กฎของผู้นำ แจ๊ค เวลซ์
1.ผู้นำไม่ลดละความพยายามที่จะยกระดับคน ใช้ทุกโอกาสในการประเมิน โค้ช และสร้างความมั่นใจให้กับทีม การประเมินครอบคลุมไปถึงการจัดคนให้ตรงกับงาน สนับสนุนเขา โยกย้ายคนที่ไม่เหมาะกับงาน การโค้ชรวมไปถึงการทำทุกวิถีทางที่จะบอกเรื่องผลงานแบบตรงไปตรงมาเพื่อทำให้เขาทำงานได้ดีที่สุด การพัฒนาคนต้องทำทุกวัน ไม่ใช่พูดคุยกันปีละครั้งตอนประเมินผลงาน ให้มองว่าผู้นำคือชาวสวนที่มือขวาถือกระบวยรดน้ำ มือซ้ายถือปุ๋ย บางครั้งก็ต้องถอนต้นไม้ที่ไม่ดีออกไป ส่วนใหญ่แล้วเป็นการเพาะบ่ม แล้วรอคอยการเติบโตของไม้นั้น
2.ผู้นำต้องมั่นใจว่าทุกคนเข้าใจวิสัยทัศน์อย่างชัดเจน ขนาดหายใจเข้าออกเป็นวิสัยทัศน์ พูดง่ายๆ ว่าปลุกคนของเรากลางดึกนี่ท่องได้แบบอาขยานเลย เขาบอกว่าสมัยเขานั้น ช่วงที่เขาพูดเกี่ยวกับวิสัยทัศน์นั้นจ้ำจี้จำไชจนตัวเองเอียนไปเลย แต่ต้องทำ โดยสื่อสารกับทุกระดับ ไม่ใช่แค่ระดับจัดการ
3.ผู้นำกระตุ้นจูงใจให้คนมีความรู้สึกกระตือรือร้นและคิดบวกในการทำงาน ผู้นำต้องต่อสู้กับแรงเสียดทานเชิงลบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปพูดหวานหลอกพนักงาน เราต้องแสดงออกให้พวกเขาเห็นว่าเรามีพลังและกำลังใจ มีทัศนคติ “เราทำได้” เมื่อเผชิญกับปัญหาและความท้าทาย ซึ่งเราต้องไม่นั่งจมปลักในออฟฟิศ แต่ต้องออกไปทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทีมงาน ให้เขารู้สึกได้จริงๆ ว่าเราแคร์พวกเขา
4.ตรงไปตรงมา โปร่งใส และเชื่อถือได้
5.กล้าตัดสินใจในเรื่องที่ฝืนความรู้สึกคนหมู่มาก และมั่นใจในสัญชาตญาณตัวเอง การตัดสินใจบางอย่างอาจมีแรงต่อต้านสูงจากคนของเรา ต้องเริ่มต้นด้วยการรับฟังพวกเขาอย่างตั้งใจ แล้วอธิบายเหตุผลของการตัดสินใจให้ชัดเจนที่สุด และลงมือดำเนินการ อย่ามัวรีรอ หรือปลอบประโลมมากเกินไป เราเป็นผู้นำไม่ได้เป็นเพราะว่าต้องการมาหาคะแนนนิยม เรามาเพื่อนำพวกเขา คุณได้รับการแต่งตั้งแล้ว ไม่ต้องหาเสียงสนับสนุนแบบนักการเมือง ในบางกรณีคุณอาจต้องใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจ กล้าและมั่นใจ อย่าลังเล คุณได้เป็นผู้นำเพราะมีประสบการณ์และเห็นมามากกว่าคนอื่น
6.กล้าถาม กล้าซักค้าน และผลักดันให้เกิดงาน เวลาที่เราเป็นระดับปฏิบัติการ เราต้องเก่งและรอบรู้ในงานของเรา แต่เมื่อเรากลายเป็นผู้นำแล้ว บทบาทเปลี่ยนไป เราต้องถามเก่งแทน บางทีคุณอาจจะดูเหมือนคนที่โง่ที่สุดในห้องประชุมจากคำถามของคุณ และเมื่อถามไปแล้วก็ให้แน่ใจว่าได้คำตอบ ตลอดจนคนของเรานำสิ่งที่บอกจะทำไปทำจริงๆ อย่ามั่นใจว่าคนบอกอะไรเราแล้วเขาจะทำตามที่บอก ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง
7.ผู้นำจุดประกายให้คนกล้าเสี่ยงโดยการทำตัวให้เป็นแบบอย่าง สมัยทำงานใหม่ๆ แจ๊คเคยทดลองเคมีบางอย่างจนห้องแล็บระเบิด แต่ไม่มีใครบาดเจ็บ เขาวิตกมากเมื่อต้องไปรายงานสิ่งที่เกิดกับผู้บริหารระดับสูงที่ชื่อชาร์ลี รีด แทนที่จะได้รับการตำหนิและกล่าวโทษ ชาร์ลีกับแสดงความเห็นใจ สอบถามถึงสาเหตุอย่างเป็นระบบ แนะนำกระบวนการและสอนวิธีการป้องกันปัญหาในอนาคต แจ๊คนอกจากจะได้เรียนรู้แนวทางการทำงานแล้ว เขายังได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรอย่างเหมาะสม เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดผิดพลาดขึ้นมา
8.ฉลองความสำเร็จสำหรับแต่ละคนที่ทำงานเป็นเลิศ แจ๊คไม่ชอบงานสังสรรค์ประจำปี เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สนุกนัก แต่เขาหมายถึงการที่ใครบางคนทำงานยอดเยี่ยม ก็ต้องมีการสมนาคุณ เช่น ให้รางวัลพิเศษด้วยการให้พาครอบครัวไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์
· Tab 6
ผู้นำแห่งความสำเร็จ
องค์กรไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถทสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนได้รับคำชื่นชมว่ามีความสำเร็จได้ทั้งนั้น ขอเพียงมีองค์ประกอบในการทำงานดี ความสำเร็จก็รออยู่ไม่ไกลองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ ผู้นำต้องดี ถ้ามีผู้นำดี ลูกน้องก็ไม่หลงทาง องค์กรก็ไม่เป๋ จะคิดอะไร จะทำอะไร ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ นี่คือ 10 องค์ประกอบของผู้นำที่ทรงประสิทธิภาพ ที่ทุกองค์กรต้องมองหา
1. ตัดสินใจเด็ดขาด
ผู้นำที่รู้จักตัดสินใจอย่างเด็ดขาด มักมีคุณสมบัติพิเศษควบคู่กันอยู่อีกประการหนึ่งเสมอคือ มักถูกต้องและมีเหตุมีผล เขามักจะเป็นคนที่พูดจาคำไหนคำนั้น ถือได้ว่าเป็นผู้นำที่ดีที่สุดของลูกน้อง บางครั้งการตัดสินใจดูเหมือนจะใช้ความคิดของตนเป็นใหญ่ไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ เพราะเขากำลังอยู่ใน บทบาทซึ่งเป็นผู้นำ และเขาจะติดตาม รับผิดชอบไปจนเสร็จสิ้นทั้งกระบวนการถ้าผู้นำมีความมุ่งมั่น ตัดสินใจเร็ว ไม่โลเล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยๆ ลูกน้องก็จะเกิดความมั่นใจ เชื่อถือ และสามารถทำงานได้โดยไม่สะดุดบ่อยๆ ผิดกับเจ้านายที่โลเลต่อการตัดสินใจ ลูกน้องก็มักจะมีบุคลิกภาพแบบนักรีรอ ไม่พร้อมจะทำ ไม่พร้อมจะลุย ไม่พร้อมจะตัดสินใจ และไม่พร้อมจะรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
2. มีเป้าหมายชัดเจน
นอกจากจะเฉียบขาดแล้ว ผู้นำที่มีจุดยืน มีอุดมการณ์ หรือมีจุดหมายที่ชัดเจน ก็เป็นที่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง จุดหมายที่องค์กรมีร่วมกันโดยมีนายเป็นผู้ถือธงนำนั้น ก็เหมือนกับทั้งทีมได้เห็นเส้นชัยหรือหลักชัยที่ต้องเดินไปให้ถึง ถ้ามีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนแล้ว เราก็สามารถมุ่งหน้าไปยังจุดๆ นั้นได้ง่าย และเร็วขึ้น เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ คนที่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่นั้น ย่อมดีกว่าเดินไปคิดลังเลไป เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
3. รู้จักใช้คน
Put he right man in the right job. ยังใช้ได้ดีในทุกสถานการณ์ และทุกที่ ผู้นำที่ดีต้องรู้จักลูกน้องของตนว่าใครเหมาะที่จะทำอะไร งานไหนควรให้ใครรับผิดชอบ คนไหนเก่งอะไร มีข้อบกพร่องด้านใดอยู่บ้าง ก็พยายามแก้ไขให้เขาสมบูรณ์แบบขึ้น ใครขาดใครเกินส่วนไหน ก็ปรับแต่งให้ลงตัว อย่างนี้จึงจะเรียกว่า บริหารคนเป็น การรู้จักนิสัยใจคอ ความชอบส่วนตัวของลูกน้อง นอกจากจะทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพขึ้นแล้ว ยังเป็นข้อหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผู้นำเอาใส่ใจต่อลูกน้องของเขาเป็นอย่างดี
4. ซื่อสัตย์
นอกจากจะเป็นคนที่ทำงานเก่งแล้ว ผู้นำต้องเป็นตัวอย่างของความซื่อสัตย์ต่อองค์กรด้วย เขาควรจะบริหารค่าใช้จ่ายภายในอย่างเป็นธรรมถูกต้อง ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบให้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ การมีเจ้านายเป็นคนเก่ง และเป็นคนดีที่ไว้ใจได้ อาจพูดได้ว่าเป็นโชคทบของลูกน้องที่ได้ร่วมงานด้วยเลยทีเดียว และคุณสมบัติเช่นนี้ก็จะเป็นแบบอย่างให้ลูกน้องตระหนักถึงคุณลักษณะที่ดี ของเขา เขาควรจะยิ่งต้องยึดถือความสัตย์ซื่อเป็นสรณะตามไปด้วย
5. สนับสนุนลูกน้อง
ผู้นำที่ดีต้องให้โอกาสลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เปิดโอกาสให้เขาได้ทำงานที่พิสูจน์ความสามารถของเขาด้วย งานใดจะส่งเสริมให้ความสามารถของลูกน้องโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ ก็ควรสนับสนุน ไม่ใช่แย่งผลงานและโอกาสในการสร้างผลงานของลูกน้องมาเป็นผลงานของตัวเองหมดเสียทุกครั้งไป ให้โอกาสเขาได้เจริญเติบโต พร้อมทั้งผลักดัน สนับสนุน ให้สร้างเสริมความสามารถให้ยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆผู้นำที่ดีต้องสร้าง ลูกน้องให้เก่งขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าเขาจะเลื่อนขั้นขึ้นมาทำงานแทนได้ในภายภาคหน้า
6. มีมนุษยสัมพันธ์ดี
ผู้นำที่ดีต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี ทั้งในและนอกองค์กร บางครั้งนอกองค์กรนายอาจจะเป็นคนนิสัยดีเยี่ยม อัธยาศัยดี น่าคบหา แต่กับคนใกล้ตัวอย่างลูกน้องในองค์กร นายอาจจะเปลี่ยนนิสัยไปอยู่ขั้วตรงข้าม อย่างนั้นก็นับเป็นผู้นำที่ใช้ไม่ได้ นายที่ดีต้องไม่ลืมข้อนี้ แค่ทักทาย ถามไถ่ทุกข์สุขลูกน้อง ขอบคุณเมื่อเขาทำงานให้ ให้รางวัลหรือคำชมเชย เมื่อเขาทำในสิ่งซึ่งน่าชมเชย เหล่านี้เป็นต้น นายที่ดีต้องรู้จักยืดหยุ่น มีอารมณ์ขัน อาจมีการพบปะสังสรรค์กันนอกเวลางานบ้าง เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และจะส่ง ผลให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น
7. รู้จักรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง
ผู้นำที่เอาแต่พูดๆๆๆ อยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่ฟังความคิดเห็นหรือคำอธิบายของลูกน้องเลย นับเป็นเจ้านายที่ปิดกั้นตัวเองอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเจ้านายมักมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่า มีความรู้มากกว่าลูกน้อง แต่การไม่ยอมรับฟังอะไรจากใครเลย ก็ไม่เป็นผลดี เพราะบางทีลูกน้องอาจมีข้อเสนอดีๆ ที่นายมองข้ามไป หรืออาจมีคำ อธิบายที่ฟังขึ้นในความผิดพลาดของงานที่นายมองไม่เห็น การฟังลูกน้องพูดหรืออธิบายบ้าง จะช่วยให้ลูกน้องทำงานอย่างสบายใจ ไม่รู้สึกกดดันมากนัก เมื่อมีปัญหาเขาจะกล้ามาถามหรือเสนอแนะในข้อที่เขาเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดี แค่รู้จักฟังลูกน้องให้มากขึ้นเพียงนิดหน่อย ก็จะกลายเป็นผู้นำหรือเจ้านายที่น่ารักขึ้นอีกโขเชียวค่ะ
8. บุคลิกภาพต้องดีเยี่ยม
เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง ผู้นำหรือเจ้านายควรเป็นผู้มีบุคลิกดี แต่งกายเหมาะสมกับรูปร่าง หรือ ฐานะทางสังคม ต้องดูสะอาดสะอ้าน ดูสุภาพ เข้างานสังคมได้อย่างไม่ขัดหูขัดตา และมีบุคลิกดึงดูดใจ น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ถ้าคุณเป็นผู้นำหรือนายที่ความสามารถเป็นเลิศอยู่แล้ว แต่บุคลิกภาพกลับดูแย่ อย่างนี้ก็ถือว่าก็ยังมีข้อบกพร่องให้ลูกน้องรู้สึกไม่ดีได้ จึงโปรดอย่าตกม้าตายด้วยเรื่องง่ายๆ เรื่องนี้
9. มีศิลปะในการเจรจา
ขอเพียงพูดด้วยความนุ่มนวล พูดอย่างรู้จักไตร่ตรอง รู้จักสถานการณ์ รู้คิด รู้กาลเทศะ และรู้จักคนที่เรากำลังเจรจาด้วย ความสำเร็จก็รออยู่ไม่ไกล ในการพูดนั้นต้องคิดก่อน มีการเตรียมการมาก่อน ความคิดต้องไม่สับสน พูดอย่างสั้น กระชับ ตรงประเด็น จริงใจ เป็นธรรมชาติ ใช้เสียงที่ดังพอประมาณ คือให้คู่สนทนาได้ยินชัดเจน หากมีผู้ร่วมสนทนาหลายคน ทุกคนต้องได้ยินเสียงพูดอย่างทั่วถึงกัน พูดจาต้องมีหางเสียง มีจังหวะจะโคนที่ราบรื่น มีเสียงหนักเบาเพื่อเน้นความสำคัญของสิ่งที่พูด และไม่ทำให้รู้สึกเบื่อ สายตาควรจับจ้องไปยังผู้ฟังถ้วนทั่ว และเมื่อพูดจบ จงแสดงท่าทีว่าคุณพร้อมแล้วที่จะรับฟังความเห็นของคนอื่น ไม่ปิดกั้น ไม่คิดว่าสิ่งที่คุณพูดไปนั้นดีที่สุด ถูกต้องที่สุดกว่าคนอื่นๆ แต่มันมีความถูกต้องรอบคอบอย่างที่สุดแล้ว จากความคิดของคุณ คนอื่นๆ มีความคิดเห็นอย่างไร ต้องเปิดโอกาสให้เขาแสดงออกมา เพื่อได้รับแรงสนับสนุน หรือหากถูกค้าน ก็เป็นโอกาสที่เราจะอธิบายเพิ่มเติมได้
10. มีความเป็นผู้นำ
ความเป็นผู้นำนี้แหละ สำคัญสูงสุด และลอยตัวอยู่เหนือเพศสภาพ คนเป็นผู้นำไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นเพศใด แต่เขามีความคิดที่เฉียบคม ที่การลงมือที่เฉียบขาด และมีการประสานงานที่เฉียบแหลม เขามักอยู่ข้างหน้าผู้อื่นเสมอ ทั้งการคิด การแสดงความคิดเห็น การลงมือทำ และความรับผิดชอบ เขาต้องพร้อมจะผิดก่อนคนอื่น และอธิบายถึงความผิดพลาดนั้นอย่างกล้าหาญ ถูกต้อง และแสดงภูมิรู้ว่าเขาเกิดการเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ พร้อมกันนี้เขาก็พร้อมจะนำพาทุกคนให้ก้าวพ้นความผิดพลาดนั้นๆ ปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง เข้าใจองค์กรและเห็นใจผู้ร่วมงาน ประสานประโยชน์ขององค์กรและผู้ร่วมงานได้ดี ได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากผู้ร่วมงานในทุกระดับ
Information Technology
· Tab 1
แนวโน้มโลกไอทีมาแรงปี 2009 ทุกแนวโน้มชี้ว่าสินค้าไอทีต้องถูกและดีเท่านั้นถึงจะอยู่รอด เชื่อสงครามราคาจะเกิดขึ้นเพียงส่วนเดียวแต่จะต้องไปฟาดฟันกันที่คุณภาพว่า ใครคุ้มค่ากว่า ผลที่เกิดขึ้นคือจำนวนสินค้าไอทีที่จำหน่ายในปีฉลูจะไม่ลดลง แต่สัดส่วนกำไรจะตกต่ำแทน มั่นใจแม้เศรษฐกิจทั้งปีจะซบเซาเผาจริงเพียงไร แต่ตราบใดที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อและความต้องการ อุตสาหกรรมไอทีก็ยังไม่ถึงขาลง
ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช รองผู้จัดการทั่วไป และผู้อำนวยการฝ่ายนิวมีเดีย บริษัท เอ.อาร์. อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด กล่าวว่าทั้ง 9 แนวโน้มนี้เป็นการพิจารณาจากข้อมูล ที่มีและสิ่งที่ได้พบ ใน งานแสดงสินค้าไอที หลากหลายงาน ข้อมูลบางส่วนสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค (Consumer Electronic : CE) ในปี 2009 กำลังมีพัฒนาการ มากขึ้นจนทับซ้อนสินค้าข้ามสายพันธุ์ เชื่อว่าหลายตลาดจะถูกกลืนกินไป
“ตลาด จะเบลอมากขึ้น คอมพิวเตอร์ตัวเล็กอย่างเน็ตบุ๊กจะเริ่มไม่แตกต่างจาก โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือก็จะพัฒนาฟังก์ชันกล้องถ่ายภาพ จนทับซ้อนกับกล้องดิจิตอลชนิด คอมแพค และในอนาคต การที่สมาร์ทโฟนจะหันมากินตลาดเน็ตบุ๊กก็อาจเกิดขึ้นได้“
ประสิทธิ์บอกด้วยว่าปี 2008 ที่ผ่านมาเป็นปีที่โปรดักต์ไลน์สินค้าไอทีวิ่งเร็วมาก ความถี่ในการออกสินค้าไอทีทั้งปีค่อนข้างสูง แต่ปี 2009 เชื่อว่าความถี่นี้จะลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯคือแหล่งผลิตเทคโนโลยีสำคัญของโลก หากสหรัฐฯต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจจริงอย่างที่คาดการณ์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ความเร็วในการออกสินค้าไอทีใหม่จะช้าลงทั่วโลก
เน็ตบุ้กจะไล่กินตลาดโน้ตบุ๊ก
“เดสก์ ท็อปถูกโน้ตบุ๊กบี้มาแล้ว กำลังคิดว่าโน้ตบุ๊กจะถูกเน็ตบุ๊กบี้อีก ที่ผ่านมา ผู้บริโภคหลาย คนมองไม่ออกว่าเน็ตบุ๊กและโน้ตบุ๊กเป็นคนละชนิดกัน มองแค่ว่าตัวเล็กกว่าและไม่มี ไดร์ฟ แต่ปี 2009 เน็ตบุ๊กจะเพิ่มขนาดหน้าจอเป็น 12 นิ้ว เมื่อจอใหญ่ขึ้นคีย์บอร์ดก็ใหญ่ขึ้นตาม และไม่แน่ก็ อาจจะเพิ่มไดร์ฟดีวีดีมาให้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคยิ่งมองไม่ออกว่า เน็ตบุ๊กต่าง จากโน้ตบุ๊ก อย่างไร โดยผู้ผลิตหลายรายออกมาประกาศแล้วว่า ปี 2009 จะทำตลาดเน็ตบุ๊กเพิ่มขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 50%” ประสิทธิ์กล่าว
เน็ตบุ๊ก (Netbook) คือคอมพิวเตอร์พกพารุ่นเล็กราคาประหยัด ที่เน้นความสามารถใน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ประสิทธิ์เชื่อว่าเน็ตบุ๊กจะน้ำหนักเบาขึ้น แต่สามารถรองรับ การเชื่อมต่อได้ ทุกชนิด ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่หมื่นบาทต้นๆ รุ่นที่ราคาแตะ 20,000 จะลดราคาลง ขณะที่โน้ตบุ๊กจะหนีการ รุกรานของเน็ตบุ๊ก ด้วยการย้ายไปทำตลาดกลุ่มผู้สร้าง คอนเทนท์ เช่นกลุ่มผู้สร้างงานตัดต่อวีดีโอหรือมัลติมีเดีย แม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มก็ตาม
“โน้ตบุ๊กจะฉีกไปด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า เชื่อว่าโน้ตบุ๊กรุ่นเล็กจะไม่ตายเพราะยังต่างเรื่องราคา เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ที่ยังไม่ตายแม้จะถูกโน้ตบุ๊กรุกราน”
มือถือใหม่จะเป็นระบบสัมผัสเกือบทั้งหมด
ประสิทธิ์เชื่อว่า โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ในปี 2009 จะเป็นระบบสัมผัสหรือทัชสกรีนเกือบทั้งหมด แต่รุ่นล้ำสมัยอาจจะมาพร้อม ฟังก์ชันพิเศษ อย่างโปรเจคเตอร์ ฟังก์ชันกล้องถ่ายภาพจะพัฒนาไปเป็น 8 ล้านพิกเซลจนทับซ้อนกล้องดิจิตอลชนิดคอมแพค ดีไซน์ยังเป็น “สี่เหลี่ยม แบน บาง ติดกล้อง หน้าจอเรียบ” เช่นเดิม มือถือจากจีนจะครองใจรากหญ้าต่อไป
“ตอน นี้มือถือมีหมดแล้ว ที่ยังขาดคือโปรเจคเตอร์ ที่งาน CES โชว์เทคโนโลยีนี้มาหลายปีแล้ว อาจจะฝังไปเลยหรือผลิตเป็น อุปกรณ์เสริม จำหน่ายแยกกัน ตอนนี้จีนทำได้แล้ว เป็นทัชสกรีนที่สามารถเล่นเกมขณะฉายหนังผ่านโปรเจคเตอร์ LED ได้พร้อมกัน ขนาดภาพที่ได้จาก โปรเจคเตอร์ประมาณ 50 นิ้ว”
ประสิทธิ์มั่นใจว่า แพลตฟอร์มแอนดรอยด์ของกูเกิลจะมาแรงแน่นอนในกลุ่มผู้ไม่ใช่สาวกไอโฟน โดยปีฉลูจะเป็นปีที่ผู้ผลิตคอนเทนท์ผลักดัน ให้การใช้งานคอนเทนท์นอนวอยซ์ ผ่านโทรศัพท์มือถือมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีความเป็นไปได้ที่สมาร์ทโฟน จะพัฒนาความสามารถ จนทับซ้อนเน็ตบุ๊ก เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมองว่า โทรศัพท์มือถือไม่ใช่โทรศัพท์ แต่เป็นคอมพิวเตอร์ที่รันโปรแกรมโทรศัพท์
“บริษัท OLO เปิดตัว Docking ที่มีหน้าจอใหญ่และคีย์บอร์ดสำหรับเสียบไอโฟน แนวคิดคือถ้าเสียบไอโฟนเข้ากับจอและคีย์บอร์ด ก็สามารถเป็นเน็ตบุ๊กได้เลย หน้าจอของไอโฟนที่เป็นทัชสกรีนก็สามารถใช้เป็นทัชแพดได้ ความทับซ้อนกันแบบนี้เป็นไปได้ที่สมาร์ทโฟน จะมาแข่งกับเน็ตบุ๊กในอนาคต”
วินโดวส์ 7 จะทำให้คนซื้อคอมพ์ใหม่
เป็นที่รู้กันว่าวินโดวส์ 7 ระบบปฏิบัติการรุ่นต่อจากวิสต้าที่เชื่อกันว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน ไตรมาส 3 ปี 2009 จะมาพร้อมส่วนติดต่อผู้ใช้แบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้จำเป็นต้องหาคอมพิวเตอร์ หน้าจอสัมผัสมาไว้ในครอบครอง จุดนี้ประสิทธิ์เชื่อว่าเป็นเพราะ การคาดการณ์ของไมโครซอฟท์ ที่เชื่อว่าผู้ใช้วินโดวส์เอ็กซ์พีส่วนใหญ่จะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ใน ปี 2009
ประสิทธิ์บอกว่าปี 2009 อาจมีแกดเจ็ดเกิดใหม่ในตลาด นั่นคืออุปกรณ์เสริมสำหรับเปลี่ยน หน้าจอธรรมดาให้กลายเป็นหน้าจอสัมผัสที่ สามารถใช้งานเทคโนโลยี Surface ซึ่ง ไมโครซอฟท์ภูมิใจนำเสนอในวินโดวส์ 7 อุปกรณ์เสริมนี้จะถูกติดตั้งไว้ด้านบนจอภาพ เพื่อทำหน้าที่จับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือบริเวณหน้าจอ
สื่อจะพยายามผสมสิ่งพิมพ์กับดิจิตอลเข้าด้วยกัน
ประสิทธิ์ยกคำกล่าวของซีอีโอไมโครซอฟท์ สตีฟ บอลเมอร์ ซึ่งระบุว่านับจากนี้อีก 10 ปี จะไม่มีหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือสิ่งพิมพ์ใดที่ไม่เผยแพร่ข้อมูลผ่านเครือข่าย IP หรือ เครือข่ายออนไลน์ จุดนี้จะทำให้สื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นขณะเดียวกันก็ทำให้ “E-Ink” หรือหมึกอิเล็กทรอนิกส์มีบทบาทในสิ่งพิมพ์มากขึ้นในปี 2009 จนเกิดเป็นสิ่งพิมพ์ลูกผสมหรือ Hybrid Media ที่เข้าสู่ความเป็นจริงยิ่งขึ้น
ประสิทธิ์อธิบายว่า E-Ink คือจุดพิกเซลที่เปลี่ยนสีได้เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป สีพิกเซล ที่เปลี่ยนสามารถค้างหรือคงสภาพไว้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่สูง ประสิทธิ์ยกตัวอย่างนิตยสาร Esquire ซึ่งเริ่มทำนิตยสาร E-Ink ต้นแบบโดยซ่อนแบตเตอรี่ไว้ในปก ในเล่มมีการทดลอง ทำให้ฉากหลังของโฆษณารถยนต์เปลี่ยนสีได้จนทำให้ดูเหมือนรถ วิ่งอยู่
เช่นเดียวกัน แนวโน้มการโฆษณาก็เริ่มเข้าสู่โลกดิจิตอลยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์อ่านโฆษณาภาพนิ่งในนิตยสารเป็นภาพสามมิติ อาจได้รับความ นิยมมากขึ้น หรือการที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เริ่มทำประชาสัมพันธ์ผ่านทวิตเตอร์ (Twitter) ไมโครบล็อก ที่สามารถอัปเดทรายการของสถานีให้กับสมาชิกผ่านโทรศัพท์มือถือ โปรแกรมแชต หรือทางอินเทอร์เน็ตแล้วในขณะนี้ ย่อมเป็นทิศทาง ที่ชี้ว่าสื่อดั้งเดิมพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิตอลยิ่ง ขึ้น
บริษัทไอทีขอกินก่อนแล้วค่อยกรีน
ประสิทธิ์คาดการณ์ว่าแกดเจ็ดสีเขียวหรือสินค้าไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อม จะเพิ่มขึ้นในปี 2009 แต่จะไม่แรงสุดขีด กรีนแกดเจ็ดที่จะมาแน่นอนในปีนี้คืออีบุ๊ก (E-book) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่โลกจะไม่ต้องสิ้นเปลืองต้นไม้เพื่อทำกระดาษอีกต่อ ไป แต่ในแง่การผลิตสินค้าไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อมเช่นโน้ตบุ๊กกรีนจะยังไม่ชัดเจน เพราะวิธีกรีนสินค้าไอทีที่ง่ายที่สุดคือการลดชิ้นส่วน ซึ่งอาจกระทบความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อจำหน่ายของผู้ผลิต
“คนไอทีเห็นอีบุ๊กมากกว่า 10 ปีแล้ว ปีหน้าวัสดุที่จะเป็นส่วนประกอบในอีบุ๊กจะบิดได้ เหมือนกระดาษมากขึ้น อ่านชัดขึ้น กินไฟน้อยลง หน่วยความจำเพิ่มขึ้น และออนไลน์ได้ ครอบคลุมทุกการเชื่อมต่อ นักอ่านต่างประเทศนิยมมาก เพราะไม่ต้อง หอบหิ้วหนังสือแสนหนัก ติดตัวตลอดเวลา ยอมรับว่าอีบุ๊กอาจยังไม่เข้ามาในบ้านเราแต่แนวโน้มปี 2009 คือ ราคาเครื่องจะถูกลงแน่นอน”
พีซีไร้สมองจะมาแรง
ประสิทธิ์กล่าวว่าในงาน Virtual Machine World 2008 ได้มีการแสดงอุปกรณ์จำลอง เครื่องลูกข่ายใหม่ล่าสุด เป็นอุปกรณ์ที่ไม่มี ซีพียูแต่สามารถ ต่อเข้ากับหน้าจอ และคีย์บอร์ด เพื่อทำงาน เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป เครื่องหนึ่งได้ จุดนี้ประสิทธิ์เชื่อว่า ปี 2009 จะเป็นปีที่พีซีไร้สมองมาแรง และความนิยมใน การทำเวอร์ชวลไลเซชัน หรือการทำงานแบบ เสมือนก็ยิ่งทำให้เดสก์ ท็อปไร้ความหมายยิ่งขึ้น
“เมื่อ ก่อนเราพูดถึง Thin Client หรือพีซีฉลาดน้อย แต่นี่คือ Zero Client ซึ่งไม่มีสมองเลย มีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่สามารถรับสัญญาณจาก เซิร์ฟเวอร์ หนึ่งเซิร์ฟเวอร์ สามารถเชื่อมต่อ Zero Client ได้ 35-40 เครื่อง การเก็บหรือเรียกข้อมูลก็ดึงจากเซิร์ฟเวอร์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม หากในเครือข่ายหนึ่งต้องใช้ลูกข่าย 30 เครื่อง ก็ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม 30 ครั้ง ลดความซ้ำซ้อนได้ ลดค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาได้เพราะดูแลจากส่วนกลาง เกิดประโยชน์มากแต่ใช้เงินน้อย”
ประสิทธิ์เชื่อว่าแม้ระบบทำงานเสมือนเช่นนี้จะทำให้เดสก์ท็อปพีซี หรือพีซีตั้งโต้ะไร้ความหมายลงไป แต่เชื่อว่าตลาดเดสก์ท็อป จะไม่หายไปง่ายๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการศึกษา ที่ยังคงต้องใช้งานเดสก์ท็อปต่อ
วัฒนธรรมถ่ายคลิปและเครือข่ายสังคมสร้างแกดเจ็ตใหม่
เครือข่ายสังคมจะไม่ถูกมองว่าสร้างรายได้ในแง่โฆษณาอีกต่อไป ปี 2009 ประสิทธิ์เชื่อว่าตลาดแกดเจ็ดเพื่อใช้งานบนเครือข่ายสังคม เช่น ไฮไฟว์ จะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับวัฒนธรรมถ่ายคลิป ก็อาจเกิดเป็นบริการด้านการถ่ายคลิปวีดีโอเพิ่มขึ้น
“นอก จากเครือข่ายสังคมจะขายโฆษณาได้ เชื่อว่าจากนี้จะขาย Accessory ได้ด้วย ตอนนี้มีการจำหน่ายเสื้อยืดที่พิมพ์สัญลักษณ์หนึ่งไว้ หากเอากล้องดิจิตอลไปถ่ายภาพสัญลักษณ์นั้นด้วย Accessory นี้ ก็จะปรากฏเป็น Profile ที่สามารถเอาไปแอดในไฮไฟว์ได้ทันที บริการด้านถ่ายวีดีโอคลิปก็เริ่มมีมากขึ้น เช่นมีเว็บไซต์หนึ่งที่ให้บริการถ่ายคลิปวีดีโอด้วยโน้ตบุ๊กนาน 12 วินาที นั่นคือ 12seconds.tv”
ถึงยุคเทราไบต์
ประสิทธิ์เชื่อว่าปี 2009 คือปีที่ชาวไอทีจะได้สัมผัสกับความจุข้อมูลมหาศาลหน่วยเทราไบต์หรือประมาณหนึ่งพันกิกะไบต์
“กิ๊กเราพูดกันมาเยอะแล้ว เชื่อว่าคราวนี้จะถึงยุคเทราไบต์ ปีนี้เราอาจได้ใช้โน้ตบุ๊กที่มีพื้นที่จุข้อมูลเป็นเทราไบต์ก็ได้”
อีคอมเมิร์ชจะถูกพูดถึงอีกรอบ
ประสิทธิ์เชื่อว่า กระแสความนิยมคลิปวีดีโอ ความแพร่หลายของกล้องถ่ายรูปดิจิตอล รวมถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยล้วนมีส่วนเสริม ให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ถูกหยิบยก มาตั้งความหวังกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยถูกตั้งความหวังกันมานับครั้งไม่ถ้วน
“ปี 2009 อาจจะมีการพูดถึงกระแสอีคอมเมิร์ชขึ้นมาอีก เศรษฐกิจไม่ดีเมื่อไหร่คนก็พูดถึงอีคอมเมิร์ช ตอนนี้มีคลิป มีกล้อง พวกนี้ส่งเสริมได้ และความเทคโนโลยีเหล่านี้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ชบ้านเราก็ยังใช้ไม่คุ้ม ยังใช้แค่ขายในไทยไม่ได้ขายต่างชาติ ถ้าเปิดตลาดต่างชาติก็จะยิ่งเติบโตมากกว่านี้