การแต่งกาย
การแต่งกายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกายนอกจากจะช่วยห่อหุ้มร่างกายให้มิดชิดปลอดภัย และให้ความอบอุ่นแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกรูปร่าง หน้าตา ของผู้สวมใส่ ให้ดูสวยงามสง่า เหมาะสมกับกาลเทศะอีกด้วย
หลักทั่วไปของการแต่งกาย
1. ถูกกาลเทศะ ควรแต่งกายให้เหมาะกับสถานที่ที่จะไป และในโอกาสต่าง ๆ เหมาะสมกับความนิยม เช่น
· สถานที่ราชการ ควรใส่สีสุภาพ เรียบร้อย รองเท้าเป็นรองเท้าหุ้มส้น รองเท้าและกระเป๋าควรเป็นสีที่เข้ากัน ไม่ควรสวมเสื้อปล่อยชายออกนอกกระโปรง กางเกง กลัดกระดุมทุกเม็ด ไม่ควรสวมรองเท้าแตะ
· งานแต่งงาน งานเลี้ยงต้อนรับ งานเต้นรำ งานวันเกิด ซึ่งเป็นงานรื่นเริง งานมงคล ควรสวมเสื้อผ้าที่หรูหราเล็กน้อย รองเท้าหุ้มส้นหรือสวมสูท (สำหรับท่านผู้ชาย)
· งานศพ : หญิง สวมเสื้อคอปิดสีดำ สีขาวดำ รองเท้าหุ้มส้น ไม่สวมเครื่องประดับมากเกินไป ไม่ใส่เครื่องประดับที่มีสีสัน
................ : ชายสวมชุดสีเข้มหรือสูท รองท้าคัทชู ถ้าสวมชุดสากลจะติดแขนทุก ที่ข้างซ้ายเหนือศอก
· งานบุญ : ไม่ควรสวมกางเกงรัดรูปหรือกระโปรงสั้น หรือควรแต่งกายให้สุภาพ
· ไปพบผู้ใหญ่ ควรแต่งกายให้สุภาพไม่สวมแว่นตาดำ
· ไปเข้าเฝ้าฯ ในงานพระราชพิธี ราชพิธี หรืองานสโมสรสันนิบาต ต้องแต่งตามหมายกำหนดคำสั่งหรือแต่งตามระเบียบที่วางไว้ ซึ่งอาจเป็นเครื่องแบบปกติหรือเครื่องแบบเต็มยศ เครื่องยศประดับ เครื่องราชอิสรยาภรณ์ สวมสายสะพายหรือเครื่องราชอิสรยาภรณ์ (สำหรับเครื่องแบบปกติ)
2. ความสะอาดเรียบร้อย ควรรักษาความสะอาด ซักรีดให้เรียบร้อยเสมอ เพราะความสะอาด เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความงาม และช่วยสร้างความเชื่อถือ ไว้วางใจให้กับตัวเอง
3. สวมเสื้อผ้าที่พอดีกับร่างกาย ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป
4. ควรเลือกสีและแบบของเสื้อให้เหมาะสมกับวัย รูปร่าง เพศ สีผิว สีชมพูสดสำหรับคนผิว ขาวสะอาด สีชมพูอมส้มเหมาะกับคนผิวสีการะเกด คนผอมต้องใช้สีอ่อนเย็นตา อย่าเลือกผ้าทีเนื้อเนียนเป็นมัน จะทำให้มองดูผอมมาก ควรเลือกผ้าชนิดเนื้อแข็ง เมื่อตัดเย็บเป็นเนื้อผ้าแล้ว จะมองดูเป็นคนมีเนื้อหนังขึ้น
สำหรับคนอ้วนใช้ผ้าลวดลายดอกพราว เด่น สีสดสวย จะทำให้มองไม่เห็นความอ้วน
ผิวสีคล้ำ ควรเลือกสีชมพู สีเหลือง สีฟ้า ถ้าเป็นดอกก็ควรออกลวดลาย สีเหลือง สีฟ้า สีชมพู
สีส้ม สีเปลือกข้าวโพด ห้ามเด็ดขาด อย่าเลือกใช้สีขรึม ๆ ประเภทออกน้ำตาลแก่ เทาแก่ น้ำเงินแก่ มาสวมเพราะจะทำให้ผิวดำคล้ำ มากขึ้น
ผิวสีขาวจัด ควรเลือกสีผ้าน้ำตาลอ่อน สีเขียวหม่น ๆ สีชมพูอมสีปูน สีเหลืองอมสีส้ม สีส้มอมสีน้ำตาล สีเลือดหมู ควรหลีกเลี่ยงใช้สีอ่อน ชมพู สีเหลืองอ่อน เพราะจำทำให้สีผิวซีดเป็นไก่ต้ม ควรใช้สีขรึม ๆ จะทำให้มองน่าชวนพิศขึ้น
การเลือกสีเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เด่นสะดุดตา และสีของเสื้อผ้ากลมกลืนกับสีของผิวนั้นเป็นการแสดงออกซึงรสนิยมอันดีงามของผู้สวมใส่ ดังนั้น ก่อนที่คุณหญิงจะตกลงใจตัดเสื้อผ้าไว้สวมใส่ จะพิจารณาเทียบดูกับผิวเนื้อของคุณเสียก่อน ถ้าตกลงใจว่าจะใช้สีใด ก็จะกล้าแต่งวางตัวให้เหมาะสมด้วยจะช่วยให้คุณแจ่มใสและเป็นสุขใจสวยงามขึ้น แต่ถ้าจะถือว่าพอใจของคนเสียอย่างก็จงเลือกแต่งตามใจเถิด แต่ไม่พ้น สีที่กล่าวมาหรอก
5. ควรสวมรองเท้าให้เหมาะสมกับโอกาสต่าง ๆ เช่นรองเท้าแตะให้สวมในบ้าน รองเท้า รัดส้น หรือรองเท้าหุ้มส้น ให้สวมเพื่อออกไปทำงาน หรือสวมออกไปในที่ชุมชน
การเลือกเครื่องแต่งกายโดยทั่วไป
การเลือกเครื่องแต่งกายทั้งชายและหญิง ไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับมากเกินไป
ชาย : ควรมีนาฬิกา เนคไท เข็มกลัดเนคไท แหวนแบบเรียบ ๆ แหวนรุ่น แว่นกันแดด
หญิง : ควรมีสร้อยคอ สร้อยข้อมือ นาฬิกา แหวนทอง แหวนเพชรแบบเรียบ ๆ กำไล ต่างหู
กิริยามารยาทโดยทั่วไป
กิริยามารยาทในที่นี้ หมายถึง กิริยาอาการท่าทางต่าง ๆ ที่นิยมใช้กันในสังคมทั่วไปควรปฏิบัติให้เป็นนิสัย ได้แก่
1. การเจรจาด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนหวาน
2. การเอ่ยคำ “ขอโทษ” และ “ขอบคุณ” ตามมารยาท
3. “การไหว้” เมื่อพบผู้ที่เคารพนับถือ
4. การยืน
การยืนเป็นการแสดงถึงบุคลิกภาพอย่างหนึ่ง การยืนให้มีลักษณะที่สง่าผ่าเผย และสำรวจควรจะเป็น ดังนี้
1. การยืนตามปกติ
ชาย ให้ยืนตัวตรง ปล่อยมือตามสบายเข่าชิด ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย
หญิง ให้ยืนตัวตรง ปล่อยมือตามสบาย ปลายเท้าและส้นเท้าชิดกัน
1. การยืนต่อหน้าผู้ใหญ่
การยืนฟังคำสั่ง
ชาย / หญิง ยืนตัวตรง หน้ามองตรง ปล่อยมือแนบลำตัว ควรยืนเฉียงไปทางซ้ายหรือทางขวา เพื่อเลี่ยงลักษณะเผชิญหน้า
การยืนฟังโอวาท
ชาย / หญิง ยืนตัวตรง หน้าก้มเล็กน้อย มือประสานกันระดับเอว
1. การเดิน
การเดินจะทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว หากเดินไม่สวนงาม ถึงแม้จะมีหน้าตาสวยงามก็ทำให้เสียบุคลิกภาพได้ เราจึงควรฝึกการเดินให้สง่างามและสำรวมมากที่สุด การเดินที่เหมาะสมควรเป็นดังนี้
1. ควรเดินตามปกติ ชายและหญิงเดินตัวตรง ไม่กางแขน แกว่งแขนเล็กน้อย ผู้หญิง
ไม่ควรเดินสะโพกส่ายไปมา ดูหน้าเกลียดและเสียบุคลิก
1. เดินตามผู้ใหญ่ ชายและหญิงเดินตัวตรงตามหลังผู้ใหญ่เยื่องไปทางซ้าย ประมาณ 1 –
2 ก้าว และควรน้อมตัวลงเมื่อผู้ใหญ่หันมาพูดด้วย
6. การนั่ง
การนั่งมีความสำคัญต่อบุคลิกภาพและสุขภาพ การนั่งหลังงอ จะทำให้ปวดหลัง จึงควรฝึกนั่งให้สง่างามดูดีตลอดเวลา การนั่งที่ควรฝึกให้เหมาะสมมีดังนี้
1. การนั่งกับพื้น
ชาย นั่งพับเพียบตัวตรง วางมือคว่ำบนหน้าขาหรือประสานไว้บนตัก
หญิง นั่งพับเพียบ ท้าวแขนข้างหนึ่ง วางมือประสานไว้บนตัก
1. การนั่งกับพื้นต่อหน้าผู้ใหญ่
ชาญและหญิง นั่งพับเพียบตัวตรงเก็บปลายเท้า มือประสานหรือประกบไว้บนตัก ก้มหน้าเล็กน้อยโน้มตัวลงเมื่อผู้ใหญ่พูดด้วย
1. การนั่งเก้าอี้โดยทั่วไป
ชาย นั่งห้อยขา ส้นเท้าชิดปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย ตัวตรงหลังพิงพนัก มือวางคว่ำบนหน้าขาหรือประสานไว้บนตัก
หญิง นั่งห้อยขาให้ส้นเท้าปลายเท้าและเข่าชิด ตัวตรง หลังพิงพนักมือประสานหรือประกบไว้บนตัก
1. การนั่งเก้าอี้ต่อหน้าผู้ใหญ่
ชายและหญิง นั่งเหมือนกับนั่งเก้าทั่วไป แต่ให้วางมือประสานหรือประกบไว้บนตัก
ห้ามนั่งไขว่ห้าง
7. การพูดจา
คนทุกคนควรมีวาจาการไพเราะ น่าฟัง จึงจะเป็นที่ชื่อชอบของผู้ที่ได้พบเห็น สิ่งที่ควรปฏิบัติให้เป็นนิสัย ได้แก่
1. พูดจานิ่มนวลอ่อนหวาน
2. ลงท้ายคำพูดด้วยคำว่า “ครับ” “ค่ะ”
3. พูดจาให้ชัดเจนไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป
4. รู้จักพูดและงดเว้นการพูดในบางเรื่องในบางเวลา
5. พยายามใช้สำนวนไทยให้ถูกต้อง
6. ใช้ภาษาสุภาพไม่พูดคำแสลง
8. การรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหาร เป็นส่วนหนึ่งของการมีบุคลิกภาพที่ดีได้เช่นกันสังคมได้กำหนดมารยาทในการรับประทานอาหารที่ควรปฏิบัติตามไว้หลายประการ ได้แก่
1. อย่านั่งพิงพนัก
2. อย่านั่งไขว่ห้าง
3. อย่าแขวนผ้ากันเปื้อนไว้กับอก
4. อย่าใช้มีดส่งอาหารเข้าปาก
5. อย่าพูดคุยขณะรับประทานอาหาร
6. ไม่รับประทานอาหารคำโต มูมมาม ทำหกหล่น เลอะเทอะ
7. ไม่เคี้ยวอาหารเสียงดัง อย่าตักอาหารรอไว้ที่ปากขณะเคี้ยว และควรส่งอาหารเข้าปากให้หมดช้อน
8. เคี้ยวและกลืนอาหารให้หมดก่อนการดื่มน้ำ
9. ไม่ควรจิ้มฟัน แคะฟันบนโต๊ะอาหาร
10. อย่ารับประทานอาหารจนไม่สนใจผู้อื่นลักษณะทั่วไปของบุคลิกภาพที่ดี
บุคลิกภาพภายนอก
1. ร่างกายสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอม
2. สุขภาพแข็งแรง
3. ร่างกายสะอาด
4. ผิวพรรณผ่องใส
5. หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
6. ใช้สีของเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับเพศ วัย และผิวพรรณ
7. กิริยาอาการสงบเสงี่ยม
8. ยืน เดิน นั่ง เรียบร้อยเสมอ
9. กิริยาท่าทางนุ่มนวล
10. ทำงานคล่องแคล่ว
11. พูดจาไพเราะ
12. พูดจาชัดถ้อยชัดคำ
13. น้ำเสียงชัดเจน
14. พูดจาคล่องแคล่ว
ฯลฯ
บุคลิกภาพภายใน
ฯลฯ
การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
ปัจจัยพื้นฐานของกาสร้างเสริมบุคลิกภาพ คือ
1. ลักษณะโครงสร้างของบุคลิกภาพ
2. ปฏิสัมพันธ์ในสังคม (Social interaction)
3. การเรียนรู้ทางสังคม (Social leaning)
4. ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
1. ลักษณะโครงสร้างของบุคลิกภาพ เช่น ความเข้าใจในเรื่อง อิด อีโก้ ซูเปอร์อีโก้ ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ซึ่งได้กล่าวถึงว่า บุคลิกภาพ จะเกิดขึ้นอย่างไรนั้น ก็ย่อมจะต้องใช้อิทธิพลของอิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้ หากเมื่อใดที่บุคคลใช้อิด ซึ่งเป็นความพึง พอใจส่วนบุคคล และเป็นสัญชาตญาณ ตามธรรมชาติแล้ว บุคลิกภาพที่ปรากฏออกมา ก็จะมีลักษณะก้าวร้าว เห็นแก่ตัว แต่หากบุคคลได้ใช้ กระบวนการของซูเปอรอีโก้เป็นตัวประสาน เพื่อลดความต้องการของอิด ให้น้อยลงแล้ว บุคคลก็จะสามารถแสดงบุคลิกภาพอันเป็น
ที่พึงประสงค์ของสังคม ในลักษณะของอีโก้ได้ บุคลิกภาพที่เกิดในลักษณะของอีโก้ นี้จะเป็นที่ยอมรับของสังคม ดังนั้น การสร้างเสริมบุคลิกภาพ จึงมีเป้าหมายที่สำคัญใน การที่จะให้บุคคลได้แสดงออกในลักษณะของอีโก้ดังนี้เอง
“ตัวตน” (self) ตามทฤษฎีเกี่ยวกับการรับรู้ตัวเองนั้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากต่อบุคลิกภาพของบุคคล
คลิกเพื่อดูภาพขยาย ภาพที่ 6.1 การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
การที่บุคคลมีความเข้าใจและรู้จักตนเองได้ดีนั้น ย่อมหมายถึงว่าบุคคลได้สามารถประสานสัมพันธ์ระหว่างการมองตนเอง และประสบการณ์แห่งความเป็นจริงที่มีอยู่ได้ ทำให้บุคคลไม่เกิดความขัดแย้งในตนเอง บุคลิกภาพที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะของการที่ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคม แต่ในทางตรงข้าม ถ้าบุคคลไม่สามารถที่จะมองตนเองได้สอดคล้องกับความเป็นจริงแล้ว ก็จะเกิดความขัดแย้งในตนเอง ทำให้ต้องดิ้นรนเพื่อลดความขัดแย้งในตนด้วยวิธีการต่างๆ เป็นเหตุให้บุคคลเกิดบุคลิกภาพในด้านของการต่อต้านสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดความนับถือตนเอง ดังนั้น การสร้างเสริมบุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องที่จะเน้นเกี่ยวกับการให้บุคคลมีการรับรู้ตนเองได้ตามความเป็นจริง (self perception) เพื่อบุคคลจะได้มีการมองตนเอง (self concept) อย่างถูกต้อง ซึ่งจะได้พัฒนาบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมต่อไป
2. ปฏิสัมพันธ์ในสังคม (social interaction) ตามทฤษฎีทางจิตวิทยาพลวัตได้กล่าวไว้ว่าการที่บุคคล
จะเกิดมีบุคลิกภาพอย่างไรนั้น เป็นผลของการที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม ซึ่งจะทำให้บุคคลได้พบกับลักษณะของ
ความด้อย-ความเด่น ตลอดจนการมีครรลองชีวิตที่เป็นของตนเอง ปฏิสัมพันธ์ในสังคมจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเพราะทำให้บุคคลได้มีโอกาสรับรู้ตนเองจากภาพการมองของผู้อื่น ซึ่งเป็นเสมือนกระจกเงาฉายภาพตัวตนของบุคคลออกมาได้ชัดเจนกว่าการที่บุคคลมองตนเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะมีอคติสำหรับตนเองด้วยในบางครั้งหรือบ่อยครั้ง การรับรู้ตนเองอย่าง ถูกต้องจะทำให้บุคคลสามารถแสดงออกซึ่งบทบาทที่เหมาะสมและเกิดบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ตามมาด้วย ความเด่น-ความด้อย และครรลองชีวิตของบุคคลจะมีผลในการสร้างรูปแบบของบุคลิกภาพทั้งทางที่สังคมพึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ดังนั้นการสร้างเสริมบุคลิกภาพในบุคคลก็ควรจะได้คำนึงถึงความสำคัญของปฏิสัมพันธ์ในสังคมประกอบด้วยอีกประการหนึ่ง
3. การเรียนรู้ทางสังคม (social learning) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมได้ให้แนวคิดพื้นฐานสำคัญว่าการเรียนรู้ทางสังคมนั้นเป็นกระบวนการที่บุคคลไดรับข้อมูลต่างๆ จากการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม โดยจะมีกระบวนการจำ และนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามต่อไป นักจิตวิทยาได้เน้นความสำคัญในแนวคิดนี้ด้วยว่า การเรียนรู้และการแสดงออกเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างกัน คือการเรียนรู้ใช้เพียงการสังเกตเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่การแสดงออกเป็นพฤติกรรมนั้นจะต้องมีการใช้ทั้งแบบอย่างที่ได้รับมาจากการสังเกตและ กระบวนการที่จะเลือกแบบอย่างที่เหมาะสมมาใช้ ดังนั้นจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมจะช่วยทำให้เราได้ทราบว่า บุคลิกภาพของบุคคลที่เกิดขึ้นมานั้น ต้องอาศัยทั้งการที่บุคคลมีความจำในแบบอย่างของพฤติกรรมของผู้อื่น แล้วนำมาเข้ากระบวนการเลือกสรร แล้วจึงแสดงออกเป็นบุคลิกภาพที่ปรากฏให้เห็น ฉะนั้นถ้าหากจะให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมแล้ว การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
ก็ควรจะมีขั้นตอนของการให้บุคคลได้สังเกตแบบอย่างพฤติกรรมที่เหมาะสม แล้วนำไปใช้ในกระบวนการเลือกสรรเพื่อพัฒนาเป็นบุคลิกภาพของตนเอง
4. ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ลักษณะนี้ค่อนข้างจะเป็นพื้นฐานของบุคลิกภาพที่ปรากฎทางกายและสมองบางอย่าง ซึ่งบุคคลที่เกิดมาแล้วจะเลือกหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นคนเตี้ย โดยพ่อแม่ทั้งสองคน ถึงแม้จะได้รับอาหาร
ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักโภชนาการก็จะมีการเติบโตเพิ่มมากกว่าพ่อแม่บ้าง แต่ก็คงจะไม่เหมือนกับคนที่มีพันธุกรรมเป็นคนสูงทั้ง ครอบครัว หรือโรคบางอย่างที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น สติปัญญาอ่อน ตาบอดสี ก็คงจะยากที่จะได้รับการแก้ไข ดังนั้นจึงจะเป็นเรื่องของการปรับตัวต่อสภาพทางพันธุกรรมที่มีอยู่มากกว่าแก้ไขให้หมดไป การเสริมสร้าง บุคลิกภาพตามพื้นฐานประการนี้ก็น่าจะเป็นการสร้างและเสริมบุคลิกภาพให้ดีตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล มากกว่าการเปรียบตนเองกับบุคคลอื่น
จะเห็นได้ว่าปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ ล้วนมีอิทธิพลต่อการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่เหมาะสมทั้งสิ้น ซึ่งในการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมนั้น ก็จะได้อาศัยปัจจัยเหล่านี้ในการกำหนดวิธีการในการสร้างและเสริมบุคลิกภาพต่อไป
ในการสร้างและเสริมบุคลิกภาพของบุคคลนั้น ควรที่จะต้องแยกพิจารณาเป็น 2 ประเด็น คือ การสร้างบุคลิกภาพ และการเสริมหรือการปรับปรุงบุคลิกภาพ
การสร้างบุคลิกภาพ หมายถึง กระบวนการที่จะทำให้เกิดบุคลิกภาพขึ้นในตัวของบุคคลซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องเริ่มสร้างสมมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงจะทำให้เกิดบุคลิก ภาพที่พึงประสงค์ของสังคมได้ สถาบันทางสังคมและการศึกษา จะต้องทำหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างบุคลิกภาพให้แก่บุคคล สถาบันสังคมที่มีความสำคัญต่อการสร้างบุคลิกภาพก็ได้แก่
ครอบครัว โรงเรียน ศาสนา และวัฒนธรรม
การสร้างบุคลิกภาพให้แก่บุคคลในสังคมนั้นควรจะต้องพิจารณาสร้างบุคลิกภาพใน 2 ประการหลักคือ
1. การสร้างบุคลิกภาพตามความต้องการของสังคม การสร้างบุคลิกภาพแบบนี้จะเป็นการสนับสนุนความคิดเชิงสังคมของบุคคล และจะช่วยทำให้สังคมสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุขและมั่นคง สำหรับประเทศไทยเราเองนั้น บุคลิกภาพตามความต้องการของสังคมควรจะต้องเริ่มด้วยบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย ซึ่งในความเข้าใจของคนไทยทั่วไป ยังมีคนอีกจำนวนมากที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของการมีบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย โดยมักจะใช้บุคลิกภาพแบบตามใจตัวเอง ยึดตนเองเป็นหลักแล้วเรียกว่าบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างบุคลิกภาพดังกล่าวนี้ จึงควรที่จะให้ครอบครัวและโรงเรียนได้มีส่วนร่วมในการสร้างบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแก่เด็กและเยาวชน โดยการอบรมเลี้ยงดูในบ้านก็ควรจะเป็นประชาธิปไตย จะต้องมีการควบคุมให้เหมาะสมระหว่างลักษณะของการออกคำสั่งกับการปล่อยตามใจเด็ก เพื่อจะได้ให้เด็กเริ่มเรียนรู้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจากครอบครัวก่อน ส่วนโรงเรียนก็จะเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่จะสร้างบุคลิกภาพประชาธิปไตย กล่าวคือ ครูควรจะมีลักษณะการสอนแบบประชาธิปไตย บรรยากาศการเรียนในห้องเรียนก็ควรจะใช้หลักการบริหารนักเรียนแบบนี้ด้วย เช่น การเลือกตั้งหัวหน้าก็ควรจะได้มีการดำเนินการให้สอดคล้องกับกระบวนการ เลือกตั้งของสังคม และใคร่จะขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ประชาธิปไตยในห้องเรียนไม่ใช่การปล่อยให้นักเรียนทำอะไรตามใจชอบ แต่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กลุ่มได้ร่วมกันวางไว้และถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องมีการลงโทษบ้างตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
อีกเรื่องหนึ่งในการสร้างบุคลิกภาพของคนไทยก็คือ บุคลิกภาพตามหลักทางพุทธศาสนา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชาชนกว่าร้อยละ 90 นับถือพุทธศาสนา จึงจะเห็นได้ว่าบุคลิกภาพของคนไทยจะโน้มเอียงไปในทางความเชื่อของศาสนามาก เช่น การมีศีลธรรม การทำความดี เป็นต้น สำหรับศาสนาอื่นๆ ในประเทศไทย ก็จะมีหลักของศาสนาที่จะอบรมและสร้างบุคลิกภาพทางศาสนาให้แก่บุคคล ในแนวทางที่คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธในเรื่องของศีลธรรมและการทำความดีเช่นกัน
การสร้างบุคลิกภาพตามหลักวัฒนธรรม ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพของคนไทย เช่น บุคลิกภาพอ่อนน้อม บุคลิกภาพเชื่อฟังผู้ใหญ่บุคลิกภาพการมีใจกว้าง เป็นต้น
2. การสร้างบุคลิกภาพส่วนบุคคล เป็นลักษณะการสร้างบุคลิกภาพเฉพาะแต่ละคนแม้บุคคลจะมีความแตกต่างกันไปตามความแตกต่างระหว่างบุคคล แต่เมื่อบุคลิกภาพเฉพาะของบุคคลแสดงออก ก็ควรเป็นบุคลิกภาพที่สังคมพึงประสงค์ด้วย การสร้างบุคลิกภาพส่วนบุคคลจะต้องอาศัยกระบวนการพัฒนาบุคคลในด้านต่างๆ ซึ่งได้แก่
2.1 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสรีระและร่างกาย ควรจะได้มีการสำรวจความเจริญเติบโตของร่างกายเด็กทุกระยะ เช่น เด็กพูดได้หรือยัง พูดชัดหรือไม่ชัดฟันขึ้นปกติหรือไม่ เรียบหรือเก มีแขนขา ร่างกายส่วนใดผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีสิ่งผิดปกติก็จะได้ช่วยดัดแปลง แก้ไข หรือถ้าเกินความสามารถก็จะได้ปรึกษาแพทย์ให้ช่วยเหลือแก้ไข
2.2 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสติปัญญา ต้องคอยระวังอย่าให้เด็กได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง เช่น หกล้มอย่างแรง หรือมีอะไรกระทบสมองอย่างแรงเพราะจะทำให้สมองเสื่อม ระวังการเจ็บไข้และโรคบางชนิดที่จะเป็นผลกระทบกระเทือนถึงสมอง ควรจะให้เด็กได้รู้จักฝึกฝน และรู้จักใช้สมองบ้างตามความเหมาะสม
2.3 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางการควบคุมอารมณ์ อารมณ์มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างบุคลิกภาพของคนมากที่สุดอย่างหนึ่ง สำหรับเด็ก ความรักมีอิทธิพลในทางอารมณ์มาก เพราะอาจจะก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ทั้งในทางที่ดีและไม่ดีได้ ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นว่าเมื่อเด็กที่ขาดความรักจากพ่อแม่ จะเกิดความว้าเหว่า ขาดความอบอุ่นทางใจ
ขาดความปลอดภัย เขาก็จะหาทางออกโดยการเรียกร้องความสนใจหรือแสดงการก้าวร้าว ในที่สุดจะทำให้เขาประพฤติด้วยไม่ดี ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง กลายเป็นคนช่วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังสิ่งที่จะทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้เสีย เพื่อเด็กจะได้มีพัฒนาการทางอารมณ์ไปในทางที่ถูกต้องของแต่ละวัยจนเป็นผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์มั่นคง
2.4 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสังคม เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กย่อมจะอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น จากบ้านขยายไปอยู่โรงเรียน และชุมชนตามลำดับ เด็กจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมได้ทุกๆ ระยะผู้ใหญ่ควรจะให้
้คำแนะนำและช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อเด็กจะได้ไม่เป็นคนหลบหนีสังคม ซึ่งอาจจะเป็นผลเสีย ทำให้เกิดโรคจิตบางประเภทได้
การเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย หมายถึงกระบวนการในการพัฒนาหรือปรับปรุงบุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยที่เกิดขึ้นแล้วให้เป็นไปตามแนวทางที่พึงประสงค์ของสังคม การเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยนั้นเป็นเรื่องที่ทำขึ้น ภายหลังจากที่บุคคลได้สร้างบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยมาแล้ว การจะเสริมบุคลิกภาพให้ได้ผลดีนั้นควรจะทำเสียแต่ในวัยต้นๆ ของชีวิตคือ ก่อนที่บุคลิกภาพจะฝังรากลึกจนกระทั่งยากต่อการปรับปรุง กระบวนการเสริมบุคลิกภาพอาจจะมีขั้นตอนดังนี้คือ
1. การสำรวจตนเอง เป็นกระบวนการที่บุคคลเริ่มสำรวจบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้ตนเองนั้นมีลักษณะบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยอย่างไรบ้างและบุคลิกภาพที่มีอยู่นั้นควรกับความต้องการของสังคมหรือไม่ เคยมีปัญหาใดในการแสดงบุคลิกภาพบ้างหรือไม่ การสำรวจตนเองจะทำได้ใน 2 ทางคือ
1.1 การวิเคราะห์ตนเอง เป็นการที่บุคคลพยายามค้นหาองค์ประกอบบุคลิกภาพของตนเองเพื่อได้ทราบว่าองค์ประกอบแต่ละอย่างนั้นมีความสมบูรณ์ถูกต้อง อย่างไรบ้างเมื่อแยกวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ แล้ว ก็ควรจะประเมินสรุปบุคลิกภาพของตนเองว่าควรจะคงไว้ในส่วนใดและควรจะปรับปรุงในส่วนใด ที่สำคัญคือผู้วิเคราะห์ตนเองจะต้องยอมรับในข้อบกพร่องเพื่อการแก้ไขต่อไปด้วย
1.2 การรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น โดยปกติแล้วมนุษย์จะมีความลำเอียงเข้าข้างตนเองเสมอๆ ดังนั้นการวิเคราะห์ตนเองเพียงประการเดียว อาจจะยังไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอในการปรับปรุงบุคลิกภาพ จึงจำเป็นจะต้องประเมินตนเองโดยการอาศัยการมองของผู้อื่นว่าเขาคิดอย่างไรต่อบุคลิกภาพของเรา เพื่อจะได้นำส่วนที่บกพร่องมา แก้ไข
ต่อไป
2. การรู้จักตนเอง เมื่อบุคคลสำรวจตนเองได้ข้อมูลมากเพียงพอแล้ว บุคคลควรจะประมวลสรุปบุคลิกภาพเพื่อรู้จักตนเองใน 3 ลักษณะคือ
2.1 อุปนิสัยและนิสัยของตนเอง
2.2 ลักษณะส่วนรวมของตนเอง และ
2.3 บทบาทของตนเอง
3. การรู้จักปรับปรุงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย เป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ตนเองแล้วมาตรวจพบข้อบกพร่องต่างๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุง โดยการที่บุคคลจะต้องมองหาลักษณะบุคลิกภาพที่จะเป็นแบบอย่างที่จะใช้ในการปรับปรุงต่อไปแล้วพยายามเตือนตนเอง ให้ละทิ้งบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยเดิมที่บกพร่อง แล้วพยายามปฏิบัติตามแบบอย่างของบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยใหม่ การปรับปรุงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและจะต้องมีความตั้งใจจริง โดยตัวของบุคคลที่จะปรับปรุงบุคลิกภาพเองจะต้องให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ด้วยการยอมรับข้อบกพร่องของตนและผลที่มีต่อตนเองและผู้อื่นเป็นประการสำคัญ ทั้งต้องรู้จักแสวงหาหนทางที่จะช่วยให้ ตนเองได้รับรู้บุคลิกภาพและลักษณะนิสัยที่สร้างสรรค์อันควรต่อการเสริมสร้างให้เกิดขึ้น และที่สำคัญก็คือการส่งเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย
ดังกล่าวนี้ จะต้องไม่ไปกระทบกระเทือนต่อการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือความเป็นตัวของตัวเอง
การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
·
การสร้างบุคลิกภาพให้แก่บุคคลในสังคมนั้นควรจะต้องพิจารณาสร้างบุคลิกภาพใน 2 ประการหลักคือ
1. การสร้างบุคลิกภาพตามความต้องการของสังคม การสร้างบุคลิกภาพแบบนี้จะเป็นการสนับสนุนความคิดเชิงสังคมของบุคคล และจะช่วยทำให้สังคมสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุขและมั่นคง สำหรับประเทศไทยเราเองนั้น บุคลิกภาพตามความต้องการของสังคมควรจะต้องเริ่มด้วยบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย ซึ่งในความเข้าใจของคนไทยทั่วไป ยังมีคนอีกจำนวนมากที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของการมีบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย โดยมักจะใช้บุคลิกภาพแบบตามใจตัวเอง ยึดตนเองเป็นหลักแล้วเรียกว่าบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างบุคลิกภาพดังกล่าวนี้ จึงควรที่จะให้ครอบครัวและโรงเรียนได้มีส่วนร่วมในการสร้างบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแก่เด็กและเยาวชน โดยการอบรมเลี้ยงดูในบ้านก็ควรจะเป็นประชาธิปไตย จะต้องมีการควบคุมให้เหมาะสมระหว่างลักษณะของการออกคำสั่งกับการปล่อยตามใจเด็ก เพื่อจะได้ให้เด็กเริ่มเรียนรู้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจากครอบครัวก่อน ส่วนโรงเรียนก็จะเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่จะสร้างบุคลิกภาพประชาธิปไตย กล่าวคือ ครูควรจะมีลักษณะการสอนแบบประชาธิปไตย บรรยากาศการเรียนในห้องเรียนก็ควรจะใช้หลักการบริหารนักเรียนแบบนี้ด้วย เช่น การเลือกตั้งหัวหน้าก็ควรจะได้มีการดำเนินการให้สอดคล้องกับกระบวนการ เลือกตั้งของสังคม และใคร่จะขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ประชาธิปไตยในห้องเรียนไม่ใช่การปล่อยให้นักเรียนทำอะไรตามใจชอบ แต่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กลุ่มได้ร่วมกันวางไว้และถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องมีการลงโทษบ้างตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
อีกเรื่องหนึ่งในการสร้างบุคลิกภาพของคนไทยก็คือ บุคลิกภาพตามหลักทางพุทธศาสนา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชาชนกว่าร้อยละ 90 นับถือพุทธศาสนา จึงจะเห็นได้ว่าบุคลิกภาพของคนไทยจะโน้มเอียงไปในทางความเชื่อของศาสนามาก เช่น การมีศีลธรรม การทำความดี เป็นต้น สำหรับศาสนาอื่นๆ ในประเทศไทย ก็จะมีหลักของศาสนาที่จะอบรมและสร้างบุคลิกภาพทางศาสนาให้แก่บุคคล ในแนวทางที่คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธในเรื่องของศีลธรรมและการทำความดีเช่นกัน
การสร้างบุคลิกภาพตามหลักวัฒนธรรม ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพของคนไทย เช่น บุคลิกภาพอ่อนน้อม บุคลิกภาพเชื่อฟังผู้ใหญ่บุคลิกภาพการมีใจกว้าง เป็นต้น
2. การสร้างบุคลิกภาพส่วนบุคคล เป็นลักษณะการสร้างบุคลิกภาพเฉพาะแต่ละคน แม้บุคคลจะมีความแตกต่างกันไป ตามความแตกต่าง ระหว่างบุคคล แต่เมื่อบุคลิกภาพเฉพาะของบุคคลแสดงออก ก็ควรเป็นบุคลิกภาพที่สังคมพึงประสงค์ด้วย การสร้างบุคลิกภาพส่วนบุคคลจะต้องอาศัย กระบวนการพัฒนาบุคคลในด้านต่างๆ ซึ่งได้แก่
2.1 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสรีระและร่างกาย ควรจะได้มีการสำรวจความเจริญเติบโตของร่างกายเด็กทุกระยะ เช่น เด็กพูดได้หรือยัง พูดชัดหรือไม่ชัดฟันขึ้นปกติหรือไม่ เรียบหรือเก มีแขนขา ร่างกายส่วนใดผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีสิ่งผิดปกติก็จะได้ช่วยดัดแปลง แก้ไข หรือถ้าเกินความสามารถก็จะได้ปรึกษาแพทย์ให้ช่วยเหลือแก้ไข
2.2 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสติปัญญา ต้องคอยระวังอย่าให้เด็กได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง เช่น หกล้มอย่างแรง หรือมีอะไรกระทบสมองอย่างแรงเพราะจะทำให้สมองเสื่อม ระวังการเจ็บไข้และโรคบางชนิดที่จะเป็นผลกระทบกระเทือนถึงสมอง ควรจะให้เด็กได้รู้จักฝึกฝน และรู้จักใช้สมองบ้างตามความเหมาะสม
2.3 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางการควบคุมอารมณ์ อารมณ์มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างบุคลิกภาพของคนมากที่สุดอย่างหนึ่ง สำหรับเด็ก ความรักมีอิทธิพลในทางอารมณ์มาก เพราะอาจจะก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ทั้งในทางที่ดีและไม่ดีได้ ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นว่าเมื่อเด็กที่ขาดความรักจากพ่อแม่ จะเกิดความว้าเหว่า ขาดความอบอุ่นทางใจ
ขาดความปลอดภัย เขาก็จะหาทางออกโดยการเรียกร้องความสนใจหรือแสดงการก้าวร้าว ในที่สุดจะทำให้เขาประพฤติด้วยไม่ดี ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง กลายเป็นคนช่วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังสิ่งที่จะทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้เสีย เพื่อเด็กจะได้มีพัฒนาการทางอารมณ์ไปในทางที่ถูกต้องของแต่ละวัยจนเป็นผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์มั่นคง
2.4 การช่วยพัฒนาบุคลิกภาพทางสังคม เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กย่อมจะอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น จากบ้านขยายไปอยู่โรงเรียน และชุมชนตามลำดับ เด็กจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมได้ทุกๆ ระยะผู้ใหญ่ควรจะให้้คำแนะนำ และช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อเด็กจะได้ไม่เป็นคนหลบหนีสังคม ซึ่งอาจจะเป็นผลเสีย ทำให้เกิดโรคจิตบางประเภทได้
การเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย หมายถึงกระบวนการในการพัฒนาหรือปรับปรุงบุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยที่เกิดขึ้นแล้วให้เป็นไปตามแนวทางที่พึงประสงค์ของสังคม การเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยนั้นเป็นเรื่องที่ทำขึ้น ภายหลังจากที่บุคคลได้สร้างบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยมาแล้ว การจะเสริมบุคลิกภาพให้ได้ผลดีนั้นควรจะทำเสียแต่ในวัยต้นๆ ของชีวิตคือ ก่อนที่บุคลิกภาพจะฝังรากลึกจนกระทั่งยากต่อการปรับปรุง กระบวนการเสริมบุคลิกภาพอาจจะมีขั้นตอนดังนี้คือ
1. การสำรวจตนเอง เป็นกระบวนการที่บุคคลเริ่มสำรวจบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้ตนเองนั้นมีลักษณะบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยอย่างไรบ้างและบุคลิกภาพที่มีอยู่นั้นควรกับความต้องการของสังคมหรือไม่ เคยมีปัญหาใดในการแสดงบุคลิกภาพบ้างหรือไม่ การสำรวจตนเองจะทำได้ใน 2 ทางคือ
1.1 การวิเคราะห์ตนเอง เป็นการที่บุคคลพยายามค้นหาองค์ประกอบบุคลิกภาพของตนเองเพื่อได้ทราบว่าองค์ประกอบแต่ละอย่างนั้นมีความสมบูรณ์ถูกต้อง อย่างไรบ้างเมื่อแยกวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ แล้ว ก็ควรจะประเมินสรุปบุคลิกภาพของตนเองว่าควรจะคงไว้ในส่วนใดและควรจะปรับปรุงในส่วนใด ที่สำคัญคือผู้วิเคราะห์ตนเองจะต้องยอมรับในข้อบกพร่องเพื่อการแก้ไขต่อไปด้วย
1.2 การรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น โดยปกติแล้วมนุษย์จะมีความลำเอียงเข้าข้างตนเองเสมอๆ ดังนั้นการวิเคราะห์ตนเองเพียงประการเดียว อาจจะยังไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอในการปรับปรุงบุคลิกภาพ จึงจำเป็นจะต้องประเมินตนเองโดยการอาศัยการมองของผู้อื่นว่าเขาคิดอย่างไรต่อบุคลิกภาพของเรา เพื่อจะได้นำส่วนที่บกพร่องมา แก้ไข
ต่อไป
2. การรู้จักตนเอง เมื่อบุคคลสำรวจตนเองได้ข้อมูลมากเพียงพอแล้ว บุคคลควรจะประมวลสรุปบุคลิกภาพเพื่อรู้จักตนเองใน 3 ลักษณะคือ
2.1 อุปนิสัยและนิสัยของตนเอง
2.2 ลักษณะส่วนรวมของตนเอง และ
2.3 บทบาทของตนเอง
3. การรู้จักปรับปรุงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย เป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ตนเองแล้วมาตรวจพบข้อบกพร่องต่างๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุง โดยการที่บุคคลจะต้องมองหาลักษณะบุคลิกภาพที่จะเป็นแบบอย่างที่จะใช้ในการปรับปรุงต่อไปแล้วพยายามเตือนตนเอง ให้ละทิ้งบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยเดิมที่บกพร่อง แล้วพยายามปฏิบัติตามแบบอย่างของบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยใหม่ การปรับปรุงบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและจะต้องมีความตั้งใจจริง โดยตัวของบุคคลที่จะปรับปรุงบุคลิกภาพเองจะต้องให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ด้วยการยอมรับข้อบกพร่องของตนและผลที่มีต่อตนเองและผู้อื่นเป็นประการสำคัญ ทั้งต้องรู้จักแสวงหาหนทางที่จะช่วยให้ ตนเองได้รับรู้บุคลิกภาพและลักษณะนิสัยที่สร้างสรรค์อันควรต่อการเสริมสร้างให้เกิดขึ้น และที่สำคัญก็คือการส่งเสริมบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย
ดังกล่าวนี้ จะต้องไม่ไปกระทบกระเทือนต่อการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือความเป็นตัวของตัวเอง
การสร้างเสริมบุคลิกภาพ
·
ความแตกต่างและความเบี่ยงเบนของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพของบุคคลแต่ละคนจะมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน แต่ก็อาจมีบางคนที่มีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกัน
ได้บ้าง ดังนั้น จึงอาจจะกล่าวได้ว่าบุคลิกภาพของบุคคลมีความแตกต่างกัน นอกจากความแตกต่างของบุคลิกภาพในลักษณะปกติแล้วบางครั้งบุคลิกภาพของบุคคลก็จะมีการผันแปรออกไปจากมาตรฐานที่สังคมกำหนด ความเบี่ยงเบนของบุคลิกภาพนี้จะทราบได้โดยการประเมินบุคลิกภาพด้วยวิธีการต่างๆ
ความแตกต่างของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพของบุคคลจะแตกต่างกันเพราะ บุคคลที่มีความแตกต่างกันโดยพื้นฐานต่างๆ อยู่แล้ว ทางสรีระ สังคม และวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมที่ต่างกันก็ทำให้บุคคลได้รับประสบการณ์
ที่แตกต่าง กันมากขึ้นมีผลทำให้บุคลิกภาพ แตกต่างกันไปด้วย ปัจจัยที่มีผลทำให้เกิดความแตกต่างของบุคลิกภาพ ที่จะยกมากล่าวในที่นี้ได้แก่
1. เพศ
2. อายุ
3. สุขภาพ
4. อาชีพ
5. ประสบการณ์
1. เพศกับความแตกต่างของบุคลิกภาพ
ชายและหญิงจะมีความแตกต่างกันในลักษณะบุคลิกภาพ เว้นแต่ในช่วงของวัยเด็กซึ่งยังไม่อยู่ในขั้นของการแยกแยะความแตกต่าง
คลิกเพื่อดูภาพขยาย ภาพเคลื่อนไหวที่ 6.2 ความแตกต่างและความเบี่ยงเบนของบุคลิกภาพ
ระหว่างเพศอย่างชัดเจนมาก (Hoffman and Levine, 1976.) การทดสอบความสามารถในการเข้าใจลักษณะอารมณ์โดยไม่มีการพูด ทำให้ทราบว่าผู้หญิงมีความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของบุคคคลได้ดีกว่าผู้ชาย โดยไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงในช่วงอายุใดก็ตาม (Hall,1978.) ซึ่งความสามารถในการเข้าใจสัญญาณต่างๆ ที่ไม่ใช่คำพูดนี้เอง เป็นเครื่องแสดงถึงความสามารถที่บุคคลจะมีความสามารถในการสอนและงานทางคลินิก
ในการศึกษาเรื่องของความก้าวร้าว ผู้วิจัยพบว่าเพศชายและเพศหญิง มีลักษณะบุคลิกภาพที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน (Maccoby and Jaclelin, 1974.) ความแตกต่างในเรื่องของความก้าวร้าวนี้จากการศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นที่มีช่วงอายุของนักศึกษาระดับวิทยาลัย พบว่าเพศชายมีความก้าวร้าวและดุร้ายมากกว่าเพศหญิงไม่ว่าจะเป็นการวัดแบบลึก หรือการวัดแบบอัตวิสัย โดยวัยรุ่นพวกนี้ได้แสดงความคิดเห็นอย่างก้าวร้าว และก็มีความเต็มใจที่จะแสดงออกอย่างก้าวร้าวในการทดลองสำหรับกรณีของผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกันผู้วิจัยพบว่า ผู้ชายมีความก้าวร้าวมากกว่าผู้หญิงในการทดลองทุกสถานการณ์
(Frodi, Mac Auley and Thome, 1977.)
สำหรับเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์ และความรู้สึกจะพบว่าผู้หญิงมีการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกได้เหมาะสมกว่าผู้ชาย ทั้งนี้อาจจะเป็นผลจากการบังคับทางสังคมที่มีต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาจจะไม่ใช่ผลของความแตกต่างในบุคลิกภาพอย่างแท้จริงก็เป็นได้ นอกจากนี้ในกรณีที่เกี่ยวกับความสิ้นหวังและความเศร้าเมื่อศึกษาเปรียบเทียบกันระหว่างเพศชายและเพศหญิงพบว่า ผู้ชายได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์เกี่ยวกับความสิ้นหวังและความเศร้าได้มากกว่าผู้หญิง
2. อายุกับความแตกต่างของบุคลิกภาพ อายุก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องในด้านของความแตกต่างของบุคลิกภาพ โดยบุคลิกภาพจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับอายุ โดยเฉพาะในเรื่องความระมัดระวัง และความเข้มแข็ง (Ohun and Di vesta, 1976.) การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพตามอายุนั้นสำหรับบางคนการพัฒนาบุคลิกภาพของเขา
จะต่อเนื่องกันมาเรื่องจากวัยรุ่นจนถึงวัยชรา โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่บางคนอาจะมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพโดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นตอนกลางถึงประมาณอายุ 30 ปี (Maas and Kuypers, 1974.) นอกจากนี้อาการผิดปกติทางพฤติกรรมของบุคคลมักจะพบสถิติที่สูงที่สุดในกลุ่มอายุระหว่าง 25 ถึง 44 ปี ส่วนอาการผิดปกติทางพฤติกรรมที่เกิดจากความผิดปกติทางร่างกายซึ่งทำให้บุคคลมีการเปลี่ยนแปลงความคิด ความจำ และบุคลิกภาพอื่นๆ นั้น ส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มคนที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป
3. สุขภาพกับความแตกต่างของบุคลิกภาพ สุขภาพทางกาย และสุขภาพทางจิตของบุคคลมีความเกี่ยวข้องกับความแตกต่างของบุคลิกภาพ คือ ร่างการที่สมบูรณ์แข็งแรงจะเป็นพื้นฐานให้บุคคลมีความพร้อมในการสร้างบุคลิกภาพ
ที่ดี สุขภาพทางจิตดีเช่นเดียวกัน คนที่มีสุขภาพจิตดีจะมีความสามารถในการปรับตัวได้ดี ดังนั้นลักษณะบุคลิกภาพที่แสดงออกมาก็จะเป็นบุคลิกภาพที่ดี แต่ในทางตรงข้ามพวกที่มีสุขภาพจิตไม่ดีจะปรับตัวไม่ได้ ทำให้มีบุคลิกภาพที่สังคม
ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าสุขภาพทางกายและจิตมีผลร่วมทำให้เกิดความแตกต่างของบุคลิกภาพได้
4. อาชีพกับความแตกต่างของบุคลิกภาพ อาชีพเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามลักษณะของอาชีพได้ อาชีพบางอย่างเช่น ครู แพทย์ จะมีการหล่อหลอมให้บุคคลในอาชีพมีบุคลิกภาพที่มีเมตตา มีคุณธรรมสูงเพราะเป็นอาชีพที่ใช้เมตตาคุณต่อเพื่อนมนุษย์ ส่วนบางอาชีพ เช่น นักหนังสือพิมพ์ จะมีลักษณะบุคลิกภาพแบบที่คล่องแคล่วว่องไวและชอบซักถาม หรืออาชีพทหาร จะหล่อหลอมบุคลิกภาพของผู้อยู่ในอาชีพนี้ให้มีความเข้มแข็ง อดทน เป็นผู้นำ ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า อาชีพมีบทบาทที่สำคัญทีเดียวในการหล่อหลอมลักษณะบุคลิกภาพให้เป็นไปตามอาชีพนั้นๆ ถ้าจะมองในอีกด้านหนึ่งคนที่มีบุคลิกภาพบางลักษณะก็มักจะนิยมเลือกอาชีพให้สอดคล้องกับบุคลิกภาพของตนด้วย เช่น คนที่ชอบต่อสู้ ผจญภัย ท้าทายก็มักจะเลือกอาชีพเป็นทหาร ตำรวจ เป็นต้น
5. ประสบการณ์กับความแตกต่างทางบุคลิกภาพ บุคคลแต่ละคนจะมี ประสบการณ์ในอดีตที่แตกต่างกัน บางคนก็มีประสบการณ์ในชีวิตที่ดี มีความสำเร็จ มีความอบอุ่นในครอบครัว บุคคลที่มีประสบการณ์เช่นนี้มาจะพัฒนาบุคลิกภาพในทางที่ดี มีความอบอุ่น มั่นคง เชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งในทางตรงข้ามบุคคลที่มีประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตจะมีลักษณะการมองโลกในแง่ร้าย ขาดความมั่นใจ หวาดกลัว บุคคลเช่นนี้จะพัฒนาบุคลิกภาพที่ขาดความไว้วางใจผู้อื่นขี้ระแวงสงสัย ไม่มั่นใจตนเอง มองโลกแง่ร้าย
ความเบี่ยงเบนของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพที่แตกต่างกันของบุคคลเป็นเรื่องปกติวิสัย กล่าวคือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามวัฏจักรของสังคม แต่ก็มีบ่อยครั้งที่บุคคลมีความแตกต่างของบุคลิกภาพในด้านของความผิดปกติ ซึ่งจะเรียกว่า เป็นความเบี่ยงเบนของบุคลิกภาพอันเป็นผลจากการพัฒนาบุคลิภาพอย่างไม่เหมาะสม การจะรู้ว่าบุคลิกภาพใดจัดอยู่ในกลุ่มของความเบี่ยงเบนนั้น ก็จะต้องอาศัยการประเมินเพื่อทดสอบความเบี่ยงเบนของบุคลิกภาพที่แปรออกไปจากพฤติกรรมตามมาตรฐานของจิตวิทยาและทางสังคม
การประเมินบุคลิกภาพทางจิตวิทยานั้น โดยทั่วไปจะทำการทดสอบใน 2 แบบ คือ
1. แบบสำรวจบุคลิกภาพ (Personality Inventories) ซึ่งจะประกอบด้วยรายการต่างๆ จำนวนมากที่จะทำให้ค้นพบบุคลิกภาพของบุคคล ตัวอย่างเช่น แบบทดสอบ MMPT (Minnesota Multiphasic Personality Inventory (MMPI), Hathaway and McKinley, 1967.)
2. การประเมินบุคลิกภาพแบบฉายภาพ (Projective Technique) ได้แก่ การทดสอบแบบหยดหมึกของ
โรชาร์ด (Rorchach Inkblot) และแบบทดสอบ ทีเอที (Thermatic Apperception Test) และการวัดแบบอื่นๆ อีกในลักษณะที่คล้ายกัน กล่าวคือผู้ทดสอบจะใช้ความคุมเครือของภาพเป็นสิ่งเร้ากระต้นให้ผู้ถูกทดสอบแสดงความรู้สึกผิดชอบ
ความเบี่ยงเบนทางบุคลิกภาพที่พบได้เสมอในทุกสังคมได้แก่
(สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย 2534 : 261-262)
1. บุคลิกภาพแบบพารานอย คือ ขี้ระแวง สงสัย
2. บุคลิกภาพแบบเก็บตัว คือ ชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับคนอื่น
3. บุคลิกภาพแบบอิสตรีโอนิค คือ ชอบแสดงความรู้สึกมากจนเกินกว่าความเป็นจริง
4. บุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคม คือ แสดงพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ ขัดแย้งสังคม รักกลุ่มมากเกินไป
บุคลิกภาพดังกล่าวนี้ เป็นลักษณะความเบี่ยงเบนที่แปรออกไปจากสภาพความเป็นจริง จัดได้ว่าเป็นการผิดปกติอย่างหนึ่งด้วย เรื่องนี้อาจต้องการวินิจฉัยที่แน่นอนและการบำบัดรักษาแก้ไขจากแพทย์หรือบุคคลที่สำคัญในด้านจิตวิเคราะห์ และจิตเวชเพราะการเบี่ยงเบนทางบุคลิกภาพจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำรงชีวิตที่มีประสิทธิภาพของบุคคล และจัดได้ว่า เป็นผลกระทบไม่เพียงแต่ตัวของผู้เป็นเจ้าของบคุลิกภาพเบี่ยงเบนแต่ยังเป็นผลกระทบต่อครอบครัว และสังคมในวงกว้างที่บุคคลเหล่านี้เป็นสมาชิกอยู่ด้วย
มารยาท Etiquette หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออกทางกริยา วาจา ที่สังคมยอมรับว่าถูกต้อง ดีงาม
การสมาคม คือการรวมกันของกลุ่มของคนตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปที่มาร่วมกิจกรรมเดียวกัน เช่นการประชุม ร่วมเล่นกีฬาฯ
การแนะนำให้รู้จักกัน เหตุผลที่ถือสมควรให้รู้จักกัน
1. เพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกพอใจที่จะรู้จักกัน
2. ทั้งสองฝ่ายต่างปรารถนาที่จะรู้จักกัน
3. ทั้งสองฝ่ายต่างมีนิสัยที่พอจะเป็นมิตรกันได้
4. รู้จักกันแล้วต่างฝ่ายต่างเป็นประโยชน์แก่กัน
หลักปฏิบัติในการแนะนำ
1. รีบแนะนำโดยไม่ต้องลังเลใจ
2. พาชายไปแนะนำให้รู้จักกับหญิง
3. พาผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่าไปรู้จักกับผู้ที่มีอาวุโสมาก
4. พาหญิงโสดไปรู้จักกับหญิงที่แต่งงานแล้ว
5. บางกรณีอาจต้องพาหญิงไปรู้จักกับชาย
o ชายเป็นภิกษุ สามเณร นักบวช
o ชายเป็นญาติผู้ใหญ่
o ชายที่มียศสูงกว่าหญิง
6. ถ้าแนะนำคนคนเดียวให้รู้จักกับคนหลายคนต้องแนะนำคนที่อยู่ใกล้ก่อนไปตามลำดับ
7. ต้องแนะนำผู้ที่มาทีหลังต่อผู้ที่มาก่อน
8. อย่าแนะนำกันเป็นหมู่ เพราะไม่ช่วยให้แขกรู้จักกันดี
การใช้บัตรเชิญชนิดต่างๆ หลักการเขียนบัตรเชิญ
1. ถ้าเป็นงานมงคลสมรสนิยมพิมพ์ด้วยกระดาษสีขาวหรือสีชมพูใหญ่
2. ตัวอักษรนิยมพิมพ์ด้วยตัวสีทอง เขียว หรือ ชมพู
3. ถ้าเป็นงานอวมงคล จะใช้กระดาษสีขาว ตัวอักษรสีดำ
4. ชื่อผู้พิมพ์ใช้อักษรตัวใหญ่ โดยมีหลักการดังนี้
o ถ้าเป็นทางการให้บอกชื่อหน่วยงาน
o ถ้าเป็นส่วนตัวให้ประกาศชื่อ สกุล
o ถ้าเชิญในหน้าที่การงานให้บอกชื่อ สกุลตำแหน่ง
5. ชื่อผู้รับเชิญไม่มีในบัตรเชิญ แต่จะมีที่จ่าหน้าซอง
6. ต้องบอกให้ทราบเนื่องในพิธีใด สถานที่ประกอบพิธี ระบุให้ชัดเจน บอกวัน เดือน ปี และเวลาในการประกอบพิธีให้ละเอียด
7. ถ้าบุรุษหรือสตรีที่สมรสแล้วต้องเชิญทั้งสามีภรรยา ไม่ควรเชิญคนเดียว
8. สุภาพสตรีที่ยังไม่สมรสอยู่กับบิดา มารดา หรือญาติ ก็ควรเชิญเรียงตัว
9. ถ้าสามี ภรรยา อยู่ด้วยกันอย่างไม่เปิดเผย ควรแยกบัตรเชิญคนละฉบับ
10. ถ้ากำหนดการแต่งกาย ให้พิมพ์ตัวเล็กไว้มุมล่างของบัตร
การใช้โทรศัพท์ การพูดโทรศัพท์ควรปฏิบัติดังนี้
1. เมื่อรับโทรศัพท์หรือเราเป็นฝ่ายเรียกไป ควรกล่าวด้วยคำว่า “สวัสดี” ทุกครั้ง
2. บอกชื่อสถานที่ หรือหน่วยงานของเราทันทีโดยไม่ต้องรอให้ฝ่ายหนึ่งถาม
3. บอกชื่อของเราทันทีที่รับโทรศัพท์ ถ้ารับโทรศัพท์แทนผู้อื่นควรจดข้อความของบุคคลที่โทรศัพท์เข้ามา
4. ถ้าเราเป็นฝ่ายเรียกไปโดยมิได้เจาะจงจะพูดกับผู้หนึ่งผู้ใด ควรแจ้งนามของเราให้เขาทราบด้วยว่ากำลังพูดอยู่กับใคร
มารยาทในการพูดโทรศัพท์
1. น้ำเสียงที่สุภาพน่าฟัง
2. น้ำเสียงน่าสนใจกระตือรือร้น
3. น้ำเสียงแสดงความจริงใจ
การประชุม
การประชุมคือ การมารวมกันเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อทราบข้อมูล ปัญหา แนวทางแก้ไข และสรุปหัวข้อยุติต่างๆ ในการประชุมแต่ละครั้ง จะต้องประกอบไปด้วย
1. ประธานในที่ประชุม ฃ
2. ผู้เข้าร่วมประชุม
3. เลขานุการการประชุม
มารยาทในการประชุม
1. ตรงต่อเวลา
2. ศึกษาหัวข้อการประชุมเตรียมรายละเอียดเพื่อการประชุม
3. พฤติกรรมที่แสดงออกต้องสุภาพ
4. ให้เกียรติประธานในที่ประชุม
5. ต้องขออนุญาตพูดโดยยกมือขึ้นเหนือศรีษะเสมอ
6. พยายามหลีกเลี่ยงการพูดตำหนิ
7. หากประสงค์จะคัดค้านให้ถือหลักว่าไม่ให้ผู้อื่นได้รับความอับอาย
8. หากที่ประชุมมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งต้องให้เกียรติที่ประชุมและปฏิบัติตาม
9. ไม่นำรายละเอียดการอภิปรายซึ่งเป็นการพิจารณาจากที่ประชุมไปแสดงภายนอกในลักษณะไม่เห็นด้วย
10. ถ้าที่ประชุมมีมติเป็นอย่างใดโดยมารยาทแล้วต้องยอมรับตามนั้น
11. พูดหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยให้ที่ประชุมหาทางออกและช่วยให้ได้มติตามวัตถุประสงค์
12. รักษาความลับของที่ประชุมและสิ่งที่พิจารณากันในที่ประชุม
13. ไม่นำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในที่ประชุม ถ้าเอาเข้าไปต้องปิด
การเยี่ยมเยียน
แบ่งออกได้หลายประเภทคือ
1. การเยี่ยมคำนับ นิยมทำกับผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่ที่สูงศักดิ์ ฯลฯ
2. การเยี่ยมตอบ ตามมารยาท เมื่อผู้ใดได้รับการเยี่ยมผู้นั้นต้องหาโอกาสไปเยี่ยมเขาตอบ
3. การเยี่ยมเยียน ถือเป็นมารยาทกระชับความสัมพันธ์
4. การเยี่ยมเพื่อแสดงความยินดี ควรเยี่ยมให้ทันเวลาที่ควรแสดงความยินดี
5. การเยี่ยมผู้ตกทุกข์ได้ยาก ควรไปให้กำลังใจเขาและช่วยคลี่คลายความทุกข์ให้ทุเลาลง
6. การเยี่ยมไข้ ควรไปตรงเวลาที่โรงพยาบาลกำหนด อย่าแสดงสีหน้าทุกข์โศก อย่าสูบบุหรี่ แต่งกายให้สุภาพฯลฯ
7. การเยี่ยมศพ เมื่อทราบข่าวควรรีบไปแสดงความเสียใจ ไม่ควรอยู่นาน ไม่พูดจาให้ญาติเศร้าโศก ไม่พูดตลก คะนอง
ศิลปการสนทนา
1. ต้องรู้จักกาลเทศะ ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาพูดฝ่ายเดียว ต้องเรียนรู้ผู้สนทนาว่าเป็นคนอย่างไร อย่าพูดโอ้อวดตนเอง ควรพูดจาให้สุภาพ
2. ไม่นินทาคนอื่น มีความจริงใจกับคู่สนทนา สบตาคู่สนทนา ควรสนทนาในสิ่งที่คู่สนทนารู้เรื่อง ฯลฯ
3. มารยาทของผู้ร่วมสนทนา ไม่พูดขัดคอคู่สนทนา ตั้งใจฟังคู่สนทนาด้วย อย่าล้วงแคะแกะเกา ถ้าตอนใดที่เราทำไม่ถูกก็ควรกล่าวคำขอโทษ
การเลี้ยงอาหารแบบสากล
มารยาทในการรับประทานอาหารจีน อย่ายกอาหารขึ้นจรดปาก แล้วอย่าใช้ตะเกียบฟุ้ยอาหารจากชามใส่ปากเป็นการเสียมารยาท ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ปาก แล้วใช้ช้อนกลางตักอาหารใส่จานของตนเอง เศษอาหารให้ใช้กระดาษเช็ดปากห่อวางไว้ข้างถ้วย
การเลี้ยงอาหารแบบตะวันตกหรือฝรั่ง การรับประทานอาหารสากลแบบนั่งโต๊ะ มีดังนี้
1. อาหารเช้า (Breakfast) ไม่ค่อยนิยมเลี้ยงมากนักเพราะอาหารเริ่ม 7.00 - 9.00 น. ถ้าเลี้ยงมักเป็นการเลี้ยงแบบกันเองเป็นการเลี้ยงแบบไม่เป็นพิธีรีตองอาหารเช้ามี 2 อย่างคือ
o 1.1 เป็นการเลี้ยงกาแฟ ขนมปัง ผลไม้ (ไม่มีเนื้อสัตว์)
o 1.2 เป็นอาหารที่มีเนื้อสัตว์เพิ่มมาด้วย
2. อาหารกลางวัน การรับประทานอาหารกลางวันเริ่ม 12.00 -13.00 น. ไม่มีพิธีมากนัก ส่วนใหญ่ไม่พิมพ์บัตรเชิญ อาหารกลางวันแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น
o ก. อาหารจานเดียว (One courses) เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่นหมู เนื้อ ไก่
o ข. อาหารประเภท 2 จาน (Two courses) จานแรกเป็นซุป หรืออาหารเบาๆเช่นคอ็กเทลต่างๆ มีสลัดผักเป็นส่วนประกอบ
o ค. อาหารประเภท 3จาน(Three courses) จานแรกเป็นซุป จานที่สองเป็นกุ้ง ปู ปลา จานที่สามเป็นอาหารหนักและสลัด
o ง. อาหารกลางวันแบบบุฟเฟ่ เป็นการจัดแบบกันเอง เหมาะสำหรับคนจำนวนมากๆ อาหารต่างๆจะมีอย่างเพียงพอ ทั้งคาวและหวานบนโต๊ะยาว ให้แขกบริการตนเองตามความพอใจ การตักควรเรียงตามลำดับก่อนหลังสุภาพบุรุษควรให้เกียรติสุภาพสตรีตักอาหารก่อน
มารยาทในการรับประทานอาหารบุฟเฟ่
1. รับประทานซุบให้ตักออกจากตัว ศรีษะก้มเล็กน้อย แล้วเทซุปออกทางด้านข้าง
2. อาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้ใช้มีดกับส้อม
3. การหยิบแก้วเหล้าให้หยิบแก้วที่อยู่ห่างตัว
มารยาทอื่นๆ
การนัดพบ
1. พยายามให้ตรงเวลานัดพอดี จะก่อนเวลาเท่าไหร่ยิ่งดี
2. ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่สามารถไปได้ทันเวลา ก็อย่าช้าเกินกว่า 15 นาที
3. ถ้าไปตามนัดไม่ได้จริงๆ ควรแจ้งให้เขาทราบล่วงหน้า
4. ถ้าท่านเป็นฝ่ายรอบุคคลอื่น จงอย่าให้เขารอเกินกว่า 15 นาที
5. ปัจจุบันมีโทรศัพท์ติดตามตัว การนัดหมาย แบบยืนยันค่อนข้างจะสะดวกจะใช้เครื่องมือสื่อสารที่ท่านใช้อยู่ให้เกิดประโยชน์
การยืมหนังสือ
1. จงปฏิบัติต่อสิ่งที่ท่านยืมมานั้นประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลิกอ่านแต่ละหน้าด้วยความระมัดระวัง
2. เมื่ออ่านจบอย่าค้างไว้นาน รีบนำคืนเจ้าของ
3. อย่าพับหนังสือในหน้าที่ท่านอ่านค้างไว้ จงใช้ที่คั่นหนังสือคั่นไว้
มารยาทเป็นคุณลักษณะประจำตัวของบุคคล ได้แก่ การสัมมาคารวะ ความสุภาพ อ่อนน้อม ความมีวินัย และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏแก่สายตาของผู้อื่น
นักธุรกิจที่ดี นอกจากจะมีความสามารถในเชิงธุรกิจแล้ว ยังต้องรู้จักรักษากิริยามารยาท และจะต้องรู้จักการสมาคมกับบุคคลอื่น จึงจะเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ เพิ่มความสนใจ ให้กับผู้พบเห็นจึงนับได้ว่าเขาผุ้นั้นเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ในการดำเนินธุรกิจในชีวิตประจำวัน
1. อธิบายความหมายของมารยาทได้
2. บอกวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับมารยาทโดยทั่วไปได้
3. บอกวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับมารยาทตามกาลเทศะได้
ความหมายของมารยาท
มารยาท หมายถึง แนวทางในการปฏิบัติ หรือการแสดงวาจา ภาษา ท่าทาง และพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมา ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้อื่น
คนทั่ว ๆ ไป จะมีมารยาทดีมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมของแต่ละครอบครัว บุคลิกภาพของแต่ละคนจะบอกให้รู้ว่าคนคนนั้นมีความสุภาพ อ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ และมีระเบียบวินัยเพียงใด
มารยาทแบ่งออกเป็น 2 ปะเภท คือ มารยาทโดยทั่วไป และมารยาทตามกาลเทศะ
มารยาทโดยทั่วไป
การมีมารยาทเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน เป็นการแสดงความเคารพให้เกียรติกัน คนไทยปัจจุบันมักเรียกตนเองว่า เป็นคนยุคใหม่ และชอบทำอะไรแบบง่าย ๆ ถือเอาความสะดวกสบายเป็นหลัก พฤติกรรมที่แสดงออกมาในบางครั้ง จึงกลายเป็นคนไร้มารยาทไปโดยไม่ตั้งใจ การให้เรียนรู้เรื่องมารยาทในสังคม จึงยังเป็นสิ่งสำคัญต่อเยาวชนไทยเป็นอย่างยิ่ง
มารยาทโดยทั่วไปที่ควรทราบมีดังนี้
1. การแต่งกายให้เรียบร้อย การแต่งกายให้เรียบร้อย เหมาะสมกับเวลา และสถานที่ถือว่า
เป็นผู้มีวัฒนธรรม และจะได้รับความเกรงใจจากผู้พบเห็น
2. การสำรวมกิริยาทาทาง และคำพูด การอยู่ต่อหน้าผู้อื่นต้องสำรวมเรื่องการพูดไม่พูดคำ
หยาบ ตลกคะนอง เอะอะ แสดงกิริยาท่าทางให้สงบเสงี่ยมเป็นการเคารพสถานที่ และรักษาบุคลิกของตนให้ดูดีในสายตาของคนอื่น
3. การรู้จักเกรงใจ ไม่ถือวิสาสะ
การเกรงใจ คือ การรู้จักระวังความรู้สึกของคนอื่นในเรื่องต่อไปนี้
- การขอความช่วยเหลือ
- การขออาศัยรถ หรือบ้าน
- การไปเยี่ยมเยือนในเวลาเช้า หรือดึกเกินไป
- การหยิบยืมสิ่งของ
ฯลฯ
การไม่ถือวิสาสะ คือ การไม่ปฏิบัติเรื่องต่อไปนี้
- เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่เคาะประตู
- หยิบของ หรือใช้ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
- เดินเข้าไปสำรวจในบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
- เปิดจดหมายของคนอื่นออกอ่านโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. การให้เกียรติผู้อื่น การให้เกียรติผู้อื่นมีอยู่ 2 แบบ คือ
ให้เกียรติด้วยวาจา ได้แก่
- ไม่พูดใส่หน้าจนน้ำลายกระเด็น
- ไม่กล่าวคำล้อเลียน นินทา
- พูดข่ม เยาะเย้ย ดูถูก หรือเหยียดหยาม
ให้เกียรติด้วยท่าทาง ได้แก่
- ไม่สูบบุหรี่ในห้องแอร์ หรือในลิฟต์
- ไม่นั่งกางขา นั่งไขว่ห้าง นั่งโยกเก้าอี้
- ไม่ถอดรองเท้า บิดขี้เกียจ อ้าปากหาว
- ไม่หวีผม ตัดเล็บ แคะ แกะ เกา
- ไม่ยกเท้าไว้บนโต๊ะทำงาน หรือยกเท้าถีบพนักพิงเก้าอี้
- ไม่ยกปลายเท้าชี้แทนมือ หรือยกขาพาดตักผู้อื่น
5. การกล่าวคำขอโทษ และขอบคุณ ควรใช้คำว่า ขอโทษ และขอบคุณให้ติดเป็นนิสัยแม้ จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม
6. การไม่พูดเพ้อเจ้อ หรือพูดสั่งพร่ำเพรื่อ พูดเพ้อเจ้อคือพูดออกนอกลู่นอกทางนอกเรื่อง ที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญ พูดสั่งพร่ำเพรื่อ คือ พูดย้ำเตือน พูดสั่งพร่ำเพ้อ คือ พูดย้ำเตือน กำชับ เพราะกลัวคนฟังจะลืม หากพูดบ่อย ๆ ถือว่าเป็นการเสียมารยาท
7. การทักทายด้วยรอยยิ้ม และอัธยาศัยไมตรี การทักทายเมื่อพบคนที่รู้จักทำได้หลายวิธี เช่นการยกมือไหว้ผู้ใหญ่ การทักทายด้วยความยินดี และการส่งยิ้มให้ ก็เป็นการแสดงถึงความเป็นคนที่มีอัธยาศัยไม่ตรีอันดี ใคร ๆ ก็ต้องการคบหาด้วย
8. การระมัดระวังตัว และอ่อนน้อมถ่อมตน คนที่คอยระมัดระวังตนเองจะไม่เหลียวหน้า เหลียวหลัง ทำท่าทางเลิ่กลั่ก หรือทำตัวเป็นจุดเด่น ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเหมือนคนมีปัญหาส่วนคนที่อ่อน้อมถ่อมตนจะไม่แสดงท่าเย่อหยิ่ง จองหอง ซึ่งจะเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น
9. การไม่ทำอะไรตามใจตน และไม่ต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ วัยรุ่น หรือเยาวชนส่วนใหญ่
จะมีลักษณะใจร้อน จึงคิด และตัดสินใจทำอะไรรวดเร็วตามวัย แต่การทำตามใจตนเองนั้น ส่วนใหญ่มักผิดพลาด จึงควรยั้งคิดฟังคำตักเตือน และปรึกษาผู้ใหญ่ การสนทนากับผู้ใหญ่บางครั้งด้วยวัยที่แตกต่างกันความคิดอาจขัดแย้งกันได้ แต่ก็ไม่ควรโต้เถียงกับผู้ใหญ่ ควรใช้วิธีค่อย ๆ อธิบายเหตุให้ท่านฟังจะดีกว่า
มารยาทตามกาลเทศะ
มารยาทตามกาลเทศะมีอยู่หลายประการ คือ
มารยาทในการยืน เดิน นั่ง
1. การยืน มีอยู่ 2 แบบ
1.1 ยืนแบบธรรมดา ส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย ปล่อยตัวตามสบายแขนห้อย
แนบลำตัว ตามองตรง ไม่กอดอก หรือล้วงกระเป๋า
1.2 ยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ ตัวตรงเท้าชิด แสดงความนอบน้อมด้วยไหล่ และศีรษะที่ก้มลง
เล็กน้อย สองมือประสานไว้ข้างหน้า ไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ไม่จ้องหน้าผู้ใหญ่
2. การเดิน มีอยู่ 4 แบบ คือ
2.1 เดินแบบธรรมดา อย่าเดินเรียงแถวหน้ากระดานขวางทางผู้อื่น หรือกระโดดไป
เต้นไป เดินแกว่งแขนแต่พองาม ไม่เดินช้า หรือเร็วเกินไป และไม่ควรเดินก้มหน้า
2.1 เดินกับผู้ใหญ่ ไม่เดินนำหน้า (ยกเว้นเมื่อต้องเป็นคนนำทาง) ให้เดินเยื้องไปด้าน
ข้าง หรือด้านหลัง ไม่เดินเหม่อลอย ต้องเดินระวังตัวตลอดเวลา
2.2 เดินสวนทางกัน ถ้าสวนทางกับเพื่อนควรชิดซ้าย สวนทางกับผู้ใหญ่ควรก้มตัว
เมื่อเดินผ่าน ถ้าเป็นทางแคบควรหยุดให้ท่านไปก่อน ถ้าผู้ใหญ่นั่งอยู่ควรหลีกเลี่ยงไป
ใช้เส้นทางอื่น หรือคลานเข่า
2.3 เดินในที่ชุมชน ถ้ามีคนนั่งอยู่ควรมีคนเดินค้อมหลัง และยกมือไหว้สำหรับผู้ใหญ่
ที่คุ้นเคยถ้ามีประธานนั่งอยู่ต้องทำความเคารพก่อนจะเดินเข้าไป หรือเดินออกมา
3 การนั่ง มีอยู่ 2 แบบ คือ
3.1 การนั่งแบบธรรมดา หรือนั่งประชุม ผู้ชายถ้านั่งเก้าอี้แบบมีพนักพิง ก็ให้เอนหลังพองาม นั่งตามสบายเหยียดขา ไม่กระดิกเท้า ไขว่ห้าง หรือขยับขาไปมาผู้หญิงให้นั่งเข่าชิด ไม่แคะ แกะ เกา สะกิดคนอื่น ตั้งใจฟังการประชุม
3.2 การนั่งต่อหน้าผู้ใหญ่ ควรนั่งตัวตรง ไม่พิงพนัก น้อมตัวลงเล็กน้อยตั้งใจฟังคำพูดแต่ไม่ควรจ้องหน้าผู้ใหญ่ตลอดเวลา
มารยาทในการรับมอบ – มอบชอง และการแสดงความเคารพ
1. เข้าห้องตรงเวลา ไม่ควรเข้าสาย นั่งตามที่ซางจัดไว้ให้เรียบร้อย
2. ตั้งใจฟังการประชุม หรือคำบรรยาย และไม่รบกวนสมาธิของผู้อื่นด้วยการส่งเสียงดังกินขนม หรือชวนคนข้างเดียงคุย
3. แสดงน้ำใจต่อเพื่อน หรือคนอื่นๆ ที่นั่งข้าง ๆ ด้วยการเลื่อนเก้าอี้ให้ เก็บของที่ตกให้ บอกข้อความ และจดคำบรรยาย หรือมติที่ประชุมด้วยความตั้งใจ
4. ฟัง และจดคำบรรยาย หรือมติที่ประชุมด้วยความตั้งใจ
5. แสดงความคิดเห็นส่วนตัว หรือซักถามได้แต่ไม่แสดงความคิดเห็นคัดค้าน หรือวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง
6. ไม่พูดแซงประธาน หรือคนอื่น ๆ ในที่ประชุม
7. แม่แสดงอาการคัดค้านอย่างรุนแรง และควรเคารพมติของที่ประชุม
8. ไม่พูดจาวกวน หรือต่อเรื่องให้ยาวออกนอกประเด็น
9. ขออนุญาตก่อนลุกออกจากที่ทุกครั้ง
10. ฟังผู้พูด หรือคู่สนทนาอย่างตั้งใจ มองหน้าผู้พูด ไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย
มารยาทบนรถโดยสารประจำทาง
1. ไม่สูบบุหรี่บนรถโดยสารประจำทาง
2. ไม่นั่งเหยียดขาขวางทางผู้อื่น
3. ไม่คุยเรื่องส่วนตัว คุยเสียงดัง หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น
4. ไม่จ้องมองผู้โดยสารคนอื่น เพื่อสำรวจตรวจตราออกนอกหน้า
5. ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงขึ้นรถไปด้วย
6. ควรเสียสละที่นั่งให้เด็ก สตรี และคนชรา และช่วยเหลือถือสิ่งของให้คนอื่นตามความเหมาะสม
7. ควรเข้าแถวเมื่อจะขึ้นรถ และควรเตรียมข้าวของให้เรียบร้อยก่อนกดกริ่งเพื่อลงจากรถ
8. ไม่ยืนขวางทางตรงประตูรถ
9. ไม่ควรพูดจาแทะโลมสุภาพสตรี หรือส่งเสียงแซวผู้อื่น
10. เตรียมเงินค่าโดยสารให้พอกับจำนวนที่ต้องการจ่ายทุกครั้ง
มารยาทในการแนะนำให้รู้จักคนอื่น
1. แนะนำผู้ชายให้รู้จักกับผู้หญิง
2. แนะนำผู้อาวุโสน้อยให้รู้จักกับผู้อาวุโสมากกว่า
3. แนะนำผู้มียศตำแน่งต่ำกว่าให้รู้จักกับผู้มียศตำแหน่งสูงกว่า
4. แนะนำญาติผู้น้อยให้รู้จักญาติผู้ใหญ่
5. ผู้มีอายุ ยศ ตำแน่งเสมอกันจะแนะนำฝ่ายใดก่อนก็ได้
6. เวลาแนะนำให้รู้จักกัน ผู้น้อยควรไหว้ผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่ควรรับไหว้ผู้น้อย
7. ถ้าฝ่ายหนึ่งยื่นมือให้จับมือด้วยอย่างสุภาพ เขย่าเล็กน้อย กล่าวคำสวัสดีแล้วปล่อยมือ
มารยาทในการรับประทานอาหาร
1 ถ้าไปรับประทานที่ร้านอาหาร ฝ่ายหญิงควรเดินนำหน้า และเลือกโต๊ะนั่ง ฝ่ายชายควรแนะนำให้ฝ่ายหญิงสั่งอาหาร
2 ฝ่ายหญิงไม่ควรสั่งอาหารแพงๆ เพื่อเป็นการแกล้งให้ฝ่ายชายจ่ายเงินมาก ๆ
3 ไม่ตักอาการจนพูนพาน ไม่เลื่อน หรือเขี่ยอาหารที่ไม่ชอบออกไปนอกจานของตัวเอง
4 กางผ้ากันเปื้อน หรือผ้าเช็ดมือไว้บนตัก รับประทานอาหารเงียบๆ และสุภาพ ไม่พูดคุย หรือนั่งเหม่อ
5 ไม่รับประทานอาหารแบบกินคำหนึ่ง ดื่มน้ำครั้งหนึ่ง
6 ไม่แสดงท่าทางรังเกียจอาหารบางอย่าง หรือคนอื่น ๆ
7 ไม่รับประทานอาหารเสียงดับ ซี้ดซ้าด จุ๊บจั๊บ เรอ หรือกวาด งมคุ้ย อาหารบนโต๊ะ
8 ไม่ขออาหารในจานของผู้อื่นแบะไม่คายการ หรือเศษอาหารไว้ในจานดูเลอะเทอะ
.
9. ระมัดระวังเครื่องปรุง เครื่องใช้ อย่าให้ตกหล่น หรือวางเกะกะผู้อื่น
10. หากทำเครื่องใช้ตกหล่น ไม่ควรก้มลงเก็บ ควรรอให้พนักงานจัดหามาให้ใหม่
11. หากมีการเสิร์ฟอาหารเพิ่มควรคักไว้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น
12. ใช้มือขวาถือมีด มือซ้ายถือส้อมเสมอ แต่ถ้าขณะรับประทานให้ถือส้อมด้วยมือขวา
13. ห้ามสนทนาในเรื่องสกปรก น่าสะเอียน หรือเรื่องเศร้าสะเทือนใจ
14. ไม่ควรดื่มสุราจนเมามาย และไม่คะยั้นคะยอให้ผู้อื่นดื่มเป็นเพื่อนจนงานเลิก
15. อย่าใช้ช้อนตักน้ำชา กาแฟมาจิบ ควรวางช้อนในจานรองแล้วยกถ้วยขึ้นดื่ม
16. ควรใช้ช้อน ส้อม และมีดในการตัดกระดูก หรือก้าง เวลาคายกากเมล็ด หรือก้าง ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า หรือกระดาษทิชชูบัง แล้วใช้กระดาษทิชชูรับมาวางไว้ในที่อันสมควร
17. อาหารที่เป็นน้ำซุปต้องรับประทานอาหารจากด้านในของช้อน ขนมปังใช้มิอบิเป็นก้อนเล็กทาเนย แล้วจึงรับประทาน ห้ามกัดทั้งก้อนใหญ่ ๆ อาหารที่เป็นประเภทเสียบไม่ย่างควรใช้มีดกับส้อมตัดออกมาใส่จานก่อนรับประทาน
18. การรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์ ควรเดินตักอาหารเรียงเป็นแวถวนไปตามเข็มนาฬิกาตักอาหารใส่จานแต่พอดี และพออิ่ม ไม่ตักจานล้น แล้วรีบกลับมาที่โต๊ะเพื่อให้แขกคนอื่นตักบ้าง
19. ถ้าคุณเป็นเจ้าของบ้าน หรือเจ้าภาพ ควรทานไปทีละน้อยเพื่อไม่ให้อิ่มก่อนแขก
มารยาทในสังคม
·
มารยาทบนโต๊ะอาหาร
การไม่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารจะเป็นอุปสรรคสำคัญ ขัดขวางความก้าวหน้าในอาชีพการงานของคุณได้มาก เพราะคนทำงานแล้วส่วนใหญ่จะต้องมีโอกาสร่วมรับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชาอยู่เสมอ ๆ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลียงไม่ได้ที่จะต้องเรียนรู้มารยาทที่จำเป็นบนโต๊ะอาหาร
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่มีนิสัยการรับประทานอาหารไม่ใคร่จะเรียบร้อยโดยไม่รู้ตัวซึ่งเป็นการทอนเสน๋ห์ให้ลดถอยอย่างน่าเสียดาย ลองทดสอบตัวเองอีครั้ง โดยย้อนกลับไปทำแบบฝึกหัด “มารยาทบนโต๊ะอาหารของคุณ” หาข้อบกพร่องที่คุณต้องการจะปรับปรุง
การใช้เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร หากเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร จัดไว้ในแบบที่คุณไม่คุ้นเคยขอให้สังเกตการใช้ช้อนส้อมของเจ้าภาพ โดยทั่วไปแล้ว เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารจะจัดวางไง้ตามอยู่ในสุดสำหรบอาหารจานสุดท้าย บางแห่งจะนิยมวางช้อนส้อมสำหรับของหวานอยู่เหนือจานในแนวขวาง (ดังรูป)
การถือมีด และส้อมควรจะจับบริเวณปลายด้าม อย่าจับให้นิ้วอยู่ชิดกับบริเวณปลายส้อม หรือใกล้ใบมีด การถือส้อมนั้น อาจจะทำได้ 2 ลักษณะ คนยุโรปรับประทานอาหารด้วยมือซ้าย และคว่ำปลายส้อมลง ส่วนคนอเมริกันนั้น กลังจากตัดหาอาหารออกชิ้นหนึ่งก็จะสลับส้อมมาที่มือขวา และหงายปลายส้อมขึ้นเพื่อตักอาหารรับประทาน ทั้ง 2 วิธีถือว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่ถ้าคุณเลือกใช้วิธีแบบอเมริกันแล้ว อย่าลืมวางมีดลงบนจานหลังจากตัดชิ้นเนื้อแต่ละครั้ง ถ้าคุณถนัดมือซ้าย ก็ทำตามวิธีที่กล่าวมาเพียงแต่กลับซ้ายเป็นขวาเท่านั้นเอง
ในการพักมีดส้อมทุกครั้ง คุณจะต้องวางมีด หรือส้อมลงบนจาน ใส่ด้านที่จัดวางไว้แต่แรกนั้นคือ ส้อมอยู่ด้านซ้าย และมีดอยู่ด้านขวา โดยให้ด้ามจับพักอยู่บนขอบจาน แต่อย่าให้ยื่นออกมามาก จำไว้ให้ดีว่าช้อนส้อมของคุณอยู่บนจาน……อย่าวางไว้บนโต๊ะอาหาร
อย่าทิ้งช้อนกาแฟไว้ในถ้วยกาแฟเป็นอันขาด หลังจากคนกาแฟค่อยๆ ไว้สุ้มเสียงแล้วยกช้อนออกมาวางไว้บนจานร้องถ้วยกาแฟด้านขวาเสมอ
ในการรับประทานอาหารซุปด้วยช้อน ให้ตักออกจากตัว เพื่อกันน้ำซุปกระเด็นใส่เนคไท หรือเสื้อของคุณ และเพื่อกันไม่ให้น้ำซุปหกเรี่ยราด หรือเกิดเสียงดับเวลาคุณซดน้ำจากช้อนควรจะตักน้ำซุปไม่ให้ปริ่มขอบช้อน และไม่ควรดูดช้อนทั้งอันเข้าไปในปากทั้งหมดในการขอดน้ำซุปจากก้นถ้วย ให้เอียงเข้าหาคุณ บางครั้งซุปจะถูกเสิร์ฟในถ้วยหู หลังจากใช้ช้อนตักรับประทานหนึ่ง หรือสองช้อน คุณยกถ้วยซุปขึ้นดื่มได้เลย
การรับประทานอาหารบางอย่างด้วยมือ อาหารบางอย่างอาจจะใช้มือ และส้อมลำบาก ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำบางประการใจการใช้มือรับประทานอาหารบางอย่าง…….แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ แล้วคุณจะเป็นต้องใช้สามัญสำนึกของคุณเข้าช่วยตัดสินใจเอาเอง
หน่อไม้ฝรั่ง หรือแอศปารากัส รับประทานโดยใช้มือหยิบ หรือใช้ช้อนกับส้อมก็ได้ ถ้าราดซอสมาค่อนข้าวมาก ใช้มีด และส้อมดุจะเหมาะกว่า
เบคอน ปกติแล้วควรจะรับประทานด้วยส้มแต่ถ้าทอดจนกรอบมากๆ ซึ่งจะแตกเป็นชิ้นเล็กๆ เท่านั้น อย่าป้ายทีเดียวทั้งแผ่น ถ้าเนยเสิร์ฟมาในจานรวม ให้ใช้มีดตัดเนยแบ่งเนยเสิร์ฟมาไว้ในจานเนยของคุณ หรือบนจานอาหารถ้าไม่มีจานเนยจัดไว้ให้
ไก่ ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอดไก่อบ ไก่ย่าง หรือบาร์บีคิว รับประทานอาหารด้วยมือเฉพาะงานเลี้ยงสังสรรค์แบบเป็นกันเองเท่านั้น ในโต๊ะอาหารเป็นทางการ การรับประทานไก่ ไก่งวง หรือสัตว์ปีกอื่นๆ ให้รับประทานด้วยมีด และส้อมเท่านั้น
ข้าวโพดทั้งฝัก ให้รับประทานด้วยมือคุณอาจจะหักฝักข้าวโพดออกเป็นสองท่อนก่อน หรือรับประทานอาหารทั้งฝักเลยก็ได้ บางแห่งอาจจะมีไม้เสียบมาให้อยู่แล้วเพื่อให้จับถือได้สะดวกขึ้นควรจะทาเนย และโรยเกลือลงที่ละแถว อย่าทาเนยทั้งฝัก ในคราวเดียว
มันฝรั่งทอด (เฟรนซ์ฟราย) ถ้าเสิร์ฟมากับแฮมเบอร์เกอร์ ฮอทดอก หรือแซนด์วิช ให้ให้มือหยิบรับประทาน แต่นอกจากนั้นแล้วให้ใช้มีด และส้อม
ผลไม้ ใช้มือ หรือมีด และส้อมก็ได้ แล้วแต่ชนิดของผลไม้ และโอกาส การรับประทานอาหารแอปเปิ้ล และแพร์ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วให้ใช้มีดปอกผลไม้ก็ได้
แตง เช่น แคนตาลูป หรือ แตงฮันนี่ดิว อาจจะรับประทานโดยใช้ช้อน หรือมีดกับส้อมก็ได้แตงโมอาจจะใช้มือรับประทานก็ได้ บางตำราแนะนำว่าควรจะใช้มีด และส้อม การรับประทานอาหารควรจะกินทั้งเนื้อ และเมล็ดเข้าไปพร้อมกัน และคายเมล็ดออกบนฝ่ามือก่อนที่จะทิ้งลงบนจานส่วนอีกตำแย้งว่า ควรจะใช้ส้อมเขี่ยเมล็ดออกก่อนที่จะใช้มีดตัดเป็นคำ ๆ เข้าปาก
กุ้งก้ามกราม อาจจะใช้มือ หรือมีดกับส้อมรับประทานก็ได้ ขั้นแรกให้ใช้มือหักก้ามออกก่อนหงายตัว และเปลือกขึ้น แคะเนื้อออกด้วยส้อมกุ้ง (ถ้ามี) ถ้าเนื้อกุ้งชิ้นใหญ่เกินไปก็ใช้มีดตัดให้เป็นชิ้นเล็กก่อนที่จะจิ้มน้ำซอส
กุ้งเล็ก ถ้าเสิร์ฟเป็นอาหารจานแรก เช่น กุ้งค็อกเทล ตามปกติจะเสิร์ฟพร้อมกับส้อมค็อกเทล ถ้าตัวกุ้งขนาดใหญ่เกินคำ ให้ใช้ปลายส้อมค่อยๆ ตัดออกเป็นชิ้นขนาดเล็กลง
สปาเกตตี้ ให้ใช้ปลายเส้นพันเส้นสปาเกตตี้เป็ฯขด ไม่จำเป็นจะต้องใช้ช้อนช่วย แต่คุณอาจจะใช้ส่วนโค้งของชอบขานช่วยไม่ให้เส้นลื่นไหลออกจากปลายส้อมอย่าให้ปากดูดเส้นเข้าปาก
แซนด์วิช ปกติเรารับประทานแซนด์วิชด้วยมือ มีข้อยกเว้นอย่างเดียวเท่านั้น คือแซนด์วิชหน้าเดียวที่ราดด้วยน้ำแกรวี่
สรุปข้อควรจำเกี่ยวกับมารยาทบนโต๊ะอาหาร
1. ผ้าเช็ดปากให้วางอยู่บนตัดเท่านั้นอย่ายัดชายเข้าไปในขอบเสื้อ หรือกระโปรง หรือเหน็บไว้ใต้ค้าง ทันทีที่คุณนั่งลง เรียบร้อยแล้ว ให้วางผ้าเช็ดปากลงบนตัก และเมื่อได้รับประทานอาหารเสร็จ ให้วางผ้าเช็ดปากลงบนด้านซ้ายจานของคุณ โดยไม่ต้องพับผ้า
2. ใช้เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารตามลำดับที่จัดวางบนโต๊ะ เริ่มจากชิ้นที่อยู่นอกสุด ไล่เข้ามาด้านใน ในมือซ้ายจับส้อม และมือขวาจับมีด และช้อน ถ้ามีจานเนย มีดป้ายเนย จะวางขวางอยู่บนจานเนย จานเนย และจานสลัดจะอยู่ด้านซ้ายของคุณเสมอ
3. เมื่อมีการพักระหว่างการรับประทานอาหาร วางเครื่องใช้บนจานของคุณ อย่าวางด้ามจับอยู่บนโต๊ะ และปลายอยู่บนจาน
4. อย่าใช้นิ้ว หรือมีดดันอาหารเข้ากับส้อม
5. ตักอาหารขึ้นใส่ปาก อย่าก้มหัวลงไปหาจาน พยายามนั่งให้หลังตรง ศรีษะตั้งตรงแม้ในขณะรับประทานอาหาร
6. อย่าอ้าปากเคี้ยวอาหาร หรือพูดในขณะที่มีอาหารอยู่ในปาก
7. อย่าเท้าศอกบนโต๊ะอาหาร วางมือซ้ายของคุณ ( หรือมือขวา ถ้าคุณถนัดซ้าย) ไว้บนตักระหว่างการรับประทานอาหาร ควรจะหนีบข้อศอกสองข้างให้ชิดลำตัวเสมอ
8. รอให้อาหารของคุณเย็นลง อย่าใช้วิธีเป่าด้วยปากเป็นอันขาด มีอะไรอย่างอื่นที่คุณพอจะรับประทานได้บนจานของคุณเสมอ
9. ให้วางซ้อนส้อมที่ใช้แล้วบนจาน หรือจานรองเท่านั้น อย่าวางไว้บนโต๊ะ และอย่าพยายามทำความสะอาดจาน หรือช้อนส้อม ในภัตตาคารคุณสามารถขอช้อน หรือส้อมอันใหม่ได้ตลอดเวลา
10. การรับประทานน้ำซุป ถ้าเสิร์ฟมาในถ้วยหู ไม่ว่าหนึ่งข้าง หรือสองข้าง ให้ดื่มจากถ้วยได้ คุณอาจจะจิบน้ำซุป หรือกาแฟจากช้อนก่อน แต่หลังจากนั้นให้ดื่มจากถ้วย ถ้าเป็นซุปที่ใส่ผัก หรือเส้นมาด้วย ให้ใช้ช่วยตักได้ เมื่อไม่ใช่แล้วยกช้อนออกจากถ้วย และวางไว้บนจานรองถ้วยเสมอ
11. เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว ให้วางมีด และส้อมบนจาน ในลักษณะที่ไม่เลื่อนหลุดออกจากจานเมื่อเก็บจาน ส้อมควรจะวางไว้ ด้านซ้ายของมีด และด้ามคมของมีดควรจะหันค่อนไปทางขวาก็ได้ (ดูจากภาพ ให้สังเกตว่าปลายส้อมหงายขึ้นตามแบบอเมริกัน ถ้าเป็นแบบยุโรปจะคว่ำปลายส้อมลง)
12. ถ้าอาหารมีน้ำซอส หรือแกรวี่ ให้ราดลงบนโต๊ะอาหารได้เลย แต่ถ้าเป็นเยลลี่ หรือเครื่อง เคียงอย่างอื่น ให้ตักวางบนจานแยกอาหาร และตักทีละคำพร้อมกับเนื้อ หรืออาหาร
13. ถ้าไม่มีพนักงานเสิร์ฟอาหาร การส่งผ่านอาหาร ให้ส่งผ่านทางขวามือไปรอบโต๊ะกว่านั้น เวลารับประทานอาหารใช้ป้ายเนย ทีละชิ้นทีละคำ
14. ขนมปังแผ่น ขนมปังก้อน และมัฟฟินก่อนรับประทานอาหารให้บิออกเป็นสองท่อน หรือเล็กกว่านั้น เวลารับประทานใช้ป้ายเนยทีละชิ้น หรือทีละคำ
15. อย่าถ่มอะไรออกจากปาก แม้จะเป็นกระดูดที่เคี้ยวไม่ได้ ให้ใช้ลิ้นดุนออกมาที่ช้อนส้อมแล้วค่อยทิ้งลงบนจานถ้าคุณรับประทานผลมะกอก ให้ใช้นิ้วหยิบเม็ด และวางบนจาน
16. ไม่ว่ากรณีใด ๆ ห้ามทำความสะอาดฟันบนโต๊ะอาหาร ไม่ว่าจะเป็นใช้ไม้จิ้มฟัน หรือนิ้วถ้าจำเป็นให้ขอตัวไปห้องน้ำ เพื่อจัดการกับเศษอาหาร
17. ถ้ามีน้ำล้างมือใส่ถ้วยมาให้ ให้จุ่มปลายนิ้วของคุณลงไปในน้ำ เสร็จแล้วจึงเช็ดมือกับของผ้าเช็ดปาก….มือ และผ้าเช็ดปากต้องอยู่ต่ำกว่าของโต๊ะ
18. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ อย่าเลื่อนจานออกจากตัว และอย่าเลื่อนเก้าอี้ออกจากโต๊ะ
19. ขณะนั่งรับประทานอาหาร ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง โยกย้ายเก้าอี้ หรือนั่งพิงพนักงานตามสบาย
20.
มารยาทในสังคม
·
งานเลี้ยงอาหารเย็น
การได้รับเชิญไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านใครสักคน คุณไม่จำเป็นต้อง แต่งชุดเต็มยศที่สุดที่มี…แต่สิ่งที่ขาดเสียมิได้ คือ มารยาท และพฤติกรรมที่ดีที่สุด มารยาทบนโต๊ะอาหารที่อ่านผ่านมาแล้วจะต้องระวังอย่างเคร่งครัด และมีข้อปฏิบัติเพิ่มเติมอีก ดังนี้
การตอบรับเชิญ เมื่อได้รับคำเชิญให้ได้รับประทานอาหารเย็น คุณจะต้องตอบ คำเชิญให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ อย่าถือว่าคำเชิญเป็นเรื่องที่ไร้ความสำคัญ เพราะเจ้าภาพเสียเวลา และค่าให้จ่ายไปมากโข หากคุณไม่ตอบรับคำเชิญ เจ้าภาพก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าจะนับคุณเข้าในจำนวนแขกที่ได้รับเชิญได้ หรือไม่
รักษาเวลา กฎเกณฑ์สำคัญเมื่อได้รับคำเชิญ คือ คุณจะต้องไปถึงที่นั่นตรงเวลา คุณต้องคาดการณ์ล่วงหน้าเผื่อเวลารถติด หรือความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศ ในบางกรณี หากล่าช้ากว่ากำหนดราว 15 นาที เป็นเรื่องที่พอจะรับได้ แต่ถ้าล่าช้าเกินกว่านั้น จะแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้ให้ความพยายามเพียงพอ ที่จะมาร่วมรับประทานอาหาร และจะเป็นการทำลาย ขั้นตอนการเสิร์ฟอาหาร ที่เจ้าภาพจัดเครียมไว้อย่างดี
หากคุณต้องมาล่าช้า อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้หากเป็นไปได้ ขอให้โทรศัพท์ อธิบาย สาเหตุของ การเสียเวลาให้เจ้าภาพได้ทราบ เมื่อเดินทางมาถึง ตรงไปหาเจ้าภาพ ในทันทีเพื่อขอโทษขอโทษเข้านั่งโต๊ะอาหารเงียบ ๆ ไม่จำเป็นต้องเล่า รายละเอียด ของการผจญภัย ระหว่างทาง หรือสาเหตุของ การมาล่าช้า ให้เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารฟัง
เข้าสู่ห้องอาหาร ในงานเลี้ยงเป็นทางการ เจ้าภาพชาย จะยื่นแขนให้เกียรติสตรีเกาะ เดินนำเข้าห้องอาหาร แต่ละคู่จะเดินตาม โดยมีเจ้าภาพ เดินปิดท้ายเข้านั่งประจำที่
การนั่งโต๊ะอาหาร เมื่อเดินเข้ามาในห้องอาหารแล้ว อย่าลากเก้าอี้ตัวทีใกล้ที่สุดมานั่ง หรื่อเลือกนั่งข้างสุภาพสตรีที่สวยที่สุดในห้องนั้น หากไม่มีการ์ดชื่อกำหนดที่นั่ง ขอให้คุณรอจนกว่าจะมีคำเชิญให้นั่งประจำที่ใดสุภาพบุรุษควรเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรีนั่งลงก่อน
ในระหว่างการรับประทานอาหาร คุณควรจะให้ความสนใจสนทนากับเพื่อนร่วมโต๊ะที่นั่งติดกัน ทั่งซ้าย และชวา
การเสิร์ฟอาหาร บริกรจะเข้าเสิร์ฟอาหารทางด้านซ้ายของคุณ หรือจะนำอาหารยื่นส่งให้ ช้อน หรือทัพพีจะวางอยู่ในที่ที่เหมาะสม ที่คุณจะตักอาหารเองได้ เมื่อตักอาหารแล้วควรวางช้อน หรือทัพพีลงตำแหน่งเดิมเพื่อทีคนต่อไปจะตักอาหารได้สะดวก หากเป็นจานอาหารที่คุณไม่ชอบ หรือรับประทานไม่ได้ คุณเพียงแค่กล่าว “ไม่ละครับ ขอบคุณ”
การสูบบุหรี่ คุณได้รับอนุญาตให้สูบบุหรี่ หรือไม่ ? หากมีที่เขี่ยบุหรี่จัดวางไว้แล้ว คุณก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน จากเจ้าภาพให้สูบบุหรี่บนโต๊ะอาหารแล้ว แต่ไม่ควรจุดบุหรี่สูบจนกระทั่งรับประทานอาหารของหวานเรียบร้อยแล้ว กิริยามารยาทที่ดี คือ ควรจะถามไถ่ขออนุญาตจากคนข้างเคียงเสียก่อน
หลังอาหาร เมื่ออาหารจานสุดท้ายเก็บพ้นจากโต๊ะแล้ว รอให้เจ้าภาพลุกเสียก่อน จากนั้นแขกทั้งหมด จึงจะลุกขึ้นได้ เจ้าภาพจะแจ้งให้ทราบว่าคุณจะไปที่ใด และทำอะไรต่อไป
การลากลับ เมื่อได้รับเชิญ อย่ารั้งรออยู่นานจนเกินไป หรือรีบกินรีบกลับ เวลาเหมาะสม ที่ควรลากลับนับเป็นเรื่องยาก จะกำหนด ขอให้คุณรอจนแขกคนอื่นเริ่มทยอยกลัย เมื่อคุณพร้อมจะลากลับ อย่าพรวดพราดตรงดิ่งไปหาประตู แต่ก็ไม่ควรสนทนายึดเยื้อหน้าประตู ขอบคุณเจ้าภาพที่เชิญคุณมาร่วมรับประทานอาหารเย็น จากนั้น ลากลับ
บัตรของคุณ นับเป็นกิริยามารยาทที่ดีถ้าคุณจะส่งบัตรของคุณ (เขียนด้วยลายมือ และกระดาษเขียนจดหมายที่ดีที่สุด) ขอบคุณเจ้าภาพที่เชิญไปร่วมรับประทานอาหาร
มารยาทในภัตตาคาร
การรับประทานอาหารในภัตตาคาร แทบจะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะขาดเสียมิได้ในวงธุรกิจในปัจจุบัน จากการปรึกษาธุรกิจอาหารเช้า เรื่อยไปจนถึง การเลี้ยงรับรองลูกค้าในยามค่ำคืนคุณจะพบว่าคุณใช้เวลาหลายชั่วโมงวนเวียนอยู่ในภัตตาคาร มารยาทในภัตตาคารที่ควรรู้ มีดังนี้
ก่อนที่จะเดินทางไปภัตตาคาร ควรจะโทรศัพท์สอบถามว่า จำเป็นต้องจองโต๊ะ หรือมีข้อกำหนดในการแต่งกายประการใด เพราะบางภัตตาคาร กำหนดให้ลูกค้าใส่สูทผูกเนคไทบางภัตตาคารไม่มีข้อจำกัด หากคุณเป็นเจ้าภาพสอบถามว่าภัตตาคารรับบัตรเครดิต หรือเช็ค หรือไม่การสอบถามล่วงหน้าจะช่วยให้ไม่ขลุกขลักเสียหน้าในตอนจ่ายเงิน
เข้าภัตตาคาร โดยปกติ เมื่อเข้าภัตตาคาร ผู้ชายจำเป็นจะต้องฝากเสื้อโค้ต และหมวกส่วนสุภาพสตรีจะฝาก หรือไม่ก็ได้ เพราะบางแห่งอาจจะไม่รับฝากเสื้อขนมิ้งค์ หรือเฟอร์ผู้หญิงควรจะสวมเสื้อโค้ตจนถึงเก้าอี้ จากนั้นจึงถอดพาดเก้าอี้ กิริยามารยาทที่ดีของสุภาพบุรุษ คือ ช่วยสุภาพสตรีถอดเสื้อโค้ต
สตรีจะเดินนำหน้าสุภาพบุรุษเข้าไปในภัตตาคาร บริกร หัวหน้าบริการหริอผู้จัดการจะออกมาต้อนรับ หากคุณจองโต๊ะล่วงหน้าไว้แล้ว แจ้งชื่อของคุณให้ทราบ และแจ้งจำนวณแขกที่จะมารับประทานอาหาร สตรีจะเดินตามบริการไปยังโต๊ะ บุรุษจะเดินรั้งท้าย โดยปกติแล้ว บริกรจะช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรี หากำม่มีบริกร สุภาพบุรุษจะช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้สตรี
โดยทั่วไป บริกรจะสอบถามว่าต้องการเครื่องดื่มอะไรบ้าง ในการปรึกษาธุรกิจในมื้ออาหารคุณควรจะเริ่มต้นด้วยเครื่องดื่มที่ไม่เจือแอลกอฮอล์ หรือสั่งไวน์แทนค็อกเทลอย่ารู้สึกอับอาย ถ้าคุณต้องการจะสั่งน้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ หากคุณไม่ต้องการเครื่องดื่ม ขอเมนูอาหารได้เลย
อ่านเมนู หากคุณอ่านเมนูไม่เข้าใจ หรือไม่ทราบว่าเป็นอาหารชนิดใด สอบถาม หรือให้บริกรอธิบายความหมาย อย่าปล่อยให้ภาษาต่างประเทศแปลก ๆ เป็นอุปสรรค ภัตตาคารที่มีอาหารจานนั้น คำต่างประเทศที่มักจะพบในเมนูเป็นประจำจนแทบจะกลายเป็นศัพท์ทั่วไปแล้วมีดังนี้
- A la carte (อะ-ลา-คาร์ต) หมายถึง การคิดราคาอาหารแต่ละจานแยกจากกัน
- Emtree (อาห์น-เทร) หมายถึง แมนคอร์ส
- Hors d oeuvers (ออร์-เดิร์ฟ) หมายถึง แอพพิไทเซอร์ หรืออาหารว่างเรียกน้ำย่อย
- Legumes (เลย์-กูมส์) หมายถึง ผัก
- Prix fixe (ปี-ฟรีกส์) หมายถึง ราคามื้ออาหาร
- Tabale d hote (ทาห์-บลู-โดต) หมายถึง มื้ออาหารที่มีหลายคอร์ส และจะนำเสนอรวมในราคาที่กำหนด
ภัตตาคารบางแห่ง อาจมีอาหารจานพิเศษมักจะมีราคาแพงกว่าอาหารที่จัดอยู่ในเมนู การสอบถามราคาไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด
การสั่งไวน์ บริการจะสอบถามคุณว่าคุณต้องการดูรายชื่อไวน์ หรือไม่ บางแห่งอาจจะมีบริการไวน์ หรือ sommelier (โซ-เมล-เยย์) คุณอาจจะขอคำแนะนำจากบริการไวน์ก็ได้ โดยทั่วไปแล้วไวน์แดงจะเสิร์ฟกับเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว ไวน์ขาวจะเสิร์ฟกับเนื้อขาว เช่น เนื้อปลา หรือสัตว์ปีก ไวน์โรเซ่เหมาะกับเนื้อแกะ และเนื้อลูกวัว ภัตตาคารบางแห่งอาจจะมีไวน์ปรุงเองซึ่งจะจำหน่ายเป็นแก้ว หรือเป็นเหยือก (carafe)
หากคุณสั่งไวน์เป็นขวด บริการไวน์จะรินตัวอย่างให้คุณ คุณควรดมกลิ่น และชิมรสชาติของไวน์ หากไใช้ได้ คุณจะผงกศีรษะรับ บริกรไวน์จะรินไวน์ขวดนั้นแจกแขกรอบโต๊ะ แต่ถ้ารสชาติผิดปกติ เปรียวจัดรสชาติคล้ายน้ำส้มสายชู ขอให้บริกรไวน์ทราบ ทางร้านจะเปลี่ยนขวดใหม่ให้
การสั่งอาหาร ถ้ามีแขกหลายคน แต่ละคนอาจจะเลือกสั่งอาหารเอง แต่ถ้าเป็นงานเลี้ยงขนาดเล็ก เจ้าภาพจะเป็นผู้สั่งอาหาร หลังจากที่สอบถามความต้องการของแขกรอบโต๊ะแล้วคุณเป็นเจ้าภาพ ควรจะเลือกภัตตาคารที่คุณสามารถจ่ายค่าอาหารเมนูได้ แขกของคุณจะเลือกอาหารได้ไม่จำกัด ขอให้สนใจสอบถามความต้องการของแขกของคุณ เพราะบางคนอาจจะแพ้อาหารบางชนิด มีข้อจำกัดทางศาสนาห้ามรับประทานอาหารบางประเภท หรือยู่ในช่วงจำกัดอาหาร อย่ายัดเยียดอาหารให้แขกของคุณ แต่ถ้าคุณเป็นแขกรับเชิญ ควรจะคำนึงถึงกระเป๋าของเจ้าภาพ ไม่ควรสั่งอาหารที่แพงที่สุดในร้าน คุณอาจจะขอคำแนะนำให้เจ้าภาพช่วยแนะนำอาหารให้ คำแนะนำของเจ้าภาพจะช่วยให้คุณสั่งอาหารที่เหมาะสม
การชำระค่าอาหาร ถ้าคุณเป็นเจ้าภาพคุณจะขอเชึคจากบริกรหลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว มองกวาดหาข้อผิดพลาดในการคิดเงิน หากพบข้อผิดพลาดแจ้งให้บริกรทราบเงียบ ๆ อย่าโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โต หากทางร้านไม่ยอมแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น คุณควรจะจ่ายเงิน และออกจากร้านแต่โดยดี คุณอาจจะเลือกที่จะไม่ใช้บริการของภัตตาคารนั้นอีก หรือสอบถามการคิดราคาอาหารในวันหลัง
ในภัตตาคารส่วนใหญ่ คุณอาจจะชำระค่าอาหาร โดยเงินสด หรือบัตรเครดิต ภัตตาคารบางแห่งมีบริการส่งใบเสร็จรับเงิน ไปเก็บเงินคุณภายหลัง หากคุณรับประทานอาหารในภัตตาคารของโรงแรมที่คุณพักคุณอาจจะให้คิดค่าอาหารรวมไปกับค่าที่พัก คุณเพียงแต่เซ็นชื่อ และหมายเลขห้องพักเท่านั้น
ในบางกรณี แขกแต่ละคนอาจจะต้องการแยกชำระ ค่าอาหารของตน คุณควรจะแจ้งให้ บริกรทราบล่วงหน้าก่อน จะได้มีการออกใบเสร็จรับเงินเป็นรายบุคคล หากมีใบเสร็จใบเดียวขอให้หารแบ่งจำนวนเงินที่แต่ละคนต้องจ่ายขอให้คุณชำระเงินอย่างเพียงพอในส่วนของคุณทั้งค่าอาหาร และทิป
เมื่อชำระค่าอาหารแล้ว สภาพบุรุษควรจะลุกขึ้นก่อน และช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรีสตรีจะเดินนำหน้าออกไปยังห้องฝากเสื้อโค้ต กิริยามารยาทที่ดีคือ ช่วยสุภาพสตรีสวมเสื้อโค้ต
การเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่
เป็นการเลี้ยงที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะเป็นการสะดวกในการจัดเลี้ยงคนมาก ๆ การจัดอาหารทุกอย่างจะวางไว้ที่โต๊ะหมดทุกอย่าง จัดที่นั่งรับประทานไว้อีกที่หนึ่งให้ห่างจากโต๊ะอาหารพอประมาณเมื่อเจ้าภาพเชิญแขกอาวุโสเปิดการรับประทาน แขกผู้เปิดงานจะเดินไปตักอาหารก่อนโดยมีภาชนะในการตักอาหารวางไว้พร้อมทุกอย่างบนโต๊ะแล้วแขกผู้รับเชิญคนอื่น ๆ ก็ปฏิบัติตามได้เช่นเดียวกัน โดยเดินไปตักอาหารจากโต๊ะอาหารมานั่งรับประทานที่โต๊ะเป็นกลุ่ม ๆ หรือจะยืนรับประทานก็ได้ ถ้ายังไม่อิ่มก็เดินไปตักอาหารได้อีกโดยไม่ถือว่าผิดมารยาท การเลี้ยงแบบนี้ไม่มีพิธีอะไรมากเป็นการเลี้ยงแบบกันเอง สะดวกสบายทั้งเจ้าภาพ และแขกผู้รับเชิญ เพราะไม่มีพิธีการมากนัก
หลักการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่
อาหารบุฟเฟ่ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้รับประทานได้เลือกอาหารได้ตามใจชอบ ซึ่งอาหารจะจัดไว้หลากหลายชนิด และหลายรสชาติ การรับประทานบุฟเฟ่จึงจึงควรปฏิบัติ ดังนี้
1. รับประทานอาหารตามลำดับ ถ้าเป็นอาหารฝรั่งเริ่มด้วย สลัด หรือซุป ก่อนอาหารจาน หลัก (Main Course) ตามด้วยของหวาน ผลไม่ ชา กาแฟ
2. ตักอาหารแต่น้อยพอรับประทานคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจานหลัก ซึ่งมีให้ เลือกหลายชนิด ควรตักเพียง 3-5 ชนิดในหนึ่งจาน เพื่อให้เกิดความสวยงาม ได้ลิ้มรสอาหารที่ถูกต้องอาหารไม่ปะปนกันมากจนหารสชาติไม่เจอ และสุดท้าย ถ้าท่านรับประทานอาหารไม่หมด
ยังดูไม่น่าเกลียดที่ต้องทิ้งอาหารในจานไป การตัดอาหารเกินความจำเป็น อาจจะทำให้แขกที่มาทีหลังไม่มีอาหารพอรับประทานได้
ตักอาหารจนล้นจานจะทำให้บุคลิกของท่านเสียไป เพราะจะดูเป็นว่าท่านเป็นคนเห็นแก่ตัวตะกละ ไม่มีระเบียบ ไม่รักสวยรักงาม ขี้เกียจที่จะเดินสองเที่ยว และท้ายสุดไม่มีศิลปะในการกินตักให้พองาม เสร็จแล้วเดินไปตักอีกเที่ยวจะดีกว่า
3. ตักอาหารด้วยตนเอง ไม่สั่งให้เพื่อนตักเผื่อ หรือตักอาหารมาเผื่อเพื่อน เว้นแต่เขาจะพิการ หรือไม่สะดวกในการลุกมาตัวเอง เพราะเราไม่ทราบว่าเขาชอบ หรือไม่ชอบอะไรการตักให้อาจจะเป็นการเป็นการสูญเสียอาหารทั้งจานได้
4. ขณะอยู่ในแถว เดินอย่างสุภาพ ไม่เคาะจาน หรือส่งเสียงดังน่าเกลียด ตักอาหารที่ต้องการทันที ไม่มัวเลือกอาหาร เช่น ผัดผักรวมเราไม่ชอบข้าวโพดอ่อนแต่ชอบผักอื่น ๆ ให้ตักมาเลยอาจจะติดข้าวโพดอ่อนมาบ้างก็มาเขี่ยออกขณะรับประทาน ไม่มัวเลือกขณะอยู่ในแถวจะทำให้เสียเวลาผู้อื่น
การให้ทิป
ตามหลักการแล้ว เราจะให้ทิปก็ต่อเมื่อได้รับบริการเป็นพิเศษ ในทางปฎิบัติในปัจจุบันเราให้ทิป เพราะเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฎิบัติ
ปัญหาว่าจะให้ทิปแก่ใคร จำนวนเท่าใด และในเวลาใด นับเป็นเรื่องยุ่งยากที่ไม่มีกฎเกณฑ์แน่ชัด ธรรมเนียมการให้ทิปของแต่ละประเทศ ผิดแผกแตกต่างกัน กฎทั่วไปของการให้ทิปมีดังนี้
1. หากไม่แน่ใจ ให้ทิป 15 เปอร์เซ็นต์
2. หากได้รับบริการต่ำระดับ น้อยกว่ามาตรฐาน ไม่จำเป็นต้องให้ทิป ขอให้ระลึกเสมอ ว่าเงินทิปจะต้องควัก ออกจากกระเป๋าของคุณเอง
3. เงินทิปจำนวนเล็กน้อยถือเป็นการดูหมิ่นยิ่งกว่าการไม่ให้ทิปเสียก่อน
4. หากคุณเดินทางชั้นหนึ่ง เงินทิปก็ต้องเพิ่มเป็นเงาตามตัว เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ที่คุณไม่แน่ใจ ขอให้ใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปข้างต้นนี้ แต่ก็มีข้อมูล จำเพาะในการให้ทิปที่ควรรู้
ในภัตตาคาร
- ทิปเจ้าหน้าที่รับฝากเสื้อโค้ต 50 เซนต์ ถึง 1 เหรียญ *ต่อคน
- ในห้องอาหาร ทิปบริกร 15-20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงิน หากคุณรับ ประทานอาหารในคอฟฟี่ช้อป หรือที่เค้าน์เตอร์ ใบเสร็จจะต่ำกว่าหนึ่งเหรียญ ให้ทิปเพียง 20-25 เซนต์ ถ้าแยกนั่งโต๊ะ ไม่ควรทิปน้อยกว่า 25 เซนต์
- ในภัตตาคารหรูหรา บริการยอดเยี่ยมควรจะทิป 20 เปอร์เซ็นต์ บางครั้งเงิน ทิปจะนำไปแบ่งกันระหว่างบริกร และหัวหน้าบริกรโดย บริกรไม่ได้ให้บริการเป็นพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทิป
- หากคุณสั่งไวน์จากบริกรไวน์ ควรจะให้ทิปบริกรไวน์ 12-15 เปอร์เซ็นต์ ของค่าไวน์ บาร์แทนเดอร์ควรได้รับทิป 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณนั่งดื่มที่เคาเตอร์
- ผู้ช่วยบริกรไม่จำเป็นต้องทิป เพราะจะได้รับส่วนแบ่งจากบริกรอยู่แล้ว
- ในภัตตาคารบางแห่ง อาจจะมีผู้ดูแลประจำห้องน้ำ ควรให้ทิปประมาณ 25 เซนต์ หากผู้ดูแลจัดหาผ้าเช็ดมือให้ โดยปกติ มักจะมีจานรับทิปวางไว้ในห้องน้ำ
ถ้าท่านเลือกจ่ายค่าทิปเป็นเงินสด แทนการจ่ายผ่านบัตรเครดิต อย่าลืมขีดคาดช่องบรรทัดที่เว้นไว้ สำหรับเติมเงินค่าทิป ในใบเสร็จ ที่ท่านต้องลงนาม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นเติมเงินค่าทิปโดยที่ท่านไม่รับทราบ
แท็กซี่ ส่วนใหญ่ ควรจะทิปแท็กซี่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ของค่าโดยสาร หากค่าแท็กซี่ไม่เกินหนึ่งเหรียญทิป 25 เซนต์ หรือทิปอย่างต่ำ 50 เซนต์
โรงแรม บ๋อยกระเป๋าได้ทิป 50 เซนต์ถึง 1 เหรียญ บริกรห้องพักได้ 15 เปอร์เซ็นต์ของใบเสร็จ ควรทิปพนักงานทำความสะอาดห้องวันละ 1 เหรียญ และทิปยามเฝ้าประตู 25-50 เซนต์ ถ้าเขาช่วยเรียกแท็กซี่ให้ และทิปยาม 50 เซนต์ 1 เหรียญถ้าช่วยยกกระเป๋า
ท่าอากาศยาน หรือสถานีรถไฟ โดยทั่วไป ผู้ที่ควรจะได้ทิปมีแต่พนักงานยกกระเป๋า ให้ทิปอย่างต่ำ 50 เซนต์ต่อกระเป๋าหนึ่งใบ
การคำนวณทิป ไม่มีอะไรน่าปวดหัวไปกว่าการคำนวณทิป คนส่วนใหญ่เสียเวลาในการคำนวณทิปจนแทบจะควักเครื่องคิดเลขออก (ถ้าทำได้) วิธีคำนวณไม่ยุ่งยาก ถ้ามีหลั่กในการคิดแรกสุดให้คิด 10 เปอร์เซ็นต์ เสียก่อน จากนั้นก็บวกอีกครึ่งเข้าไป ตัวอย่างเช่น จำนวนเงินในใบเสร็จ 40 เหรียญ สิบเปอร์เซ็นต์ คือ 4 เหรียญ จากนั้นก็บวกเข้าไปอีกครึ่งคือ 2 เหรียญทิปที่จะจ่ายคือ 6 เหรียญ อย่างทิปด้วย สตางค์แดง
การแนะนำตัว
มารยาทในการแนะนำตัวนับเป็นเรื่องจำเป็นในสังคมธุรกิจ เพราะคุณจะต้องอยู่ในเหตุการณ์ที่จะต้องมีการแนะนำตัวบ่อยครั้ง เช่น เมื่อคุณพาใครสักคนไปในงานเลี้ยง โดยมารยาทแล้วคุณก็ต้องแนะนำคนใหม่ให้รู้จักกับเพื่อนของคุณ
ถ้าคุณเป็นเจ้าภาพในงานคุณควรจะแนะนำแขกของคุณให้รู้จักซึ่งกัน และกัน สำหรับงานเลี้ยงใหญ่ ๆ คุณแนะนำเพียงแขกกลุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ คุณเท่านั้น จากนั้นก็เป็นเรื่องของแขกผู้นั้นที่จะต้องหาทางแนะนำตัวเองให้รู้จักกับคยอื่น ๆ ในงานต่อไป
เมื่อคุณจะแนะนำตัวเอง คุณอาจจะพูดง่าย ๆ ว่า ผมชื่อ……..” และถ้าคุณเคยพบบุคคลนั้นมาก่อน คุณก็อาจจะพูดต่อท้ายว่า “เราเคยพบกันมาแล้วครับ ที่…….” หรือ “ผมเป็นเพื่อนของ…….” เป็นต้น
เมื่อคุณแนะนำคนสองคนให้รู้จักกัน จะเป็นการเสนอคนหนึ่งให้รู้จักกับอีกคนหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่ง คุณกำลังขออนุญาตบุคคลผู้นั้นแนะนำอีกคนให้รู้จัก ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณพบพูดว่า “คุณโรมาโน ผมขอแนะนำคุณแจ็กสันครับ” คุณกำลังถามคุณโรมาโนว่าอยากจะรู้จักกับคุณแจ็กสัน หรือไม่ เพราะฉะนั้น ในมารยาทการแนนำคนในสังคม คุณควรจะคำนึงถึงข้อต่าง ๆ เหล่านี้เอาไว้คือ
1. คุณต้องแนะนำคนที่อ่อนวัยกว่าต่อผู้อาวุโสกว่าเสมอ
2. คุณต้องแนะนำผู้ชายต่อผู้หญิงเสมอ
3. พิธีการทางการฑูต ซึ่งถือเป็นกฏปฏิบัติในวงการทหาร และการฑูต กำหนดไว้ว่าต้อง
แนะนำผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเสมอไม่ว่าจะเป็นชาย หรือหญิง
กฏนี้ถือเป็นมารยาททางธุรกิจได้เช่นกันกล่าวคือ โดยทั่วไปแล้ว จะต้องแนะนำพนักงานระดับต่ำว่าต่อพนักงานระดับสูงกว่าเสมอ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะแนะนำพนักงานเสมียนคนใหม่ต่อนายของคุณ คุณควรพูดกับนายของคุณว่า “เจ้านายครับ นี่คือคุณ………. เสมียนคนใหม่ของเราครับ”
ในกรณีที่คุณเป็นผู้ถูกแนะนำ คุณก็ควรแสดงอาการรับรู้ ด้วยการกล่าวคำทักทายอย่างเช่น “สวัสดีครับ” และจะเป็นการให้คุณจำชื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ดีขึ้น ถ้าคุณจะเอ่ยชื่อเขาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เช่น “สวัสดีครับ คุณ…….. “
เมื่อมีการแนะนำตัว ผู้ชายจะสัมผัสมือกันแต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นหญิง ในอดีตจะขึ้นอยู่กับผู้หญิงว่า เธอต้องการจะสัมผัสมือด้วย หรือไม่ เธออาจจะเพียงแค่ยิ้ม พนักหน้าน้อย ๆ และกล่าวคำทักทาย “สวัสดีค่ะ” แต่ทุกวันนี้ เมื่อมีการแนะนำตัว ผู้หญิงส่วนใหญ่จะยื่นมือให้สัมผัส โดยอัตโนมัติ และฝ่ายชายก็ไม่จำเป็นที่ต้องรอให้ฝ่ายหญิงยื่นมือให้ และฝ่ายหญิงก็ไม่ควรลังเลที่จะสัมผัสมือถ้าฝ่ายชายยื่นมาก่อน…….. หากไม่ยอมสัมผัสมือเมื่อฝ่ายหนึ่งยื่นมือมาแล้ว จะเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง
ในการสัมผัสมือ ไม่ควรบีบมือของฝ่ายหนึ่งแรงเกินไป แต่ก็ไม่ปล่อยมือให้อ่อนปวกเปียกการสัมผัสมือไม่ควรจะนานเกินไปควรเขย่ามือสั้น ๆ สองสามครั้ง และจับมือให้กระชับให้เกิดความรู้สึกที่เป็นกันเองก็เพียงพอ
ความหมายของการพูด
การพูด หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ประสบการณ์ และอื่น ๆ จากผู้พูดไปยังผู้ฟัง โดยผ่านทางถ้อยคำ สีหน้า แววตา รวมทั้งน้ำเสียง และอากัปกิริยาที่แสดงประกอบ เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้ และเกิดการตอบสนองทั้งทางวัจนภาษา และอวัจนภาษา ได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ผู้พูดวางไว้
องค์ประกอบของการพูด
๑. ผู้พูด คือผู้ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ประสบการณ์ และอื่นๆ ของตนไปยังผู้ฟังโดยผ่านทางการพูด ผู้พูดที่ดีนั้น จะต้องมีคุณสมบัติหลายประการ อาทิเช่น มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีบุคลิกภาพที่ดี มีการเลือกใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง อากัปกิริยา สีหน้า ท่าทาง แววตา และอื่น ๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับผู้ฟัง และสถานการณ์การพูด เพื่อให้ผู้พูดในแต่ละครั้งมีประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นหมายถึง สามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจ เนื้อหาสาระ ที่พูดได้ง่าย ชัดเจน และรวดเร็ว รวมทั้งผู้ฟังสามารถแสดงพฤติกรรม ตอบสนองได้ตรง ตามจุดมุ่งหมายที่ผู้พูดวางไว้ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ ผู้พูดจะได้จากการ ฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ และการเตรียมการที่ดีด้วย
๒. สาร คือ เรื่องราวอันประกอบด้วยความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ประสบการณ์ และอื่นๆ ขิงตนไปยังผู้ฟัง สารที่ดี ควรเป็นสิ่งที่ ผู้พูดถนัดหรือ มีประสบการณ์ และที่สำคัญต้องเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับผู้ฟัง และสถานการณ์ในขณะนั้นอีกด้วย
๓. สื่อ คือ สิ่งที่ช่วยให้ผู้พูดสามารถถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ประสบการณ์ และอื่นๆ ของตนไปยังผู้ฟังได้สะดวก รวดเร็ว ชัดเจน และน่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งเริ่มตั้งแต่สื่อทางภาษา
๔. ผู้ฟัง คือ ผู้ที่ทำหน้าที่รับการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ประสบการณ์ และอื่นๆ ของผู้พูดโดยผ่านการฟัง โดยผู้ฟัง อาจมีการแสดง พฤติกรรมตอบสนองต่อการพูดของผู้พูดก็ได้ เช่น ผงกศีรษะ ปรบมือ ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ กระทืบเท้า เป็นต้น
๕. สถานการณ์การพูด คือ กาลเทศะ ประกอบด้วย เวลา และโอกาส กับสถานที่ และสิ่งแวดล้อมขณะที่พูด ซึ่งสถานการณ์การกพูดนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้พูด ควรตระหนักถึงเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั้งมีผู้กล่าวว่า สถานการณ์การพูดเป็นตัวกำหนดความเคลื่อนไหวร่างกายของผู้พูด กล่าวคือ หากสถานการณ์การพูด อย่างไม่เป็นทางการผู้พูด จะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายไปมาได้อย่างสะดวก และแสดงปฏิกิริยา ท่าทาง ได้โดยเสรี แต่ในขณะที่หากเป็นสถานการณ์การพูด อย่างเป็นทางการ ผู้พูดจะแสดงความเคลื่อนไหวของมือได้น้อยกว่าปกติ
ธรรมชาติของการพูด
การพูด เป็นกระบวนการสื่อสารระหว่างผู้พูดระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง โดยเมื่อผู้ส่งสารออกไป สารนั้นจะไปกระตุ้นหรือ เร้าให้ผู้ฟัง เกิดการตอบสนอง แล้วแสดง ปฏิกิริยา ตอบกลับ ออกมาทางวัจนภาษา เช่น การพูด การถาม การตอบ ฯลฯ หรืออวัจนภาษา ที่เป็นการแสดงออก ทางอากัปกิริยาต่างๆ
กระบวนการพูดนั้น เป็นกระบวนการที่มิได้สิ้นสุดหยุดนิ่ง (Static) แต่เป็นกระบวนการพลวัต (Dynamic) ที่มีปฏิกิริยาดังลูกโซ่
ทฤษฏีเกี่ยวกับการพูด
๑. ทฤษฎี S-M-C-R ของ เบอร์โล
เดวิด เบอร์โล (David K. Berlo) ได้คิดแบบจำลองขึ้นรู้จักกันในนาม The Source-Message-Receiver Model (S-M-C-R) เพื่ออธิบายลักษณะของการสื่อสารดังนี้
๑. แหล่งสาร - ผู้ใส่รหัส (The Source-Encoder)
๑. ๑ ทักษะในการสื่อสาร
๑. ๒ ทัศนคติ
๑. ๓ ระดับความรู้
๑. ๔ ระดับสังคมวัฒนธรรม
๒. ผู้รับสาร - ผู้ถอดรหัส (The Decoder-Receiver)
๓. สาร (Message)
๓. ๑ รหัสของสาร (Message code)
๓. ๒ เนื้อหาของสาร (Message content)
๓. ๓ การปรุงแต่งสาร (Message treatment)
การปรุงแต่งสาร เราจะพูดถึงในแง่ที่ว่าผู้ส่งสารเลือกนำส่วนใดมาเสนอ เลือกนำหลักฐานชิ้นใดมายืนยัน เขาจัด ย่อ และทบทวนเนื้อหาอย่างไร เขาจะเลือกใช้วิธีการพูดหรือเขียน ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่า เราจะปรุงแต่งสารอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับ
๑) บุคลิก และลักษณะสถานภาพของผู้ส่งสาร
๒) ตัวผู้รับสาร
๔. ช่องทางการสื่อสาร หรือ สื่อ (Channel)
๔.๑ จำแนกตามพาหะของสาร
๔.๒ จำแนกตามสื่อของสาธารณชน
๔.๓ จำแนกตามประสิทธิภาพการรับรู้
๒. ทฤษฎีของอริสโตเติล
การโน้มน้าวใจจะมีประสิทธิผลมากน้อยยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัย ๓ ประการ คือ
๑) Ethos คือ บุคลิกลักษณะของผู้พูด
๒) Logos คือ การชี้แจงเหตุผล
๓) Pathos คือ การใช้อารมณ์
๓. ทฤษฎีของซิเซโร และ ควินติเลียน
แนะนำหลัก ๕ ประการที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพูดสัมฤทธิ์ผล ดังนี้
๑. การคิดค้น (Invention)
๒. การประมวลความคิด (Organization)
๓. การใช้ภาษา และลีลา (Style)
๔. การกำหนดจดจำ (Memory)
๕. การแสดงออกให้ปรากฏ (Delivery)
รูปแบบของการพูดตามจุดประสงค์ของผู้พูด
นักพูดส่วนใหญ่แบ่งรูปแบบของการพูดตามจุดประสงค์ของผู้พูดออกเป็น ๓ รูปแบบ คือ
๑. แบบจูงใจหรือชักชวน (Persuasive Speech) ข้อควรปฏิบัติสำหรับการพูดแบบนี้ ประกอบด้วย
๑. ๑ ต้องสร้างความสนใจ
๑. ๒ สร้างความต้องการ
๑. ๓ สร้างความพอใจ
๑. ๔ สร้างมโนภาพ
๑. ๕ เรียกร้อง หรือ กระตุ้นให้ผู้ฟังทำตามที่ผู้พูดต้องการ
๒. แบบบอกเล่าหรือบรรยาย (Informative or Instructive Speech) หลักการสำหรับการพูดแบบนี้ ที่ผู้พูดควรนำไปปฏิบัติมีดังนี้
๒. ๑ ลำดับความให้ดี
๒. ๒ ขยายความให้ดี
๒. ๓ จังหวะดี
๒. ๔ ใช้คำพูดธรรมดา เข้าใจง่าย
๓. แบบบันเทิง (Recreative Speech) ในการพูดแบบนี้ ผู้พูดควรปฏิบัติดังนี้
๓. ๑ไม่ควรพูดนานเกินไป
๓. ๒ พูดให้ตรงกับเป้าหมาย
๓. ๓ เรื่องที่พูดควรให้ความสนุกสนาน
ระดับของการสื่อสารด้วยการพูด
ระดับของการสื่อสารด้วยการพูด ได้แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ตามจำนวนบุคคลที่ร่วมอยู่ในสถานการณ์การพูด โดยเรียงจาก ระดับเล็กที่สุด ไปจนกระทั่งระดับใหญ่ที่สุด ได้ดังนี้
๑. การพูดระหว่างบุคคล
๒. การพูดในกลุ่ม
๓. การพูดในที่ประชุม
๔. การพูดทางสื่อมวลชน
ข้อดี และข้อจำกัดของการสื่อสารด้วยคำพูด
ข้อดี
๑. สร้างความเข้าใจกับผู้พังได้อย่างรวดเร็ว
๒. เป็นเครื่องมือสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ได้ผลดีที่สุด
๓. สามารถพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่เราสื่อออกไปได้ผลหรือไม่ในทันที
๔. สามารถดัดแปลงแก้ไขคำพูดหรือยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับโอกาศ เวลา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
ข้อจำกัด
๑. การสื่อสารด้วยคำพูดอาจถูกจำกัดด้วยสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่นเสียงรบกวน
๒. หากเรื่องที่สื่อสารมีความซับซ้อน หรือเป็นนามธรรมที่เข้าใจยาก การใช้คำพูดเพียงประการเดียว อาจทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจ ถ้าใช้การเขียนอาจเหมาะสมกว่า
๓. สารจากคำพูดอาจเป็นสารที่ไม่คงทน กล่าวคือ พูดเสร็จก็ผ่านหายไป ผู้ฟังก็ไม่มีโอกาศฟังซ้ำ ย่อมจะนำมาเป็ยหลักฐานได้ไม่สะดวกนัก
๔. การสื่อสารด้วยคำพูด มีโอกาสผิดพลาดในแง่ข้อเท็จจริง หรือผิดพลาดจาก เจตนาที่แท้จริงของผู้พูดได้ง่าย
คุณธรรม และจรรยามารยาทของผู้พูด
คุณธรรม มีความหมายกว้าง และลึกมาก เป็นสภาพนามธรรมประจำตัวมนุษย์ อันเป็นผลมาจากกการได้รับการศึกษาอบรม คุณธรรมเป็นเครื่องคอยกำกับจิตใจ ให้ตั้งอยู่ในความดีงาม เมื่อจิตใจตั้งอยู่ในทางที่ดีงาม บุคคลย่อมพูด และกระทำไปในทาง ที่ถูกต้องดีงามด้วย
จรรยา หรือ จริยา หมายถึง การทำ การพูด การคิด ที่มีคุณธรรมประจำใจควบคุมไว้ ให้ดีงามอยู่เสมอ ซึ่งแยกออกได้เป็น กายจริยา วจีจริยา และ มโนจริยา
มารยาท หมายถึง กิริยาอาการ เฉพาะทางกาย และทางวาจา ที่แสดงออกให้ปรากฏตามแบบที่สังคมกำหนด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ดังนั้นผู้พูดที่ดี นอกจากจะมีทักษะในการพูดอย่างดีแล้ว ยังต้องมีจรรยามารยาทของคนดีมาประกอบกันด้วย จรรยามารยาทที่ต้องเน้นเป็นพิเศษคือ ความสุภาพเรียบร้อย ความจริงใจ และความรับผิดชอบต่อการพูดของตน ซึ่งทั้ง ๓ ประการนี้ จะทำให้ผู้ฟังประทับใจ และทำให้ได้รับความนิยมนับถือ อย่างแท้จริง
๑. ความสุภาพเรียบร้อย หมายถึง ความสุภาพเรียบร้อยทั้งในทาง กิริยาอาการ การแต่งกาย และการใช้คำพูด
๒. ความจริงใจ หมายถึง การใช้คำพูด และการแสดงออกในการยกย่อง สรรเสริญ แสดงความชื่นชมหรือแสดงความคิดเห็นอื่น ๆ ได้พอเหมาะพอควร และตรงกับความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของผู้พูด ผู้พูดไม่ควรเสแสร้ง อย่างที่เรียกว่า ปากอย่างหนึ่งแต่ใจอย่างหนึ่ง
๓. ความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบมี ๒ ประเภทด้วยกัน คือ ความรับผิดชอบทางกฏหมาย และความรับผิดชอบทางคุณธรรม ความรับผิดชอบต่อการพูด ก็มีข้อที่จะต้องเพ่งเล็งประกอบเป็น ๒ ประการ เช่นกัน คือ
๑. ในการพูดทุกโอกาส ทุกกรณี ย่อมถือเป็นพันธะหน้าที่ที่ต้องจะพูดโดยเต็มใจ และตั้งใจพูด
๒. เมื่อได้พูดลงไปแล้วว่าอย่างไร ต้องไม่ลืมว่า ตนได้พูดเช่นนั้นจริง ๆ และไม่พยายามปฏิเสธคำพูดของตนเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น
วิชาการพูดเป็นวิขาการพูดทั้งศาสตร์ และศิลป์
การพูดเป็นพฤติกรรมสื่อสารของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ไม่ใช่สัญชาตญาณตามธรรมชาติ และความจำเป็น ทำให้มนุษย์ต้องพูด และพูดได้แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถพูดได้เอง ตามธรรมชาติ ต้องอาศัยการเรียนรู้จาก บุคคลแวดล้อม และเรียนรู้ตามลำดับแห่งความเจริญเติบโต เริ่มต้นด้วยคำพูดที่มีฐานที่เกิดของ เสียงจากริมฝีปากก่อน แล้วจึงเรียนรู้วิจิตพิสดารมากขึ้น การเรียนรู้เพื่อให้พูดได้เป็นเพียง พื้นฐานเบื้องต้นของการพูดเท่านั้น เพราะหากทำได้เพียงเท่านั้นก็จะต้องประสบกับปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างแน่นอน ดังนั้นหากต้องการพูดให้ได้ผลดีจริงๆ ต้องฝึกฝนการพูดโดยอาศัยหลักวิชาการพูดซึ่งมีหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่สามารถเรียนรู้ และฝึกฝนได้
การพูดที่ดี และมีประสิทธิภาพนั้นมิ ใช่ว่าผู้พูดอยากจะพูดอะไรก็ได้เพราะนั้น อาจส่งผลกระทบในทางลบกับตัวผู้พูดเอง การจะเป็นผู้พูดที่ดี ต้องมีการศึกษา และฝึกฝนวิธีการพูดที่ถูกต้อง ซึ่งวิธีการพูดที่ถูกต้องนั้น ก็มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพื่อให้ผู้พูดสามารถจะนำไปศึกษา และฝึกฝนได้
ดังนั้นจึงถือว่า การพูดเป็นทั้งศาสตร์ (science) อันหมายถึง เป็นวิชาความรู้ และความเชื่อที่กำหนดไว้อย่างมีระบบระเบียบ และสามารถ พิสูจน์ หรือสามารถหาข้อเท็จจริงได้ และ ศิลป์ (art) เพราะต้องอาศัยการฝึกฝน โดยใช้เทคนิควิธีการที่จำเป็น ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธี หรือพลิกแพลงในด้านต่างๆ ให้เหมาะแก่ผู้พูดแต่ละคน เพื่อให้การพูดของเขาในแต่ละครั้งนั้นเป็นการพูดที่ดีมีรสชาติ มีชีวิตชีวา และทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ สนุกสนานเพลิดเพลิน คล้อยตาม หรือประทับใจขึ้นได้ เป็นต้น
มีหลายคนที่เชื่อว่า การพุดเป็นพรสวรรค์ หรือเป็นธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จึงไม่อาจศึกษา และฝึกฝนได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าจะกล่าวโดยทั่วไป การเรียนในทุกสาขาวิชาก็ต้องอาศัยพรสวรรค์อยู่บ้าง ในแง่ที่ว่าบางคนอาจเรียนได้ดีกว่า เร็วกว่า หรือ รู้จักประโยชน์ได้ มากกว่าบางคน ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ แม้กระทั้งวิชาคัดลายมือ ในวิชาการพูด ก็เช่นกันบางคน อาจจะเรียนได้ดีกว่า เร็วกว่า หรือ รู้จักประโยชน์ใช้ได้มากกว่าบางคน แต่ทุกคนสามารถเรียนได้ ผุ้ที่เรียนย่อมมีหลีกที่ดีกว่าเดิม และดีว่าผู้ที่ไม่ได้เรียนการเรียนวิชาการพูดที่ถูกต้องต้องเรียนทั้งในฐานะที่เป็นศาสตร์ และศิลป์ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว
วัตถุประสงค์ของการฝึกฝนการพูด
วัตถุประสงค์ของการพูดมี ๕ ประการ คือ
๑. เพื่อให้รู้จักการสื่อสารด้วยคำพูดที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการอยู่ และทำงานร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม บางคนอาจเรียนมาสูงสามารถพูดได้หลายภาษาแต่กลับพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องพูดแล้วคนฟังไม่เข้าใจ บุคคลเหล่านี้ต้องมาฝึกฝนการพูดกันใหม่ มิฉะนั้นจะไม่สามารถอยู่ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
๒. เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้นำที่ดี ผู้นำต้องพูดเป็นเพราะ ผู้นำทำงานด้วยปาก ผู้ตามทำงานด้วยมือ แม้นว่ามนขณะนี้เราอาจจะเป็นผู้ตามก็ตาม แต่วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจมีโอกาสได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำคนหนึ่ง ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้
๓. เพื่อวางรากฐานของประชาธิปไตย ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ประชาชนจะต้องกล้าพุดกล้าแสดงออก รู้จักพุด รู้จักเสนอแนะ รู้จักคัดค้าน ถ้าไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าคัดค้าน ก็จะกลายเป็นคนที่เอื้ออำนวยให้เกิดระบบเผด็จการในสังคมขึ้นได้
๔. เพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ มนุษย์เราต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม ทั้งกับครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อร่วมงาน ฯลฯ ผู้ใดเป็นผู้มีมิตรภาพ มีสัมพันธ์ภาพที่ดี รู้จักพูดคุยตามกาลเทศะ ย่อมทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข บางคนอาจมีนิสัยดีไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใครแต่ปากไม่ดีชอบพูดพล่ามโดยไม่ทันคิดทำให้คนอื่นไม่อยากคบหาสมาคมด้วย กลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ จนเป็นเหตุให้ขาดเพื่อนแท้ ขาดบริวารที่ดีไปได้
๕. เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ที่มีโอกาสได้พุดในชุมชนบ่อยๆ จำทำให้เกิดผลดีในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพไปในตัว เพราะในการฝึกฝนการพูดเราก็จะต้องฝึกด้านการพัฒนาบุคลิกภาพของเราควบคู่ไปด้วย ซึ่งส่งผลทำให้บุคลิกภาพของเราดีขึ้น เช่น การวางตัวดีขึ้น กิริยาท่าทางไม่เคอะเขิน แต่งการได้เหมาะสม มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้น มีมนุษยสัมพันธ์ และมีคุณลักษณะอีกหลายประการที่หาไม่ได้จากที่ไหน
การเตรียมตัวเพื่อการพูดแบบต่างๆ
นักวิชาการ และนักพูดส่วนใหญ่ จำแนกวิธีการพูดออกเป็น ๔ วิธี คือ
- การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว
- การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
- การพูดแบบพูดจากการท่องจำ
- การพูดแบบพูดจากเตรียมตัวหรือพูดโดยความเข้าใจ
ซึ่งแต่ละวิธีก็มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติ และวิธีการในการเตรียมตัวที่แตกต่างกัน ดังนี้
๑. การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว ( Impromptu Speech )
การพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวนั้น มักเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตประจำวัน เช่น ในงานเลี้ยงสังสรรค์ในโอกาสต่างๆ งานพิธีมงคลสมรส ฯลฯ ที่ผู้พูดอาจได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหัน ทำให้ไม่มีเวลาในการเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมเนื้อหาสาระในการพูด ซึ่งความไม่พร้อมนี้ อาจจะส่งผลกระทบให้การพูดในครั้งนั้น ไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร
การพูดแบบนี้ถือว่า อันตรายที่สุด เพราะหากไม่มีประสบการณ์หรือ ชั่วโมงบิน มากจริงๆ จะทำไม่ได้ โดยเฉพาะในการบรรยาย ที่ผู้ฟังไม่สนใจฟัง ด้วยเหตุนี้ผู้พูดที่ดีซึ่งต้องการประสบความสำเร็จในการพูด จึงควรมีการเตรียมตัวเพื่อ แนวทางในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไว้จะได้ประโยชน์ในยาม ที่ได้รับเชิญให้พูดโดยกะทันหัน
ในการพูดแบบนี้ผู้พูดมักไม่มีเวลา ในการเตรียมตัว และเตรียมเนื้อหาสาระในการพูดมากนักอย่างเพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนขึ้นพูด ซึ่งวิธีการเตรียมตัว ในระยะเวลาอันสั้น เช่นนี้ผู้พูดอาจกระทำได้โดย หากในสถานการณ์ที่ผู้พูดได้รับเชิญให้พูด โดยกะทันหัน ไม่มีการเตรียมตัว มาก่อน ผู้พูดอาจอาศัย สังเกตข้อความที่ผู้อื่นเขาพูดมาก่อนหน้าเรา (ถ้ามี) แล้วอาศัยความชัดเจน ที่มีอยู่ในตัวเป็นวัตถุดิบ ในการพูด (ถ้าหากว่าผู้พูดเคยมีความรู้ และประสบการณ์ เกี่ยวกับการพูด ในที่ชุมชนมาแล้ว ย่อมเป็นของง่ายที่จะพูดแบบนี้ โดยฉับพลันทันใด) ซึ่งผู้พูดจะต้องมองถึงหัวข้อเรื่องที่จะพูดในรูปโครงเรื่องย่อเสียก่อน และเข้าใจวัตถุประสงค์พิเศษของการพูดในครั้งนั้นๆ จากกนั้นจึง คิดหาตัวอย่าง คำคม หรือสุภาษิต เพื่อนำมากล่าวนำ แล้วรวบรวมเหตุผล และตัวอย่างประกอบ (เนื้อเรื่อง) เพื่อหาข้อยุติก่อนการพูด ผู้พูดจะต้องพยายามสงบระงับความกระวนกระวายใจ ทำจิตใจให้สบาย ระงับความตื่นเต้นโดยการหายใจเข้าออกช้าๆ หลายๆ ครั้ง พอเริ่มพูดจะต้องเพ่งพินิจแต่เฉพาะเรื่องที่กำลังพูดอยู่เท่านั้น การรวมจิตใจเพ่งพินิจแต่เฉพาะเรื่องที่จะพูดเช่นนี้ จะทำให้สามารถควบคุม ความตื่นเต้นของตนเองได้
สำหรับแนวทางในการกำหนดเนื้อเรื่องประกอบ ในการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวนั้น ผู้พูดอาจเลือกใช้แนวใดแนวหนึ่งดังนี้
· แนวส่วนของเรื่อง (Space Order)
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดการแบ่งเรื่องออกเป็นส่วนๆ ผู้พูดต้องแบ่งให้ดีว่าเรื่อวงที่เราจะพูดนั้น สามารถกล่าวในลักษณะ ของรูปธรรม ได้หรือไม่ หากได้ให้เริ่ม กล่าวจากรูปธรรมซึ่งผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนไปสู่นามธรรมดาตามหัวข้อเรื่อง ไม่ควรเริ่มพูดจาก นามธรรมเพราะผู้ฟังอาจไม่เข้าใจได้
· แนวลำดับเวลา (Time Order)
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือเรื่องเวลาเป็นหลักการดำเนินเรื่อง จะกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
· แนวเหตุ และผล (Causal Order)
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือเรื่องเหตุ และผลเป็นหลัก โดยกล่าวถึงสาเหตุก่อนว่าทำไมจึงเกิดเรื่องนั้นๆ ขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะมีผลอย่างไร
· แนวหัวเรื่อง (Topic Order)
หมายถึง แนวทางในการพูดที่ยึดถือหัวเรื่องเป็นหลัก เราสามารถพูดโดยกล่าวถึงชื่อเรื่องที่เราจะพูด เช่น อาจจะกล่าวว่าหมายถึงอะไร หรือโดยทั่วไป หมายถึงอะไรแต่ในที่นี้หมายถึงอะไร เป็นต้น
ตัวอย่างการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัว
ตัวอย่างที่ ๑ เมื่อได้รับเชิญให้กล่าวอวยพรในวันขึ้นปีใหม่ (ในฐานะประธานบริษัท)
ท่านผู้มีเกียรติ และเพื่อร่วมงานที่รักทั้งหลาย
ในนามของบริษัทฯ ผมมีความรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นเพื่อร่วมงานมาร่วมสนุกสนานกันอย่างเต็มที เนื่องในโอกาส ฉลองวันขึ้นปีใหม่ ในวันนี้ ทุกปีที่ผ่านมาเราถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก และความสามัคคีเพราะพนักงานทุกระดับ จะได้มีโอกาสมาสังสรรค์ และร่วมสนุกสนานกัน หลังจากที่เราได้เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งปี
ความก้าวหน้าของบริษัทเรา นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคน ในปีนี้ผมขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า กิจการของบริษัทเรา ได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะสินค้าของเราได้รับการยอมรับ และการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งผมเองในฐานะ ประธานกรรมการ ของบริษัท ก็มีนโยบายในการขยายงานของบริษัทออกไผสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น มีการเร่งผลิตให้เพื่อสูงขึ้น ทั้งในด้านปริมาณ และ คุณภาพ ให้สินค้าของเราเป็นที่นิยมของ ประชาชนอย่างกว้างขวาง
ความสำเร็จของการดำเนินงานตลอดระยะเวลา ๑ ปีที่ผ่านมานั้น มาจากการทุ่มเทเสียสละ ในการทำงานของเพื่อนพนักงาน และท่านผู้บริหาร ทุกท่าน ดังนั้นเพื่อตอบแทนในการเสียสละที่เพื่อนพนักงาน และท่านผู้บริหารทุกท่านได้ทุ่มเทให้กับบริษัท ทางบริษัทของเราก็จะมีการปรับเงินเดือน ของพนักงานทุกระดับชั้นให้สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีการปรับปรุงด้านสวัสดิการให้ดีขึ้นด้วย
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้เพื่อพนักงานทุกท่าน จงประสบความสำเร็จ ความสุข ความเจริญตลอดไป ไชโย! ไชโย! ไชโย!
ตัวอย่างที่ ๒ เมื่อกล่าวอวยพรคู่สมรส
ท่านผู้มีเกียรติ เพื่อเจ้าบ่าว และเพื่อเจ้าสาว
ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และมีความยินดีเป้นอย่างยิ่ง ที่ท่านเจ้าภาพได้มอบหมายให้ผมมาเป็นผู้กล่าวอวยพรคู่สมรสในครั้งนี้
คู่สมรส คือ คุณวิภาพักตร์ และคุณรัตนพล นับว่าเป็นคู่สมรสที่น่ารัก และเหมาะสมกันมากที่สุดคู่หนึ่ง ผมรู้จักท่านสองท่านมานานแล้ว และรู้จักเป็นอย่างดีเพราะทั้งสองท่าน เป็นลูกน้องของผมเอง ผมได้แอบสังเกตอย่างเงียบๆ มานานแล้วว่า ทั้งคู่มีความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงาน จนถึงวันนี้ทั้งคู่มาพบผม และบอกให้ผมทราบว่ากำลังจะแต่งงานกันแล้ว ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีใจ เป็นอย่างยิ่ง
ในโอกาสอันดีนี้ ผมอยากจะฝากข้อคิดสำหรับคู่สมรสว่า ชีวิตสมรสจะราบรื่นได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีความอดทน เพราะแม้นลิ้นกับฟัน ก็ยังมีวันกระทบกันได้ สามี และภรรยาก็เช่นเดียวกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยกัน ชีวิตคู่จะมีความสุข และความเจริญก้าวหน้า ถ้าทั้งคู่อยู่ร่วมกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ มีความซื่อสัตย์ รู้จักวิธีถนอมน้ำใจกัน มีวาจาไพเราะต่อกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกัน ขยันทำมาหากิน และรู้จักเก็บหอมรอมริบ ผมก็คิดว่าชีวิตนี้จะต้องมีความสุขตามอัตภาพอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้คู่บ่าวสาวประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิต และรักกันตราบชั่วนิรันดร์ ไชโย! ไชโย! ไชโย!
๒. การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ (Manuscript Speech)
การพูดแบบนี้ผู้พูดจะเขียนข้อความที่จะพูดลงไปในต้นฉบับ แล้วเมื่อถึงสถานการณ์การพูดจริง ผู้พูดก็จะนำต้นฉบับนั้นมาอ่านให้ผู้ฟัง ได้รับฟังอีกทีหนึ่ง ซึ่งวิธีการพูดแบบนี้มักใช้ในสถานการณ์การพูดทีเป็นทางการมาก ๆ เช่น ในการกล่าวรายงานทางวิชาการการกล่าวเปิดงาน การกล่าวเปิดประชุม การสรุปผลการประชุม การอ่านข่าวหรือบทความทางวิทยุ-โทรทัศน์ ที่ผ่านการตรวจสอบมาแล้ว การกล่าวตอบโต้ในพิธีต่างๆ หรือการกล่าวแถลง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกล่าว ต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งถือกันว่าควรใช้วิธีการอ่านมากกว่าการพูดสด แต่ถ้าหากเป็น สถานการณ์ การพูดโดยทั่วไปเป็นทางการหรือ เป็นทางการไม่มากแล้ว ไม่ควรใช้วิธีนี้ เป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจจะทำให้ผู้ฟัง รู้สึกเบื่อหน่าย และหมดความรู้สึกสนใจในตัวผู้พูด อันเนื่องมาจากการที่ผู้พูดต้อง ละสายตามาจากผู้ฟัง มาอยู่ที่ต้นฉบับตลอดเวลา ทำให้ขาดการติดต่อสื่อสาร ทางสายตากับผู้ฟัง และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือวิธีการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ หรืออาจเรียกว่า อ่านให้ฟัง จะทำให้ผู้พูด ขาดลีลาน้ำเสียง อันมีชีวิตชีวา และบุคลิกภาพอันเป็นตัวของตัวเอง นอกจากนั้นผู้ฟังส่วนใหญ่มักไม่ชอบการพูดแบบนี้ เนื่องจากผู้ฟังมักคิดว่าผู้พูด คงไม่เข้าใจถ่องแท้ในเรื่องที่พูดหรืออาจจะไม่ได้เขียนต้นฉบับด้วยตนองก็ได้
สำหรับประโยชน์ของการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับอยู่ที่ว่าผู้พูดสามารถพูดในเรื่องนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด อันเนื่องมาจาก การหลงลืม ความตื่นเต้น ความประหม่า ความสับสน หรืออื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพูดแบบเป็นทางการมาก ๆ หรือการพูดต่อหน้าพระพักตร์ เนื่องจากว่าภาษาพูด ที่เขียนไว้อย่างสมบูรณ์แบบในต้นฉบับ ย่อมสามารถเขียนได้ ไพเราะสละสลวย และมีน้ำหนักมากกว่าการพูดแบบ ปากเปล่า และจะช่วยให้ผู้พูด เกิดความรู้สึกปลอดภัย จากการพุดที่ผิดพลาด
ส่วนวิธีการเขียนต้นฉบับ (Manuscript) เพื่อการพูดแบบนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุดนั้น ก่อนการเขียนต้นฉบับผู้พูด ต้องเตรียมจัดทำ โครงเรื่องเสียก่อน ครั้นวางโครงเรื่อง ได้สมบูรณ์แล้วผู้พูดจึงเขียนต้นฉบับการพูดลงไปทุกคำพูด ดุจเดียวกับเวลาพุดกับเพื่อนๆ เมื่อเขียนต้นฉบับจบแล้ว ต้นฉบับนั้นยังไม่ถือว่า เป็นต้นฉบับที่สมบูรณ์ ยังเป็นเพียงการร่างครั้งแรกเท่านั้น ผู้พูดต้องอ่านทบทวนร่างนั้นหลายๆ ครั้งแล้วแก้ไข สำนวน ลีลา น้ำหนักคำ และรูปประโยคโดยละเอียด จนเกิดความแน่ใจว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น ถูกต้องตรงกับสิ่งที่เขาประสงค์จะพูด ทุกประการ
แม้นว่าจะแก้ไขปรับปรุงหลายครั้งจนผู้พูดเกิดความรู้สึกพอใจในต้นฉบับของเขาแล้วก็ตาม ผู้พูดกูควรจะทดสอบ ต้นฉบับของเขา เป็นครั้งสุดท้าย โดยการอ่าน ต้นฉบับดังกล่าว ให้ผู้ร่วมคณะหรือเพื่อบางคนฟัง (หากหาคนฟังไม่ได้อาจอ่านออกเสียงดังๆ ให้ตนเองฟังเพียงลำพัง คนเดียวก็ได้) การทดสอบแบบนี้จะช่วยให้การแก้ไขต้นฉบับการพุดครบถ้วยสมบูรณ์ที่สุด
เมื่อได้ต้นฉบับการพูดที่สมบูรณ์แบบตามที่ปรารถนาแล้ว ผู้พูดควรพิมพ์ต้นฉบับโดยใช้กระดาษพิมพ์อย่างหนา ระวังอย่าให้คำผิดพลาด ปรากฏ ต้นฉบับพิมพ์ควรสะอาด เนื้อเรื่องควรพิมพ์เป็นตอนสั้น ๆ ข้อความแต่ละตอนต้องจบในหน้าเดียวกันไม่ควรต่อไปหน้าอื่น ริมกระดาษซ้ายมือควรเว้นว่างประมาณ ๓ นิ้ว พิมพ์เลขหน้าทุกหน้าตามลำดับ หมายเลขขอบขวาด้วนบนเพื่อป้องกันการสลับหน้าผิด ควรใช้ลวดเย็บต้นฉบับรวมกันเพื่อป้องกันการหลุด และสูญหาย
เวลาอ่านต้นฉบับผู้พูด ต้องอ่านโดยใช้เสียงที่เหมือนกับเสียงพูดปกติ เพราะแม้นว่าผู้พูดจะเขียนข้อความด้วยคำพูดของตนเองก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ว่าเวลาเขาจะอ่านออกเสียงดุจเสียงพูดตามธรรมชาติของเขาหรือไม่ ดังนั้นเขาควรพยายามที่จะ แสดงพฤติกรรมทุกประการ นับตั้งแต่การแสดงออกทาง สีหน้า แววตา น้ำเสียง ให้กลมกลืนกับเรื่องที่อ่านมากที่สุด
ดังที่กล่าวแล้วว่าการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับนี้ จะทำให้ผู้พูดไม่สามารถติดต่อสื่อสารทางสายตา กับผู้ฟังได้ อันเนื่องจากผู้พูด ต้องละสายตาจากผู้ฟัง มาอยู่ที่ต้นฉบับตลอดเวลา แต่ผู้พูดก็อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้โดยช่วงเวลาที่หยุดเว้นระยะในการพูด ก่อนที่จะอ่าน ข้อความต่อไป ผู้พูดควรเงยหน้าขึ้น มองผู้ฟังก่อนแล้วจึงอ่านต่อไป การกระทำเช่นนี้สำหรับคนเริ่มต้นฝึกหัดใหม่ๆ นับว่ายากมาก แต่เมื่อฝึกฝนบ่อย ๆ แล้วจะเกิดความชำนาญจนเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างการพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ
ตัวอย่างที่ ๑
คำกล่าวรายงานการจัดการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่อง บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤตสังคม
ในวันจันทร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
โดย
ดร. จันทร์ วงษ์ขมทอง
ประธานกรรมการวิชาการ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชาแห่งประเทศไทย
กราบเรียน ท่านประธาน
ในนามของสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ใคร่ขอแสดงความขอบคุณ ฯพณฯ องคมนตรี ที่ได้ให้เกียรติ และสละเวลาอันมีค่าของท่านมาเป็นประธานการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤตสังคม ในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง
ดิฉันใคร่ขอกราบเรียนถึงหลักการ เหตุผล ของการจัดสัมมนา ซึ่งเป็นเรื่องของสังคม และประเทศชาติโดยตรง เป็นเรื่องที่ ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าประเทศของเรามีปัญหาที่ร้ายแรง โดยเฉพาะเรื่องปัญหาแรงงาน อันเกิดจากความด้อยประสิทธิภาพ ของการจัดการบริหาร ทำให้ครอบครัวขนบทซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาล่มสลาย ส่วนชุมชนในเมืองใหญ่ ก็เต็มไปด้วย ธุรกิจทางเพศ การล่อลวงเด็กหญิงเพื่อการค้าประเวณี และปัญหาโรคเอดส์ วัณโรค ยาบ้า อาชญากรรมแทบทุกรูปแบบ ความตาย และความสูญเสียทรัพย์สิน จากการจราจร และโรงงานอุตสาหกรรม และการทำลายแหล่งน้ำโดย โรงงานอุตสาหกรรม และประชาชนส่วนหนึ่ง การจราจรติดขัดก่อให้เกิดผลทางลบคิดเป็นมูลค่าความสูญหายอย่างมหาศาล มีการตัดไม้ทำลายป่า จนเหลือป่า เพียงร้อยละ ๑๘ ค่าแรงสำคัญมีราคาสูงกระทบต่อการผลิตสินค้า และการส่งออก การสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการพัฒนา ไม่มีคุณภาพ และไม่เพียงพอ เป็นวิกฤตการทางสังคมซึ่งหลายฝ่ายได้พยายามแก้ไขแต่ก็ไร้ผล จนทำให้คณะกรรมการ พัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กำหนดแผน และเป้าหมายการพัฒนาสังคมใหม่
การสัมมนาในวันนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะหาข้อเสนอแนะจากผู้เข้าสัมมนาซึ่งมีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้าน อุดมศึกษา และการพัฒนาในการหาแนวทางแก้ไข และวิธีการพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามนโยบายของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘
การสัมมนาจะเป็นการอภิปรายทั้งวัน โดยช่วงเช้าจะเป็นเรื่องสภาพปัญหา และบทบาทสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัยกาเยาวชน และสวัสดิการตามความมั่นคงแห่งชาติ และสิ่งเสพติด
สำหรับช่วงบ่าย เป็นเรื่องของสุขภาพอานามัย ปัญหาศีลธรรมทางเพศ และอุบัติภัย และมลพิษสิ่งแวดล้อม
บัดนี้ได้เวลาอันเป็นอุดมฤกษ์แล้ว ดิฉันใคร่ของกราบเรียนเชิญท่านประธานได้กระทำพิธีเปิดการสัมมนา และกล่าวปราศรัย เพื่อเป็นสิริมงคล ขวัญกำลังใจ และแนวทางการสัมมนาให้บรรลุวัตถุประสงค์
ขอกราบเรียนเชิญท่านประธาน
ตัวอย่างที่ ๒
คำกล่าวเปิดการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่อง บทบาทของการสถาบันอุดมศึกษาในการแก้ปัญหาวิกฤติทางสังคม
วันจันทร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
ฯพณฯ ดร.อำพล เสนาณรงค์
องคมนตรี
ท่านผู้เข้าร่วมสัมมนา และท่านแขกผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน
กระผมรู้สึกมีความยินดี และ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการสัมมนาทางวิชาการ ซึ่งทางสมาคม สถาบันอุดมศึกษาเอกชน แห่งประเทศไทย และทบวงมหาวิทยาลัยจัดขึ้นในวันนี้ กระผมเห็นด้วยกับรายงานของท่านประธานกรรมการ ฝ่ายวิชาการของสมาคม ที่ได้กล่าวว่าสังคมของเรากำลังประสบกับปัญหา ในระดับที่รุนแรงน่าวิกนยิ่ง ท่านทั้งหลายคงทราบดีว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน
และประชาชนไม่น้อยได้พยายามที่จะคลี่คลายปัญหา และการจัดเตรียมแผนการทำงานใหม่ให้มีความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร จนทำให้รู้สึกว่ายิ่งพัฒนาก็ยิ่งทำให้สังคมของเราเสื่อมลง จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย และควรทำการวิจัยศึกษาเป็นอย่างยิ่งว่า อะไรเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้การพัฒนาของเรามีปัญหา และหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขอย่างไร สังคมของเราจึงจะเป็นสังคมที่มีการพัฒนาที่ยั่งยืน
กระผมเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยของไทยเรามีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ๔ ประการ ซึ่งได้แก่ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการสังคม และการรักษาจรรโลงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศ หลาย ๆ มหาวิทยาลัยได้บรรลุเป้าหมายพอสมควร โดยเฉพาะในปัจจุบัน ทบวงมหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น โดยจัดให้มี การประกันคุณภาพ และการควบคุมคุณภาพทางการศึกษา ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของการพัฒนา ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ คงมีความเห็นพ้องกันว่าความก้าวหน้าของ การพัฒนาสังคมโดย มุ่งเน้นไปที่คุณภาพ ชีวิตของคน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ ของแผนพัฒนา เศรษฐกิจ และสังคมฉบับที่ ๘ นั้นย่อมขึ้นกับ ตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญหลายอย่าง กระผมตระหนักดีว่า การศึกษาเป็นปัจจัย และ ขบวนการที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่แท้จริงได้ หมายความว่า เราจะต้องใช้สาระทางวิชาการ และขบวนการทางการศึกษา ที่จะทำให้เด็ก และเยาวชนได้รู้ได้เข้าใจสาระ ความเป็นจริงของแก่นสาร ของชีวิตรู้จัก และเข้าใจธรรมชาติ และสามารถใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม แต่ถ้ามีก็จะเป็นการสูญเสียเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันเราก็ต้องพยายามค้นคว้าหาสิ่งใหม่มาทดแทนสิ่งที่กำลังจะหมดไป และเป็นสิ่งที่ มีราคาค่าใช้จ่าย น้อยลง เพื่อให้เกิดการสมดุล การที่เราจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้ ก็เพราะคนเรากับธรรมชาติแยกกันไม่ได้ ต้องมีลักษณะ พึ่งพาซึ่งกัน และกัน นั่นหมายความว่า การทำลายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ก็คือการทำลายตนเอง ครอบครัว และสังคม ซึ่งเกิดปัญหา หลายประการ ดังที่สมาคม ได้กล่าวถึง จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหาให้ได้ ผมขอกล่าวเพิ่มเติม อีกเล็กน้อยว่าการจัดการการศึกษาที่ดีที่เหมาะสม จะต้องกระทำในทุกระดับโดยเฉพาะในการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปรียบเสมือน การปลูกต้นไม้ หากการเตรียมดิน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการดูแลรักษาต้นไม้ ไม่ดีไม่ถูกต้อง เราก็จะไม่ได้รับประโยชน์ จากการปลูกต้นไม่นั้น ขณะเดียวกันก็จะเป็นผลร้ายด้วยซ้ำไป ดังนั้นการที่เรา จะปล่อยปละละเลย ไม่ดำเนินการจัดการ พัฒนาให้ถูกต้อง มาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็จะเป็นปัญหาของสังคมดังที่ปรากฏอยู่
ดังนั้นในการสัมมนาในวันนี้ ท่านทั้งหลายคงจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดความเห็น ในเรื่องบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ในการแก้ปัญหา วิกฤติทางสังคม เพื่อเป็นพื้นฐาน และแนวทางในการแก้ปัญหาหาต่อไป กระผมมั่นใจว่าผลการสัมมนาครั้งนี้ จะบรรลุวัตถุประสงค์ ตามที่ตั้งไว้ทุกประการ บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้วกระผมของเปิดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่องบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ในการแก้ปัญหาวิกฤติ ทางสังคม ณ บัดนี้ ขออวยพรให้การสัมมนา จงดำเนินไปด้วยดีได้ผลสมปรารถนาอัน จะเป็นประโยชน์ต่อ การแก้ปัญหา วิกฤติทางสังคม และเป็นแนวทางในการดำเนินงาน ที่จะทำให้ประเทศของเราบรรลุขั้นการพัฒนาแบบยั่งยืนต่อไป และขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน
ขอขอบคุณ
๓. การพูดแบบพูดจากการท่องจำ (Memorized Speech)
ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว การพูดแบบนี้ถือเป็นการ ท่อง มากกว่า เพราะเกิดจาการท่องจำถ้อยคำที่เขียนไว้เป็นต้นฉบับสมบูรณ์ (Manuscript) หรือท่องจำแบบคำต่อคำนั่นเอง ถ้าจะวิเคราะห์คุณค่าทางวาทศาสตร์หรือศาสตร์แห่งการพูดแล้วการพูดแบบนี้มีคุณค่าน้อย การพูดแบบนี้นักพูดไม่นิยมใช้กันเพราะเป็นรากฐานที่จะทำให้ผู้พูด เกิดความกังวลใจ และความเคร่งเครียด อันเนื่องมาจาก ผู้พูดก็ไม่แน่ใจว่า จะจดจำคำพูดได้ทุกถ้อยคำหรือเปล่า และถ้าหากเกิดการผิดพลาด หลงลืมขึ้นมากลางคันผู้พูดก็จะเกิดความระหม่า และอาจไม่สามารถแก้ปัญหา เฉพาะหน้าได้ หรือแม้แต่เกิดการผิดพลาดขึ้นผู้ฟังจับได้ว่าเป็นการ ท่อง เพระเสียงของผู้พูดจะราบเรียบเป็นทำนองเดียว (Monotonous) สายตาก็อาจจะไม่มองผู้ฟัง ท่าทางประกอบก็อาจจะไม่มีทำให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย และขาดความเชื่อถือต่อผู้พูดขึ้นได้
ดังนั้นผู้พูดที่จึงควรหลีกเลี่ยงการพูดแบบท่องจำต้นฉบับทั้งหมด แต่อาจใช้วิธีการท่องจำเพียงเล็กน้อยหรือเพียงบางส่วน (Quotation) เท่านั้น จะดีกว่า
๔. การพูดแบบพูดโดยการเตรียมตัวหรือการพูดจากความเข้าใจ (Extemporaneous Speech)
เป็นการพูดจากใจ จากภูมิรู้ และจากความรู้สึกจริง ๆ ของผู้พูดเอง เป็นการพูดที่นิยมใช้กันมากที่สุดเพราะมีข้อดีหลายประการ คือ
- เป็นตัวของตัวเอง
- พรั่งพรู
- เป็นธรรมชาติ
- เร้าใจ
- จริงใจ
- แสดงภูมิรู้ของตนเอง
- ยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับเวลาได้
- ตอบปัญหาผู้ฟัง และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
ซึ่งก่อนการพูดแบบนี้ผู้พูดต้องเตรียมตัวในการคัดเลือกหัวข้อเรื่อง ค้นหาเนื้อเรื่อง แนวคิด และตัวอย่าง จากนั้นเรียบเรียงเนื้อเรื่อง แนวคิด และตัวอย่างให้สมบูรณ์ และอ่านให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเตรียมตัว ดังนี้
๑. ขั้นเตรียมตัวทั่วไป ได้แก่ การที่ผู้พูดพยายามหาความรู้ อ่านมาก ฟังมาก เพราะผู้ที่มีความรู้กว้างขวางมักเป็นนักพูดที่ดี ความรู้ในเรื่องต่างๆ จะช่วยให้การพูดสนุกสนานน่าฟัง และช่วยสร้างศรัทธาแก่ผู้ฟังด้วย
๒. ขั้นเตรียมตัวเฉพาะคราว ได้แก่ การที่ผู้พูดเตรียมตัวพูดเฉพาะในคราวใดคราวหนึ่ง ซึ่งมีขั้นตอนวิธีการดังนี้
๒.๑ เมื่อได้รับเชิญให้พูด ผู้พูดต้องมีวิธีการเตรียมตัวล่วงหน้าพอสมควร ถ้าสามารถเลือกเรื่องที่จะพูดเองได้ผู้พูดควรเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับตัวเอง เหมาะสมกับผู้ฟัง และเหมาะสมกับโอกาสที่จะพูดจากนั้นจึงค่อนรวบรวมเอกสารหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด เรียก ขั้นนี้ว่าขั้นเตรียมการ (Invention)
๒.๒ เมื่อได้เอกสารหรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดแล้ว ผู้พูดก็จะจัดเนื้อหาให้เหมาะสมว่า คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปควรจะมีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง คัดมาจากเอกสารฉบับใดบ้าง อะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตัดทิ้งไป เรียกขั้นนี้ว่าขั้นรวบรวม (Disposition)
๒.๓ เมื่อเตรียมเนื้อเรื่องในแต่ละตอนแล้วผู้พูดจะต้องเตรียมต่อไปว่าเนื้อเรื่องในแต่ละตอนนั้น ควรจะพูดอะไรก่อนหลัง ควรใช้สำนวนโวหารอย่างไร ใช้ภาษาระดับใดจึงจะเหมาะสม กับผู้ฟัง เรียกขั้นนี้ว่าขั้นวิธีการ (Style)
๒.๔ เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็จัดเรื่องที่จะพูดให้เป็นส่วนๆ โดยมีคำนำ เนื้อเรื่อง และ สรุป เรียกขั้นนี้ว่าขั้นโครงเรื่อง (Form)
๒.๕ เมื่อผู้พูดได้เรื่องที่เหมาะสมที่จะพูดแล้ว หากนำไปพูดทันทีอาจจะพบปัญหาบางอย่างได้ ดังนั้นผู้พูดจึงต้องทดลองพูดด้วยตนเองเสียก่อน เรียกขั้นนี้ว่าขั้นฝึกซ้อม (Rehearsing)
ในการพูดแบบนี้หากผู้พูดกลัวว่าจะลืมเนื้อเรื่องที่เตรียมไว้ ผู้พูดอาจบันทึกสั้นๆ นำติดตัวขึ้นไปพูดด้วย หากตอนใดผู้พูด เกิดการหลงลืมก็อาจหยิบบันทึกนั้นขึ้นมาดูเพื่อให้สามารถพูดได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ซึ่งวิธีการบันทึก และการใช้บันทึกในเวลาพูด ผู้พูดควรปฏิบัติดังนี้
(๑) การเตรียมบันทึก
ในบันทึกนั้นจะประกอบด้วย ลำดับขั้นตอนแนวคิดที่จะเสนอต่อผู้ฟัง โดยทั่วไปมักเขียนไว้เพียงคำเดียวหรือ สองคำเท่านั้น เพื่อช่วยความจำ บันทึกที่ดีควรทำด้วยกระดาษการ์ดแข็งเพราะใช้สะดวก บนมุมกระดาษการ์ด ควรเขียน เลขกำกับบอกแผ่นไว้ เช่น ๑-๒-๓-๔ ฯลฯ
(๒) การใช้บันทึกเวลาพูด
เมื่อผู้พูดก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีผู้พูดควรวางกระดาษไว้บนโต๊ะ หรือถือไว้ในมือในลักษณะที่ไม่เกะกะ เมื่อต้องการจะ ใช้กระดาษบันทึก ผู้พูดควรหยิบกกระดาษบันทึกมาอ่านโดยตรงหรือมิเช่นนั้นอาจจะอ่านบันทึกในลักษณะที่คนฟังไม่เห็นบันทึก คือ วางอ่านกับโต๊ะนั่นเอง อนึ่งผู้พูดอย่าไปมัวพึ่งบันทึกอย่างเดียว ก่อนการพูดผู้พูดควรทบทวนเนื้อเรื่อง หัวข้อ ขั้นตอน และแนวคิดจนจำได้ตลอด
หลักการทั่วไปในการเตรียมตัวเพื่อเป็นนักพูดที่ดี
เท่าที่ผ่านมามีนักวิชาการทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ได้ให้หลักเกณฑ์สำหรับการฝึกฝนการพูดเอาไว้มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่งมีสารประโยชน์ ทั้งสิ้น แต่เนื่องจาก เนื้อที่ในหนังสือเล่มนี้มีจำกัด ผู้เรียบรียงจึงใคร่ของนำเสนอเฉพาะหลักการฝึกฝนการพูดของนักวิชาการบางท่านที่น่าสนใจ และไม่ยุ่งยากในการทำควรเข้าใจ อาทิเช่น
๑. หลักสิบประการของสมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
๑.๑ จงเตรียมพร้อม
๑.๒ จงเชื่อมั่นในตนเอง
๑.๓ จงปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผย
๑.๔ จงพูดโดยใช้เสียงอันเป็นธรรมชาติ
๑.๕ จงใช้ท่าทางประกอบการพูดให้พอเหมาะ
๑.๖ จงใช้สายตาให้เป็นผลดีต่อการพูด
๑.๗ จงใช้ภาษาที่ง่าย และสุภาพ
๑.๘ จงใช้อารมณ์ขัน
๑.๙ จงจริงใจ
๑.๑๐ จงหมั่นฝึกฝน
๒. หลักเบื้องต้นเจ็ดประการ ของ ซาเร์ทท์ และ ฟอสเตอร์
ซาเร์ทท์ (Sareet) และ ฟอสเตอร์ (Foster) ได้ให้หลักเบื้องต้น ๗ ประการสำหรับฝึกในการพูดไว้ดังต่อไปนี้
๒.๑ การพูดที่ดีมิใช่เป็นการแสดง แต่เป็นการสื่อความหมาย
๒.๒ ผลสำคัญของการพูดที่ดี ก็คือ การสร้างปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้ฟังได้สำเร็จ
๒.๓ ผู้พูดที่ดีย่อมรู้จัดวิธีการต่างๆ ในการพูดเพื่อที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความใส่ใจอย่างเต็มที่เมื่อผู้พูดต้องการ
๒.๔ การพูดที่ดีต้องมีลักษณะเป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมาง่ายๆ เป็นกันเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
๒.๕ ผู้พูดที่สามารถ คือ บุคคลที่สามารถเป็นผู้มีเสถียรภาพทางอารมณ์ มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง และต่อผู้ฟัง
๒.๖ การที่ผู้ฟังจะมีความรู้สึกประทับใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้พูดนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะต่างๆ ในตัวผู้พูดเอง โดนเฉพาะลักษณะที่ ไม่ใคร่ปรากฏ เด่นชัด
๒.๗ อิริยาบถที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ที่ช่วยทำให้เกิดการพูดนั้น ๆ เป็นการพูดที่ดี
๓. หลักบันได ๗ ขั้นของการพูด ของ ดร.นิพนธ์ ศศิธร
ดร.นิพนธ์ ศศิธร ได้กล่าวถึงบันได ๗ ขั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จแห่งการเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จ ดังนี้
๓.๑ การรวบรวมเนื้อหาที่จะพูด
๓.๒ การจัดระเบียบเรื่อง
๓.๓ การหาข้อความอื่นๆ มาประกอบหรือขยายความออกไป
๓.๔ การเตรียมอารัมภบทหรือบทนำ
๓.๕ การเตรียมบทสรุป
๓.๖ การซักซ้อมการพูด
๓.๗ การแสดงการพูด
ซึ่งบันไดทั้ง ๗ ขั้นของการพูดข้างต้น มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ผู้เรียบเรียงจึงขอสรุป และเรียบเรียงมาไว้ ให้เห็นพอสังเขปดังนี้
บันไดขั้นที่หนึ่ง : การรวบรวมเนื้อหาสาระที่จะพูด
ความสำเร็จในการพูดอยู่ที่การผสมกลมกลืนอย่างแนบสนิทระหว่างความรู้สึก และเหตุผล ดังนั้น การเตรียมตัวที่ดี จึงควรเริ่มต้นจากข้อกำหนด และความคิดเห็นของผู้พูดเสียก่อน แล้วเอาสิ่งเหล่านี้มาทำเป็นโครงร่างไว้ จากนั้นจึงค้นคว้าหาข้อเท็จจริงอื่นๆ มาประกอบให้สมบูรณ์ต่อไป
บันไดขั้นที่ ๑ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
๑. เริ่มต้นด้วยความคิดก่อนว่าในเรื่องที่จะพูดก่อนนั้นมีเนื้อหาอะไรบ้างที่รู้ดีอยู่แล้ว และยังมีอะไรอีกบ้างที่ยังไม่รู้ และจะต้องค้นคว้าต่อไป
๒. รวบรวมเนื้อหาจากการสังเกตการณ์ การสังเกตการณ์ที่ดีจะต้องกระทำด้วยตนเองโดยตรงอย่างครบถ้วน ถูกต้องแม่นยำ และปราศจากความลำเอียง ต้องสามารถแยกจุดเด่นจากการสังเกตการณ์ที่ได้มาให้ได้
๓. รวบรวมเนื้อหาจากการติดต่อกับบุคคลอื่น โดยการสนทนา การสัมภาษณ์ หรือการติดต่อทางจดหมาย แต่ละอย่างก็มีหลักเกณฑ์โดยเฉพาะออกไปอีก ซึ่งจะไม่กล่าวไว้ ณ ที่นี้
๔. รวบรวมเนื้อหาจากการอ่าน ต้องอ่านให้เป็นไม่ใช้ตะลุยอ่านไปโดยไม่มีหลักเกณฑ์จะเสียเวลาโดยไม่มีประโยชน์
บันไดขั้นที่สอง : การจัดระเบียบเรื่อง
บันไดขั้นที่ ๒ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
๑. การเขียนโครงเรื่อง เพื่อเป็นหลักในการดำเนินการขยายความเพิ่มเติมต่อไป อย่างมีระเบียบ และมีความต่อเนื่องกัน โดยการรวบรวม และแบ่งแยกแนวความคิดใหญ่ ๆ ออกเป็นหมวดหมู่เป็นข้อย่อย ๆ ลดหลั่นกันไป
๒. การจัดระเบียบเนื้อเรื่องที่จะพูด เป็นการเลือกใจความสำคัญของเรื่อง จดบันทึกแล้วแยกแยะ ให้เข้าหมวดหมู่ ตามความเหมาะสมต่อไป มี ๖ แบบให้เลือกกระทำดังนี้
๒.๑ เรียงตามลำดับเวลา
๒.๒ เรียงตามลำดับสถานที่
๒.๓ เรียงตามลำดับเรื่อง
๒.๔ แบบเสนอปัญหา และวิธีแก้
๒.๕ แบบแสดงเหตุ และผล
๒.๖ แบบเสนอเป็นข้อเท็จจริง
แบบต่างๆ ทั้ง ๖ แบบที่กล่าวนี้ อาจเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งหรือหลายแบบผสมกันไปก็ได้
บันไดขั้นที่สาม : การหาข้อความอื่น ๆ มาประกอบหรือขยายความออกไป
มีหลักในการปฏิบัติดังนี้
๑. หารูปแบบของการขยายความ โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
๑.๑ โดยการยกอุทาหรณ์หรือตัวอย่าง
๑.๒ โดยการใช้สติ
๑.๓ โดยการเปรียบเทียบหรืออุปมา
๑.๔ โดยการอ้างอิงคำพูดหรือคำกล่าวของบุคคลอื่นที่มีน้ำหนักในเรื่องนั้นๆ
๑.๕ โดยการกล่าวซ้ำหรือย้ำโดยเปลี่ยนวิธีการพูดใหม่
๑.๖ โดยการอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่างแจ้ง
๑.๗ โดยการใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยา
๒. การใช้ทัศนูปกรณ์กระกอบ ต้องใช้เหมาะสม ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ หรือเบี่ยงเบนความสนใจ ของผู้ฟังออกไป จากเรื่องที่พูดนั้น
๓. ข้อความที่จะนำมาขยายหรือประกอบนั้น จะต้องเสริมสร้างความสนใจของผู้ฟังให้ตั้งใจฟังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเรื่องหรือ ข้อความที่ยกมาจะต้องมีลักษณะดังนี้
๓.๑ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หรือความเป็นอยู่ของผู้ฟังมากที่สุด
๓.๒ ทำให้ผู้ฟังเห็นภาพหรือเข้าใจชัดเจนจริง ๆ
๓.๓ เป็นเรื่องที่สำคัญหรือโดดเด่น
๓.๔ ไม่ทำให้ผู้ฟังเปลี่ยนความสนใจ หรือเปลี่ยนอารมณ์ของผู้ฟังไปในทางที่ไม่ต้องการ
๓.๕ ถ้าเป็นเรื่องขำขัน ต้องสุภาพ ไม่ก้าวร้าวผู้ฟัง และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องไม่ใช่ออกนอกเรื่อง
บันไดขั้นที่สี่ : การเตรียมอารัมภบทหรือบทนำ
มีหลักในการปฏิบัติดังนี้
๑. การใช้ คำนำ เพื่อเรียกร้องให้เกิดความสนใจมีความสำคัญมากที่สุด การเรียกร้องให้เกิดความสนใจ อาจกระทำได้ โดยวิธีการต่างๆ ดังเช่น
๑.๑ เน้นถึงความสำคัญของเรื่องที่จะพูด
๑.๒ ใช้เรื่องหรือคำพูดที่คำขัน แต่อย่าใช้มากจนทำให้ผู้พูดเป็นตัวตลกจนเกินไป
๑.๓ ยกอุทาหรณ์ที่ตรงกับเรื่องหรือไม่ออกนอกเรื่อง
๑.๔ เริ่มด้วยการยกข้อความหรือคำพูดที่ก่อให้เกิดความตื่นใจ ซึ้งใจ หรือไพเราะ
๑.๕ กล่าวถึงความรู้สึก ความเชื่อถือ ผลประโยชน์ หรือความเป็นอยู่ร่วมกัน ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ไม่ใช่ศัตรูกัน
๑.๖ กล่าวนำด้วยการตั้งปัญหาที่เร้าใจ
๑.๗ ใช้คำพูดที่เร้าใจ หรือไพเราะน่าสนใจ
๑.๘ กล่าวสรรเสริญยกย่องผู้ฟัง
๒. การทำให้เรื่องกระจ่างขึ้น
๒.๑ กล่าวถึงจุดใหญ่ ๆ ที่จะพูด
๒.๒ กล่าวถึงหัวข้อเรื่องที่สำคัญ
๒.๓ พรรณนาถึงเบื้องหลังหรือประวัติของเรื่องนั้น ๆ
๓. ข้อที่ไม่ควรกระทำ
๓.๑ ออกตัวหรือขอโทษว่าเตรียมตัวมาไม่พอ หรือมีความรู้ไม่ดีพอ
๓.๒ พูดเยิ่นเย้อวกวนไปมา
๓.๓ พูดจาเป็นเชิงดุแคลนผู้ฟัง
๓.๔ พูดออกนอกเรื่อง
บันไดขั้นที่ห้า :
การเตรียมบทสรุป
ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ๆ ดังนี้
๑. ย้ำใหม่เพื่อให้ข้าใจชัดแจ้งอย่างย่อ ๆ
๑.๑ กล่าวถึงข้อใหญ่ใจความของเรื่องทั้งหมด
๑.๒ เรียงลำดับหัวข้อความคิดที่ได้กล่าวมาแล้ว
๑.๓ อธิบายทบทวน
๒. เร้าใจให้เกิดผลตามที่ต้องการ
๒.๑ ใช้เฉพาะการพูดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจูงใจผู้ฟังเท่านั้น
๒.๒ แสดงให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้ฟังทำอะไร
๒.๓ จะต้องชักจูงทั้งอารมณ์ และเชาวน์ปัญญาของผู้ฟัง
๓. ข้อที่ควรหลีกเลี่ยงในการสรุป
๓.๑ ขอโทษว่าเตรียมตัวมาไม่พอ หรือมีความรู้ไม่ดีพอ
๓.๒ สรุปสั้นเกินไป หรือเยิ่นเย้อเกินไป
๓.๓ เสนอความคิดใหม่ที่สำคัญขึ้นมา
๓.๔ พูดออกนอกเรื่อง
๓.๕ ทำให้ผู้ฟังขาดความสนใจ
บันไดขั้นที่หก : การซักซ้อมการพูด
มีความสำคัญมาก เพราะทำให้ผู้พูดจำเนื้อหาที่จะพูดได้ ไม่ประหม่า และมีท่าทางเป็นธรรมชาตอมากยิ่งขึ้น ในขั้นนี้ผู้พูดต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
๑. ซ้อมที่ไหน
๒. ซ้อมเมื่อไร
๓. ซ้อมอย่างไร แบ่งออกเป็น
๓.๑ กำหนดการพูด น้ำเสียง และท่าทาง
๓.๒ ปรับปรุงถ้อยคำให้สละสลวย
บันไดขั้นที่เจ็ด : การแสดงการพูด
แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน
ส่วนที่ ๑ หลักการทั่วไป
๑. หลักการทั่วไปสำหรับการแสดงการพูด มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
๑.๑ พูดให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ และเข้าใจชัดแจ้ง
๑.๒ พูดให้เข้ากับสถานการณ์ทั้งหมด
๑.๓ พูดจากใจจริง
๑.๔ สุภาพ ไม่อวดอ้าง
๑.๕ มีความเชื่อมั่น และก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผุ้ฟัง
๑.๖ ไม่ทำให้ผู้ฟังหลงเพลินแต่เฉพาะน้ำเสียงหรือท่าทางเท่านั้น
๑.๗ มีชีวิตชีวา
ส่วนที่ ๒ การใช้กิริยาท่าทางประกอบ
การใช้กิริยาท่าทางประกอบ มีความสำคัญเนื่องจาก
๑. ช่วยให้ปรับตัวเป็นปกติได้ดีขึ้น
๒. ช่วยกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ
๓. ช่วยให้แสดงความหมายได้ชัดเจนขึ้น
๔. ช่วยในการเน้นหนักต่างๆ
๔. หลักชัยแห่งการพูดของ เดล คาร์เนกี
๔.๑ จงทำให้เรื่องที่พูดชัดเจนจนแจ่มกระจ่าง
๔.๒ จงทำให้เรื่องที่พูดสนุกสนาน และไม่น่าเบื่อ
๔.๓ จงพูดโน้มน้าว และชักชวนจนทำให้เกิดการปฏิบัติ
๔.๔ จงทำให้การพูดประทับใจผู้ฟัง
ขั้นตอน และวิธีการปฏิบัติในการฝึกฝนการพูด
มีนักพูด และนักวิชาการหลายท่านได้เสนอแนะวิธีการฝึกฝนการพูดเอาไว้ คล้ายคลึงกันบ้างแตกต่างกันบ้าง ยกตัวอย่างให้ศึกษา และเปรียบเทียบกัน เพียง ๓ ท่าน คือ ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ดร.สวัสดิ์ บรรเทิงสุข และเพียรศักย์ ศรีทอง ซึ่งแต่ละท่านก็ได้เสนอแนะวิธีการ ในการฝึกฝนการพูดเอาไว้ แตกต่างกันไป แต่ก็ทำให้เราได้รับความรู้ในการพัฒนาตนเองอย่างกว้างขวาง ท่านแรกที่จะกล่าวถึงคือ ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ได้กล่าวถึงวิธีการฝึกฝน การพูดว่า สารถกระทำได้ ๓ วิธี คือ
๑. การฝึกพูดด้วยวิธีธรรมชาติ
๒. การฝึกพูดจากตำรา
๓. การฝึกพูดโดยผู้แนะนำ
ซึ่งแต่ละวิธีพอสรุปได้ดังนี้
วิธีแรก การฝึกพูดด้วยวิธีธรรมชาติ หมายถึง การฝึกฝนด้วยตนเอง ผู้พูดต้องชอบพูดชอบแสดงออก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ให้มี ชั่วโมงบิน มาก ๆ ก็อาจกลายเป็นนักพูดที่ดีได้ ยิ่งถ้ามีปฏิญาณไหวพริบดีด้วยก็อาจจะจับหนทางได้เร็ว และประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก แต่วิธีนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร
วิธีที่สอง การฝึกพูดจากตำรา โดยอาศัยตำราซึ่งมีผู้เขียนไว้มากมายทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ผู้พูดสามารถเลือกอ่าน ศึกษาได้ตามใจชอบ ที่สำคัญผู้ที่ศึกษาจากตำรานั้นต้องหาโอกาสฝึกปฏิบัติจริง ๆ โดยอาจฝึกจากงานสังคมต่าง ๆ หรือฝึกในงานอาชีพของตนเองก็ได้ โดยถ้านำความรู้ และ เทคนิคใหม่ ๆ จากตำรามาใช้ประกอบด้วยก็จะทำให้เก่งเร็วขึ้น
วิธีสุดท้าย การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนำ หมายถึง การมีพี่เลี้ยงดี ๆ คอยให้คำแนะนำ อาจจะเป็นการแนะนำซักซ้อมให้เป็นการส่วนตัว เป็นครั้งคราว หรือจัดกลุ่มฝึกพูดขึ้น โดยมีการฝึกฝนกันเป็นประจำก็ได้
ท่านต่อไป คือ ดร.สวัสดิ์ บรรเทิงสุข ได้กล่าวถึงวิธีการฝึกฝนการพูดไว้อย่างละเอียดว่าสมารถกระทำได้ ๒ วิธีคือ
๑. การฝึกพูดแบบไม่เป็นทางการ
๒. การฝึกพูดแบบเป็นทางการ
ซึ่งแต่ละวิธีผู้เรียบเรียงใคร่ของนำเสนอไว้พอสังเขป ดังนี้
วิธีแรก การฝึกพูดแบบไม่เป็นทางการ
การฝึกพูดแบบไม่เป็นทางการ หมายถึง การฝึกพูดที่มิได้จัดเป็นรูปแบบที่แน่นอน ซึ่งได้แก่ การฝึกพูดด้วยตนเอง การฝึกพุดเช่นนี้ ผู้พูดต้องอาศัย ความอดทนอย่างยอดเยี่ยมประกอบกับความตั้งใจจริงเป็นพลังอันสำคัญ ข้อแนะนำสำหรับการฝึกพูด แบบไม่เป็นทางการ หรือการฝึกพูดด้วยตนเองนั้น มีลำดับขั้นในการปฏิบัติดังนี้
๑. จงเป็นนักอ่านที่ดี โดยการอ่านตำรา และข้อแนะนำการพูดให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้
๒. จงเป็นนักฟังที่ดี โดยการติดตามฟังการพูดในทุกโอกาสให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ ทั้งการพูดของนักพูดที่มีชื่อเสียง และนักพูดทั่ว ๆ ไปแล้วพยายามวิเคราะห์ว่าสิ่งใดที่ผู้พูดทำได้เหมาะสมหรือสิ่งใดไม่ควรทำ
๓. จงใช้เครื่องบันทึกเสียงให้เป็นประโยชน์ โดยการบันทึกการพูดที่ดีเอาไว้ แล้วเปิดฟังให้บ่อยที่สุดจนจำได้ขึ้นใจว่าตอนใดเป็นตอนที่ดีที่สุด ตอนใดเด่น ตอนใดด้อย เพราะเหตุใด
๔. จงบันทึกเสียงพูดของท่าน โดยการบันทึกทั้งการพูดในที่ชุมนุมชน และการพูดคนเดียว แล้วเปิดฟังบ่อย ๆ ให้ขึ้นใจว่าตอนใดว่าด้อย ตอนใดเด่น เพราะเหตุใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเดียวกัน จงบันทึก และฟังเสียงของท่านเองหลาย ๆ ครั้ง เพื่อที่จะได้พยายามแก้ไขข้อบกพร่องให้ได้
๕. จงพยายามหาโอกาสฝึกพูดต่อหน้ากระจกเงา โดยการพูดแลฝึกฝนการใช้ท่าทางประกอบโดยไม่กระดากอายหรือเคอะเขิน เพราะวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดวิธีหนึ่ง
๖. จงเริ่มฝึกหัดด้วยความมุ่งมั่นจากง่ายไปหายามเป็นลำดับ ดังนี้
๖.๑ การพูดให้คำจำกัดความสิ่งที่เป็นรูปธรรม
๖.๒ การพูดอธิบายคำพังเพยหรือภาษิต
๖.๓ การพูดเพื่อให้คำจำกัดความสิ่งที่เป็นนามธรรม
๖.๔ การพูดเพื่อให้เหตุผลสนับสนุน
๖.๕ การพูดเพื่อให้เหตุผลคัดค้าน
๖.๖ การพูดในเชิงอภิปรายหรือวิจารณ์
๗. จงฝึกเขียนประกอบการฝึกพูด โดยการร่างประกอบให้ครอบคลุมสิ่งที่พูดไว้ทั้งหมดแล้วอ่านซ้ำหลาย ๆ เที่ยว หลังจากนั้นจงฝึกพูดจากบันทึก จนกระทั่งพูดโดยไม่มีบันทึกหรือใช้บันทึกแต่น้อย
๘. จงอย่าละเลยเมื่อมีโอกาสที่จะได้พูดจริง ๆ ต่อหน้าผู้ฟัง โดยการเตรียมตัวให้มากจนเกิดความมั่นใจ บางตอนที่สำคัญท่านจะต้องท่องจำให้ได้ โดยเฉพาะการขึ้นต้น และการจบจะต้องท่องจำเอาไว้ให้ได้
๙. จงเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ลอกเลียนแบบอย่างใด ๆ ไปทั้งหมด จงนึกอยู่เสมอว่าท่านมิได้กำลังพูดแทนใคร แลไม่มีใครพูดแทนท่านได้ ท่านล้มเหลวในแบบของท่านเองดีกว่าท่านชนะในแบบของผู้อื่น
วิธีที่สอง การฝึกพูดแบบเป็นทางการ
การฝึกพูดแบบเป็นทางการ หมายถึง การฝึกพูดที่มีรูปแบบที่แน่นอน มีบทฝึก มีขั้นตอนโดยเฉพาะ ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง การฝึกพูดแบบ เป็นทางการที่ปฏิบัติกันอยู่ในสโมสรฝึกพูดต่างๆ โดยสรุปเป็นหัวข้อได้ดังต่อไปนี้
๑. โครงสร้างของสโมสรฝึกพูด
๒. ขั้นตอนการฝึกพูด
๓. การดเนินรายการฝึกพูด
๑. โครงสร้างของสโมสรฝึกพูด
โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างของสโมสรฝึกพูด จะจัดเป็นรูปคณะกรรมการเช่นเดียวกันกับสโมสรทั่ว ๆ ไป คือ มีนายกสโมสร อุปนายก เลขานุการ เหรัญญิก ปฏิคม และประชาสัมพันธ์ ซึ่งในแต่ละสโมสรอาจมีหน้าที่ต่างๆ แตกต่างกัน ไปได้
๒. ขั้นตอนการฝึกพูด
ขั้นตอนการฝึกพูดของสโมสรฝึกพูดนั้น มักจะดำเนินการเป็น ๔ ขั้นตอน คือ
๒.๑ การฝึกพูดแบบฉับพลัน ได้แก่ การเชิญให้สมาชิกพูดในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งโดยที่ผู้พูดไม่มีโอกาสเตรียมตัวมาล่วงหน้าจะใช้เวลาการพูดเพียง ๒-๓ นาที
๒.๒ การฝึกพูดแบบเตรียมตัว ได้แก่ การฝึกพูดในบทเรียนหรือเนื้อหา และบทฝึกพูดตามมุ่งหมายของบทเรียนหรือบทฝึกที่มีความมุ่งหมายเฉพาะ อย่างกำหนดไว้ จะมีเวลาในการพูด ๕-๗ นาที และผู้พูดมีโอกาสเลือกเรื่องที่จะพูดได้ตามต้องการ
๒.๓ การวิจารณ์การพูด ได้แก่ ขั้นตอนที่ผู้พูดหรือสมาชิกฝึกพูด ได้รับการประเมินผล และคำแนะนำในการแก้ข้อบกพร่อง ของแต่ละคนสำหรับเป็นข้อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นสำหรับการพูดครั้งต่อไป
๓. การดำเนินรายการฝึกพูด
การดำเนินรายการฝึกพูดของสโมสรแต่ละแห่ง อาจมีข้อแตกต่างกันไปบ้าง ตามความเหมาะสม แต่โดยมาก มักมีการกำหนด นัดหมาย ให้มีรายการฝึกพูด สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ครั้งละ ประมาณ ๒ - ๓ ชั่วโมง โดยมีรายการเป็นลำดับ
ส่วนท่านสุดท้ายที่จะกล่าวถึง คือ เพียรศักย์ ศรีทอง ซึ่งได้กล่าวถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติในการฝึกฝนการพูดไว้อย่างละเอียด และน่าสนใจมาก โดยพอจะเรียบเรียงเป็นขั้นตอน ได้ดังนี้
๑. การฝึกฝนให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ควรต้องฝึกดังเรื่องในต่อไปนี้
๑.๑ ฝึกนิสัยรักการอ่าน
๑.๒ ฝึกนิสัยรักการฟัง
๑.๓ ฝึกนิสัยในการคิดสร้างสรรค์
๑.๔ ฝึกจดจำเรื่องราวต่าง ๆ
ซิเซโร (Cicero) นักพูดผู้โด่งดังชาวโรมัน เมื่อ ๑๐๖ - ๖๓ ปีก่อนคริสตกาล ได้กล่าวเกี่ยวกับ ความจำของมนุษย์ไว้ว่า ความจำคือคลัง และยามเฝ้าสรรพสิ่ง หมายถึง ความจำเป็นแหล่งสะสมความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์
ในเรื่องของการฝึกความจำนั้น แฮร์รี่ โลเรน กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
เทคนิคการช่วยความจำมีบทบาทสำคัญ และเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย คำว่า "นีมอนิค" (Mmemornic) แปลว่า เทคนิคการช่วยความจำนั้น มาจากคำว่า "นีมอซีน" (Mnemosyne) ซึ่งเป็นชื่อเทพธิดาองค์หนึ่งของชาวกรีกโบราณ ได้ชื่อว่าเป็นเทพธิดาแห่งความจำ นั่นก็แสดงว่า เทคนิคการช่วยจำมีมานานแล้ว ตั้งแต่อารยธรรมกรีกยุคต้น ๆ เป็นเรื่องที่แปลกคือ ระบบการจดจำที่สามารถฝึกฝนได้ ยังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ และนำมาใช้กัน คนที่รู้จักนำมาใช้ ไม่เพียงแต่จะแปลกใจ ที่ตนมีความสามารถในการจดจำดี แต่ยังแปลกซ้ำไปอีกที่ได้รับแต่คำชมเชย ยกย่องจากเพื่อนฝูง และสมาชิกของครอบครัว บางคนเห็นว่าเทคนิคการจำเหล่านี้มีค่าเกินกว่า จะไปถ่ายทอดให้คนอื่น
๒. ฝึกกล่าวคำพูดให้ถูกต้องตามสำเนียงภาษาพูด
การฝึกพูดของนักพูดทั้งหลาย สิ่งแรกที่ควรให้ความสนใจ ก็คือ ฝึกการออกเสียงภาษาที่พูดให้ถูกต้องชัดเจน โดยเฉพาะ การออกเสียงพยัญชนะให้ถูกต้องชัดเจน กรณีที่ไม่ออกเสียงเหมือนอักษรที่เขียนมีอยู่ ๒ ชนิด ที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง รำคาญหู คือ
๑. ตัว "ร" กลายเป็น "ล" การกระทำเช่นนี้บางครั้งอาจทำให้สื่อความหมายผิดไปได้
๒. ตัวกล้ำ เช่น พูดว่า "ปับปุง" แทนที่จะออกเสียงกล้ำว่า "ปรับปรุง"
ถ้อยคำที่คนส่วนใหญ่ออกเสียงผิด พอจะยกตัวอย่างได้ไม่ยาก อาทิเช่น
๒.๑ ถ้อยคำที่เขียนด้วย "ร" และ "ล"
๒.๒ ถ้อยคำที่ออกเสียงเป็นเสียงควบคล้ำ เช่น กว้างขวาง ไขว้เขว พลัดพราก คลี่คลาย เพลิดเพลิน แพร่พราย ตรวจตรา ตรึงตรา ฯลฯ
๒.๓ ถ้อยคำที่เป็นคำศัพท์ต่าง ๆ ในภาษาไทยเรามีการสร้างคำใหม่ขึ้นมา โดยวิธีการสร้างคำสมาส คำสนธิ คำประสม คำซ้อน ฯลฯ คำศัพท์จำนวนไม่น้อยที่ออกเสียงไม่เป็นไปตามรูปศัพท์ โดยเฉพาะคำศัพท์ ที่เป็นคำ สมาส หรือคำประสม เช่น
ประสบการณ์ ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "ประ - สบ - กาน"
กาลสมัย ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "กาน - ละ - สะ - หมัย"
ปรัชญา ออกเสียงที่ถูกต้องว่า "ปรัด - ยา"
๓. การฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง นักพูดที่ดีต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง การฝึกความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น แก่ตนเองจนเกิดเป็นนิสัย ผู้ฝึกจะต้องมีความตั้งใจ อดทน ฝึกฝนตนเองในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๓.๑ ฝึกสร้างพลังจิตให้มีปมเด่น
๓.๒ ฝึกตนให้เป็นคนกล้าพูด
๓.๓ ฝึกการใช้สายตา และกิริยาท่าทางเวลาพูด
๔. ฝึกตนให้เป็นคนมีความอดทนอดกลั้นต่อ อิฏฐารมณ์ และอริฏฐารมณ์ จะต้องฝึกตนเกี่ยวกับการอดทน ต่ออากัปกิริยาต่าง ๆ ของผู้ฟัง เพราะการพูดทุกครั้ง ย่อมได้รับปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้ฟัง ทั้งทางบวก และทางลบ การหักห้ามอารมณ์ และรู้จักข่มใจตนเอง จึงเป็นสิ่งที่นักพูดต้องฝึกฝนให้ได้ โดยอาศัยหลักในการฝึกฝนดังนี้
๔.๑ ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ
๔.๒ ฝึกวางเฉยให้ได้ (อุเบกขา)
๔.๓ ฝึกการไม่ตอบโต้ผู้ฟัง
๔.๔ ฝึกไม่วางโตเหนือผู้ฟัง
๔.๕ ฝึกสร้างพลังใหม่ ๆ
๕. ฝึกการพัฒนาบุคลิกในการพูด
ดร.ประดินันท์ อุปรมัย ได้แบ่งกลุ่มนักจิตวิทยาที่อธิบายพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลออกเป็นกลุ่ม ๔ กลุ่ม ตามวิธีการศึกษาทัศนะ คือ
๑. นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ ซึ่งใช้วิธีการศึกษาบุคลิกภาพของบุคคล ด้วยการวิเคราะห์จิตของคนไข้โรคจิตเป็นส่วนใหญ่
๒. นักจิตวิทยากลุ่มเน้นลักษณะของบุคคล ซึ่งใช้วิธีศึกษาบุคลิกภาพของบุคคลปกติทั่วไป โดยเน้นศึกษาลักษณะของบุคคลเป็นสำคัญ
๓. นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ซึ่งใช้วิธีศึกษาพฤติกรรมของบุคคล โดยนำเอาความรู้พื้นฐาน ที่ได้จากการทดลองกับสัตว์ มาประยุกต์ กับการศึกษาพฤติกรรมของบุคคล
๔. นักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม ซึ่งมีความเชื่ออย่างลึกซึ้ง ในเรื่อง แนวโน้มในการพัฒนาศักยภาพแห่งตน และมีพื้นฐานความเชื่อในปรัชญาอัตภาวนิยม
จากแนวคิดที่นักจิตวิทยาได้ให้ทัศนะในการพัฒนาบุคลิกภาพไว้นี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาบุคลิกภาพ จะต้องมีการพัฒนาหลาย ๆ ด้าน และหลาย ๆ วิธี ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาประสบความสำเร็จ การพัฒนาบุคลิกภาพ เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องใช้เวลาในการพัฒนา
การวิเคราะห์ผู้ฟัง
การพูดให้ประสบความสำเร็จ และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังได้นั้น ผู้พูดต้องทำหารวิเคราะห์เสียก่อน เนื่องจากผู้ฟังนั้น ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญมากประการหนึ่ง ที่จะทำให้การพูดบรรลุผล สมตามจุดมุ่งหมายที่ ผู้พูดวางไว้ ผู้พูดที่ดีจึงต้องให้ความสนใจ และปรับการพูดให้เข้ากับผู้ฟัง ที่ประกอบด้วย บุคคลต่างเพศ ต่างวัย ต่างประสบการณ์ ซึ่งก็ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด ความสนใจ รสนิยม หรือทัศนคติที่แตกต่างออกไป ซึ่งวิธีที่ดีที่สุด ที่ผู้พูดพึงกระทำก็คือ พยายามวิเคราะห์ผู้ฟังให้ดีว่า อยู่ในลักษณะใดบ้าง แล้วมีความชอบอย่างไร สนใจอย่างไร ฯลฯ เพื่อทำความรู้จัก และทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ฟังไว้ล่วงหน้า เพื่อจะได้พูดได้ถูกต้อง และ สามารถวางรากฐาน ในการเตรียมการพูด การใช้ถ้อยคำ วิธีอธิบาย การยกตัวอย่าง ตลอดจน การเสนอความคิดเห็น ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้ฟังให้ได้มาก และดีที่สุด นักปราชญ์ทางวาทศาสตร์ในยุคโบราณ เช่น อริสโตเติล ก็ใช้การวิเคราะห์ผู้ฟังเป็นหลัก ในการสร้างความสำเร็จ
การวิเคราะห์ผู้ฟังให้ได้ครบถ้วน ทุกแง่ทุกมุมอย่างสมบูรณ์นั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง แต่อย่างไรก็ตามผู้พูดก็ควร พยายามทำให้ได้มากที่สุด เพราะเหตุว่า การพูดโดยปราศจากการวิเคราะห์ผู้ฟังเสียก่อนนั้น เปรียบเสมือน นายแพทย์ที่จ่ายยาแก่คนไข้ไม่ได้วินิจฉัยโรค นายแพทย์ผู้นั้นก็ย่อมจะ ไม่ประสบความสำเร็จ ในการการศึกษา หรือวิเคราะห์ผู้ฟังต้องทำรวมๆ กันไปเป็นกลุ่มว่าส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นอย่างไร
ในการวิเคราะห์ผู้ฟังนั้น สิ่งที่ผู้พูดควรพิจารณามีดังนี้
๑. ลักษณะทางกายภาพ (Physical Characteristics) คือ ลักษณะของผู้ฟังในแง่ของ
๑.๑ วัยของผู้ฟัง
ผู้ฟังต่างวัยกันย่อมมีความสนใจ ความเข้าใจ ความรู้พื้นฐาน ฯลฯ ต่างกันดังนั้นผู้พูดที่ดีจึงต้องรู้จักปรับการพูดของตนให้เข้ากับวัยของผู้ฟัง ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น ๔ ช่วง คือ
๑.๑.๑ วัยเด็ก ธรรมชาติของผู้ฟังวัยเด็กคือ
- ความสนใจ และความตั้งใจ วัยเด็กเป็นที่มีแต่ความซุกซน อยู่นิ่งเฉยนานๆ ไม่ได้ กล่าวได้ว่าความตั้งใจของเด็กในการฟังจะมีอยู่ได้นานไม่เกิน ๑๕ นาที เด็กมีความสนใจเรื่องสนุกสนานตื่นเต้น เรื่องขำขันง่ายๆ
- ประสบการณ์ วัยเด็กเป็นวัยที่มีประสบการณ์คับแคบ ความรู้น้อย วงของความสนใจจะอยู่ใกล้ตัว
การพูดกับผู้ฟังในวัยเด็ก ควรปฏิบัติดังนี้
- ใช้คำพูดง่ายๆ เรื่อง และตัวอย่างไม่ลึกซึ้ง เด็กเห็นได้ง่าย
- เรื่องที่พูด จะต้องสนุกสนานน่าติดตาม
- เรื่องที่พูดจะต้องมีเรื่องตลก แทรกอยู่เป็นระยะพอเหมาะ
- พยายามเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นของเด็กไปเรื่อยๆ
๑.๑.๒ วัยรุ่น ธรรมชาติของผู้ฟังวัยรุ่น คือ
- ความสนใจ และความตั้งใจ เด็กวัยรุ่นจะมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องที่ท้าทายต่างๆ ต้องการลองดีกับสิ่งใหม่ๆ บูชาวีรบุรุษ สำหรับเรื่องช่วงเวลาของความตั้งใจนั้นขึ้นอยู่กับความสนใจ
- ประสบการณ์ เด็กวัยรุ่นมีประสบการณ์กว้างขวางกว่าวัยเด็ก
การพูดกับผู้ฟังในวัยรุ่น ควรปฏิบัติดังนี้
- คำนึงถึงจิตวิทยาวัยรุ่นให้มาก
- พยายามทำให้ผู้ฟังเลื่อมใสแต่ระวังอย่าพูดแบบข่ม
- ต้องมีการแทรกเรื่องสนุกสนานเป็นระยะๆ แต่จะแทรกตลกพื้นๆ ไม่ได้
๑.๑.๓ วัยผู้ใหญ่ ธรรมชาติของผู้ใหญ่ คือ
- ความสนใจ และความตั้งใจ ผู้ใหญ่เป็นวัยที่มีเหตุผล มีความสนใจในเรื่องที่เป็นสาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรง ในแง่ของความตั้งใจผู้ใหญ่มีมารยาท และความสามารถในการระงับความรู้สึดได้ดี ดังนั้นถึงแม้เขาไม่สนใจฟัง แต่เขาก็อาจทำท่าเหมือนสนใจฟัง
- ประสบการณ์ ผู้ใหญ่เป็นวัยที่มีประสบการณ์มองโลกอย่างกว้างขวาง และมีเหตุผล นิยมผู้ที่มีความรับผิดชอบ
การพูดกับผู้ฟังในวัยผู้ใหญ่ ควรปฏิบัติดังนี้
- ต้องตระเตรียมเรื่องที่พูดให้รอบคอบมีเหตุผล
- ใช้คำพูดที่มีอิทธิพลที่จะชักจูงความคิดของผู้ฟังได้
- ไม่ควรพูดเรื่องตลกไร้สาระ แต่อาจมีเรื่องเยาสมองแทรกได้
- ไม่ควรพูดเยิ่นเย้อ
๑.๑.๔ วัยชรา
วัยชรา เป็นวัยที่ยึดถือสิ่งที่เป็นที่พึ่งทางใจ เช่น ศาสนา ฯลฯ ผ่านประสบการณ์มามากมาย ชอบครุ่นคิดถึงอดีต มีความรู้สึกเหมือน คนถูก ทอดทิ้ง ใจน้อย การพูดกับผู้ฟังวัยชรามีวิธีการคล้ายๆ กับการพูดแบบผู้ใหญ่ แต่ต้องใช้ถ้อยคำที่แสดงว่าผู้พูดนับถือวัยวุฒิของผู้ฟังมากกว่า ควรพูดในทำนองปรึกษาหารือ ปรับทุกข์ ข้อสำคัญ คือ คนชรามักภูมิใจในความสำเร็จเมื่อครั้งอดีตของตน หากได้นำมาเอ่ยถึงแล้วจะพอใจมาก
๑.๒ เพศของผู้ฟัง
เพศหญิง และเพศชายมีความแตกต่างกันในเรื่องความคิด ทัศนคติ แต่ละเพศก็มีความรอบรู้ ความสนใจ ตลอดจนรสนิยมไปคนละแบบ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะ สังคม และวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดบทบาทของแต่ละเพศ ให้มีความแตกต่างกัน เพสหญิงมักจะสนใจในเรื่องความสวยงาม การบ้านการเรือน มองเห็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนได้มากกว่าเพศชาย มีจิตใจอ่อนไหว เจ้าอารมณ์ และอาจถูกชักจูงให้เปลี่ยนแปลงทัศนคติได้ง่ายกว่าเพศชาย เรื่องที่เพศหญิงสนใจ ได้แก่
- ความสวยงาม
- เสื้อผ้า
- การแต่งกาย
- การเลือกคู่
ส่วนเพศชายจะเป็นเพสที่มีความสนใจในเรื่องหนักๆ เช่น เรื่องของเครื่องยนต์กลไก การเมือง การกีฬา ฯลฯ มักจะใช้เหตุผลมากกว่าผู้หญิง การโน้มน้าวจิตใจมักจะทำได้ยาก ไม่อ้อมค้อม ไม่เพ้อฝัน
จากที่กล่าวมาข้างตนอาจเห็นได้ว่าทั่วไปเพศหญิง และเพศชายจะมีความถนัด และความรับผิดชอบที่แตกกต่างกัน ถ้าผู้พูดมีโอกาสได้รู้ล่วงหน้าว่า ผู้ฟังเป็นเพศใด หรือส่วยใหญ่เป็นเพศใด ก็จะเป็นการช่วยในการเตรียมเนื้อหา และรายละเอียดต่างๆ ที่จะนำเสนนอให้ดียิ่งขึ้น
๑.๓ จำนวนผู้ฟัง
การทราบจำนวนผู้ฟังล่วงหน้า จะทำให้ผู้พูดสามารถเตรียมเนื้อหาสาระสาระที่จะพูดได้เหมาะสมยิ่งขึ้น และสามารถกำหนดแนวทาง ในการพูดว่า สมควรที่จะพูดอย่างไร ในทิศทางใด
สิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาอีกประการหนึ่ง คือ การจัดขนาดห้องให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ฟัง โดยทั่วไป การพูดกับผู้ฟังจำนวนน้อย ที่นั่งกระจายกันอยู่ใน ห้องขนาดใหญ่ ย่อมจะน้อยกว่าการพูดกับผู้ฟังจำนวนมากที่นั่งกันอยู่ในห้องขนาดเล็ก เพราะตามหลักจิตวิทยา ผู้พูดจะเกิดความรู้สึก กระตือรือร้น เมื่อผู้ฟัง นั่งกันอยู่เต็มห้อง
๒. ลักษณะทางจิตวิทยา (Phychological Characteristics) ได้แก่ คุณสมบัติของคนฟัง ดังต่อไปนี้ เช่น
๒.๑ ระดับการศึกษา การศึกษาคือเครื่องชี้ความสามารถของบุคคลขั้นมูลฐานผู้ฟังที่มีระดับการศึกษาที่แตกต่างกันก็จะมีความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ ประสบการณ์ และความต้องการที่แตกต่างกันไปด้วย ผู้ฟังที่มีระดับการศึกษาสูงอาจเข้าใจคุณค่าทางวุฒิปัญญา และทางศีลธรรมได้ง่าย แต่อาจตอบสนองได้ช้า ในเรื่องที่เกี่ยวข้องข้อเสนอทางอารมณ์ ส่วนผู้ฟังที่มีระดับการศึกษาต่ำจะเข้าใจเรื่องราวในชีวิตประจำวันได้ง่ายกว่าเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ดังนั้นผู้พูดต้อง พิจารณาถึงพื้นฐานการศึกษา ของผุ้ฟังด้วยว่าอยู่ในระดับใดจะได้เลือกเรื่องที่จะพูดได้ถูก
๒.๒ พื้นฐานวิชาชีพ และความจัดเจน ลักษณะอาชีพของแต่ละคนก็มักจะมีผลต่อความสนใจ และแนวความคิดของเขาเสมอ
๒.๓ พื้นฐานทางวัฒนธรรม ผู้ฟังที่มีการกล่อมเกลาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ก็ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ ประสบการณ์ และความต้องการ แตกต่างกันออกไปด้วย
๒.๔ สถานภาพการสมรส ผู้ที่สมรสแล้วกับผู้ฟังที่ยังโสดก็มีความสนใจที่แตกต่างกัน
ประเภทของผู้ฟัง
ในการพูดนั้นผู้พูดจะพบกับผู้ฟัง ๕ ประเภท คือ
๑. ผู้ฟังที่เป็นมิตร ผู้ฟังประเภทนี้เป็นผู้ฟังที่เห็นด้วยกับสาระแนวความคิดของผู้พูดจึงไม่เป็นการยากที่จะทำให้ผุ้ฟังเชื่อถือ และยอมรับ
๒. ผู้ฟังที่ไม่สนใจ ถ้าผู้ฟังไม่สนใจฟัง ผู้พูดต้องเร้าผู้ฟังให้เกิดความสนใจฟังในเรื่องที่เขาพูด โดยสร้างคำพูดให้เกิดพลัง และมีชีวิตชีวา
๓. ผู้ฟังที่ไม่มีความคิดริเริ่ม ผู้ฟังประเภทนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้พูดพูดเลยแต่ก็ตั้งใจฟังด้วยดี ผู้พูดต้องเสนอผู้ฟังโดยการเสนอข้อมูล ข่าวสาร ในรูปแบบที่น่าสนใจ
๔. ผู้ฟังที่เป็นกลาง ผู้ฟังประเภทนี้จะมีใจที่เปิดรับข่าวสาร ผู้พูดจึงควรอธิบายแนวคิดแลชักจูงใจให้ผู้ฟังยอมรับ
๕. ผู้ฟังที่เป็นศัตรู ผู้ฟังแบบนี้คัดค้านความเชื่อ และข้อสรุปของผู้พูด เพราะฉะนั้นผู้พูดต้องมีข้อมูล และข้อเท็จจริงที่ค้านไม่ได้
วิธีการหาข้อเท็จจริงในการวิเคระห์กลุ่มผู้ฟัง
จากหลักวิเคราะห์กลุ่มผู้ฟัง เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์กลุ่มผู้ฟัง ผู้พูดอาจทำตารางไว้กรอกข้อเท็จจริง สำหรับนำมาพิจารณา ในการเตรียมพูดดังนี้
หัวข้อการพูด.....................................................................................................................................
กำหนดการพูด วัน เดือน ปี ................./.............../................เวลา ...................................................
ผู้พูด ....................................................................ผู้จัด .....................................................................
กลุ่มผู้ฟัง
ข้อพิจารณา
รายละเอียด
๑. จำนวน
๒. เพศ
๓. วัย
๔. กลุ่มสังคม
๕. กลุ่มอาชีพ
๖. พื้นฐานความรู้โดยทั่วไป
๗. พื้นฐานความรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่พูด
๘. ความสนใจ
๙. ความมุ่งหวัง
๑๐. ทัศนคติลักษณะของโอกาสการพูด
การพูดให้ประสบความสำเร็จนั้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้พูดต้องพิจารณา คือ ผู้พูดต้องพูดให้เหมาะสมกับโอกาส ในการวิเคราะห์เรื่องโอกาสมีข้อควรสนใจดังต่อไปนี้
๑. วัตถุประสงค์ในการมารวมกันของผู้ฟัง
๒. เวลา
๓. สถานที่
๔. โอกาส
การทักทายผู้ฟัง
ในการพูดที่ประชุมทุกครั้ง ผู้พูดต้องมีการทักทายผู้ฟังก่อน เนื่องจาก
- เป็นมารยาทที่ดีงาม
- เป็นการให้เกียรติผู้ฟัง
- เป็นการสร้างความค้นเคย
- เป็นการบรรเทาอาการประหม่า
ในการทักทายผู้ฟัง โดยทั่วไปผู้พูดไม่ควรกล่าวคำทักทายบุคคลเกิน ๓ ชื่อ หรือ ๓ กลุ่มบุคคล เพราะถ้ามากกกว่านั้นจะเป็นการเสียเวลา ซึ่งการทักทายผู้ฟังมี ๒ แบบ ให้ผู้พูดเลือกปฏิบัติให้เหมาะสม
๑. แบบเป็นทางการ จะใช้ในงานที่เป็นพิธีการต่างๆ โดยที่ผู้พูดจะไม่ใส่ความรู้สึกระหว่างตนเองกับผู้ฟัง
๒. แบบไม่เป็นทางการ จะใช้ในงานที่ไม่เป็นพิธีการหรืองานทั่วๆ ไป ซึ่งผู้พูดสามารถใส่ความรู้สึกระหว่างตนเองกับผู้ฟังลงไปในคำพูดได้
การใช้ถ้อยคำในระหว่างการพูด
ผู้พูดที่ดีจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านแล้วหันมาเลือกใช้ถ้อยคำที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกยินดี และพึงพอใจ และควรมีลักษณะ ๕ ประการ ดังต่อไปนี้
๑. ถ้อยคำที่นุ่มนวล ชวนฟัง
๒. ถ้อยคำที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
๓. ถ้อยคำที่กระชับ
๔. ถ้อยคำที่ปกป้องผู้พูดจากความเข้าใจผิดของผู้ฟัง
๕. ถ้อยคำที่ผู้ฟังรับทราบ และเข้าใจได้
ส่วนในทางตรงกันข้ามถ้อยคำ และวลีที่ผู้พูดพึงหลีกเลี่ยงในการใช้ และเป็นเรื่องที่ผู้พูดต้องควบคุมตนเองให้ได้ ถ้อยคำดังกล่าวจะมีลักษณะดังนี้
๑. คำส่วนเกิน คือ คำที่เติมเข้ามาโดยไม่มีความหมายเฉพาะ และไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่พูดคุยกันอยู่ เป็นต้นว่า
"แบบว่า"
"จริงไหม"
๒. คำชินปากไร้สาระ คำพูดชินปากที่ไม่มีนัยสำคัญในการสื่อความหมายที่ควรจะจำกัดทิ้งไป มีหลายคำ เช่น
"เป็นอะไรที่"
"ผมเดาว่า"
"แล้วอะไรต่อมิอะไร"
๓. คำปาดใจระคายหู ในทันทีที่คำประเภทนี้หลุดออกจากปาก สะพานการสื่อสารระหว่างผู้พูดกันผู้ฟังก็จะขาดสะบั้นลงทันที ดังเช่น
"คุณไม่มีทางเข้าใจ"
"แน่นอนที่สุด ผมไม่เคยพลาดอยู่แล้ว"
"คุณต้องทำวิธีของผม"
๔. โยนกลองทุกคำ วิสัยมนุษย์จะอิ่มเอิบรับผิดชอบ อย่างหน้าชื่นตาบาน แต่เมื่อโดนตำหนิ จะ "ปัด" ความผิด โยนกลองไปให้ผู้อื่นรับผิด การปัดความผิด ให้พ้นตัว เป็นพัลวันเป็นการทำลายตนเอง และสร้างความรำคาญระคายเคือง ให้ผู้คนรอบข้างที่ต้องทนรอฟังคำแก้ตัว
ไม่ว่าจะเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงเพียงใด อย่าได้ป้ายคำตำหนิไปให้ผู้อื่นควรถามตนเองว่า "เราจะทำอะไรได้บ้าง?" "เราจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร?"
การเว้นวรรคในการพูด
การเว้นวรรคในการพูด จัดว่าเป็นศิลปะ และลีลาการพูดที่สำคัญ เพราะทำให้การพูดเป็นจังหวะ ไม่ตะกุกตะกัก และยังเป็นการเน้นข้อความที่จะพูดต่อไปด้วย
เดล คาร์เนกี ปรมาจารย์ทางการพูด ได้กล่าวเกี่ยวกับการเว้นวรรคในการพูดไว้ว่า "การจะหยุดตรงไหน มิได้เป็นกฎแน่นอนตายตัว มันขึ้นอยู่กับความหมาย อารมณ์ และความรู้สึกที่แตกต่างกัน"
มีหลักในการพูดที่ควรยึดไว้ปฏิบัติในการหยุดเว้นวรรค ดังนี้
๑. ควรหยุดท้ายคำถาม
๒. ควรหยุดท้ายกลุ่มคำ
๓. ควรหยุดก่อนที่จะกล่าวคำหรือเรื่องสำคัญ
๔. ควรหยุดหน้าหรือหลัวข้อความที่ต้องการพูดแบบเน้น
๕. ควรหยุดเมื่อพูดคำสันธาน หรือคำเชื่อประโยค
การใช้โสตทัศนูปกรณ์ประกอบการพูด
โสตทัศนูปกรณ์มีมากมายหลายประเภท ตั้งแต่สิ่งที่มีวิธีการใช้ง่าย เช่น การดานดำ แผนภาพ แผนที่ แผนภูมิ โปสเตอร์ ของจริง และหุ่นจำลอง จนกระทั่ง เครื่องมือที่ต้องใช้เทคนิค เช่น เทปบันทึกเสียง เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายข้ามศีรษะ ภาพยนตร์ เป็นต้น ในการใช้โสตทัศนูปกรณ์เหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพ ควรคำนึงถึงหลักการต่อไปนี้
๑. ขนาดของโสตทัศนูปกรณ์ ต้องมีขนาดที่ใหญ่เพียงพอที่ผู้ฟังทุกคนจะสามารถเห็นได้
๒. การเลือกใช้โสตทัศนูปกรณ์ให้สอดคล้องกับเรื่องที่พูด โดยระลึกเสมอว่าการนำโสตทัศนูปกรณ์มาใช้ประกอบการพูดนั้นก็เพื่อช่วยส่งเสริมความเข้าใจของผู้ฟัง
๓. ความประณีตของโสตทัศนูปกรณ์ เพื่อช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้
๔. การเลือกใช้โสตทัศนูปกรณ์ที่เข้าใจง่าย ผู้พูดควรเลือกใช้โสตทัศนูปกรณ์ที่แสดงข้อมูลง่ายๆ เพียงพอที่ผู้ฟังเข้าใจได้ทันที จะช่วยให้เรื่องยากเป็นเรื่องง่ายทันที
๕. แสดงโสตทัศนูปกรณ์ในท่าทีหันหน้าไปสู่ผู้ฟัง เพื่อช่วยสะกดใจให้ผู้ฟังสนใจการพูดได้อย่างต่อเนื่อง
๖. ฝึกการเขียนกระดานดำหรือกระดานไวท์บอร์ด เมื่อเวลาพูดจริงจะได้เป็นไปด้วยความราบรื่นไม่ติดขัด
๗. การเตรียมแผ่นใสที่ใช้กับเครื่องฉายข้ามศีรษะประกอบการพูด ผู้พูดควรซักซ้อมการใช้เครื่องฉายข้ามศีรษะไว้ล่วงหน้า เพื่อขจัดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เมื่อถึงเวลาใช้จริงจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องตัว และทำให้การพูดดำเนินไปด้วยความราบรื่น
๘. การจัดเตรียมโสตทัศนูปกรณ์ให้พร้อมก่อนการพูด ผู้พูดควรจัดเตรียมไว้เป็นลำดับให้เรียบร้อย และอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานทันที เพื่อที่ผู้พูดจะทุ่มเทความสนใจให้แก่การพูดได้อย่างเต็มที่
๙. การซักซ้อมทดลองเครื่องโสตทัศนูปกรณ์
๑๐. การปิดหรือเก็บโสตทัศนูปกรณ์เมื่อใช้เสร็จ
การแก้ไขอาการตื่นเวทีขณะพูด
การตื่นเวที เป็นภาวะทางจิตที่ไม่ปกติ เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เนื่องจากยังมีความวิตกกังวลอยู่ภายใน จึงไม่สามารถทำให้ควบคุมจิตใจ และอาการที่แสดงออก ทางร่างกายได้
ระดับของการตื่นเวที แบ่งออกได้เป็น ๓ ระดับ คือ
๑. Audience Tension เป็นการพูดที่ตื่นเวทีที่เกิดจากความรู้สึกเครียด และตื่นกลัว เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้เป็นผลสะท้อนมาจาก ความตั้งใจของผู้พูด ที่มีต่อการพูด
๒. Audience Fear เป็นลักษณะของการตื่นกลัวซึ่งนับเป็นอุปสรรคต่อการพูด เพราะในขณะที่พูดผู้พูดจะมีอารมณ์หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
๓. Audience Panic เป็นลักษณะการตื่นเวที ที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวที่สุดขีดจนสุดจะระงับไว้ได้ เป็นการตื่นเวทีที่รุนแรงมาก จนผู้พูดไม่สามารถ ควบคุมอาการตื่นของตนเองได้ อาการตื่นเช่นนี้จะทำลายบุคลิกภาพของผู้พูดอย่างสิ้นเชิง
สาเหตุของการตื่นเวที มาจากหลายสาเหตุ เช่น
๑. ผู้พูดขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
๒. ผู้พูดมีทัศนคติต่อผู้ฟังที่ผิด
๓. ผู้พูดขาดประสบการณ์การในการพูด
วิธีปฏิบัติเพื่อแก้ไขอาการตื่นเวที มีดังนี้
๑. สร้างความเชื่อมั่นในตนเองโดยการฝึกฝน และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนพูด
๒. เตรียมโน้ตสั้นๆ ไว้ช่วยเตือนความจำขณะพูด
๓. สร้างทัศนคติที่ไม่ตื่นกลัวผู้ฟัง
๔. สร้างประสบการณ์ทางการพูด
๕. มีความอดทนในการที่จะแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ทางการพูด
การประเมินผลการพูด ความหมาย
การประเมินผลการพูด หรือ บางครั้งอาจเรียกว่าการวิจารณ์การพูด คือ การพิจารณาตัดสิน เพื่อให้ทราบว่าผู้พูดพูดได้ดีมากน้อยเพียงใด และมีสิ่งใด ที่เป็น ข้อบกพร่อง สมควรแก้ไขปรับปรุง ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) ของผู้ฟังทั้งทางวัจนภาษา เช่น การติชม เสนอแนะ วิจารณ์ และ อวัจนภาษา เช่น การปรบมือ พยักหน้า ส่วยหน้า เบ้ปาก ต่างก็เป็นการบอกให้ผู้พูดทราบถึงผล สัมฤทธิ์ในการพูดของตน โดยผู้พูดต้องนำเอาผลการประเมินหรือคำวิจารณ์เหล่านั้นมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการพูดของตนในโอกาสต่อไปให้ดียิ่งขึ้น หรือถ้าสิ่งใดที่ดีหรือเหมาะสมอยู่แล้ว ก็อาจคงความเหมาะสมนั้นไว้หรืออาจจะพัฒนาให้ดีขึ้นไปอีกก็ได้ ในขณะเดียวกันผู้ประเมินผลการพูดก็จะได้สร้างเสริม และฝึกทักษะในด้านกาฟัง และการวิเคราะห์เนื้อหาสาระไปด้วย เพราะในการประเมินผลนั้น ผู้ประเมินผล จะต้องรู้จักการฟังอย่างตั้งใจ รู้จักการใช้วิจารณญาณในการ ฟัง และรู้จักวิจารณ์อย่างมีความรู้ และมีหลักเกณฑ์ ดังนั้นการประเมินผลการพูด จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งกับตัวผู้พูด และตัวผู้ฟัง
วัตถุประสงค์หลักของการประเมินผลการพูด
๑. เพื่อวิเคราะห์ให้เห็นถึงข้อดี และข้อบกพร่องของการพูด
๒. เพื่อให้ผู้พูดเข้าใจถึงข้อบกพร่องในการพูดของตน แล้วนำไปพิจารณาเพื่อแก้ไขปรับปรุง และพัฒนาการพุดของตนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
๓. เพื่อฝึกผู้พูดให้มีจิตใจเข้มแข็ง ยอมรับความคิดเห็น และคำวิจารณ์ของผู้อื่น
หัวข้อที่ใช้ในการประเมินผลการพูด
ในการประเมินผลการพูด ผู้ประเมินฯ จะพิจารณาจากหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้
๑. พิจารณาจากเรื่อง ประกอบไปด้วย
๑.๑ เนื้อหา อารัมภบทเป็นอย่างไร น่าสนใจหรือไม่ ตรงกับเรื่องที่พูดหรือไม่ หรือออกนอกลู่นอกทาง เนื้อเรื่องมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน และมีศูนย์รวมจุด จุดหมายหรือไม่ ถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือไม่ มีค่าพอที่จะเสนอต่อผู้ฟังหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจหรือไม่ ยาวหรือสั้นเกินไป หรือไม่ การดำเนินเรื่องเป็นไปตามลำดับหรือไม่ ข้อความชัดเจนหรือไม่ การสรุป ประทับใจหรือไม่ ฝากข้อคิดอะไรไว้บ้าง
๑.๒ สาระ และเหตุผล มีสาระเพียงใด มีเหตุผลเหมาะสมหรือไม่
๑.๓ การใช้ภาษา ชัดเจน ไม่คลุมเครือ หรือซ้ำวากจนหน้าเบื่อหน่ายหรือไม่ มีการใช้ถ้อยคำที่สุภาพหรือไม่ มีตอนใดที่ไม่ถูกต้องตามหลักภาษาหรือความนิยมบ้าง
๒. พิจารณาจากผู้พูด ประกอบไปด้วย
๒.๑ มีการเตรียมตัวมาดีหรือไม่
๒.๒ มีความเชื่อมั่นในตนเองมากน้อยเพียงใด
๒.๓ มีความกระตือรือร้นที่จะพูดเพียงใด และสามารถควบคุมตนเองได้ดีเพียงใด
๒.๔ มีการออกเสียงชัดเจน ถูกต้องเป็นทียอมรับในวงการศึกษาหรือไม่
๒.๕ มีการใช้สายตาได้เหมาะสมกับเรื่องที่พูด และกวาดสายตาไปยังผู้ฟังโดยทั่วหรือไม่
๒.๖ มีลีลาของการพูดสอดคล้องกับเนื้อเรื่องหรือไม่ และมีลักษณะคล้ายการสนทนาหรือไม่
๒.๗ มีการใช้ท่าทางประกอบได้เหมาะสมเพียงใด และเข้ากับสถานการณ์การพูดหรือไม่
๒.๘ มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีชีวิตชีวาหรือไม่
๒.๙ มีมารยาทสุภาพเรียบร้อยหรือไม่
๒.๑๐ มีการใช้โสตทัศนูปกรณ์ประกอบการพูดหรือไม่ ถ้ามีสามารถเลือกได้เหมาะสมกับเนื้อหาเพียงใด
๓. พิจารณาจากผู้ฟัง ประกอบไปด้วย
๓.๑ มีความสนใจมากน้อยเพียงใด
๓.๒ มีมารยาทในการฟัง หรือคุยกัน หรือลุกออดไปก่อนหรือไม่
๓.๓ มีการตั้งคำถามเป็นการส่วนตัวเพื่อต้องการทราบ หรือ เพื่อลองภูมิ คำถามเสนอให้เกิดข้อคิดหรือไม่
๔. พิจารณาจากผลสำเร็จในการพูด ว่าได้รับผลสำเร็จเพียงใด ทั้งหมดคำนึงถึงปฏิกิริยาของผู้ฟังเป็นสำคัญ
มาตรฐานในการประเมินผลการพูด
ในการประเมินผลการพูดในแต่ละครั้ง จำเป็นต้องมีหลักการหรือมาตรฐานในการวัด และประเมินผล ซึ่งหลักการหรือมาตรฐานดังกล่าวจะ
พิจารณากันใน ๔ หัวข้อ คือ
๑. ผลที่ได้รับจากการพูด (The Result Standard)
เป็นการประเมินผลการพูด โดยพิจารณาจากผลที่ได้รับหรือผลที่เกิดขึ้น โดยยึดหลักว่าถ้าผู้พูด สามารถพูดให้บรรลุผล สมตามที่ผู้พูดตั้งใจไว้หรือ ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ก็ถือว่าการพูดนั้นมีประสิทธิผล
อย่างไรก็ตาม การประเมินผลการพูดในลักษณะนี้ มีสิ่งที่ควรนำมาพิจารณา คือ การนำผลการตอบสนองของผู้ฟังมาเป็นตัวตัดสินว่าการพูดนั้นดีหรือไม่ นับว่าเป็นการยากเพราะการตอบสนองของผู้ฟังบางอย่าง เช่น การปรบมือ ก็ไม่ได้เป็นคำตอบที่ยืนยันได้เสมอไปว่า ผู้ฟังมีความเข้าใจเนื้อหาสาระนั้น เป็นอย่างดี หรือยอมรับแนวคิดนั้นๆ แต่อาจเป็นเพียงการแสดงมารยาทเท่านั้นก็ได้
๒. หลักของความจริง (The Truth Standard)
เป็นการประเมินผลการพูด โดยพิจารณาว่าผลการพูดนั้นมีความชัดเจนหรือแสดงความจริงมากน้อยเพียงใด ถ้าการพูดนั้นแสดงความจริง อย่าง ชัดเจน ก็ถือว่าเป็นการพูดที่ดี แต่ถ้าการพูดนั้นเสนอความคิดที่ผิดหรือชักนำผู้ฟังในทางที่ผิด การพูดนั้นก็ไม่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะมีผู้ฟังสนใจมาก ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การพูดที่มุ่งเสนอแต่ความจริงนั้น ในบางครั้งก็ไม่สามารถกระทำได้ เช่น ในกรณีเกิดความขัดแย้ง หรือเป็นเรื่องที่เป็นความลับ เป็นต้น
๓. หลักจริยธรรมในการพูด (The Ethical Standard)
เป็นการประเมินผลการพูด โดยพิจารณาว่าผู้พูดเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือเพียงใด เช่น เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ มีความจริงใจต่อผู้ฟัง มีความปรารถนา ที่จะพูดแต่สิ่งดีงาม เป็นต้น หรือหลักการประเมินผลการพูดแบบนี้จึงขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของผู้พูดที่ปรากฏต่อหน้าผู้ฟัง
อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะพิจารณาว่าผู้พูดคนใดเป็นคนดี คนใดเป็นคนไม่ดี เพราะบางครั้งแม้ว่าผู้พูด จะเป็นคนดี แต่เมื่อพูดออกไป อาจทำให้ผู้ฟัง เกิดความเข้าใจผิดว่าผู้พูดเป็นคนไม่ดีก็ได้
๔. ศิลปะในการพูด (The Artistic Standard)
เป็นการประเมินผลการพูด โดยพิจารณาในแง่คุณค่าทางศิลปะ (Artistic Worth) ในการนำเสนอเนื้อหาสาระ หรือ การที่ผู้พูดสามารถ ใช้ศิลปะ ในการพูด ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
หลักการประเมินผลการพูดแบบนี้ จะพิจาณาจากรูปแบบ และวิธีการที่ผู้พูดนำเสนอ ว่าสามารถใช้ศิลปะในการพูด เพื่อให้ผู้ฟังคล้อยตามได้ดี มากน้อยเพียงใด
หน้าที่ของผู้ประเมินผลการพูด
ผู้มี่ทำหน้าที่ประเมินผลการหรือวิจารณ์การพูด ควรยึดหลักดังนี้
๑. มีใจเป็นธรรม ซื่อสัตย์ และไม่แสดงอคติ
๒. ประเมินผล หรือวิจารณ์การพูดโดยใช้เหตุผล และหลักเกณฑ์ ไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง
๓. ชี้ให้เห็นจุดเด่น และข้อบกพร่องขอผู้พูดอย่างชัดเจน เอที่ผู้พูดจะได้นำไปปรับปรุงตนเองต่อไป
๔. แสดงให้เห็นว่าผู้ประเมินฯ มีความปรารถนาดีที่จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้พูดอย่างจริงใจ
หน้าที่ของผู้พูดเมื่อได้รับการประเมินผลการพูด
๑. ทำใจเป็นกลาง
๒. ยอมรับการประเมินผล และคำวิจารณ์ด้วยความจริงใจ
๓. นำผลการประเมินไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขการพูดของตนเองต่อไป
๔. สังเกตจุดเด่น และข้อบกพร่องของผู้พูดคนอื่นเอนำมาพัฒนาตนเอง
วิธีการประเมินผลการพูด
วิธีการประเมินผลการพูดที่นิยมใช้กันทั่วไปมีอยู่ ๒ วิธี คือ
๑. วิธีการประเมินผลโดยใช้แบบฟอร์ม
๒. วิธีการประเมินผลโดยไม่ใช้แบบฟอร์ม
วิธีการประเมินผลโดยใช้แบบฟอร์ม
แบบฟอร์มประเมินผลการพูดที่ใช้กันโดยทั่วไปมักจะครอบคลุมการประเมินผลในเรื่องของเนื้อหาสาระ การใช้เสียง และภาษา การใช้สีหน้า แววตา สายตา การใช้อากัปกิริยาประกอบการพูด การปรับตัวให้เข้ากับผู้ฟัง มารยาทในการพูด ความกระตือรือร้น และการรักษาเวลา ฯลฯ ซึ่งผู้ประเมินผลในแต่ละหน่วยงานอาจจะใช้แบบฟอร์มที่แตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียดปลีกย่อย แต่หลักการส่วนใหญ่มักจะคล้อยคลึงกัน ในที่นี้จะขอนำเสนอตัวอย่างแบบฟอร์มประเมินผลการพูดสัก ๒ ตัวอย่างมาเปรียบเทียบกัน คือ
ดูแบบฟอร์มการประเมิน
๑. แบบที่ ๑
๒. แบบที่ ๒
วิธีการประเมินผลโดยไม่ใช้แบบฟอร์ม
การประเมินผลโดยไม่ใช้แบบฟอร์ม นับเป็นการประเมินผลที่ให้ความเป็นอิสระแก่ผู้ประเมินฯ มากที่สุด โดยการสังเกตจุดเด่น และจุดด้อยของผู้พูดเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ใช้แบบฟอร์มแต่ก็ต้องมีการบันทึกไว้ตามที่สังเกตได้ โดยใช้วิธีการฟังไปบันทึกไป
การพูดในชีวิตประจำวัน
ในวันหนึ่งๆ เราต้องติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการสื่อสารในรูปแบบของ "การพูด" อาทิเช่น การสนทนาทั่วไป การสนทนาทาง โทรศัพท์ การทักทาย การแนะนำตน การปรึกษาหารือ การตัดเตือน การตำหนิ เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่เราควรจะทราบถึงวิธีการพูด ในรูปแบบต่างๆ ที่ถูกต้อง เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบุคคลอื่นต่อไป
การสนทนาทั่วไป
การสนทนา หมายถึง การพูดคุยระหว่างบุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป โดยมีจุดประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด ความเห็น ในสิ่งที่มีความสนใจอยู่ร่วมกัน โดยต่างฝ่ายต่างผลัดกันเป็นผู้พูด และผู้ฟัง ซึ่งในการสนทนานั้นคู่สนทนาอาจมีความคิดเห็นที่ตรงกัน คล้อยตามกัน หรือขัดแย้งกันก็ได้ การสนทนาที่ดีจะต้องสร้าง และกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างคู่สนทนา ดังนั้นคู่สนทนาที่ดีจึงควรทั้งแสดงความคิดเห็นของตนเอง และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นไปด้วย ไม่ควรเอาชนะหรือแสดงแสดงความเด่นเหนือผู้อื่น เพราะผู้ที่ชอบแสดงตนโอ้อวดเอาชนะผู้อื่นจะหาคู่สนทนาได้น้อยลงทุกที
การสนทนามีประโยชน์หลายอย่าง อาทิ ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ความตรึงเครียด เป็นเครื่องมือในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ กระชับความสัมพันธ์อันดี ช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดี และความสำเร็จในการทำงานทุกอย่าง
การสนทนาอาจแบ่งเป็น ๒ แบบ คือ แบบไม่เป็นทางการ คือ การสนุกสนานเฮฮาไปตามสบาย และเรื่องที่สนทนาก็ไม่จำกัด กับแบบเป็นทางการ ซึ่งมีการตระเตรียมเรื่องที่พูดมาเป็นอย่างดี
สำหรับมารยาทในการสนทนาโดยทั่วไป คู่สนทนาควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
ตั้งใจฟังคู่สนทนา
พูดให้เป็นธรรมชาติ ไม่ทำเสียงสูงต่ำ ทุ้มแหลม จนเกินงาม และไม่ควรลอยหน้าลอยตาจีบปากจีบคอพูดจนดูผิดปกติ
พูดด้วยความจริงใจ
ไม่พูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยคู่สนทนา
ไม่พูดจาโผงผางแบบขวานผ่าซาก
พูดแต่เรื่องที่ทำให้คู่สนทนาหรือผุ้ที่อยู่ในกลุ่มสบายใจ และเป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลเสียกับใคร
ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ควรระมัดระวังโดยพูดในลักษณะที่เป็นกลาง หรือถ้าจะชมผู้ใดก็ไม่ควรพูดจนเกินจริง เพราะจะทำให้ผู้ได้รับคำชมกระดาก
ออกสียงในภาษาที่ชัดเจนถูกต้อง โดยเฉพาะเสียง ร ล และเสียงควบกล้ำ เพราะบางครั้งการออกเสียงไม่ถูกกต้องจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่พูดผิดไปได้
พูดให้สุภาพ ระมัดระวังการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และสถานที่
ไม่พูดข่มขู่ดึงดันเพื่อเอาชนะผู้อื่น
อย่าขัดคอคู่สนทนาเพราะจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้
ไม่ควรข้ามไปพูดเรื่องอื่น ในขณะที่คู่สนทนากำลังสนใจหรือเพลิดเพลินอยู่กับเรื่องเดิมอยู่ เพราะจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อง โดยไร้มารยาท และคู่สนทนาอาจน้อยใจหรือไม่พอใจได้
ไม่ผูกขาดการพูดไว้คนเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรทำตัวเป็นเพียงผู้รับฟังอย่างเดียว ควรซักถามหรือพูดจาโต้ตอบในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อแสดงว่าเป็นผู้ฟังที่ดี และสนใจเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
ไม่ควรนินทาผู้อื่น เพราะอาจทำให้คู่สนทนาไม่ไว้วางใจได้
ไม่ควรถามซอกแซกในเรื่องส่วนตัวของผู้ที่เพิ่งรู้จักกัน เพราะจะทำให้คู่สนทนาเกิดความอึดอันได้
ไม่ควรซุบซิบ หรือ ใช้ภาษาถิ่น หรือใช้ภาษาเฉพาะกลุ่มกับคนใดคนหนึ่งในวงสนทนา
เรื่องที่สนทนาควรเป็นเรื่องกลางๆ ที่ทุกคนสนใจ เช่น กีฬา ดินฟ้าอากาศ ภาพยนตร์ ฯลฯ
เมื่อมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นในระหว่างการสนทนา ต้องพยายามไกล่เกลี่ยไม่ให้เกิดความร้าวฉานหรือความหมองใจขึ้นได้ โดยอาจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไปสู่เรื่องที่ไม่ตึงเครียด และถ้าจำเป็นต้องฟังเรื่องที่ไม่สบอารมณ์หรือไม่ชอบ ควรฟังอย่างสงบอย่าลุกหนีไปเฉยๆ
การสนทนาทางโทรศัพท์
โทรศัพท์เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกยุคปัจจุบัน การสนทนาทางโทรศัพท์ถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่อย่าไรก็ตามผู้พูดจะต้องระมัดระวัง ในการพูดทางโทรศัพท์มากกว่าการสนทนาต่อหน้า เพราะผู้ที่เราติดต่อด้วยไม่ได้เห็นหน้าตาของเราจึงมักจะเดาบุคลิกภาพของเราจากน้ำเสียงที่ได้ฟัง ดังนั้นผู้พูดทางโทรศัพท์จึงต้องสร้างภาพอันดีงามให้แก่ตนเอง โดยการใช้คำพูดที่สุภาพอยู่เสมอ ปรับสียงให้นุ่มนวล ไม่ห้วนกกระด้าง พูดให้ชัดถ้อยชัดคำ ไม่รวบรัดจนฟังไม่เข้าใจ และขณะพูดก็ไม่ควรเคี้ยวหรืออมสิ่งใดไว้ เพราะจะทำให้เสียงพูดไม่น่าฟัง
ข้อควรคำนึงในการสนทนาทางโทรศัพท์ มีดังนี้
- ในการฝากข้อความไว้กับผู้รับโทรศัพท์ ถ้าผู้พูดประสงค์จะฝากข้อความที่สำคัญไว้กับผู้รับโทรศัพท์ในขณะที่ผู้พูดประสงค์จะติดต่อด้วยไม่อยู่ ผู้พูดควรจะสอบถามก่อนว่าผู้ที่จะฝากข้อความไว้เป็นใคร มีหน้าที่อะไร เพื่อที่จะได้พิจารณาว่าสมควรจะฝากข้อความสำคัญไว้หรือไม่
- ในการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องใดก็ตาม ผู้พูดต้องตั้งคำถามไว้ล่วงหน้าก่อนว่าต้องการทราบเกี่ยวกับอะไร แล้วจดบันทึกคำถามไว้อย่างย่อ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ลืมเวลาพูดโทรศัพท์ในลักษณะของคำถามควรสั้น และเข้าใจง่ายเพื่อผู้รับฟังโทรศัพท์จะได้ตอบให้ตรงประเด็น เมื่อพูดจาจบแล้วควรขอบคุณผู้รับโทรศัพท์ด้วย
- ในการต่อโทรศัพท์ให้ผู้อื่น ผู้พูดควรจดเลขหมายโทรศัพท์ และชื่อบุคคล หรือหน่วยงานที่เขาประสงค์จะพูดด้วยให้ถูกต้องครบถ้วน
- ในกรณีที่ผู้พูดเป็นผู้รับโทรศัพท์ เมื่อรับโทรศัพท์ควรบอกชื่อหน่วยงานของผู้พูดหรือเลขหมายโทรศัพท์ในทันที แต่ถ้าหากเขามารับสายไม่ได้ควรบอกเหตุผลอย่างนุ่มนวล และขอให้สั่งข้อความไว้
- ถ้ามีการโทรศัพท์เข้ามาผิดสถานที่ หากเป็นหน่วยงานเดียวกันควรโอนสายหรือบอกเลขหมายโทรศัพท์ใหม่ให้ แต่ถ้าเป็นคนละหน่วยงานหรือผิดสถานที่ควรบอกให้ผู้โทรศัพท์เข้ามาทราบอย่างสุภาพ
ข้อแนะนำในการสนทนาทางโทรศัพท์ มีดังนี้
- รับโทรศัพท์ในทันทีที่กริ่งแรกดังขึ้น
- ไม่กระแทรกเครื่องรับโทรศัพท์
- ควบคุมอารมณ์อย่าได้แสดงอารมณ์โกรธ หรือไม่พอใจ อย่าพูดด้วยเสียงที่ก้าวร้าวหรือใช้ถ้อยคำหยาบคาย และไม่ใช้คำพูดที่กวนไม่รู้เรื่อง
- อย่าตะโกนเรียกผู้อื่นมารับโทรศัพท์โดยไม่ได้ปิดส่วนที่พูด และอย่าพูดกับผู้อื่นในขณะที่กำลังรับโทรศัพท์
- ควรมีกระดาษ และปากกา วางไว้ใกล้โทรศัพท์ เมื่อมีการรับฝากข้อความ ควรจดให้อ่านง่าย และอ่านทบทวนก่อนส่งให้ผู้รับ
- การพูดทางโทรศัพท์ต้องแสดงความสุภาพ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเหมือนกันหมด ไม่ว่าผุ้ที่โทรศัพท์เข้ามาหรือผู้รับโทรศัพท์จะเป็นคนสำคัญหรือไม่
- ถ้าพิจารณาเห็นว่าผู้โทรศัพท์เข้ามาจะต้องคอยนานกว่าที่จะได้พูดกับบุคคลที่ต้องการหรือกว่าที่จะได้รายละเอียด ควรบอกให้ผู้นั้นโทรศัพท์เข้ามาใหม่ หรือขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้นั้นไว้ เพื่อจะได้ติดต่อกลับไปอีกครั้ง
- ถ้าต่อโทรศัพท์ผิดเลขหมายไม่ควรวางหูโดยทันที ควรกล่าวคำขอโทษอย่างสุภาพก่อน
- ไม่ควรใช้คำพูดหรือคำถามเหล่านี้ในการสนทนาทางโทรศัพท์ เช่น "ที่นั่นที่ไหนคะ?" "ใครพูด" "จะพูดกับใคร" "มีธุระอะไร" "โทรมาทำไม" เป็นต้น
- ถ้าต้องรอโทรศัพท์ไม่ควรแสดงกิริยาอาการหรือพูดให้ผู้ที่กำลังโทรศัพท์อยู่รีบหยุดพูดโดยเร็ว ควรรอด้วยความอดทน ส่วนผู้ที่กำลังใช้โทรศัพท์ก็ควรพูดธุรกิจให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อที่ผู้อื่นจะได้ใช้บ้าง
- หากต้องติดต่อทางโทรศัพท์กับหน่วยงานอื่นอยู่บ่อยๆ ควรจัดทำแผนผังแสดงเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่ออยู่เป็นประจำ โดยแยกเป็นหมวดหมู่ไว้ เช่น บริษัทนำเที่ยว สายการบิน โรงแรม สถานทูต โรงพยาบาล และสถานที่ราชการต่างๆ เป็นต้น ในแต่ละหมวดควรจัดเรียงลำดับตามอักษรเพื่อสะดวกต่อการค้นหา
ในเรื่องการสนทนาทางโทรศัพท์นี้ เพชรบูรณ์ โรจนธรรมกุล ได้ให้เคล็ดลับขั้นตอนในการต่อโทรศัพท์ และรับโทรศัพท์ไว้ดังนี้
ขั้นตอนในการต่อโทรศัพท์
๑. พร้อม ความพร้อมก่อนหมุนหรือกดเลขหมายโทรศัพท์
๒. ฟัง ฟังสัญญาณว่าโทรศัพท์มีสัญญาณว่างที่จะโทรได้
๓. หมุน หมุนหรือกดเลขหมายที่ต้องการ
๔. ฟัง ฟังคำพูดจากผู้รับ หรือสอบถามเลขหมาย/สถานที่
๕. ตัด ตัดสินใจดำเนินการตามที่เตรียม เช่น
- ขอพูดกับบุคคลที่ต้องการ
- ฝากข้อความ และให้ผู้รับทวนข้อความ
๖. จบ จบคำพูด
๗. วาง วางโทรศัพท์
๘. บัน บันทึกรายการภายหลังโทรศัพท์แล้ว
สูตร
พร้อม ฟัง หมุน ฟัง ตัด จบ วาง บัน
ขั้นตอนในการรับโทรศัพท์
๑. พร้อม เตรียมพร้อม
๒. รับ รับโทรศัพท์เมื่อกริ่งแรกดังขึ้น (พร้อมอัดเทปการพูดไว้นับแต่เวลานี้จนจบ)
๓. ทัก กล่าวทักทายว่า "สวัสดีค่ะ/ครับ" แล้วบอกสถานที่หรือเลขหมายโทรศัพท์
๔. ฟัง ฟังคำพูดให้ชัดเจน
๕. ตัด ตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว และถูกต้องด้วยความเอาใจใส่อย่างจริงใจ เช่น
- ตอบคำถาม
- โอนสาย
- รับเรื่องไว้
- ให้รอสาย
๖. จบ จบคำพูด
๗. วาง วางหูโทรศัพท์
๘. บัน บันทึกข้อความ และดำเนินการต่อไป
สูตร
พร้อม รับ ทัก ฟัง ตัด จบ วาง บัน
การพูดในโอกาสพิเศษ
การอภิปราย
คำว่า "อภิปราย" เป็นคำยืมมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง "ก. พูดชี้แจงแสดงความคิดเห็น"
จบการนิยามความหมายของคำว่า "การอภิปราย (Discussion)"โดยนักวิชาการหลายท่านพอจะสรุปได้ว่าการอภิปราย หมายถึง การพูดเพื่อแสดงความคิด ความเห็น ความรู้ หรือประสบการณ์ของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปให้อีกกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบ โดยผู้อภิปรายจะต้องแสดงความคิด ความเห็น ความรู้ หรือประสบการณ์ในหัวข้อเรื่องที่กำหนดไว้ให้ โดยแต่ละคนอาจจะมีแนวความคิดที่เหมือนกันหรือแตกต่างออกไปก็ย่อมทำได้ เพราะการพูดแบบอภิปรายนั้นเป็นการเปิดโอกาสผู้ร่วมอภิปรายได้ใช้ความรู้ความสามารถในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่
หลักเกณฑ์ทั่วไปในการอภิปราย
กิจกกรรมการอภิปราดำเนินไปได้ด้วยดี และเกิดประโยชน์ที่แท้จริงแก่ทุกฝ่ายนั้นจำเป็นจะต้องมีหลักเกณฑ์หรือข้อกำหนดบ้าง มิฉะนั้นผู้อภิปรายก็จะอภิปรายกันอย่างกระจัดกระจายตามความพอใจของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว อันอาจทำให้เกิดความสับสนขึ้นในวงอภิปรายได้ ซึ่งหลักเกณฑ์ทั่วไปในการอภิปรายมีดังนี้
๑. การอภิปรายเป็นการแสดงความคิดร่วมกันกับผู้อื่นเพื่อช่วยกันหาคำตอบ ดังนั้นในการคิดร่วมกันเพื่อช่วยกันหาคำตอบนั้น จำเป็นต้องช่วยกันคิดเป็นขั้นๆ ไป จะได้ไม่เกิดความสับสน ลำดับขั้นในการคิดอาจเป็นดังนี้
ขั้นที่ ๑ ผู้ร่วมอภิปรายพยายามทำความเข้าใจในตัวปัญหาให้ตรงกันเสียก่อน เพราะถ้าเข้าใจต่อปัญหาไม่ตรงกันแล้ว ย่อมไม่มีการตกลงกันได้ ซึ่งยิ่งอภิปรายไปก็ยิ่งเพิ่มความสับสนขึ้นทุกที ดังนั้นข้อสำคัญจึงไม่ควรรีบทึกทักว่า ทุกคนเข้าใจ ต่อปัญหาตรงกันแล้ว ควรจะต้องชี้ปัญหาให้ชัดเจนแจ่มแจ้งเสียก่อน ด้วยการเขียนลงไปให้เป็นประโยคคำถาม แล้วอ่าน ให้ทุกคนฟัง เขียนให้ชัดเจนเพียงหนึ่งคำถาม จะมีคำถามย่อยด้วยหรือไม่ก็ได้ ถ้ามีก็ไม่ควรให้มากเกินไปนัก ขั้นนี้เป็นขั้นที่สำคัญมาก เพระมิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นว่าพูดกันคนละปัญหาไป
ขั้นที่ ๒ เมื่อเข้าใจปัญหาตรงกันแล้วก็ก็ช่วยกันพิจารณาปัญหานั้น โดยแยกแยะให้เห็นว่ามีประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง สาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดประเด็นปัญหามีอะไร มีใครที่เกี่ยวข้อง กับการแก้ไขปัญหานั้นบ้าง ซึ่งในขั้นนี้ผู้ร่วมอภิปราย ควรจะร่วมตกลงกันให้ได้ว่า ถ้าจะแก้ปัญหานั้นผลที่มุ่งหวังคืออะไร ทั้งนี้เพื่อจะได้ช่วยกันคิดหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไปในขั้นที่ ๓
ขั้นที่ ๓ ช่วยกันเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมทั้งพิจารณาดูข้อดีข้อเสีย ของแนวทาง แก้ปัญหาเหล่านั้น โดยพิจารณาด้วยว่าผลที่คาดว่าจะได้จาการแก้ปัญหานั้นเป็นไปตามที่มุ่งหวังไว้ในขั้นที่ ๒ หรือไม่เพียงใด
ขั้นที่ ๔ เลือกแนวทางในการแก้ปัญหาที่เห็นว่าดีที่สุด ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งแนวทางก็ได้
ขั้นที่ ๕ ศึกษาแนวทางในเชิงปฏิบัติการว่า ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาที่ผู้ร่วมเสนอภิปราย ได้ช่วยกันคิดออกมานั้น จะนำไปสู่การปฏิบัติจริง ได้อย่างไร ในบางกรณีผู้ร่วมอภิปรายอาจลองนำไปปฏิบัติด้วยตนเองก่อน
๒. ในการอภิปรายจำเป็นต้องมี "ผู้นำอภิปราย" เพื่อคอยกำกับให้คำแสดงความคิดเห็นตรงตามประเด็นที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้นำอภิปราย จะทำหน้าที่ทั้งคอย กระตุ้นให้ผู้อภิปราย แสดงความคิดเห็นออกมา และควบคุมไม่ให้ผู้อภิปรายคนใดคนหนึ่งใช้เวลาของรวมแสดงความคิดเห็นของตนเองมากเกินไป จนเป็นการผูกขาดพูดเสียคนเดียว นอกจากนี้ยังต้องคอนระวังไม่ให้การอภิปรายออกนอกประเด็นเพื่อจะได้หาข้อยุติได้ภายในเวลาอันสมควร
๓. ในการอภิปราย ผู้ร่วมอภิปรายอาจเปลี่ยนความคิดเห็นของตนไปตามเหตุผล และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ได้รับฟังจากผู้ร่วมอภิปรายคนอื่น หลักข้อนี้สำคัญมาก เพราะการอภิปรายไม่ใช่การโต้เถียงเพื่อเอาชนะแต่เป็นการช่วยกันแสดงความคิดเห็น ดังที่กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นความเชื่อหรือ ความเข้าบางอย่าง ที่ผู้ร่วมอภิปรายคนใดคนหนึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว อาจเปลี่ยนไปได้เมื่อได้ฟังเหตุผลหรือข้อเท็จจริงใหม่ที่มีน้ำหนักมากกว่า
๔. ผู้ร่วมอภิปรายควรมีความเตรียมตัวมาก่อน เพื่อให้มีข้อมูลมากพอสำหรับการพิจารณาร่วมกัน เพราะถ้าหากผู้ร่วมอภิปรายเข้าร่วมอภิปราย โดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว ย่อมจะขากข้อมูล ขาดความมั่นใจ และขาดความกระตือรือร้นที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นในวงอภิปราย
๕. ในการอภิปรายต้องใช้ทักษะในการพูด และการฟังเป็นพิเศษ ในด้านทักษะในการพูดผู้ร่วมอภิปราย จำเป็นต้องพูดเพื่อแสดงความคิดเห็นของตน อย่างสุภาพ รวบรัด และตรงประเด็น ผู้ที่มีทักษะในการพูดต่อหน้าที่ประชุมอาจจะไม่มีทักษะในการอภิปรายกลุ่มก็ได้ เพราะคุ้นเคยกับ การผูกขาดการพูด เสียคนเดียว และอาจจะใช้ศิลปะในการโน้มน้าวใจมากเกินไปก็ได้ การพูดในเชิงอภิปรายจะหนักไปทางการพูดเพื่อค้นหาคำตอบ และพูดเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจมากกว่าในทางอื่น สำหรับทักษะในการฟังนั้น ผู้อภิปรายต้องฟังคำพูดของผู้ร่วมอภิปรายคนอื่นๆ โดยใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ต้องจับสาระสำคัญ ที่ผู้ร่วมอภิปรายคนอื่นๆ พูดออกมาให้ได้ ต้องรู้จักสังเกตถ้อยคำ น้ำเสียง และกิริยาท่าทางของผู้พูดประกอบด้วย เพื่อจะได้ตีความได้ตรงตามที่ผู้พูดมุ่งหมายจริงๆ
การแบ่งประเภทการอภิปราย
การอภิปรายแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ๒ ประเภท คือ การอภิปรายในกลุ่ม และการอภิปรายหน้าที่ประชุม
๑. การอภิปรายในกลุ่ม แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ
๑.๑ การอภิปรายอย่างเป็นกันเอง
การอภิปรายประเภทนี้มีลักษณะคล้ายๆ กับการสนทนากันเป็นกลุ่ม แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าผู้ที่ร่วมอยู่ในวงสนทนานั้น มีวัตถุประสงค์ในการสนทนาที่ค่อนข้างชัดเจน เช่น ต้องการทำความเข้าใจหรือต้องการแก้ปัญหาเกี่ยวเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นการพูดจากนอย่างเป็นกันเอง แต่ก็มีขั้นตอนในการคิดร่วมกันเป็นระยะ ๆ ไป การอภิปรายอย่างเป็นกันเองนี้แม้จะไม่มีผู้นำอภิปรายอย่างเป็นทางการ แต่ก็อาจเกิดผู้นำในการอภิปรายขึ้นได้โดยไม่รู้สึกตัว
๑.๒ การอภิปรายในการประชุมปรึกษา
การอภิปรายประเภทนี้ ตามปกติแล้วจะกระทำกันอย่างมีระเบียบแบบแผน อาจจะเป็นในรูปคณะกรรมกการ คณะผู้ปฏิบัติงาน หรือคณะบุคคล ที่เข้าร่วมประชุม กลุ่มย่อยในโอกาสต่างๆ การอภิปรายประเภทนี้จะมีประธานของที่ประชุมทำหน้าที่เป็นผู้อภิปราย มีเลขานุการ ทำหน้าที่บันทึก รายงานการอภิปราย มักจะอภิปรายกันตามหัวข้อหรือตามวาระที่กำหนดไว้ ผู้ร่วมอภิปรายจะปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพื่อให้ได้มติหรือข้อสรุปออกมา หรือเพื่ออาจตัดสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้
การอภิปรายประเภทนี้คล้ายๆ กับการอภิปรายอีกชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "การอภิปรายโต๊ะกลม" ซึ่งเป็นการประชุมของคณะบุคคลกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วยผู้นำประชุม และผู้เข้าประชุม ซึ่งทั้งผู้นำประชุม และผู้เข้าประชุมจะนั่งล้อมรอบโต๊ะ เป็นวงกลมโดยไม่จำเป็น ต้องนั่ง โต๊ะกลมเสมอไป อาจใช้เฉพาะเก้าอี้ล้อมเป็นวงก็ได้ มักจะอภิปรายกันในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ เช่น ปัญหาการกักตุนสินค้า การอนุรักษ์สภาวะแวดล้อม เป็นต้น ผลของการอภิปรายโต๊ะกลม อาจนำมาเสนอต่อผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ให้พิจารณา ดำเนินการต่อไป และบางทีก็อาจเผยแพร่ต่อสาธารณะชนด้วย
๒. การอภิปรายหน้าที่ประชุม แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ
๒.๑ การอภิปรายเป็นคณะ
การอภิปรายประเภทนี้ ประกอบด้วย ผู้ดำเนินการอภิปราย และคณะผู้อภิปรายซึ่งมีประมาณ ๔-๘ คน (อาจมากหรือน้อยกว่านั้นบ้างเล็กน้อยก็ได้) มาทำการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยเบื้องหน้าของที่ประชุมประกอบไปด้วยผู้ฟังจำนวนมาก การอภิปรายประเภทนี้ จะมีหัวข้อ กำหนดไว้แน่นอน ผู้ดำเนินการอภิปรายจะมีการเตรียมเค้าโครง และขั้นตอนในการอภิปรายไว้ด้วยเพื่อไม่ให้การอภิปรายออกนอกประเด็น
๒.๒ การอภิปรายเชิงบรรยาย
การอภิปรายประเภทนี้จะมีผู้ดำเนินการอภิปราย และผู้อภิปรายอยู่จำนวนหนึ่งที่นำการอภิปรายเบื้องหน้าที่ประชุม เช่นเดียวกับ การอภิปราย เป็นคณะ แต่แตกต่างกันตรงที่การอภิปรายประเภทนี้ ผู้อภิปรายแต่ละคนจะใช้วิธีการบรรยายอย่างสั้นๆ ตามที่ตนได้เรียบเรียงมาไว้แล้วเป็นอย่างดี การบรรยายของแต่ละคนจะไม่ซ้ำซ้อนกัน ผู้ดำเนินการอภิปรายจะทำหน้าที่ย้ำให้เห็นความสำคัญของหัวข้อบรรยายของผู้อภิปรายแต่ละคน อาจสรุปสารระสำคัญที่ได้พูดไปแล้วอย่างรวบรัด และชี้ให้ผู้ฟังเห็นความเกี่ยวโยงกันระหว่างแง่มุมต่างๆ ที่ผู้บรรยายแต่ละคนได้บรรยายไปแล้ว
ในการอภิปรายหน้าที่ประชุมทั้ง ๒ แบบนี้ ผู้ดำเนินการอภิปรายมีหน้าที่แนะนำผู้ร่วมอภิปรายต่อที่ประชุมอย่างสั้น ๆ โดยบอกชื่อ นามสกุล สถานที่ทำงาน และความรู้ความชำนาญพิเศษให้ที่ประชุมทราบตามสมควร
การจัดสถานที่ในการอภิปราย
สถานที่ในการอภิปรายมีความสำคัญไม่น้อย เพราะถ้าสถานที่ไม่เหมาะสมแล้วการอภิปรายก็ยากที่จะดำเนินไปได้ด้วยดี หลักทั่วไปในการจัดสถานที่ ในการอภิปรายคือ
๑. สถานที่ควรสงบปราศจากเสียงรบกวน
๒. ตำแหน่งที่นั่งของผู้อภิปราย ควรจัดให้ทุกคนมองเห็นกันได้
๓. บรรยากาศทั่วไป และความสะดวกอื่นๆ ช่วยเอื้ออำนวยในการคิดร่วมกันดำเนินไปได้ด้วยดี
การโต้วาที
ดร. สุจริต เพียรชอบ ได้อธิบายถึงการโต้วาทีอย่างน่าสนใจว่า การโต้วาที คือ กิจกรรมการพูดที่บุคคลสองฝ่ายพูดโต้คารมหรือถกเถียงกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้พูดจะพยายามใช้ศิลปะการพูดหรือวาทศิลป์อันคมคาย ใช้หลักการ เหตุผล และหลักฐานต่างๆ เพื่อให้คำพูดของตนเป็นที่น่าเชื่อถือ และโน้มน้าวใจ ให้ผู้ฟัง เกิดความคิดคล้อยตาม การโต้วาทีเป็นการอภิปรายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจาการอภิปรายแบบอื่น คือ ในการอภิปรายโดยทั่วๆ ไปนั้น ผู้ร่วมอภิปราย จะแสดง ความคิดเห็นแย้งกันบ้าง คล้อยตามกันบ้าง หรืออาจจะเป็นความคิดที่ประนีประนอมกัน แต่สำหรับการโต้วาทีนั้น ผู้พูดมุ่งเอาชนะกันด้วยเหตุผลหรือวาทศิลป์
การโต้วาทีมี ๒ ลักษณะ คือ การโต้วาทีโดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน และการโต้วาทีโดยมีรูปแบบ
๑. การโต้วาทีโดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน
อันที่จริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนเราก็มักจะมีการถกเถียงโต้แย้งกันเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ อยู่ตลอดเวลา โดยผู้เสนอนโยบายจะพยายามให้หลักการ เหตุผล และวาทศิลป์อย่างดี เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความคิดคล้อยตามรับหลักการ และนโยบายเหล่านั้น ผู้ฟังบางคนอาจจะไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นด้วยก็จะพยายาม ซักถาม และให้เหตุผลต่างๆ คัดค้าน มีการถกเถียงโต้ตอบกันไปมาจนในที่สุดก็อาจจะต้องมีการลงมติกันว่า จะยึดถือหรือดำเนินการตามนโยบาย หรือหลักการนั้นหรือไม่ การถกเถียงหรือโต้แย้งกันในสภาหรือในศาลก็เช่นเดียวกัน มักจะต้องแสดงความเคารพเอาชนะกันด้วยคำพูด และเหตุผลอยู่เสมอ แม้แต่การพูดคุยกันในชีวิตประจำวันก็มักจะต้องมีการพูดจาโต้แย้ง แสดงเหตุผลกันอยู่เป็นนิจ
๒. การโต้วาทีโดยมีรูปแบบ
เป็นการโต้วาทีที่เป็นแบบแผน มีพิธีการ มีการจัดสถานที่ไว้สำหรับผู้โต้วาทีโดยแบ่งออกกันเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายเสนอ และฝ่ายค้าน แต่ละฝ่าย ก็จะมีผู้สนับสนุน ฝ่ายละสองคนบ้างสามคนบ้างตามแต่ผู้จัดจะเห็นสมควร มีประธานเป็นผู้ดำเนินการ มีการเชิญคณะกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิมาเป็นผู้ตัดสิน ว่าฝ่ายใดมีคารมคมคาย ใช้เหตุผลดี มีความสามารถในการพูดก็จะตัดสินให้เป็นฝ่ายชนะ การโต้วาทีแบบนี้จะต้องดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ประธานจะต้องกล่าวเปิดการโต้วาที ประกาศญัตติให้ผู้ฟังทราบว่าจะโต้กันเรื่องอะไร แต่ละฝ่ายจะใช้เวลาในการพูดคนละกี่นาที วิธีการตัดสินเป็นเช่นไร
จุดมุ่งหมายของการโต้วาที มีหลายประการ คือ
๑. เพื่อฝึกให้ผู้โต้วาทีรู้จักเสนอความคิดเห็นของตนให้ถูกต้องตามปรารถนา รู้จักพูดอย่างมีหลักการ และมีเหตุผล เมื่อถึงเวลาที่จะแสดงความคิดเห็น คัดค้านก็สามารถใช้วาทศิลป์โต้แย้งข้อคิดเห็น ของผู้อื่นอย่างฉลาดมีไหวพริบ
๒. เพื่อส่งเสริมให้ผู้พูดสามารถโน้มน้าวใจผู้ฟังให้มีความคิดคล้อยคามความคิดเห็นของตน
๓. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสนใจในการพูด ได้ศึกษาหลักเกณฑ์ และศิลปะในการโต้วาที และฝึกฝนเพื่อให้มีทักษะในการพูดดียิ่งขึ้น
๔. เพื่อฝึกทักษะในการฟัง ให้เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่หลงเชื่อคำพูดของผู้ใดโดยง่าย ในขณะที่ฟังก็จะได้คิดใคร่ครวญอย่างมีเหตุผล
การเลือกญัตติของการโต้วาที
ญัตติ คือ หัวข้อหรือปัญหา ซึ่งระบุขอบข่าย และข้อขัดแย้งซึ่งจะนำมาใช้โต้วาทีได้ เพราะฉะนั้นความจริงที่เป็นอมตะ เช่น การเกิดแก่เจ็บตาย จึงไม่อาจนำมาเป็นญัตติในการโต้วาทีได้ หลักวิชาที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง เช่น หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองก็เช่นเดียวกัน ไม่อาจที่จะนำมาใช้โต้วาทีได้ เพราะไม่มีข้อที่จะมาเถียงหรือคัดค้านได้
ญัตติที่ควรใช้โต้วาที ควรมีลักษณะที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัว ยั่วยุให้คิดไปได้หลายแง่หลายมุม ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย เช่น "มีปัญญาดีกว่าทรัพย์" "ประสบการณ์ดีกว่าการศึกษา" เป็นต้น
เกณฑ์ในการเลือกญัตติ
๑. เป็นเรื่องที่คนในสังคมส่วนใหญ่มีความสนใจ
๒. เป็นเรื่องที่มีสารประโยชน์ผู้ฟังได้รับความรู้เกิดความคิด และมีสติปัญญาแตกฉาน และลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม
๓. ญัตตินั้นไม่ขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม หรือ ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานขึ้นในหมู่คณะ
๔. ญัตตินั้นควรเป็นข้อขัดแย้งที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบ เสียเปรียบกัน ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มโต้วาที
๕. เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบาย หลักการ หรือคุณค่าของสิ่งต่างๆ ซึ่งเมื่อโต้คารมกันไปแล้ว จะเกิดประโยชน์ และมีความก้าวหน้าในเรื่องนั้นๆ
๖. เป็นญัตติที่เข้าใจง่าย ใช้ข้อความสั้นๆ ถ้อยคำชัดเจน
การจัดบุคคลเพื่อการโต้วาที
บุคคลที่เกี่ยวข้องในการโต้วาทีมีดังนี้ คือ
๑. ประธานการโต้วาที ๑ คน
๒. ผู้โต้วาทีฝ่ายเสนอ ๓-๔ คน ประกอบด้วย
หัวหน้าฝ่ายเสนอ ๑ คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๑ ๑ คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๒ ๑ คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๓ ๑ คน
๓. ผู้โต้วาทีฝ่ายค้าน ๓-๔ คน ประกอบด้วย
หัวหน้าฝ่ายค้าน ๑ คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๑ ๑ คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๒ ๑ คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๓ ๑ คน
๔. ผู้ตัดสิน ๒-๓ คน
๕. ผู้จับเวลา ๒ คน
การจัดที่นั่ง
การจัดที่นั่งเพื่อการโต้วาทีนั้นนิยมจัดให้ผู้โต้วาทีทั้งหมด ซึ่งได้แก่ ประธาน ผู้โต้ฝ่ายเสนอ และผู้โต้ฝ่ายค้าน นั่งบนเวทีหันหน้าเข้าหาผู้ฟัง แบ่งเป็น ๒ แถว เรียงหน้ากระดานหรือเฉียงเล็กน้อยประธานมีที่นั่งแยกออกต่างหาก อาจจะนั่งอยู่ตรงกลางหรือนั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้ ที่นั่งของหัวหน้าฝ่ายเสนอ และฝ่ายค้านนั้นมักจะนั่งอยู่ตรงข้าม ผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายก็จะนั่งเรียงตามลำดับ และมักจะนั่งเรียงกันตามลำดับผู้พูดก่อนหลัง บนเวทีจะมีแท่นยืนแยกออกมาเป็นพิเศษ มักจะล้ำออกมาข้างหน้าเวทีเล็กน้อย เพื่อให้มองเห็นได้ชัด แต่ไม่ควรบังผู้อื่น
นอกจากการจัดที่นั่งสำหรับผู้โต้วาทีแล้ว เจ้าหน้าที่ต่างๆ ซึ่งได้แก่ กรรมการ ผู้ตัดสิน ผู้จับเวลา อาจจัดให้นั่งบนเวทีใกล้ๆ กับประธาน หรืออาจจะจัดให้นั่งด้านหน้าผู้ฟังก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ขนาดของเวทีหรือแล้วแต่ผู้จัดสถานที่จะเห็นสมควร
กำหนดเวลา
เวลาที่ใช้ในการโต้วาทีนั้นไม่ได้มีกฎข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ตายตัวว่าจะใช้เวลานานเท่าใด ปริมาณเวลายืดหยุ่นหรือมีความคล่องตัวพอสมควร ผู้จัดโต้วาทีอาจกำหนดเวลาได้ตามความเหมาะสม ซึ่งตามปกติแล้วการโต้วาทีจะใช้เวลาประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง ถ้าเป็นการโต้วาทีในชั้นเรียนเพื่อการฝึกฝนมักจะใช้เวลา ๑ ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นการโต้วาทีในที่ประชุมสาธารณะซึ่งมีผู้ฟังเป็นจำนวนมาก จะใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง
การกำหนดเวลาสำหรับผู้โต้วาทีแต่ละคน อาจทำได้ดังนี้ คือ
๑. ประธานการโต้วาทีกล่าวเปิดการโต้วาที ระบุญัตติที่จะโต้ และแนะนำผู้โต้ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาได้ตามความเหมาะสมตามที่ประธานกำหนดเอง แต่ควรระวังว่าไม่ควรใช้เวลานานจนเกินไปนัก
๒. หัวหน้าฝ่ายเสนอ ใช้เวลาเสนอเหตุผลต่างๆ ใช้เวลาประมาณ ๕-๑๐ นาที
๓. หัวหน้าฝ่ายค้าน ใช้เวลาพูดค้านข้อเสนอของฝ่ายเสนอ ใช้เวลาประมาณ ๕-๑๐ นาที เช่นเดียวกัน
๔. ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ และฝ่ายค้านแต่ละคน ใช้เวลาพูดประมาณคนละ ๓-๕ นาที
๕. หัวหน้าฝ่ายค้านกล่าวสรุป ใช้เวลาประมาณ ๓-๘ นาที
๖. หัวหน้าฝ่ายเสนอกล่าวสรุป ใช้เวลาประมาณ ๓-๘ นาที
๗. ประธานการโต้วาทีสรุปผลการตัดสินโต้วาที และกล่าวปิดการโต้วาทีใช้เวลาพูดตามความเหมาะสม
การกำหนดเวลาดังที่ได้เสนอมานี้เป็นเพียงแนวทาง อาจจะกำหนดเวลาให้มากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ตามความเหมาะสม
วิธีดำเนินการโต้วาที
การโต้วาที ควรดำเนินการตามลำดับขั้นตอนดังนี้คือ
๑. ประธานการโต้วาทีกล่าวเปิดการอภิปรายเสนอญัตติที่จะอภิปราย กล่าวขยายความเล็กน้อย จากนั้นกล่าวแนะนำผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย แนะนำการตัดสิน และผู้จับเวลาชี้แจงเรื่องกำหนดเวลาที่ผู้โต้แต่ละคนจะต้องใช้ วิธีการตัดสิน จากนั้นเชิญผู้โต้แต่ละคนขึ้นพูด เริ่มด้วยหัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน และผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ และฝ่ายค้านตามลำดับ
๒. หัวหน้าฝ่ายเสนอกล่าวเสนอเหตุผลต่างๆ เป็นประเด็นๆ ไป โดยระบุประเด็นที่สำคัญ ๆ เป็นการเริ่มต้นการถกเถียงโต้คารม
๓. หัวหน้าฝ่ายค้าน พูดค้านประเด็นต่างๆ ที่ฝ่ายเสนนอได้กล่าวมาแล้วถ้าเป็นไปได้ควรค้านทุกประเด็น แต่ถ้ามีเวลาจำกัดเลือกค้านแต่ประเด็นที่สำคัญ จากนั้นก็เสนอประเด็นที่ฝ่ายค้านต้องการเสนอบ้าง
๔. ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนหนึ่ง กล่าวคัดค้านประเด็นที่ฝ่ายค้านกล่าวค้าน และเสนอประเด็นใหม่มา เมื่อโต้คารมคัดค้านประเด็นต่างๆ หมดแล้ว ก็เสนอประเด็นใหม่เพื่อเพิ่มเป็นการเสริม และสนับสนุนฝ่ายเสนอ
๕. ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่หนึ่งโต้คารมคัดค้านประเด็นของผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอให้ครบทุกประเด็นใช้เวลาเท่ากับเวลาที่ผู้สนับสนุน ฝ่ายเสนอคนที่หนึ่งใช้ นอกจากการค้านแล้วควรเสนอประเด็นสำคัญๆ ที่ทางฝ่ายค้านต้องการเพิ่มเติมได้อีก
๖. ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่สอง กล่าวค้านประเด็นที่ฝ่ายค้านกล่าวมา ถ้าประเด็นใดผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอยังไม่ได้ค้านพยายามค้านให้หมด แล้วจึงเสนอประเด็นสำคัญๆ เพิ่มเติมเข้าไปใหม่ เพื่อให้การโต้วาทีดำเนินไปอย่างต่อเนื่องกัน ใช้เวลาในการพูดเท่ากับผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่หนึ่ง
๗. ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่สอง กล่าวค้านประเด็นทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ และค้านเพิ่มเติม
๘. หัวหน้าฝ่ายค้านกล่าวสรุปการค้านทั้งหมด ชี้ให้เห็นเป็นประเด็นๆ ไป พยายามชี้แจงให้เห็นชัดเจน
๙. หัวหน้าฝ่ายเสนอกล่าวสรุปข้อเสนอทั้งหมด และกล่าวค้านฝ่ายค้านในประเด็นสำคัญๆ ที่เห็นสมควรจะต้องคัดค้าน
๑๐. ประธานการโต้วาทีเชิญผู้ตัดสินหรือหัวหน้าคณะผู้ตัดสิน วิจารณ์การโต้วาที และเสนอผลการตัดสินการโต้วาที จากนั้นประธานกล่าวขอคุณผู้โต้วาทีทุกฝ่าย แล้วกล่าวปิดการโต้วาที
ข้อควรสังเกต
ประธานการโต้วาที กรรมการตัดสิน และผู้จับเวลา ควรรักษาเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ควรปล่อยให้ผู้โต้วาทีคนใดคนหนึ่งพูดเกินเวลา ควรมีสัญญาณเตือนก่อนหมดเวลาสักเล็กน้อย และพอหมดเวลาแล้วควรให้เสียงสัญญาณ หากผู้โต้วาทีไม่ยอมเลิกพูด ประธานการโต้วาทีควรพูดเตือนให้จบการพูด การโต้คารมหักล้างกันด้วยเหตุผล ไม่ใช้ด้วยอารมณ์หรือเป็นเรื่องส่วนตัว การพูดควรคำนึงถึงเนื้อหาสาระ และประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับด้วย การใช้คารมคมคาย และความขบขันช่วยให้บรรยากาศในการโต้วาทีดีขึ้น แต่ไม่ใช่จะตลกไปตลอดรายการจนหาสาระอันใดมิได้ นอกจากนั้นการใช้ภาษาในการโต้วาที ควรคำนึงถึง ความสุภาพ และขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามไว้ด้วย
หน้าที่ของบุคคลฝ่ายต่างๆ
บุคคลที่มีส่วนร่วมในการโต้วาทีควรมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ คือ
๑. ประธานการโต้วาที ประธานในการโต้วาที มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบ และต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑.๑ เปิดการโต้วาที ด้วยการกล่าวนำ และเสนอญัตติให้ผู้ชมทราบว่าจะโต้วาทีกันในเรื่องใด
๑.๒ แนะนำผู้ร่วมโต้วาทีทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายเสนอ และฝ่ายค้าน แนะนำเป็นรายบุคคล โดยเริ่มจากหัวหน้าฝ่ายเสนอก่อนแล้วจึง และนำผู้สนับสนุนฝ่ายเสนนอคนที่ หนึ่ง สอง สาม ตามลำดับ หลังจากนั้นจึงแนะนำหัวหน้าฝ่ายค้าน และผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน การแนะนำนั้นควรแนะนำเป็นรายบุคคล บอกชื่อ บอกนามสกุล บอกความสามารถ ความชำนาญพิเศษ และประสบการณ์ที่น่าสนใจ
๑.๓ แนะนำกรรมการผู้ตัดสินการโต้วาที และกรรมการจับเวลา
๑.๔ อธิบายให้ผู้โต้วาที และผู้ฟังเข้าใจตรงกันในด้านกำหนดเวลา ว่าแต่ละคนจะใช้เวลาในการพูดนานเท่าใด
๑.๕ ประสานงาน และดำเนินการโต้วาทีให้เป็นไปโดยเรียบร้อย เช่น เชิญหัวหน้าทั้งฝ่ายเสนอ และฝ่ายค้าน และผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายให้พูดตามลำดับ
๑.๖ รักษาเวลาในการโต้วาที คอยเตือนผู้พูดเมื่อหมดเวลาแล้ว ในบางกรณีประธานจะเป็นผู้จับเวลา และกดกริ่งเตือนด้วยตนเอง ประธานอาจเตือนผู้พูดเรื่องเวลาด้วยกริ่งสัญญาณหรือด้วยวาจาก็ได้
๑.๗ เชิญกรรมการผู้ตัดสินชี้แจงผลการโต้วาที แต่ในบางกรณีเมื่อกรรมการรวมคะแนนเสร็จแล้ว จะขอให้ประธานการโต้วาที เป็นผู้ชี้แจงผลการตัดสิน
๑.๘ สรุป และกล่าวปิดการโต้วาที
๒. หัวหน้าฝ่ายเสนอ มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
๒.๑ ใช้คำจำกัดความของญัตติ ด้วยการให้ความหมายทางภาษา และความหมายของญัตติโดยส่วนรวม กล่าวถึงขอบเขตของญัตติ
๒.๒ ชี้ให้ผู้ฟังเห็นข้อเท็จจริง และ เนื้อหาตามที่ปรากฏในญัตติ ชี้ให้เห็นความแตกต่าง และเปรียบเทียบข้อความในญัตติ
๒.๓ แสดงให้ผู้ฟังได้เห็นเหตุผล ด้วยการยกตัวอย่างกล่าวเปรียบเทียบ อ้างหลักฐาน และเหตุผลต่างๆ ให้ผู้ฟังเชื่อถือ และคิดคล้อยตาม
๒.๔ แสดงประเด็นที่สำคัญๆ ที่จะช่วยให้ญัตติที่เสนอเด่นชัดขึ้น ตั้งคำถามให้ฝ่ายตรงข้ามตอบ
๒.๕ กล่าวคัดค้าน เมื่อฝ่ายค้านใช้คารม วาทศิลป์ และเหตุผลหักล้างข้อเสนอ ก่อนกล่าวคัดค้านควรจดจำคำพูด และประเด็นสำคัญ ๆไว้
๒.๖ สรุปในตอนท้าย โดยพยายามรวบรวมความคิด และประเด็นสำคัญๆ ที่ฝ่ายเสนอพูดไปทั้งหมด และเสนอประเด็นใหม่ กล่าวทิ้งท้ายยั่วยุให้ผู้ฟังคิด และเชื่อถือในข้อเสนอทั้งมวลของฝ่ายเสนอ
๓. หัวหน้าฝ่ายค้าน มีหน้าที่ดังนี้ คือ
๓.๑ กล่าวคัดค้านข้อเสนอ และเหตุผลต่างๆ ที่หัวหน้าฝ่ายเสนอกล่าวมาทุกประเด็น ใช้เหตุผล
และหลักฐานต่างๆ ประกอบการคัดค้าน
๓.๒ บันทึกประเด็น และคำพูดสำคัญๆ ที่ฝ่ายเสนอกล่าว แล้วหาจุดอ่อนหรือข้อผิดพลาดต่างๆ
เพื่อหาเหตุผล และถ้อยคำมาหักล้างคำพูดของฝ่ายเสนอ
๓.๓ เสนอประเด็นสำคัญๆ ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นการโจมตีหรือหักล้างให้เหตุผลของฝ่ายเสนออ่อนลงไป
๓.๔ รวบรวมประเด็นสำคัญๆ ของฝ่ายค้านไว้กล่าวสรุป ในขณะเดียวกันก็บันทึกรวบรวมประเด็นสำคัญๆ ของฝ่ายเสนอไว้ด้วยเพื่อหาทางใช้เหตุผลสรุปโจมตีฝ่ายเสนอในตอนท้าย
๓.๕ กล่าวสรุปเมื่อผู้เสนอคนสุดท้ายพูดเสร็จ พูดใช้เหตุผลหักล้างประเด็นของฝ่ายเสนอให้หมด แล้วใช้วาทศิลป์จูงใจให้ผู้ฟังเชื่อถือ และเกิดความคิดคล้อยตามข้อคัดค้านของตน
๔. ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ มีหน้าที่ดังต่อไปนี้ คือ
๔.๑ กล่าวคัดค้าน การคัดค้านของหัวหน้าฝ่ายค้าน และคณะ
๔.๒ บันทึกถ้อยคำ และประเด็นที่สำคัญที่ฝ่ายค้านกล่าวมา แล้วหาทางใช้คำพูด และเหตุผลหักล้างข้อคิด ประเด็น เหตุผล ตลอดจนคำพูดที่ฝ่ายค้านทุกคนเสนอมา
๔.๓ กล่าวเสริมสนับสนุนความคิดสำคัญๆ ที่หัวหน้าฝ่ายเสนอได้กล่าวไปแล้ว
๔.๔ เสนอประเด็นใหม่ เหตุผลใหม่เพิ่มเติมเข้าไป เพื่อให้ข้อเสนอตามญัตติมีเหตุผลหนักแน่นยิ่งขึ้น
๔.๕ กล่าวย้ำตอนที่สำคัญที่เห็นว่าฝ่ายค้านมองข้ามไป หรือ มิได้กล่าวคัดค้าน
๕. ผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน มีหน้าที่ดังต่อไปนี้ คือ
๕.๑ กล่าวคัดค้านเหตุผลของฝ่ายเสนอ ทั้งหัวหน้า และผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอในทุกประเด็นให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
๕.๒ บันทึกถ้อยคำ และประเด็นสำคัญๆ ที่ฝ่ายเสนอกล่าวมา แล้วพยายามหาทางใช้วาทศิลป์หักล้างข้อเสนอเหล่านั้น
๕.๓ กล่าวสนับสนุนหัวหน้าฝ่ายค้าน และผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนอื่นๆ
๕.๔ เสนอประเด็นคัดค้านอื่นๆ นอกเหนือจากที่หัวหน้าฝ่ายค้าน และผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน คนอื่นได้พูดมาแล้ว
๕.๕ พูดเน้นหัวข้อที่สำคัญๆ และหาทางพูดจูงใจให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ และมีความคิดคล้อยตามการคัดค้านของฝ่ายตน
เทคนิคในการโต้วาที
ในการโต้วาทีนั้น ผู้พูดควรมีเทคนิค และวิธีการดังต่อไปนี้ คือ
๑. การโต้เถียง และแสดงคารมนั้น ควรใช้พื้นความรู้ในด้านต่างๆ ประกอบการพูด เพราะถ้ามีความรู้ดีการถกเถียงก็ยิ่งมีเหตุผลใกล้เคียงกับความเป็นจริง และนอกจากการมีพื้นความรู้ที่ดีแล้ว ควรจะมีความรวบรู้ด้วยคนที่ฟังมาก อ่านมาก เห็นมาก มีประสบการณ์มากย่อมมีความสามารถ ในการแสดงเหตุผล ได้ดีกว่าผู้ที่ขาดความรอบรู้
๒. การแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นการเสนอประเด็น หรือคัดค้าน ควรเสนอข้อเท็จจริง และเหตุผลต่างๆ อย่างดีเป็นที่น่าเชื่อถือ แม้จะมีผู้พยายาม ใช้วาทศิลป์หรือเหตุผลหักล้างก็ทำได้ไม่ง่ายนัก
๓. การคัดค้าน การกล่าวแก้ การแสดงคารมคมคายหรือใช้เหตุผลหักล้างเหตุผลของฝ่ายตรงข้ามนั้น ควรทำให้แนบเนียน จนผู้ฟังทั่วไปเห็นว่า การแสดงเหตุผลของฝ่ายตรงข้ามนั้นใช้ไม่ได้หรือเชื่อถือไม่ได้
๔. ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพูดควรฟังอย่างตั้งใจจดประเด็นหรือคำพูดสำคัญไว้กล่าวแก้หรือค้านเวลาพูดควรใช้เทคนิคการพูดจูงใจให้ผู้ฟังเชื่อ การเกิดความคิดคล้อยตาม
๕. ใช้ถ้อยคำ และสำนวนภาษาที่สุภาพ พยายามเลือกสรรถ้อยคำที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงวัฒนธรรมที่ดีงาม หลีกเลี่ยงภาษาต่ำ ภาษาคะนอง และคำหยาบต่างๆ
๖. การโต้วาทีให้ทั้งสาระ และความบันเทิง เพราะฉะนั้นในการถกเถียงโต้แย้งควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับ ไม่ควรพูดเล่นลิ้น หรือใช้คารมจนเกินไป
๗. ใช้คำพูดที่เหมาะสม สั้น กะทัดรัด ฟังแล้วเข้าใจได้โดยทันที ไม่ต้องตีความ พูดให้ชัดเจน เสียงที่พูดจริงจัง กระตือรือร้น เน้นเสียงในที่ควรเน้น และพูดเสียงเบาในที่ควรใช้เสียงเบา
๘. ใช้ท่วงที ท่าทาง และสีหน้าประกอบการพูด อาจจะมีการทุบโต๊ะ ทุบที่ฝ่ามือบ้าง ขณะที่พูดควรใช้สายตามองไปยังผู้ฟังให้ทั่วถึง เพื่อตรึงความสนใจของผู้ฟัง ในขณะเดียวกันก็ควรสังเกตความสนใจของผู้ฟังด้วย ยิ้มเมื่อพูดถึงข้อความที่ชวนขัน แต่ไม่ควรหัวเราะเสียเอง ทำหน้าบึ้งเมื่อกล่าวถึงข้อความที่แสดงอาการไม่พอใจ และทำหน้าขึงขังเมื่อพูดถึงตอนเด็ดขาด
๙. ขณะที่พูดควรควบคุมอารมณ์ให้ดี อย่าเผลอโกรธ หรือแสดงอารมณ์ออกไปไม่ว่าจะเป็นด้วยวาจา สีหน้า ท่าทาง เพราะจะเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตีได้
การตัดสินการโต้วาที
การตัดสินการโต้วาทีนั้น ตามหลักแล้วจะต้องมีการตัดสินให้ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชนะ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายแพ้ การที่การโต้วาทีในประเทศไทย ยังมีผลเสมอกันบ่อยๆ นั้น เพราะผู้จัดก็ดี กรรมการก็ดี ยังไม่ใช้หลักสากลที่ว่าเมื่อมีการโต้วาทีกันแล้ว ผลต้องปรากฏออกมาว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ และอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นฝ่ายแพ้นั่นเอง ในกรณีที่เหตุผลของแต่ละฝ่ายก้ำกึ่งกัน ต้องถือว่าฝ่ายเสนอเป็นฝ่ายแพ้ เพราะตามธรรมดานั้นถ้าเราเสนอสิ่งใดให้เป็นที่ยอมรับ เราต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ แม้จะมีผู้คัดค้าน น้ำหนักในการค้านก็จะต้องไม่เพียงพอข้อเสนอจึงจะเป็นที่ยอมรับได้
อนึ่ง ควรเข้าใจความหมายของคำว่า "ญัตติ" ด้วยว่าญัตติหมายถึง ข้อเสนอเพื่อลงมติ การลงมติต้องออกผลมาประการใดประการหนึ่งเท่านั้น คือ ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ถ้าผ่าน ผู้เสนอญัตติก็เป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายแพ้ โดยกลับกันถ้าไม่ผ่าน ฝ่ายเสนอก็แพ้ ฝ่ายค้านก็ชนะ
การตัดสินผลการโต้วาทีให้มีฝ่ายชนะ และฝ่ายแพ้ อาจทำได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ
๑. การตัดสินโดยคณะกรรมการ ตามปกติผู้จัดให้มีการโต้วาทีจะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง มีจำนวน ๒-๓ คน เป็นผู้ตัดสินผลการโต้วาที
๒. การตัดสินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ตามปกติแล้วการโต้วาทีนั้น มักจะมีผู้ทรงคุณวุฒิมานั่งฟังอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง คณะผู้จัดอาจเชิญให้ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นเป็นผู้วิจารณ์ฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายใดเป็นฝ่ายแพ้ ผู้ฟังก็จะได้รับทราบเหตุผลการแพ้ชนะไปด้วย การเชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้มีเกียรติให้เป็นผู้ตัดสินการโต้วาทีนั้น ควรเชิญมาล่วงหน้าจะดีกว่าเชิญ ณ ที่นั้นเลย
๓. ประธานการโต้วาทีเป็นผู้ตัดสิน ในบางกรณีประธานการโต้วาทีจะเป็นผู้ตัดสินโต้วาทีด้วยบางครั้งผลการตัดสินของคณะผู้ตัดสินปรากฏว่าเสมอกัน ประธานก็จะต้องเป็นผู้ชี้ขาด
๔. ผู้ฟังเป็นผู้ตัดสิน ผู้ฟังเป็นผู้ที่ตัดสินใจในการโต้วาทีในครั้งนั้นอย่างจริงจังจึงได้มาฟัง เพราะฉะนั้นเขาจะฟังด้วยความสนใจ และตั้งใจ การให้ผู้ฟังเป็นผู้ตัดสินก็นับว่าดีในแง่ที่ว่าผู้ฟังได้มีส่วนร่วมด้วย และอาจจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ยุติธรรมได้ วิธีการตัดสินมักจะให้ผู้ฟังยกมือ หรือลงบัตร หรทอปรบมือ (ซึ่งใช้การจับเวลาความนานของการปรบมือ)
บุคลิกภาพกับความสำเร็จ
·
บุคลิกภาพเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ในการที่จะช่วยส่งเสริมหรือขัดขวางความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเรียน การทำงาน การเข้าสังคม (โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์, 2544) แม้ว่า ความรู้ความสามารถ เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่สุดใน การทำงาน แต่ไม่ใช่หมด การยอมรับของสังคมนั้นต้องมี ส่วนประกอบ ที่สำคัญนั้นคือ บุคลิกภาพ (วรวรรณา จิลลานนท์, 2546) ดังนั้น บุคลิกภาพ จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งผลและเกี่ยวข้องกับ การประสบความสำเร็จ
สถาบันราชภัฏเทพสตรี (2543) ได้กล่าวถึงบุคลิกภาพของ "คนเก่ง” ว่าจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่
1. .เก่งตน หมายถึง เป็นผู้ที่ชอบศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ทัน โลกทันคน โดยเริ่มจาก พัฒนาตนเอง ก่อน ประกอบด้วย
- ทางกาย : รูปร่าง พัฒนาให้ดีขึ้นโดยใช้การแต่งกายช่วยลดหรือเสริมจุดเด่นจุดด้อย หน้าตาสด ชื่นแจ่มใส สะอาด เข้มแข็งแต่ไม่กระด้าง อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
- ทางวาจา : การพูดดีมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ พูดแต่ดี มีประโยชน์ ผู้ฟังชอบ และทุกคน ปลอดภัย คิดก่อนพูด
- ทางใจ : มีความมั่นใจในตนเอง กระตือรือร้น มีความอดทน พยายาม มีเหตุผล การ มีสมรรถภาพ ในการจำ และมี ความคิดสร้างสรรค์
2. เก่งคน หมายถึง มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
3. เก่งงาน หมายถึง ผู้ที่รักงาน ขยันทำงาน และรู้วิธีทำงาน
กิติมาพร ชูโชติ (2544) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของบุคลิกภาพ ที่ส่งผลต่อ ความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคลิกภาพ ของบุคคลที่ จะเป็นผู้นำว่า "เป็นปัจจัยที่สำคัญในการบริหารที่จะทำให้องค์การทำงานสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ วิธีการบริหาร ของผู้นำ นั้นเกิดจาก พฤติกรรมส่วนตัว ของ ผู้นำเป็นสำคัญ ไม่ใช่เกิดจาก อำนาจที่เป็นทางการ และส่งผลให้ คนเชื่อและทำตาม” โดยได้เสนอแนะบุคลิกภาพของ "ผู้นำในอนาคต” ที่ต้องการประสบความสำเร็จว่า ต้องมี คุณลักษณะที่สำคัญ ประกอบด้วย
1. ยืนหยัด คือ การที่ไม่ยอมเสียจุดยืน เสียความมั่นใจของตนเอง มีเหตุผลและการใช้วิจารณญาณของตนเอง
2. ยืดหยุ่น คือ การรู้จักผ่อนปรนตามสถานการณ์เพื่อให้การปฏิบัติการบรรลุตามเป้าหมาย
3. ยินยอม คือ การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ประนีประนอม
4. ยิ้มแย้ม คือ สามารถยิ้มรับสถานการณ์ได้ทุกรูปแบบ แสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม
5. ยกย่อง คือ การรู้จักยกย่องผู้อื่นด้วยความจริงใจ
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของ โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ (2544) บุคลิกภาพของผู้นำที่ได้รับการยอมรับนั้น จะประกอบด้วย องค์ประกอบอยู่ 3 ประการ อันได้แก่
1. องค์ประกอบทางสรีระ ได้แก่ ลักษณะรูปร่าง น้ำหนัก ส่วนสูง และความแข็งแรงของร่างกาย แม้ว่าความสัมพันธ์ของ องค์ประกอบ ทางสรีระ และความเป็นผู้นำจะผันแปรไปตามลักษณะของกลุ่มแต่ละกลุ่ม แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนทั่วไปมักนิยมชื่นชอบผู้นำที่มีรูปร่างสมส่วน และมีความเข้มแข็งด้านร่างกายและจิตใจ แม้ว่าจะมีผลการศึกษาหลายชิ้นที่สนับสนุนความเชื่อที่ว่า หน้าตาที่หล่อ/สวย นั้นมี ความสัมพันธ์กับ ความสำเร็จในการงาน แต่จากการศึกษาของ วันชัย อริยะพุทธิพงศ์ (2545) ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ศิษย์เก่าจาก มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง กลับพบว่า หน้าที่ตาหล่อ/สวยไม่มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการงาน
2. องค์ประกอบด้านสติปัญญา หมายถึง
(1) ความสามารถในการปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงตนเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือปัญหาที่เผชิญอยู่
(2) ความสามารถในการศึกษาหรือการเรียนรู้ และ
(3) ความสามารถในการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม ซึ่งหากผู้นำมีระดับสติปัญญาในระดับปกติหรือระดับฉลาดก็มีแนวโน้มว่า ความเป็นผู้นำนั้น จะประสบความสำเร็จหรือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. องค์ประกอบทางอารมณ์ ได้แก่ ความสามารถทางอารมณ์ (Emotional Intelligence Competencies) หรือ เชาว์อารมณ์ (Emotional Quotient : EQ) หมายถึง ความสามารถในการตระหนัก รู้ถึงความรู้สึกของตนเอง และของผู้อื่น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง บริหารจัดการอารมณ์ของตนเองและของผู้อื่น
จะเห็นได้ว่า บุคลิกภาพเพื่อความสำเร็จนั้น จะประกอบด้วยองค์ประกอบ หรือ คุณลักษณะหลายประการ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเอื้อต่อ การประสบความสำเร็จ แต่ในยุคแห่งการแข่งขันในปัจจุบันสุภกิจ โสทัต (2540) กลับเชื่อว่า ความรู้และ ความเฉลียวฉลาด ของบุคคลนั้น มีความสำคัญน้อยกว่า ความมุ่งหวังตั้งใจเด็ดเดี่ยว แน่นอนและมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวางจุดมุ่งหมายที่แน่นอนในชีวิต เพราะ "บุคคลที่ขาดจุดหมายก็คือคนที่ขาดหลักสำหรับยึดเหนี่ยว ยิ่งในยุดที่ "ใครแข็งใครอยู่” แล้ว คนที่อ่อนแอ จะถูกผลักให้ถอยไปข้างหลัง รวมทั้งคนที่ตั้งใจทำอะไรเพียง ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็จะไม่มีวันก้าวไปสู่ความสำเร็จได้เลย”
นอกจากนั้น วรวรรณา จิลลานนท์ (2546) ยังมีข้อแนะนำเบื้องต้นสำหรับ "คนทำงานรุ่นใหม่” คือ การทำความเข้าใจเรื่องของ "กาลเทศะ” และ "มารยาททางสังคม” เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการยอมรับทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังจะสมัครงาน จะต้องปรับเปลี่ยน หรือเสริมสร้าง "บุคลิกภาพใหม่” ดังกล่าวให้เหมาะสม เพื่อความได้เปรียบและเสริมสร้างโอกาสใน การทำงานและความสำเร็จต่อไป