนุษย์ ไม่ตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว เขาก็ไว้เนื้อเชื่อใจเราเอง
· มนุษย์ทุกคนมีการสวมหน้ากาก หรือSocial Mask คือทุกคนจะต้องมีบทบาทหน้าที่หรือสวมหัวโขนอยู่ สิ่งที่เราเห็นอาจ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง ดังนั้นให้มองเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่าไปติดอยู่กับภาพที่เห็นแค่ภายนอก
2. You create your own experience ตัวเราเองเป็นคนกำหนดประสบการณ์ชีวิตของเรา และกำหนดได้ด้วยความคิด ดังนั้นอย่าโทษ ปัจจัยภายนอกว่าเป็นสิ่งที่มาทำให้เราผิดหวัง ผู้ที่เป็นนักปราชญ์จะต้องรู้ว่าควรหยิบเรื่องไหนมาคิด และจะหยิบเรื่องนั้นมาคิดในเวลาไหน ตัวเราเองมีส่วนอย่างมากในการกำหนดผลลัพธ์ของชีวิตเรา
3. Reciprocity หลักต่างตอบแทนหรือต่างปฏิบัติ นั่นคืออะไรกับใครเอาไว้ก็จะได้อย่างนั้น เช่นถ้าเราพูดจาสุภาพกับเขา เขาก็จะใช้คำสุภาพ กับเราดังนั้นถ้าเราอยากได้สิ่งใดจากผู้อื่นจงให้สิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน
4. You can’t change what you don’t acknowledge ปัญหานั้นๆ ได้ก่อน เช่น ต้องเกิดการยอมรับก่อนว่า เราเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เราจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
5. Life Rewards Action ชีวิตจะให้รางวัลกับคนที่ลงมือกระทำ สำหรับคนที่มีความคิดแต่ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติ ให้ใช้วิธีการ มรณานุสติ คือหมั่นถามตนเองว่าตอนนี้อายุเท่าไร และจะเหลือเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกกี่ปี ถ้าไม่ทำตอนนี้จะไปทำตอนไหน เป็นต้น
6. ตัวเราเองที่เป็นคนให้ความหมายกับชีวิต บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ลำบาก แต่มีความอดทนใฝ่หาความรู้ จนชีวิตประสบความสำเร็จได้ แสดงให้เห็นว่าตัวเราเองที่เป็นคนให้ความหมายกับชีวิต
7. Life is manage not cure ชีวิตต้องมีการบริหารจัดการ มิใช่การหาทางแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา เราต้องเป็นผู้จัดการชีวิตของตนเอง และถามผู้จัดการชีวิตคนนี้ว่า ได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเรานี้ถึงที่สุดหรือยัง, ได้เคยช่วยสร้างโอกาสต่างๆ ให้ชีวิตบรรลุถึง วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือยัง, เคยได้ดูแลให้เกิดดุลยภาพระหว่างสุขภาพกาย จิต และอารมณ์หรือไม่ และสุดท้ายเมื่อเกิดปัญหา ผู้จัดการชีวิตคนนี้ใช้วิธีการแก้ปัญหาหรือหนีปัญหา คนส่วนใหญ่มักทำตัวเป็น Passenger หรือผู้โดยสารชีวิต คือปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่ Manage ชีวิต เพราะไม่ชอบการตัดสินใจ เนื่องจากในการตัดสินใจนั้นมีความเสี่ยง และต้อง get out of our comfort zone
8. There’s power in forgiveness การให้อภัยมีพลังเหนือ ความขุ่นใจอันเกิดจากความอาฆาตพยาบาท ความโกรธแค้น เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเจ็บป่วย แต่การให้อภัยมีพลังอำนาจที่สูงกว่า สามารถทำให้โรคภัยและความทุกข์ต่างๆ ได้ และยังสามารถพลิก ความสัมพันธ์ของเรากับคนที่เราโกรธจากสภาพร้ายสุดมาเป็นสภาพดีสุดได้ด้วย ดังพุทธโอวาทที่ “พึงชนะความโกรธ ด้วยการให้อภัย”
9. You have to name it to claim it การจะได้อะไรมานั้นเราจะต้องรู้จักกับสิ่งนั้นก่อน เช่นถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าลึกๆ แล้วชีวิตต้องการอะไร รู้หรือไม่ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะตราบใดที่เรายังบอกไม่ได้ว่า สำหรับตัวเราแล้วอะไรคือ ความสุข อะไรคือความสำเร็จ ก็ไม่ต้องพูดถึงจุดทีเรียกว่า outcome เพราะจะกลายเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขาผิดลูก สรุปก็คือ คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนจากโลกนี้ไป คุณต้องการจะบรรลุอะไร และอะไรคือเป้าหมายหลักของชีวิต
· Tab 2
คิดอย่างมหาเศรษฐีอเมริกัน Sam Walton
Sam Walton..Made In America บทความที่นำเสนอมาจากหนังสือเรื่อง Sam Walton..Made In America แต่งโดย Sam Walton ผู้บุกเบิกธุรกิจห้างสรรพสินค้าขายปลีก (Supercenter store) รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ร้านค้าของ Sam Walton ตั้งอยู่ทุกหัวระแหงใน 50 รัฐทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา โดยรู้จักกันในชื่อว่า ร้านวอลมาร์ท (Wal-Mart) วอลมาร์ทเป็นร้านสรรพสินค้า ที่มีจุดเด่น คือ สินค้ามีความหลากหลาย มีคุณภาพ และมีราคาถูกกว่าร้านอื่น ๆ และที่สำคัญหากลูกค้าไม่พอใจสินค้าสามารถนำมาแลกคืนได้ทันที จากคุณสมบัติที่โดดเด่น ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ทำให้ร้านวอลมาร์ทประสบความสำเร็จอย่างท่วนท้น จนเจ้าของกิจการอย่าง Sam Walton ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ความสำเร็จของวอลมาร์ท ไม่ได้หยุดอยู่แค่ใน สมัยของ Sam Walton แต่ยังสามารถสืบต่อสู่รุ่นลูกรุ่นหลานมาจนถึงปัจจุบัน จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบทสรุปของความสำเร็จ แต่กว่าจะมาเป็น Sam Walton ที่คนทั่วโลกรู้จัก เขาต้องเผชิญอะไรมาบ้าง มีรายละเอียด ดังนี้เบื้องหลังชีวิตของ Sam Walton
ความสำเร็จของ Sam Walton สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาอย่างแท้จริง เพราะตั้งแต่วัยเด็กเขายากจนมาก ไม่มีเงินจะเรียนหนังสือ ซ้ำยังเป็นเด็กกำพร้า แต่เขาก็ไม่เคยท้อถอยทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เรียนไปทำงานไป ไม่เคยคิดว่าตนเองมีปมด้อยWalton คิดว่าเขาไม่สามารถเลือกเกิดได้แต่เขาสามารถเลือกที่จะมีชีวิตเป็นของตนเองได้ ตั้งแต่เล็กเขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นเซลล์แมน เพราะเป็นอาชีพ ที่รวยที่สุดในสมัยนั้น เขาจึงเริ่มฝึกฝนตัวเองโดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเพื่อฝึกทักษะในการเข้าสังคม
เมื่ออายุได้ อายุ 32 ปี Walton เริ่มทำธุรกิจครั้งแรกในรัฐอาร์คันซอโดยการเปิดร้านค้าเล็ก ๆ จุดขายของร้านคือสินค้าดี ราคาถูก และมีความหลากหลาย เขาตั้งเป้าหมายไว้ว่าร้านจะต้องได้กำไรสูงสุดภายในห้าปี โดยWalton มีวิธีการสำคัญในการลดต้นทุนของสินค้า คือการเข้มงวดเกี่ยวกับรายจ่ายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นราคาต้นทุนสินค้าและการใช้จ่ายเงินของลูกน้อง การเข้มงวดเรื่อง รายจ่ายจะทำให้ลูกน้อง ไม่กล้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและบริษัทผู้ผลิตไม่กล้าเสนอราคาสินค้าที่สูงมากนัก และจากที่เขาเคยยากจนมาก่อนจึงรู้ซึ้งถึงค่าของเงินทำให้ Walton ต่อรองราคาสินค้าเก่งมากจนเป็นที่ยอมรับกันในกลุ่มของบริษัทผู้ผลิตสินค้าทั่วไป และเนื่องจากร้านค้าของเขาเพิ่งเปิดใหม่ ยังไม่เป็นที่รู้จัก มากนัก Walton จึงเข้าร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับคนในชุมชนเพื่อให้คนรู้จักร้านค้าของเขามากยิ่งขึ้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น ร้านค้าร้านแรกของ Sam Walton ดูท่าจะไปได้ดีแต่สุดท้ายโชคกลับไม่เข้าข้าง เจ้าของที่ดินกลับไม่ยอมต่อสัญญาเช่า ความฝันที่จะสร้างร้านค้าที่ดีที่สุดจึงต้องล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่า ความล้มเหลวครั้งนี้ทำให้Sam Walton หยุดทำธุรกิจไปถึง 12 ปี ในระหว่างนั้นเขาได้ใคร่ครวญถึงธุรกิจที่ผ่านมาและขบคิดยุทธวิธีใหม่ ๆ จนกระทั่งเมื่ออายุ 44 ปี เขาได้กลับมาผงาดในวงการธุรกิจอีกครั้ง โดยการเปิดร้านWal-Mart ขึ้นเป็นแห่งแรก และขยายสาขาออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นจำนวนกว่า 40 สาขาต่อปี
เบื้องหลังความสำเร็จของ Sam Walton
1. คิดนอกกรอบ ส่วนใหญ่ห้างสรรพสินค้ามักจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ Walton เล็งเห็นถึงปัญหาเรื่องที่จอดรถ ค่าเช่าที่ราคาสูง และมีอัตราการแข่งขันสูง เขาจึงฉีกมุมออกไปโดยการเปิดร้านตามชานเมืองเพราะมีที่จอดรถกว้างขวาง ค่าเช่าที่ก็ไม่แพง อีกทั้งยังมีคนมาตั้งร้านไม่มากนัก จึงทำให้ร้านวอลมาร์ทมีส่วนแบ่งทางการตลาดสินค้าขายส่งตามแถบชานเมืองมากที่สุด
2. มีเป้าหมายชัดเจน จุดเด่นที่ชัดเจนของร้านวอลมาร์ทคือสินค้าคุณภาพดี และเน้นที่ราคาถูกกว่าร้านอื่น ดังนั้น การตกแต่งร้านจึงเป็น แบบเรียบง่ายไม่หรูหรา เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะได้นำงบประมาณส่วนนี้มาชดเชย กับราคาสินค้าที่ต้อง กดลงให้ต่ำกว่าร้านอื่น ๆ
3. ประเมินตลาดและคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร้านวอลมาร์ทจะเป็นที่นิยมแล้วก็ตามแต่ Sam Waltonก็ไม่ชะล่าใจคอยสำรวจ ราคาสินค้าของร้านคู่แข่ง อยู่ตลอดเวลาด้วยวิธีการอันหลากหลาย เช่น การไปสืบราคาตามร้านต่าง ๆ ด้วยตนเอง หรือไปค้นตาม กล่องสินค้าที่เขาทิ้งแล้ว และการผูกมิตรกับพนักงานส่งของเพื่อสืบข้อมูลสินค้าจากร้านอื่น ๆ เป็นต้น
4. พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา Sam Walton จะคอยศึกษาวิธีการทำงานและการดำรงชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จอยู่ตลอดเวลา เพื่อมาปรับใช้กับชีวิตของตนเอง
5. รู้จักคัดสรรพนักงาน พนักงานที่ดีในสายตา Sam Walton ไม่จำเป็นต้องจบตรงตามสาขาที่ต้องการก็ได้ ขอเพียงแต่มีความขยัน ซื่อสัตย์ และมีความเอาใจใส่อยากที่จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง
6. สร้างความกระตือรือร้นให้กับพนักงานทุกคน โดยการ 1) ไปตรวจเยี่ยมตามสาขาต่าง ๆ โดยไม่บอกล่วงหน้า 2) ผู้จัดการทุกคนจะต้องเข้าประชุมทุกวันเสาร์เวลา 7.30 น. เพื่อเสนอความคิดเห็น ปัญหาที่เกิดขึ้น และหนทางแก้ไข และหากสาขาไหนมีผลงานดีจะมีการนำเสนอในที่ประชุม
7. ดูแลพนักงานอย่างดี เช่น มีการฝึกงานและจัดแข่งขันกีฬาเพื่อสร้างความกลมเกลียวในองค์กร
8. สรรหาบุคลากรด้วยตนเอง โดยการไปเรียน MBA ด้วยตนเอง เพื่อไปคัดเลือกและชักชวนคนที่มีความสามารถมาทำงานให้กับองค์กร
9. รู้จักสอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน Sam Walton สอนให้ลูกรู้จักทำงานหนัก โดยการให้มาจัดของเข้าร้านในวันหยุด จะได้เข้าใจถึง ความยากลำบากของพนักงานในองค์กร เพื่อเป็นรากฐานในการสืบทอดกิจการสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป ในปี 1991 Sam Walton ได้รับเหรียญกิตติมศักดิ์ The Presidential Medal of Freedom ซึ่งเป็นตราสูงสุดที่องค์กรเอกชน พึงจะได้รับจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และได้รับการกล่าวสดุดีว่า “Sam Walton เป็นบุคคลตัวอย่างที่เป็นเสมือน สัญลักษณ์แห่งความฝันและความสำเร็จของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง เพราะเขาเริ่มต้นจากที่ไม่มีอะไรเลย แต่ด้วยความอุตสาหะวิริยะทำให้เขามีวันนี้ และสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพียงเพื่อธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นการสร้างอาชีพ สร้างสรรค์สินค้าที่ดีที่สุด และคืนสิ่งดี ๆ สู่สังคมโดยการบริจาคเงินทุนเพื่อพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่องเสมอมาอีกด้วย ” จากเรื่องราวทั้งหมดของ Sam Walton คงจะเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า แม้คนเราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะมีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเองได้ ขอเพียงแต่มีความมุ่งมั่น และความเพียรพยายามความสำเร็จคงอยู่แค่เอื้อม