การเงินส่วนบุคคล Personal Financial
· Tab 1
· การวางแผนรายได้และค่าใช่จ่ายในด้านต่างๆ ด้วยการจัดทำงบการเงิน
· การวางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย
· การวางแผนการเงินเพื่อยานพาหนะ
· การออม
· เงิน
· การบริหารเงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องของบุคคล
· การบริหารเงินสด และสินทรัพย์สภาพคล่องของบุคคล
· ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อรายจ่ายของบุคคล
· งบประมาณรายได้ส่วนบุคคล
การวางแผนรายได้และค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆด้วยการจัดทำงบการเงิน
· ข้อมูลสำหรับการวางแผนทางการเงิน
การวางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย (Housing)
· วงเงินสินเชื่อ
· สินเชื่อเพื่อการบริโภค
· สินเชื่อทางการค้า
การบริหารความเสี่ยง
การบริหารการเงินส่วนบุคคล
1 การวางแผนการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance Planning)
2 งบประมาณการเงินส่วนบุคคล (Budgeting Personal Financial Standing)
3 การวัดฐานะการเงินส่วนบุคคล (Measuring Personal Financial)
การบริหารสินทรัพย์และเครดิต
4 การบริหารสินทรัพย์ส่วนบุคคล (Personal Assets Management)
5 การบริหารเครดิตส่วนบุคคล (Personal Credit Management)
การบริหารรายจ่าย
6 การบริหารรายจ่ายส่วนบุคคล (Personal Expense Management)
7 การวางแผนทางการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย (House Planning)
8 การวางแผนทางการเงินเพื่อรถยนต์ (Car Finance Planning)
9 การวางแผนภาษีเงินได้ (Tax Income Planning)
การบริหารการลงทุนและหลักประกันความมั่นคง
10 การบริหารการลงทุนส่วนบุคคล (Personal Investment Management)
11 ตลาดการเงิน (Financial Market)
12 แผนการประกันชีวิต (Life Insurance Planning)
13 การวางแผนเกษียณอายุ (Retirement Planning)
· Tab 2
แหล่งที่มาของรายได้และรายจ่าย
จะเห็นได้ว่าแต่ละบุคคลจะมีและค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน ดังรายละเอียดขั้นต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งรายได้ของของบุคคลก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน เช่น อายุ การศึกษา อาชีพ คุณสมบัติเฉพาะตัว เป็นต้น ส่วนรายจ่ายก็มีปัจจัยหลายอย่างเช่นกัน เช่น การศึกษา อาชีพ อายุ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าปัญหาทางการเงินของบุคคลที่เกิดขึ้นบางปัญหาจะเกิดขึ้นเนื่องจากการที่บุคคลไม่มีการวางแผนในการบริหารเงินของ บุคคลเอง เช่น เงินไม่พอใช้ในแต่ละเดือนเพราะมีค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้รับ โดยไม่มีการวางแผนในการใช้เงินไว้ล่วงหน้า จึงทำให้ได้รับความเดือดร้อนทางการเงิน และจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการกู้หนี้ยืมสิน ทำให้ต้องรับภาระหนี้สิน เป็นต้น ดังนั้นบุคคลควรจะมีการวางแผนและบริหารเงินเพื่อที่จะทำให้เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาทางด้านการเงิน และทำให้บุคคลไม่มีหนี้สิน และฉลาดในการแก้ปัญหาทางการเงิน เป็นนักบริหารการเงินที่ดีต่อไปได้
การวางแผนรายได้และค่าใช่จ่ายในด้านต่างๆ ด้วยการจัดทำงบการเงิน กระบวนการจัดทำงบประมาณเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแหล่งที่มาของรายได้และการตัดสินใจกำหนดการใช้จ่ายภายวงเงินรายได้ที่มีอยู่ ซึ่งการกำหนดรายได้ก็เพียงเป็นการบันทึกรายรับรวมสุทธิทั้งหมดที่ท่านได้รับกลับบ้านมาจริง ๆ เท่านั้น โดยรายการรายได้ส่วนใหญ่มักเป็นค่าแรง เงินเดือน เงินปันผล ดอกเบี้ยเงินออม โบนัสและลาภลอยอื่น ๆ ในกรณีที่รายได้ของท่านไม่ได้รับสม่ำเสมอเป็นจำนวนแน่นอน ให้ท่านทำงบประมาณไว้ในจำนวนสูง และเมื่อท่านมีรายได้สูงขึ้นท่านสามารถจะปรับรายจ่ายของท่านได้ง่ายกว่า จากข้อมูลส่วนใหญ่พบว่าครอบครัวที่มีรายได้ต่ำจะมีรายจ่ายค่าอาหารเป็นรายจ่ายหลัก ในขณะที่ครอบครัวที่มีรายได้สูงรายจ่ายจำนวนมากจะเป็นรายจ่ายเพื่อบ้านที่อยู่อาศัย ดังนั้นการทำงบประมาณประจำปีจึงเริ่มต้นจากการพิจารณารายจ่ายที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วตามลักษณะการใช้จ่าย และทำการจัดหมวดหมู่ของรายจ่ายเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ หมวดค่าอาหาร บ้านที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รถยนต์ ทรัพย์สินภายในบ้าน ค่ารักษาพยาบาล เงินสำรองส่วนตัว เงินบริจาคการกุศล ค่าประกันภัย ค่าใช้จ่าย เบ็ดเตล็ด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รายจ่ายเหล่านี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ รายจ่ายประจำซึ่งเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นทุกเดือนรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้ซึ่งเป็นรายจ่ายไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นได้และรายจ่ายแปรได้ซึ่งเป็นรายจ่ายที่สามารถเลื่อนกำหนดการใช้จ่ายไปได้ถ้ามีความจำเป็นอย่างไรก็ตาม ในการทำงบประมาณควรมีการตั้งเงินออม และรายจ่ายฉุกเฉิน เพื่อใช้จ่ายในกรณีที่เกิดรายจ่ายที่ไม่คาดหวังเกิดขึ้น เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ใช่ค่ายาประจำบ้านหรือค่าตรวจรักษาประจำเดือน งบประมาณระยะสั้นเป็น งบประมาณแสดงรายละเอียดของ งบประมาณประจำปี วิธีการที่ง่ายที่สุดในการทำงบประมาณระยะสั้นคือ การทำกระดาษทำการแสดงรายละเอียดการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงทุกครั้ง ที่ท่านมีการใช้จ่าย เช่นอาจเป็นกระดาษทำการต่อวัน ต่อสัปดาห์ หรือต่อเดือน และเพื่อให้ทราบว่า ท่านได้มีการปฏิบัติตนใน การใช้จ่ายให้เป็นไปตาม งบประมาณที่วางไว้หรือไม่ ท่านสามารถกระทำได้โดยการตรวจสอบกระดาษทำการกับงบประมาณของท่าน และวิเคราะห์รายจ่ายที่เกิดขึ้นว่า ท่านมีรายจ่ายส่วนเกิน หรือรายจ่ายส่วนขาดจากเงินงบประมาณที่วางไว้ ผลของการตรวจสอบ จะทำให้ท่านสามารถปรับงบประมาณของท่าน โดยอาจมีการกันเงินงบประมาณไว้ให้มากขึ้น หรือน้อยลงในการทำงบประมาณในอนาคต และควบคุมการใช้จ่ายในลำดับต่อไป ไม่ให้มีความแตกต่างเกิดขึ้นมาก ในกรณีที่ทั้งท่านและคู่สมรสต่างมีรายได้ด้วยกัน การทำงบประมาณแยกจากกัน จะเป็นวิธีการที่ดี ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการแบ่งเบาความรับผิดชอบในการใช้จ่ายออกไป เป็นการลดภาระในการควบคุมดูแลการใช้จ่าย ตามงบประมาณของผู้มีหน้าที่ประจำให้น้อยลง นอกจากนั้นยังช่วยให้เกิดการร่วมกัน ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีอีกด้วย
· Tab 3
การวางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย
ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน พัฒนาการที่อยู่อาศัยของมนุษย์เกิดข้น จากปัจจัยต่างๆหลาย ประการ เช่น สภาพแวดล้อมของภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เทคโนโลยี ระเบียบและวัฒนธรรมประจำถิ่น ยิ่งสังคมมีการะพัฒนามากขึ้นเท่าใด ที่อยู่อาศัยก็ยิ่งมีการพัฒนาควบคู่ไปด้วยมากขึ้นเพียงเท่านั้น จนเกิดเป็นรูปแบบของที่อยู่อาศัยต่างๆมากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานและความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยให้ได้มากที่สุด แม้ว่าบุคคลทั่วไปจะมีความต้องการ ที่จะมีบ้านเป็นของตนเอง อันเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานก็ตาม แต่ข้อจำกัดเกี่ยวกับงบประมาณ รสนิยม ลักษณะอาชีพ จำนวนสมาชิกในครอบครัว และความต้องการความสะดวกสบายในด้านต่างๆทำให้บุคคลหลายคนมีความจำเป็นในเรื่องที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม บุคคลส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี หมายถึงการมีที่อยู่อาศัยเหมาะสมกับความต้องการให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นั่นเอง
ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ผู้ซื้อไม่ได้ซื้อเพียงตัวบ้านเท่านั้น แต่จะต้องคำนึงถึง ความพอใจในการอยู่อาศัย ร่วมด้วย ซึ่งความพอใจที่ว่าคืออรรถประโยชน์ที่ผู้ซื้อจะได้รับตามขนาดของบ้าน ความสะดวกสบาย เพื่อนบ้านรวมถึง สิ่งแวดล้อมอื่นใด ที่ผู้ซื้อต้องการเพื่อความสุขในการพักอาศัยและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัว โดยนัยแล้วรูปแบบหลักของการมีที่อยู่อาศัยมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือการซื้อและการเช่า ดังนั้นบุคคลทั่วไปจึงมักจะมีคำถามให้กับตนเองก่อนที่จะตัดสินใจมีที่อยู่อาศัยเสมอว่า เขาควรจะคิดลงทุนซื้อบ้าน เป็นของตนเองดีหรือจะทำการเช่าอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่โดยลักษณะของครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีบ้านเป็นของตนเอง เช่น การซื้อบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม แฟลต หรือการก่อสร้างบ้านบนที่ดินของตนเองมากกว่าการเช่าอพาร์ทเมนท์ หรือบ้านเช่าทั่วไป ดังนั้นรายงานจะกล่าวถึงความแตกต่างในการมีที่อยู่อาศัยในรูปแบบของทั้งการซื้อและการเช่า เพื่อให้บุคคลทั่วไป สามารถเปรียบเทียบถึง ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของรูปแบบทั้งสองได้ชัดเจน
การซื้อบ้านเป็นของตนเองจะก่อให้เกิดข้อได้เปรียบและผลประโยชน์ต่อท่านมากมายหลายประการ ประการแรกคือ ผลประโยชน์ในการได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีของการซื้อบ้านแบบผ่อนส่งและผลประโยชน์ทางด้านจิตวิทยาคือ ความภูมิใจในการได้เป็นเจ้าของ ความมั่นคงในถิ่นที่อยู่และความยอมรับทางสังคม ผลเสียหรือข้อเสียเปรียบของการซื้อบ้านคือ การต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก อย่างน้อยต้องเป็นรายจ่ายเงินดาวน์ ค่าบำรุงรักษา และความลำบากในการย้ายที่อยู่
ในทางตรงข้ามท่านที่เช่าบ้านอยู่ท่านก็จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับการลงทุนในที่อยู่อาศัยที่ยืดหยุ่นได้ตามรายได้ที่ท่านมีอยู่ คือ ถ้าท่านมีรายได้สูง ท่านก็เลือกเช่าบ้านราคาแพง แต่ถ้าท่านมีความจำเป็นในรายจ่ายด้านอื่น ท่านก็อาจลดค่าเช่าบ้านลงได้ ข้อเสียเปรียบของการเช่าบ้านคือ การขาดความอิสระ และความเป็นส่วนตัว การมีรายจ่ายที่ถือเป็นการลงทุนที่ดี ดังนั้น ถ้าท่านตัดสินใจซื้อบ้านเพื่อการลงทุนแล้ว จำนวนเงินที่ท่านควรกำหนดไว้ในการลงทุน สามารถกำหนดได้โดยการใช้กฎทางการเงิน 2 กฎคือ กฎมาตรฐาน และกฎรายได้เบื้องต้น
ในการเลือกซื้อบ้านที่ถูกใจท่านอาจใช้บริการของนายหน้า นอกเหนือจากเลือกซื้อด้วยตนเองการพิจารณาแหล่งที่ตั้งรูปแบบของบ้าน ราคาบ้าน และการเปรียบเทียบสิ่งแวดล้อมรอบบริเวณบ้าน สำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อ ระหว่างบ้านเก่า และบ้านใหม่ท่านจะมีข้อได้เปรียบ และเสียเปรียบต่างกัน คือ บ้านใหม่จะเป็นบ้านที่ก่อสร้างใหม่ทุกอย่าง ทั้งระบบไฟฟ้า ประปา ภายในบ้าน การตกแต่งบ้าน ได้ตามที่ท่านพอใจ ซึ่งต่างจากบ้านเก่าที่ท่านพอใจตามสภาพที่เป็นอยู่ แต่บ้านเก่าก็จะมีราคาถูกกว่าบ้านใหม ่และไม่ต้องรอปลูกต้นไม้ให้โต หรือใช้เวลามากกว่า การมีบ้านใหม่
การซื้อบ้านด้วยวิธีการผ่อนชำระจะเป็นวิธีการที่ผู้ซื้อนิยมปฏิบัติกันมากในสภาพปัจจุบันเนื่องจากราคาบ้านเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูงมากดังนั้น ท่านควรเลือกสถาบันการเงินที่ยินยอมให้ท่านกู้เงินไปจ่ายค่าซื้อบ้านกับผู้ขายที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดและมีระยะเวลาในการผ่อนมากน้อย ตามที่ท่านสามารถรับภาระได้
เมื่อท่านสามารถชำระหนี้สินได้ครบถ้วนท่านจะมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน ที่ท่านซื้อทันทีโดยการโอนกรรมสิทธิ์กัน ณ กรมที่ดินพร้อมกับจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนตามที่รัฐบาลกำหนด
รายจ่ายสำคัญในการซื้อบ้านด้วยวิธีการผ่อนชำระคือ รายจ่ายค่าประกันอัคคีภัย ซึ่งท่านสามารถเลือกรูปแบบ และวงเงินทุนการประกันได้ ตามเกณฑ์ ที่ท่านต้องการแต่ไม่ควรเกินมูลค่าของทรัพย์สิน และสิ่งปลูกสร้างรวมกับมูลค่าของทรัพย์สินบางประเภทภายในบ้าน ซึ่งท่านจะได้รับการยินยอมให้ประกันหรือไม่ขึ้นอยู่กับรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างที่ท่านได้ระบุไว้ในสัญญาอย่างไรก็ตาม การประกันอัคคีภัยก็เป็นเพียงการทดแทนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝันจากการเกิดไฟไหม้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการป้องกันการสูญเสียไม่ให้เกิดขึ้นได้แต่อย่างใด
· Tab 4
การวางแผนการเงินเพื่อยานพาหนะ
ปัจจัยเบื้องต้นในการกำหนดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ก็คือค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์จะสูงมากใน 3 ปีแรกของการใช้รถ เนื่องจากเจ้าของรถยนต์จะสามารถใช้ประโยชน์จากรถยนต์ได้มากในช่วงเวลานั้น การผ่อนชำระท่านจำเป็นจะต้องมีการประกันอุบัติเหตุในช่วงเวลาผ่อนชำระด้วย ซึ่งความคุ้มครองของการประกันอุบัติเหตุจะรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ท่าน สมาชิกในครอบครัว และบุคคลที่สาม การชดใช้ค่ารักษาพยาบาลให้ในรายที่บาดเจ็บซึ่งเกิดจากการรถชน หรือความเสียหายอื่นตามข้อตกลงรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เป็นรายจ่ายประจำที่อาจเกิดขึ้นได้จากการตัดสินใจซื้อรถยนต์ แต่สำหรับสถาบันการเงินที่ยินยอมให้ท่านกู้เงินมักจะมีวิธีการคำนวณค่าผ่อนชำระแบบวิธีบวกเพิ่ม จึงทำให้มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงสูงกว่าอัตราที่สถาบันการเงินกำหนดไว้ นอกจากนั้นภายหลังจากที่ท่านซื้อรถยนต์แล้ว ท่านยังมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการโอนรถยนต์ ค่าภาษีรถ คาจอดรถ ค่าทางด่วน และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ค่าน้ำมันเบนซิน รวมทั้งค่าซ่อมแซมรถยนต์
ในการคำนวณรายจ่ายรวมทั้งหมดของการใช้รถ ท่านจำเป็นจะต้องพิจารณาทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายแปรได้ที่เกิดจากการใช้รถ สำหรับรถยนต์ใหม่ที่ท่านตัดสินใจจะซื้อ ควรพิจารณาถึงรูปแบบที่ท่านต้องการและทางเลือกในการเพิ่มอุปกรณ์ความสะดวกสบายบางประการดังนั้น จึงควรที่จะหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์
ส่วนรถยนต์ที่ใช้แล้วก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ท่านสามารถตัดสินใจได้เพราะราคาต่ำกว่าแต่เนื่องจากรถยนต์เก่าถูกใช้งานมาแล้ว ดังนั้นท่านจึงจำเป็นจะต้องมีความรอบคอบมากขึ้นตั้งแต่การตรวจสอบดูสภาพทั้งภายในและภายนอกรถ จนถึงการทดลองขับเพื่อพิจารณาถึงประสิทธิภาพของรถที่มีอยู่ท่านจะได้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
การบริหารการใช้สินเชื่อส่วนบุคคล
ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องสินเชื่อนั้น ธุรกิจไม่เพียงแต่ต้องประเมินจากลูกค้าเพื่อตัดสินใจว่าควรให้หรือไม่ควรให้สินเชื่อเท่านั้น แต่ธุรกิจยังต้องประเมินลูกค้าเพื่อกำหนดวงเงินสินเชื่อ เพื่อที่จะให้แก่ลูกค้าอีกด้วย และกำหนดวงเงินสินเชื่อเป็นงานสำคัญที่ผู้บริหารต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และจัดทำขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ทั้งนี้เพราะหากธุรกิจไม่กำหนดวงเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้าแต่ละรายแล้ว ลูกค้าที่ได้รับอนุมัติให้สินเชื่อรายใดรายหนึ่งอาจทำการซื้อเชื่อมากเกินความจำเป็น หรือกู้เงินเกินความสามารถในการชำระหนี้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการตัดโอกาสลูกค้าที่ต้องการให้สินเชื่อรายอื่นๆ ที่มาทีหลังเนื่องจากธุรกิจมีทรัพยากรอันจำกัด จึงกล่าวได้ว่าการให้สินเชื่อโดยไม่จำกัดวงเงินสินเชื่อก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงแก่ผู้ให้สินเชื่อ
วงเงินสินเชื่อ ก็คือ จำนวนสูงสุดของหนี้สินที่ธุรกิจยอมให้แก่ลูกค้าอันเกิดจากการให้สินเชื่อในรูปของสินค้า บริการ หรือเงินสด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารและควบคุมสินเชื่อของผู้บริหาร รวมทั้งเป็นแนวทางในการกำหนดความเสี่ยงและเป็นแนวทางในการส่งเสริมสินเชื่อแก่ธุรกิจด้วย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อประโยชน์อันเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่ายนั้นเอง โดยวงเงินสินเชื่อประกอบไปด้วย 2 ประเภทคือ (1) วงเงินสินเชื่อเกี่ยวกับสินเชื่อทางการค้า และ (2) วงเงินสินเชื่อเกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการกำหนดวงเงินสินเชื่อคือวัตถุประสงค์ ความสามารถในการชำระคืนและการป้องกันความเสี่ยง
เงื่อนไข ก็คือ ข้อความที่กำหนดไว้เพื่อบังคับตามกรณี ดังนั้น เงื่อนไขเกี่ยวกับสินเชื่อ หมายถึง ข้อความที่ผู้ให้สินเชื่อกำหนดไว้ในการให้สินเชื่อ เพื่อบังคับตามกรณี เงื่อนไขที่กำหนดของสินเชื่อแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันบ้างและเหมือนกันบ้าง จะจำแนกตามเงื่อนไขตามประเภทสินเชื่อออกเป็น เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ให้โดยธุรกิจการค้าและสถาบันการเงิน เงื่อนไขสินเชื่อทางการค้าของธุรกิจการค้า และเงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงิน
สินเชื่อเพื่อการบริโภค เป็นสินเชื่อที่อาจจะให้ในรูปเงินสดหรือสินค้าก็ได้ โดยผู้ขอสินเชื่อจะนำเงินสดหรือสินค้านั้นไปบริโภคเอง โดยทั่วไปแล้วสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ให้ในรูปเงินสดมักจะให้โดยสถาบันการเงิน ส่วนธุรกิจการค้าจะให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคในรูปสินค้า สินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ให้โดยสถาบันการเงินและธุรกิจการค้าจะมีเงื่อนไขบางเงื่อนไขที่เหมือนกันและบางเงื่อนไขที่ต่างกัน
สินเชื่อทางการค้า เป็นสินเชื่อที่ให้ตามประเพณีของธุรกิจการค้า โดยผู้ให้สินเชื่อคือพ่อค้า และผู้รับสินเชื่อก็คือพ่อค้า สินเชื่อจะให้ในรูปของสินค้าเพื่อให้ผู้รับสินเชื่อนำสินค้าไปขายต่อ โดยในการให้สินเชื่อจะมีการตกลงเกี่ยวกับเอกสารสินเชื่อ การชำระเงินและการปฏิบัติเมื่อชำระหนี้เกินกำหนด
สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นสินเชื่อที่ให้ในรูปของธุรกิจ ผู้ให้สินเชื่อคือสถาบันการเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ โดยในการให้สินเชื่อจะมีการตกลงเกี่ยวกับหลักประกันสินเชื่อ การชำระหนี้และการปฏิบัติเมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามสัญญาสินเชื่อ
ปัจจัยที่ใช้กำหนดเงื่อนไขสินเชื่อแต่ละประเภท จะพิจารณาฐานะการเงินของผู้ขายฐานะการเงินของผู้ซื้อ สภาพและลักษณะสินค้า การปฏิบัติของคู่แข่งขันและประเพณีนิยมทางปฏิบัติ สำหรับเงื่อนไขที่กำหนดอาจจะเข้มงวดหรือไม่เข้มงวด ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายสินเชื่อของกิจการนั้น และในการตัดสินใจว่าจะกำหนดนโยบายสินเชื่ออย่างไรนั้น จะพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างกำไรส่วนเพิ่ม (MR) และค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม (MC) ที่เกิดจากการมีลูกหนี้เพิ่ม
· Tab 5
การออม
หลักการตัดสินใจลงทุนส่วนบุคคลเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยทางตรงหรือทางอ้อมผู้ลงทุนจำเป็นต้องมีเป้าหมายในการลงทุนที่เด่นชัด เพื่อให้การลงทุนประสบผลสำเร็จตามที่วางไว้ได้ง่ายเป้าหมายหรือปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนสำคัญ 2 ประการ คือ ปัจจัยเฉพาะตัวของผู้ลงทุนเอง ซึ่งได้แก่ อายุ สุขภาพ ผู้อยู่ในอุปการะ ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เวลาในการติดตามผลการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ กับปัจจัยทางด้านการเงินที่ผู้ลงทุนต้องการ ซึ่งได้แก่ผลตอบแทนที่จะได้รับนั่นเอง
ส่วนหลักพื้นฐานของการตัดสินใจลงทุนส่วนบุคคล โดยเฉพาะการลงทุนทางอ้อม ซึ่งเป็นการลงทุนผ่านสถาบันการเงินต่างๆ ผู้ลงทุนควรมีองค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุนเพื่อใช้พิจารณาว่า การนำเงินออมไปลงทุนโดยให้สถาบันการเงินอื่นใดรับผิดชอบการดำเนินงานนั้น ท่านควรต้องพิจารณาถึงปัจจัยใดบ้างเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามที่กำหนดไว้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ อุปนิสัยของผู้ลงทุนว่าจะสนใจการลงทุนมากน้อยเพียงไร ขนาดของจำนวนเงินที่จะลงทุนตามข้อกำหนดของแต่ละสถาบัน ผลตอบแทนจากการลงทุนระดับความเสี่ยงและสภาพคล่องของการลงทุนนั้น ๆ ทางเลือกในการตัดสินใจในการลงทุนทางอ้อม ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่เขายอมรับได้ ซึ่งสามารถแยกได้เป็น 3 ระดับ คือการลงทุนในระดับความเสี่ยงต่ำ การลงทุนในระดับความเสี่ยงปานกลาง และการลงทุนในระดับความเสี่ยงสูง การลงทุนในระดับความเสี่ยงต่ำได้แก่ การลงทุนในสถาบันการเงินของรัฐบาลและของเอกชน ส่วนการลงทุนในระดับปานกลาง ได้แก่ กางลงทุนซื้อทองคำ การลงทุนซื้อที่ดิน และทรัพย์สินมีค่าอื่นใด เช่น เพชรพลอย เครื่องลายคราม ฯลฯ สำหรับการลงทุนในระดับความเสี่ยงสูงก็ได้แก่ การลงทุนในหลักทรัพย์ การลงทุนในตลาดเงินนอกระบบ เช่น การเล่นแชร์ การปล่อยเงินกู้ เป็นต้น
ผู้ออมที่สนใจการลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความกล้าเสี่ยงของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการกำหนดจำนวนเงินลงทุน การเลือกสถาบันการเงินที่จะลงทุนร่วมด้วย และความพอใจในความสะดวกสบายจากการลงทุน นอกจากนั้นสภาพคล่องของเงินลงทุนก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะถ้าผู้ลงทุนมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินอย่างรีบด่วนเกิดขึ้นแล้ว สภาพคล่องของเงินลงทุนจะมีความสำคัญมากอีกประการหนึ่งกระจายเงินลงทุนในระดับความเสี่ยงต่างๆกัน จะช่วยให้ผู้ลงทุนมีอัตราการเสี่ยงและมีความปลอดภัยของเงินลงทุนมากขึ้น ภายหลังจากที่ผู้ลงทุนใช้หลักการเพิ่มทุนในการตัดสินใจลงทุนมาร่วมพิจารณาเพื่อการลงทุนแล้วขั้นต่อไปผู้ลงทุนควรทำการศึกษาถึงผลดีและ ผลเสียในการลงทุนในแต่ละสถาบัน ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุนด้วย เพราะการใช้วิจารณญาณที่รอบคอบและลึกซึ้งสามารถเพิ่มความปลอดภัยให้แก่เงินลงทุนได้มากยิ่งขึ้น
การเงินส่วนบุคคล
· Tab 1
ความหมาย - การเงินส่วนบุคคล Personal Finance
จุดมุ่งหมายของการบริหารการเงินส่วนบุคคล
การบริหารการเงินส่วนบุคคล เป็นการบริหารเงินในส่วนของบุคคล ให้บรรลุจุดมุ่งหมาย “เงิน” เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ บุคคลได้รับในสิ่งที่ตนหวังไว้ โดยเริ่มต้นวางแผนการเงินสำหรับตนเองและครอบครัวเสียแต่เนิ่น ๆ แล้ว ก็ย่อมทำให้ทุกคน มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้
การบริหารการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) หมายถึง การจัดระเบียบการเงินของบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการรู้จัก จัดหาเงินเข้ามา และใช้จ่ายออกไปอย่างถูกต้อง บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ความหมายของคำว่า “การบริหารการเงินส่วนบุคคล”
ความสำคัญของการบริหารการเงินส่วนบุคคล
เพื่อให้คน วางแผนการเงิน ของตนเองและ ครอบครัวได้อย่างถูกต้อง ส่งเสริมให้คนตระหนักถึงความสำคัญ
ในการใช้จ่าย อย่างถูกต้อง ทุกแง่ทุกมุมของชีวิต จะก่อให้เกิดบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านการวางแผนการเงิน
ขอบเขตของการบริหารการเงินส่วนบุคคล
1. การสร้างฐานะความมั่นคงทางการเงิน
2. การรู้จัดใช้เงินอย่างฉลาด
3. การใช้เงินเพื่อที่อยู่อาศัย
4. การสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยการทำประกันภัย
5. การลงทุนประเภทต่างๆเลือกหลักทรัพย์ลงทุนและสถาบันที่จะลงทุนให้เหมาะสม
6. การวางแผนการเงินสำหรับอนาคตยามปลดเกษียณ
ข้อคิดเกี่ยวกับการบริหารการเงินส่วนบุคคล
1. เวลาเป็นของมีค่าในการบริหารการเงินส่วนบุคคลควรจะใช้เวลาให้น้อยที่สุด
2. การจัดการเกี่ยวกับการเงินควรจะมีการยืดหยุ่นได้
3. ควรมีการปรับปรุงแผนงานระยะยาว และควรมีการตรวจสอบอยู่เสมอเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ
4. ควรมีการวางแผนทางการเงินของครอบครัว สามีและภรรยาควรเข้าใจในแผนงานนี้ร่วมกัน
5. การซื้อของราคาแพงแล้วได้สินค้าคุณภาพดี จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในระยะยาว
6. ควรหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น
7. พยายามเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด แต่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
8. พยายามบริหารเงินที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด
9. ควรพัฒนาปรับปรุงงานอดิเรกที่ทำอยู่ให้มีผลประโยชน์เกิดขึ้น
10. ใช้ประสบการณ์และความรู้ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์เพิ่มพูน
11. ควรวางแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับเรื่องของเวลาเสมอ
การวางแผนทางการเงินของบุคคล (Personal Finanace Program)
เป้าหมายในชีวิตของบุคคล (Personal Goals in Life)
ก. เป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับเงิน (Financial Goals) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินของบุคคล อันจะมีผลให้ ฐานะการเงินของบุคคล เกิดการเปลี่ยนแปลง
ข. เป้าหมายที่ไม่เกี่ยวกับเงิน (Nonfinancial Goals) บางครั้งเงินก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่บุคคลมุ่งหวังเสมอไป ทัศนคติ ความนึกคิด เกี่ยวกับ ครอบครัว สังคม ศีลธรรมและศาสนา อาจมีค่าสำคัญกว่าเงินก็ได้เพราะบางคนถือว่า เงินไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต
การวางแผนชีวิตของบุคคล
แผนระยะสั้น (Short-term or current planning) แผนระยะสั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการบริหารสินทรัพย์สภาพคล่อง
แผนระยะยาว (Long-term Planning) การวางแผนระยะยาวส่วนใหญ่ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับ การสร้างฐานะความมั่นคง ให้บุคคลในอนาคต
ที่มาของรายได้ของบุคคล ได้มาจากหลายทาง เช่น จากงานประจำที่ทำอยู่ การทำงานอดิเรกดอกผลที่เกิดขึ้นจาก สินทรัพย์ลงทุน ตลอดจนบำเหน็จบำนาญ และ สวัสดิการต่าง ๆ ที่ได้รับ มีปัจจัยหลายอย่างที่เป็น เครื่องกำหนด รายได้ของบุคคล และความปรารถนาของแต่ละบุคคล ว่าต้องการมีรายได้มากเพียงใด ซึ่งเขาก็ต้อง ขวนขวายให้ได้มา ซึ่งรายได้นั้น
การใช้จ่ายของบุคคล
รายได้ที่บุคคลได้มา มักจำเป็นต่อการดำรงชีพซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นอกจากนั้น เป็นการจ่ายเพื่อซื้อสิ่งของต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกสบาย การใช้จ่ายเกี่ยวกับพันธะทางการเงินที่มีอยู่ เช่น ค่าเบี้ยประกัน ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ ตลอดจนค่าภาษี เป็นต้น
การวางแผนการเงินในแต่ละช่วงชีวิตของบุคคล (Personal Financial Planning Life Cycle) ระยะเริ่มตั้งครอบครัว (The beginning family) ระยะขยายครอบครัว (The expanding family) ระยะการแยกย้ายครอบครัว (The launching family) ระยะช่วงกลางของครอบครัว (The middle-age family) ระยะเมื่อเข้าสู่วัยชรา (The Old-age family) แบ่งเป็น 5 ระยะ
ภาวะเงินเฟ้อกับการวางแผนการเงิน (Inflation and Financial Planning)
การพิจารณาว่าภาวะเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นดูได้จาก ดัชนีราคาผู้บริโภค ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นจากปีฐาน เป็นจำนวนเท่าใด หากภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ รัฐก็จะทำการเข้าแทรกแซง
เงินเฟ้อ (Inflation) คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อันมีสาเหตุเนื่องมาจาก ความต้องการสินค้ามีมาก หรืออาจเป็น เพราะต้นทุนของสินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้นก็ได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 081-6895711 สมพจน์ Fax 02-7048660 E-mail sompoj@srp-consult.com
· Tab 2
การวัดฐานะการเงินของบุคคล
การที่จะรู้ถึง ฐานะการเงิน ณ วันนี้ของเราได้นั้นในช่วงรอบปีที่ผ่านมา จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลทางการเงินทุกรายการ ที่เกิดขึ้น และนำมาทำสรุปออกมา เป็นรายงานทางการเงิน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “งบการเงิน” ข้อมูลตัวเลข ใน งบการเงิน จะบอกให้ ทราบได้ว่า ขณะนี้ฐานะการเงินของท่านกำลังอยู่ ณ จุดไหน เมื่อทราบฐานะการเงินแท้จริง ณ ขณะนี้ได้ต่อไป ท่านจะสามารถ วางแผนการเงิน สำหรับอนาคตได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ไป
งบการเงินของบุคคล งบดุล (Balance Sheet) เป็นงบสรุปฐานะการเงินของบุคคล ณ เวลาหนึ่งเพื่อบอกให้ทราบว่า ณ เวลานั้น เขามีสินทรัพย์ หนี้สิน และ เงินทุนส่วนที่เป็นของเขาเองอยู่เท่าไร เพื่อแสดงให้เห็นถึง ความมั่งคั่ง (Wealth) ของบุคคลนั้นคำนวณได้จากสูตร
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
งบการเงินของบุคคล (Personal Financial Statements) ประกอบด้วยงบดุล (Balance Sheet of Statement of Finanacial Position) และงบรายได้และค่าใช้จ่าย (Income anExpenditures Statement)
สินทรัพย์ (Assets) คือ รายการทรัพย์สินต่าง ๆ ที่บุคคลเป็นเจ้าของอยู่ซึ่งมีมากมายหลายประเภทแตกต่างกัน ตามลักษณะและ ประโยชน์ของการใช้สอย สินทรัพย์ต่าง ๆ ได้แก่เช่น เงินสด เงินฝากบ้าน รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับต่าง ๆ เป็นต้น ในการบริหารการเงินนิยมจัดกลุ่มสินทรัพย์ของบุคคลออกเป็น 4 กลุ่มคือ งบการเงินของบุคคล
งบการเงินของบุคคล
สินทรัพย์สภาพคล่อง (Liquid Assets)
ทรัพย์สินแท้จริง (Real Property)
ทรัพย์สินส่วนตัว(Personal Property
ทรัพย์สินลงทุน(Investments)
หนี้สิน (Liabilities) คือเงินที่เราได้กู้ยืมคนอื่นเขามา (the money you owe) และมีพันธะต้องชำระคืนในอนาคต หนี้สินอาจจะเป็นหนี้สินส่วนตัวหรือหนี้สินของครอบครัวก็ตาม เช่น
หนี้ค้างชำระค่าสินค้าจากร้านค้า
หนี้ค้างชำระของบัตรเครดิต
หนี้ค้างชำระในการซื้อของผ่อนส่ง
หนี้เงินกู้ธนาคาร
หนี้ซื้อที่ดินผ่อนบ้าน เป็นต้น
งบการเงินของบุคคลโดยทั่วไปจะแบ่งหนี้สินออกเป็น
1. ค่าบิลค้างชำระ (Unpaid Bill)
2. เครดิตหมุนเวียน (Revolving Credit)
3. หนี้ค่าผ่อนสินค้า (Consumer Installment Loans)
4. หนี้ค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (Mortgage Loans)
ส่วนของเจ้าของ (Net worth) หมายถึง สินทรัพย์ส่วนที่เหลืออยู่หลังจากหักหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมดออกไปแล้ว ซึ่งส่วนที่เหลือนี้จะเป็นทรัพย์สินที่บุคคลเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงและเป็นสิ่งแสดงถึงความมั่งคั่งของบุคคลนั้นด้วย จากสูตร
Total assets – Total liabilities = Net worth
ยิ่ง Net worth ของบุคคลมีเพิ่มขึ้นเท่าไรก็แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของบุคคลนั้นที่ยิ่งมีเพิ่มขึ้น และ Net worth นี่เองจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป้าหมายทางการเงิน (Financial Goal) ที่บุคคลวางไว้ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นการบริหารการเงินที่ดีบุคคลควรหาทางทำให้ Net worth ของตนเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ
ในการใช้ชีวิตประจำวันพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม หาทางที่ว่าทำอย่างไร จึงจะหารายได้ ให้ได้มากขึ้นและใช้จ่ายให้ลดลง การเลือกลงทุนซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ต้องเลือกสินทรัพย์ที่ดี มีโอกาสที่มูลค่าสินทรัพย์นั้น จะเพิ่มขึ้นได้ วิธีการเพิ่มความมั่นคั่งให้กับบุคคล หาทางเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ลงทุนให้สูงขึ้น เช่น การลงทุนใน
หลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยพยายามซื้อหุ้นบริษัทดี ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูง มาไว้ในกองหลักทรัพย์ลงทุนของตน อย่าก่อหนี้สินโดยไม่จำเป็น สำหรับหนี้สินที่มีอยู่แล้วควรพยายามหาทางชำระให้หมดภายในเวลาอันรวดเร็วด้วย
งบรายได้และค่าใช้จ่าย (Income and Expenditures Statement)
การบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายของบุคคลจะบันทึกโดยใช้เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) กล่าวคือจะมี การบันทึกรายได้และค่าใช้จ่าย ต่อเมื่อได้มีการรับเงินสดเข้ามาจริง และจ่ายเงินสดออกไปจริง ๆ เท่านั้น รายได้ (Income) คือ จำนวนเงินสดที่บุคคลได้รับเข้ามา อาจได้จากหลายทาง เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส ค่าคอมมิสชั่น เงินปันผล ดอกเบี้ยรับ เงินรับค่ากรมธรรม์ประกันชีวิต เงินบำเหน็จบำนาญกองทุนเลี้ยงชีพ และเงินค่าประกันสังคม ตลอดจนเงินได้รับอื่น ๆ เช่น การขายทรัพย์สิน เงินรางวัลตอบแทนต่าง ๆ เป็นต้น
ค่าใช้จ่าย (Expenditure) ค่าใช้จ่ายหรือจำนวนเงินสดที่บุคคลใช้จ่ายออกไป (The Amount of Cash Out) บุคคลมีการใช้จ่าย มากมายเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่าง ๆ กัน เช่น การใช้จ่ายเพื่อดำรงชีวิตประจำวัน ,การใช้เพื่อซื้อทรัพย์สินต่าง ๆ บางอย่าง, การใช้จ่ายค่าภาษี และการชำระหนี้สินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่านี้บางรายการก็เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed expenditures) ต้องจ่ายเท่ากันทุกงวดจำนวนแน่นอน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าเบี้ยประกัน ฯลฯ แต่บางรายการก็เป็นค่าใช้จ่ายผันแปร คือจำนวนที่จ่ายไม่คงที่แน่นอน ผันแปรไปตามเหตุการณ์ความจำเป็น เช่น ค่าอาหาร เสื้อผ้า หรือค่าใช้จ่ายเพื่อการพักผ่อนบันเทิง
ประโยชน์ของงบการเงิน เพื่อจะได้หาแนวทางว่าต่อไปเราควรทำอย่างไร จึงจะทำให้ฐานะการเงิน อันจะนำไปถึง จุดหมายทางการเงินที่วางไว้ ยังเป็นประโยชน์สำหรับธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่จะใช้ประเมินฐานะของผู้มาขอกู้เงินด้วย เพื่อใช้ดูว่าผู้กู้มีความเสี่ยงทางการเงินเพียงใด เหมาะสมจะให้กู้ยืมหรือไม่ ซึ่งธนาคารจะเอาตัวเลขจากรายการต่าง ๆ ในงบการเงินนี้มาประเมินหาอัตราส่วนทางการเงิน เพื่อจะวิเคราะห์ถึงความมั่นคงทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้คืน ในอนาคตของบุคคลนั้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 081-6895711 สมพจน์ Fax 02-7048660 E-mail sompoj@srp-consult.com
· Tab 3
การวางแผนการเงินสำหรับอนาคตของบุคคล (Planning Personal Future)
แนวความคิดในการกำหนดเป้าหมายทางการเงิน (Financial Goal Concepts)
เพิ่มพูน (Accumulation) เป็นการสะสม หรือ ทำให้ทรัพยากรการเงิน ที่มีอยู่นั้นยิ่งมีเพิ่มพูนขึ้น ด้วยการให้ เงินสดที่ได้มา (Cash inflow) เปลี่ยนสภาพไปเป็นเงินทุน (Capital) ให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งขึ้น การรักษาไว้ (Preservation) เพื่อเป็นการคงฐานะและรักษาคุณภาพชีวิตของบุคคลไว้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม หรืออย่างน้อย ก็รักษาความเป็นอยู่ให้เหมือนเดิม แม้ว่าเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไป Go golf! การแบ่งสรรออกไป (Distribution) แนวความคิดนี้เป็นลักษณะของการให้กล่าวคือ เป็นการจัดสรร หรือ แบ่งปันทรัพยากรการเงิน ที่มีอยู่ออกไปอย่างเหมาะสม เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีของบุคคลอื่นตลอดจนสังคมที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดเป้าหมายทางการเงิน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ เป้าหมายระยะสั้น, เป้าหมายระยะยาว เป้าหมายระยะสั้น เป็นการวางแผนสำหรับช่วงเวลาอันสั้น มีระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี การวางแผนทางการเงินระยะสั้น เป็นการวางแผน เพื่ออนาคตอันใกล้ ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกันเรื่องการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การเก็บเงินออมใช้ยามจำเป็น การซื้อของเงินผ่อน การจัดหาที่อยู่อาศัยชั่วคราว การเดินทาง ตลอดจนการต้องการ ความคุ้มครอง ในช่วงระยะเวลา อันสั้นของบุคคล เป้าหมายระยะยาว เป็นการวางแผนสำหรับช่วงระยะเวลาที่เกินกว่า 1 ปี อาจจะไปถึง 5, 10, 20 ปีข้างหน้า เป้าหมายทางการเงินระยะยาว ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับ การจัดสรรเงิน ไว้สำหรับอนาคตวันข้างหน้า และ เพื่อความมั่นคง ความสุขสบาย ในบั้นปลายของชีวิต ด้วย การวางแผนส่วนใหญ่จึงมักเกี่ยวกับเรื่อง การลงทุน อสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ถาวร,การวางแผนเกษียณอายุ ,การพักผ่อนท่องเที่ยว
บทบาทของงบประมาณในการวางแผนการเงิน
คือการจัดระบบข้อมูลทางการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับ การคาดคะเน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับรายได้ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งในงบประมาณจะประกอบด้วย การประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระยะสั้น เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายเหล่านั้น ให้อยู่ภายใน ขอบเขตที่ต้องการ งบประมาณ (Budgeting) งบประมาณ (Budgeting)
การทำงบประมาณนับว่า มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อบุคคล และครอบครัวเของเขา เพราะช่วยให้การใช้จ่ายต่าง ๆ อยู่ภายใน ขอบเขตที่กำหนดไว้ ทำให้ไม่เกิดปัญหา การใช้จ่ายเงินเกินตัว หรือการซื้อหาสิ่งใดโดยไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า และเมื่อมีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายในขอบเขตแล้วก็จะทำให้มีเงินเหลือใช้ สามารถเก็บออมไว้สำหรับวันข้างหน้าได้ นอกจากนั้นใน งบประมาณ ซึ่งได้มีการประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้ล่วงหน้า ก็จะทำให้ไม่มีปัญหา เมื่อถึงเวลาที่จะต้อง จ่ายเงินออกไปจริง ๆ เพราะได้มีการเตรียมค่าใช้จ่ายเหล่านั้นเผื่อไว้แล้ว
การจัดทำงบประมาณเงินสด (Setting a cash budget)
การทำงบประมาณเป็นการประมาณการรายได้ และค่าใช้จ่ายของบุคคลที่คาดว่าจะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า ซึ่งรายได้ และ ค่าใช้จ่าย เหล่านี้จะต้องเป็น รายการที่อยู่ใน รูปของเงินสดเท่านั้น (Cash Basis) ดังนั้นงบประมาณที่ทำขึ้น จึงนิยมเรียกว่า งบประมาณเงินสด (Cash budget) งบประมาณเงินสด
ขั้นตอนเกี่ยวกับการงบประมาณ (The Budgeting Process)
1. การคาดคะเนรายได้หรือเงินสดรับ (Estimating incomes or cash inflow)
2. การคาดคะเนค่าใช้จ่าย (Estimating expenditures)
3. การทำสรุปงบประมาณ (Finalizing the cash budget)
4. การปรับปรุงงบประมาณ (Adjustments)
· Tab 4
เงินสด และ กลยุทธ์การบริหารเงินสด (Cash Management)
การถือเงินสดมากเกินไปก็จะมีผลเสีย เพราะเงินสดไม่ได้ผลตอบแทนหรือมีค่างอกเงยขึ้นแต่ประการใด ซ้ำยังเกิดค่าต้นทุนแห่งการเสียโอกาส ถ้านำเงินสดไปลงทุนหาผลประโยชน์ เช่น ฝากธนาคารหรือลงทุนซื้อหลักทรัพย์ระยะสั้นถือไว้ก็ยังจะได้ดอกผลอีกจำนวนหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นบุคคลควรจะได้มีการบริหารเงินสดอย่างถูกต้อง
เงินสดที่ดี (Sound cash management) คือ การที่บุคคลรู้จักกะประมาณเงินสดที่อยู่ในมือให้น้อยที่สุด โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาเงินสดขาดมือ
สาเหตุในการถือเงินสดของบุคคลก็เพื่อประโยชน์ 3 ประการ
1. เพื่อใช้จ่ายตามความจำเป็น (Undertake Transaction)
2. เพื่อเป็นเงินสดสำรองไว้ยามฉุกเฉิน (Emergency Reserves)
3. เพื่อการสะสมมูลค่า (Store of value)
บริการเช็คของธนาคาร
แคชเชียร์เช็ค คือ เช็คของธนาคารเองที่ออกให้กับลูกค้าโดยธนาคารเป็นผู้จ่ายเงินตามเช็คนั้น เช็คนี้จะระบุชื่อผู้รับเงินไว้ ลูกค้าสามารถ ขอซื้อแคชเชียร์เช็คไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ
เช็คที่ธนาคารรับรอง คือ เช็คที่ธนาคารเข้ามาผูกพันในการจ่ายเงินตามเช็ค การที่ธนาคารให้การรับรองเช็คฉบับใดก็เท่ากับว่าให้การรับรองว่าธนาคารเองจะจ่ายเงินตามเช็คฉบับนี้อย่างแน่นอน เช็คเดินทาง เป็นเช็คที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางที่จะเดินทางไปไหน ๆ ได้โดยไม่ต้องพกเงินสดติดตัวไปมาก เพียงแต่ซื้อเช็คเดินทางไว้ก็สามารถนำไปขึ้นเงินตามสถานที่ที่เดินทางไปได้
เงินฝากออมทรัพย์ (Saving Accounts) เงินฝากออมทรัพย์เป็นเงินฝากที่ส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักการเก็บออม โดยการสะสมเงินทีละเล็กทีละน้อยรวมกันเข้าเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้าเมื่อมีความจำเป็น เงินฝากดังกล่าวจะมีการจ่ายดอกเบี้ยให้ และในการฝากถอนก็สะดวกเพราะมีสมุดคู่ฝากให้สำหรับบันทึกรายการฝากถอนทุกครั้ง จะฝากจะถอนเงินเมื่อไรก็ได้ มีสถาบันการเงินหลายแหล่งที่ให้บริการเงินฝากออมทรัพย์กับประชาชน
ประโยชน์ของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์
1. จำนวนเงินไม่มากนัก อีกทั้งยังได้ดอกเบี้ยด้วย โดยดอกเบี้ยไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีบ้างแต่ไม่มากนัก
2. เหมาะสำหรับเป็นบัญชีพักไว้ชั่วคราวของเงินลงทุน
3. เป็นการส่งเสริมให้มีการออมเงินไปในตัว เพราะฝากได้ง่าย และสะดวกดี
4.เยาวชนการมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เป็นการเสริมสร้างนิสัยให้เด็กรู้จักประหยัดเก็บออม และใช้จ่ายเงินเป็น
บัตรเงินฝาก
เป็นเงินฝากประเภทหนึ่งคล้ายเงินฝากประจำ เป็นตราสารที่ธนาคารออกให้กับ ผู้ต้องการลงทุนโดยธนาคาร ให้คำมั่นว่าจะใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด
บทที่ 8 การวางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย (Housing)
ประเภทของที่อยู่อาศัย l l บ้านเดี่ยว (Single-family homes) l
อาคารพาณิชย์หรือตึกแถว (Shop houses) l
ทาวน์เฮ้าส์ (Townhouse) l
แฟลตหรืออพาร์เม้นท์ (Flat or spartment) l
คอนโดมิเนียม (Condominium) l
สหกรณ์เคหสถาน (Cooperative housing) l
บ้านเคลื่อนที่ (Mobile home) l
บ้านที่แบ่งเวลาการพักอาศัย (Time-share homes)
การซื้อบ้าน (Buying Housing) lสิ่งที่ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ ทำเลที่ตั้ง (Location) ในการซื้อบ้านการพิจารณาถึงทำเลที่ต้องมีความสำคัญมาก ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่อยู่อาศัยคนหนึ่งได้กล่าวว่า “เมื่อท่านซื้อบ้าน แท้จริงแล้วสิ่งที่ท่านต้องการซื้อก็คือ เพื่อนบ้านนั้นเอง” เพราะถ้ามีเพื่อนบ้านดีมีความเข้าใจช่วยเหลือไหว้วานกันได้ ทุกคนที่อยู่ใกล้กันก็มีความสุขสบายใจ
การซื้อบ้าน (Buying Housing) v ไม่ห่างไกลจากตัวเมือง การเดินทางสะดวก มีรถโดยสารผ่านหลาย สาย v มีสถานที่สำคัญ ๆ ตั้งอยู่ใกล้ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด v สภาพแวดล้อมร่มรื่นมีต้นไม้อยู่ทั่วไป v ถนนหนทางสะดวก ท่อระบายน้ำดี มีไฟถนนให้ความสว่าง v บริการประปา และโทรศัพท์ไปถึง v อื่น ๆ เช่น มียามให้การรักษาความปลอดภัย คอยตรวจตราเสมอ เป็นต้น
l ย่านที่ตั้ง (Zoning) บ้านที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย ควรเป็นบ้านเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงควรตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ย่านสำคัญทางการค้า หรือย่านโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยควรเป็นสถานที่เงียบสงบ ไม่มีการรบกวนในเรื่องเสียงอึกทึกครึกโครม หรือกลิ่นต่าง ๆ ซึ่งในเรื่องนี้หากเทศบาลหรือท้องถิ่นได้ออกกฎหมายกำหนด1.
อย่างแน่นอนว่า ย่านใดกำหนดให้เป็นย่านที่อยู่อาศัยก็ควรเลือกซื้อบ้านในโซนที่กำหนดไว้เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง l การซื้อบ้าน (Buying Housing)
l สนามหญ้า (Yard) ควรเลือกบ้านที่มีบริเวณบ้านหรือสนามอย่างเพียงพอ เพื่อจะได้เป็นที่พักผ่อนเดินเล่น หรือ ออกกำลังกายได้ แต่ปัจจุบันราคาที่ดินสูง ดังนั้นควรเลือกโครงการที่มีสวนสาธารณะ หรือสถานที่พักผ่อนที่เป็นส่วนกลางให้ การซื้อบ้าน (Buying Housing) สิ่งก่อสร้างภายนอกบ้าน (Exterior construction) ตัวบ้านควรมีความแข็งแรง คงทนถาวร แน่นหนาพอสมควร วัตถุที่ใช้ การทาสี ฝีมือการก่อสร้างก็ไม่หยาบ มีความละเอียดปราณีต กล่าวคือ เมื่อดูรวม ๆ แล้วมีความคงทนต่อแดดฝน ภาวะอากาศพอที่จะอยู่อาศัยไปอีกนาน
การประเมินกำลังเงินในการซื้อบ้าน
หลักในการพิจารณาว่าคนเราควรจะมีเงินสักเท่าไรจึงเหมาะสมที่จะหาซื้อบ้านโดยไม่มีปัญหาทางการเงินเกิดขึ้นนั้น ได้มีผู้ให้แนวทางไว้ดังนี้
1. มูลค่าบ้านที่ซื้อ ไม่ควรเกินสองเท่าของรายได้ทั้งสิ้นของครอบครัว เช่น ถ้ารายได้ทั้งสิ้นของครอบครัวปีละ 250000 บาท ก็ควรซื้อบ้านในราคาอย่างสูงไม่ควรเกิน 500000บาท 2. ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นของการมีบ้านจะต้องไม่เกินหนึ่งในสี่ของรายได้ที่ได้รับแต่ละเดือน โดยพิจรณาถึงอัตราส่วนความสามารถในการจัดหาที่อยู่อาศัยหรือที่เรียกว่า Affordability ratio ซึ่งเป็นการวัดถึงอัตราส่วนความสามารถในการจัดหาที่อยู่จะรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
การเดินทาง และเครื่องใช้ที่จำเป็น (Transportation and Major Appliance)
บทที่ 9 การใช้จ่ายทางด้านยานพาหนะ
คุณสมบัติของรถยนต์ที่ต้องสอดคล้องกับความต้องการ •ทัศนคติในการลงทุนซื้อรถของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่นเพื่อความจำเป็นทางด้านการค้า, หรือเพื่อใช้เดินทาง, บางคนก็ต้องการความโก้หรู ดังนั้นควรพิจารณาคุณสมบัติ ที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. ความจุของรถ2. ค่าใช้จ่ายสำหรับรถ3. ความสะดวกสบาย 4. ความเชื่อถือได้5. การสนับสนุนนโยบายของรัฐในการรักษาสิ่งแวดล้อม
การซื้อรถยนต์ใหม่ (buying a new car)•
เนื่องจากรถใหม่มีราคาค่อนข้างแพง จึงควรพิจารณาและพิถีพิถันเป็นพิเศษ และควรสนใจในเรื่องของ 1. การเลือกรถยนต์2. การพิจารณาราคาที่เหมาะสม 3. การต่อรองกับผู้ขาย
การซื้อรถยนต์ใหม่ (buying a new car)•
1. การเลือกรถยนต์1.1 ความเชื่อถือได้ รถแต่ละยี่ห้อเป็นที่กล่าวถึงต่างกันในการเลือกซื้อควรเลือกยี้ห้อที่เป็นที่ยอมรับ โดยการหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ1.2 การประกันรถ ควรเปรียบเทียบการประกันว่ามีมากน้อยเพียงไร เงื่อนไขเหมาะสมหรือไม่1.3 ระบบเครื่องแบบธรรมดาหรือมีให้เลือกพิเศษ ควรคำนึงถึงราคาหากมีระบบอัตโนมัติต่างๆ ราคาก็เพิ่มสูงขึ้นตาม1.4 ราคาขายต่อ ควรคำนึงถึงผลกระทบกับราคาขายต่อของรถด้วย1.5 การทดลองขับ อย่าซื้อรถที่รู้สึกไม่สะดวกหรือไม่คล่องตัวเมื่อทดลองขับ
การซื้อรถยนต์ใหม่ (buying a new car)•
2. การพิจารณาราคาที่เหมาะสม โดยทั่วไปราคาจำหน่ายรถยนต์จะมีราคาหน้าร้าน
(windows sticker)
ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ผลิตกำหนดให้ผู้ขายตั้งราคาจำหน่ายไว้
ซึ่งในทางปฎิบัติผู้ซื้ออาจไม่จำเป็นต้องซื้อในราคานี้ และสามารถต่อรองราคาที่ต่ำกว่าราคาตามป้ายได้
การซื้อรถยนต์ใหม่ (buying a new car)•
3. การต่อรองกับผู้ขาย1. ในเมืองไทยรถใหม่ทุกคันจะตั้งราคาขายเท่ากันหมด แต่หากลูกค้าซื้อกับตัวแทนต่างๆ ผู้ขายอาจมีการตัดค่าคอมมิชชั่นของตนลง หรืออาจใช้วิธีมีของแถมให้เป็นต้นว่า ติดตั้งวิทยุ กันสนิม ฯลฯ แล้วแต่จะตกลงกัน2. หากทำการซื้อโดยเอารถเก่ามาแลกกรณีที่ลูกค้าขายรถเก่าผ่านศูนย์ค้ารถเก่าของบริษัทเดิมมักได้ราคาสูง และเป็นธรรมกว่าเอารถของตนไปให้กับเต็นท์ในการตีราคา
การซื้อรถยนต์ที่ใช้แล้ว (Buying a used cars)•ผู้บริโภคบางรายหันมาซื้อรถเก่าหรือรถมือสองเป็นจำนวนมาก เนื่องจากในปัจจุบันรถยนต์ใหม่มีราคาแพง การซื้อรถมือสองมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังนั้นควรพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้ 2. ตรวจสอบสภาพรถ3. การทดลองขับ4. การตรวจสอบโดยช่างยนต์มืออาชีพ5. การกำหนดราคาซื่อที่เหมาะสม1. แหล่งขายรถยนต์ใช้แล้ว ควรสืบถามราคาเปรียบเทียบจากตัวแทน ต่างๆ เสียก่อน
คุณสมบัติของรถยนต์ที่ต้องสอดคล้องกับความต้องการ
•ทัศนคติในการลงทุนซื้อรถของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่นเพื่อความจำเป็นทางด้านการค้า, หรือเพื่อใช้เดินทาง, บางคนก็ต้องการความโก้หรู ดังนั้นควรพิจารณาคุณสมบัติ ที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. ความจุของรถ2. ค่าใช้จ่ายสำหรับรถ3. ความสะดวกสบาย 4. ความเชื่อถือได้5. การสนับสนุนนโยบายของรัฐในการรักษาสิ่งแวดล้อม
เงินกู้เพื่อการซื้อรถยนต์ (Financing a car)สถาบันการเงินที่รองรับ ธนาคาร (Banks) สหกรณ์ออมทรัพย์ (Credit union) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (Dealer) บริษัทเงินทุน (finance company)
เครื่องใช้ที่จำเป็น (Major Appliances) สินทรัพย์ของบุคคลที่มีความสำคัญรองลงมาจากบ้านและ รถยนต์ก็คือพวกเครื่องใช้รายการสำคัญๆ ต่างๆ เช่น พวกเครื่องใช้คงทนถาวรและเฟอร์นิเจอร์ ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากเพื่อให้มีอายุการใช้งานนานพอสมควรและมีราคาที่เหมาะสม และควรคำนึงถึงต้นทุนของการใช้งาน และการซ่อมแซมบำรุงรักษา โดยทั่วไปแล้วเรามักซื้อหาด้วยวิธีเงินสดหรือเงินผ่อน แต่ไม่นิยมเช่าของใช้ในบ้านเท่าไรนัก
การซื้อรถยนต์ใหม่ (buying a new car)การวางแผนในการซื้อ กำหนดวัตถุประสงค์
การประเมินค่าเครื่องใช้ที่ต้องการซื้อ ความถี่ในการใช้ ต้องซ่อมบ่อยครั้ง ค่าโสหุ้ยในการใช้ ราคา
ลักษณะรูปแบบ
การซื้อรถยนต์ใหม่ (buying a new car)กำหนดแนวทางในการซื้อ
1. หาแผ่นโฆษณาของเครื่องใช้ที่จะซื้อมาศึกษาดู
2. พูดคุยกับเพื่อนฝูงที่เคยใช้มาแล้วเป็นอย่างไร
3. ตัดสินใจวางแนวทางของตนเองว่าเราจะซื้ออะไร
4. กำหนดงบประมาณที่จะซื้อ
5. เลือกจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อ
6. เมื่อจะตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใช้ชนิดใดรูปแบบใด
· Tab 5
ความเสี่ยงกับการประกับชีวิตและสุขภาพ (Risk Management with Life and Health Insurance)
ความสำคัญและความหมายของความเสี่ยง
ความเสียงคือโอกาสที่จะเกิดความสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งนำความเสียหายต่อตนเองและผู้อื่น และอาจวัดมูลค่าออกมา ทางเศรษฐกิจและเป็นตัวเงิน lความเสี่ยงมีหลายอย่าง เช่น ความตาย ความพิการ ความสูญเสียทรัพย์สินและรายได้ lไม่มีใครสามารถขจัดความเสี่ยงได้ แต่มีหนทางที่ป้องกัน
ประเภทของความเสี่ยง Pure risk Speculative risk Property risk Liabillity risk Personal risk เป็นความเสี่ยงที่อาจ มีทั้งได้และเสีย อาจเกิดโอกาสสูญเสียทรัพย์สิน เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากเหตุการณ์ไม่คิด เป็นการที่ต้องจ่ายค่าชดเชยค่าเสียหาย ทำให้เกิดความเสียหายกับบุคคล
4 กลยุทธ์การลดความเสี่ยง
1. การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง อย่างง่ายที่สุด คือการไม่ไปเกี่ยวข้องใน เหตุการณ์ที่จะเกิด ความเสียหายแก่เรา อย่างไรก็ตามภัยบางอย่างก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ความตาย
2. การลดความเสี่ยง โดยการเพิ่มความป้องกันความปลอดภัยเข้าไป และในบ้างครั้งอาจทำให้เกิดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ ดังนั้นระดับของความต้องการรักษาความปลอดภัยก็จะแตกต่างไปตามแต่ความจำเป็นของแต่ ละบุคคล
3. การคงไว้ซึ่งความเสี่ยง กรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นได้ หรือต้องยอมรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เช่น เจ้าของบ้านไม่สนใจในเรื่องการทำประกันอัคคีภัย หากเกิดไฟไหม้เขาก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงทั้งหมด
4. การโอนความเสี่ยง โดยการโอนความเสี่ยงให้แก่สถาบันอื่น เช่นบริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระแทน
ขั้นตอนในการบริหารความเสี่ยง
จำแนกลักษณะของภัยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัวรวมถึง ประเมินความเสียหายหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น lเลือกกลยุทธ์ในการป้องกันแก้ไขความเสี่ยงนั้นให้เหมาะสม
การควบคุมและติดตามผล
ประกันชีวิตคืออะไร .. ประกันทำไม .. เพื่อใคร
lประกันชีวิต –เป็นแผนการออมทรัพย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งให้ผลประโยชน์กว่าการออมทรัพย์ โดยปกติเพราะจะได้ ทั้งเงินออม และความคุ้มครอง
ประกันทำไม – คนเราต้องเผชิญกับภัยอันตรารอบด้าน และเรามาสามารถรู้ได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไร เวลาใด
lเพื่อใคร –จะช่วยเหลือผู้เอาประกันและครอบครัวของผู้เอาประกัน
แบบของประกันชีวิต
1. การประกันแบบชั่วระยะเวลา 2. การประกันชีวิตแบบตลอดชีพ 3. การประกันแบบสะสมทรัพย์ 4. การประกันแบบเงินได้ประจำ 5. การประกันชีวิตแบบอื่นๆ
การวางแผนทางการเงินเพื่อการทำประกันชีวิตที่ดี
1. กำหนดวัตถุประสงค์ที่แน่นอน
2. วางแผนการซื้อประกัน
3. การประเมินผลและควบคุมอะไรคือความต้องการ .. และเหมาะสมกับเงินออม ที่มีอยู่หรือไม่ ปรับปรุงกรมธรรม์ให้เหมาะสมกับความต้องการของครอบครัวอยู่เสมอ จัดสรรเงินออมอย่างเหมาะสม โดยปกติคนทั่วไปมักเก็บเงิน 10 –15% เพื่อทำประกันชีวิต
ประโยชน์ทางการเงินของการประกันชีวิต เป็นแหล่งเงินออมที่สามารถ กู้ยามฉุกเฉินได้ เป็นการลงทุนให้เกิดดอกผล สามารถนำไปหักลดหย่อน ในการเสียภาษีเงินได้
การประกันสุขภาพ lการประกันสังคม lกองทุนเงินชดเชย lการประกันสุขภาพกลุ่ม lโครงการประกันสุขภาพของศูนย์สุขภาพ lการประกันสุขภาพรายบุคคลของบริษัทประกัน lบัตรประกันสุขภาพ สถาบันที่ให้ความคุ้มครองทางด้านสุขภาพของบุคคล
เอกสารที่เกี่ยวข้องแผนการตลาด –ชื่อหรือหมายเลขโทรศัพท์ของที่ติดต่อ lงบประมาณ –ชื่อหรือหมายเลขโทรศัพท์ของที่ติดต่อ lโพสท์มอร์เท็ม (Post mortem) –ชื่อหรือหมายเลขโทรศัพท์ของที่ติดต่อ lที่ติดต่อสอบถาม –ชื่อหรือหมายเลขโทรศัพท์ของที่ติดต่อ
เงิน แหล่งที่มาของรายได้และรายจ่าย
· Tab 1
แหล่งที่มาของรายได้และรายจ่าย
เงิน
เงิน คือ สิ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมหนึ่ง ๆ ให้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน โดยมีการกำหนดค่าขึ้นเป็นหน่วยเงินตรา และพยายามรักษาค่าให้คงที่อยู่เสมอเช่น หน่วยเงินตราไทยเป็นบาท หน่วยเงินตราอังกฤษเป็นปอนด์สเตอร์ลิง หน่วยเงินตราสหรัฐเป็นดอลลาร์ เป็นต้น
สาเหตุในการถือเงินสดของบุคคลก็เพื่อผลประโยชน์ 3 ประการคือ
1. เพื่อใช้จ่ายตามความจำเป็น ( Undertake Transfaction ) ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่ง ๆคนเราย่อมมีความผูกพันเกี่ยวกับ การใช้จ่ายหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น การซื้อหาอาหารรับประทาน
2. เพื่อเป็นเงินสดสำรองไว้ยามฉุกเฉิน ( Emergency Reserves ) ในกรณีเกิดฉุกเฉินขึ้นมาเมื่อจำเป็นต้องมีเงินใช้จ่าย ก็สามารถมีได้เช่น การป่วย เกิดตกงานไม่มีรายได้หรือมีอุบัติเหตุต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นต้น
3. เพื่อการสะสมมูลค่า ( Store of value ) เงินในส่วนที่เราเก็บสะสมเอาไว้ใช้จ่าย เช่น เงินออม เป็นต้น ซึ่งอาจจะเอามาใช้ในวันนี้หรือเอามาใช้ในอนาคตข้างหน้า
เวลา และกลยุทธ์การบริหารเวลา
การวางแผนการใช้เวลา
1. การจัดสรรเวลา พิจารณาดูว่าเวลา 24 ชั่วโมงที่มีอยู่นั้น จะใช้ทำอะไรบ้าง ในสัดส่วนเท่าไรจึงจะเหมาะสม และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งทางด้านอาชีพ การงาน สุขภาพ และอื่น ๆ สิ่งที่จะช่วยให้เห็นชัดถึงการใช้เวลาก็คือ การจดบันทึกการทำงานและการใช้เวลา
2. ทำงานตามจังหวะเวลา ด้วยการทำสิ่งต่างๆที่ได้วางแผนไว้ให้สอดคล้องกับเวลาที่มีอยู่ เช่น เวลาทำงานก็ทำเต็มความสามารถ
3. ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เวลาที่ว่างเว้นจากการทำงาน หรือเพื่อสรรสร้างสุขภาพย่อมเป็นเวลาว่าง ซึ่งแต่ละคนมีอิสระที่จะเลือกใช้ได้ตามความถนัดและความพอใจ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการทำงานอดิเรกจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
งานอดิเรก คือ งานพิเศษที่ทำในเวลาว่างเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไม่ควรเคร่งเครียด การทำงานอดิเรกก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เกิดความเพลิดเพลินและเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ มีคนจำนวนมากที่ใช้เวลาว่างในการ เช่น การเก็บรวบรวมหรือการสะสมสิ่งที่น่าสนใจ การประดิษฐ์งานฝีมือ การทำอาหารและขนมต่างๆการปลูกต้นไม้ การเป็นพนักงานขาย การเลี้ยงสัตว์ การเล่นดนตรี การเขียนหนังสือ ฯลฯ
· Tab 2
การบริหารเงินสด และสินทรัพย์สภาพคล่องของบุคคล
การดำเนินชีวิตประจำวันของบุคคล ย่อมมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่เสมอ จึงควรต้องมีเงินที่สามารถหยิบมาใช้ได้อย่างสะดวก และคล่องมืออยู่อย่าง เพียงพอ
ความหมาย และความจำเป็นในการถือสินทรัพย์สภาพคล่องของบุคคล
สินทรัพย์สภาพคล่อง ( Liquid Assets ) คือ สินทรัพย์ในรูปของเงินสด และสินทรัพย์อื่นที่มีสภาพใกล้เคียงเงินสด แต่สามารถเปลี่ยน เป็นเงินสดได้ง่าย โดยไม่ลดมูลค่า เช่น เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ และเงินลงทุนระยะสั้นอื่นๆ บุคคลจำเป็นต้องมี สินทรัพย์สภาพคล่องให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายประจำวัน เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาเงินขาดมือ เท่าที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่นิยมถือ เงินเพื่อการจับจ่ายใช้สอยกันมาก การเปิดบัญชีกระแสรายวันโดยใช้เช็คสั่งจ่ายยังมีน้อย
ปัญหา และความขัดข้องทาง การเงินย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว หากไม่มีการ เตรียมพร้อมไว้ย่อมนำ ความเดือดร้อนมาสู่คนใน ครอบครัวได้เสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นที่ทุกครอบครัวต้องมีเงินสดสำรองไว้จำนวนหนึ่ง
เงินสดสำรอง หมายถึง เงินที่ได้เก็บออมไว้ ซึ่งสามารหยิบฉวยมาใช้ได้ทันทีที่เกิดความจำเป็น เงินสดที่สำรองไว้นี้ จะไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์อันใด ถ้าถือไว้เฉย ๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางบริหารเงินสดสำรองจำนวนดังกล่าว ให้มีค่าเพิ่มมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
เงินสด และกลยุทธ์การบริหารเงินสด ( Cash Management )
การบริหารเงินสดที่ดี คือ การที่บุคคลรู้จักกะประมาณเงินสดที่มีอยู่ในมือให้น้อยที่สุด ทั้งนี้โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาเงินสดขาดมือ การที่บุคคลมีเงินสดในจำนวนที่เขาสามารถอยู่ได้โดยปลอดภัย กล่าวคือ ไม่มีปัญหาเงินขาดมือเกิดขึ้น
รายได้ส่วนบุคคล (personal income)
หมายถึง รายได้ทั้งหมดที่ครัวเรือนได้รับจากแหล่งต่างๆ ในรอบปี ซึ่งบางส่วนได้รับเพราะเป็นผลตอบแทนจาก การผลิตหรือ มีส่วนร่วมใน การผลิต และบางส่วนได้รับในรูปของเงินโอน
ปัจจัยที่กำหนดรายได้ของบุคคล (Factors Affecting Personal Income)
อายุ (Age) เรื่องของอายุมีความสัมพันธ์ต่อการหารายได้ของบุคคล บุคคลที่สูงวัย และหนุ่มสาวผู้เริ่มทำงานนั้นจะมีรายได้ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน ซึ่งมีอายุในระหว่าง 35- 55 ปีเพราะผู้อยู่ในวัยนี้โดยทั่วไปจะมีความสามารถในการหารายได้สูง ทั้งนี้เนื่องจากอยู่ในวัยที่มีพละกำลังในการทำงาน
การศึกษา (Education) ระดับการศึกษา จะเป็นเครื่องกำหนดรายได้ของบุคคล ผู้ที่สำเร็จปริญญาระดับสูง ๆ ย่อมมีรายได้สูงกว่าผู้มีการศึกษาต่ำหรือไม่ได้รับการศึกษา
อาชีพ (Career) การเลือกอาชีพมีความสัมพันธ์กับการศึกษาของบุคคล มีอาชีพ บางอย่างที่ผู้ทำงานจะต้องผ่านการศึกษาทางด้านนี้มาโดยเฉพาะ เช่น พวกวิชาชีพอิสระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ นักกฎหมาย สถาปนิก หรือวิศวกร ฯลฯแต่มีอาชีพบางอย่าง ถึงแม้จะไม่เรียนมาในสายนั้นโดยตรงก็สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการทำงานได้เช่น ผู้ที่เรียนมาในสายสังคมศาสตร์ อาจจะประกอบอาชีพได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ พนักงาน ธนาคาร หรือการเป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจตลอดจนธุรกิจเอกชนต่างๆ
คุณสมบัติเฉพาะตัว (Personal Assets) บุคคลแต่ละคนจะไม่เหมือนกันโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวแล้วเช่น ในเรื่องของความสามารถ (Abilities) ความชำนาญ (skills ) บุคลิกภาพ ( Personality ) แรงกระตุ้น ( Drive ) ทัศนคติ (Aptitudes) ขวัญ และกำลังใจ ( Motivation ) ตลอดจนค่านิยมต่างๆ (Value systems)ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมี่อิทธิพลต่อการกำหนดระดับรายได้ของบุคคลได้ทั้งสิ้น เช่น คนที่มีความมุ่งมั่น และมีความทะเยอทะยานสูง โอกาสที่จะก้าวสู่ตำแหน่งสูง
แหล่งรายได้ต่างๆ ของบุคคล (Sources of Personal Incomes) การทำงานของบุคคลแต่ละอาชีพย่อมมีผลตอบแทน อันได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง ตลอดจนสวัสดิการต่างๆ ไม่เหมือนกัน ในการพิจารณารายได้ของบุคคลนอกจากจะคำนึงถึงรายได้ที่เป็นตัวเงิน ซึ่งบุคคลได้รับ เช่น เงินเดือน ค้าจ้าง โบนัส ค่านายหน้า ฯลฯ แล้วยังต้องคำนึงถึงสวัสดิการหรือผลประโยชน์อื่นๆ ที่มีให้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ
เงินเดือน เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากการทำงานประจำในหน้าที่การงานแต่ละสาขาอาชีพเป็นค่าตอบแทนรายงานของบุคคล เช่น เงินเดือนของหน่วยงานรัฐบาล เงินเดือนของรัฐวิสาหกิจ เงินเดือนของหน่วยงานเอกชน เงินเดือนในอัตราจ้างปกติ เป็นต้น
รายได้พิเศษ เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากเงินเดือนซึ่งทุกคนสามารถมีรายได้พิเศษจากตรงนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา ข้าราชการประจำ เนื่องจากรายได้ที่เกิดขึ้นนี้ทุกคนสามารถสร้างรายได้จากส่วนนี้ เช่น นักศึกษาหารายได้พิเศษในช่วงซัมเมอร์โดยการเป็นพนักงานเสิร์ฟ อาจารย์สอนพิเศษ เพิ่มเติมนอกเวลาเรียน เป็นต้น
รายได้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เกิดจากการนำเงินที่เหลือหรือเงินที่แยกจากค่าใช้จ่ายจากเงินเดือนประจำ รายได้พิเศษ หรือจากงานอดิเรกต่าง ๆ ไปฝากตามเงื่อนไขด้านระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด เช่นทุก ๆ 3 เดือน ทุก ๆ 6 เดือน ทุก ๆ 1 ปี เป็นต้น
รายได้จากงานอดิเรก เป็นรายได้เสริมที่เกิดจากการทำกิจกรรมยามว่าง แล้วเกิดรายได้ขึ้นมาเช่น การต่อตัวต่อ การถักงานไหมพรม นักวาดภาพเหมือน รับจ้างแต่งเสียงโทรศัพท์ เป็นต้น
รายได้สวัสดิการ เป็นผลตอบแทนต่อเนื่องจากเงินเดือน ทั้งนี้แล้วแต่นโยบายของบริษัทที่จะจัดสรรงบประมาณมาเป็นรายได้สวัสดิการตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐ และเอกชนซึ่งเป็นผลประโยชน์สำหรับพนักงานเช่น ค่า
รักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนของบุตร ค่าประกันชีวิต รถประจำตำแหน่ง บ้านพักของข้าราชการ เป็นต้น
· Tab 3
การวัดรายได้ส่วนบุคคล สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
รายได้ของบุคคลที่แต่ละคนสามารถ นำมาใช้สอยได้อย่างอิสระของแต่ละคน คือตัวเงินที่สามารถนำไปใช้ได้จริงๆ
1. วิธีการปรับรายได้ประชาชาติให้เป็นรายได้ส่วนบุคคล
รายได้ส่วนบุคคล = รายได้ประชาชาติ - รายได้ที่ตกถึงครัวเรือน + เงินเดือนที่ครัวเรือนได้รับ
2. วิธีการวัดรายได้ส่วนบุคคลโดยตรง เป็นการวัดผลรวมของรายได้เฉพาะที่ครัวเรือน ได้รับรวมกับ เงินโอนที่ครัวเรือนได้รับในรอบปีนั้น ๆ
รายได้สุทธิส่วนบุคคล
รายได้สุทธิส่วนบุคคล หมายถึง รายได้ส่วนบุคคลภายหลังที่ครัวเรือนจ่ายพันธะผูกพันต่างๆ ได้แก่ ภาษีทางตรง เช่น ภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ธรรมดา เงินโอนจากครัวเรือนให้รัฐบาล และเงินจ่ายเข้ากองทุนเงินประกันสังคม รายได้ส่วนที่เหลือ จึงเป็นรายได้สุทธิส่วนบุคคลที่ประชาชน (ครัวเรือน) สามารถนำไปใช้จ่ายส่วนบุคคลส่วนหนึ่งเพื่อการบริโภค การชำระค่าดอกเบี้ยหนี้บริโภคของครัวเรือน จ่ายเป็นเงินโอนให้ต่างประเทศ และอีกส่วนหนึ่งเก็บออมไว้เป็นการออมส่วนบุคคล (personal savings)
รายได้สุทธิส่วนบุคคล (disposable personal income) หมายถึง รายได้ส่วนบุคคลภายหลังที่ครัวเรือนจ่ายพันธะผูกพันต่างๆ ได้แก่ ภาษีทางตรง เช่น ภาษีเงินได้ส่วนบุคคลธรรมดา เงิน โอนจากครัวเรือนให้รัฐบาล และเงินจ่ายเข้ากองทุนเงินประกันสังคม รายได้ส่วนที่เหลือจึงเป็นรายได้สุทธิส่วนบุคคลที่ประชาชน (ครัวเรือน) สามารถนำไปใช้จ่ายส่วนบุคคลส่วนหนึ่งเพื่อการบริโภค การชำระค่าดอกเบี้ยหนี้บริโภคของครัวเรือน และจ่ายเป็นเงินโอนให้ต่างประเทศ และอีกส่วนหนึ่งเก็บออมไว้เป็นการออมส่วนบุคคล (personal savings)
รายได้ถือเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทางเลือกในการบริโภคมากที่สุด เนื่องจากรายได้เป็นสิ่งที่แสดงถึง ความสามารถใน การซื้อของผู้บริโภค เช่น คนที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งเคยรับประทานอาหารที่หาได้ตามธรรมชาติในท้องถิ่น ทางเลือกที่เขาอาจจะทำได้ เมื่อมีเงินเพิ่มขึ้นก็เพียงแค่ซื้อปลากระป๋องมารับประทาน
นอกจากรายได้จะเป็นตัวกำหนดให้แต่ละบุคคลมีทางเลือกในการบริโภคสินค้า และบริการต่าง ๆ แต่ละชนิดไม่เหมือนกันแล้ว แม้แต่สินค้าชนิดเดียวกัน ความแตกต่างของรายได้ก็ทำให้ผู้บริโภคทางเลือกที่ต่างกันได้ เช่น ในการหาที่อยู่อาศัย ทางเลือกของคนอาจอยู่วัด อาศัยเพื่อนฝูง หรือหาห้องเช่าเล็ก ๆ อยู่
การวัดรายได้สุทธิส่วนบุคคล
จากความหมายของรายได้สุทธิส่วนบุคคลข้างต้น เราสามารถวัดรายได้สุทธิส่วนบุคคลจากรายได้ส่วนบุคคล ได้ดังนี้
รายจ่าย
การใช้เงินที่ได้จากรายได้ถือว่าเป็นรายจ่ายของบุคคล หรือครอบครัวการจัดทำรายจ่ายของแต่ละบุคคล จำเป็นต้องมีรายได้ ที่เพียงพอต่อความต้องการ มากมายของบุคคล หรือครอบครัวการใช้จ่ายครอบครัวแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ
1. ค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่างวดบ้าน ค่างวดรถ ค่าประกันชีวิต ค่าประกันรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าว ผู้วางแผนต้องกันไว้ตอนทำงบประมาณ การวางแผนการใช้จ่าย จึงต้องเตรียมการล่วงหน้า ให้ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆที่กล่าวมาให้หมด เช่น อาจเตรียมเงินเดือนไว้เดือนละ 15,000 บาท สำหรับค่างวดบ้าน และอีก 12,000 บาท สำหรับค่างวดรถยนต์
2. การออม สำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงปลอดภัยหลังจากวัยทำงานจะต้องมีการวางแผนการออมไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อใช้จ่ายหลังจากที่ทำงานไม่ไหว หรือในกรณีที่มีเงินบำเหน็จ หรือบำนาญรออยู่แล้ว ก็ยังจะต้องการออมเพื่อการท่องเที่ยว สร้างสาธารณะประโยชน์ ใช้ในเทศกาลต่าง ๆ หรืออื่น ๆ และอย่างน้อยที่สุดที่บุคคลต่างๆ ควรจะมีการออมไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน เช่น ได้รับอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือตกงานกะทันหัน เป็นต้น
3. ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารเสื้อผ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน และค่าใช้จ่ายของสมาชิก ในครอบครัว ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะเป็นส่วนของรายได้ที่เหลือจากค่าใช้จ่ายประจำ และการออมของครอบครัว และเป็นส่วนที่จะนำไปจัดสรร ให้กับสมาชิก และส่วนกลางในครัวเรือน
· Tab 4
การบริหารเงินสด และสินทรัพย์สภาพคล่องของบุคคล
ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อรายจ่ายของบุคคล
ปัจจัยที่ทำให้เกิดค่ารายจ่ายอาหาร
1.จำนวนรายได้ของครอบครัวรวมทั้งหมด จะเป็นปัจจัยที่สามารถใช้ในการกำหนดงบประมาณรายจ่ายค่าอาหารไว้ว่า ครอบครัวนั้นจะมีรายจ่ายเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด
2.อายุของสมาชิกในครอบครัวจะมีอิทธิพลต่อการใช้จ่ายมาก เช่นกัน กล่าวคือ ในครอบครัวที่มีบุตรหลานอยู่ในวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่กำลังเติบโต ย่อมจะมีรายจ่ายค่าอาหารประเภทเนื้อ นม ไข่ ผัก และผลไม้มากกว่าครอบครัวที่มีลูกกำลังเล็ก หรืออยู่ในวัยทารก
3.รูปแบบ และประเภทอาหารของแต่ละครอบครัวที่รับประทาน เช่น บางครอบครัวอาจชอบรับประธานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม เนย ซึ่งมีราคาแพงกว่าการรับประทานอาหารแบบไทย
4.ระดับราคาอาหาร และการวางแผนการในการซื้ออาหารของท่านได้ ในกรณีที่ท่านทราบถึงระดับราคาสินค้าที่ต้องการจะซื้อในแต่ละครั้ง รวมถึงการวางแผนการซื้อไว้โดยเรียบร้อยว่าท่านควรจะซื้อสินค้าใดบ้าง เป็นจำนวนเท่าใด ท่านก็จะสามารถไปยังแหล่งที่ขาย และเลือกซื้อสินค้าไว้โดยเรียบร้อยว่าท่านควรจะซื้อสินค้าใดบ้าง โดยมีงบประมาณเตรียมไว้อย่างพร้อมเพรียง เช่น ผัดผัก แกงต่าง ๆ
รายจ่ายค่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
ปัจจัยที่ทำให้เกิดรายจ่ายค่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
1. ฤดูกาล ท่านอาจจะมีรายจ่ายค่าเสื้อผ้าน้อยลง เช่น ในฤดูหนาวท่านอาจจะใช้เสื้อกันหนาวเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นท่านจึงอาจมีการใช้จ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าลดลง
2. อาชีพ อาชีพของท่านก็อาจเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการใช้เสื้อผ้าได้เช่นกัน เช่น ถ้าท่านเป็นพนักงานธนาคาร ทหาร ตำรวจ นางพยาบาล ครู พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานขายของตามห้างร้าน ที่ต้องแต่งเครื่องแบบทำงาน ท่านอาจมีความจำเป็นในเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายน้อยกว่าผู้ที่มีอาชีพนางแบบ และพนักงานในบริษัทเอกชน
3.อายุ และวัย เป็นปัจจัยหนึ่งในการใช้เสื้อผ้าเพราะในวัยทารก และวัยเด็กที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การใช้เสื้อผ้ามากชุดย่อมไม่เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย และเกิดการการสูญเสียทางเศรษฐกิจได้มากเพราะเด็กเติบโตเร็วในบางครั้งไม่ทันกับเสื้อผ้าที่มีอยู่ และต้องหาซื้อใหม่บ่อยขึ้น
4. สมัยนิยมที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเสื้อผ้ามากขึ้น เพราะถ้าท่านยังคงใช้เสื้อผ้าตัวเก่าอยู่ ก็ทำให้ท่านมองดูหล้าสมัยในสังคม และทำให้ท่านขาดความมั่นใจในตัวเองได้มาก จึงจำเป็นที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการแต่งกายให้เป็นไปตามสมัยนิยม
รายจ่ายค่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดรายจ่ายค่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
1. ราคา
2. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
3. รายจ่ายค่าบริการ
4. อายุการใช้งานของเครื่องใช้นั้น ๆ
5. การดูแลบำรุงรักษา
6. การซ้องแซมภายหลังการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า
7. การประเมินอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า
รายจ่ายประจำของการใช้รถยนต์
ปัจจัยที่ทำให้เกิดรายจ่ายของการใช้รถยนต์ของบุคคล รถยนต์ไม่ว่าแบบใดก็ตาม ย่อมมีอายุการใช้งานที่มีความจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งแล้วแต่ ราคา และคุณภาพ รถที่มีราคาแพงย่อมมีความคงทนมากกว่ารถที่มีราคาถูกกว่า แต่เมื่อเกิดความชำรุด ค่าซ่อมบำรุงก็จะแพงกว่า รถยนต์ทั่ว ๆ ไป ในทางตรงกันข้ามรถยนต์ที่ราคาในระดับกลางค่าซ่อมบำรุงก็จะถูกกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะใช้รถยนต์แบบใดนั้น ก็จะต้องคำนึงถึง รายได้ของตนว่า มีความเหมาะสมกับรถยนต์ในระดับใด
ค่าประกันอุบัติเหตุ ก็เป็นปัจจัยที่มีผลต่อรายได้ และค่าใช้จ่ายของบุคคล การประกับอุบัติเหตุเป็นไปตาม เงื่อนไขของผู้ขายเพื่อผ่อนปรน ภาระค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทประกันเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น โดยเจ้าของรถยนต์มีหน้าที่จ่ายค่าเบี้ยประกัน ให้แก่บริษัทประกัน ตามเงื่อนไขของผู้ขาย เพื่อผ่อนปรนภาระค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทประกันเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น
สำหรับผู้ที่ไม่มีรถยนต์ ก็จะไม่มีรายจ่ายในส่วนรถยนต์ที่กล่าวมาแต่จะเป็นรายจ่ายค่าเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง หรือรถรับจ้างต่างเป็นปัจจัยด้านรายรับรายจ่ายก็จะมีความแตกต่างไปจากผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวซึ่งอาจจะประหยัดกว่าด้วยซ้ำไป
กระบวนการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล
กระบวนการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การกำหนดที่มาของรายได้ส่วนบุคคลทั้งหมดว่า รายได้ของครอบครัว เหล่านั้น ได้มาอย่างไร จนถึงขั้นตอนในการตัดสินใจจัดการกับรายได้จำนวนดังกล่าว ซึ่งขั้นตอนพื้นฐานในกระบวนการ จัดทำงบประมาณ ส่วนบุคคล มีอยู่ด้วยกัน 5 ขั้นตอน โดยในแต่ละขั้นตอนจะเป็นการทำความเข้าใจถึงวิธีการจัดทำงบประมาณ รวมถึงการดำรงชีวิต อยู่ภายในแนวทางของงบประมาณตามที่ได้วางไว้ งบประมาณส่วนบุคคลจึงไม่ดูว่าเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนยุ่งยากมากนัก เพราะถ้าครอบครัวใดมีการจัดทำงบประมาณไว้เป็นระบบที่ดีแล้ว จะสามารถช่วยในการจัดการทางการเงินไม่ให้เกิดความขาดแคลน หรือขัดสนได้มาก ดังแสดงขั้นตอนสำคัญในกระบวนการทำงบประมาณไว้ใน
แสดงกระบวนการในการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล
แนวทางเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการทำงบประมาณส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการเกิดความขัดสนทางการเงินมี 4 ประการคือ
1. ในการตัดสินใจว่าจะจัดการรายได้ที่มีอยู่ของท่านต่อไปอย่างไร แต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำ การจัดสรรร่ายจ่ายชนิดใดชนิดหนึ่ง ไปเป็นจำนวนมากน้อยเพียงใดนั้น ควรต้องคำนึงถึงรายจ่ายอื่นๆ ที่ท่านจะต้องใช้จ่ายจากเงินรายของท่าน พร้อมทั้งอธิบายการเกิดรายจ่าย และการจัดการรายจ่ายนั้นๆ ไว้อย่างชัดเจนเพื่อที่ท่านจะได้สามารถจัดทำงบประมาณส่วนไปได้ด้วย
2. ควรมีการกำหนดเงินสำรองรายจ่ายส่วนบุคลขึ้นไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในจำนวนที่ท่านทั้งคู่สมรสเห็นว่าเหมาะสม
3. รายการรายจ่ายที่กำหนดไว้ในงบประมาณ ในทางปฏิบัติไม่ได้หมายความว่า ครอบครัวทั้งหลายจะต้องมีการดำเนินการ ให้เป็นไปตาม งบประมาณ โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางในการใช้จ่ายได้เสียเลย เช่น ในกรณีที่ท่านกำหนดรายจ่ายค่าอาหารไว้ประมาณสัปดาห์ละ 1,000 บาท แต่หากในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ท่านอาจมีรายการชื้ออาหารเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เช่น ร้านขายเนื้อที่ท่านเป็นลูกค้าประจำ แนะนำเนื้อวัวคุณภาพดีให้ท่านทดลองรับประทานแทนการรับประทานเนื้อหมู หรือเนื้อปลาคุณภาพปานกลางซึ่งมีราคาถูกกว่า
4. ควรมีการเก็บรักษาบันทึกทางการเงินทั้งที่เป็นส่วนของรายได้ และส่วนที่เป็นรายจ่ายไว้เป็นอย่างดี เพราะรายการรายจ่าย บางรายการ อาจเป็นรายการที่ควรทราบ เช่น รายการการเสียภาษีก็ควรมีการแยกรายการละเอียดไว้ตางหากโดยเฉพาะ
· Tab 5
งบประมาณรายได้ส่วนบุคคล
ขั้นตอนแรกในการทำงบประมาณส่วนบุคคลคือการจัดหมวดหมู่ของแหล่งที่มาของรายได้ทั้งหลายภายในครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน ตัวอย่างการบันทึกของรายได้สามารถจัดทำได้ดังตาราง
ตาราง แสดงงบประมาณรายได้รวมทั้งหมดของครอบครัวประจำปี พ.ศ….
ข้อแนะนำบางประการในการคำนวณ รายได้ของครอบครัวที่มีประโยชน์ และสามารถติดตามค้นหา รายการรายได้ได้ครบถ้วนและถูกต้อง คือ
1.คำนวณผลรวมเฉพาะรายได้สุทธิที่ท่านได้รับอยู่จริงเท่านั้น กล่าวคือ ท่านอาจมีรายได้ตามบัญชีเงินเดือนเป็นเดือนละ 10,000 บาท แต่รายได้ที่ท่านได้รับจริงๆเป็นเพียง 9,200 บาทเท่านั้น ซึ้งส่วนแตกต่าง 800 บาท นี้เป็นรายได้ที่นายจ้างหักไว้เป็นค่าภาษี 350 บาท ค่าเงินสวัสดิการต่าง ๆ ภายในสถานที่ทำงาน 150 บาท และเงินสะสมเพื่อโครงการเกษียณอายุอีก 300 บาท ดังนั้นจำรายได้ที่ท่านจะใส่ไว้ในงบประมาณจะเป็นเพียงจำนวน 9,200 บาท
2.ถ้าท่านไม่แน่ใจว่ารายได้ที่ท่านได้รับเป็นจำนวนที่แน่นอนเท่าใดแล้ว ให้ท่านประมาณวงเงินใน จำนวนเงินที่น้อยที่สุดที่ท่านคิดว่า จะได้รับไว้ก่อน
3.คำนวณตัวเลขรายได้จำนวนใหม่ขึ้นมาเมื่อถึงรอบระยะเวลาการขึ้นเงินเดือนประจำปี
4.ถ้าอาชีพของท่านก็ให้เกิดรายได้ที่ไม่แน่นอน เช่น อาชีพนักร้อง นักแสดง นักเขียน นักมวย พนักงานขาย นายหน้า สถาปนิก ฯลฯ รายได้ของท่านจะได้รับไม่สม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือนเหมือนที่ท่านเป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงาน ในบริษัทห้างร้านต่างๆ เพราะแม้ว่าท่านจะทำงานเสร็จสิ้นแล้วแต่ท่านก็ยังไม่ได้รับเงินค่าจ้างทันที
งบประมาณรายจ่ายส่วนบุคคล
เพื่อที่จะควบคุมการใช้จ่ายจากเงินรายได้ที่มีอยู่ให้เกิดความสมดุลขึ้นวิธีการที่ดีที่สุดคือ การจดจำว่า รายการรายจ่ายที่เกิดขึ้น ทั้งหมดของท่านมีรายการใดบ้าง และเป็นรายจ่ายประเภทใด จำนวนเท่าใดพร้อมจัดประเภทของรายจ่ายต่าง ๆ ไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น กลุ่มรายจ่ายประจำ กลุ่มรายจ่ายผันแปรได้ หรือกลุ่มรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้ เพราะรายจ่ายกลุ่มผันแปรได้ จะเป็นรายจ่ายที่ท่าน ควรให้ความสนใจมากกว่ารายจ่ายประเภทอื่น เนื่องจากท่านสามารถ เลื่อนกำหนด การใช้จ่ายไปได้มากกว่า การเป็นรายจ่ายประเภทประจำ หรือรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งผันแปรได้ภายหลังจากที่ท่านได้แจกแจงและจัดกลุ่มประเภทรายจ่าย ขั้นต่อไปคือ การหาขั้นร้อยละของรายจ่ายทุกรายการว่ารายจ่ายต่าง ๆ เหล่านั้นมีการใช้จ่ายคิดเป็นร้อยละเท่าใดของของรายได้ที่มีอยู่
ตารางแสดงร้อยละของรายจ่าย ณ ระดับรายได้ต่าง ๆ กัน
ประโยชน์ของงบการเงิน
งบการเงินของบุคคลซึ่งประกอบด้วยงบดุล และงบรายได้ค่าใช้จ่ายดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เป็นการทำให้ทราบ ฐานะการเงิน ว่าขณะนี้เป็นอย่างไร เพื่อจะได้หาแนวทางว่าต่อไปเราควรทำอย่างไร จึงจะทำให้ฐานะการเงินดีขึ้น อันจะนำไปถึง จุดหมายทาง การเงินที่วางไว้
งบการเงินนอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับบุคคลดังได้กล่าวแล้วยังเป็นประโยชน์สำหรับ ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่จะใช้ประเมิน ฐานะของผู้มาขอกู้เงินด้วย เพื่อใช้ดูว่า ผู้กู้มีความเสี่ยงทางการเงินเพียงใด เหมาะสมจะให้กู้ยืมหรือไม่ ซึ่งธนาคาร จะเอาตัวเลขจาก รายการต่างๆ ในงบการเงินนี้มาประเมินหาอัตราส่วนทางการเงิน เพื่อจะวิเคราะห์ถึง ความมั่นคงความอ่อนแอ ทางการเงิน ตลอดจน ความสามารถในการชำระหนี้คืนในอนาคตของบุคคลนั้น
· Tab 5
งบประมาณรายได้ส่วนบุคคล
ขั้นตอนแรกในการทำงบประมาณส่วนบุคคลคือการจัดหมวดหมู่ของแหล่งที่มาของรายได้ทั้งหลายภายในครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน ตัวอย่างการบันทึกของรายได้สามารถจัดทำได้ดังตาราง
ตาราง แสดงงบประมาณรายได้รวมทั้งหมดของครอบครัวประจำปี พ.ศ….
ข้อแนะนำบางประการในการคำนวณ รายได้ของครอบครัวที่มีประโยชน์ และสามารถติดตามค้นหา รายการรายได้ได้ครบถ้วนและถูกต้อง คือ
1.คำนวณผลรวมเฉพาะรายได้สุทธิที่ท่านได้รับอยู่จริงเท่านั้น กล่าวคือ ท่านอาจมีรายได้ตามบัญชีเงินเดือนเป็นเดือนละ 10,000 บาท แต่รายได้ที่ท่านได้รับจริงๆเป็นเพียง 9,200 บาทเท่านั้น ซึ้งส่วนแตกต่าง 800 บาท นี้เป็นรายได้ที่นายจ้างหักไว้เป็นค่าภาษี 350 บาท ค่าเงินสวัสดิการต่าง ๆ ภายในสถานที่ทำงาน 150 บาท และเงินสะสมเพื่อโครงการเกษียณอายุอีก 300 บาท ดังนั้นจำรายได้ที่ท่านจะใส่ไว้ในงบประมาณจะเป็นเพียงจำนวน 9,200 บาท
2.ถ้าท่านไม่แน่ใจว่ารายได้ที่ท่านได้รับเป็นจำนวนที่แน่นอนเท่าใดแล้ว ให้ท่านประมาณวงเงินใน จำนวนเงินที่น้อยที่สุดที่ท่านคิดว่า จะได้รับไว้ก่อน
3.คำนวณตัวเลขรายได้จำนวนใหม่ขึ้นมาเมื่อถึงรอบระยะเวลาการขึ้นเงินเดือนประจำปี
4.ถ้าอาชีพของท่านก็ให้เกิดรายได้ที่ไม่แน่นอน เช่น อาชีพนักร้อง นักแสดง นักเขียน นักมวย พนักงานขาย นายหน้า สถาปนิก ฯลฯ รายได้ของท่านจะได้รับไม่สม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือนเหมือนที่ท่านเป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงาน ในบริษัทห้างร้านต่างๆ เพราะแม้ว่าท่านจะทำงานเสร็จสิ้นแล้วแต่ท่านก็ยังไม่ได้รับเงินค่าจ้างทันที
งบประมาณรายจ่ายส่วนบุคคล
เพื่อที่จะควบคุมการใช้จ่ายจากเงินรายได้ที่มีอยู่ให้เกิดความสมดุลขึ้นวิธีการที่ดีที่สุดคือ การจดจำว่า รายการรายจ่ายที่เกิดขึ้น ทั้งหมดของท่านมีรายการใดบ้าง และเป็นรายจ่ายประเภทใด จำนวนเท่าใดพร้อมจัดประเภทของรายจ่ายต่าง ๆ ไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น กลุ่มรายจ่ายประจำ กลุ่มรายจ่ายผันแปรได้ หรือกลุ่มรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้ เพราะรายจ่ายกลุ่มผันแปรได้ จะเป็นรายจ่ายที่ท่าน ควรให้ความสนใจมากกว่ารายจ่ายประเภทอื่น เนื่องจากท่านสามารถ เลื่อนกำหนด การใช้จ่ายไปได้มากกว่า การเป็นรายจ่ายประเภทประจำ หรือรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งผันแปรได้ภายหลังจากที่ท่านได้แจกแจงและจัดกลุ่มประเภทรายจ่าย ขั้นต่อไปคือ การหาขั้นร้อยละของรายจ่ายทุกรายการว่ารายจ่ายต่าง ๆ เหล่านั้นมีการใช้จ่ายคิดเป็นร้อยละเท่าใดของของรายได้ที่มีอยู่
ตารางแสดงร้อยละของรายจ่าย ณ ระดับรายได้ต่าง ๆ กัน
ประโยชน์ของงบการเงิน
งบการเงินของบุคคลซึ่งประกอบด้วยงบดุล และงบรายได้ค่าใช้จ่ายดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เป็นการทำให้ทราบ ฐานะการเงิน ว่าขณะนี้เป็นอย่างไร เพื่อจะได้หาแนวทางว่าต่อไปเราควรทำอย่างไร จึงจะทำให้ฐานะการเงินดีขึ้น อันจะนำไปถึง จุดหมายทาง การเงินที่วางไว้
งบการเงินนอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับบุคคลดังได้กล่าวแล้วยังเป็นประโยชน์สำหรับ ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่จะใช้ประเมิน ฐานะของผู้มาขอกู้เงินด้วย เพื่อใช้ดูว่า ผู้กู้มีความเสี่ยงทางการเงินเพียงใด เหมาะสมจะให้กู้ยืมหรือไม่ ซึ่งธนาคาร จะเอาตัวเลขจาก รายการต่างๆ ในงบการเงินนี้มาประเมินหาอัตราส่วนทางการเงิน เพื่อจะวิเคราะห์ถึง ความมั่นคงความอ่อนแอ ทางการเงิน ตลอดจน ความสามารถในการชำระหนี้คืนในอนาคตของบุคคลนั้น
· Tab 2
การวางระบบการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล
การวางระบบการจัดทำงบประมาณที่ดีจำเป็นจะต้องมีการจัดเก็บรักษาบันทึกทางการเงินที่สำคัญไว้อย่างครบถ้วนซึ่งได้แก่ บันทึกหลักฐานเกี่ยวกับรายรับ รายจ่าย และการออม เพระถ้าท่านไม่มีหลักฐานเหล่านี้หรือไม่มีระบบการเก็บรักษาที่รอบคอบและรัดกุมแล้ว ท่านจะไม่สามารถทราบหรือ ประมาณได้ว่ารายรับทั้งหมดตามบัญชีรายได้ที่ท่านรับหรืออาจจะได้รับเพิ่มเติมนั้นจำนวนเท่าใด ภาษี ณ ที่จ่าย และรายรับ สุทธิเป็นจำนวนที่แท้จริงทั้งสิ้นเท่าใด อีกทั้งรายได้จำนวนนั้นได้ถูกนำไปใช้จ่ายทางใดได้มีการจัดวางระบบการจัดเก็บรักษาข้อมูลบ้าง อย่างไร และเป็นจำนวนเงินมากน้อยเพียงใด ในเรื่องนี้ควรไว้โดยเฉพาะพร้อมทั้งจัดทำเป็นบันทึกทางการเงินส่วนบุคคลเก็บไว้และถือเป็นหลักฐานสำคัญของครอบครัวเพื่อประโยชน์ใน การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว ซึ่งหลักฐานบันทึกทางการเงินที่สำคัญ ได้แก่
1.งบรายได้ และรายจ่ายส่วนบุคคล งบรายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล เป็นรายงานที่แสดงถึงที่มาของรายได้และที่ไปของรายจ่ายของครอบครัวซึ่งรายได้ของบุคคลอาจได้มาจากหลายทาง เช่น จากงานประจำที่ทำอยู่ การทำงานอดิเรก ดอกผลที่เกิดจากสินทรัพย์ลงทุน ตลอดจนบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการต่างๆที่ได้รับ ซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นอกจากนั้นเป็นการจ่ายเพื่อซื้อสิ่งของต่างๆที่อำนวยความสะดวกสบาย การใช้จ่ายเกี่ยวกับพันธะทางการเงินที่มีอยู่ เช่น ค่าเบี้ยประกัน ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ ตลอดจนค่าภาษีเป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการจ่ายกรณีพิเศษอื่นๆอีก เช่น การบริจาคต่างๆ อย่างไรก็ตามการใช้จ่ายของบุคคลมักจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความพอใจที่จะได้รับเป็นสำคัญ ดังนั้นงบนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากในการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล เพราะในการทำงบประมาณรายได้รายจ่ายส่วนบุคคลได้มีการจัดหมวดหมู่และแยกประเภทของรายได้และรายจ่ายของครอบครัวไว้อย่างเป็น ระบบแล้ว
ตารางที่1-1 แสดงตัวอย่างของงบรายได้และรายจ่ายส่วนบุคคลประจำปี พ.ศ.25…ของครอบครัวนาย ก
· Tab 3
2.งบดุลส่วนบุคคล งบดุลส่วนบุคคลคืองบการเงินที่ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งแสดงถึงรายการทีทรัพย์สินที่ท่านเป็นเจ้าของ ซึ่งได้แก่สินทรัพย์ทั้งหลายที่ท่านมีอยู่ ส่วนที่สองแสดงถึงภาระหนี้สินต่างๆ ของท่านและส่วนที่สามก็คือผลต่างระหว่างส่วนที่หนึ่งและส่วนที่สอง ซึ่งเรียกว่ามูลค่าสุทธิ (net worth ) ดั้งมูลค่าสุทธินี้ก็จะคือมูลค่าความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินนั่นเอง ดังแสดงตัวอย่างในงบดุลของครอบครัวนาย ก
ตัวอย่างงบดุลของครอบครัวนาย ก เมื่อวันที่ 1 มกราคม 25..
· Tab 4
3.การบันทึกรายการทรัพย์สินส่วนบุคคล โดยปกติทั่วไปแล้วทุกท่านย่อมมีทรัพย์สินส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้นซึ่งสินทรัพย์ส่วนบุคคลนี้หมายความถึงทรัพย์สินมีค่า เช่น เพชร พลอย เสื้อผ้า เครื่องประดับส่วนตัว และเครื่องใช้ภายในบ้านทุกชนิดเช่น เครื่องเรือน เครื่องลายคราม เครื่องเสียง และเครื่องใช้ ต่าง ๆ จากตารางตัวอย่างของงบดุลที่อยู่ข้างต้น จะเห็นได้ว่า รายการทรัพย์สินส่วนนี้มีมูลค่าถึง 350,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายการทรัพย์สินอื่น ดังนั้นการเก็บบันทึกรายการชื่อทรัพย์สิน วันที่ซื้อ ร้านที่ซื้อ และราคาที่ได้จ่ายไปจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง ในกรณีที่ท่านมีการประกันอัคคีภัยสำหรับอาคารบ้านที่อยู่อาศัยไว้โดยที่มูลค่ารวมทรัพย์สินมีค่าภายในบ้านไว้ด้วยแล้ว เมื่อเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกโจรกรรมหรือการถูกไฟไหม้ ท่านจะสามารถพิสูจน์ได้ทันทีถึงหลักฐานการครอบครองทรัพย์เหล่านั้น และได้รับค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าที่ได้ตีราคาไว้กับบริษัทประกันภัย เพราะในปัจจุบันบริษัทประกันภัยยินยอมให้ผู้เอาประกันสามารถประกันอัคคีภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยได้ในวงเงินที่สูงกว่าราคาของอาคารโดยตีมูลค่า ของทรัพย์สินภายในบ้านเพิ่มเข้าไปอีกประการที่สอง ถ้าทรัพย์สินของท่านถูกขโมยไปโดยที่ท่านไม่ได้ทำประกันไว้ ท่านก็สามารถที่จะแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของได้ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามทรัพย์สินนั้นมาได้หรือขอคำยืนยันจากร้านที่ซื้อโดย การตรวจสอบกับหลักฐานการซื้อให้ถูกต้องตรงกัน
การบันทึกรายการและหลักฐานของทรัพย์สินส่วนบุคคลที่ท่านเป็นเจ้าของนี้ควรทำการเก็บรวบรวมไว้ในแฟ้มเอกสารให้เรียบร้อย พร้อมทั้งทำเครื่องหมายหรือเขียนกำกับไว้หน้าแฟ้มด้วยคำว่าเป็นแฟ้ม “ทรัพย์สินส่วนบุคคล” หรือถ้ามีการถ่ายรูปทรัพย์สินทุกชนิดไว้และทำบันทึกแจกแจงรายละเอียดของลักษณะทรัพย์สินแนบไว้พร้อมกับรูปภาพได้จะเป็นวิธีที่รอบคอบ มากยิ่งขึ้น เพราะทรัพย์สินมีค่า เช่น เครื่องเพชรพลอย เครื่องแก้วเจียรไน เครื่องลายคราม ฯลฯ อาจมีการโจรกรรมได้ง่ายเพราะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและไม่ค่อยถูกกระทบกระเทือนจากผลของเงินเฟ้อ หรือมีค่าเสื่อมราคาเมื่อเวลาผ่านเลยไปเหมือนเช่น รถยนต์ หรือเครื่องเรือน ดังนั้นการให้ความระมัดระวัง และเห็นคุณค่าของการเก็บบันทึกเช่นนี้จะช่วยให้ท่านสามารถตรวจสอบทรัพย์สินของท่านได้ว่ามีสิ่งใดสูญหายหรือมีสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมไป จากเดิมเพียงใดโดยการตรวจสอบจากหลักฐานและรูปภาพในแฟ้มที่เก็บรักษาไว้ เพื่อประโยชน์ในการนำกลับคืนมาและบำรุงรักษาไว้ให้เป็นสมบัติของครอบครัวต่อไป
4. บันทึกรายการเสียภาษี เมื่อถึงรอบระยะเวลาในการเสียภาษี การมีบันทึกที่สมบูรณ์เก็บรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้ท่านทราบถึงกำหนดของการชำระภาษี รวมทั้งจำนวนเงินรายจ่ายที่จำเป็นจะต้องใช้จ่ายได้ถูกต้องว่ารายการภาษีประเภทใดบ้างที่ท่านมีหน้าที่ที่จะต้องชำระ เช่น อาจมีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีที่ดิน หรือดอกเบี้ยและเงินปันผลจากการลงทุนดังนั้นการจัดหมวดหมู่ของรายการให้เป็นระเบียบไว้ในแฟ้มเอกสารจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมาก เพราะถ้าท่านละเลยหลีกเลี่ยงหรือเพิกเฉยต่อการเสียภาษีไม่ว่าจะเป็นภาษีประเภทใดก็ตามท่านจะต้องมีความผิดและอาจต้องคดีตามกฎหมาย เช่น อาจถูกปรับหรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับตามความหนักเบาของความผิดที่ได้รับ นอกจากนั้นการเก็บหลักฐานการเสียภาษีให้ครบถ้วนภายหลังการชำระภาษีแล้ว เช่น ใบเสร็จรับเงินค่าภาษี สำเนาใบแสดงรายการแบบยื่นเสียภาษีหรือใบ ภงด. สำเนารายการได้เงินเดือนและรายได้อื่นใดที่ต้องเสียภาษีได้ สำเนาใบหักภาษี ณ ที่จ่าย บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีและหลักฐานที่เกี่ยวกับการชำระภาษีทุกประเภทจะช่วยให้ท่านมีความสะดวกในการชำระภาษีครั้งต่อไป รวมถึงการคำนวณภาษีและการเรียกคืนภาษีที่ชำระเกินไว้ได้ถูกต้องอีกด้วย
5.บันทึกรายการหลักฐานการมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน บันทึกหลักฐานที่มีความสัมพันธ์กับบ้านและที่ดิน ได้แก่ โฉนดที่ดิน พิมพ์เขียว แบบบ้าน และบันทึกรายจ่ายในการต่อเติมหรือปรับปรุงอาคารบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งรายการหลักฐานทั้ง 3 สิ่งนั้นเป็นบันทึกสำคัญที่ท่านต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุดหรือเก็บไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพราะเมื่อท่านตัดสินใจใช้ที่ดินท่านจะได้รับโฉนดที่ดิน ระวางวัด ขนาดพื้นที่แหล่งและทิศทางของที่ดิน หมายเลขหลักเขตตำบลที่อยู่ และหลักฐานในการโอนกรรมสิทธิ์หรือการเปลี่ยนเจ้าของกรรมสิทธิ์ โฉนดที่ดินจะเป็นหลักฐานแสดงว่าท่านมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามตำแหน่งพื้นที่ที่กำหนดไว้ในโฉนด และหากมีการซื้อขายเกิดขึ้นในภายหลังท่านก็จะมอบหลักฐานและโอนกรรมสิทธิ์นั้นให้แก่ผู้ซื้อต่อไป ส่วนพิมพ์เขียวแบบบ้านก็เป็นหลักฐานที่มีความสำคัญที่ท่านควรเก็บรักษาไว้แม้ท่านจะสร้างบ้านเสร็จแล้วก็ตาม เพราะในอนาคตท่านอาจมีแผนการในการตกแต่งและปรับปรุงโครงสร้างหรือซ่อมแซมตัวบ้านเพิ่มเติม เช่น ในกรณีที่มีบุตรหรือสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้นหรือมีบุตรของท่านเติบโตและต้องการที่พักเป็นสัดส่วนของตนเอง เป็นต้น ในการตัดสินใจปรับโครงสร้างของบ้านใหม่นี้แบบแปลนของแบบบ้านเดิมจะช่วยให้สถาปนิกของผู้รับเหมาดำเนินการได้เร็วขึ้น เนื่องจากการสามารถทราบถึงตำแหน่งและจุดสำคัญในการก่อสร้างทำให้การวางแบบแปลนใหม่ทำได้ง่ายแต่ถ้าท่านซื้อบ้านจัดสรรหรือซื้อบ้าน ต่อจากผู้อื่น และท่านไม่ได้รับแบบแปลนของบ้านหลังนั้นท่านก็ควรจะขอถ่ายสำเนา มาจากเจ้าของบ้านเดิมไว้เป็นหลักฐานร่วมกับโฉนดที่ดิน จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดและภายหลังจากการก่อสร้างบ้านหรือการต่อเติมซ่อมแซมบ้านใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลักฐานรายจ่ายทั้งหลายท่านควรเก็บรักษาไว้อย่างดีเช่นกัน เพื่อที่ท่านจะได้ทราบถึงมูลค่าของราคาบ้านทั้งหมด แต่ถ้าท่านซื้อบ้านจัดสรรหรือซื้อบ้านต่อจากผู้อื่น ท่านก็ควรจะเก็บหลักฐานการซื้อไว้ด้วย ซึ่งได้แก่ ใบเสร็จรับเงินตามราคาซื้อขาย ใบเสร็จค่าธรรมเนียม ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าภาษีการขาย ค่านายหน้า เพื่อที่ว่าหากภายหลังท่านอายุมากขึ้นและไม่มีความจำเป็นจะต้องมีบ้านที่มีห้องมากมายอีกต่อไป เนื่องจากสมาชิกในบ้านได้แยกย้ายไปมีบ้านของตนเองบ้าง หรือไปมีกิจการอาชีพอยู่ในถิ่นที่อื่นบ้างหรือท่านไม่มีความสามารถ ในการดูแลรักษาบ้านได้เท่าเดิม ท่านอาจตัดสินใจขายบ้านของท่านเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่า หรือย้ายไปอยู่หอพักหรือ
อพาร์ทเมนท์ เช่นนี้จะทำให้ท่านสามารถตั้งราคาขายของบ้านได้ถูกต้องตามหลักฐานตามรายจ่ายที่ท่านมีอยู่ เช่นหลักฐานในการซื้อเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นราคาทั้งสิ้น 100,000 บาท รวมกับราคาต่อเติมอีก 50,000 บาท แต่ในปัจจุบันท่านจะตั้งราคา 150,000 บาท ไม่ได้ เนื่องจากอำนาจซื้อของเงินในอดีตกับปัจจุบันมีมูลค่าไม่เท่ากัน แต่ท่านก็สามารถใช้มูลค่าเดิมเป็นฐานในการกำหนดราคาปัจจุบันได้ และทราบถึงกำไรสุทธิที่ท่านควรจะได้รับ นอกจากนั้นท่านยังจะสามารถกำหนดราคาต่อรองที่ท่านสามารถรับได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่มีความสัมพันธ์กับตัวบ้านทั้ง 3 ประการนี้ ท่านอาจเก็บไว้รวมกันในตู้นิรภัยของธนาคารที่ท่านเป็นลูกค้าอยู่ หรือจะทำการเก็บรักษาแยกจากกันไว้ก็จะทำให้ท่านสามารถตรวจค้นได้สะดวกขึ้น เพราะหลักฐานใบเสร็จรับเงินอาจมีจำนวนมาก จากการที่ท่านได้มีการซ่อมแซมบ้านหลายครั้ง ดังนั้นหากมีรายการจ่ายค่าซ่อมแซม ตกแต่ง หรือต่อเติมบ้านเป็นจำนวนมากแล้ว การเก็บหลักฐานไว้แยกจากหลักฐานโฉนดที่ดินและพิมพ์เขียวแบบบ้านจะลดความหลงลืมและสูญหายได้ดีขึ้น
6.บันทึกหลักฐานในการประกันภัย เมื่อท่านได้รับความเสียหายที่มีต่อทรัพย์สินหรือชีวิตโดยที่ท่านมีกรมธรรม์ประกันภัย และมีการเก็บรักษาไว้อย่างเป็นระบบที่ปลอดภัย ท่านหรือผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะสามารถนำ หลักฐานไปอ้างสิทธิ์ในการรับสินไหมทดแทนได้ภายในกำหนด ที่บริษัทรับประกันระบุไว้ตามเงื่อนไขสัญญาการทำประกันภัย ดังนั้นหลักฐานสำคัญในการทำ ประกันภัย คือ ใบขอทำประกัน ใบกรมธรรม์
7.บันทึกหลักฐานในการลงทุน เมื่อท่านมีการลงทุนซื้อหลักทรัพย์หรือพันธบัตรรัฐบาล การบันทึกรายการต่างๆ จะเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งด้วยเหตุผลประการแรกคือ ท่านจะสามารถทราบได้ว่ารายการลงทุนประเภทใดบ้างที่ท่านจะต้องเสียภาษีและเป็นจำนวนเท่าใด รายการลงทุนประเภทใดที่ท่านไม่ต้องเสียภาษีและท่านจะสามารถเครดิตขอคืนภาษีได้เป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ประการที่สอง ท่านจะสามารถคำนวณรายได้เงินปันผลและดอกเบี้ยได้อย่างถูกต้อง ประการสุดท้าย ท่านสามารถวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงในการลงทุนของท่านได้ว่าในการลงทุนเช่นนี้ท่านมีความเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงในการลงทุนอย่างไร เพราะในการซื้อขายหลักทรัพย์ทุกครั้งท่านจะต้องดำเนินการผ่านบริษัทสมาชิก (Broker) ซึ่งพวกเขาจะเป็นผู้ให้หลักฐานในการวิเคราะห์การลงทุนแก่ท่าน เช่น งบการเงินของบริษัทที่ท่านลงทุน หลักฐานแสดงราคาและมูลค่าของหลักทรัพย์ ใบโอนกรรมสิทธิ์ ใบสำคัญการซื้อและขายเพื่อแสดงถึงผลกำไรและขาดทุน ใบภาษี ฯลฯ หลักฐานสำคัญเหล่านี้ท่านควรต้องเก็บไว้ในบันทึกหลักฐานซึ่งอาจเป็นแฟ้มเอกสารโดยเฉพาะและมีผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแล หรือท่านควรดูแลรักษาไว้ด้วยตนเองก็ได้ เพราะหลักฐานการลงทุนเป็นหลักฐานที่แสดงถึงฐานะของครอบครัวได้ดีประเภทหนึ่ง นอกจากนั้นยังสามารถใช้เป็นหลักฐานในการจำนองได้เช่นเดียวกับโฉนดที่ดินหรือกรมธรรม์ประกันชีวิตอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นหลักทรัพย์เหล่านี้ยังถือเป็นหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนมือได้ง่ายลักษณะเดียวกับเงินสด จึงควรให้การระมัดระวังต่อการสูญหายและมีการบันทึกหลักฐานต่างๆไว้อย่างละเอียดรอบคอบที่สุด
8.บันทึกรายการหลักฐานสำคัญส่วนอื่นๆ หลักฐานเอกสารสำคัญส่วนบุคคลนอกเหนือจากเอกสารทางการเงินส่วนบุคคล 7 ประเภทข้างต้นได้แก่ เอกสารใบทะเบียนบ้านซึ่งมีรายชื่อของสมาชิกภายในครอบครัว หลักฐานการเพิ่มหรือลดของสมาชิก เช่น การเกิดบุตรใหม่ การตาย การโยกย้ายที่อยู่ การเปลี่ยนแปลงชื่อ คำนำหน้าชื่อ นามสกุล ยศ ตำแหน่ง ใบสูติบัตรของบุตรทุกคน ใบรับรองการรับบุตรบุญธรรม ใบทะเบียนสมรสของหัวหน้าครอบครัว เพราะหลักฐานต่างๆเหล่านี้จะเป็นหลักฐานสำคัญและมีประโยชน์ในการนำบุตรไปเข้าศึกษาในสถานศึกษาต่างๆ การสมัครงาน การทำหนังสือเดินทาง การทำใบขับขี่ การทำบัตรประชาชน ฯลฯ ส่วนหลักฐานอื่นก็ได้แก่ พินัยกรรม หรือจดหมายคำสั่งเสียแทนพินัยกรรมในกรณีที่ผู้นำครอบครัวไม่สามารถจัดทำพินัยกรรมได้เรียบร้อย บันทึกของทนายความ รวมถึงเอกสารที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสมาชิกภายในครอบครัวทุกประเภท เช่น อาจเป็นบันทึกจดหมายบอกถึงสถานที่เก็บรักษาทรัพย์สินส่วนตัว โฉนดที่ดิน บัญชีเงินฝากธนาคารทุกประเภท กรมธรรม์ประกันชีวิต การมอบศพให้โรงพยาบาล และการจัดงานศพ เป็นต้น ซึ่งในแต่ละครอบครัวอาจมีเอกสารสำคัญแตกต่างกันไปตามนโยบายการดำรงชีวิตที่ต่างกันของหัวหน้าครอบครัวและสมาชิก
แบบแผนในการเก็บรักษาบันทึกทางการเงินส่วนบุคคล
บันทึกทางการเงินส่วนบุคคลที่สำคัญ 8 ประเภทดังกล่าวข้างต้น ส่วนใหญ่แล้วมักมีการเก็บรักษาไว้ที่บ้าน โดยเก็บไว้ในแฟ้มเอกสาร แต่สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดควรเป็นการเก็บรักษาไว้ที่ตู้นิรภัยของธนาคารที่ท่านเป็นลูกค้าอยู่ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาในการสูญหาย การสูญเสียจากการถูกโจรกรรมหรือไฟไหม้บ้านเป็นต้น เพราะการเก็บไว้ในตู้นิรภัยท่านจะแน่ใจได้ว่ามีความปลอดภัยมากกว่า เนื่องจากทางธนาคารมีการรักษาความปลอดภัยที่ดี และทุกครั้งที่ท่านต้องการใช้เอกสารที่เก็บไว้ในตู้นิรภัย ท่านจะต้องไปธนาคารและดำเนินการตามขั้นตอนในการขอดูเอกสาร คือ การทำใบคำร้องขอเปิดตู้ พร้อมทั้งลงนามกำกับในใบคำร้องให้เหมือนกับตัวอย่างที่ท่านให้เป็นตัวอย่างไว้กับธนาคาร เมื่อธนาคารแน่ใจว่าถูกต้องตรงกันแล้ว ท่านจึงสามารถเข้าไปในห้องนิรภัยได้พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาตู้ของท่าน การใช้บริการก็เป็นเพียงการจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารในอัตราที่ธนาคารกำหนด ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินที่น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบริการความปลอดภัยที่ท่านได้รับ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบันทึกทางการเงินส่วนบุคคลที่สำคัญจะต้องมีการเก็บรักษาให้มีความปลอดภัยมากที่สุดแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ควรตระหนักให้มากอีกประการหนึ่งก็คือ การให้สมาชิกในครอบครัวทราบด้วยว่าบันทึกเหล่านั้นมีบันทึกอะไรบ้าง ทำการเก็บรักษาไว้ที่ใดและจะสามารถนำหลักฐานเหล่านั้นมาตรวจสอบได้ประการใด เพราะเวลาที่เกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตอย่างกะทันหัน หรือเกิดการเจ็บป่วยจนไม่สามารถปฏิบัติงานตามปกติได้เช่นนี้หักสมาชิกในครอบครัวจะสามารถรับภาระแทนได้แล้ว ครอบครัวของท่านจะไม่มีโอกาสประสบกับความเดือดร้อน ประโยชน์จากการอ้างสิทธิบางประการ เช่น การอ้างสิทธิรับผลประโยชน์จากการประกันภัย เป็นต้น นอกจากบันทึกทางการเงินส่วนบุคคลจะเป็นบันทึกรายการสินทรัพย์เป็นส่วนใหญ่แล้ว การเก็บบันทึกรายการหนี้สินและสัญญาการเป็นหนี้ทุกชนิดร่วมด้วยก็จะเป็นหลักฐานที่สำคัญเช่นกัน เพราะสมาชิกในครอบครัวจะได้จัดการภาระทางการเงินให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปได้ หรือไม่ถูกกล่าวอ้างการเป็นหนี้สินโดยไม่มีหลักฐาน ซึ่งหมายความว่าการจัดการทางการเงินจะสำเร็จลุล่วงไปได้ถ้าสมาชิกในครอบครัวมีส่วนร่วมในการจัดการ นับตั้งแต่การวางแผน การกำหนดวัตถุประสงค์ การปฏิบัติการตามแผนการเก็บรักษาจนถึงการวิเคราะห์ผลที่เกิดขึ้นในขั้นสุดท้าย
การวางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย รายจ่ายเพื่อที่อยู่อาศัย
· Tab 1
รายจ่ายเพื่อที่อยู่อาศัย
ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน พัฒนาการที่อยู่อาศัยของมนุษย์เกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ หลายประการ เช่น สภาพแวดล้อมของภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เทคโนโลยี ระเบียบและวัฒนธรรมประจำถิ่น ยิ่งสังคมมีการพัฒนามากขึ้นเท่าใด ที่อยู่อาศัยก็ยิ่งมีการพัฒนาควบคู่ไปด้วยมากขึ้นเพียงเท่านั้น จนเกิดเป็นรูปแบบของที่อยู่อาศัยต่างๆ มากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานและความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยให้ได้มากที่สุด แม้ว่าบุคคลทั่วไปจะมีความต้องการ ที่จะมีบ้านเป็นของตนเอง อันเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานก็ตาม แต่ข้อจำกัดเกี่ยวกับงบประมาณ รสนิยม ลักษณะอาชีพ จำนวนสมาชิกในครอบครัว และความต้องการความสะดวกสบายในด้านต่าง ๆ ทำให้บุคคลหลายคนมีความจำเป็น ในเรื่องที่อยู่อาศัยแตกต่าง กันไป อย่างไรก็ตามบุคคลส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี หมายถึงการมีที่อยู่อาศัยเหมาะสม กับความต้องการให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกที่อยู่อาศัย ผู้ซื้อไม่ได้ซื้อเพียงตัวบ้านเท่านั้นแต่จะต้องคำนึงถึงความพอใจในการอยู่อาศัยร่วมด้วย ซึ่งความพอใจที่ว่าคืออรรถประโยชน์ที่ผู้ซื้อจะได้รับตามขนาดของบ้าน ความสะดวกสบาย เพื่อนบ้านรวมถึงสิ่งแวดล้อมอื่นใด ที่ผู้ซื้อต้องการเพื่อความสุขในการพักอาศัยและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัว โดยนัยแล้วรูปแบบหลักของการมีที่อยู่อาศัยมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ การซื้อและการเช่า
ประเภทของที่อยู่อาศัย
1. บ้านเดี่ยว (Single – family home) เป็นแบบบ้านที่อยู่อาศัยที่มีคนนิยมมากที่สุด ลักษณะเป็นบ้านตั้งอยู่เดี่ยว ๆ มีเนื้อที่กว้างขวาง รั้วรอบขอบชิด ทำให้ผู้อาศัยมีความเป็นส่วนตัวได้มากและห่างไกลจากการรบกวนของเพื่อนบ้าน นอกจากนั้นมีบ้านเดี่ยวยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เป็นเจ้าของด้วย เพราะบ้านแต่ละหลังมีขนาดใหญ่เล็กต่างกัน สามารถตกแต่งได้ในรูปแบบต่าง ๆ ตามฐานะและรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ
2. อาคารพาณิชย์ หรือตึกแถว (Shop house) เป็นแบบบ้านที่นิยมกันมาก เพราะนอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้วยังสามารถดัดแปลงให้เป็นสถานที่ทำการค้า หรือธุรกิจได้ด้วย อาคารแบบนี้มักมีเนื้อที่แคบ จึงนิยมก่อสร้างกันหลาย ๆ ชั้น
3. ทาวน์เฮาส์ (Townhouse) เป็นบ้านที่มีลักษณะเหมือนตึกแถว บ้านประเภทนี้มักตั้งอยู่ในเมือง ต่างกับตึกแถวตรง ที่มีบริเวณหน้าบ้าน จัดเป็นสวนขนาดย่อมและจอดรถได้ทาวน์เฮาส์ส่วนใหญ่มักเป็นแบบ 2 – 3 ชั้น ใช้เนื้อที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นที่ในเมืองราคาแพง
4. แฟลต หรืออพาร์ทเม้นท์ (Flat or apartment) เป็นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะคล้ายอาคารพาณิชย์ คือมีหลาย ๆ ชั้นแบ่งเป็นหลัง ๆ มีไว้เพื่อให้เช่าที่อยู่อาศัยแบบนี้ ส่วนมากค่าเช่ามักจะสูงเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกปลอดภัยไว้ครบ
5. คอนโดมิเนียม (Condominium) หรืออาคารชุด เป็นอาคารที่มีหลายชั้นแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องชุดจำนวนมาก ซึ่งภายในห้องชุดประกอบด้วย ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องน้ำ อาคารชุดแต่ละแห่งมักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน โดยทั่วไปแล้วอาคารชุดจะตั้งอยู่กลางในเมือง หรือในที่ชุมชนที่มีการคมนาคมสะดวก อาคารชุดมีหลายประเภททั้งประเภทที่อยู่อาศัย (Apartment condominium) และประเภทสำนักงาน (Office condominium) ผู้ซื้ออาคารชุดจะมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของอาคารชุดของตนและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินส่วนกลาง อันได้แก่ ห้องโถง ที่จอดรถ ลิฟต์ สนามและทางเดิน เป็นต้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาทรัพย์สิน
6. สหกรณ์เคหสถาน (Cooperative housing) เป็นที่อยู่อาศัยแบบสหกรณ์ลักษณะเป็น อพาร์ตเม้นต์คอมเพล็กซ์ คล้ายคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยประเภทนี้ เกิดขึ้นโดยผู้ต้องการที่อยู่อาศัยจะลงทุนซื้อหุ้นของสหกรณ์ และสหกรณ์จะนำเงินนั้นไปซื้อที่ดินและสร้างอาคารให้สมาชิกได้เช่าอยู่ สมาชิกต้องช่วยกันออกค่าบำรุงรักษา ซ่อมแซม ค่าภาษี สมาชิกแต่ละหน่วยมีสิทธิ์ออกเสียงได้หนึ่งเสียงในการเลือกคณะกรรมการบริหาร
7. บ้านเคลื่อนที่ (Mobile home) เป็นบ้านที่สร้างสำเร็จรูปจากโรงงาน และย้ายมาติดตั้งในทำเลที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ของบ้านเคลื่อนที่ ผู้เริ่มครอบครัวใหม่นิยมอยู่บ้านเคลื่อนที่เพราะราคาไม่แพงนัก บางคนก็ใช้บ้านเคลื่อนที่เป็นสำนักงานเคลื่อนที่เช่น ผู้รับเหมาเวลาไปรับเหมาก่อสร้างตามแหล่งทีรับเหมาต่าง ๆ บ้านแบบนี้สามารถขับเคลื่อน หรือพ่วงกับรถคันอื่นได้ ลักษณะภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนบ้านทั่วไป บ้านแบบนี้ในเมืองไทยยังไม่ค่อยนิยม เท่าที่มีในขณะนี้เป็นของดาราภาพยนตร์ หรือนักแสดงที่ต้องเดินทางเสมอก็จะซื้อรถยนต์ขนาดใหญ่ ปรับปรุงภายในให้เป็นเหมือนบ้านคือ มีห้องนอน ห้องเตรียมอาหาร ห้องน้ำ เพียงแต่ละห้องมีขนาดเล็กเท่านั้น
8. บ้านที่แบ่งเวลาการพักอาศัย (Time – hare home) บ้านแบบนี้ตามชื่อก็บอกลักษณะให้ทราบว่า มีการแบ่งเวลา หรือหมุนเวียนกันเพื่อใช้ประโยชน์ ในบ้านพักอาศัยดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพักผ่อน เช่น บ้านพัก หรือเรือนรับรอง ที่อยู่ตามชายหาด หรือแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยมีบุคคล บริษัท หรือโครงการจัดสรร เป็นเจ้าของใครต้องการไปพักผ่อนในช่วงไหนก็เช่าใช้บ้านพักในช่วงนั้น ซึ่งจะมีการแบ่งเวลากันในระหว่างผู้ต้องการใช้มีตั้งแต่ 1 สัปดาห์จนถึง 6 เดือนราคาเช่าก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า ระยะเวลาในการเช่า ขนาดของบ้าน ทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนฤดูกาลของการเช่าพัก ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมบางแห่งซึ่งได้ขายไปแล้วก็ยังให้บริการในลักษณะของ Time sharing ด้วย คือขณะใดขณะหนึ่งที่เจ้าของไม่ได้อยู่เอง ก็มอบหมายให้ผู้จัดการคอนโดมิเนียมนั้น ดูแลให้โดยหาผู้ต้องการพักผ่อนในช่วงดังกล่าว มาเช่าอยู่แทน ซึ่งทำให้เจ้าของมีรายได้ขณะที่ไม่ได้ใช่อยู่อาศัยเอง เพียงแต่จ่ายค่าบริการดังกล่าวบ้างเท่านั้น
· Tab 2
การซื้อบ้าน (Buying House)
ทุกคนย่อมใฝ่ฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลังในชีวิต แต่การที่จะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นย่อมต้องอาศัยเวลา ความมานะพยายาม ที่จะสะสมเงินทองเพื่อซื้อหาให้มีบ้านดังกล่าว ดังนั้นการวางแผนซื้อบ้านควรกระทำโดยรอบคอบไม่ว่าจะเป็นการเลือกประเภทของบ้านที่อาศัย การวิเคราะห์ราคาที่เหมาะสม การเสาะหาแหล่งเงินกู้มาช่วยสนับสนุน ตลอดจนการจัดทำหลักฐานสัญญาต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อจะซื้อบ้าน ในการซื้อบ้านควรที่พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
1.ทำเลที่ตั้ง (Location) ในซื้อบ้านการพิจารณาถึงทำเลที่ตั้งมีความสำคัญมาก ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่อยู่อาศัยคนหนึ่งได้กล่าวว่า “เมื่อท่านซื้อบ้าน แท้จริงแล้วสิ่งที่ท่านต้องการซื้อ คือ เพื่อนบ้านนั่นเอง” เพราะถ้ามีเพื่อนบ้านดีมีความเข้าใจช่วยเหลือไหว้วานกันได้ ทุกคนที่อยู่ใกล้กันก็มีความสุขสบายใจนอกจากนั้นสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปควรจะดีพร้อมด้วย เช่น
· ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากตัวเมือง การคมนาคมสะดวก มีรถโดยสารผ่านหลายสาย
· มีสถานที่สำคัญ ๆ ตั้งอยู่ใกล้ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดที่จะซื้อสิ่งของจำเป็นได้
· สภาพแวดล้อมร่มรื่นมีต้นไม้อยู่ทั่วไป
· ถนนหนทางสะดวก มีท่อระบายน้ำดี มีไฟถนนให้ความสว่าง
· บริการประปา มีโทรศัพท์ไปถึง
· อื่น ๆ เช่น มียามรักษาความปลอดภัย คอยตรวจตราเสมอ เป็นต้น
2.ย่านที่ตั้ง (Zoning) บ้านทีเหมาะสมกับการอยู่อาศัย ควรเป็นบ้านเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงดังนั้นจึงควรตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ย่านสำคัญทางการค้า หรือย่านโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ควรเป็นสถานที่สงบเงียบ ไม่มีการรบกวนในเรื่องเสียงอึกทึกครึกโครม หรือกลิ่นต่าง ๆ ซึ่งในเรื่องนี้หากเทศบาล หรือท้องถิ่นได้ออกกฎหมายกำหนดอย่างแน่นอนว่า ย่านใดกำหนดให้เป็น ย่านที่อยู่อาศัยก็ควรเลือกบ้าน ในโซนที่กำหนดไว้เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
3.สนามหญ้า (Yard) ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกบ้านอยู่อาศัยที่มีบริเวณบ้าน หรือสนามอย่างเพียงพอเพื่อจะได้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่น หรือ ออกกำลังได้ แต่เนื่องจากปัจจุบันมีราคาสูงมาก การที่จะมีสนามส่วนตัวอาจทำได้ยาก ดังนั้นการเลือกซื้อควรเลือกโครงการที่มีสวนสาธารณะ หรือสถานที่พักผ่อนที่เป็นส่วนกลาง
4.สิ่งก่อสร้างภายนอก (Exterior construction) ตัวบ้านควรมีความแข็งแรง คงทนถาวร แน่นหนาพอสมควร วัตถุที่ใช้ก่อสร้างต่าง ๆ ไม่ว่า อิฐ ไม้ ปูน การทาสีมีคุณภาพ ประกอบกับฝีมือการก่อสร้างก็ไม่หยาบ มีความละเอียดประณีตพอสมควร กล่าวคือ เมื่อดูรวม ๆ แล้วมีความคงทนต่อแดดฝน ภาวะอากาศพอที่จะอยู่อาศัยไปได้อีกนาน ถ้าจะให้ดีควรมีที่จอดรถและรั้วรอบขอบชิดด้วย
5.สิ่งก่อสร้างภายในบ้าน (Interior construction) มีการตกแต่งอย่างเรียบร้อย การแบ่งห้องก็มีเพียงพอสมาชิกในครอบครัว การแบ่งสัดส่วนใช้สอยต่าง ๆ เป็นไปอย่างเหมาะสมไม่ว่าบันได ห้องน้ำ ห้องครัว ตลอดจนห้องโถง หรือทางเดิน เป็นต้น
การประเมินกำลังเงินในการซื้อบ้าน
โดยทั่วไปคนมักคิดว่า ผู้ที่มีกำลังเงินเพียงพอเท่านั้นจึงจะซื้อบ้านได้ แต่ในความ จริงแล้วจะเห็นว่า คนซื้อบ้านไม่ได้มีกำลังเงินเพียงพอเสมอไป หลายคนถึงกับยอมประหยัดการใช้จ่ายเก็บหอมรอบริบอยู่อย่างลำบากในช่วง 4 – 5 ปีแรก ทั้งนี้เพื่อให้ได้บ้านสักหลังได้อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง เพราะเขาถือว่ามีบ้านสักหลังไว้ไม่เสียหลาย เพราะนอกจากจะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับครอบครัวแล้ว ยังเป็นการลงทุนที่ดีมากอีกทางหนึ่งเสียด้วย หลักในการพิจารณาว่าคนเราควรจะมีเงินสักเท่าไรจึงเหมาะสมที่จะหาซื้อบ้านโดยไม่มีปัญหาทางการเงินเกิดขึ้น ได้มีผู้ให้แนวทางไว้ดังนี้
1. มูลค่าบ้านที่ซื้อ ไม่ควรเกินสองเท่าของรายได้ทั้งสิ้นของครอบครัว เช่น ถ้ารายได้ทั้งสิ้นของครอบครัวปีละ 250,000 บาท ก็ควรซื้อบ้านในราคาสูงไม่เกิน 500,000 บาท
2. ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นของการมีบ้าน (Total housing costs) จะต้องไม่เกินหนึ่งในสี่ของรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือน (Gross income) โดยพิจารณาถึงอัตราส่วนความสามารถในการจัดหาที่อยู่อาศัย หรือที่เรียกว่า Affordability ratio ซึ่งเป็นการวัดความสามารถของบุคคล ที่กู้เงินซื้อบ้านว่าจะสามารถจะรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการมีบ้านของเขาได้มากน้อยเพียงไร
· Tab 3
การเลือกบ้านพักอาศัยโดยทั่วไป มีหลักพื้นฐานในการพิจารณาคือ ความสะดวกในการเดินทาง ความปลอดภัย ราคาค่าเช่า สิ่งอำนวยความสะดวก บริเวณใกล้เคียง มลภาวะ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กั บปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล ที่จะตัดสินใจว่า สิ่งใดเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด โดยอาจขอคำแนะนำจากข้าราชการที่เคยปฏิบัติหน้าที่อยู่ก่อนก็ได้ รวมทั้งอาจขอให้ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ก่อนเป็นธุระเรื่องการเลือกสรรบ้านพักไว้จำนวนหนึ่งเพื่อตัดสินใจเมื่อเดินทางไปถึง เหตุที่ต้องเตรียมการล่วงหน้าเนื่องจากระยะเวลาที่เข้าพักในโรงแรมมีเพียง ๑๐ วัน และขั้นตอนการเช่าบ้านที่เมืองลอสแอนเจลิส ผู้ให้เช่าจะใช้เวลาพิจารณาใบสมัครพอสมควร โดยหากเป็นบ้านที่มีผู้สนใจเช่าหลายราย การแข่งขันย่อมสูงขึ้นด้วย ในที่นี้มีคำแนะนำเรื่องหลักเกณฑ์การเลือกบ้าน ไว้ดังนี้
๑ ความปลอดภัย สังคมชาวต่างชาติในลอสแอนเจลิส จะรวมกลุ่มกันอยู่ในพวกของตนเอง เช่น ชุมชนคนขาว คนดำ คนแมกซิกัน/อเมริกาใต้ คนเกาหลี คนเวียดนาม คนญี่ปุ่น คนไทย รวมไปถึงชาติต่างๆ อีกมากมาย ในแต่ละชุมชนนั้น จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน สนามกีฬา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานที่ราชการ ยกเว้นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเท่านั้น ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปในย่านอื่น ปัจจุบันในเมืองลอสแอนเจลิส ยังมีแก๊งต่างๆ ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อประชาชนทั่วไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้รับการยอมรับ แก๊งเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนดำ และคนแมกซิกัน/อเมริกาใต้ สำหรับชาวเอเชียก็มีแก๊งเช่นกันแต่ไม่รุนแรงมากนัก ซึ่งในเรื่องนี้ก็มิได้หมายความว่าคนเชื้อชาติเหล่านี้ทุกคนไม่ดี จึงอยู่ในดุลยพินิจของข้าราชการที่มาปฏิบัติงานว่า ต้องการให้ครอบครัว มีความสุขในการดำเนินชีวิตมากน้อยเพียงใด ย่านที่คนผิวดำ และคนแมกซิกัน/อเมริกาใต้ อาศัยอยู่มาก ได้แก่ Compton, South LA, Inglewood เป็นต้น
๒ ความสะดวกในการเดินทาง เนื่องจากที่ตั้งของสำนักงานอยู่ใกล้กับสนามบิน LAX และหากว่าจะต้องเปลี่ยน FF คาดว่าก็จะยังคงอยู่ใกล้กับบริเวณเดิม เนื่องจากในบริวณนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทที่รับดำเนินการเรื่อง FF โดยสังเกตจาก บริษัทที่เคยดำเนินการให้กับกองทัพไทยในอดีตก็อยู่ในบริเวณนี้ไม่ห่างไปมากเช่นกัน บริเวณที่อยู่อาศัยในรัศมีไม่เกิน ๑๐ ไมล์ จึงได้แก่ย่าน Westchester, Marina Del Ray, Inglewood, Hawthorne, El Segundo, Gardena, Manhattan Beach, Hermosa Beach, Lawndale เป็นต้น
๓ ประเภทบ้านพัก มีให้เลือกหลายแบบเช่น Apartment แบบเป็นสัดส่วน มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางเช่น สระว่ายน้ำ ห้องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น, Apartment แบบธรรมดาที่ไม่มีส่วนกลาง, บ้านเดี่ยว, Studio, Town Home ซึ่งเท่าที่สังเกตจะเห็นว่า บ้านเดี่ยว และ Apartment จะได้รับความนิยมมาก แต่ Apartment อาจมีความเป็นส่วนตัวน้อยกว่า เรื่องเพื่อนบ้านข้างเคียง และอาจต้องระมัดระวังไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้านด้วย
๔ อัตราค่าเช่า ทางราชการสามารถสนับสนุนค่าเช่าที่พักได้อย่างพอเพียง ในทุกแบบที่ต้องการ
ีวิตร่วมกับครอบครัว โดยนัยแล้วรูปแบบ หลักของการ มีที่อยู่อาศัยมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ การซื้อและการเช่า
ประเภทของที่อยู่อาศัย
1. บ้านเดี่ยว (Single – family home) เป็นแบบบ้านที่อยู่อาศัยที่มีคนนิยมมากที่สุด ลักษณะเป็นบ้านตั้งอยู่เดี่ยว ๆ มีเนื้อที่กว้างขวาง รั้วรอบขอบชิด ทำให้ผู้อาศัยมีความเป็นส่วนตัวได้มากและห่างไกลจากการรบกวนของเพื่อนบ้าน นอกจากนั้นมีบ้านเดี่ยวยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เป็นเจ้าของด้วย เพราะบ้านแต่ละหลังมีขนาดใหญ่เล็กต่างกัน สามารถตกแต่งได้ในรูปแบบต่าง ๆ ตามฐานะและรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ
2. อาคารพาณิชย์ หรือตึกแถว (Shop house) เป็นแบบบ้านที่นิยมกันมาก เพราะนอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้วยังสามารถดัดแปลงให้เป็นสถานที่ทำการค้า หรือธุรกิจได้ด้วย อาคารแบบนี้มักมีเนื้อที่แคบ จึงนิยมก่อสร้างกันหลาย ๆ ชั้น
3. ทาวน์เฮาส์ (Townhouse) เป็นบ้านที่มีลักษณะเหมือนตึกแถว บ้านประเภทนี้มักตั้งอยู่ในเมือง ต่างกับตึกแถวตรงที่มีบริเวณหน้าบ้านจัดเป็นสวนขนาดย่อมและจอดรถได้ทาวน์เฮาส์ส่วนใหญ่มักเป็นแบบ 2 – 3 ชั้น ใช้เนื้อที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นที่ในเมืองราคาแพง
4. แฟลต หรืออพาร์ทเม้นท์ (Flat or apartment) เป็นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะคล้ายอาคารพาณิชย์ คือมีหลาย ๆ ชั้นแบ่งเป็นหลัง ๆ มีไว้เพื่อให้เช่าที่อยู่อาศัยแบบนี้ ส่วนมากค่าเช่ามักจะสูงเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกปลอดภัยไว้ครบ
5. คอนโดมิเนียม (Condominium) หรืออาคารชุด เป็นอาคารที่มีหลายชั้นแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องชุดจำนวนมาก ซึ่งภายในห้องชุดประกอบด้วย ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องน้ำ อาคารชุดแต่ละแห่งมักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน โดยทั่วไปแล้วอาคารชุดจะตั้งอยู่กลางในเมือง หรือในที่ชุมชนที่มีการคมนาคมสะดวก อาคารชุดมีหลายประเภททั้งประเภทที่อยู่อาศัย (Apartment condominium) และประเภทสำนักงาน (Office condominium) ผู้ซื้ออาคารชุดจะมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของอาคารชุดของตนและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินส่วนกลาง อันได้แก่ ห้องโถง ที่จอดรถ ลิฟต์ สนามและทางเดิน เป็นต้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาทรัพย์สิน
6. สหกรณ์เคหสถาน (Cooperative housing) เป็นที่อยู่อาศัยแบบสหกรณ์ลักษณะเป็น อพาร์ตเม้นต์คอมเพล็กซ์ คล้ายคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยประเภทนี้ เกิดขึ้นโดยผู้ต้องการที่อยู่อาศัยจะลงทุนซื้อหุ้นของสหกรณ์ และสหกรณ์จะนำเงินนั้นไปซื้อที่ดินและสร้างอาคารให้สมาชิกได้เช่าอยู่ สมาชิกต้องช่วยกันออกค่าบำรุงรักษา ซ่อมแซม ค่าภาษี สมาชิกแต่ละหน่วยมีสิทธิ์ออกเสียงได้หนึ่งเสียงในการเลือกคณะกรรมการบริหาร
7. บ้านเคลื่อนที่ (Mobile home) เป็นบ้านที่สร้างสำเร็จรูปจากโรงงาน และย้ายมาติดตั้งในทำเลที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ของบ้านเคลื่อนที่ ผู้เริ่มครอบครัวใหม่นิยมอยู่บ้านเคลื่อนที่เพราะราคาไม่แพงนัก บางคนก็ใช้บ้านเคลื่อนที่เป็นสำนักงานเคลื่อนที่เช่น ผู้รับเหมาเวลาไปรับเหมาก่อสร้างตามแหล่งทีรับเหมาต่าง ๆ บ้านแบบนี้สามารถขับเคลื่อน หรือพ่วงกับรถคันอื่นได้ ลักษณะภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนบ้านทั่วไป บ้านแบบนี้ในเมืองไทยยังไม่ค่อยนิยม เท่าที่มีในขณะนี้เป็นของดาราภาพยนตร์ หรือนักแสดงที่ต้องเดินทางเสมอก็จะซื้อรถยนต์ขนาดใหญ่ ปรับปรุงภายในให้เป็นเหมือนบ้านคือ มีห้องนอน ห้องเตรียมอาหาร ห้องน้ำ เพียงแต่ละห้องมีขนาดเล็กเท่านั้น
8. บ้านที่แบ่งเวลาการพักอาศัย (Time – hare home) บ้านแบบนี้ตามชื่อก็บอกลักษณะให้ทราบว่า มีการแบ่งเวลา หรือหมุนเวียนกันเพื่อใช้ประโยชน์ ในบ้านพักอาศัยดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพักผ่อน เช่น บ้านพัก หรือเรือนรับรอง ที่อยู่ตามชายหาด หรือแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยมีบุคคล บริษัท หรือโครงการจัดสรร เป็นเจ้าของใครต้องการไปพักผ่อนในช่วงไหนก็เช่าใช้บ้านพักในช่วงนั้น ซึ่งจะมีการแบ่งเวลากันในระหว่างผู้ต้องการใช้มีตั้งแต่ 1 สัปดาห์จนถึง 6 เดือนราคาเช่าก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า ระยะเวลาในการเช่า ขนาดของบ้าน ทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนฤดูกาลของการเช่าพัก ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมบางแห่งซึ่งได้ขายไปแล้วก็ยังให้บริการในลักษณะของ Time sharing ด้วย คือขณะใดขณะหนึ่งที่เจ้าของไม่ได้อยู่เอง ก็มอบหมายให้ผู้จัดการคอนโดมิเนียมนั้น ดูแลให้โดยหาผู้ต้องการพักผ่อน ในช่วงดังกล่าวมาเช่าอยู่แทน ซึ่งทำให้เจ้าของมีรายได้ขณะที่ไม่ได้ใช่อยู่อาศัยเอง เพียงแต่จ่ายค่าบริการดังกล่าวบ้างเท่านั้น
· Tab 4
การซื้อบ้าน (Buying House)
ทุกคนย่อมใฝ่ฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลังในชีวิต แต่การที่จะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นย่อมต้องอาศัยเวลา ความมานะพยายาม ที่จะสะสมเงินทองเพื่อซื้อหาให้มีบ้านดังกล่าว ดังนั้นการวางแผนซื้อบ้านควรกระทำโดยรอบคอบไม่ว่าจะเป็นการเลือกประเภทของบ้านที่อาศัย การวิเคราะห์ราคาที่เหมาะสม การเสาะหาแหล่งเงินกู้มาช่วยสนับสนุน ตลอดจนการจัดทำหลักฐานสัญญาต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อจะซื้อบ้าน ในการซื้อบ้านควรที่พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
1. ทำเลที่ตั้ง (Location) ในซื้อบ้านการพิจารณาถึงทำเลที่ตั้งมีความสำคัญมาก ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่อยู่อาศัยคนหนึ่งได้กล่าวว่า “เมื่อท่านซื้อบ้าน แท้จริงแล้วสิ่งที่ท่านต้องการซื้อ คือ เพื่อนบ้านนั่นเอง” เพราะถ้ามีเพื่อนบ้านดีมีความเข้าใจช่วยเหลือไหว้วานกันได้ ทุกคนที่อยู่ใกล้กันก็มีความสุขสบายใจนอกจากนั้นสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปควรจะดีพร้อมด้วย เช่น
· ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากตัวเมือง การคมนาคมสะดวก มีรถโดยสารผ่านหลายสาย
· มีสถานที่สำคัญ ๆ ตั้งอยู่ใกล้ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดที่จะซื้อสิ่งของจำเป็นได้
· สภาพแวดล้อมร่มรื่นมีต้นไม้อยู่ทั่วไป
· ถนนหนทางสะดวก มีท่อระบายน้ำดี มีไฟถนนให้ความสว่าง
· บริการประปา มีโทรศัพท์ไปถึง
· อื่น ๆ เช่น มียามรักษาความปลอดภัย คอยตรวจตราเสมอ เป็นต้น
2.ย่านที่ตั้ง (Zoning) บ้านทีเหมาะสมกับการอยู่อาศัย ควรเป็นบ้านเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงดังนั้นจึงควรตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ย่านสำคัญทางการค้า หรือย่านโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ควรเป็นสถานที่สงบเงียบ ไม่มีการรบกวนในเรื่องเสียงอึกทึกครึกโครม หรือกลิ่นต่าง ๆ ซึ่งในเรื่องนี้หากเทศบาล หรือท้องถิ่นได้ออกกฎหมายกำหนดอย่างแน่นอนว่า ย่านใดกำหนดให้เป็นย่านที่อยู่อาศัยก็ควรเลือกบ้านในโซนที่กำหนดไว้เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
3.สนามหญ้า (Yard) ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกบ้านอยู่อาศัยที่มีบริเวณบ้าน หรือสนามอย่างเพียงพอเพื่อจะได้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่น หรือ ออกกำลังได้ แต่เนื่องจากปัจจุบันมีราคาสูงมาก การที่จะมีสนามส่วนตัวอาจทำได้ยาก ดังนั้นการเลือกซื้อควรเลือกโครงการที่มีสวนสาธารณะ หรือสถานที่พักผ่อนที่เป็นส่วนกลาง
4.สิ่งก่อสร้างภายนอก (Exterior construction) ตัวบ้านควรมีความแข็งแรง คงทนถาวร แน่นหนาพอสมควร วัตถุที่ใช้ก่อสร้างต่าง ๆ ไม่ว่า อิฐ ไม้ ปูน การทาสีมีคุณภาพ ประกอบกับฝีมือการก่อสร้างก็ไม่หยาบ มีความละเอียดประณีตพอสมควร กล่าวคือ เมื่อดูรวม ๆ แล้วมีความคงทนต่อแดดฝน ภาวะอากาศพอที่จะอยู่อาศัยไปได้อีกนาน ถ้าจะให้ดีควรมีที่จอดรถและรั้วรอบขอบชิดด้วย
5.สิ่งก่อสร้างภายในบ้าน (Interior construction) มีการตกแต่งอย่างเรียบร้อย การแบ่งห้องก็มีเพียงพอสมาชิกในครอบครัว การแบ่งสัดส่วนใช้สอยต่าง ๆ เป็นไปอย่างเหมาะสมไม่ว่าบันได ห้องน้ำ ห้องครัว ตลอดจนห้องโถง หรือทางเดิน เป็นต้น
การประเมินกำลังเงินในการซื้อบ้าน
โดยทั่วไปคนมักคิดว่า ผู้ที่มีกำลังเงินเพียงพอเท่านั้นจึงจะซื้อบ้านได้ แต่ในความ จริงแล้วจะเห็นว่า คนซื้อบ้านไม่ได้มีกำลังเงินเพียงพอเสมอไป หลายคนถึงกับยอมประหยัดการใช้จ่ายเก็บหอมรอบริบอยู่อย่างลำบากในช่วง 4 – 5 ปีแรก ทั้งนี้เพื่อให้ได้บ้านสักหลังได้อยู่อาศัยเป็นของตัวเองเพราะเขาถือว่ามีบ้านสักหลังไว้ไม่เสียหลาย เพราะนอกจากจะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับครอบครัวแล้ว ยังเป็นการลงทุนที่ดีมากอีกทางหนึ่งเสียด้วย หลักในการพิจารณาว่าคนเราควรจะมีเงินสักเท่าไรจึงเหมาะสมที่จะหาซื้อบ้านโดยไม่มีปัญหาทางการเงินเกิดขึ้น ได้มีผู้ให้แนวทางไว้ดังนี้
1. มูลค่าบ้านที่ซื้อ ไม่ควรเกินสองเท่าของรายได้ทั้งสิ้นของครอบครัว เช่น ถ้ารายได้ทั้งสิ้นของครอบครัวปีละ 250,000 บาท ก็ควรซื้อบ้านในราคาสูงไม่เกิน 500,000 บาท
2. ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นของการมีบ้าน (Total housing costs) จะต้องไม่เกินหนึ่งในสี่ของรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือน (Gross income) โดยพิจารณาถึงอัตราส่วนความสามารถในการจัดหาที่อยู่อาศัย หรือที่เรียกว่า Affordability ratio ซึ่งเป็นการวัดความสามารถของบุคคลที่กู้เงินซื้อบ้านว่าจะสามารถจะรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการมีบ้านของเขาได้มากน้อยเพียงไร
· Tab 5
เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียระหว่างการเช่าบ้านและซื้อบ้าน
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ (Life style choices
การเช่าบ้าน (Renting)
มีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะสถานที่ส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลกลางเมือง สะดวกต่อการคมนาคม และ complex เช่น สโมสร สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส และมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความสะอาดให้ มีอิสระที่จะเลือกอยู่อย่างไรก็ได้ ตกแต่งหรือ ดัดแปลง อย่างไรก็ได้ ตามรสนิยมที่เราพอใจ
บ้านเช่าหรือห้องเช่าส่วนมาก จะอยู่ติดกันหรือใกล้กัน ทำให้สังคมกว้างขึ้น เพราะได้รู้จักคนมากขึ้นและมีโอกาสแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ความคิดเห็นกัน
การซื้อบ้าน (Buying)
มีบริเวณกว้างขวางที่จะให้ครอบครัวเด็กเล็กได้วิ่งเล่น
ผู้เช่าอาจไม่สะดวกในความเป็นอยู่มากนัก เพราะมีข้อห้ามข้อจำกัดต่าง ๆ จากผู้ให้เช่า เช่นการห้ามเลี้ยงสัตว์ ไม่รับเด็กเล็ก หรือห้ามแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น
ความเป็นส่วนตัวและความภูมิใจ (Privacy and pride)
ผู้เช่ามักขาดความเป็นอิสระส่วนตัว เนื่องจากผู้ให้เช่ามีสิทธิที่จะเข้ามา ตรวจสอบดูแลห้องพักหรือบ้านเช่าได้เสมอ
มีอิสระและความเป็นส่วนตัวได้อย่างเต็มที่เพราะเป็นเหมือนบ้านของเราเอง เราเป็นผู้ครอบครองเสมือนหนึ่งเป็น King of the castle และจะไม่มีใครมาจุกจิกกับเราอีก (โดยเฉพาะผู้ให้เช่า)
เกิดความภูมิใจในชีวิตนี้เรามีโอกาสได้เป็นเจ้าของบ้านกับเขาเหมือนกัน
การลงทุนซ่อมแซมและบำรุงรักษา (Investment and maintenance)
ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial risks)
การเช่าบ้าน (Renting)
· ในการเช่าผู้เช่ามีความรับผิดชอบเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ ทรัพย์สินของตนที่อยู่ในที่เช่าเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบบ้าน หรือบริเวณภายนอก เพราะใน เรื่องการสร้างระบบป้องกันความปลอดภัยของบ้าน และทรัพย์สินภายนอกเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่า
การซื้อบ้าน (Buying)
· เนื่องจากบ้านที่เราลงทุนซื้อ เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ที่ต้องรักษาไว้ ดังนั้น เจ้าของต้องลงทุนทุกอย่าง เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จึงต้องจ่ายค่าติดตั้ง ระบบความปลอดภัย และค่าประกันอัคคีภัยทุกอย่างเอง และถ้าบังเอิญ เกิดอัคคีภัยขึ้น เจ้าของต้องรับภาระความเสี่ยงเอง ในส่วนที่บริษัทประกันมิได้ชดใช้
การวางแผนการเงินเพื่อยานพาหนะ
· Tab 1
การวางแผนการเงินเพื่อยานพาหนะ
ปัจจุบันพาหนะเพื่อการเดินทางเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของบุคคลเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น ในธุรกิจการงาน การจับจ่ายซื้อของการพักผ่อนทัศนาจร ตลอดจนการติดต่อการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ยานพาหนะที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบุคคลมีหลายรูปแบบตั้งแต่ รถจักรยาน รถประจำทาง รถยนต์ส่วนตัวและพาหนะเครื่องบิน อย่างไรก็ตามชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ ซึ่งต้องทำงานและสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ รถยนต์ ดังนั้นในบทนี้พูดถึงเฉพาะเรื่องของรถยนต์ โดยจะกล่าวถึงความจำเป็นของบุคคลในการลงทุนซื้อรถ คุณสมบัติของรถยนต์ที่จะสามารถสนองความต้องการได้อย่างดี การวิเคราะห์ความจำเป็นและเหมาะสมในการซื้อรถยนต์ ควรซื้อรถยนต์ใหม่หรือรถเก่าดี และควรมีการเจรจาต่อรองอย่างไรจึงจะได้รถยนต์ที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมที่สุด
ความหมายของการวางแผนทางการเงิน
การวางแผนทางการเงิน คือ การกำหนดการใช้จ่ายเงินในกิจการต่างๆ ให้สอดคล้องกับโครงการและแผนงานที่จัดทำขึ้น นอกจากการใช้จ่ายเงินในกิจการต่างๆ แผนการเงินยังระบุถึงแหล่งที่มาของเงินและการใช้จ่ายเงินในกิจกรรมต่างๆ ของโครงการและแผนงานว่าใช้จ่ายไปอย่างไรบ้าง สำหรับในการศึกษาครั้งนี้จะเป็นการวางแผนทางการเพื่อยานพาหนะ
ความหมายของยานพาหนะ
ยานพาหนะ : ตามความหมายในพจนานุกรมไทย ฉบับมหาวิทยาลัย หน้า 533 ระบุไว้ว่า
“ยานพาหนะ คือ เครื่องนำไป เครื่องขับขี่ต้องเป็นสิ่งที่มีเครื่องยนต์”
การวางแผนทางการเงินเพื่อยานพาหนะ
เงิน เป็นทรัพย์สิน (Asset) ที่ชัดเจนที่สุดของมนุษย์ทุกวันนี้ เพราะเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสามารถแปรเป็นอย่างอื่นได้ทันทีที่ต้องการ เงินจึงมีอำนาจในการซื้อ และอำนวยความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตมาก หากขาดเงินก็จะลำบากในความเป็นอยู่มาก คนที่มีทรัพย์สินอย่างอื่นมากมาย แต่ขาดเงินก็จะขัดสน อดอยาก ฝืดเคือง ความเป็นอยู่ยาก หากมีเงินไม่มีสินทรัพย์อื่นเลยก็มีความเสี่ยงมาก เพราะเงินมีความแปรปรวนมากตามปัจจัยอื่นๆ มากมายและแปรเป็นอย่างอื่นได้ง่ายจึงสามารถหมดเร็วตามอำนาจความอยาก ที่จะซื้อหาปัจจัย 4 มาดำรงชีพเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตนเอง ปัจจุบันยานพาหนะเป็นปัจจัยที่ 5 รองจาก อาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เพราะยานพาหนะเข้ามามีบทบาทในการดำรงชีพของมนุษย์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุระกิจการงาน การจับจ่ายซื้อของ การทัศนาจร ล้วนจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะทั้งสิ้น และเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ยานพาหนะมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นการที่จะซื้อยานพาหนะเป็นของตัวเอง หรือการที่จะเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดใดนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนทางการเงินเพื่อให้สามารถใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะได้อย่างเพียงพอและเหมาะสม ซึ่งการวางแผนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพนั้น ควรมีขั้นตอนดังนี้
1. การวางแผนทางการเงิน (Strategic Formulation)
2. การนำแผนไปปฏิบัติ (Implementation)
3. การติดตาม / ประเมินผล (Evaluation Control)
ลักษณะของยานพาหนะ
ลักษณะทางยานพาหนะที่มีใช้กันอย่าแพร่หลายในการเดินทางคือ
1. รถยนต์
2. รถจักยานยนต์
3. รถโดยสารประจำทาง
โดยในการศึกษาครั้งนี้จะนำลักษณะของยานพาหนะ คือ รถยนต์ และรถโดยสารประจำทางมาทำการศึกษาถึงการวางแผนทางการเงินเท่านั้น เนื่องจากรถจักรยานยนต์นั้น มีการวางแผนที่คล้ายคลึงกับรถยนต์จึงไม่นำมาศึกษา
จุดประสงค์ของการมียานพาหนะ
1. ต้องการลดเวลาในการในทางโดยเฉพาะเวลารีบเร่ง
2. ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง
3. เพื่อความรวดเร็วในการเดินทาง
4. ต้องการประหยัดและลดค่าใช้จ่ายบางส่วน
5. เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
6. เพื่อให้ได้ประโยชน์ในทางธุรกิจ
ความจำเป็นในการใช้รถยนต์
ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจกับเงินงบประมาณไว้เพื่อใช้จ่ายในการซื้อหรือผ่อนชำระรถยนต์ รวมถึงรายจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุนั้น ท่านควรถามตัวเองให้แน่ใจเสียก่อนว่า ท่านมีความจำเป็นในการใช้รถยนต์และพร้อมที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์จริงๆ แล้วหรือยัง เพราะถ้าท่านมีความจำเป็นในการใช้รถยนต์เพียงครั้งคราว เช่น เพื่อการเดินทางไปพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือเพื่อทำกิจธุระใดโดยเฉพาะนานๆ ครั้ง ท่านอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนเพื่อซื้อรถยนต์เป็นจำนวนมากเช่นนั้น แต่สำหรับสภาพแวดล้อมหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง อย่างในประเทศไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานครดูจะมีแนวโน้มให้ประชาชนในเมืองหลวงมีความจำเป็นจะต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้นด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ
1.การสาธารณูปโภคในด้านการขนส่งมวลชนของเมืองหลวงยังมีการบริการที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน การจราจรติดขัด เกิดความล่าช้า และไม่สะดวกในภาวะรีบเร่งในช่วงเวลาเช้าและเย็น จึงทำให้การใช้รถยนต์ส่านบุคคลมีความจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคนจะมีความสะดวกในการเดินทางได้มากกว่า
2.การใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในปัจจุบันเป็นการใช้เพื่อจุดประสงค์ในทางธุรกิจมากกว่าจะเป็นการสร้างค่านิยมและความภูมิฐานเช่นในสมัยก่อน เนื่องจากแต่ละครอบครัวย่อมมีความจำเป็นในการเดินทางไปในที่ต่างๆ กันได้หลายแห่ง
3.การใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพื่อความสะดวกสบาย นอกจากนั้นท่านยังสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้แน่นอนกว่าการใช้บริการของรถประจำทางที่มีจดหมายเป็นเพียงป้ายรถประจำทางริมถนน และท่านยังต้องใช้เวลาเดินทางด้วยตนเองจนกว่าจะถึงที่หมายอีกด้วย
ที่มาของรายได้ที่จะใช้จ่ายเพื่อยานพาหนะ
รายจ่ายเพื่อยานพาหนะมีหลายอย่างเช่น รายจ่ายค่าน้ำมันรถ, รายจ่ายค่าจดทะเบียนรถ,ค่าภาษีรถ, ค่าบำรุงซ่อมแซมต่างๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้แม้จะดูไม่มากหนักแต่ถ้าเราต้องจ่ายบ่อยๆ ทุกๆ เดือน ถ้ารวมเป็นปีค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็มีมูลค่าสูงเช่นกัน ซึ่งแหล่งที่มาของรายได้ที่จะใช้จ่ายตรงส่วนนี้อาจได้แก่
1. เงินเดือน คือ เงินที่ได้รับทุกๆ เดือนหรือเรียกว่าเงินประจำ อาจได้มาจาก ภาครัฐบาลหรือภาคเอกชน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบุคคลเหล่านั้นทำงานอะไร และได้เงินเดือนมากน้อยเพียงไร ซึ่งเงินตรงส่วนนี้อาจจะจัดแบ่งเป็นส่วน เช่น
ส่วนที่ 1 เก็บไว้สำหรับค่าน้ำ, ค่าไฟ
ส่วนที่ 2 เก็บไว้เป็นค่าอาหาร
ส่วนที่ 3 เก็บไว้เป็นเงินใช้ส่วนตัว
ส่วนที่ 4 เก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ
ส่วนที่ 5 เก็บไว้เป็นเงินออม
ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่ว่าแต่ละบุคคลจะจัดสรรเงินอย่างไร
2. เงินออม คือ เงินที่เก็บสะสมเอาไว้ อาจจะเก็บไว้นานแล้ว หรือ นำเงินมาเพิ่มอีก อาจจะเก็บไว้ที่ธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยก็ได้
3. หนี้สินหรือเงินกู้ยืมต่างๆ คือ เงินที่บุคคลเป็นเจ้าของรถ กู้ยืมมาเพื่อใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะอาจเป็นเงินที่กู้ยืมมาจากธนาคาร หรือ เจ้าหนี้ต่างๆ ซึ่งตรงนี้จะต้องเสียดอกเบี้ยตามแต่เจ้าหนี้จะกำหนด หรืออาจเป็นเงินที่กู้ยืมมาจากญาติพี่น้อง ซึ่งอาจจะเสียดอกเบี้ยน้อยหรืออาจจะไม่เสียเลยก็ได้
· Tab 2
รายจ่ายประจำของการใช้รถยนต์
รายจ่ายประจำหรือต้นทุนคงที่ในการใช้รถยนต์ หมายถึงรายจ่ายที่ท่านจะต้องจ่ายเสมอไม่ว่าท่านจะใช้รถยนต์เป็นเวลานานเท่าใด จำนวนไมล์สูงเพียงใดหรือมีรายจ่ายเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุกี่ครั้ง เพราะรายจ่ายประจำของรถยนต์ที่สำคัญก็คือรายจ่ายค่าเสื่อมราคารถยนต์ รายจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุ รายจ่ายค่าผ่อนชำระและดอกเบี้ยเงินกู้ในการซื้อรถยนต์แบบผ่อนชำระ รวมถึงรายจ่ายในการทำใบขับขี่และการต่อทะเบียนรถยนต์ประจำปีด้วย
รายจ่ายแปรได้ของการใช้รถยนต์
ค่าใช้จ่ายแปรได้ของการใช้รถยนต์ หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการใช้รถยนต์หรืออาจเรียกว่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก็ได้ ซึ่งรายจ่ายแปรได้ที่สำคัญของการใช้รถยนต์สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 หมวด คือ
1. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ในการที่จะทำให้รถนั้นสามารถใช้งานได้ ซึ่งได้แก่ รายจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน น้ำมันเครื่อง และค่าบำรุงรักษา
2. ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์เพื่อให้รถยนต์อยู่ในสภาพที่ใช้การได้เสมอ
1.รายจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน
ในปัจจุบันรถยนต์สามารถใช้น้ำมันดีเซล และแก๊สแทนได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีรถที่มีประสิทธิภาพปนการประหยัดน้ำมันแล้ว ท่านจะมีรายจ่ายรายการนี้ลดลงเป็นอย่างมาก และรถยนต์ใหม่มักจะมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันได้ดีกว่ารถยนต์เก่า
ผู้บริโภคที่ฉลาดมักไม่ใช้วิธีซื้อรถคันใหม่ เพียงเพื่อหวังที่จะมีการประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นเท่านั้น แต่เขาควรจะมีวิธีการใช้รถเก่าให้มีประสิทธิภาพ จะเป็นการกระทำที่ถูกต้องมากกว่า ซึ่งวิธีการใช้รถยนต์ที่จะทำให้เกิด การประหยัดน้ำมันมากขึ้น มีดังนี้
1. ควรขับรถช้าๆ ในอัตราที่คงที่ คืออยู่ในระดับความเร็วประมาณ 50 ไมล์ต่อชั่วโมง จะเป็นอัตราที่ทำให้ท่านประหยัดน้ำมันได้มากที่สุด นอกจากนั้นท่านไม่ควรติดเครื่องรถยนต์ หรือมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถอย่างรวดเร็วเพราะการขับรถด้วยความเร็วสูงจะเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันมาก ทั้งยังทำให้รถสึกหรอเร็วขึ้นด้วย
2.ไม่ควรขับรถช้าต่ำกว่าอัตรา 50 ไมล์ต่อชั่งโมง เพราะการขับรถในอัตราความเร็วที่ต่ำ
กว่าอัตราดังกล่าวแทนที่จะทำให้ท่านประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
3.เติมลมยางรถยนต์ของท่านให้สูงกว่าระดับที่กำหนดไว้ในคู่มือรถยนต์ เพราะการมียาง
รถยนต์ที่แข็งจะช่วยให้ท่านประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
4.ละเว้นการใช้เครื่องปรับอากาศในขณะที่ท่านขับรถในอัตราความเร็วต่ำ เพราะจะทำให้ทานประหยัดเชื้อเพลิงลงได้ ถึงประมาณร้อยละ 10-20 ทีเดียว แต่ในทางตรงข้ามที่ท่านกำลังขับด้วยความเร็วสูงการใช้เครื่องปรับอากาศจะทำให้ท่านสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยกว่าการงดใช้เครื่องปรับอากาศ และทำการเปิดหน้าต่างรถยนต์แทน
5.ในฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเย็น ท่านจะสามารถเติมน้ำมันได้ในจำนวนที่มากกว่าการเติมน้ำมันในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อย เนื่องจากน้ำมันมีการขยายตัวและเต็มถังได้เร็วกว่าการเติมน้ำมันในฤดูหนาว ซึ่งหมายความว่าฤดูกาลมีส่วนที่จะทำให้ท่านสามารถประหยัดน้ำมันได้เช่นกัน
6.ไม่บรรทุกของสัมภาระที่หนักเกินไป เพราะจะทำให้รถมีน้ำหนักมาก และต้องใช้กำลังในการเคลื่อนสูงจึงมีการสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าที่ควร
2. รายจ่ายซื้อยางรถยนต์
โดยปกติโดยทั่วไปแล้วเจ้าของรถยนต์ควรมีการเปลี่ยนยางรถยนต์ เมื่อท่านได้ใช้รถยนต์ไปเป็นระยะทางประมาณ 40,000 ไมล์ หรือเป็นระยะเวลาประมาณ 4 ปี โดยเฉลี่ย ถ้ายางรถยนต์ของท่านเป็นยางคุณภาพดี แต่ถ้าท่านใช้ยางรถยนต์คุณภาพด้อยแล้ว อายุการใช้งานของยางรถยนต์ก็ใช้ได้เพียงจำนวนระยะทาง 15,000 – 25,000 ไมล์เท่านั้น ดังนั้นในระยะเวลา 4 ปี ที่ท่านต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ แต่จะเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดย่อมขึ้นอยู่กับชนิดของยางรถยนต์ที่ท่านเลือกใช้ด้วย
การใช้ยางรถยนต์ที่ดี จะช่วยให้ท่านสามารถประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นประมาณร้อยละ3-5 ดังนั้นการเลือกใช้ยางรถยนต์ที่ดีจะช่วยให้ท่านมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้ ท่านจึงควรซื้อยางรถยนต์จากร้านค้าที่ท่านคุ้นเคย โดยเฉพาะถ้าเป็นการเลือกซื้อจากผู้ขายที่มีชื่อเสียงด้วยจะช่วยให้ท่านมั่นได้ว่าท่านจะได้ยางรถยนต์ตามที่ต้องการ ในการเลือกซื้อยางรถยนต์ท่านควรมีข้อพิจารณา
1. ไม่ควรเลือกซื้อยางรถยนต์ที่มีขนาดเล็กกว่ายางรถยนต์เดิม ที่มีมากับรถยนต์ในการซื้อครั้งแรก
2. ใช้ยางรถยนต์ชนิดเดียวกับยางรถยนต์ที่ติดมากับรถครั้งแรก ถ้าท่านไม่มีความนำเป็นจะต้องเปลี่ยนชนิดของยางเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งโดยเฉพาะ เช่น เพื่อการให้เช่ารถ
3. ควรใช้ยางรถยนต์ประเภทเดียวกันทั้ง 4 ล้อ อย่าใช้ยางรถยนต์หลายๆ ประเภทในรถคันเดียวกัน เช่น บางล้อเป็นยางรถยนต์แบบ Radian หรือบางล้อเป็นแบบ Belted bias ply และถ้าท่านมีงบประมาณเพียงพอท่านควรใช้ยางแบบ Radian ทุกล้อจะช่วยให้ท่านประหยัดรายจ่ายในการซื้อยางยนต์ใหม่ได้มากขึ้น
4. ในการขับรถโดยใช้ยางรถยนต์ใหม่นั้น สำหรับระยะทาง 50 ไมล์แรก ท่านควรขับด้วยความเร็วไม่เกินอัตรา 55 ไมล์ต่อชั่วโมง เพื่อปรับให้ยางเริ่มใช้งานได้เข้าที่กับรถยนต์ และควรตรวจสอบและเติมลมยางรถยนต์โดยไม่ให้ยางแฟบได้ เพื่อเป็นการยืดอายุยางรถยนต์ให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น
3. รายจ่ายค่าบำรุงรักษารถยนต์
ถ้ารถยนต์ของท่านมีอายุการใช้งานมานานแล้ว หรือเป็นรถยนต์รุ่นเก่า ย่อมมีความต้องการที่จะได้รักการดูแลรักษาเพิ่มขึ้น ในขณะที่รถยนต์ใหม่อาจอยู่ในความคุ้มครองของบริษัทรับประหัน สำหรับรายการค่าซ่อมแซมที่ท่านจำเป็นต้องดูแลส่วนใหญ่มักเป็นการตั้งเบรคใหม่ การเปลี่ยนท่อน้ำใหม่ การเปลี่ยนโช้คอัพ เป็นต้น
· Tab 3
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้รถยนต์รวมทั้งหมด
ดังกล่าวแล้วว่าถ้ารถยนต์ของท่านเป็นรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมานมาก ท่านย่อมมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และมีรายจ่ายค่าน้ำมันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารถยนต์ของท่านเป็นรถขนาดใหญ่ ก็ยิ่งจะมีการใช้พลังงานเชื้อเพลิงสูงกว่ารถยนต์ขนาดเล็ก นอกจากนั้นรถยนต์ขนาดใหญ่ก็ยังมีราคาสูงกว่ารถยนต์ขนาดเล็ก และมีค่าเสื่อมราคาสูงกว่าอีกด้วย ประการสำคัญคือ มีรายจ่ายค่าซ่อมแซมดูแล เข่น ค่าอะไหล่รถยนต์ ค่ายางรถยนต์ ค่าแรงงาน ฯลฯ ที่มากกว่าเช่นกัน ซึ่งหมายความว่ารายจ่ายรวมทั้งหมดของการใช้รถยนต์ขนาดเล็กจะมีน้อยกว่าการใช้รถยนต์ขนาดใหญ่ จากการศึกษาถึงรายจ่ายแต่ละประเภท ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายแปรได้ของการใช้รถยนต์ข้างต้น ท่านก็สามารถที่จะทราบรายจ่ายรวมทั้งหมดได้ โดยการทำเป็นกระดาษทำการแสดงการคำนวณรายจ่ายของการใช้รถยนต์ต่อปี ดังแสดง
กระดาษทำการแสดงการคำนวณรายจ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ประจำปี
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์
รายจ่ายประจำ
ค่าเสื่อมราคา ……………
การประกันอุบัติเหตุ ……………
ดอกเบี้ยเงินกู้จ่าย ……………
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ……………
รวมรายจ่ายประจำปี ……………..
รายจ่ายแปรได้
ค่าน้ำมัยเบนซิน ……………
ค่ายางรถยนต์ ……………
ค่าซ่อมแซมรถ ……………
รวมรายจ่ายแปรได้ ……………..
รวมค่าใช้จ่ายของรถยนต์ทั้งหมด ……………...
เมื่อทราบถึงต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของการมียานพาหนะ แล้วก็สามารถที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำการวางแผนการเงิน แล้วทำตามขันตอนการวางแผน ดังนี้
1. การคำนึงถึงโอกาส เป็นการพิจารณาถึงโอกาสจากปัจจัยต่าง ๆ โดยถือเป็น จุดเริ่มต้นในการวางแผนที่ทุกคนควรจะเริ่มจากจุดนี้
2. การกำหนดวัตถุประสงค์ เป็นการกำหนดถึงเป้าหมายของกิจกรรมที่จะต้องดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมาย
3. การวางแผนข้อสมมติฐานต่าง ๆ
4. การกำหนดทางเลือกต่าง ๆ เป็นการค้นหาและสำรวจทางเลือกต่าง ๆ ที่อาจจะปฏิบัติได้ในอนาคต
5. การประเมินทางเลือกต่าง ๆ
6. การเลือกทางเลือกที่จะใช้ในการกำหนดแผน
7. การกำหนดแผนสนับสนุน
8. การกำหนดตัวเลขต่าง ๆ ในการจัดทำแผนโดยการจัดทำงบประมาณ
กำหนดแนวทางในการซื้อ (Establishing guidelines)
เมื่อได้กำหนดวัตถุประสงค์และพิจารณาคุณค่าของการใช้สอยแล้ว ต่อไปก็ควรกำหนดแนวทางที่จะซื้อโดยมีขั้นตอนดังนี้
1. หาแผ่นพับโฆษณาของเครื่องใช้ที่จะซื้อมาศึกษาดู โดยเลือกจากหลายแบบหลายยี่ห้อ เพื่อจะได้ศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลดังกล่าวให้มากที่สุด แผ่นพับเหล่านี้สามารถขอได้จากร้านจำหน่ายทั่วไป หรือจากร้านตัวแทนจำหน่ายสินค้านั้น
2. พูดคุยกับเพื่อนฝูงที่เคยใช้มาแล้วว่าเป็นอย่างไร คำแนะนำของผู้ที่เคยใช้มาแล้วจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
3. ตัดสินใจวางแนวทางของตนเองว่าเราจะซื้ออะไร มีขนาดและกำลังการใช้มากน้อยแค่ไหน(Load capacity) จำนวนกี่ชุดจะวางไว้ที่ห้องไหน สีสันอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับห้องหรือสถานที่ของเรา
4. กำหนดงบประมาณที่จะซื้อ เมื่อเลือกสิ่งที่เราต้องการแล้วต้องคำนึงว่าสิ่งนั้นอยู่ภายในงบประมาณที่เราสามารถหาซื้อได้ด้วย ในเรื่องงบประมาณนี้ต้องครอบคลุมถึงเรื่องของค่าใช้จ่ายด้วย ข้อคิดที่ควรคำนึงถึงคือ อย่าซื้อของที่คิดว่าราคาถูกที่สุดในขณะนี้ เพราะของที่ราคาถูกที่สุดในขณะนี้ในระยะยาวแล้วอาจจะกลายเป็นของที่ราคาแพงที่สุดก็ได้ เพราะถ้าเราซื้อของใช้คุณภาพไม่ดี ราคาถูก เสียบ่อย ต่อไปก็ต้องเสียค่าซ่อมบำรุงอยู่เรื่อย
5. เลือกจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อ เครื่องใช้บางอย่างที่วางแผนซื้อในช่วงที่เขาลดราคา หรือไม่ใช่ช่วงฤดูของการใช้จะซื้อได้ถูกลง เช่น การซื้อแอร์คอนดิชั่น ในช่วงหน้าหนาวราคาจะถูกกว่าช่วงหน้าร้อน หรือถ้าซื้อช่วงที่มีการลดราคาประจำปี ร้านค้าจะตั้งราคาต่ำมากกว่าช่วงเวลาปกติ
6. เมื่อจะตัดสินใจเลือกซื้อชนิดใดรูปแบบใดแล้ว ให้สอบถามราคาจากร้านที่มีชื่อเสียงอย่างน้อย 3 ร้าน เพื่อเปรียบเทียบกัน โดยเปรียบเทียบกันในเรื่องราคาและดูว่าผู้ขายมีศูนย์การให้บริการกระจายอยู่ทั่วไปหรือไม่ สัญญาการรับประกันสินค้าเป็นอย่างไร
· Tab 4
การเลือกซื้อ (Shopping for appliances)
เมื่อได้วางแผนเรียบร้อยและกำหนดแนวทางในการซื้อของตนแล้ว ต่อไปก็ไปดูจากหลาย ๆ ร้านที่เลือกไว้แล้ว ดูว่าในสินค้าแบบเดียวกันคุณภาพและบริการเหมือนๆกันนั้น ร้านไหนที่สามารถต่อรองราคาได้มากที่สุดก็ซื้อจากร้านนั้น โดยทั่วไปแล้วการซื้อของใช้ราคาแพงเหล่านี้ราคามักจะต่อรองได้เสมอ คือ สามารถซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่ติดป้ายไว้ เพราะราคาที่ติดป้ายไว้เป็นราคาเต็ม ซึ่งได้รวมค่าคอมมิชชั่นที่พนักงานขายได้รับไว้ด้วย ซึ่งถ้าพนักงานขายจะลดราคาให้ต่ำลง โดยยอมรับค่าคอมมิชชั่นให้น้อยลงก็ย่อมทำได้ ในการซื้อควรสอบถามให้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งของ ในทางปฏิบัติเมื่อได้ตกลงซื้อแล้วก็ควรให้จัดส่งของโดยทันที เพื่อผู้ซื้อจะได้ทดลองใช้และดูว่าเครื่องทำงานดีหรือไม่ เหมาะกับการใช้ในบ้านของเราอย่างไร ใช้กับระบบไฟในบ้านได้ดีหรือไม่ หรือจะต้องแก้ไขให้เหมาะสมอย่างไร เพื่อผู้ขายจะได้ให้บริการโดยครบถ้วนและถูกต้องดังกล่าว ในการชำระเงินถ้ามีเงินสดเพียงพอก็ชำระเป็นเงินสดเพราะจะซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาเงินผ่อนมาก แต่ถ้ามีเงินสดไม่เพียงพอผู้ขายก็จะมีบริการชำระเป็นเงินผ่อน ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ย ในการซื้อเงินผ่อนนี้ควรต้องคำนึงถึงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงด้วย
การซื้อรถยนต์ใหม่ (Buying a new car)
ถ้าท่านกำลังคิดที่จะซื้อรถยนต์ใหม่สักคันหนึ่ง ท่านควรมีการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในด้านต่างๆให้ดี เพื่อที่ท่านจะได้สามารถเลือกซื้อรถยนต์ได้ตามความต้องการ โดยมีการลงทุนที่ต่ำที่สุดด้วย สำหรับขั้นตอนพื้นฐานประการแรกในการเลือกซื้อรถยนต์ใหม่ คือ ท่านต้องตัดสินใจว่ารถยนต์ชนิดใดที่ท่านต้องการและท่านมีวงเงินที่สามารถจ่ายซื้อได้เป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ในขั้นตอนนี้ท่านสามารถขอคำแนะนำได้จากผู้มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ที่ท่านรู้จัก หรือขอคำแนะนำได้จากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และแหล่งหาความรู้ที่ดีที่สุดอีกแหล่งหนึ่งก็คือ จาการอ่านนิตยสารเกี่ยวกับรถยนต์
ภายหลังจากที่ท่านสามารถตัดสินใจได้แน่นอนแล้วว่า ท่านต้องการรถยนต์ชนิดใด ขั้นตอนต่อไปที่ท่านต้องการทำการตัดสินใจก็ คือ ระยะเวลาในการใช้รถยนต์ว่าท่านมีจุดมุ่งหมายที่จะใช้รถยนต์คันใหม่เป็นเวลานานเท่าใด เช่น ถ้าท่านคิดว่าจะใช้รถยนต์เพียงระยะ 2-3 ปี แล้วจะทำการแลกเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ย่อมหมายความว่าท่านควรจะมีสภาพรถที่ไม่ทรุดโทรมมากนักภายในระยะเวลาอันสั้น เพื่อที่ท่านจะได้สามารถแลกเปลี่ยนได้ในราคาที่ค่อนข้างสูงพอสมควร ดังนั้นรูปแบบของรถยนต์ควรเป็นรูปแบบรุ่นใหม่ และไม่ดูล้าสมัยภายในเวลา 2-3 ปี ซึ่งหมายความว่าราคาของรถยนต์จะได้ไม่ตกลงไปมากนัก
ในทางตรงกันข้ามที่ท่านตัดสินใจว่าจะใช้รถยนต์คันใหม่ของท่าน ไปจนกว่ารถยนต์จะหมดสภาพการใช้งานอย่างจริงๆแล้ว ท่านควรใช้เงินลงทุนในการซื้อรถยนต์ในจำนวนที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากท่านไม่ได้สนใจถึงรูปแบบของรถมากไปกว่าราคา ดังนั้นท่านจึงควรใช้เวลาคอยสักเล็กน้อยเพื่อให้รถรุ่นใหม่ตกเข้ามา และถ้าผู้ขายมีความต้องการจะระบายรถยนต์รุ่นเก่าออกไปมากเท่าใด ท่านก็จะสามารถซื้อรถยนต์คันใหม่ได้ในราคาที่ถูกลงเท่านั้น และถ้าท่านซื้อรถยนต์โดยมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกน้อยที่สุด เช่น ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีเกียร์อัตโนมัติ ไม่มีระบบกระจกไฟฟ้า ฯลฯ ท่านก็จะมีการลงทุนกับรถยนต์มากยิ่งขึ้น เพราะการเพิ่มเติมเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านั้น ท่านสามารถจัดการเพิ่มเติมได้ภายหลังทีละรายการตามกำลังงบประมาณที่ท่านพอมีอยู่
เนื่องจากรถยนต์ใหม่มีราคาค่อนข้างแพง จึงควรใช้ความระมัดระวัง และพิถีพิถันเป็นพิเศษ การซื้อรถยนต์ใหม่ควรให้ความสนใจในเรื่องของ
- การเลือกรถยนต์
- การพิจารณาราคาที่เหมาะสม
- การต่อรองกับผู้ขาย
1. การเลือกรถยนต์ (Selecting the make of car)
ในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ใหม่ มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ควรให้ความสนใจ เช่น ความเชื่อถือได้ของรถยนต์แต่ละยี่ห้อ (Reliability record) การรับประกันรถยนต์ (Warranty offered) ระบบเครื่องแบบธรรมดาหรือมีให้เลือกพิเศษ (Standard and optimal equipment available) ตลอดจนราคาขายต่อของรถที่ซื้อ (Resale value) รวมทั้งเรื่องการทดลองขับดู (Test drive)
1. 1. ความเชื่อถือได้ รถยนต์แต่ละยี่ห้อเป็นที่กล่าวถึงของผู้ซื้อต่าง ๆ กัน บางยี่ห้อเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นรถมีคุณภาพดี ไม่เสียง่าย ไม่ต้องซ่อมบ่อย ซึ่งในการเลือกซื้อรถก็ควรดูคุณสมบัติเหล่านี้ เพราะรถถ้าจะสวยอย่างเดียวแต่คุณภาพไม่คงทน ต้องเข้าอู่ซ่อมอยู่เรื่อยแล้ว ก็เป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ซึ่งควรจะได้ศึกษาข้อมูลเหล่านี้เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อด้วย1.2. การประกันรถ การซื้อรถใหม่ในช่วงปีแรกหรือใน 20,000 กิโลเมตรแรก บริษัทรถยนต์มักจะให้การรับประกันว่า ถ้าเสียจะให้บริการซ่อมฟรี ในช่วงที่รถอยู่ในระหว่างการรับประกันของบริษัทค่าใช้จ่ายจึงมีน้อย ดังนั้นการซื้อรถจึงควรพิจารณาด้วยว่า รถยี่ห้อใดให้การรับประกันในเรื่องใดบ้าง มากน้อยเพียงไร
1.3. ระบบเครื่องแบบธรรมดาหรือมีให้เลือกเป็นพิเศษ รถยนต์แต่ละยี่ห้อจะมีระบบเครื่องที่แตกต่างกัน บางยี่ห้อจะมีเฉพาะระบบอัตโนมัติเท่านั้น แต่บางยี่ห้อก็มีให้เลือกทั้งระบบอัตโนมัติ และแบบธรรมดา ซึ่งผู้ซื้อสามารถเลือกได้ตามความประสงค์ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงเรื่องราคาด้วย เพราะรถที่มีระบบอัตโนมัติราคาจะสูงกว่าแบบธรรมดา
1.4. ราคาขายต่อ รถยนต์บางยี่ห้อเวลาขายออกไปราคาจะตกมากกว่ายี่ห้ออื่น ราคาของรถมือสองจะเปลี่ยนไปทุก ๆ ปี วารสารยานยนต์หรือหนังสือพิมพ์ต่างๆ จะรายงานราคาของรถมือสองยี่ห้อต่างๆให้ผู้บริโภคทราบอยู่เสมอ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ที่จะทราบว่ารถยี่ห้อใด รุ่นใดที่ราคาตกมากหรือน้อยในเวลาขาย สิ่งที่ควรสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ รถที่มีขนาดต่างกันเวลาขายออกไปราคาจะตกไม่เหมือนกัน
1.5. การทดลองขับ ก่อนซื้อรถใหม่ควรทดลองขับให้แน่ใจจนเป็นที่พอใจเสียก่อน เนื่องจากรถแต่ละยี่ห้อระบบเครื่องยนต์ พวงมาลัย ระบบเกียร์ น้ำหนักรถ รูปทรง ประตู หน้าต่าง กระจก จะต่างกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะมีผลให้ผู้ขับขี่มีความรู้สึกว่านั่งสบายขับได้เหมาะมือหรือไม่ อย่าซื้อรถที่เมื่อทดลองขับแล้วรู้สึกไม่สะดวกสบายหรือคล่องตัวเป็นอันขาด
2. การทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ใหม่
ดังกล่าวแล้วว่าถ้าท่านมีข้อตกลง ในการเพิ่มเติมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายน้อยอย่าง ท่านก็จะมีการลงทุนในงบประมาณการซื้อรถยนต์ได้ลดลง ซึ่งอาจเป็นประมาณถึงร้อยละ 10-30 ของราคารถยนต์ที่ตกลงกันทีเดียว สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ผู้ซื้อสนใจจะได้รับ ได้แก่ การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ การเปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบ power การเปลี่ยนใช้เบรค ABS เป็นต้น
· Tab 5
3. การซื้อรถยนต์ที่ใช้แล้ว (Buying a used cars)
เนื่องจากรถยนต์ใหม่ในปัจจุบันมีราคาแพงขึ้นมาก ผู้บริโภคบางรายจึงหันมาพิจารณาซื้อรถยนต์ที่ใช้แล้ว สาเหตุที่ซื้อเพราะคิดว่าราคารถที่ใช้แล้วถูกกว่ารถใหม่ ซึ่งพอที่จะลงทุนซื้อหาได้ การซื้อรถยนต์ที่ใช้แล้วค่าใช้จ่ายในการลงทุนถูกกว่าก็จริง แต่ก็มีข้อเสียบางประการ เช่น มีข้อจำกัดในเรื่องการเลือกสีและแบบ นอกจากนั้นผู้ซื้ออาจเจอปัญหา “Lemon” ถูกย้อมแมวขาย คือสภาพรถเมื่อดูภายนอกแล้วดูใหม่ สีสันสวยงาม เครื่องยนต์ดูสะอาด แต่เมื่อซื้อไปแล้วยังมีปัญหาตามมาอีกคือ เป็นรถที่กินน้ำมันและยังจะต้องจ่ายค่าซ่อมอีกมาก ดังนั้นการพิจารณาซื้อรถยนต์ที่ใช้แล้ว ไม่ใช่เพียงแต่ว่ารถที่สามารถขับไปไหนมาไหนได้เท่านั้น แต่ต้องดูว่าค่าน้ำมันและตลอดจนค่าดูแลรักษา จะถูกกว่าจริงด้วยหรือไม่
จะสรุปได้ถึงข้อพึงปฏิบัติในการเลือกซื้อรถยนต์ที่ใช้แล้วไว้ 7 ประการด้วยกัน ดังนี้
1. ควรพิจารณาดูเข็มไมล์ที่ใช้ในการวัดระยะทางของรถให้ถี่ถ้วน ว่ารถยนต์คันที่ท่านสนใจมีคนใช้งานมาแล้วเป็นระยะทางเท่าใด เพราะระยะทางที่ใช้งานจะสามารถบอกถึงความทรุดโทรมและสึกหรอของรถได้
2. ตรวจสอบสภาพภายนอกของรถยนต์อย่างรอบคอบ ซึ่งเวลาที่ใช้ในการสำรวจควรเป็นเวลากลางวันที่ฝนไม่ตก เพื่อที่ท่านจะได้เห็นถึงข้อบกพร่องได้ชัดเจนขึ้น เช่น สนิมรถ สีด้านหรือสีกะเทาะ รอยขีดข่วนและรอยรั่วต่างๆ
3. ตรวจสอบยางรถยนต์ จากจำนวนระยะทางที่แสดงในเครื่องวัดระยะทาง จะเป็นข้อมูลที่ใช้พิจารณาประกอบกับความสึกหรอของยางได้ เพราะถ้ายางรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานประมาณ 40,000 ไมล์ หรือเป็นระยะเวลา 4 ปี ย่อมหมายความว่า รถยนต์ที่ยังคงใช้ยางรถยนต์เส้นเก่า ท่านจะต้องมีรายจ่ายค่าเปลี่ยนยางรถยนต์เพิ่มขึ้นเมื่อซื้อรถยนต์คันนั้นไป
4. ตรวจสอบสภาพภายในของรถยนต์ เช่น ผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ ตัวเบาะรถยนต์ว่ามีรอยฉีกขาดหรือไม่ รวมถึงอุปกรณ์ภายในรถทุกชนิด
5. พิจารณาดูรอยรั่วภายในรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆ หน้าต่างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพราะในฤดูฝนท่านอาจมีความลำบากในการใช้รถ พร้อมทั้งมีรายจ่ายในการซ่อมแซมหลังคารถใหม่อีกด้วย
6. ทดลองเดินเครื่องเพื่อสังเกตว่ารถยนต์มีสภาพของเครื่องยนต์ที่ดีอยู่หรือไม่ การติดต่อเครื่องทำได้ง่ายหรือไม่ เสียงเครื่องยนต์ผิดปกติหรือไม่ ท่อไอเสียอยู่ในสภาพดีหรือไม่ เพราะข้อบกพร่องทุกอย่างย่อมหมายถึง รายจ่ายค่าซ่อมแซมที่เพิ่มขึ้นของท่านทั้งสิ้น
7. ทดลองขับรถยนต์ในระยะทางสั้นๆ เพื่อดูถึงสภาพการใช้รถในขณะขับเคลื่อนนับตั้งแต่การใช้พวงมาลัยรถ อัตราเร่งของรถยนต์ กำลังของรถ และเสียงของเครื่องยนต์ ในเวลาขับ ตลอดจนความสมดุล ความพอเหมาะ และความสะดวกสบาย ที่ได้รับในระหว่างการขับขี่
การเช่าซื้อ
การเช่าซื้อนั้นจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อยานพาหนะใหม่ หรือ ที่ใช้แล้ว ดังนั้นการเช่าซื้อจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกวิธีในการเป็นเจ้าของยานพาหนะ ซึ่งในปัจจุบันมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นการที่จะเช่าซื้อยานพาหนะนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ เพื่อที่ในแต่ละงวดจะมีพอจ่ายให้กับผู้เช่า
หน้าที่และความรับผิดของผู้ให้เช่า
1. การส่งมอบทรัพย์สินให้เช่า จากลักษณะของสัญญาเช่าทรัพย์ ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์ให้เช่าแก่ผู้เช่า เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่านั้นตามสัญญา ดังนั้นตามกฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ให้เช่าอยู่ในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้ว ผู้ให้เช่ายังต้องส่งมอบเรือยนต์ที่เหมาะสมในการขับขี่ไปในทะเลด้วย เช่น ต้องมีน้ำมันและห่วงชูชีพพร้อม เป็นต้น
2. การจัดให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าตลอดระยะเวลาการเช่า นอกจากหน้าที่ในประการแรก ผู้ให้เช่ายังต้องมีหน้าที่ดูแลผู้เช่าสามารถได้ใช้ หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่านั้น ตลอดระยะเวลาการเช่าด้วย กล่าวคือ ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ต้องดูแล บำรุงรักษา และซ่อมแซมที่มีกฎหมายหรือจารีตประเพณีกำหนดให้ผู้เช่าเป็นผู้ซ่อมแซมเอง
กรณีที่กฎหมายกำหมายกำหนดให้ผู้เช่าเป็นผู้ดูแลซ่อมแซมเอง ได้แก่การบำรุงรักษาตามปกติ และการซ่อมแซมเล็กๆน้อยๆ เช่นเช่าบ้านอยู่อาศัย กระเบื้องปูพื้นแตก 2-3 แผ่น หรือมุ้งลวด ประตูหน้าต่าง ฉีกขาดไป ดังนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ผู้เช่าต้องมีหนาที่ซ่อมแซมเอง
หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้เช่า
1.หน้าที่ในการชำระค่าเช่า จากลักษณะของสัญญาเช่าทรัพย์ ผู้เช่าเป็นลูกหนี้ มีหน้าที่ในการชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าเป็นการตอบแทนการที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่ให้เช่า
2.หน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่เช่านั้นเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินขอตนเอง ตามสัญญาเช่า ผู้เช่า มีสิทธิ์ได้ครอบครองใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่า และเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืน เพราะกรรมสิทธิ์มนทรัพย์สินที่เช่านั้นยังคงเป็นของเจ้าของอยู่ ดังนั้นในการครอบครองและใช้ทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ใช้ต้องใช้ความระมัดระวังบางประการ เช่น
- ในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่านั้น ผู้เช่าต้องใช้ตามที่กำหนดไว้ตามสัญญาที่เช่านั้น เช่น เช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่นำไปบรรทุกทราย ดังนี้ เป็นการใช้ทรัพย์สินที่ไม่ถูกต้องตามสัญญา และไม่เป็นไปตามกฎประเพณีในการเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล
- ในการใช้ทรัพย์สินนั้น ผู้เช่าต้องสงวนรักษาทรัพย์สินนั้นเสมือนกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง
3.หน้าที่ในการคืนทรัพย์สินผู้เช่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาเช่าตามสัญญาแล้ว ผู้เช่ามีหน้าที่จะต้องส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้ให้เช่า แต่มีข้อยกเว้นหากเป็นการเช่าที่นา และสัญญาได้ครบกำหนดลงในขณะที่ผู้เช่าได้เพาะปลูกขาวแล้ว ผู้เช่าก็มีสิทธ์ที่จะครอบครองใช้ประโยชน์ในนานั้นต่อไปจนกว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จ แต่ทั้งนี้ผู้เช่าก็ต้องชำระค่าเช่าในระหว่างนั้นด้วย
3. ความจำเป็นในการเช่าซื้อ
1. เนื่องจากไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะซื้อยานพาหนะใหม่หรือยานพาหนะที่ใช้แล้ว
2. เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
3. เพื่อความรวดเร็ว
4. อื่นๆ
การบริหารการใช้สินเชื่อส่วนบุคคล
· Tab 1
การบริหารการใช้สินเชื่อส่วนบุคคล
ดูจากความสามารถในการชำระหนี้จากรายอื่น
ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องสินเชื่อนั้น ธุรกิจไม่เพียงแต่ต้องประเมินจากลูกค้าเพื่อตัดสินใจว่าควรให้หรือไม่ควรให้สินเชื่อเท่านั้น แต่ธุรกิจยังต้องประเมินลูกค้า เพื่อกำหนดวงเงินสินเชื่อ เพื่อที่จะให้แก่ลูกค้าอีกด้วย และกำหนดวงเงินสินเชื่อเป็นงานสำคัญที่ผู้บริหารต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และจัดทำขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ทั้งนี้เพราะหากธุรกิจไม่กำหนดวงเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้าแต่ละรายแล้ว ลูกค้าที่ได้รับอนุมัติให้สินเชื่อรายใดรายหนึ่งอาจทำการซื้อเชื่อมากเกินความจำเป็น หรือกู้เงินเกินความสามารถในการชำระหนี้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการตัดโอกาสลูกค้าที่ต้องการให้สินเชื่อรายอื่นๆ ที่มาทีหลังเนื่องจากธุรกิจมีทรัพยากรอันจำกัด จึงกล่าวได้ว่าการให้สินเชื่อโดยไม่จำกัดวงเงินสินเชื่อก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงแก่ผู้ให้สินเชื่อ
วงเงินสินเชื่อ ซึ่งหมายถึง จำนวนสูงสุดของหนี้สินที่ธุรกิจยอมให้แก่ลูกค้าอันเกิดจากการใช้สินเชื่อในรูปแบบของสินค้า บริการ หรือเงินสด
วัตถุประสงค์ของการกำหนดวงเงินสินเชื่อของธุรกิจมีดังนี้คือ
1.เป็นแนวทางในการบริหารและควบคุมสินเชื่อของผู้บริหาร
2.เป็นแนวทางในการกำหนดความเสี่ยง
3.เป็นแนวทางในการส่งเสริมสินเชื่อแก่ธุรกิจ
ลักษณะวงเงินสินเชื่อ
1. การกำหนดตามขนาดของใบสั่งซื้อ เป็นการกำหนดวงเงินสินเชื่อที่รวมยอดขายทั้งหมด หรือกำหนดเป็นจำนวนวงเงินรวม ของใบสั่งซื้อทั้งหมด ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การกำหนดวงเงินสินเชื่อโดยวิธีนี้เหมาะที่จะใช้กับองค์การที่มีการกระจายอำนาจในการให้สินเชื่อ วิธีนี้จะช่วยให้การดำเนินการตามใบสั่งซื้อทำได้เร็วขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์และตรวจสอบเครดิตของลูกค้า
2. การกำหนดยอดคงเหลือ เป็นการกำหนดวงเงินสินเชื่อของลูกค้าโดยการควบคุมยอดรวมบัญชีลูกหนี้มิให้สูงกว่ากำหนด การสั่งซื้อหลังจากยอดคงเหลือบัญชีลูกหนี้ครบวงเงินแล้วจะได้รับอนุมัติแต่ยังไม่มีการจัดส่งจนกว่าลูกค้าจะมีการชำระหนี้เดิมที่ ทำให้ยอดคงเหลือลูกหนี้ตามบัญชีไม่เกินวงเงินสินเชื่อที่กำหนด โดยวิธีนี้จะช่วยป้องกันมิให้ลูกค้าสั่งซื้อมากเกินความจำเป็นและเป็นการลดความเสี่ยงของธุรกิจ เช่น บริษัท ชลลดา จำกัด กำหนดให้ นายเถลิงศักดิ์ ซึ่งเป็นพ่อค้าส่งรายย่อยสั่งซื้อได้ครั้งละ 5,000 บาท แต่ทั้งนี้ยอดบัญชีคงเหลือลูกหนี้จะต้องไม่เกิน 50,000 บาท หมายความว่า นายเถลิงศักดิ์ สามารถสั่งซื้อได้ทุกครั้งที่ต้องการ การสั่งซื้อแต่ละครั้งอาจมีมูลค่าต่ำกว่า 5,000 บาทก็ได้ แต่ยอดบัญชีคงเหลือของลูกหนี้ก่อนสั่งซื้อกับการสั่งซื้อใหม่ไม่ควรเกิน 50,000 บาท ถ้ายอดรวมลูกหนี้สูงกว่า 50,000 บาท นายเถลิงศักดิ์ ต้องชำระหนี้เดิมบางส่วนก่อนจึงจะส่งสินค้าให้ตามใบสั่งซื้อใหม่ ยอดคงเหลือในบัญชีลูกหนี้จึงถูกใช้เป็นเกณฑ์การกำหนดวงเงินสินเชื่อ
3. การกำหนดเป็นช่วงเฉพาะ เป็นการกำหนดวงเงินสินเชื่อที่ระบุเวลาเฉพาะช่วงหนึ่งๆ ที่ยอมให้สินเชื่อ เช่น กำหนดวงเงินสินเชื่อ 10,000 บาทต่อเดือน หมายความว่า การสั่งซื้อในแต่ละเดือนต้องมีมูลค่าไม่เกิน 10,000 บาท โดยพนักงานขายมีสิทธิอนุมัติใบสั่งซื้อ การสั่งซื้อที่เกินไปกว่านั้นจะต้องได้รับเป็นรายกรณีจากผู้บริหารระดับสูงผู้ขายจะไม่สนใจยอดรวมลูกหนี้ แต่จะให้ความสนใจและตรวจสอบเฉพาะยอดซื้อในแต่ละเดือนมิให้เกินกว่าที่กำหนดในวงเงิน วิธีการนี้ให้ประโยชน์กับองค์การธุรกิจที่อำนาจอนุมัติสินเชื่ออยู่ที่ส่วนกลางซึ่งต้องการควบคุมการสั่งซื้อ ใบสั่งซื้อจึงต้องผ่านกระบวนการตามขั้นตอนเพื่อตรวจสอบและบันทึกข้อมูลก่อนการอนุมัติ
ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
การกำหนดวงเงินสินเชื่อ หมายถึง จำนวนวงเงินสูงสุดที่ผู้ขายยอมให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ในช่วงระยะเวลาที่จำกัด ปัจจัยที่ผู้ขายควรพิจารณา อันได้แก่ “ C’s” ต่างๆคือ Character Capacity Capital Collateral และ Condition ซึ่งหมายถึง อุปนิสัย ความสามารถในการชำระหนี้ เงินทุน หลักประกัน และภาวะเศรษฐกิจนั่นเอง แต่ปัจจัยที่พิจารณาต่อไปนี้เป็นปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งจากด้านผู้ขอและผู้ให้สินเชื่อประกอบกัน เป็นปัจจัยที่ช่วยประเมินความสามารถ และความตั้งใจในการชำระหนี้ของลูกหนี้ขณะเดียวกันก็ประเมินความพร้อมของผู้ขายที่จะให้สินเชื่อและกำหนดวงเงิน มีปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. ขนาดธุรกิจของผู้ให้สินเชื่อ
2 . หลักของการกระจายความเสี่ยง
3. ประเภทธุรกิจของผู้ขอสินเชื่อ
4. ระยะเวลาของสินเชื่อ
5. สภาวะทางธุรกิจ
6. นโยบายการจำหน่ายสินค้าของเจ้าหนี้
7. วัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อ
8. ความสามารถในการบริหาร
9. คู่แข่งขัน
10. ยอดสินเชื่อรวม หมายถึงยอดหนี้สินรวมในธุรกิจของผู้ขอสินเชื่อนั่นเอง ผู้ให้สินเชื่อจะใช้รายงานทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบสัดส่วนของหนี้สินเปรียบเทียบกับเงินทุน
· Tab 2
ประโยชน์และข้อจำกัดของการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1. เป็นเครื่องมือควบคุมการให้สินเชื่อ
2. เป็นการส่งเสริมการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้
4. ลดความขัดแย้งระหว่างลูกค้ากับฝ่ายขาย
5. เป็นการควบคุมบัญชีลูกหนี้ของธุรกิจโดยส่วนรวม
6. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของฝ่ายสินเชื่อ
7. ช่วยควบคุมการให้สินเชื่อของลูกค้า
ข้อจำกัดของการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1. ความต้องการข้อมูลที่เป็นจริงและทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่เสมอ และเหตุการณ์ที่มีแต่ค่าใช้จ่ายตามมา ซึ่งบางครั้งค่าใช้จ่ายที่เสียไปเพื่อแลกกับข้อมูล ก็มิได้ช่วยให้คุมค่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายวงเงินเพิ่ม
2. ความต้องการปรับปรุงวงเงินสินเชื่อ ลูกค้าส่วนใหญ่มีความต้องการขยายวงเงินสินเชื่ออยู่เสมอ การใช้สินเชื่อแต่ละครั้งจึงพยายามใช้เกินวงเงินที่กำหนด วิธีการดังกล่าวทำให้ผู้ให้สินเชื่อต้องพิจารณาการให้สินเชื่อใหม่เสมอเพื่อตรวจสอบว่าควรให้หรือไม่ ทั้งนี้เพราะผู้ขายต้องการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า
3. การสูญเสียความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อกับลูกค้า ธุรกิจมักมอบหมายอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติสินเชื่อให้บุคคลหลายระดับตามจำนวนวงเงินสินเชื่อ ดังนั้นจึงอาจมีลูกค้าบางรายแสดงความไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อที่เกินกว่าวงเงินที่กำหนด โดยผู้มีอำนาจระดับต่ำกว่าผู้จัดการทีปฏิบัติงานตามหน้าที่ โดยลูกค้าถือว่าตนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ หรือในบางกรณีลูกค้าอาจโกรธที่การขอสินเชื่อผ่านการอนุมัติจาก ผู้มีอำนาจระดับต่ำซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดเผยฐานะการเงินของตนเอง ทำให้รู้สึกว่าถูกประจานทำให้ต้องอับอาย และคิดว่าผู้จัดการไม่ช่วยปกป้องให้ เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อต้องสูญเสียความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
ประเภทของวงเงินสินเชื่อ
1. วงเงินสินเชื่อเกี่ยวกับสินเชื่อทางการค้า
สินเชื่อทางการค้าได้มาจากองค์การธุรกิจหรืออาจได้มาจากสถาบันการเงิน การกำหนดวงเงินสินเชื่อเพื่อการค้าของสถาบันการเงิน และหลักวิธีการกำหนดวงเงินเกี่ยวกับสอนเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค
2. วงเงินสินเชื่อที่กำหนดจากประสบการณ์
ในการกำหนดวงเงินสินเชื่อนั้น ผู้บริหารฝ่ายสินเชื่อหรือผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อมีวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถเรียนรู้และใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวงเงินได้หลายวิธี คืออาจเรียนรู้ด้วยตนเองโดยใช้การทดลองที่เรียกว่า วิธีลองผิดลองถูก (Trial and error ) หรืออาจใช้วิธีการที่ผู้อื่นใช้เป็นแนวทางที่เรียกว่า ทำตามผู้นำ การกำหนดวงเงินที่ใช้ประสบการณ์เป็นหลักสามารถแยกออกเป็นวิธีย่อย ๆ ได้ดังนี้ คือ
1. กำหนดวงเงินโดยใช้ผู้ขายรายอื่นเป็นเกณฑ์
2. การกำหนดวงเงินที่เริ่มจากจำนวนน้อย
3. การกำหนดวงเงินเป็นช่วงเวลา
4. การให้สินเชื่อโดยไม่มีขีดจำกัด
3. วงเงินสินเชื่อที่กำหนดจากความต้องการของลูกค้า
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1.กำหนดวงเงินโดยพนักงานขายเป็นผู้ประเมินความต้องการของลูกค้า โดยวิธีนี้ถือว่าพนักงานขายเป็นผู้มีประสบการณ์ในการขาย จากการติดต่อกับลูกค้าจำนวนมากทำให้เขาสามารถ วิเคราะห์และประเมินได้ในครั้งแรกของการสั่งซื้อว่าลูกค้ามีความต้องการสินค้ามากน้อยเพียงใด ดังนั้นมูลค่าคำสั่งซื้อที่พนักงานขายเป็นผู้จัดทำขึ้นจึงเปรียบเสมือนวงเงินสินเชื่อที่กำหนดให้แก่ลูกค้านั่นเอง
2.กำหนดวงเงินตามสถานการณ์ สินค้าบางชนิดโดยเฉพาะสินค้าที่เป็นของเสียง่าย เช่น ขนมปัง นมสด ผลไม้ ผู้ขายจะมีวิธีการกำหนดวงเงินสินเชื่อที่แตกต่างจากสินค้าทั่วไป โดยทั่วไปจะกำหนดวงเงินในรูปของการยอมให้สินเชื่อเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ระบุมูลค่าสินค้าตายตัวเหตุผลของการกระทำดังกล่าวก็เพื่อเปิดโอกาสยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงวงเงินสินเชื่อนั่นเอง เพราะความต้องการสินค้าเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงมากบางช่วงฤดูกาล เช่น เทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์
3. กำหนดวงเงินโดยวิธีการที่มีหลักเกณฑ์และเหตุผล (Pseudoscientific ) เป็นการกำหนดวงเงินสินเชื่อแก่ลูกหนี้อย่างมีหลักเกณฑ์และเหตุผล ดังนั้นถ้าผู้ให้สินเชื่อสามารถหาข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับลูกค้าได้ก็หมายถึงการกำหนดวงเงินสินเชื่อทำได้ถูกต้องด้วย และโอกาสของความผิดพลาดในการบริหารสินเชื่อก็น้อยลงตามกัน วงเงินสินเชื่อทีกำหนดโดยวิธีนี้คำนวณโดยยึดหลักเกณฑ์ในความต้องการสินค้าเป็นหลัก จึงคิดว่าจำนวนสินค้าที่ต้องการซื้อมาขายก็คือจำนวนขายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นหลักในการคำนวณจึงเน้นการประมาณยอดขายของลูกหนี้เพื่อใช้เป็นฐาน ในการคำนวณต้นทุนสินค้าโดยเฉลี่ยที่ลูกหนี้สั่งซื้อจากผู้ขายแต่ละราย ซึ่งหมายถึงวงเงินสินเชื่อที่ควรกำหนดแก่ลูกหนี้นั่นเอง
4. คำนวณหาความถี่ในการสั่งซื้อของลูก
ความถี่ในการสั่งซื้อ = จำนวนวันในหนึ่งปี / ระยะเลาในการชำระหนี้โดยเฉลี่ย
ความถี่ในการสั่งซื้อ หมายถึง อัตราการหมุนในการชำระหนี้ของลูกหนี้หรือัตราส่วนการหมุนเวียนของลูกหนี้นั่นเอง
5. คำนวณหามูลค่าการสั่งซื้อของลูกค้าต่อครั้ง คำนวณได้ดังนี้
มูลค่าการขายเชื่อแก่ลูกหนี้แต่ละครั้ง = ยอดสินค้าเฉพาะอย่างตามความสามารถในการขายของเจ้าหนี้แต่ละราย หาร ด้วย จำนวนครั้งของการสั่งซื้อ
· Tab 3
6. ปรับมูลค่าการสั่งซื้อต่อครั้งให้เป็นต้นทุนขาย
ดังนั้นมูลค่าการสั่งซื้อต่อครั้งของลูกหนี้จากเจ้าหนี้ที่แท้จริงจึงควรปรับด้วยการหักส่วนของกำไรออกจากยอดขาย มูลค่าที่เหลือจึงถือได้ว่าเป็นต้นทุนของสินค้าที่ลูกหนี้ซื้อจากเจ้าหนี้ หรือเป็นมูลค่าสินเชื่อที่เจ้าหนี้ขายให้แก่ลูกหนี้ในแต่ละครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นวงเงินสินเชื่อที่ถูกคำนวณเพื่อกำหนดให้แก่ลูกหนี้นั่นเอง
สรุปสูตรเพื่อคำนวณวงเงินสินเชื่อได้ดังนี้
วงเงินสินเชื่อ =
ยอดขาย
ยอดอัตราการหมุนในการชำระหนี้ของลูกหนี้
การคำนวณวงเงินสินเชื่อโดยการใช้สูตร
4. วงเงินสินเชื่อที่กำหนดตามความสามารถในการชำระหนี้
การกำหนดวงเงินตามความสามารถในการชำระหนี้ (debt-paying power) นั้นบางทีเรียกว่า การกำหนดวงเงินตามข้อเท็จจริง (facts) ทั้งนี้เพราะวงเงินจะถูกกำหนดโดยใช้ข้อมูลทางการเงินของลูกหนี้เป็นฐานในการกำหนดอันได้แก่ มูลค่าสุทธิ (net worth), เงินทุน (capital),ทุนหมุนเวียนสุทธิ (net working capital)
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1.การกำหนดวงเงินสินเชื่อโดยใช้มูลค่าสุทธิเป็นฐานในการคำนวณ กระบวนการในการกำหนดวงเงินมี 3 ขั้นตอน คือ
Ø คำนวณหามูลค่าสุทธิของธุรกิจลูกหนี้ ซึ่งหมายถึง ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์ทั้งหมดและหนี้สินทั้งหมดในธุรกิจลูกหนี้
Ø หาจำนวนรวมเจ้าหนี้ผู้ขายสินค้าประเภทเดียวกันแก่ลูกหนี้
Ø หาค่าเฉลี่ยมูลค่าสุทธิตามจำนวนรวมเจ้าหนี้ผู้ขายสินค้าประเภทเดียวกัน ซึ่งค่าดังกล่าวก็คือ วงเงินสินเชื่อที่จะกำหนดให้แก่ลูกหนี้นั่นเอง
2. การกำหนดวงเงินสินเชื่อโดยใช้ทุนหมุนเวียนสุทธิเป็นฐานในการคำนวณ คำนวณจากมูลค่าสุทธิเป็นทุนหมุนเวียนสุทธิ ซึ่งทุนหมุนเวียนสุทธิหมายถึง ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียน ค่าเฉลี่ยของทุนหมุนเวียนสุทธิ คือ ทุนหมุนเวียนสุทธิหารด้วยจำนวนรวมเจ้าหนี้ที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันให้แก่ลูกหนี้และค่าเฉลี่ยดังกล่าวก็คือความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ผลการคำนวณที่ได้รับจึงเป็นการแสดงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
ทุนหมุนเวียนสุทธิ = สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน
สินทรัพย์หมุนเวียน = เงินสด + ตั๋วเงินรับ + ลูกหนี้ + สินค้า
หนี้สินหมุนเวียน = เจ้าหนี้ + ตั๋วเงินจ่าย
ทุนหมุนเวียนสุทธิเฉลี่ย = ทุนหมุนเวียนสุทธิ
จำนวนรวมเจ้าหนี้
กระบวนการในการคำนวณหาวงเงินสินเชื่อ มีดังต่อไปนี้
1. คำนวณยอดขายรวมตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่งของลูกหนี้
2. คำนวณหาต้นทุนขายของลูกหนี้
3. คำนวณหาหนี้ระยะสั้นของลูกหนี้ที่จะต้องชำระเป็นลำดับแรกรวมตลอดระยะเวลา 1 ปี
4. คำนวณหาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แก่เจ้าหนี้เฉพาะรายใหม่ที่ต้องการกำหนด วงเงินสินเชื่อ
5. คำนวณหาอัตราหมุนในการชำระหนี้ของลูกหนี้
6. คำนวณวงเงินสินเชื่อกำหนดเป็นรายครั้งของการสั่งซื้อ
จากกระบานการที่กล่าวมาแล้วทั้ง 6 ขั้นตอน สามารถสรุปการคำนวณวงเงินสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ได้ดังนี้
· Tab 4
เงินสินเชื่อที่กำหนดเพื่อการค้าของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินมีวิธีการให้สินเชื่อแก่องค์กรธุรกิจ 2 รูปแบบคือ การให้กู้ระยะยาวและการให้กู้ระยะสั้น การให้กู้ยืมระยะยาวเป็นการให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาทรัพย์สินที่เป็นทุน ได้แก่ อาคาร โรงงาน เครื่องจักร ส่วนการให้กู้ยืมระยะสั้นนั้นก็เพื่อที่จะให้องค์การธุรกิจนำไปใช้จ่ายเพื่อการจัดหาวัตถุดิบ สะสมสินค้าไว้เพื่อจำหน่าย หรือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เช่น จ่ายค่าแรงงาน จ่ายค่าเช่าสถานที่ จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น สินเชื่อเพื่อการค้าจากสถาบันการเงินจะเป็นการให้สินเชื่อหรือการให้กู้ยืมเงินสด การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินมีลักษณะเช่นเดียวกับการให้สินเชื่อขององค์การธุรกิจ คือ จะต้องวิเคราะห์สินเชื่อโดยใช้ข้อมูลทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ เพื่อตัดสินใจว่าจะให้ธุรกิจกู้ยืมหรือไม่ สถาบันการเงินมีการจัดประเภทของสินเชื่อไว้แตกต่างกันหลายประเภท เช่น สินเชื่ออุตสาหกรรม สินเชื่อพาณิชยกรรม และสินเชื่อแต่ละประเภทก็ยังแบ่งเป็นสินเชื่อประเภทย่อยๆ ออกไปอีก
วงเงินสินเชื่อเกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อการบริโภค
สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค หมายถึง สินเชื่อที่ให้แก่ผู้บริโภคโดยการขายสินค้า บริการหรืออาจให้ในลักษณะของการกู้ยืมเงินสดเพื่อนำไปอุปโภคบริโภค สินเชื่อที่ให้โดยการขายสินค้าสามารถให้ในรูปของการเปิดบัญชี การเปิดบัญชีแบบต่อได้ การขายผ่อนส่ง ตลอดจนการใช้บัตร
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1. กำหนดวงเงินตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการหรือตามที่ลูกค้าขอ
2. การกำหนดวงเงินสินเชื่อตามระดับความเสี่ยง
3. กำหนดวงเงินสินเชื่อตามฐานะการจ้างงาน
4. กำหนดวงเงินสินเชื่อจากรายงานของสำนักงานสินเชื่อ
5. กำหนดวงเงินสินเชื่อเป็นระยะเวลา
6. กำหนดวงเงินสินเชื่อจากเงินเดือนและระยะเวลาการเปิดบัญชีสินเชื่อ
วงเงินสินเชื่อที่กำหนดสำหรับการขายผ่อนส่ง
วงเงินสินเชื่อสำหรับการขายผ่อนส่งนั้น โดยทั่วไปจะมีจำนวนสูงกว่าวงเงินสินเชื่อแบบเปิดบัญชี เพราะสินค้าที่ขายผ่อนส่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าประเภทคงทนมีมูลค่าสูง อายุการใช้งานยาวนานกว่าสินค้าอื่นที่ใช้เพียงระยะสั้นหรือใช้ประจำวัน สินค้าที่ขายผ่อนส่งจึงเป็นสินทรัพย์ที่ยังคงมีมูลค่าตามระยะเวลาที่สามารถใช้เป็นหลักประกันในการชำระหนี้ได้
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อมีดังนี้
1.การวางเงินมัดจำ ผู้ขายควรกำหนดวงเงินให้ผู้ซื้อวางเงินมัดจำ จำนวนที่สูงพอที่ จะให้เขาเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่ซื้อ
2.การควบคุมยอดหนี้สินค้างชำระ ในการขายผ่อนส่งนั้นผู้ขายจะต้องพยายามตรวจสอบมิให้ผู้ซื้อมีภาระผูกพันการใช้จ่ายที่เกินความสามารถในการชำระหนี้จากการซื้อครั้งใหม่ได้
3. การกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ ผู้ขายควรกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นก่อนที่สินค้าจะล้าสมัย
วงเงินสินเชื่อที่กำหนดเพื่อการอุปโภคบริโภคของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินที่มีบทบาทสำคัญและรู้จักกันดีโดยทั่วไปได้แก่ธนาคารพาณิชย์นั่นเอง การกำหนดวงเงินสินเชื่อที่ให้ในรูปของเงินสด จึงเน้นการกำหนดวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้แก่บุคคลเพื่อช่วยเหลือให้มีมาตรฐานการครองชีพดีขึ้นเป็นหลัก สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคแบ่งออกได้เป็น สินเชื่อระยะสั้นและสินเชื่อระยะยาว ดังนั้น การกำหนดวงเงินสินเชื่อจึงแบ่งตามชนิดของสินเชื่อได้เป็น วงเงินสินเชื่อระยะสั้นและวงเงินสินเชื่อระยะยาว
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อระยะสั้น
สินเชื่อระยะสั้น หมายถึง สินเชื่อที่ผู้กู้ควรชำระคืนแก่เจ้าหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 1 ปี วงเงินสินเชื่อจะมีจำนวนมากหรือน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่างคือ วัตถุประสงค์รายได้ ความสามารถในการชำระหนี้และหลักประกัน การกู้ยืมระยะสั้นผู้กู้มักจะนำไปใช้ในรายการที่เกิดจากความขาดแคลนชั่วขณะ และจำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วน เช่น ซ่อมแซมบ้าน ซ่อมรถ จ่ายตั๋วเครื่องบินให้บุตรหลานไปต่างประเทศ หรือจ่ายค่าเล่าเรียน เป็นต้น ปัจจัยอื่นๆที่สถาบันการเงินพิจารณาเพิ่มเติมได้แก่ ประวัติบุคคล ความตั้งใจในการชำระหนี้ ผู้ค้ำประกัน เป็นต้น
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อระยะยาว
สินเชื่อระยะยาว หมายถึง สินเชื่อที่ผู้กู้สามารถชำระคืนแก่เจ้าหนี้ให้เสร็จสิ้นได้ในระยะเวลาที่เกินกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปบุคคลจะใช้สินเชื่อระยะยาวเพื่อนำไปซื้อสินทรัพย์ถาวร ได้แก่ บ้าน ที่ดิน รถยนต์ อื่นๆ ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้มีอายุการใช้งานนานและมีราคาแพง ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาก็เช่นเดียวกับปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการกำหนดวงเงินสินเชื่อระยะสั้น ได้แก่
- วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ
- ความสามารถในการชำระหนี้
- หลักประกัน
· Tab 5
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคโดยการผ่อนส่ง ( Installment Accounts )
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคโดยการผ่อนส่ง นิยมใช้ในกิจการที่ขายสินค้าที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
ก.สินค้าที่มีมูลค่า ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่สะดวกในการจัดหาสินค้านั้นมาบริโภคด้วยวิธีการซื้อด้วยเงินสด ดังนั้นถ้าเสนอเงื่อนไขผ่อนส่งก็จะจูงใจผู้บริโภคได้มาก เช่น บ้าน รถยนต์
ข.สินค้าที่มีอายุการใช้งาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งเป็นสินค้าที่มิใช่สินค้าประเภทใช้แล้วหมดไป
ค.สินค้าอาจจะเป็นได้ทั้งสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีพ
รายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขผ่อนส่งประกอบด้วย
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับหลักประกัน
2.เงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่อนชำระ
3.เงื่อนไขอื่น ๆ
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับหลักประกัน การผ่อนส่งในการปฏิบัตินั้นมีทั้งทำสัญญาเป็นหนังสือและสัญญากันด้วยวาจาขึ้นอยู่กับระดับและขนาดของธุรกิจการค้านั้น
เช่าซื้อ คือ “สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้ให้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว และสัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”
ในการทำสัญญาเช่าซื้อ นิยมทำสัญญาค้ำประกันต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ หลักประกันที่นิยมใช้มักเป็นบุคคลค้ำประกัน โดยบุคลที่ค้ำประกันต้องมีลักษณะตรงตามที่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ขายกำหนด ได้แก่ บุคคลที่มีอาชีพเป็นหลักฐาน มีรายได้แน่นอน มีความประพฤติดีเป็นที่น่าเชื่อถือและมีหลักทรัพย์ของตนเอง พร้อมที่จะยอมรับผิดร่วมกับผู้เช่าในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในกรณีที่ผู้เช่าได้ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าซื้อ
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่อนชำระ เงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่อนชำระจะกำหนดรายละเอียดในเรื่องเงินดาวน์ งวดเวลาผ่อนส่ง และเงินผ่อนรายงวด มีรายละเอียดดังนี้
1)เงื่อนไขเกี่ยวกับเงินดาวน์ (down payment) หรือเงินมัดจำ
2)งวดเวลาผ่อนส่ง
3)เงินผ่อนรายงวด การผ่อนส่งอาจจะทำได้หลายวิธี ได้แก่
กรณีที่ 1 ชำระเงินต้นเท่ากันทุกงวดโดยคิดดอกเบี้ยโดยยอดค้างชำระ ซึ่งทำให้เงินรวมผ่อนต่องวดไม่เท่ากัน
กรณีที่ 2 ชำระเงินรวมผ่อนต่องวดเท่ากันโดยคิดดอกเบี้ยจาดยอดค้าชำระ ซึ่งจะทำให้เงินต้นและดอกเบี้ยแต่ละงวดไม่เท่ากัน
กรณีที่ 3 ชำระเงินต้นเท่ากันทุกงวด และดอกเบี้ยก็จะผ่อนเท่ากันทุกงวดเช่นกัน โดยคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นคงที่ ซึ่งทำให้เงินรวมผ่อนรายงวดก็จะเท่ากันทุกงวดด้วย
เงินต้นผ่อนต่องวด หมายถึง เงินต้นที่ผู้ใช้สินเชื่อจะต้องผ่อนชำระต่องวดคำนวณได้ดังนี้
เงินต้นผ่อนต่องวด =
เงินต้นหลังหักเงินดาวน์
จำนวนงวดที่ผ่อนขำระ
เงินรวมผ่อนต่องวด หมายถึง เงินต้นบวกดอกเบี้ยที่ผู้ใช้สินเชื่อจะต้องผ่อนต่องวด โดยดอกเบี้ยของเงื่อนไขกรณีที่ 3 คำนวณได้ดังนี้
ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งสิน = เงินต้นหลังหักเงินดาวน์ x อัตราดอกเบี้ย x ระยะเวลาผ่อนขำระ
3. เงื่อนไขอื่น ๆ เงื่อนไขอื่น ๆ ที่ต้องกำหนด ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน สถานที่เก็บรักษาทรัพย์สิน การบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา การประกันภัย การชำนะหนี้เกินกำหนด การยึดทรัพย์สินคืน
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อเพื่อการบริโภค ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน โรงรับจำนำ และสหกรณ์ โดยจะให้สินเชื่อในรูปเงินสด เพื่อให้ผู้ขอสินเชื่อนำเงินสดไปใช้ในการบริโภค การให้สินเชื่อของสถานบันการเงินดังกล่าวจะให้ในลักษณะของวงเงินกู้ (Term loan) โดยมีเงื่อนไขการให้สินเชื่อคล้ายกัน ยกเว้นโรงรับจำนำซึ่งลักษณะเงื่อนไขแตกต่างจากสถาบันการเงินรูปแบบอื่น นอกจากเงินกู้แล้วธนาคารพาณิชย์ยังให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคอีกลักษณะหนึ่งเรียกว่าบัตรเครดิตดังนั้นจะแยกอธิบายเงื่อนไขสินเชื่อ เพื่อการบริโภคของสถาบันการเงินออกเป็น เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคในลักษณะเงินกู้ และเงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคโดยใช้บัตรเครดิต
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคในลักษณะเงินกู้ ซึ่งจำแนกออกเป็น
1. เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และสหกรณ์ มีเงื่อนไขเงินกู้คล้ายกัน ได้แก่
1.1 เงื่อนไขเกี่ยวกับหลักประกัน
1.2 เงื่อนไขเกี่ยวกับวงเงินกู้และงวดเวลาผ่อนส่ง
1.3 เงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่อนชำระ
กรณีที่ 1 ชำระเงินต้นเท่ากันทุกงวดโดยดอกเบี้ยคิดจากยอดค้างชำระ ซึ่งทำให้เงินรวมผ่อนต่องวดไม่เท่ากัน
กรณีที่ 2 ชำระเงินรวมผ่อนต่องวดเท่ากันโดยคิดดอกเบี้ยจากค้างชำระ ซึ่งทำให้เงินต้นและดอกเบี้ยแต่ละงวดไม่เท่ากัน
กรณีที่ 3 คือการชำระเงินต้นเท่ากันทุกงวด และดอกเบี้ยก็จะผ่อนชำระเท่ากันทุกงวดเช่นกัน โดยคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นคงที่ซึ่งทำให้เงินรวมผ่อนรายงวดก็จะเท่ากันทุกงวดด้วย
2. เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคของโรงรับจำนำ โรงรับจำนำเป็นสถาบันการเงินที่ดำเนินงานการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคในรูปของเงินสด โรงรับจำนำที่ดำเนินงานในปัจจุบันมีทั้งที่ดำเนินงานโดยรัฐและที่ดำเนินงานโดยเอกชน หน่วยงานของรัฐที่โรงรับจำนำสังกัดอยู่ ได้แก่ เทศบาลและกรมประชาสงเคราะห์ โดยโรงรับจำนำที่สังกัดเทศบาลใช้ชื่อว่า “สถานธนานุบาล” ส่วนโรงรับจำนำที่สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ใช้ชื่อว่า “สถานธนานุเคราะห์” สำหรับเงื่อนไขการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคของโรงรับจำนำเอกชนและโรงรับจำนำของรัฐ มีเงื่อนไขบางอย่างเหมือนกันและมีเงื่อนไขบางอย่างต่างกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
2.1 เงื่อนไขเกี่ยวกับหลักฐานในการจำนำ ผู้ใช้สินเชื่อหรือผู้จำนำต้องนำทรัพย์ที่จะจำนำ พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรที่ออกโดยทางราชการมาด้วยในวันที่ทำการจำนำ มิฉะนั้นโรงรับจำนำไม่สามารถรับจำนำทรัพย์ดังกล่าวได้ สำหรับทรัพย์ที่นำมาจำนำนั้นต้องเป็นสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์รายการใดก็ได้ แต่ต้องมิใช้สังหาริมทรัพย์ที่ต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย
2.2 เงื่อนไขเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ย สำหรับเงื่อนไขเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ย ประกอบด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับ
1)จำนวนเงินต้น เงินจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับมูลค่าของทรัพย์ที่นำมาจำนำ โดยผู้ใช้สินเชื่ออาจจะขอกู้จำนวนเงินเท่ากับหรือน้อยกว่ามูลค่าของทรัพย์ที่โรงรับจำนำตีราคาให้ก็ได้ แต่จะขอกู้เกินกว่ามูลค่าทรัพย์ที่โรงรับจำนำตีราคาให้ใหม่ไม่ได้ นอกจากนี้โรงรับจำนำของรัฐจะรับจำนำได้ไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับตั๋วจำนำ 1 ใบ ส่วนโรงรับจำนำเอกชนไม่มีข้อกำหนดนี้
2)อัตราดอกเบี้ย โรงรับจำนำเอกชนคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 บาทต่อเดือน ไม่ว่าวงเงินจะเท่ากับเท่าไรก็ตาม
3)การนับระยะเวลาคำนวณดอกเบี้ย ระยะเวลาที่ใช้คำนวณดอกเบี้ยจะคิดเป็นรายเดือน ในกรณีที่ไม่ครบเดือนจะพิจารณาว่าเกินกว่า 15 วันหรือไม่ ถ้าเกินกว่า 15 วันนับเป็น 1 เดือน แต่ถ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 15 วันนับเป็นครึ่งเดือน ดังนั้นระยะเวลาที่คำนวณดอกเบี้ยจึงเป็นรายเดือนและรายครึ่งเดือนเท่านั้น วิธีการนับเดือนจะนับชนวัน ส่วนที่เหลือจะนับเป็นรายวัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
4)วิธีการคำนวณดอกเบี้ยการคำนวณดอกเบี้ยจะทำโดยเอาเงินต้นคูณกับอัตราดอกเบี้ยคูณกับระยะเวลาดังนี้
ดอกเบี้ย = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ย x ระยะเวลา
2.3 เงื่อนไขเกี่ยวกับการไถ่ถอน สำหรับเงื่อนไขเกี่ยวกับการไถ่ถอนของโรงรับจำนำเอกชนและรัฐบาลเหมือนกันคือ ในการไถ่ถอนผู้จำนำต้องนำหลักฐานไปแสดงในวันที่ไถ่ถอนด้วย ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรที่ออกโดยทางราชการและตั๋วจำนำ โดยต้องทำการไถ่ถอนภายใน 4 เดือนบวกอีก 30 วัน ถ้าเกินกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่าทรัพย์ที่จำนำมีสภาพเป็นทรัพย์หลุดจำนำ กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้รับจำนำ การนับวันไถ่ถอนมีวิธีการเหมือนกับการนับระยะเวลาคำนวณดอกเบี้ย
· Tab 6
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคโดยใช้บัตรเครดิต
มีรายละเอียดต่อไปนี้
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับหลักฐานในการขอใช้บัตรเครดิต ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน หลักฐานการเงิน เช่น ใบฝากประจำ ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัญชีเงินฝากธนาคารไม่น้อยกว่า 2 เดือน ย้อนหลังถึงปัจจุบัน ฯลฯ หนังสือรับรองเงินเดือนจากสถานที่ทำงาน โดยมีผู้มีอำนาจของสถานที่ทำงานนั้น ๆ ลงนาม
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต มีดังนี้
1)บัตรเครดิตนี้สามารถใช้เบิกเงินสด ณ สำนักงานธนาคารสมาชิก หรือใช้แทนการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ ค่าที่พักโรงแรม ค่าเดินทาง ค่าอาหาร และอื่น ๆ ได้ตามร้านค้าสถานที่ให้บริการหรือสำนักงานที่มีเครื่องหมายบัตรเครดิตของหน่วยงานนั้นติดตั้งอยู่ โดยผู้ถือบัตรสามารถใช้ได้ในวงเงินที่กำหนดไว้ ผู้ถือบัตรจำต้องแสดงและมอบบัตรนั้นให้แก่ร้านค้าหรือสถานที่ที่ตนใช้บัตร เพื่อนำไปจัดทำหลักฐานแสดงการใช้บัตร กับทั้งจะต้องลงนามในเอกสารที่เป็นหลักฐานในการใช้บัตร และรับบัตรเครดิตคืนทันทีหลังจากจัดทำหลักฐานแสดงการใช้บัตรเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ถือบัตรจะต้องได้รับสำเนาเอกสารที่เป็นหลักฐานในการใช้บัตรทุกครั้งที่มีการบัตรเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานส่วนตัว
2)ผู้ถือบัตรเครดิตจะมอบหรือโอนให้ผู้อื่นใช้แทนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากมีผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัตรนำบัตรไปใช้ไม่ว่าด้วนเหตุใดและไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยทุจริต ปลอมลายเซ็นหรือด้วยวิธีการใด ๆ ซึ่งทำให้เกิดการหลงเชื่อยอมรับบัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือยอมให้ถอนเงินไป เจ้าของบัตรนั้นยินยอมชดใช้เงินจำนวนนั้นคืนให้ผู้ออกบัตรจนครบถ้วน
3)ผู้ถือบัตรเครดิต จะต้องเก็บรักษาบัตรของตนมิให้สูญหายหรือตกอยู่ในกำมือผู้อื่นถ้าหากเกิดกรณีสูญหายผู้ถือบัตรจะต้องรับแจ้งผู้ออกบัตรทราบทันที เพื่อทางผู้ออกบัตรจะได้ยกเลิกบัตร และแจ้งการสูญหายของบัตรฉบับนั้นให้ทราบทั่วกัน แต่ผู้ถือบัตรฉบับนั้นจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินที่ทางผู้ออกบัตรได้จ่ายไปตามการเรียกเก็บในระหว่างนั้น จนกว่าผู้ออกบัตรได้แจ้งให้ทราบทั่วกัน โดยผู้ถือบัตรยินยอมให้ผู้ออกบัตรหักบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการระงับบัตรที่แจ้งหายนั้น
4)ผู้ถือบัตรเครดิตสามารถนำบัตรไปใช้ได้จนถึงวันที่บัตรหมดอายุเท่านั้น โดยต้องคืนบัตรให้ผู้ออกบัตรทันทีหลังวันหมดอายุรวมถึงกรณีที่ผู้ออกบัตรแจ้งยกเลิกการใช้บัตรหรือเรียกบัตรคืนด้วย
5)ผู้ออกบัตรไม่รับผิดชอบในสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตในกรณีที่มีการคืนสินค้าและยกเลิกการใช้บริการ หรือปรับปรุงราคาสินค้าหรือบริการซึ่งใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงิน ผู้ถือบัตรจะไม่ได้รับการชดใช้ราคาคืนเป็นเงินสด แต่ร้านค้าหรือสถานบริการจะขอบัตรเครดิตจากผู้ถือบัตร เพื่อไปจัดทำเอกสารที่เป็นหลักฐานในการเครดิตบัญชีคืน และผู้ถือบัตรจะได้รับบัตรเครดิตคืนทันที่ พร้อมกับสำเนาเครดิตคืนที่ออกให้ลงนามโดยผู้แทนของร้านค้าหรือสถานบริการนั้น
3. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระเงิน มีดังนี้
1)เมื่อมีการเรียกเก็บเงินอันเนื่องมาจากการใช้บัตรในนามของผู้ถือบัตร ผู้ถือบัตรขอให้ผู้ออกบัตรออกเงินให้ก่อนทันที โดยไม่ต้องขอความยินยอมและหรือแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้า โดยผู้ถือบัตรยินยอมชดใช้เงินที่ผู้ออกบัตรได้จ่ายไปก่อนแล้วนั้นให้เต็มจำนวนในเวลาที่กำหนด
2)ถ้าผู้ถือบัตรไม่ชำระเงินในเวลาที่กำหนด ผู้ออกบัตรจะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ตกลงกันหรือในอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดจนกว่าผู้ถือบัตรจะชำระหนี้เสร็จสิ้น
ในกรณีที่ผู้ออกบัตรเป็นธนาคารพาณิชย์มักจะกำหนดให้ผู้ถือบัตรมีบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารและจะทำการหักเงินจากบัญชีเดินสะพัดดังกล่าว ถ้าผู้ถือบัตรมียอดคงเหลือเป็นลูกหนี้ธนาคาร ธนาคารก็จะถือว่าเป็นการเบิกเงินเกินบัญชี และคิดดอกเบี้ยเช่นเดียวกับการเบิกเงินเกินบัญชี ธนาคารจะส่งรายการที่ธนาคารได้หักบัญชีไปแล้วนั้นเรียกว่าใบแจ้งการหักบัญชี ในกรณีที่มีรายการใดผิดพลาดจะต้องรีบแจ้งให้ธนาคารทราบภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งการหักบัญชี
เงื่อนไขสินเชื่อทางการค้าของธุรกิจการค้า
เงื่อนไขเกี่ยวกับเอกสารประกอบสินเชื่อทางการค้า
สินเชื่อทางการค้า ผู้ขายคือผู้ให้กู้หรือผู้ให้สินเชื่อยอมมอบสินค้าให้ผู้กู้คือผู้ซื้อก่อนที่ผู้ซื้อจะชำระเงิน
ประเภทเอกสารประกอบสินเชื่อทางการค้า
1.ใบกำกับสินค้า
2. เช็ค
3. ตั๋วสัญญาใช้เงิน
4.ตั๋วแลกเงินที่รับรอง
การฝากขาย
การฝากขายเป็นเงื่อนไขการขายอย่างหนึ่งที่ผู้ขายซึ่งกรณีฝากขายเรียกว่า “ผู้ฝากขาย” นำสินค้าไปฝากบุคคลซึ่งเรียกว่า “ผู้รับฝากขาย” โดยกรรมสิทธิ์ในสินค้ายังเป็นของผู้ขาย และเมื่อผู้รับฝากขายขายสินค้านั้นได้แล้ว ก็จะชำระเงินค่าขายสินค้านั้นให้ผู้ขายในมูลค่าที่ตกลงกันและโดยปกติผู้รับฝากขายจะได้เป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ผู้รับฝากขายจึงไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีขายสินค้านั้นไม่ได้ จะชำระเงินก็ต่อเมื่อสินค้านั้นขายได้แล้วเท่านั้น
การขายเชื่อ
การขายเชื่อเป็นเงื่อนไขการขายอย่างหนึ่งที่ผู้ขายยอมมอบสินค้าให้ผู้ซื้อก่อนการชำระเงิน โดยกำหนดให้ผู้ซื้อมาชำระเงินในภายหลังตามเวลาที่กำหนด การขายเชื่อต่างจากการฝากขายคือ กรรมสิทธิ์ในสินค้าในกรณีเงินเชื่อจะเป็นของผู้ซื้อแม้ว่าจะยังไม่ชำระเงินก็ตาม และเมื่อยังไม่ชำระเงินผู้ซื้อจะเป็นลูกหนี้ของผู้ขาย ส่วนกรณีฝากขายนั้นผู้ฝากขายไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้ของผู้ฝากขาย และกรรมสิทธิ์ในสินค้าก็ยังคงเป็นของผู้ฝากขาย สำหรับเงื่อนไขการชำระเงินของการขายเชื่อประกอบด้วยรายละเอียด 3 ส่วน คือ
1. การกำหนดเวลาเริ่มต้นสินเชื่อ
2. การกำหนดอัตราและระยะเวลาได้รับส่วนลด
3. การกำหนดระยะเวลาชำระหนี้
เงื่อนไขการปฏิบัติของสินเชื่อทางการค้าเมื่อเกินกำหนดเวลาชำระหนี้
การให้สินเชื่อทางการค้ามักจะมีกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ ดังนั้นเมื่อผู้ซื้อไม่สามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ ผู้ขายก็จะต้องกำหนดเงื่อนไขการปฏิบัติเมื่อเกิดภาวะดังกล่าว เงื่อนไขที่กำหนดนี้จำแนกเป็น 2 ลักษณะ
1. เงื่อนไขที่ผู้ขายแจ้งให้ผู้ซื้อทราบ
2. เงื่อนไขที่ผู้ขายมักจะไม่แจ้งให้ผู้ซื้อทราบ
มีวิธีการคำนวณต้นทุนส่วนลดดังนี้
ต้นทุนของส่วนลดที่ได้รับ =
365 x เปอร์เซ็นต์ส่วนลด
เปอร์เซ็นต์เงินได้สุทธิจ่าย x จำนวนนับจากวันครบกำหนดส่วนลดถึงวันชำระเงิน
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงิน
จึงมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อป้องกันมิให้สถาบันการเงินนั้นประสบกับปัญหาหนี้สูญนั่นเอง
ประเภทของหลักประกันจำแนกประเภทหลักประกันได้ดังนี้
1. หลักประกันประเภทบุคคล
2. หลักประกันประเภททรัพย์
1. หลักประกันประเภทบุคคล
1.1 บุคคลธรรมดา
เงื่อนไขลักษณะบุคคลที่จะเป็นหลักประกันป้องกันความเสี่ยงภัยต่อการให้กู้ของผู้ให้กู้ได้นั้น ควรจะต้องมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังต่อไปนี้ หรือมีครบทุกลักษณะได้ก็จะดียิ่งขึ้น ได้แก่
1. บุคคลที่มีฐานะดี
2. บุคคลที่มีชื่อเสียงดี
3. บุคคลที่มีเครดิตเป็นที่เชื่อถือได้
ปัจจัยที่มีส่วนกำหนดลักษณะดังกล่าว ได้แก่ ความสามารถในด้านการประกอบอาชีพ รายได้ อุปนิสัย สุขภาพ ความมั่นคงของอาชีพ ฯลฯ
1.2. นิติบุคคล
นิติบุคคลที่จะเป็นผู้ค้ำประกันอาจจะอยู่ในสภาพห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัดก็ได้
สรุปได้ว่าเงื่อนไขเกี่ยวกับบุคคลค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลจะกำหนดลักษณะเงื่อนไขไว้ในทำนองเดียวกัน ได้แก่ บุคคลที่มีฐานะดี บุคคลที่มีชื่อเสียงดี บุคคลที่มีเครดิตเป็นที่เชื่อถือได้ รวมทั้งบุคคลนั้นต้องมีความสามารถในการชำระหนี้แทนผู้กู้ได้และการผูกพันค้ำประกันนี้ต้องได้รับความยินยอมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากผู้เกี่ยวข้องด้วย
2.หลักประกันประเภททรัพย์มีรายละเอียด ดังนี้
2.1. เงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน เงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ที่กำหนดโดยทั่วไปมีดังนี้
1. หลักประกันนั้นเป็นทรัพย์ที่มีราคามั่นคง หมายถึง ราคาทรัพย์นั้นไม่ลดลงโดยง่าย
2. หลักประกันนั้นเป็นทรัพย์ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งจะทำให้ทรัพย์นั้นขายได้ง่าย
ถ้าหนี้เกิดมีปัญหา
3. หลักประกันนั้นเป็นทรัพย์ที่ปลอดภาระผูกพัน ซึ่งจะโอนให้ผู้ให้กู้ได้โดยง่ายถ้าหนี้เกิดมีปัญหา
4. หลักประกันนั้นต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของทรัพย์นั้นและผู้เกี่ยวข้องโดยวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย
5. หลักประกันนั้นปกติต้องเก็บรักษาไว้กับผู้ให้กู้ แต่ถ้าหลักประกันนั้นไม่สะดวกที่จะเก็บรักษาไว้ให้กับผู้ให้กู้ ผู้กู้จะย้ายสถานที่เก็บรักษาต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผุ้ให้กู้เป็นหนังสือและถ้าเกิดการเสียหายใด ๆ แก่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ผู้กู้ยอมรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้ให้กู้ทั้งสิ้นโดยผู้กู้จะไม่คิดค่าบำรุงรักษาหรือบำเหน็จในการนี้จากผู้ให้กู้ด้วย
2.2 เงื่อนไขเฉพาะเกี่ยวกับทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน นอกจากเงื่อนไขโดยทั่วไปแล้ว ทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักค้ำประกันบางรายการยังมีเงื่อนไขเฉพาะบางอย่างดังนี้
1. อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เงื่อนไขเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีดังนี้
- จะต้องนำมาจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกัน
- โดยอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นผู้ขอกู้จะต้องประกันอัคคิภัย พร้อมทั้งสลักหลังกรมธรรม์ยกผลประโยชน์ให้แก่ผู้ให้กู้
2. สังหาริมทรัพย์ ที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันสินเชื่อมีหายรายการในที่นี้จะกล่าวเฉพาะ รายการสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขอกู้สินเชื่อนิยม นำมาใช้เป็น หลักประกันสินเชื่อ ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เรือยนต์ รถยนต์ เงินฝากประจำ พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้และสินค้า
· Tab 7
เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้ของสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ
สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจมีหลายประเภท ได้แก่ การเบิกเงินเกินบัญชี การขายลด การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การกู้ยืมเพื่อการลงทุน เป็นต้น สินเชื่อแต่ละประเภทมีเงื่อนไขในการชำระเงินต้น และการคำนวณดอกเบี้ยเหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ซึ่งความแตกต่างของเงื่อนไขการชำระหนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของวงเงินเครดิต ซึ่งจำแนกได้เป็นวงเงินเครดิตที่มีลักษณะหมุนเวียนได้และวงเงินเครดิตแบบเงินกู้ ดังนั้น ในการอธิบายเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้ จะจำแนกเงื่อนไขตามลักษณะของวงเงินเครดิต ซึ่งจำแนกเงื่อนไขการชำระหนี้ได้ ดังนี้
1 .เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้ในกรณีวงเงินเครดิตแบบหมุนเวียน
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้ในกรณีวงเงินเครดิตแบบเงินกู้
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้ในกรณีวงเงินเครดิตแบบหมุนเวียน
ลักษณะวงเงินเครดิตที่หมุนเวียนได้ หมายถึง วงเงินที่ใช้แล้วใช้ได้อีก ดังนั้นเมื่อมีการชำระคืนเงินต้นแล้ว ผู้กู้มีสิทธิ์ที่ขอเงินกู้ที่ชำระคืนเงินต้นได้อีก โดยผู้กู้มีสิทธิ์ขอกู้ได้เรื่อย ๆ ตราบเท่าที่การขอกู้ยังไม่เกินกำหนดเวลาและวงเงินที่กำหนด ในสัญญาสินเชื่อที่มีวงเงินเครดิตที่หมุนเวียนได้หลายประเภท เช่น การเบิกเงินเกินบัญชี การขายลด เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว การกำหนดลักษณะวงเงินเครดิตที่หมุนเวียนได้มักนิยมใช้กับการให้กู้เงินระยะสั้น ซึ่งใช้สำหรับลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับ
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระคืนเงินต้น
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับดอกเบี้ย
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระคืนเงินต้น แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
1.1. การชำระคืนเงินต้นไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน
1.2. การชำระคืนเงินต้นที่มีกำหนดเวลาแน่นอน
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับดอกเบี้ย การคำนวณดอกเบี้ยและวิธีการชำระดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีลักษณะหมุนเวียน
2.1 การคำนวณดอกเบี้ยคิดเป็นรายวันตามจำนวนเงินและตามวิธีที่เบิกใช้ โดยมีการคิดดอกเบี้ยทบต้นทุก ๆ สิ้นเดือน
2.2 การคำนวณดอกเบี้ยปกติ เงื่อนไขนี้นิยมใช้กับเงินกู้ T/R โดยมีวิธีการคำนวณดอกเบี้ยธรรมดา คือเอาเงินต้นคืนอัตราดอกเบี้ย และคูณระยะเวลา การใช้คืนดอกเบี้ยก็จะชำระคืนพร้อมกับการคืนเงินต้น สำหรับเงินกู้ T/R นี้
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้ในกรณีวงเงินเครดิตแบบเงินกู้
วงเงินแบบนี้เป็นวงเงินเครดิตที่มีลักษณะหมุนเวียนไม่ได้ หมายถึง วงเงินที่ชำระคืนเงินต้นแล้ว จะกู้เงินต้นที่ชำระคืนแล้วอีกไม่ได้ แม้ว่าสัญญาจะกู้เงินจำนวนนั้นยังไม่สิ้นสุดก็ตามวงเงินนี้มีลักษณะเป็นการใช้เพียงครั้งเดียว ถ้าต้องการใช้เงินอีกก็ต้องทำสัญญากู้เงินกันใหม่ โดยทั่วไปแล้วการกำหนดลักษณะวงเงินเครดิตที่หมุนเวียนไม่ได้เงื่อนไขการชำระหนี้จะประกอบด้วย
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระคืนเงินต้น
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับดอกเบี้ย
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระคืนเงินต้น
การชำระคืนเงินต้นมีการกำหนดเงื่อนไขหลายแบบ ได้แก่ ผ่อนชำระเงินต้นเป็นรายงวด ชำระเงินต้นทั้งจำนวนเมื่อครบกำหนด และบางครั้งถ้าเงินกู้นั้นใช้ลงทุนในโครงการใหญ่ ผู้ให้กู้อาจจะกำหนดระยะเวลาปลอดหนี้ สำหรับเงินต้นด้วย
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับดอกเบี้ย
จะต้องมีการตกลงกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยการคำนวณดอกเบี้ยและการชำระคืน สำหรับอัตราดอกเบี้ยอาจจะกำหนดเป็นอัตราตายตัว หรืออัตราลอยตัว ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะการเงินก็ได้ ในทางปฏิบัติแล้วมักกำหนดอัตราลอยตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเงินกู้ระยะยาว ส่วนการคำนวณดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นค้างชำระ หรือคำนวณจากยอดเงินต้นคงที่
กรณีตัวอย่างเงื่อนไขเกี่ยวกับชำระหนี้
กรณีที่ 1 เงื่อนไขชำระดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นเมื่อครบกำหนด
กรณีที่ 2 เงื่อนไขชำระดอกเบี้ยในวันกู้ ส่วนเงินต้นชำระเมื่อครบกำหนด
กรณีที่ 3 เงื่อนไขชำระดอกเบี้ยทุกงวด ส่วนเงินต้นชำระเมื่อครบกำหนด
กรณีที่ 4 เงื่อนไขชำระดอกเบี้ยและเงินต้นทุกงวด โดยดอกเบี้ยคิดจากยอดค้างชำระเงินต้นผ่อนต่องวดไม่เท่ากัน แต่เงินรวมผ่อนต่องวดไม่เท่ากัน
กรณีที่ 5 เงื่อนไขชำระดอกเบี้ยและเงินต้นทุกงวด โดยดอกเบี้ยคิดจากยอดค้างชำระเงินต้นผ่อนต่องวดไม่เท่ากัน แต่เงินรวมผ่อนต่องวดเท่ากัน
กรณีที่ 6 เงื่อนไขชำระดอกเบี้ยและเงินต้นทุกงวด โดยดอกเบี้ยคิดจากยอดเงินต้นคงที่ทุกงวดจะผ่อนเงินต้นและดอกเบี้ยเท่ากัน ซึ่งทำให้เงินรวมผ่อนแต่ละงวดเท่ากัน
เงินลดเงินสดหรือส่วนลดเงินสด
ในการซื้อขายสินค้า ผู้ขายอาจจะเก็บเงินจากผู้ซื้อทันที ที่ส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อ (ขายเป็นเงินสด) อาจจะให้เครดิตกับลูกค้าที่จะชำระหนี้ได้ในภายหลัง ระยะเวลาในการให้เครดิตของกิจการแต่ละแห่งจะแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 30-60 วัน
เมื่อกิจการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ จะต้องมีการกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาในการให้เครดิตไว้ให้ชัดเจน โดยอาจกำหนดไว้ในใบกำกับสินค้า (Invoice) ระยะเวลาในการให้เครดิตอาจจะเขียนเป็นตัวย่อได้ดังนี้ “n/10 EOM” หรือ “n/30”
ในบางครั้งกิจการอาจจะเสนอให้ส่วนลดเงินสดแก่ลูกค้า เพื่อเป็นการจูงใจให้ลูกค้าชำระเงินก่อนที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการให้เครดิต ส่วนลดเงินสด หมายถึง ส่วนลดที่ผู้ขายยอมลดให้แก่ผู้ซื้อ ถ้าผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่ได้รับส่วนลด (Discounts period) ส่วนลดเงินสดที่ผู้ขายลดให้กับผู้ซื้อนี้ ทางด้านผู้ขายคือ ส่วนลดจ่าย (Sales Discounts) ส่วนทางด้านผู้ซื้อคือ ส่วนลดรับ (Purchase Discounts) ระยะเวลาในการให้ส่วนลด และให้เครดิต
1. การกำหนดเวลาเริ่มต้นสินเชื่อ เงื่อนไขเกี่ยวกับการกำหนดเวลาเริ่มต้นสินเชื่อจะปรากฏในตอนท้ายของเงื่อนไข ที่นิยมกันมีดังนี้
1.1 การกำหนดเวลาเริ่มต้นสินเชื่อโดยเริ่มนับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า เงื่อนไขแบบนี้เป็นที่นิยมกันทั่วไป ตัวอย่างเงื่อนไขเช่น 2/10, n/30 ถ้าใบกำกับสินค้าลงวันที่ 5 สิงหาคม 2527 วันเริ่มต้นสินเชื่อก็จะเริ่มวันที่ 5 สิงหาคม 2527 เช่นกัน
1.2 กำหนดวันเริ่มต้นสินเชื่อจากวันที่ได้รับสินค้า เงื่อนไขแบบนี้ใช้ในกรณีที่ผู้ซื้อแต่ละรายอยู่ห่างจากผู้ขายต่างกัน ทำให้ผู้ซื้อแต่ละรายได้รับสินค้าเร็วช้าต่างกัน ดังนั้นการเริ่มต้นสินเชื่อจึงไม่ควรเริ่มนับจากวันที่ในใบกำกับสินค้า เพราะเป็นการไม่ยุติธรรมสำหรับลูกค้าที่อยู่ห่างไกล ตัวอย่างเงื่อนไขชนิดนี้จะกำหนดดังนี้ 2/10, n/30 AOG (Arrival of Goods) หรือ 2/10, n/10 ROG (Receipt of Goods) จะเห็นได้ว่าเงื่อนไขนี้จะต่างจากกรณีแรก โดยต้องมีคำว่า AOG หรือ ROG กำกับไว้ด้วย ถ้าไม่มีคำเหล่านี้กำกับถือว่าการเริ่มต้นสินเชื่อจะเริ่มนับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า ดังนั้นถ้าใบกำกับสินค้าลงวันที่ 5 สิงหาคม 2527 แต่ผู้ซื้อรับสินค้าวันที่ 10 สิงหาคม 2527 วันเริ่มต้นสินเชื่อก็จะเริ่มวันที่ 10 สิงหาคม 2527
1.3 กำหนดวันเริ่มต้นสินเชื่อจะเริ่มจากวันสิ้นเดือนที่ซื้อสินค้านั้น เงื่อนไขแบบนี้นิยมใช้ในกรณีที่ลูกค้ารายหนึ่ง ๆ มีการซื้อสินค้ากับกิจการหลายครั้งต่อเดือน ดังนั้นเพื่อเป็นการสะดวกในการเริ่มต้นวันให้สินเชื่อจึงเริ่มนับวันเริ่มต้นสินเชื่อของการซื้อทุกครั้งในเดือนเดียวกันพร้อมกัน โดยเริ่มนับจากวันสิ้นเดือนที่ทำการซื้อสินค้านั้น เงื่อนไขที่กำหนดจะเป็นดังนี้ 2/10, n/30 EOM (End of Month) ดังนั้นถ้าทำการซื้อสินค้าในเดือนสิงหาคม 2527 การซื้อทุกครั้งที่ทำในเดือนสิงหาคม จะเริ่มต้นสินเชื่อนับจากวันสิ้นเดือนสิงหาคมรวมทั้งกำหนดเวลาส่วนลดจะเริ่มต้นนับจากวันสิ้นเดือนสิงหาคมเช่นกัน
นอกจากนี้สินค้าบางประเภทเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายเป็นฤดูกาล การเริ่มต้นนับเวลาสินเชื่อจะมีการกำหนดเป็นพิเศษ เช่น เริ่มต้นนับเมื่อฤดูกาลซื้อขายสินค้านั้นเริ่มต้นก็ได้
2. กำหนดอัตราและระยะเวลาได้รับส่วนลดเงินสด การกำหนดอัตราและระยะเวลาได้รับส่วนลดจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ลักษณะสินค้า สถานการณ์ของผู้ขาย สถานการณ์ของผู้ซื้อ ฯลฯ ส่วนลดที่จะกล่าวถึงนี้เป็นส่วนลดเงินสดที่ผู้ขายจะให้ต่อเมื่อผู้ซื้อชำระเงินภายในกำหนดเวลา ในภาวะที่ผู้ขายมีสถานการณ์ทางการเงินไม่ดีนัก ก็อาจกำหนดอัตราส่วนลดสูงและระยะเวลาสั้น เพื่อเร่งให้ผู้ซื้อรีบชำระเงินภายในกำหนดเวลา เงื่อนไขเกี่ยวกับอัตราและระยะเวลาได้รับส่วนลดจะกำหนดไว้ในช่วงแรกของเงื่อนไข ตัวอย่างเช่น
ก. 5/10, n/60 5/10 คือกำหนดอัตราและระยะเวลาส่วนลด 5 คือ อัตราส่วนลด และ 10 คือ ระยะเวลาส่วนลด อธิบายเงื่อนไขส่วนลดได้ดังนี้ ผู้ซื้อจะได้รับส่วนลด 5% ถ้าชำระเงินภายใน 10 วัน โดยวันเริ่มต้นนับสินเชื่อจะเริ่มจากวันที่ในใบกำกับสินค้า เช่น ใบกำกับสินค้าลงวันที่ 5 สิงหาคม 2527 ได้รับสินค้าวันที่ 10 สิงหาคม 2527 ส่วนลด 5% จะได้รับเมื่อชำระค่าซื้อสินค้าภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2527
ข. 2/20, n/30 AOG 2/20 คือ กำหนดอัตราและระยะเวลาส่วนลด 2 คือ อัตราส่วนลด และ 20 คือ ระยะเวลาส่วนลด อธิบายเงื่อนไขส่วนลดได้ดังนี้ ผู้ซื้อจะได้รับส่วนลด 2% ถ้าชำระเงินภายใน 20 วัน โดยวันเริ่มต้นนับสินเชื่อจะเริ่มจากวันที่ได้รับสินค้า เช่น ใบกำกับสินค้าลงวันที่ 5 สิงหาคม 2527 จำนวนเงิน 10,000 บาท ได้รับสินค้าวันที่ 10 สิงหาคม 2527 ส่วนลด 2% จะได้รับเมื่อชำระค่าซื้อสินค้าภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2527 ส่วนลดที่ได้รับเท่ากัน 200 บาท
3. การกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ กำหนดระยะเวลาชำระหนี้จะปรากฏในช่วงที่สองของเงื่อนไข เพื่อให้ผู้ซื้อทราบว่าจะต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นเมื่อใด ตัวอย่างเช่น
ก. 5/10, n/60 n/60 คือ กำหนดระยะเวลาชำระหนี้มาจากคำเต็มว่า net 60 ตามเงื่อนไขนี้ผู้ซื้อจะได้รับส่วนลด 5% ถ้าชำระเงินภายใน 10 วัน แต่ถ้าไม่สามารถชำระเงินภายในกำหนดเวลาส่วนลดก็ต้องชำระเงินค่าซื้อสินค้านี้ภายใน 60 วัน เริ่มนับจากวันที่ในใบกำกับสินค้า
ข. 2/20, n/30 AOG n/30 คือ กำหนดระยะเวลาชำระหนี้ตามเงื่อนไขนี้ผู้ซื้อจะได้รับส่วนลด 2% ถ้าชำระเงินภายใน 20 วัน แต่ถ้าไม่สามารถชำระเงินภายในกำหนดเวลาส่วนลด ก็ต้องชำระค่าซื้อสินค้าภายใน 30 วัน เริ่มนับจากวันที่รับสินค้า
การกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินของการขายเชื่อ ถือว่าเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการขายสินค้า ถ้ากำหนดเงื่อนไขสินเชื่อไม่เป็นที่พอใจของผู้ซื้อ อาจจะทำให้ผู้ซื้อไม่ซื้อสินค้าได้ แต่อย่างไรก็ตามการกำหนดเงื่อนไขสินเชื่อนี้ไม่ควรคำนึงถึงผู้ซื้อแต่เพียงด้านเดียว ควรคำนึงถึงผู้ขายเองและผู้ขายรายอื่น ๆ และควรกำหนดเงื่อนไขสินเชื่อให้เหมาะกับสภาพสินค้าด้วย