The Power of Now
จิตรานุภาพของการตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน
บทความที่นำเสนอสรุปจากหนังสือชื่อ The Power of Now แต่งโดย Eckhart Tolle ว่าด้วยเรื่องของพลังแห่งการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เราให้เราประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีความสงบในจิตใจ ผู้แต่งได้อธิบายถึงกลไกของความคิดที่ก่อให้เกิดความทุกข์และวิธีการสร้างความสุขให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ
ซึ่งมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้ระบบความคิดซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ มีลักษณะตามสภาวะธรรมชาติ ดังนี้
ทำงานด้วยตัวของมันเอง เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา และไม่สามารถบังคับได้
ข้อมูลจากการวิจัยทั่วโลกพบว่า มนุษย์มีความคิดที่ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติมากกว่าห้าหมื่นเรื่องต่อวัน ความคิดเหล่านี้เป็นสาเหตุให้มนุษย์เกิดความทุกข์ เพราะส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองเช่น ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ หรือความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น เป็นต้น โดยมนุษย์ส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าความคิดดังกล่าวเป็นตัวเรา เป็นของเรา และถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติไม่จำเป็นต้องแก้ไขใด ๆ ฉะนั้น เมื่อมีความทุกข์หรือมีความอึดอัดใจ พวกเขาเหล่านั้นจึงรู้เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่มีความสุข แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรหรืออาจจะหาทางออกโดยการเสาะแสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเป็นการชดเชย โดยมองข้ามต้นตอของความทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งวิธีนี้เป็นหนทางออกจากความทุกข์เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อกลับมาคิดอีกก็ทุกข์อีก วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีการแก้ไขคือ ให้ตระหนักอยู่เสมอว่า ความคิดไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราจึงควบคุมไม่ได้ และถึงแม้ว่าเราจะบังคับความคิดไม่ได้ แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกคิดเฉพาะเรื่องที่ดี มีประโยชน์ และสร้างสรรค์ได้ เราไม่จำเป็นจะต้องจมอยู่กับกองทุกข์เสมอไป เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ด้วยตัวของเราเอง
2.ไม่อยู่กับปัจจุบัน
ความคิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมักเป็นเรื่องในอดีตทั้งในแง่บวกและแง่ลบ หรือไม่ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเรื่องในอดีต หากเป็นเรื่องในแง่ลบย่อมทำให้เราจิตใจเศร้าหมอง แต่ถ้าเป็นเรื่องในแง่บวกก็อาจทำให้เราประมาทและเผลอเรอได้ ส่วนเรื่องในอนาคต มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความกังวลหรือคิดเกินปรุงแต่งไปเอง
3.ก่อให้เกิดอารมณ์
ความคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น จะเป็นความคิดที่เต็ม ไปด้วยตัวกูของกู จึงก่อให้เกิดอารมณ์ได้ทั้งในแง่ลบและแง่บวกเช่น เมื่อถูกตำหนิหรือด่าทอ จิตใจเราจะปรุงแต่งทันที เกิดเป็นความคิดต่อต้าน จนเกิดเป็นอารมณ์โกรธ เพราะคิดว่า ตัวเราเป็นเจ้าของความคิดเหล่านั้น หรือเมื่อเห็นของที่โปรดปรานจิตใจจะปรุงเป็นความคิด จนเกิดเป็นอารมณ์รักหรือพอใจ เมื่อนั้นจะเกิดเป็นตัณหา ความอยากที่จะครอบครอง เมื่อไม่ได้ดังใจก็จะเกิดความทุกข์ตามมา
4.เป็นเสียง
เมื่อจิตใจเกิดการปรุงแต่ง จะแสดงออกมาในรูปแบบของเสียงที่ดัง อยู่ในใจ หากเราเชื่อว่าเสียงดังกล่าวเป็นตัวเรา เราก็จะมีพฤติกรรมและคำพูดเป็นไปตามความคิดที่ผุดขึ้นมา ซึ่งตามที่ทราบกันดีแล้วว่า ความคิดที่เกิดขึ้นเองเมื่อเราไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวนั้น จะเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งส่งผลให้การกระทำและคำพูดของเราปราศจากความรู้สึก เต็มไปด้วยความเป็นตัวกูของกู และวินาทีที่เราไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ความคิดในแง่ลบที่ผุดขึ้นจะมีผลต่อจิตใจของเราทันที ก่อให้เกิดความทุกข์สุมอยู่ในจิตใจ
วิธีการสร้างความสุขและเปิดจิตเข้าสู่ความสงบโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน
1) ฝึกรู้ทันความคิดและอารมณ์ที่ปรุงแต่งขึ้นมาทุกวินาที
หลักในการมองความคิดหรือมองอารมณ์คือ เราจะต้องสวมบทบาทเป็น “ผู้มอง” อย่างเดียวโดยไม่ต้องเติมสีปรุงแต่ง แม้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตามที อย่างไรก็ตาม การฝึกมองอารมณ์นั้นจะปลอดภัยกว่าการมองความคิดเพราะการมองความคิด อาจจะหยุดไม่ได้และอาจทำให้เสียสติ ดังนั้น จึงแนะนำว่า เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นให้ เพียงทำใจ“รู้”ว่ามีความคิดเกิดขึ้น หากเป็นความคิดที่ไม่ดี ไม่สร้างสรรค์ ให้ตัดทิ้งทันทีไม่ต้องเสียดาย ให้เลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดี หมั่นสร้างความคิดที่ดีให้เกิดขึ้นในจิตใจเพื่อเป็นการทดแทนความคิดที่ไม่ดี และพยายามประคองไม่ให้ความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้อีกเลย เมื่อนั้นจิตใจจะเกิดความสงบและสบาย จิตจะเข้าใกล้ความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานมากขึ้นในทุกขณะจิต
2) ฝึกความรู้สึกทั่วทั้งสรรพางค์กายและฝึกหายใจลึก ๆ ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
การฝึกความรู้ตัวทั่วพร้อมจะช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เพราะจิตไม่เกาะอยู่กับความคิด จึงไม่เกิดความทุกข์ ความเครียด หรือความกังวล เมื่อจิตใจดีร่างกายก็จะดีตามไปด้วย นอกจากนั้น การฝึกความรู้สึกทางร่างกายจะช่วยให้มองเห็นอารมณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเช่น หากเรานั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ร่างกายจะปวดเมื่อย ส่งผลให้เกิดเป็นอารมณ์ที่อึดอัดซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
3) ฝึกมองดูผัสสะที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
เมื่อมีการกระทบเกิดขึ้นทางอายาตนะทั้งห้า ให้ตั้งเรารับรู้ถึงการกระทบดังกล่าวอย่างแท้จริง เพื่อฝึกการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
4) ฝึกความคิดที่ถูกต้อง
หัดยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่ก็ตาม และให้ตระหนักอยู่เสมอว่าความคิดนั้นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา และเราไม่สามารถบังคับมันได้ จะทำให้จิตใจถอดถอนออกจากความเป็นตัวกูของกู สามารถมองความจริงตรงตามความเป็นจริง จิตใจจะสงบ เมื่อนั้นจึงจะเกิดปัญญาช่วยให้เราสามารถหนีออกจากกองทุกข์ได้
5) คบหาสมาคมกับคนที่มีสติและสมาธิ
เพื่อเป็นการวัดระดับความมีสติและสมาธิของตนเอง เพราะถ้าตัวเราเองยังไม่รู้ว่าสภาวะของคนที่มีสติและสมาธิเป็นอย่างไรแล้ว ตัวเราจะพัฒนา แก้ไข และปรับปรุงพลังสติและสมาธิของตนเองได้อย่างไร ฉะนั้น เราจึงควรศึกษาพฤติกรรม คำพูด และการกระทำของคนเหล่านั้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้และพัฒนากำลังสติและสมาธิของเราต่อไป เมื่อเรามีสติและสมาธิเพียงพอ ความคิดในทางอกุศลย่อมกระทบเราไม่ได้ เมื่อนั้นเราจึงมีความสุข เป็นอิสระจากความทุกข์ และสามารถลืมตาอ้าปากสามารถสร้างชีวิตที่ดีและมีคุณภาพได้ด้วยสองมือของเราอย่างแท้จริง
พลังของการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน พลังนี้จะช่วยให้เราสามารถดึงเอาศักยภาพที่ตัวเรามาใช้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ส่งผลให้เราประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีควาบสงบในจิตใจ ผู้แต่งได้อธิบายวิธีการสร้างพลังดังกล่าวไว้ มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
คนส่วนใหญ่นั้นมักไม่ได้อยู่กับ “ปัจจุบัน” แต่จะจมปลักอยู่กับความคิดในแง่ลบหรือเรื่องในอดีตอันขมขื่น เสียเป็นส่วนใหญ่ หรือในทางกลับกัน เรามักจะเหม่อลอย เพ้อฝัน หรือวิตกกังวลไปกับเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งการวกวนอยู่กับความคิดทั้งสองประเภทนี้ ก่อให้เกิดโทษต่าง ๆ มากมาย คือ
1. สุขภาพเสื่อมโทรม เพราะการย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตซึ่งมักเป็นเรื่องที่ไม่ดี จะสร้างความขมขื่นและคับแค้นใจตลอดเวลา ร่างกายจึงตอบสนองต่อพฤติกรรมดังกล่าวโดยการหลั่งสารที่เป็นพิษออกมาทำลายเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน และโรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
2. เกิดเคราะห์กรรมที่รุนแรงทั้งกับตนเองและผู้อื่น เพราะการตอกย้ำความคิดในอดีตเช่น ความโกรธแค้น ความอิจฉาริษยา หรือความน้อยเนื้อต่ำใจ จะยิ่งเป็นการสุมเพลิงในจิตใจ ทำให้มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่รุนแรง อาจถึงขั้นอยากทำลายผู้อื่นหรือแม้แต่ทำร้ายตัวเอง เป็นต้น
3. หน้าที่การงานไม่ประสบความสำเร็จ เพราะผลงานต่าง ๆไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร เนื่องจากพลังสมองส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น ๆ
4. มีความเครียดสะสม เพราะเมื่อจิตใจไม่จดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้า ผลงานที่ออกมาย่อมไม่ดี ยิ่งสร้างความเคร่งเครียดให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
5. เกิดความวิตกกังวลและไม่แน่ใจอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตใจที่ล่องลอยคอยแต่ฝันกลางวัน เมื่อหันกลับมาสู่ความเป็นจริง จึงพบแต่ความว่างเปล่า เมื่อนั้นความหวาดกลัวและวิตกกังวลจะเข้าครอบงำจิตใจ ไม่สามารถจดจ่อกับปัจจุบันได้ มีแต่ความกังวลหวาดกลัวว่าจะไม่ได้ดังหวัง วนเวียนวกวนเช่นนี้เรื่อยไปไม่มีวันสิ้นสุด
วิธีสร้างพลังในการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันสามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ คือ “การตั้งใจทำ ตั้งใจพูด และตั้งใจคิด” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเอาใจจดจ่อกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่โดยไม่คิดเรื่องอื่น การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันทำให้จิตใจมีความสงบ เบาสบาย เต็มไปด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดคือ ความคิดที่เกิดขึ้นจากจิตใจที่สบาย ๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวนั้น จะคม มีพลัง ถูกต้อง ตรงประเด็น มีคุณธรรม มีความรู้สึก มีประสิทธิภาพสามารถมองความจริงได้ตรงตามความเป็นจริง และสามารถดึงเอาขุมความรู้จากจิตใต้สำนึกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
นอกจากนั้น ผู้แต่งได้ให้แง่คิดเพิ่มเติมว่า ในช่วงเวลาวิกฤตเช่น ตอนที่เรารู้ตัวว่ารถกำลังจะชน หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ในขณะนั้น จิตใจของเราจะสงบนิ่ง ไม่มีความกังวล สติจะเกิดขึ้นทันทีพร้อมกับปัญญาที่จะบอกเราว่า เราควรทำอะไร อย่างไร จิตใจจะจดจ่ออยู่กับปัจจุบันตามสภาวะธรรมชาติ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่จิตใจของเราจดจ่ออยู่กับปัจจุบันนั้น ความกังวล ความเคร่งเครียด ความหวาดกลัว และความฟุ้งซ่าน จะหายไปโดยฉับพลัน ดังนั้น เพียงแต่เราจดจ่อกับปัจจุบันเราก็สามารถสร้างพลังเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ช่วงเวลาวิกฤตเกิดขึ้น วิธีการนั้นก็คือ การตั้งใจทำ ตั้งใจพูด ตั้งใจคิด และจดจ่อกับทุก ๆ อิริยาบถของร่างกาย กอปรกับการมองดูสภาวะอารมณ์ของตนเองตลอดเวลาว่า ขณะนี้เราอยู่ในอารมณ์สุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ วินาทีที่เราตามรู้ทันความรู้สึกเหล่านั้น จิตใจจะปรับและกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลเองตามธรรมชาติ
นอกจากการตั้งใจจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และการดูอารมณ์แล้วนั้น ผู้แต่งยังแนะนำวิธีการชักจูงจิตใจให้อยู่กับปัจจุบันคือ การเฝ้ามองความคิดต่างที่ผุดขึ้นมาในจิตใจ เมื่อเรากระทบต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
สุดท้าย เมื่อมองเห็นแล้วว่า สิ่งใดเป็นเหตุให้จิตใจกระเพื่อมและหวั่นไหว เกิดความลิงโลดใจจนเกินควร หรือเกิดความเศร้าหมองใจจนเกินประมาณ เมื่อรู้แล้วก็ให้พยายามลดเหตุและปัจจัยเหล่านั้น และตั้งใจจดจ่อในทุก ๆ อิริยาบถ ในทุกขณะจิต เมื่อทำไปเรื่อย ๆ จิตจะมีตัวรู้คือ สัปปุริสธรรม ๗ ได้แก่ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้เวลา รู้สถานที่ และรู้บุคคล ตามสภาวะธรรมชาติ
วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ
· Tab 1
จากหนังสือเรื่อง Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย Richard Carlson ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจาก การกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติ หรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิตทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น
ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้
1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้
หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันทีก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง
3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้น เพื่อชดเชยความผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีแก้
เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต ถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้ จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)
4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิตทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ และเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำคำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธีแก้
ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติ จะต้องสร้างขึ้นมาทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับ ความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ
วิธีแก้
เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูด หรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็นรับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่อง พิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู
6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้
พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัว เพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน
8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้
รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคนแต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจ เราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าแววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวก เช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็นเพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น
9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้ว ยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่ก้าวหน้าไปไหน เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ
วิธีแก้
จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อย หรือหาสิ่งอื่นมาทดแทนเรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้
คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง เช่น คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้น พยายามมองโลกในแง่บวก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง
11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจ ของเราเองเสียอีก
วิธีแก้
ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้ ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้
ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้
คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง
ไม่กล้าก็ไม่ก้าว... ไม่ก้าวก็ไม่เดิน...
· Tab 1
ไม่กล้าก็ไม่ก้าว... ไม่ก้าวก็ไม่เดิน...
“ผู้ที่มีลักษณะที่จะประสบความสำเร็จ และพบความสุข
คือผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
คือผู้ที่กล้าหาญที่จะรับฟังคำติมากกว่าคำชม คือ กล้า...
ผู้ที่มีลักษณะที่จะล้มเหลว และมีแต่ความทุกข์ใจ
คือผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่ยอมรับฟังผู้อื่น
ผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก คือผู้ที่หมดโอกาสเรียนรู้โดยแท้จริง
แม้ใจอยากได้แต่สิ่งดีๆ แต่สิ่งดีๆก็เข้าไม่ถึงใจ
เพราะความกลัว ใจจึง ปิด ความคิด จึงไม่ก้าว”
1.เชื่อมั่นและศรัทธาในมือข้างขวาของคุณ
“ ธรรมชาติสร้างแขนมาให้มนุษย์สองข้าง พร้อมมือสวยๆ อีกหนึ่งคู่
คนส่วนมากถนัดขวา ใช้มือขวามากกว่ามือซ้าย
มือซ้ายคือมือแห่งโชคชะตา
มือขวาคือมือที่สร้างและทำ
แต่คนหลายคนกลับปล่อยให้โชคชะตามากำหนดชีวิต”
…โชคชะตาเป็นสิ่งนามธรรมที่คนเราคิดขึ้นมาเอง
มันจะไม่มีทางมีอิทธิพลเหนือกว่าจิตใจเราได้เลย
..เมื่อไหร่ที่หัวใจอ่อนแอ อย่าปล่อยให้ชีวิตเอนตาม
2. ปัญหามีไว้แก้ไข ..หลบได้ พักได้แต่อย่าหนี
การนั่งดูปัญหาตีกันแม้มันจะไม่ถูกต้องนัก
แต่อย่างน้อยเราจะเป็นคนคุมเกม
ดีกว่าลงไปแก้ปัญหา ทั้งที่หัวใจยังอ่อนแอ.
เวลาที่เชือกพันกัน คนส่วนมาก มักจะใช้มีดตัดออก
จะมีใครสักกี่คนมานั่งแก้ด้วยมือ
ปัญหาของคนเรา จริงๆแล้วคือ
การหนีปัญหานั่นแหละ เพราะถ้าเราตั้งใจแก้มัน
มีหรือจะไม่มีทางออก แพ้บ้าง ชนะบ้าง เป็นเรื่องปกติ
3. อย่ากลัวผิดถ้าคิดจะพูด..อย่าคิดว่าสิ่งที่คนอื่นพูดนั้นผิด
บางทีความเงียบสงบก็สยบความเคลื่อนไหวไม่ได้เสมอไปหรอก
แม้ว่าเราจะนั่งในที่ตัวเองเราก็มีสิทธิ์ถูกชน
ถ้าเราไม่ส่งเสียงให้เขารู้ว่าเรานั่งอยู่.
คนที่พยายามทำทุกอย่างให้ถูกใจคนอื่น
คนนั้นจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดตลอดชีวิต
การตอบคำถามเพื่อเอาใจคนถาม ก็เท่ากับว่าเรายอมให้เขาครอบงำ
.. เมื่อสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว
เธอจะเรียกมันกลับคืนมาได้ยาก อย่าลืมว่า
คนแต่ละคน พูด ฟัง คิด ไม่เหมือนกัน
ไม่มีใครทำอะไรถูกใจใครได้ทั้งหมด
องค์กรไม่ได้ต้องการคนที่ทำตามใจเขาทั้งหมด
ถ้าเธอไม่แสดงให้เขาเห็นว่า
มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณค่าของตัวเอง
แล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าเธอจะสามารถพาองค์กรของเขา
ก้าวไปข้างหน้าได้...
4. การเปลี่ยนแปลงเป็นหนทางที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า
โลกนี้คงหยุดหมุนไปนานแล้ว
ถ้าคนทุกคน ไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ
เพียงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตเธอ
เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง
ไม่เห็นมีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิดเลย
5. ความรัก…กับพลังในการก้าวหน้า
ถ้าสังเกตดูดีๆ
ผู้ชายจะยอมทิ้งผู้หญิงที่รัก ทิ้งหัวใจ เพื่อสร้างโลก
แต่ผู้หญิงจะยอมทิ้งโลก เพื่อผู้ชายที่รัก
อยากให้คนที่รู้สึกแบบนี้
อย่ามองความรักเป็นความเคยชินที่ต้องได้
ลองมองความรักเป็นของขวัญที่วิเศษ
เพราะทุกครั้งที่ได้ของขวัญจากใคร หัวใจเราจะเต้นแรง..
เช่นกันเมื่อได้รักใคร หัวใจเราก็จะเต้นแรง
พอหัวใจเต้นแรง เลือดก็สูบฉีด สมองก็ปลอดโปร่ง
แล้วแบบนี้ จะไม่มีแรงก้าวไปข้างหน้าเลยเชียวเหรอ...
6. โลกนี้พร้อมที่จะให้อภัย คนที่ยอมรับผิดอยู่เสมอ
ผิดครั้งแรกถือเป็นประสบการณ์นั้นจริง
แต่ผิดครั้งที่สองไม่ได้หมายความว่าโง่เสมอไป
เพราะเคยมีใครหลายคนในอดีตที่ผิดนับพันครั้ง
จนสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับโลกได้สำเร็จ.
ถ้าคนทุกคนยอมรับความผิดพลาด ของตัวเอง และของคนอื่น
โลกนี้จะไม่มีใครทะเลาะกันเลย
ถ้ากล้ายอมรับว่าเราผิด เราจะเข้าใจ และ ให้อภัยคนอื่นที่เขาทำผิดบ้าง
7. ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า…เหนื่อยก็หยุดพัก แต่อย่าเดินกลับหลัง
ถ้าเมื่อไหร่เราได้ใช้เวลาในชีวิตอย่างคุ้มค่า
เราจะรู้สึกว่าชีวิตที่เหลือนั้นเป็นกำไรล้วนๆ
เวลาก้าวไปข้างหน้า ทุกๆสิบก้าวเราเหยียบหนาม
ถ้าเมื่อไหร่ท้อแล้วเดินกลับหลัง
ก็เท่ากับว่าที่ผ่านมาเรา เจ็บฟรี.
8. เวลาในชีวิตมีน้อย อย่าตกเป็นทาสของเวลา
ถ้าลองนั่งนับดูดีๆ แล้ว อายุคนเราสั้นนิดเดียว
ที่ผ่านไปทุกๆ วินาที นั้นคือกำไรชีวิตเราทั้งนั้น
ศักยภาพของคนมีขอบเขต ทำอะไรได้ในเวลาที่จำกัด
ถ้าเราไปฝืน มันก็จะเสียหายไปหมด
...การทำงานที่ดี คือการทำงานในเวลางาน
การเรียนที่ดีที่สุด คือการตั้งใจเรียนในห้องเรียน
4. การเปลี่ยนแปลงเป็นหนทางที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า
โลกนี้คงหยุดหมุนไปนานแล้ว
ถ้าคนทุกคน ไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ
เพียงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตเธอ
เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง
ไม่เห็นมีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิดเลย
5. ความรัก…กับพลังในการก้าวหน้า
ถ้าสังเกตดูดีๆ
ผู้ชายจะยอมทิ้งผู้หญิงที่รัก ทิ้งหัวใจ เพื่อสร้างโลก
แต่ผู้หญิงจะยอมทิ้งโลก เพื่อผู้ชายที่รัก
อยากให้คนที่รู้สึกแบบนี้
อย่ามองความรักเป็นความเคยชินที่ต้องได้
ลองมองความรักเป็นของขวัญที่วิเศษ
เพราะทุกครั้งที่ได้ของขวัญจากใคร หัวใจเราจะเต้นแรง..
เช่นกันเมื่อได้รักใคร หัวใจเราก็จะเต้นแรง
พอหัวใจเต้นแรง เลือดก็สูบฉีด สมองก็ปลอดโปร่ง
แล้วแบบนี้ จะไม่มีแรงก้าวไปข้างหน้าเลยเชียวเหรอ...
6. โลกนี้พร้อมที่จะให้อภัย คนที่ยอมรับผิดอยู่เสมอ
ผิดครั้งแรกถือเป็นประสบการณ์นั้นจริง
แต่ผิดครั้งที่สองไม่ได้หมายความว่าโง่เสมอไป
เพราะเคยมีใครหลายคนในอดีตที่ผิดนับพันครั้ง
จนสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับโลกได้สำเร็จ.
ถ้าคนทุกคนยอมรับความผิดพลาด ของตัวเอง และของคนอื่น
โลกนี้จะไม่มีใครทะเลาะกันเลย
ถ้ากล้ายอมรับว่าเราผิด เราจะเข้าใจ และ ให้อภัยคนอื่นที่เขาทำผิดบ้าง
7. ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า…เหนื่อยก็หยุดพัก แต่อย่าเดินกลับหลัง
ถ้าเมื่อไหร่เราได้ใช้เวลาในชีวิตอย่างคุ้มค่า
เราจะรู้สึกว่าชีวิตที่เหลือนั้นเป็นกำไรล้วนๆ
เวลาก้าวไปข้างหน้า ทุกๆสิบก้าวเราเหยียบหนาม
ถ้าเมื่อไหร่ท้อแล้วเดินกลับหลัง
ก็เท่ากับว่าที่ผ่านมาเรา เจ็บฟรี.
8. เวลาในชีวิตมีน้อย อย่าตกเป็นทาสของเวลา
ถ้าลองนั่งนับดูดีๆ แล้ว อายุคนเราสั้นนิดเดียว
ที่ผ่านไปทุกๆ วินาที นั้นคือกำไรชีวิตเราทั้งนั้น
ศักยภาพของคนมีขอบเขต ทำอะไรได้ในเวลาที่จำกัด
ถ้าเราไปฝืน มันก็จะเสียหายไปหมด
...การทำงานที่ดี คือการทำงานในเวลางาน
การเรียนที่ดีที่สุด คือการตั้งใจเรียนในห้องเรียน
· Tab 3
9. สิ่งดีๆในชีวิต…มักไม่เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ
ชีวิตคนเราต้องเหงื่อออก
ทำอะไรแค่ไหน ผลมันก็ย้อนกลับมาแค่นั้น
ไม่มีความสำเร็จใดได้มาอย่างง่ายดาย
สำหรับคนช่างเลือก ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องทำให้ดีที่สุด
แม้จะเหนื่อย หนัก ต่อสู้มากสักหน่อย
แต่ผลกลับมาก็คุ้มค่าเหนื่อย
อย่างน้อยเราก็ได้เลือกสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดให้ตัวเอง
เช่นในการเลือกคนดีๆมาเป็นคู่ครอง
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ หรือโชคชะตา
ไม่ใช่ว่าเขาดวงดี แต่เพราะเขาเลือกเขาพิถีพิถันกับชีวิต
10.คนที่อยู่รอบข้างทุกคน มีอิทธิพลกับชีวิตเรา
หลายคน มักมีบุคคลต้นแบบของตัวเอง
ไม่ใช่เพื่อเลียนแบบหรือทำตาม
แต่เขาจะช่วยให้เราเดินอย่างมีทิศทางมากขึ้น
เวลาเราอยู่กับใคร กับอะไรก็ตาม
สิ่งนั้นมักมีผลกับจิตใจโดยไม่รู้ตัว
ในช่วงชีวิตที่ยังมีโอกาสได้พบปะผู้คนมากมาย
เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เลือกเพื่อน
อย่าลืมกลั่นกรองคนที่จะเป็นมิตรสักนิด
เพราะคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลกับชีวิตเราในอนาคตอีกนาน
11. คบคนทุกประเภท… แต่อย่าทำตัวเหมือนคนบางประเภท
ในสังคมมีทั้งคนดี และคนไม่ดี
ความจำเป็นในชีวิต อาจทำให้เราไม่สามารถเลือกคบคนได้
สำคัญที่ตัวเราว่า จะหนักแน่นและดูแลตัวเองได้แค่ไหน.
ถ้าเราคบคนทุกประเภท
เราจะมีข้อมูลหลากหลาย และรู้วิธีจัดการกับคนแต่ละแบบ
รู้วิธีที่จะทำให้เขาเป็นคนดีของเราได้
หรืออย่างน้อยก็รู้จักวิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจาก คนแย่ๆ
12.ลองทำอะไรให้เป็นหลายๆอย่าง..แต่เก่งอย่างเดียว
การทำอะไรได้หลายๆอย่างเป็นสิ่งดี แต่ควรทำให้มันดีสักอย่างสิน่า
คนที่มีความสามารถรอบตัว นอกจากไม่เป็นภาระของคนอื่นแล้ว
เราจะรู้สึกดีทุกครั้ง ที่ความสามารถของเราช่วยคนอื่นได้ด้วย
13.ความรักไม่มีคำว่าสาย…แต่ร่างกายเรามีชิ้นเดียวในโลก
สิ่งที่ผู้หญิงมักมองข้าม ยามมีรักทุ่มเทให้เขาทุกอย่าง
ให้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรู้ใจเขา ก็ได้รู้ใจเขาทั้งหมดจริงๆ
แต่ไม่รู้ใจตัวเอง
นานๆ ทีได้มีเวลาส่องกระจกดู ...
อ้าว จำตัวเองไม่ได้เสียแล้ว หรือ รักเขาจนลืมดูตัวเอง
ส่องกระจกทักทายตัวเองเสียหน่อย ว่าเราละเลยตัวเองไปหรือเปล่า
แล้วดูแลตัวเองเสียบ้าง
14.ถ้าแคร์คำพูดแย่ๆ … ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง
ถ้าคนหนึ่งตีกลอง แล้วอีกคนยิ่งเต้น คนตีเขาก็ยิ่งตี
แต่ถ้าตีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็จะหยุดไปเอง เพราะตีไปก็เหนื่อยเปล่า
บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ๆ จากคนรอบข้าง
ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง
เราจะถูกบั่นทอนลงทีละนิด
ดูแลหัวใจของเราให้ดี เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ๆ จากคนอื่น
รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย
15. อย่าพูดว่า “ทำไม่ได้” เพราะจิตเธอจะจำและนำไปใช้
ปาฏิหาริย์ จะเกิดขึ้นได้กับหัวใจที่เชื่อมั่น
ความเชื่อมั่น จะทำให้คนเราได้ยิน แต่เสียงในหัวใจตัวเอง
คำวิจารณ์ในแง่ลบของคนอื่นมักบั่นทอนกำลังใจ
แต่นั่นมันความคิดเขา ไม่ได้มาจากสมองเราสักหน่อย
ฟังเสียงหัวใจตัวเองอย่าไขว้เขวไปกับเสียงหัวใจคนอื่น
บอกตัวเองว่าเธอต้องทำได้ เมื่อนั้นปาฏิหารย์จะเกิดขึ้น
16.เล่นเกมกับเพื่อนใหม่... แล้วจะได้อะไรกลับมามากกว่าที่คิด
ไม่มีใครบอกตรงๆ หรอกว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน ดีร้ายยังไง คบได้แค่ไหน
แต่บางสถานการณ์ในเกม จะเปิดเผยทาสแท้และตัวตนของคนเราอย่างง่ายดาย
เราจะตัดสินได้ทันทีว่าคนคนนี้ควรเป็นเพื่อนเรามั๊ย
เราจะได้เรียนรู้จากเกม ซึ่งบ่งบอกอะไรได้มากกว่าที่คิด
เกมจะมีคุณค่าในตัวเอง
ถ้าเรามุ่งแค่ชัยชนะ เราจะไม่ได้อะไรเลย
ลองวัดใจกันด้วยเกม แล้วเธอจะได้เพื่อนคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง
17. คนฉลาด…มักเลือกเค้กชิ้นเล็กเสมอ
ความประทับใจแรกเริ่ม เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดี
เวลาที่เริ่มรู้สึกเกลียดกัน เราจะคิดถึงความประทับใจนั้น
แล้วจะเกลียดกันไม่ได้เลย
บางครั้งการเสียสละเล็กๆ น้อยๆ
จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ประทับใจให้ผู้อื่นตลอดไป
คนที่ใจแคบ มักกลัวการเสียเปรียบ
คนแบบนี้ แม้แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆ
ขอให้ได้รู้สึกว่าได้เปรียบเสียหน่อย ก็มีความสุขแล้ว
18. อย่าลืมดูแลหัวใจคนอื่น…ด้วยการถ่อมตน
คนเราทุกคนมีค่า
การถ่อมตนอย่างถูกกาละเทศะ
จะสร้างความรู้สึกดีให้กับคนอื่น
คนเรายิ่งอยู่สูง ยิ่งต้องมองต่ำ
ส่วนคนที่อยู่ต่ำกว่า ต้องมองสูง
และทั้งคู่จะมองเห็นความสวยงาม คุณค่า ของกันและกันอย่างไม่ยากเลย
ถ้ามัวแต่ดูถูกคนอื่น เพื่อให้ตัวเองดูดี
แล้วเมื่อไหร่จะเห็นความสวยงามของผู้อื่น
19.เวลาที่หลงทาง…ลองหยุดอยู่กับที่แล้วนั่งนิ่งๆสักพัก
ในบางอารมณ์ความเงียบจะสร้างความเหงา
แต่บางสถานการณ์ความเงียบ จะทำให้เกิดสมาธิและความคิดที่ดีได้
การคิดมากเกินไป ไม่ได้ก่อให้เกิดความคิดดีๆ
เพราะมันจะยิ่งคิดวกวน จะหาทางออกไม่เจอ
ความสงบในใจทำให้เกิดสติ
สติที่ดีจะแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายทุกอย่างได้
บางที... เรื่องที่เราคิดว่าใหญ่ จะเริ่มเห็นทางออกรำไร อยู่ตรงหน้านี่เอง
20.หัดไว้ใจผู้อื่น…ไม่มีอะไรสำเร็จลงได้ด้วยคนคนเดียว
ถ้าเมื่อไหร่ที่เรานั่งรถ แล้วเราไว้ใจคนขับ
เราจะมองโลกได้กว้าง และดูความสวยงามข้างทางได้อย่างสุขใจ
ทีมงานที่แข็งแรงและการเชื่อมั่นกันและกัน
จะทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ
ถ้าไม่ให้โอกาสคนอื่น ไม่ปล่อยวาง ..มัวแต่นำทางให้คนอื่นเดินตาม
เธอจะไม่มีเพื่อนร่วมเดินทาง
ยามที่เธอเจออุปสรรคก็ต้องแก้คนเดียว ซ้ำซากอยู่ทุกวัน...
ถ้าเธอไว้ใจเขา
ยามเธอเหนื่อยล้า
เธอจะนอนหลับได้เต็มตา
โดยมีคนเหล่านั้นดูแลเธออย่างดี.
21.ความสำเร็จ…จะแลกเปลี่ยนกับความสนุกอยู่เสมอ
คนส่วนมากจะเริ่มต้นพร้อมๆกัน
แต่ความสำเร็จที่ได้มาล้วนไม่เท่ากัน
มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น
ที่เดินไปได้ไกลกว่าคนอื่น
ยิ่งเริ่มต้นอายุน้อย
เราก็จะมีแรงเหนื่อย มีแรงเจ็บ มีแรงเริ่มต้นใหม่
ความสมบูรณ์ในชีวิตก็จะมาถึงเร็วขึ้น
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก
ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยสนุก
ทุกนาทีคือการเรียนรู้ และ การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ยอมแลกเปลี่ยน "ความสนุก" กับ "ความสำเร็จ" เถอะ
คุณค่าทั้งสองอย่างต่างกันเยอะเลย
22.ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าเดินมาไกลแค่ไหน... และจะไปไหนต่อ
คนเราทุกคนต้องมีเป้าหมาย
การกำหนดจุดมุ่งหมายจะช่วยให้เราเดินอย่างมีทิศทางมากขึ้น
และทุกก้าวที่เดิน
ชีวิตเราจะปลอดภัย
และเดินอย่างมั่นใจ
ไม่ว่าชีวิตจะยุ่งเหยิงแค่ไหน อย่าละเลยที่จะใส่ใจตัวเอง
คอยถามไถ่ตัวเองสักนิดว่า ชีวิตเราตอนนี้แค่ไหนแล้ว
..แล้วเราจะเดินไปทางไหนต่อ
แพลนชีวิต แพลนอนาคต
เราก็ไม่ต้องมานั่นกลัวอนาคต
เหมือนที่คนส่วนมากกำลังเป็นอยู่...
23. ลองแชร์ชีวิตกับคนอื่นบ่อยๆ… เราจะเป็นมิตรกับโลกนี้มากขึ้น
ถ้าอยากมีความสุขให้มองโลกในแง่ดี
แล้วเราจะเอาแง่ดีที่ไหนมามอง
ถ้าเรายังทำตัวเป็นอริกับโลกอยู่…
วันนี้เราตามใจเขา พรุ่งนี้เพื่อนเราก็ตามใจเรา เป็นการแชร์ความรู้สึก
การแชร์กับคนอื่นทางด้านความรู้สึก
จะทำให้เรามองโลกเรียบง่าย
มองเห็นความสุขได้ง่ายและรู้สึกอารมณ์ดี
ปรับตัวเข้ากับใครๆ ได้ง่าย
เธอจะเรียนรู้ว่า
คนเราไม่จำเป็นต้องทำแต่สิ่งที่ชอบเท่านั้นถึงจะมีความสุขได้
24. ยอมถอยสักหนึ่งก้าว…เพื่อก้าวไปข้างหน้าได้สองก้าว
การยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ
บางครั้งก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
เพราะสิงทีตามมาหลังจากอ่อนแออย่างถึงที่สุด
จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีเสมอ
ยอมถอยสักก้าว เพื่อมองหาทิศทางใหม่ที่ดีกว่า
อย่าดันทุรังเดินไปทั้งที่ทางมันตัน
ขอเวลาอ่อนแอสักครู่ แล้วฉันจะกลับมา
มองหาที่สงบที่สุดสำหรับตัวเอง
และเป็นที่ที่ไม่มีใครจะหาเราได้
เป็นที่ของเรา แล้วหลบไปอยู่ตรงนั้นสักพัก
ให้เวลาตัวเองให้เต็มที่..
เพราะเมื่อเธอรู้สึกแย่ๆ
ที่ตรงนั้น...กลับดีที่สุด
25.ที่ปรึกษา…คือคนที่เขี่ยผงในตาคนอื่น
คำแนะนำจากคนอื่น
เป็นทางออกหนึ่งที่เขาเสนอให้พิจารณา
คนที่จะรู้ว่ามันใช่ทางออกหรือเปล่า
คือคนเดินไปต่างหาก…
มองคำแนะนำให้เป็นแค่แนวทาง หรือทางเลือกที่เรามีส่วนตัดสินใจเอง
คัดเลือกคนที่แนะนำปัญหาดูสักนิด แล้วชีวิตเราจะไม่ผิดพลาดเพราะเชื่อคนอื่น
26. โอกาสเป็นของขวัญของผู้แสวงหา…แต่จงมองหาโอกาสในมือของเราเอง
ความสามารถหรือพรสวรรค์จะไร้ค่า ถ้าไม่มีเวทีแสดง
พรแสวงย่อมจะสำคัญกว่า พรสวรรค์ที่ถูกซ่อนในที่มืด
บางคนมัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น
แล้วมองข้ามสิ่งดีๆ ของตัวเองอย่างน่าเสียดาย ..
เพราะโอกาสมักจะมาพร้อมความเสี่ยง
คนเราเลยกลัวสูญเสีย
ถ้าโอกาสนั้นสร้างความล้มเหลว
อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่า
จะหาโอกาสดีๆ นั้นใหม่ได้อย่างไร
27.รู้จักตัวตนของเพื่อน…แล้วอย่าลืมเปิดใจให้เพื่อนได้รู้จักเราด้วย
ความลึกลับทำให้น่าค้นหา ตื่นเต้นท้าทายก็จริง
แต่ถ้าต้องค้นหาอยู่ตลอดเวลา
บางครั้งก็กลายเป็นความเหนื่อยและเบื่อหน่าย
การเข้าใจคนอื่น รู้จักคนอื่นเพียงฝ่ายเดียว จะทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว
ลองเติมเต็มความรู้สึกให้สมบูรณ์
ด้วยการเข้าใจคนอื่น ให้ใจคนอื่นและก็หาคนอื่นที่เข้าใจเรา ให้ใจเราด้วย
เปิดใจต่อกันให้เห็นตัวตน เขาจะได้รู้จักนิสัยเรา และตัวเราก็ต้องรู้จักนิสัยเขาด้วย
“ เพียงมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง
เราจะกล้าเดินอย่างมั่นใจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ทั้งที่ได้ดั่งใจและไม่ได้ดั่งใจ
ยอมรับทั้งด้านบวกและลบของโลก
พร้อมหมุนตัวเองไปพร้อมกับโลกอย่างมีความสุข ”
เมื่อมีความกล้า สิ่งที่ตามมาคือได้ก้าว ...
เมื่อหัวใจเปิดรับ ความคิดจะเปิดกว้าง
เปิดโอกาสให้เรียนรู้อย่างแท้จริง สิ่งดีๆ ก็จะเข้าถึงใจ
เมื่อความกลัวหายไป…หัวใจจะเป็นสุข
เราจะกล้าและได้ก้าว พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ