ศิลปะแห่งสนทนา
·
วิศิษฐ์ วังวิญญู
สถาบันขวัญเมือง เชียงราย
การสนทนาที่ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
ที่นำการสนทนามาเทียบเคียงกับการเรียนรู้ ก็เพราะมองว่าการเรียนรู้เป็นคุณลักษณะหลักที่สำคัญยิ่ง เพื่อชีวิตคือ องค์กรที่จัดองค์กรตัวเองอย่างเป็น เครือข่ายเพื่อการเรียนรู้
ถ้าเราเป็นคนละเอียดอ่อน และเมื่อมีโอกาสอยู่ในวงสนทนา ลองถอยตัวเองออกจากฐานะของผู้เข้าร่วม มาเป็น ผู้สังเกตการณ์ เมื่อสังเกตดูการสนทนาที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไป ของคนทั่วไปในสังคมปัจจุบันนี้ และลองประมวลข้อสรุปออกมาสิว่า มันจะบอกอะไรกับเราบ้าง?
หนึ่ง ในวงสนทนานั้นจริงๆ แล้วไม่ค่อยมีใครฟังใคร ยิ่งถ้ากินเหล้าคุยกันด้วยแล้ว จะเกิดอาการต่างคนต่างพูดเลยด้วยซ้ำ และในกรณีที่ยังฟังกันบ้าง การฟังก็เพื่อจะเก็บวลีหรือถ้อยคำที่เข้าทาง หรือที่สอดคล้องกับความคิดและมุมมองของตน และก็จะสอดแทรกเข้ามาพล่ามเรื่องที่ตนเองอยากจะพูดเลยทีเดียว อันนี้ก็เป็นเหตุผลนะครับว่า ทำไมงานสังคม จึงเป็นงานที่น่าเบื่อหน่าย ไม่มีใครเรียนรู้อะไรจากใคร ไม่มีความอิ่มเอมใจอันเกิดจากการสนทนาที่แท้จริง อย่างดีที่สุดก็ทำได้แค่อวดมั่งมีและอวดเก่งเท่านั้น และไม่มีอะไรมากกว่านี้
โบห์มเองก็พูดเรื่อง dialogue ระดับโลกที่องค์กรระดับโลก เช่นสหประชาชาติชอบใช้ โบห์มตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ dialogue ในความหมายของโบห์ม หากเป็นการเจรจาต่อรองผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยที่หลักการ มุมมอง โลกทัศน์ของทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรียนรู้เลย ปัญหาจึงมิอาจแก้ไขได้ เพราะตัว ปัญหาหลักคือมุมมอง และโลกทัศน์ที่แข็งตัว ยังดำรงอยู่อย่างถาวรโดยไม่แปรเปลี่ยน
เพราะฉะนั้น การสนทนาเพื่อขายความคิดเพื่อให้คนอื่นมาคล้อยตามความคิดของตน จึงไม่ใช่การสนทนาแบบโบห์ม การสนทนาแบบโบห์มผู้เข้าร่วมต้องเปิดใจ พร้อมเปลี่ยนมุมมองและสมมติฐานอย่างกล้าหาญและหฤหรรษ์
การฟังอย่างมีคุณภาพ
การปล่อยให้เสียงและความเป็นตัวตนทั้งหมดของผู้อื่นเข้ามาในตนนั้นก็คือช่วงหลับ และตื่นขึ้นเพื่อจะรวบรวมประมวล สร้างความหมายให้กับสิ่งที่ฟังเป็นช่วงตื่น ในการฟังจะมีช่วงหลับ-ตื่น นี้สลับกันไปอย่างมีศิลปะ
แต่ในการฟังบ่อยครั้งเราจะหลุดลอยไปในโลกของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งอารมณ์หรือความคิดก็ตาม บางที เครื่องแต่งกายของคู่สนทนาสักชิ้นอาจจะทำให้เราระลึกถึงความทรงจำบางอย่าง และเราก็ลอยละล่องไป ในความทรงจำนั้น บางทีถ้อยคำบางคน ทำให้เราเพลิดไปกับความคิดของเราเองอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว
เราจะหลุดออกมาจากโลกของเราเองได้อย่างไร เพื่อยินยอมและซึมซับโลกของผู้อื่นเข้ามา ทั้งเนื้อหาและรูปลักษณ์ ความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความสั่นไหวภายในทั้งมวลของผู้พูด
ด้วยเหตุนี้ การฟังจึงเป็นทั้งศิลปะที่เป็นพื้นฐานและเป็นศิลปะชั้นสูง ที่เราอาจจะต้องฝึกฝนไปตลอดชีวิต เมื่อเทียบเคียงกับ การปฏิบัติในพุทธศาสนาแล้ว เราจะต้องฝึกสมาธิเพื่อผ่อนคลายความว้าวุ่นของอารมณ์ต่างๆ ในใจเราให้สงบลง และถ้าฝึกได้ดีจะถึงจุดที่ “ว่าง” จากอารมณ์รบกวนทั้งหลาย และอีกด้านหนึ่งต้องฝึกปัญญา คือ วิปัสสนา ที่เราจะว่างจาก ความคิดของเราเอง เพื่อรับความคิดของผู้อื่นเข้ามา
ความคิดนั้นไม่ใช่ข้อมูลที่ขาดเป็นห้วงๆ อย่างที่เป็นอิฐก่อสร้าง หรือเป็นตัวต่อที่ใช้สำหรับสร้างอะไรต่างๆ ของเด็ก ที่จะเอาไปต่อตรงไหนก็ได้ แต่ความคิดเป็นโครงข่ายที่มีแม่บทหรือกระบวนทัศน์กำกับอยู่ ในกระบวนทัศน์หนึ่งๆ ก็จะมีสมมติฐานเป็นตัวรองรับอยู่ ก็ในเมื่อเรายังไม่ได้รู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมนั้น (ถ้าการรู้แจ้งนี้มีจริง) ความคิด ความรู้ ความเข้าใจของเราทั้งหมด ก็ยังตั้งอยู่บนสมมติฐานต่างๆ หรือชุดของสมมติฐาน แต่โดยอัตโนมัติ เรามักจะไป ยึดถือเอาว่า สมมติฐานของเราเป็นสัจจะความจริง ถือเอาว่า ชุดของสมมติฐานของเราเป็นสามัญสำนึก ที่ทุกคนจะต้องรู้ และมันเป็นทั้งฐานของสัจธรรมทั้งมวล นี่แหละคืออุปสรรคตัวสำคัญของการฟัง มันทำให้เรามืดบอด ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่นอกเหนือชุดแห่งสมมติฐานของเรา
ฟังอย่างเป็นกระจกเงา
แก้ปัญหาเมื่อสัมพันธ์กับคนที่มีอารมณ์ลบ
เป็นความอิ่มเอมใจอย่างหนึ่ง เมื่อได้รับทราบว่าขบวนการฝึกอบรมก่อให้เกิดผล ก็เนื่องด้วยใน โครงการหัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ ซึ่งรักษาโรคหัวใจ อย่างเป็นองค์รวมนั้น เราได้ให้ความสำคัญกับการดูแลจัดการความเครียดมาเป็นอันดับหนึ่ง การนำเอาการฝึกสติ ในชีวิตประจำวัน เข้ามาเพิ่มคุณภาพให้ผู้เข้าร่วมได้บ่มเพาะอารมณ์บวก ดุจดังคนสวน ที่รดน้ำพรวนดิน อารมณ์บวกทั้งหลาย เช่นความรัก ความแจ่มใส ความมีพลังชีวิตเป็นต้น และให้พยายาม หลีกเลี่ยง อารมณ์ลบเช่น ความโกรธ ความหงุดหงิด และอื่นๆ
การอบรมเช่นนี้คนไข้โรคหัวใจซึ่งเป็นคนแบบเอ (โกรธง่าย ก้าวร้าว จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ มองเห็นคนอื่น เป็นต้นเหตุ ของปัญหา โดยมักจะไม่มองเห็นข้อจำกัดของตนเอง) หลายต่อหลายคนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบ ๑๘๐ องศา คือ กลับลำบุคลิกภาพเลยทีเดียว พวกเขากลับไปขออภัยเพื่อน และญาติมิตรที่พวกเขา ระเบิดอารมณ์ใส่ โดยปราศจาก เหตุผลที่ดีพอ และพวกเขาก็สามารถ หยุดปฏิกิริยาแบบฉับพลันที่มีต่อคนอื่นๆ ในสถานการณ์ต่างๆ โดยอาจจะใช้ วิธีเก็บความรู้สึกเอาไว้ หรือเดินเลี่ยงออกมาจาก สถานการณ์อันล่อแหลม พวกเขาก็สามารถลดการแสดงอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิดในทันทีทันใดได้มาก บางคนสามารถไปไกลกว่านั้น โดยสามารถหยุดโกรธก่อนโกรธ และเอาความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ เข้ามาแทนที่ หลายคนเริ่มมองความคับแคบและข้อผิดพลาดของตนเอง ท่านหนึ่งที่ ทะเลาะกับภรรยา จนเกือบจะเลิกกันแล้ว กลับมาเห็นความงามของภรรยา และเนื่องจากสุขภาพก็ฟื้นฟูดีขึ้น ความสัมพันธ์แบบรักใคร่ ก็กลับคืนมาดังเดิม สรุปแล้วคนไข้หลายต่อหลายคน หลายต่อหลายรุ่นฟื้นคืนสุขภาพ ความเป็นปกติ ความแจ่มใส ปลอดโปร่ง ทั้งกายและใจกลับคืนมา
เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๕ ผมได้รับเชิญฝึกอบรมเรื่อง ศิลปะการจัดการเรียนการสอน ให้อาจารย์ที่ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ในการนำเสนอเรื่องการใช้ปัญญาอารมณ์ในศิลปะการสอนนั้น อาจารย์ท่านหนึ่งยกประเด็นขึ้นมาว่า เราอาจจะ จัดการกับอารมณ์โกรธ อารมณ์หงุดหงิดของตนเองได้ แต่ถ้าเราไปพบความโกรธ ความหงุดหงิด ของคนอื่น ขึ้นมาล่ะ เราจะทำอย่างไร โดยเฉพาะในกรณีที่เราไม่สามารถเดินหนีออกไปได้ แต่จะต้องเผชิญหน้ากัน เพื่อจัดการงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ทีมฝึกอบรมที่มาจากสถาบันขวัญเมืองและเสมสิกขาลัย ได้เสนอแนวทางแห่งการฟังอย่างเป็นกระจกเงา เพื่อเป็น การตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น แทนที่จะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างก้าวร้าว การฟังอย่างเป็นกระจกเงา ก็คือ การฟังแต่ละ ช่วงของ การพูดอย่างระเบิดอารมณ์ (หรือไม่ระเบิดอารมณ์) ของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วพูดกลับไปว่า เราได้ยินเขาพูดอย่างไร ในความเข้าใจของเรา โดยให้อีกฝ่ายหนึ่งสามารถแก้ไขได้ว่าเราสรุปความได้ถูกต้องหรือเปล่า เช่น
อีกฝ่ายหนึ่ง “คุณย้ายโต๊ะนี้ได้อย่างไรโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า”
เรา “ผมได้ยินว่า ผมย้ายโต๊ะได้อย่างไร โดยไม่บอกคุณล่วงหน้า” ฯลฯ ไปตลอดการสนทนา
วิธีนี้ได้ผลเกือบจะทุกกรณี ทั้งนี้เพราะประการแรก อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าคุณได้ฟังเขาหรือเธอเป็นอย่างดี โดยรับรู้ทุกถ้อย กระทงความก็เมื่อถึงเวลาที่คุณจะพูด เขาหรือเธอก็มีแนวโน้มที่จะรับฟังคุณเป็นอย่างดีเช่นกัน
ประการที่สอง ผู้พูดมีโอกาสได้รับฟังสิ่งที่ตนพูดโดยขบวนการฟังอย่างกระจกเงานั้น ทำให้เขาหรือเธอมีโอกาสตั้งสติ และรับรู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไร ขบวนการเช่นนี้จะมีผลต่อการลดความรุนแรงของอารมณ์ของอีกฝ่ายได้มาก
ประการที่สาม ฝ่ายผู้ฟังก็จะได้ฟังจริงๆ ไม่ใช่ฟังอย่างด่วนสรุป ฟังอย่างรวบรัด และฟังอย่างสรุปใจความ เอาเองอย่างที่ผู้ฟังต้องการจะสรุปแบบลากความเข้าข้างตัวเอง ที่ยิ่งจะทำให้ปัญหาการสื่อสารยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
ประการที่สี่ การฟังอย่างนี้ที่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มตั้งสติได้นั้น คุณภาพการฟังก็จะยิ่งลุ่มลึกยิ่งขึ้น ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ทำให้มองก้าวไปถึงบริบท หรือ สภาพแวดล้อม ความเป็นไปของอีกฝ่ายหนึ่ง ข้อจำกัด หรือสถานการณ์ อันบีบคั้น ของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะปรากฎขึ้นในการรับรู้ นอกจากนี้หากฝึกฝนตนเองอย่างแยบคายขึ้นเสมอๆ ก็จะปรับคลื่น อันละเอียดอ่อน กว่าคำพูดและภาษาท่าทางนั้นๆ อันนี้จึงนับเป็น สุดยอดของการฟัง คือ อาจจะทำให้ล่วงรู้ ถึงความปรารถนาและความคับข้องใจของอีกฝ่ายหนึ่ง
ในโลกที่เราให้คุณค่ากับหน้าตาและภาพลักษณ์ภายนอกมากกว่าคุณค่าด้านในนั้น เรามักจะหยิบฉวยเอาแต่ผิวๆ ของความเป็นจริง เรามักจะหยิบฉวยเอาแต่ความหมายของถ้อยคำอย่างแบนๆ โดยรวบเข้าไปใน ความจำได้ หมายรู้ในอดีตของเรา อันเป็นความทรงจำที่ตายซากขาดชีวิตชีวา เป็นอาการลงร่อง เป็นเครื่องจักร อันปราศจากวิญญาณ และเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ความหมายใหม่ๆ แง่มุมใหม่ของถ้อยคำ ยังไม่รวมถึง การประกอบถ้อยคำ อย่างมี ความเป็น วรรณศิลป์ อันอาจก่อเกิดจินตนาการที่ทะลุทะลวงกำแพงที่ขวางกั้นความเข้าใจทั้งหลาย โดยยังไม่ได้พูดถึง คลื่นหัวใจที่อาจเชื่อมโยงกันได้อย่างง่ายๆ ในชั่วขณะที่ใจเปิดให้กันและกัน ตรงนั้นเองที่เราจะทราบถึง ความปรารถนา และความคับข้องใจที่เป็นกุญแจไปสู่ความเข้าใจส่วนในสุด
การฟังอย่างเป็นกระจกเงานี้ ไม่ได้มีไว้ใช้เฉพาะกรณีคนห่างตัวเท่านั้น แม้แต่ในความสัมพันธ์ของคู่รัก และ เพื่อสนิท ที่มีปัญหาความขัดแย้งหรือความร้าวฉาน ตลอดจนแม้กรณีที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่เริ่มจะห่างเหินด้วยเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ให้กระชับมั่นยิ่งขึ้น การฟังอย่างเป็นกระจกเงานี้ก็จะช่วยได้มาก
การบริโภคนิยมกับการสนทนา
การไถ่ถอนจากอำนาจของบริโภคนิยมมิใช่ทำกันได้ง่ายๆ แม้ว่าเราจะเข้าใจโดยพุทธิปัญญา ถึงคุณและโทษ ของการดำรง ชีวิต อยู่ในวิถี แห่งการบริโภค แต่เราก็ไม่สามารถละเลิกการบริโภคต่างๆ นั้น และไม่สามารถสร้างสรรค์ชีวิต อันปลอดพ้น จากการบริโภคมาได้ อันที่จริงบริโภคนิยม เป็นอาการเสพติดชนิดหนึ่งที่เป็นแบบทั้งชีวิต ในทุกแง่มุมของชีวิต เพราะฉะนั้น อีกก้าวหนึ่ง ของการนำไปสู่ การเสพติดยาของเยาวชนที่อยู่ในโลกของบริโภคนิยมอย่างเต็มตัว จึงเป็นไปได้โดยง่ายดาย
นักคิดที่เข้าใจเบื้องลึกเบื้องตื้นของปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดีคือไอวาน อิลลิช ที่เขาได้เห็นถึงการถอดถอนอำนาจ ของปัจเจกบุคคลที่จะดำรงชีวิต อย่างผู้กระทำการ และหาญกล้าให้การศึกษาตนเอง เรียนรู้ทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เขาพูดถึงระบบผู้เชี่ยวชาญ ที่ผู้เชี่ยวชาญได้คิด ตัดสินใจ ออกแบบสังคม และความเป็นไปในชีวิตผู้คน เขาพูดถึงการที่สังคม ได้มอบอำนาจหรือถูกฉกฉวยอำนาจไปให้กับระบบโรงเรียน ในที่นี้ไม่ได้หมายเฉพาะถึง โรงเรียน ที่เยาวชนเข้าไปรับการศึกษาเท่านั้น หากหมายถึงระบบโรงเรียนในทุกแง่มุม ของชีวิตมนุษย์ที่สามัญชน ถูกริดรอน อำนาจในการคิด ตัดสินใจและออกแบบชีวิต หากเขาจะต้องทำตามสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เห็นว่าดีงาม ปริมณฑลของชีวิต ด้านต่างๆ ก็มีเช่น เศรษฐกิจ สาธารณสุข พาณิชยกรรม การศึกษา การพักผ่อน การบันเทิง สื่อสารมวลชนและอื่นๆ อีกไม่รู้จบ
แต่ลักษณะร่วมกันที่เกิดขึ้นในทุกๆ ปริมณฑลของชีวิตก็คือ มนุษย์เปลี่ยนสภาพจากผู้คิด ตัดสินใจ ออกแบบและกระทำการ มาเป็นผู้เสพอย่างเฉื่อยชา อิลลิชได้ยกตัวอย่างเรื่องของดนตรี ที่เดิมในหมู่บ้านที่สืบทอดกันมาเป็นประเพณีทั่วไป ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก การมีวงดนตรีสองสามวงในหมู่บ้านหนึ่งๆ นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา การใช้ดนตรี และเพลง โดยชาวบ้านเล่น และร้องกันเองในกิจกรรมต่างๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต และเมื่อมีวิทยุมี เทปเพลง เข้ามา สิ่งเหล่านี้ก็หายไปทีละเล็กทีละน้อย จนสูญสิ้นไป เมื่อมนุษย์ไม่ได้กระทำก็ไม่เกิดขึ้น การประดิษฐ์คิดค้น พลิกแพลง ก็ไม่เกิดขึ้น เรื่องอื่นๆ ในปริมณฑลอื่นๆ ก็เกิดขึ้นมาในทำนองเดียวกัน
เรี่องของการสนทนาก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน ดังเพื่อนของคนหนึ่งคือ แกรนด์ โอลสัน ผู้ได้เคยมาเป็น พีซคอในเมืองไทยเมื่อประมาณสิบปีมาแล้ว ณ เมืองสุพรรณบุรี ก็สามารถเป็นหนึ่งในประจักษ์พยานกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อเขามาอยู่ในฐานะของอาสาสมัครสันติภาพที่เมืองสุพรรณบุรีนั้น บ้านพ่อแม่คนไทยที่เขามาอยู่ด้วยเป็นชานเมือง ที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ไม่มีโทรทัศน์ เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ สมาชิกในครอบครัวขยายนั้น ก็นั่งล้อมวงพูดคุยกันด้วย ตะเกียงน้ำมันก๊าซ และในวงสนทนานี้เองที่ทำให้เขารู้จักสังคมไทย ความโอบอ้อมอารี ความอุดหนุนเกื้อกูลกัน ในสภาพสังคมชนบท และมิติของพุทธธรรมที่กลมกลืนลงสู่วิถีปฎิบัติในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้ในสังคม สหรัฐอเมริกา หมดไปแล้ว การสนทนาที่แท้จะหากได้ยาก ต้องดั้นด้นหาเพื่อนที่อาจจะคุยกันได้อย่างถูกใจ แต่ไม่ได้มีอยู่เป็น ส่วนหนึ่ง ของชีวิตประจำวัน เมื่อแกรนต์กลับมาเยี่ยมเมืองไทยต่อมาเป็นลำดับ สองสามปีครั้ง เขาก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับที่เป็นไปในสังคมอเมริกา โทรทัศน์ได้เข้ามาจับจองใจกลางบ้าน และการสนทนาอย่างเดิม ก็หายไปจาก ครอบครัว ทุกคนก็เริ่มยุ่งยากกับกิจการต่างๆ จนแทนไม่มีเวลาให้กับการสนทนาที่แท้อีกต่อไป
เมื่อมองในแง่มุมมอง ภาษาและวัฒนธรรม ตลอดจนภูมิปัญญา การสนทนาจะเป็นเวทีที่ก่อเกิด เมื่อเวทีการสนทนา หายสูญไป หรือกระพร่องกระแพร่ง ประชาชนคนสามัญก็ขาดการเข้าร่วมในการก่อเกิดแปรเปลี่ยนและวิวัฒนาภาษา วัฒนธรรม ภูมิปัญญาอีกต่อไป หากกลายเป็นผู้กระทำอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นเหยื่อที่ถูกกระตุ้นได้ง่ายจากสื่อโฆษณา และความคิดก็ถูกครอบงำด้วยบรรษัทข้ามชาติ อันผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีมิติ อยู่ในกรอบของ กระบวนทัศน์เก่า อันเป็นมุมมองซึ่งขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของชีวิต และวิวัฒนาการของชีวิตโดยสิ้นเชิง
ถ้าพูดแบบภาษาของพวกโพสต์โมเดิน ก็หมายการถูกแย่งชิงวาทกรรม เมื่อปราศจากวาทกรรม ประชาชนสามัญ ก็ยากไร้โดย สิ้นเชิง ในอำนาจของการปรับเปลี่ยนตนเองและสังคม
ดังนั้น เราจึงต้องสร้างช่องว่างให้กับพื้นที่ที่เสียในทศวรรษที่ผ่านมา อัตเน่ รีดเดอร์ นิตยสารทางเลือกเล่มหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกาได้พูดถึง “การปฏิวัติในห้องนั่งเล่น” ดังปาจารยสารฉบับหัวกะทิที่ผมเป็นบรรณาธิการอยู่ในเวลานั้น ก็เอาความคิดนี้มาเล่นต่อ สาระสำคัญก็คือ เราควรจะลดความสำคัญของโทรทัศน์ลงไป โดยการจำกัดเวลาดู ย้ายที่ออก ไปจากใจกลางบ้าน คืนห้องนั่งเล่น ให้กับการสนทนาและนอกจากจะสนทนากับสมาชิกในบ้านแล้ว ก็เชิญเพื่อนๆ เข้ามาสนทนาด้วย จัดกรอบโครงของเวลาใหม่ ให้มีเวลาสนทนายาวนานกว่าสามชั่วโมงขึ้นไป เวลาอุดมคติของโบห์มคือ ๕-๖ ชั่วโมง ผมนึกถึงกลุ่มปัญญาชนอังกฤษอย่างบรูมเบอรี่ที่มีเวอร์จิเนีย วูลฟ์ ยอช เบอนาด ชอร์ เป็นต้น พวกเขาอยู่ด้าน กันทั้งบ่าย จนจรดดึกดื่น อยู่ด้วยกัน พูดคุยเดินเล่น ฯลฯ การก่อเกิด ภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาจึงจะเป็นไปได้
ปาจารยสารหัวกะทิอีกฉบับหนึ่ง คณะบรรณาธิการตัดสินใจร่วมกันจั่วหัวว่า “ความสุขไม่ต้องซื้อหา” เรามักพากันหลงลืมไป และพากันไปยึดติดสื่อกันงอมแงม เพราะที่จริงแล้วสื่อก็รายงานเรื่องราวของมนุษย์นั้นเอง และเรื่องราวของมนุษย์อาจนำมาบอกเล่ากันโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสื่อแต่อย่างใด โดยเรื่องในทำนองเดียวกันนี้ ผมคิดเรื่องที่หันเหมุมมองเรื่องหนึ่งโดยตั้งคำถามทักทายว่า แทนที่เราจะเขียนนิยายขึ้นมาจากเรื่องราวของผู้คน ทำไมเราจึงจะไม่คิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตของเราเองก็คือนิยายที่ยิ่งใหญ่ และการดำรงชีวิตของเราอย่างเต็มเปี่ยม ก็คือการขีดเขียนนิยายดีๆ ออกมาเล่มหนึ่งโดยไม่ต้องขีดเขียนบันทึกอย่างไรเล่า
ในมุมมองของวิญญาณวาท เราไปติดอยู่ในโลกของตัวแทนและภาพลักษณ์ แต่เราไม่ได้สัมผัสความจริงคือตถาตา ไม่ว่าด้วยการเห็น การฟัง ได้กลิ่น ชิมรส สัมผัส แต่เราอยู่กับภาพลักษณ์ของประสบการณ์ทางอายตนะเหล่านี้ ผ่านสื่อต่างๆ เราอยู่กับร่องเดิมของแผ่นเสียงที่ตกร่อง ด้วยเหตุนี้เราจึงหิวโหย แต่สิ่งที่เราบริโภคเป็นเพียงภาพลักษณ์ของความเป็นจริง ซึ่งไม่สามารถให้ความอิ่มเอมอันใดได้ เราจึงกระหายหิวและต้องบริโภคอย่างไม่รู้จักจบสิ้น แต่ไม่สามารถ ดับความ กระหายหิว ได้ ภาพที่แสดงให้เห็นอาการดังกล่าวได้ชัดเจนคือเปรต ที่มีปากเท่ารูเข็มและมีท้องใหญ่โตมโหฬาร
อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่เป็นไวยากรณ์หลักของชีวิตนั้นก็คือ “ชีวิตคือการเรียนรู้” และเนื่องด้วยว่า ชีวิตนั้นมีธรรมชาติ เป็นเครือข่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตก็คือ “เครือข่ายแห่งการเรียนรู้” การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ เริ่มจากการตั้งสมมติฐาน แล้วจึงลงมือปฏิบัติตามสมมติฐานนั้น และนำผลกลับมาพูดคุย กลั่นกรองประสบการณ์และหาความหมายกันในเครือข่าย ซึ่งมีการสนทนาเป็นกุญแจดอกสำคัญ
การสนทนาเชิงวิวัฒน์ในกระบวนทัศน์ใหม่
การสื่อสาร
โลกมนุษย์ได้ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ดังเราคิดว่า โลกาภิวัตน์ ได้รวมโลกเข้าเป็น หนึ่งเดียวไปแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังมีปัญหาการสื่อสาร คนที่มีความคิด อุดมการณ์ ความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม และอื่นๆ ที่แตกต่างกัน ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ในประเทศที่เจริญมากๆ ทางเทคโนโลยี ความขัดแย้งและความรุนแรง ในความสัมพันธ ์ส่วนบุคคล กับไม่ลดลง ปัญหาการหย่าร้างเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมตะวันตก ความสัมพันธ์ใกล้ชิด กลายเป็น ศิลปศาสตร์ ที่ขาดหายไปในโลกที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาถึงขีดสุด
ปัญหาอย่างหนึ่งทึ่อยากจะตั้งข้อสังเกตไว้ให้ใคร่ครวญดูก็คือ เป็นไปได้ไหมว่าเราเข้าใจพื้นฐานของการสื่อสารผิดไป หรือคลาดเคลื่อนไป เทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นมาก็ไปรับใช้วิถีแห่งการสื่อสารผิดๆ นั้น ไม่ทำให้มนุษย์เข้าใจกัน ได้มากขึ้น ไปกว่าเดิม เทคโนโลยีที่สูงล้ำก็เลยไม่ได้มีส่วนช่วยลดทอนความขัดแย้งและความรุนแรง
คิดว่าความคิดหลักของการสื่อสารของโลกยุคโลกาภิวัตน์ก็คือ หนึ่งเราควรมีภาษาและวัฒนธรรมหนึ่งเดียว ที่คนจะเข้าใจกัน เหมือนกันไปหมดทั่วโลก และสองข้อมูลคือความรู้ ยิ่งข้อมูลเผยแพร่ออกไปทาง อินเตอร์เนต ให้รับรู้กันได้มากๆ คนก็จะมีความรู้มากยิ่งขึ้น คนมีความรู้มากยิ่งขึ้นโลกก็จะมีความสงบสันติยิ่งขึ้น อันนี้ก็อยากลอง ให้ใคร่ครวญดูว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ? หรือมันควรจะเป็นเช่นไรกันแน่?
อีกความคิดหนึ่งของผมเอง ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตและการอ่าน ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่าโลกในทุกวันนี้ เรากำลังออกห่าง ไปจากการสนทนาทั้งในบ้าน โรงเรียนและที่ทำงาน การพูดคุยกันเป็นไปตามบทบาทที่ตายตัว แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน ในฐานะของความเป็นมนุษย์ ที่จะแบ่งปันเรียนรู้ร่วมกัน ในบ้านเราพากันนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ โลกแห่งการงาน ก็ทำให้เราเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เราก็กลายเป็นผู้รับการบันเทิงจากโทรทัศน์ อย่างเป็นผู้ถูกกระทำเท่านั้น บางบ้าน แม้เวลา กินข้าวก็นั่งดูโทรทัศน์กันไปด้วย การพูดคุยกันที่เคยมีในสังคมแบบเดิมจึงขาดหายไป ความสัมพันธ์ระหว่าง ครูกับศิษย์ในโรงเรียนกระแสหลักส่วนมาก ครูก็จะมีบทบาทตายตัวคือผู้สอน คือผู้ถ่ายทอดข้อมูล ที่เราเข้าใจกันว่า เป็นความรู้ การพูดคุยกันจริงๆ ระหว่างครูกับศิษย์ในฐานะของมนุษย์ด้วยกันจึงไม่เกิด หากจะมีบ้างก็คงเป็น ข้อยกเว้นของครูบางคน ที่เข้าใจและพยายามทำตัวแหวกระบบออกมา ที่ทำงานก็เช่นกัน การพูดคุยดำเนินไปใน บรรยากาศของโครงสร้างอำนาจที่ชัดเจนว่าใครเป็นคนตัดสินใจ ใครเป็นคนอนุญาตให้ใครพูดได้ และจะพูดได้เมื่อไร บทบาทตามโครงสร้างอำนาจก็ชัดเจนจนไม่เหลือที่ไว้ให้กับการพูดคุยระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
วิถีชีวิตแบบบริโภคนิยม ก็ทำให้โอกาสที่จะเกิดการสนทนาอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น เพราะมนุษย์คุ้นเคย กับการเสพ การบริโภคในฐานะของผู้รับไม่ใช่ในฐานะของผู้กระทำ การเรียนก็กลายเป็นการเสพข้อมูลความรู้ การทำงาน ก็มีมิติของการกระทำอยู่ในกรอบที่คับแคบ หากไม่ใช่งานที่ซ้ำซากจำเจก็เป็นงานที่ไม่อาจมีอำนาจตัดสินใจอะไรได้ งานที่สร้างสรรค์และกระทำการจึงเป็นงานของคนส่วนน้อยที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดปิรามิด เมื่อเป็นเช่นนี้ วัฒนธรรม การบริโภค ก็มีส่วนเสริมให้ความสยบยอมต่อสภาพสังคมที่เป็นอยู่เป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมกับโอกาศ ของการสนทนา หายไปด้วยการเบียดบังของการพักผ่อน และการบันเทิงแบบเสพ ที่ผู้รับไม่ได้กระทำการ หรือคิดอ่านเรียนรู้ขวนขวาย หาความหมายอันใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะหาทางออกจากวังวนของปัญหานี้ได้อย่างไร?
การสนทนาแบบเดวิด โบห์ม
เดวิด โบห์ม บอกว่ากรณีที่คนสองคนพูดคุยกันเมื่อนาย ก.พูด นาย ข.ฟัง แล้วนาย ข.ก็จะพูดกลับมาเป็น ปฏิกิริยา หรือ การตอบสิ่งที่นาย ก.พูด เมื่อนาย ก. ฟังนาย ก. ก็จะรู้ว่า สิ่งที่นาย ข. ฟังตนนั้นไม่ได้เข้าใจตรงกันเสียทีเดียว มีความ ใกล้เคียง แต่ก็แตกต่าง แล้วนาย ก. ก็ตอบโต้กลับไปอีก นาย ข. ก็เห็นอะไรคล้ายกับที่นาย ก. เห็น คือเห็นความคิด ความเข้าใจของตนเอง และเห็นความคิดของนาย ก. ที่แตกต่างออกไป เนื้อที่ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปนั้น ทำให้เกิด การสร้างสรรค์ขึ้นในการสนทนาคือทำให้เกิดความคิดใหม่ขึ้น
แต่การสนทนาที่จะให้เกิดสิ่งใหม่ได้นั้น ผู้สนทนาจะต้องฟังซึ่งกันและกัน อย่างปราศจากอคติ และไม่พยายาม จะมีอิทธิพล เหนือกันและกันด้วย แต่ละฝ่ายจะต้องให้ความสำคัญกับสัจจะและความบรรสานสอดคล้องเป็นอย่างแรก เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสิ้น โดยพร้อมจะทิ้งความคิดเก่าและความตั้งใจเก่า โดยพร้อมจะไปยังอะไรที่แตกต่างออกไป แต่ถ้าหากทั้งสอง ต่างก็ ต้องการสื่อความคิดหรือมุมมองของตนเท่านั้น การสนทนาแบบโบห์มก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแต่ละคน จะฟังคนอื่น ผ่านม่านความคิดของตนเอง ที่มักจะพยายามคงรักษาความคิดของตนเอาไว้ โดยพยายามจะปกป้องความคิดของตนด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าความคิดของพวกเขาจะบรรสานสอดคล้องกันภายในระบบคิดของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม
ที่จริงการสนทนาแบบโบห์มนั้น มีความจำเป็นสำคัญ กิจกรรมหลายๆ ด้านของชีวิต ถ้าผู้คนจะต้องร่วมมือกัน พวกเขาจะ ต้องสามารถสร้างอะไรร่วมกันขึ้นมาได้ โดยผ่านการพูดคุยและการกระทำร่วมกัน มากกว่าจะเป็นการส่งผ่านความคิดข้อมูล ที่คนสื่อสารมีอำนาจเหนือผู้อื่นและผู้อื่นเป็นผู้รับอย่างเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่มีส่วนร่วมคิดด้วยแต่อย่างใด
ศิลปินก็เหมือนกัน ศิลปินไม่ได้คิดครั้งเดียวแล้วก็สำแดงความคิดออกมากับวัสดุอุปกรณ์ที่ตนเองใช้ แต่ศิลปินจะพูดคุย เหมือนกัน คือพูดคุยกับวัสดุที่เขาใช้ ตลอดจนกับผลงานที่เสร็จแต่ละชิ้น ผลที่ออกมาไม่ตรงกับความคิดเดิมทีเดียวนัก คือความแตกต่างให้เกิดความคิดใหม่ เป็นขบวนการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในการทำงาน
นักวิทยาศาสตร์ก็พูดคุยกับธรรมชาติในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์มีความคิด ก็นำไปทดสอบกับการสังเกต และเมื่อพบว่า (จะเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติธรรมดา) สิ่งที่ได้สังเกตจะเพียงละม้ายคล้ายคลึงกับความคิดที่เขามีอยู่ในใจเท่านั้น และไม่เหมือนกันเลยทีเดียว ดังนั้นความคิดใคร่ครวญในความละม้ายคล้ายคลึงและความแตกต่าง เขาก็จะได้ความคิดใหม่ และก็เอาความคิดใหม่ไปเป็นตัวตั้งในการสังเกตการณ์อีก ก็จะมีการโผล่ปรากฏของสิ่งใหม่เสมอ อันนี้ก็มีการนำไปใช้ในวิถีชีวิตในทางปฏิบัติ ซึ่งก็ได้ก่อให้เกิดโครงสร้างใหม่ๆ ทางความคิด ความรู้ของมนุษย์
ทีนี้ต่อเรื่องนี้ จะมีความละเอียดอ่อนซับซ้อนอยู่ประการหนึ่ง คือในการพูดคุยกันนั้น คนหนึ่งมักจะคิดว่า ตนได้ฟังคนอื่น อย่างดีแล้วโดยปราศจากอคติใดๆ แต่คนอื่นกลับไม่ฟังตนเพราะมีอคติอยู่ ทั้งนี้จึงเป็น การง่ายที่เรา แต่ละคนจะเห็นว่า คนอื่น “ถูกขัด” อยู่ด้วยอะไรบางอย่าง โดยไม่รู้ตัว พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยง การเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ในความคิดของ ตนเอง ในเรื่องที่พวกเขามักจะให้ค่าอย่างสูง
ธรรมชาติของอาการ “ถูกขัด” นั้น เป็นอะไรที่ไร้ความละเอียดอ่อนหรือ “มึนงงไม่รู้สึกตัว” (เป็นอาการของยาชา ยาสลบ) ทำให้ไม่รับรู้ในความขัดแย้งในตัวเองของตน เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือทำอย่างไรเราจะรู้ตัวถึงอาการที่ “ติดขัด” เหล่านี้ ถ้าหากผู้นั้นตื่นตัวและใส่ใจ ก็อาจจะมองเห็นว่า เมื่อมีการยกประเด็นคำถามบางประการ ก็จะมีความรู้สึกกลัว ที่ผลักไสเขา ออกไปจากการพิจารณาปัญหาอันนั้น และจะมีแรงดึงดูดบางประการที่จะหันเหเขาไปสู่ประเด็นปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้เขามี ความสุขสนุกสนาน ดังนั้นคนเราก็จะหนีออกไปจากสิ่งที่รบกวนจิตใจของเราอยู่เรื่อยไป ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เขาพยายาม ปกป้องความคิดของเขาเองอย่างแยบคาย ในขณะที่เขาควรจะได้รับฟังคนอื่นพูดอย่างจริงจัง
เมื่อเรามาสนทนากัน เราควรตื่นตัวกับความกลัวที่แยบยล และการดึงดูดที่จะทำให้เราเขวไปเรื่องอื่นที่ได้ “ขัด” เราจากความสามารถที่จะรับฟังได้อย่างอิสระ แต่ถ้าแต่ละคน สามารถใส่ใจได้เต็มเปี่ยมกับ “สิ่งที่ขัด” เราในการสนทนา ในขณะเดียวกันที่สามารถรับฟังเนื้อหาของการสนทนาไปได้ด้วย เมื่อนั้น เราจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ระหว่างพวกเรา บางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะช่วยยุติปัญหาในปัจจุบันอันแก้ไขไม่ได้ทั้งที่เป็นของปัจเจกบุคคลและสังคม
การสนทนากับสมมติฐาน
คำว่า Dialogue ซึ่งเป็นคำที่โบห์มนำมาใช้นั้นมาจากภาษากรีกว่า dialogos ที่ logos แปลว่า “ถ้อยคำ” และ dia แปลว่าผ่าน ไม่ใช่แปลว่า “สอง” หมายถึงถ้อยคำหรือความหมายที่ไหลผ่านกลุ่มคนเป็นสายธารแห่งความหมาย ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ไม่ใช่ discussion ที่แปลว่าแยกสิ่งต่างๆ ออกมา discussion ก็มักจะเป็นการโต้แย้ง เอาชนะคะคานกันมากกว่า หมอประสาน ต่างใจ เคยตีความคำว่า dia เท่ากับ “ผ่า” หรือ “ฝ่า” ถ้อยคำ ไปให้พ้นข้อจำกัด ของถ้อยคำ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะลงลึกกันขนาดไหน
หนังสือเรื่องวิญญาณวาทที่อาจารย์สุลักษณ์แปลมาจากหนังสือของท่านนัท ฮัน ซึ่งเวลานี้เป็น พระอาจารย์เซ็น ที่สามารถใช้ ภาษาอย่างกวี สื่อสารกับคนทั่วโลกได้มากที่สุด วิญญาณวาทพูดถึงการรับรู้สามแบบ แบบที่หนึ่งคือการับรู้แบบตัวแทน ดังเช่นตั้งชื่ออะไรขึ้นมา เช่นต้นไม้ ก้อนเมฆ สัตว์ พืช เป็นต้น แบบที่สองคือภาพลักษณ์ ก็คืออะไรที่อธิบาย คุณลักษณะ ของตัวแทนนั้นๆ การรับรู้ทั้งสองแบบแรกเป็นความรู้ แต่ก็เป็นความรู้อย่างมีข้อจำกัด ประการแรก ก็ติดข่ายอยู่ใน ทัศนะแห่งอัตตา คือมีเรากำหนดว่าโต๊ะเป็นโต๊ะนั้น เราได้กำหนดไป อย่างอัตโนมัติด้วยว่า สิ่งอื่นๆ นอกจากนี้ไม่ใช่โต๊ะ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สิ่งที่เป็นโต๊ะกับสิ่งที่ไม่ใช่ก็โยงใยกันและสอดแทรกในกันและกัน ซึ่งทัศนะอย่างหลัง จึงเป็น การรับรู้แบบที่สาม คือการรับรู้อย่างเป็นเช่นนั้นเอง ที่เรียกว่าตถตา ประการที่สอง ภาพลักษณ์ก็เป็นส่วนขยาย ของอัตตา อธิบายคุณลักษณะของอัตตาในด้านต่างๆ ที่เป็นความเป็นจริงอย่างเสี้ยวส่วนที่หยิบฉวยขึ้นมา ทึกทักขึ้นมาว่า เป็นคุณลักษณะ ของสิ่งนั้นๆ เมื่อความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนตัวเข้ามาตามกาลเวลา คุณลักษณะนั้นๆ ก็แปรเปลี่ยนไปด้วย มิอาจจะตั้งมั่นอยู่ได้
การจะเข้าถึงตถตาในสรรพสิ่งได้นั้น เราต้องเอาสติเข้ามากำกับการรับรู้ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยตัวอย่างของ การเอาสติ เข้ากำกับการมอง การฟัง เป็นต้น โดยมองให้ลึกซึ้ง ฟังอย่างลึกซึ้ง แทนที่จะไปยึดติด ที่ความจริง ระดับตัวแทนและภาพลักษณ์
โบห์มให้เราตระหนักว่า ความคิดของเราที่เรามักจะคิดว่าเป็นสัจจะนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น นอกจากนี้ เราจึงไปยึด ความคิดขึ้นมา เป็นของเรา เป็นตัวเรา คือเป็นตัวกูของกู ที่ท่านพุทธทาสพูดถึงนั้นเอง เราจึงเห็นว่า คนอื่นเห็นผิดมองผิด การเปิดใจเรียนรู้จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
โบห์มบอกว่าภาษาและวัฒนธรรมนั้นเข้ามามีส่วนกำหนดความคิดอ่านของเรามากกว่า ๙๐% เราไม่ได้มี ความคิดอ่าน เป็นของตนเองสักเท่าใด แต่กำหนดโดยสังคมที่กำเกิดภาษาและวัฒนธรรมมาใช้ร่วมกัน เรามักจะคิดว่า สิ่งที่มากับ ภาษาและวัฒนธรรมนั้นเป็นสัจธรรม อันมั่นคงถาวรไม่มีอะไรจะมาหักล้างได้ ถ้าหากคิดเช่นนี้ การสนทนาแบบของโบห์ม ก็เกิดขึ้นไม่ได้
โบห์มบอกว่าในขณะที่เราสนทนานั้น เราควรรู้ว่า ทุกความคิดเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่มีอะไรเป็นสัจจะอันสมบูรณ์แบบ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใจจึงเปิดออก ให้สายธารแห่งความหมายไหลเวียนไปได้ อันอาจเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ในระหว่าง การสนทนา ถ้าโยงวิญญาณวาท ของมหายานมาผสมผสานกับ dialogue ของเดวิด โบห์ม เราจะเป็นว่า การรับรู้ในระดับตัวแทน และภาพลักษณ์นั้นก็คือ การไปยึดติด กับสมมติฐาน มาเหมาเอาว่าเป็นสัจธรรม ถ้ามองให้ทะลุลงไปถึงตถตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง เราก็จะรู้เท่าทันว่าสมมติฐานก็คือสมมติฐาน หากความเป็นจริง จะอยู่ลึกลงไปกว่าสมมติฐานที่ปรากฏ การสนทนาแบบโบห์มจึงเปิดโอกาสให้เรามองเห็น ความเป็นจริงมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้เราสัมผัสกับตถาตามากยิ่งขึ้น
องค์ประกอบสำคัญของการสนทนาแบบโบห์ม
โบห์มว่าจำนวนคนต้องมากพอที่ให้เกิดพลวัตของการสนทนา คือควรจะมากกว่า ๒๐ อาจจะถึง ๔๐ เลย ๔๐ คนยังนั่งล้อมวง ได้ โดยวงยังไม่ใหญ่จนเกินไป ถ้ารู้สึกว่าใหญ่เกินก็ให้นั่งซ้อนกันเป็นสองวง ที่นั่งล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน หมายถึง การที่ทุกๆ คนเท่าเทียมกัน จริงๆ แล้วการสนทนาแบบโบห์มไม่มีผู้ดำเนินการ ก็อาจจะมีผู้ดำเนินการได้บ้าง เพื่อที่จะไม่มีผู้ดำเนินการได้ในที่สุด
การสนทนาแบบโบห์มเป็นการแสวงหาความรู้ร่วมกันโดยไม่มีกำหนดวาระ ไม่มีหัวข้อเรื่อง แรกๆ ก็อาจจะพูดคุยกัน เรื่องว่า จะพูดคุยกันอย่างไร พูดคุยอะไร ทำไม แล้วการสนทนาก็จะดำเนินไปได้เอง เรื่องส่วนตัวจะพูดบ้างก็ได้ เอาเฉพาะในส่วน ที่มันจะโยงใย เข้ามาเกี่ยวร้อยกับความเป็นส่วนรวม โบห์มว่าการสนทนาแบบของเขา ไม่ได้เป็นการเยียวยาทางจิตวิทยา หรือการพัฒนาตัวเอง แบบกลุ่มเผชิญหน้า (encounter group) แต่ถ้าการพูดคุยและการเรียนรู้ จะไปมีผลเยียวยาก็สุดแล้วแต่
โบห์มพูดถึงคำสองคำบ่อยๆ ในการว่าด้วยการสนทนาของเขา คือคำว่า tacit และ coherence คำหลังหมายถึง ความบรรสานสอดคล้อง อาจารย์นิธิเคยแซวอาจารย์สุลักษณ์ว่าใช้คำว่าประสานสอดคล้องไม่ได้หรือ ผมเองก็ยังชอบ ที่จะใช้บรรสานสอดคล้องโดยอัตโนมัติ โบห์มยกตัวอย่างแสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์ ก็คือ ภาวะของแสง ที่มีการเรียงตัว อย่างเป็นระเบียบ อย่างบรรสานสอดคล้อง เลเซอร์จึงมี พลังมหาศาล จะเอาไปใช้ทำอะไรได้มากมายด้วยพลังอันนี้ แสงทั่วไปปกติ ที่เราเห็นเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ไม่บรรสานสอดคล้อง อย่างแสงเลเซอร์ กลุ่มสนทนาของโบห์ม ก็มีเป้าหมายอันหนึ่งของการเข้าถึงการบรรสานสอดคล้องอันนี้ เพื่อพลังสร้างสรรค์สูงสุด เพื่อปัญญาอย่างดีที่สุด ที่มนุษย์จะก่อเกิดร่วมกันได้ โดยเขาได้พูดถึง collective thought หรือความคิดที่คิดร่วมกันของกลุ่มคนเอาไว้ แยกเป็นประเด็นต่างหากออกไปด้วย
tacit หมายถึงอะไรที่เกิดขึ้นด้วยอย่างไม่สามารถเห็นได้ชัด เวลาสนทนาโบห์มว่า มันไม่ใช่ทั้งถ้อยคำที่พูดคุยกัน และไม่ใช่ ภาษาท่าทาง แต่มันอยู่ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง โบห์มพูดไว้ด้วยว่า tacit เป็นปริมณฑล ที่ลี้ลับเป็นตัวก่อเกิดของขบวนการคิด ด้วย
เมื่ออ่านวิญญาณวาทที่อรรถาธิบายโดยท่านติช นัท ฮัน ก็นึกว่าอาจจะพ้องพานกับเรื่อง tacit ของโบห์มนี้ก็เป็นได้
วิญญาณวาทแตกวิญญาณที่อาจจะแปลว่าตัวรู้ หรือ consciousness ออกไปอีกจากหกของฝ่ายสูตรยานคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปอีกสองคือมนัสและอาลัยวิญญาณ ส่วนใจธรรมดาในชั้นต้นคือ consciousness หรือสำนึกรู้ปกติ เขาใช้คำว่า มโนวิญญาณ ลึกลงไปอีกสองขั้นคือมนัสและอาลัยวิญญาณ อันนี้ลี้ลับหรือ tacit
ท่านนัท ฮัน ว่าเมื่อเราฉายแสงแห่งสติทาบกับมโนวิญญาณตลอด ไม่ว่าจะรับเรื่องจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือรับเรื่องจาก ธรรมารมณ์ก็ตาม หากฝึกแสงแห่งสตินั้นให้เข้มข้นด้วยความบรรสานสอดคล้องขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะส่งไปเห็น การทำงานของมนัสและ อาลัยวิญญาณ อันเป็นที่มาของขบวนการก่อเกิดความเป็นไป ทั้งหลายแห่งจิตทั้งมวล
โบห์มว่า เราไม่ได้สนใจเฉพาะว่าเราคิดอะไรเท่านั้น แต่เราให้ความสำคัญกับขบวนการก่อเกิดความคิดด้วย ซึ่งลี้ลับแยกแก่ การเข้าถึง แต่เมื่อการสนทนาได้สรรค์สร้างความบรรสานสอดคล้องแห่ง collective thought ไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ขบวนการแห่งการคิด จะโผล่ปรากฏให้เราเห็นได้เอง
ระยะเวลาของการสนทนาแต่ละครั้งต้องยาวนานพอให้คลี่คลายออกไปสู่ผลได้ดังกล่าว อย่างน้อยก็ ๓-๔ ชั่วโมง แต่โบห์มจะพูดที่ ๕-๖ ชั่วโมงต่อครั้ง ความถี่ก็ได้ตั้งแต่ทุกสัปดาห์ ทุกปักษ์ ทุกเดือน สองเดือนครั้ง เวลาต่อเนื่อง ก็พูดกันที่หนึ่งปี หรือสองปี เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ของการได้เรียนรู้ร่วมกันแล้วก็เลิกลากันไป คงจะไปเริ่มกลุ่มใหม่ๆ อีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ธรรมชาติของความคิดที่เป็นสมบัติร่วม
โบห์มพูดถึงปัญหาต่างๆ ของโลกที่มีอยู่มากมาย นับวันก็แต่จะสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น และตัวปัญหา ก็เพิ่มทั้ง ปริมาณและ คุณภาพ บางทีมันอาจจะ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากภายนอกก็ได้ บางทีมันอาจจะมีเค้าเงื่อนมาจาก เจ้าตัวความคิด ของมนุษย์เรานี้เอง
ดังเช่นเมื่อเกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมา เราก็ไปคิดค้นวิธีแก้ไขอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา วิธีใหม่นั้นนอกจากจะไม่ได้แก้ปัญหาเก่าแล้ว ยังสร้างปัญหาใหม่ ขึ้นมาอีก แล้วเราก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาอย่างใหม่นั้นอีก ได้ปัญหาอย่างใหม่กว่าขึ้นมาอีก เป็นไปเช่นนี้ อย่างไม่รู้จบ หรือว่าที่จริงปัญหาที่แท้ ซ่อนเงื่อน อยู่ในขบวนความคิดนี้เอง
และก็น่าคิดว่าขบวนการคิดนี้เป็นปัจเจกสักเพียงใด เพราะตั้งแต่เกิดมา ที่มาของความคิดก็มาจากคนอื่นๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือสังคม ความคิดของเราที่อาจจะคิดขึ้นมาบ้างก็เป็น ผลผลิตของความคิดร่วม ที่มีอยู่ใน ภาษาและวัฒนธรรม นั้นเอง ดังนั้นมันจึงเหมือนกับ อยู่ในมหาสมุทรแห่งความคิดที่เป็นของส่วนรวมของมนุษยชาติ และถ้าหากมันเป็นอย่างผิดทาง มันก็จะผิดทางกันไปหมด
มันเหมือนกับเชื้อไวรัส ยิ่งมีวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้นเท่าไร เจ้าเชื้อไวรัสนี้ก็แพร่ไปได้กว้างไกลเพียงนั้น
เป็นไปได้ไหมว่าแหล่งที่มาของปัญหามันลึกซึ้งมาก อาจจะมีอะไรผิดพลาดที่ขบวนทั้งหมดของความคิด อันเป็นของส่วนรวม ที่เป็นของ พวกเราทั้งหมด โดยปกติแล้วความคิดส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นปัจเจก หากก่อเกิดในวัฒนธรรมทั้งมวล และ แผ่สยายปีกปกคลุมพวกเราอยู่ โครงสร้างอันลึกซึ้งของความคิด นี้แหละเป็น แหล่งที่มาและดำรงอยู่ตลอดเวลา ควบคู่กับ มนุษยชาติ
โบห์มมองไปว่า เป็นไปได้ไหมที่ปัญหานี้เกิดขึ้นมาระหว่างรอยต่อของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง อันเป็นรอยต่อระหว่าง สมองเก่ากับสมองใหม่ รอยต่อที่ยังไม่ลงรอยดีนัก คือมันเกิดขึ้นที่สมองใหม่สามารถสร้างตัวแทนของการรับรู้ (representation) ขึ้นมา คือสร้างนามธรรมให้กับ การรับรู้ และเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ แต่ปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ ความสามารถใหม่ที่ได้มา แต่เกิดกับการที่เราไม่สามารถ แยกแยะตัวแทน ของการรับรู้กับการรับรู้ และเรานำ ทั้งสองอย่างนี้มาผสมผสานเข้าเป็นชุดใหญ่แห่งตัวแทนของการรับรู้ขึ้นมา และอันนี้ก็เข้ามา เป็นรากฐานของความคิด ทั้งปวง
โดยทั่วไป เราไม่สามารถสังเกตเห็นการเชื่อมโยงระหว่างตัวแทนของการรับรู้กับการรับรู้ ความคิดนั้นดูเหมือนว่า จะขาดความสามารถ ที่จะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ขบวนการนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว เป็นไปอย่างซ่อนเงื่อนงำอยู่ภายใน และมองไม่เห็น เราจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลองจินตนาการเห็นข้อมูลมาจากอายตนะ (ประสาทรับรู้) ที่สมอง จัดระเบียบหาความหมายทางหนึ่ง และมีสายธานของข้อมูลมีทางหนึ่งมาจากความคิด และสองทางนี้ ผสมผสานกัน เข้าเป็นหนึ่ง เป็นผลรวมของตัวแทนแห่งการรับรู้ขึ้นมา ที่ผิดพลาดขึ้นมาไม่ใช่เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ปัญหาอยู่ที่เรา ไม่ได้ตระหนักรู้ว่ามันเกิดขึ้นต่างหาก
การเกิดขึ้นของตัวแทนการรับรู้นี้ ก่อขึ้นมาเป็นสมบัติร่วมของมนุษยชาติ กลายเป็นโลกๆ หนึ่งที่ส่วนใหญ่ พวกเรา จะมองมันว่า เป็นโลกของความเป็นจริง บางคนอาจจะใช้คำว่าสามัญสำนึกแทน “โลกที่เป็นจริง” ใบนี้ เราจะมองโลกๆ นี้ ที่มนุษย์สร้างขึ้น และเป็นสมบัติร่วมใบนี้ว่าเป็นโลกมายาก็ย่อมได้ มันคงเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงอยู่ด้วยบ้าง แต่มันเป็นการตีความเพียงอย่างหนึ่ง ที่อาจตีความได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด และก็เป็นการตีความที่มีความผิดพลาดอยู่มากมาย ดังจะเห็นได้จากปัญหาที่แก้ไม่ตก และขยายตัวใหญ่โต รุกลามอยู่ในทุกวันนี้ จนถึงขนาดที่มนุษย์อาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลก
โลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกมายาหรือสมบัติร่วมแห่งโลกตัวแทนการรับรู้ที่มนุษย์สร้างร่วมกันมานี้ให้นิยาม และตีความ ความเป็นตัวตน ของปัจเจกบุคคลไว้ด้วย ได้ให้เนื้อที่ปัจเจกไว้ โดยนิยามปัจเจกนั้น แท้ที่จริงก็ถูกกำหนด ด้วยโลกแห่งมายานี้เอง ซึ่งหมายความว่า ความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ แท้จริงก็ดำเนินไปใน กรอบกำหนดของ โลกมายา ใบนี้ เนื้อที่ที่ดูเหมือนจะมีความเป็นปัจเจกมากมายนั้น แท้ที่จริงก็ยังหนีไม่พ้นกรอบของโลกมายาใบนี้ เป็นเหมือน สีสันสไตล์ที่ดูแตกต่างแต่แท้จริงแล้วก็ไม่แตกต่างแต่อย่างใดเลย
ถ้าการแก้ไขปัญาของโลกยังอยู่ที่การคิดโดยอาศัยตัวแทนของการรับรู้เช่นเดิม ก็จะไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน ความคิดนั้น ก็ยังจะวนเวียนอยู่ ในปัญหาเหมือนเดิม แต่ถ้ารื้อไปถึงการรับรู้โดยแทนที่จะไปอาศัย ตัวแทนของความรับรู้ อย่างสำเร็จรูปอยู่อย่างนั้น เรากลับมองให้ลึกซึ้ง ผ่านพ้นความเป็นตัวแทนของการรับรู้ เข้าไปรับรู้โดยตรง และก่อรูปความคิดขึ้นมาใหม่ ขบวนการคิดย่อมแปรเปลี่ยนไป โลกย่อมแปรเปลี่ยนไป
แต่เนื่องด้วยธรรมชาติของความคิดนั้นเป็นสมบัติร่วม การจะสร้างโลกใหม่ที่ดีกว่า ที่ไม่วนเวียนอยู่กับ มหาสมุทรแห่ง ตัวแทน ของการรับรู้อย่างเดิมที่เป็นปัญหา เราต้องสร้างโลกร่วมกันเป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลังผลักดัน ให้เกิดโลกใหม่ได้
แล้วโลกใหม่จะไปติดอยู่ในกรอบของอคติหนึ่งใดหรือหลายๆ อคติหรือไม่? แน่นอนสิ่งนั้นย่อมเป็นไปได้ แต่ด้วยการสนทนา ที่เปิดใจ แสวงหาสัจจะด้วยท่าทีที่สอบทานตัวแทน แห่งการรับรู้ได้เสมอพลวัตของวงสนทนานั้น ย่อมช่วยกันสามารถสลายอคติต่างๆ ให้เบาบางลงไปได้ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้โบห์ม จึงนำเสนอรูปแบบ การสนทนา แบบของเขา และก็มีการนำการสนทนา แบบนี้ไปใช้ มากขึ้นทุกทีแล้ว ในหลายวงการ ในระดับโลก
คุณภาพชีวิตกับการสนทนา
คนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมจะทราบว่า การกระทำหนึ่งๆ ที่จะให้ออกมาดีนั้น ต้องเตรียมการ มากน้อยเพียงใด เราจะจินตนาการถึงภาพน้ำแข็งลอยน้ำ ที่ส่วนโผล่ปรากฎเป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสิบ หรือเศษหนึ่งส่วนสิบเอ็ดของส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำเท่านั้น สิ่งที่พูดไปในเรื่องของการสนทนาในภาคที่หนึ่งและสอง ก็จะทำให้เกิดขึ้นได้ เราต้องตระเตรียมคุณภาพชีวิตอัน เป็นบาทฐาน ที่สำคัญพร้อมกันไป และสัดส่วนก็คงเป็น สิบส่วนต่อผลได้ที่จะเอื้อให้ศิลปะแห่งการสนทนาเพียงส่วนเดียวแต่นั่นอาจจะหมายถึงว่า คนที่ก้าวมาหยิบจับหนังสือเล่มนี้ ขึ้นมาอ่าน บาที อาจจะได้พัฒนาคุณภาพชีวิต อันมีส่วนช่วยสนับสนุน ศิลปะแห่งการสนทนา นี้ไปได้ไกลลิบแล้วก็เป็นได้
ในที่นี้คงไม่ได้ลงลึกไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปเสียเลยทีเดียว แต่ก็จะแตะเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกัน โดยจะลงลึก พอสมควร ที่จะให้แผนที่โดยสังเขปว่าอะไรจะเข้ามาเป็นตัวเอื้อบ้าง? อย่างไร?และในทางกลับกัน เราจะเห็นได้ด้วยว่า การสนทนาก็จะย้อนกลับมา เป็นเครื่องมือสำคัญ ในขบวนการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของตนเอง
การอดเพื่อสุขภาพ Detox
1. การอดเพื่อสุขภาพ
เป็นวิธีหนึ่งในการขจัดของเสีย หรือล้างพิษ สามารถปฏิบัติได้ง่ายและสะดวกสบาย สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองที่บ้าน ในปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้ค้นพบอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุหลักของความเจ็บป่วยมากมาย การอดเพื่อสุขภาพนับเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการขจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้
2. สูตรการอดเพื่อสุขภาพ
ในการอดอาหารเพื่อล้างพิษนั้น จะต้องอดอาหารจำพวกโปรตีน , ไขมัน , และ คาร์โบไฮเดรต ทั้งข้าวและขนมปัง กินได้แต่เพียงผักและผลไม้ตามแต่ละจำนวนที่กำหนดให้ในแต่ละสูตรการอดเพื่อสุขภาพมีหลายสูตร ที่นิยมปฏิบัติกันได้แก่
1. การล้างพิษ 10 วัน เป็นการอดด้วยผลไม้และผักสด เกิดผลในการรักษาโรคบางอย่างให้เห็นผลภายใน 10 วัน
2. การล้างพิษ 5 วัน เป็นการอดด้วยผลไม้และน้ำผลไม้ เป็นการย่นย่อหลักสูตร 10 วัน ใช้ได้กับผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพมากนัก เช่น ต้องการลดความเครียด หลบจากความเร่งรัดในการงานมาพักผ่อนและเพิ่มพูนความรู้เรื่องสุขภาพไปด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักที่ไม่มากนัก
3. การล้างพิษ 1 วัน เป็นการทยอยล้างพิษทีละน้อย ค่อย ๆ ปฏิบัติ
การเลือกระดับของการอดเพื่อสุขภาพนั้น ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคล สามารถหัดปฏิบัติด้วยตัวเอง ได้ดังนี้
2.1 การล้างพิษ 1 วัน
ระดับ 1 การกินผลไม้ชนิดเดียวตลอดวัน
ระดับ 2 การอดด้วยน้ำผลไม้
ระดับ 3 การอดด้วยน้ำเปล่า
ระดับ 4 การอดแห้ง
2.2 ขั้นแรกของการอดเพื่อสุขภาพ : เตรียมอด
เลือกวันที่จะทำการอดอาหาร ควรจะเป็นวันขึ้นหรือแรม 11 ค่ำ แต่ถ้าไม่สะดวกจะเลือกตามสะดวก เช่น วันหยุดก็ได้
ในตอนเช้าของวัน ให้เตรียมอดโดย ดื่มน้ำส้มและกินผลไม้เป็นอาหารเช้า
2.3 ขั้นที่สองในการอดอาหาร : วันอด
หลังจากอาหารเช้าที่เตรียมอดแล้ว ก็จำกัดอาหารตามแต่ละระดับของการอดอาหารที่กำหนดไว้ ในช่วงระหว่างวันควรจะมีการทำกิจกรรมต่างๆ และการสวนกาแฟเสริมด้วย
กิจกรรม
เลือกกิจกรรมที่ช่วยในการพักผ่อนร่างกายและจิตใจ เช่น อ่านหนังสือที่ชอบ, การวาดรูป, การฝีมือ, การฟังเพลง, การทำสมาธิ, กิจกรรมออกกำลังกายบางอย่าง เช่น โยคะ , ชี่กง , ไท้เก็ก ก็สามารถทำเพื่อเสริมการล้างพิษด้วย การออกกำลังกายเหล่านี้จะเน้นการทำสมาธิกับลมหายใจ ช่วยขจัดสารพิษออกทางลมหายใจ และทำให้จิตใจสงบ ลดอาการอ่อนเพลียอีกด้วย ส่วนซาวน่าและ การอบสมุนไพรอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยขจัดสารพิษออกทางเหงื่อ
การสวนกาแฟ
การสวนกาแฟจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการล้างพิษ เนื่องจากช่วยกระตุ้นตับในการใช้เอนไซม์ขจัดอนุมูลอิสระ
2.4 ขั้นตอนที่ 3 : วันเลิกอด
ในวันต่อมา ดื่มน้ำผสมน้ำมะนาว ในตอนเช้า
วิธีผสมน้ำมะนาวมีสูตรดังนี้ คือ ใช้น้ำ 2 ขวด ขวดละ 800 cc. บีบมะนาวขวดละ 2 ลูก ใส่เกลือทะเล ขวดละ 1 ช้อนชาครึ่ง ผสมแล้วดื่มให้หมดในตอนเช้า วันนั้น จะทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระ
ควรอดบ่อยเพียงใด
สำหรับคนที่มีสุขภาพดีควรทำทุก 2 สัปดาห์ อาจเป็นทุกขึ้น 11 ค่ำและ แรม 11 ค่ำ หรือทุกวันเสาร์ เว้นเสาร์ และผู้มีปัญหาสุขภาพ เช่น อ้วน ไขมันสูง ภูมิแพ้ ตลอดทุก 1 สัปดาห์
วิธีการปฏิบัติ
เมื่อเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติทั้งหมดแล้ว ก็สามารถลงมือกระทำได้ด้วยตนเองเลย โดยอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือแนะนำ หรือหากยังคงไม่มั่นใจที่จะปฏิบัติด้วยตนเองก็สามารถเข้าร่วมคอร์สที่ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีได้
3. โรคที่สามารถใช้การอดเพื่อสุขภาพในการรักษา
การอดอาหารเป็นขั้นตอนในการพักฟื้นและฟื้นฟูสุขภาพ มีประสิทธิภาพในการดูแลและบำบัดโรคต่อไปนี้ โรคอ้วน, ไขมันในเลือดสูง, รูมาตอยด์, SLE, ไมเกรน, เครียด, โรคนอนไม่หลับ, ภูมิแพ้, หอบหืด, ท้องผูก, โรคอาหารไม่ย่อย, โรคลำไส้ระคายเคือง ฯลฯ
อาการบางอย่างที่ยังไม่สามารถระบุว่าเป็นโรคได้ ก็สามารถใช้การอดอาหารในการบรรเทาอาการของโรค คือ ปากเหม็น, อาการปวดกล้ามเนื้อ, อาการปวดข้อ, ปากเหม็น, กลิ่นตัวแรง, ท้องอืดเฟ้อ, ผิวพรรณหม่นหมอง ฯลฯ
4. ข้อห้าม
ข้อห้ามสำหรับการอดเพื่อสุขภาพ คือ งดปฏิบัติใน เด็กเล็ก, หญิงมีครรภ์, ผู้ป่วยโรคมะเร็ง, ผู้สูงอายุ, หรือผู้ที่ร่างกายอ่อนเพลียมาก
หมายเหตุ
- สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน สามารถที่จะอดอาหารได้ แต่ว่าควรที่จะอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ
สมาธิ Meditation
· Tab 1
สมาธิคืออะไร
สมาธิแปลว่า การมุ่งมั่นกระทำด้วยความตั้งใจ แน่วแน่ของจิต เกิดขึ้นครั้งแรกใน ภูมิภาคตะวันออก โดยเฉพาะ ทางศาสนา ศาสนาแรกที่มีการบันทึกไว้ถึง การทำสมาธิ คือ ศาสนาฮินดู ในประเทศอินเดีย ซึ่งต่อมาได้ ถูกดัดแปลง และนำมาใช้ นอกเหนือ บริบททางศาสนา เช่นการนำมาใช้ใน การออกกำลังกาย เช่น หัตโยคะ ชี่กง การทำสันสกฤตยานา (Sanskrit Dhayana) หรือศิลปะแขนงต่างๆ ของประชาชนพื้นบ้านในแถบเอเซีย (Martial Art) เป็นต้นโดยเน้นเรื่อง ความสงบเยือกเย็น และการเข้าถึง จิตวิญญาณ ของธรรมชาติ
รากเหง้าของคำว่า สมาธิ และ Meditation
สมาธิเป็นภาษา มาจากรากศัพท์สองศัพท์สนธิกัน คือ สO และ อธิ จากนั้นเอา O ที่อยู่บน “ส” เรียกว่า เป็น “ม” ในตัว “ม” มีสระ “อะ” อยู่หลัง “ม” แต่ในภาษาบาลีไม่นิยมใส่สระ “อะ” อยู่หลังพยัญชนะ ด้วยเหตุนี้ คำว่า “สO” จึงเปลี่ยนรูปเป็น “ม” และ “อธิ” เปลี่ยนรูปเป็น “อา” เมื่อสนธิกัน จึงเป็น สมาธิ ในซีกโลกตะวันออก สมาธิจะใช้มุมมองที่ได้จาก การสังเคราะห์ความจริง ตามธรรมชาติ (วิริยังค์ สิรินธโร, 2548) ขณะที่คำว่า Meditation มาจากภาษาละติน โดยมีจุดเริ่มต้นจาก การฝึกร่างกายและจิตใจ ให้มีความแน่วแน่ และมั่นคง มักจะพบใน ศาสนาคริสต์ ซึ่งจะกล่าวถึง สมาธิในด้านจิตวิญญาณ (Spiritual) เช่น สมาธิที่มาจาก ความทนทุกข์ของพระเยซู (Marcus Aurelius, 2006)
สมาธิคืออะไร
สมาธิแปลว่า การมุ่งมั่นกระทำด้วยความตั้งใจ แน่วแน่ของจิต เกิดขึ้นครั้งแรกใน ภูมิภาคตะวันออก โดยเฉพาะ ทางศาสนา ศาสนาแรกที่มีการบันทึกไว้ถึง การทำสมาธิ คือ ศาสนาฮินดู ในประเทศอินเดีย ซึ่งต่อมาได้ ถูกดัดแปลง และนำมาใช้ นอกเหนือ บริบททางศาสนา เช่นการนำมาใช้ใน การออกกำลังกาย เช่น หัตโยคะ ชี่กง การทำสันสกฤตยานา (Sanskrit Dhayana) หรือศิลปะแขนงต่างๆ ของประชาชนพื้นบ้านในแถบเอเซีย (Martial Art) เป็นต้นโดยเน้นเรื่อง ความสงบเยือกเย็น และการเข้าถึง จิตวิญญาณ ของธรรมชาติ
รากเหง้าของคำว่า สมาธิ และ Meditation
สมาธิเป็นภาษา มาจากรากศัพท์สองศัพท์สนธิกัน คือ สO และ อธิ จากนั้นเอา O ที่อยู่บน “ส” เรียกว่า เป็น “ม” ในตัว “ม” มีสระ “อะ” อยู่หลัง “ม” แต่ในภาษาบาลีไม่นิยมใส่สระ “อะ” อยู่หลังพยัญชนะ ด้วยเหตุนี้ คำว่า “สO” จึงเปลี่ยนรูปเป็น “ม” และ “อธิ” เปลี่ยนรูปเป็น “อา” เมื่อสนธิกัน จึงเป็น สมาธิ ในซีกโลกตะวันออก สมาธิจะใช้มุมมองที่ได้จาก การสังเคราะห์ความจริง ตามธรรมชาติ (วิริยังค์ สิรินธโร, 2548) ขณะที่คำว่า Meditation มาจากภาษาละติน โดยมีจุดเริ่มต้นจาก การฝึกร่างกายและจิตใจ ให้มีความแน่วแน่ และมั่นคง มักจะพบใน ศาสนาคริสต์ ซึ่งจะกล่าวถึง สมาธิในด้านจิตวิญญาณ (Spiritual) เช่น สมาธิที่มาจาก ความทนทุกข์ของพระเยซู (Marcus Aurelius, 2006)
สมาธิในเชิงจิตวิทยา
ในทางจิตวิทยา สมาธิถูกนำไปใช้ใน การอธิบายระดับของ จิตสำนึก (Consciousness) มีการนำไป ใช้ประโยชน์ และมีจุดมุ่งหมาย ที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ทำจิตใจให้สงบ น้อมนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติและ การมีสุขภาพของร่างกาย หัวใจ ระบบหลอดเลือดที่ดี ถ้านำมาใช้สำรวจสภาวะจิตอย่างช้าๆ ในอดีต และใน อนาคต จะช่วยให้เกิด ความสงบในจิตใจ และส่งผลต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นสมาธิ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่นำมาใช้ในเชิงจิตวิทยา
บริบทของสมาธิ
ส่วนใหญ่ สมาธิ จะถูกกล่าวถึงในแง่บวกได้แก่ การฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง การทำให้เกิด การมุ่งมั่นตั้งใจ ในการทำงาน การปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน ของบุคล หรือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ใน นิกายเซน (Zen) การปฏิบัติสมาธิ มีเพื่อทำให้ จิตใจเข้มแข็ง และ ควบคุมความโกรธ ดังนั้น สมาธิ ส่วนใหญ่จึงถูกนำเสนอในรูปของ กิจกรรมเดี่ยวๆ ที่สามารถนำมาปฏิบัติได้ในการฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง ปัจจุบัน การทำสมาธิ ได้ถูกนำมา ประยุกต์ใช้ใน บริบท ต่างๆมากมาย อาทิ การทำสมาธิ เพื่อ ปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม ศิลปะป้องกันตัว หรือ ค่านิยมเชิงบวก ต่างๆ ในสังคม
จุดประสงค์และผลที่เกิดขึ้นของการทำสมาธิ
จุดประสงค์ของการปฏิบัติสมาธิ ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือ การผ่อนคลาย จากชีวิตที่ยุ่งเหยิง สภาพจิตใจที่ว้าวุ่น การพบหนทาง หรือ สาเหตุแห่งความเป็นจริง การติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า และการหลุดพ้น ตามความเชื่อ ทางศาสนา ดังนั้นงานวิจัยส่วนใหญ่ จึงมุ่งเน้นไปที่ การฝึกสมาธิ อย่างเข้มข้นเพื่อ การรู้แจ้ง การตระหนักถึง เหตุแห่งความเป็นจริง การสร้างวินัยในตนเอง การควบคุมจิตใจและร่างกาย และ ความสงบ หรือ ปล่อยวาง สิ่งต่างๆ ที่เข้ามา กระทบกับชีวิต นักเขียนหลายๆท่าน หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง โทษของสมาธิ บางครั้ง ทำให้บางคน ยึดติดกับ ภาวะจิตนิ่งอยู่กับที่ จนเกิดความประมาท เกียจคร้าน ทำให้ผู้สอน การฝึกสมาธิ กลัวว่า จะกระทบกับความรู้สึกของ ผู้ที่กำลังฝึกสมาธิอยู่ นอกจากนี้ถ้า ฝึกสมาธิ เพียงลำพังบางครั้ง อาจทำให้เกิด ความรู้สึกฟุ้งซ่าน งมงายได้ มาคัส อูรีเลียส (Marcus Aurelius, 2006) กล่าวว่า ผลที่เกิดขึ้นของสมาธิได้แก่
1. เกิดความเชื่อในอำนาจที่ยิ่งใหญ่
2. เพิ่มความอดทน ความเมตตา คุณธรรม และศีลธรรม
3. ความรู้สึกสงบ สันติ และความสุข
4. ความละอายต่อความผิด ความเกรงกลัวต่อบาป ความรู้สึกเสียใจต่อความผิดที่ได้กระทำไป
5. เกิดแสงสว่าง หรือการรับรู้พิเศษต่างๆ
6. เผชิญกับความผิดพลาดในอดีต รวมทั้งความทรงจำต่างๆในอดีต หรือผลของการกระทำต่างๆ ในอดีต และทำการกำจัดสิ่งเหล่านี้
7. ประสบการณ์ของสัมผัสพิเศษ การหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆ เป็นต้น
8. สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ไม่สามารถอธิบายได้เช่น พลังเหนือธรรมชาติต่างๆ อาทิ การลอยได้ของโยคี
9. แง่มุมทางจิตเวช
การนำสมาธิมาประยุกต์ใช้เชิงสุขภาพและการศึกษาทางคลินิก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีความสนใจในเรื่อง การทำสมาธิ กับ การแพทย์เชิงจิตวิทยา(Venkatesh et al.,1997; Peng et al.,1999; Lazar et al.,2000; Carol et al., 2001) แนวคิดในเรื่องสมาธิ ได้ถูกนำมาใช้ใน เชิงคลินิก เพื่อที่จะวัดประสิทธิผลของ ระบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิในร่างกายมนุษย์ เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบการหายใจ ระยะหลังมีการพยายามนำ สมาธิ มาใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่อมา สมาธิ ได้ถูกผลักดันเข้าสู่ ระบบการดูแล สุขภาพ ในเรื่อง การลดความเครียด ความเจ็บปวด เช่น ในปี พ.ศ. 1972 ได้มีการนำ การทำสมาธิแบบ TM มาใช้เพื่อ ลดภาวะการเผาผลาญพลังงาน การลดชีวะเคมี ในกระแสเลือด อันเนื่องมาจาก ความเครียด ได้แก่สารแลคเตต (Lactate) การลดอัตรา การเต้นของหัวใจ และการลดความดันโลหิต รวมทั้งการเหนี่ยวนำคลื่นสมองที่จำเป็น (Scientific American 226:84-90 (1972)
ในแง่มุมของการลดความเครียด
สมาธิมักถูกใช้ใน โรงพยาบาลในผู้ป่วย โรคเรื้อรัง และผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อลดความเครียด หรือ ความวิตกกังวล รวมทั้งผู้ป่วยที่มี ภาวะลดลงของ ภูมิคุ้มกันในร่างกาย จากการศึกษาของ ดร.เฮอร์เบิรต เบนสัน สถาบันจิตวิทยา ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และโรงพยาบาลบอสตัน พบว่า การทำสมาธิ ทำให้เกิดการเลี่ยนแปลง สารเคมีบางอย่าง ในร่างกาย จนทำให้เกิดระยะของการผ่อนคลาย (Lazer et al.,2003) โดยระยะผ่อนคลาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของการเผาผลาญในร่างกาย การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และสื่อเคมีในสมอง นอกจากนี้จากการวิจัยอื่นเช่น จอน กาเบตซินและคณะ ในมหาวิทยาลัยแมตซาจูเซต พบว่าผลของ การทำสมาธิ ช่วยลดความเครียดได้ (Kabat-Zinn et al., 1985;Davidson et al.,2003)
การทำสมาธิและสมอง
การทำสมาธิ ด้วยการใช้ เทคนิคแบบมุ่งเน้น การพัฒนาจิต มีจุดประสงค์ เพื่อให้เห็นความคิด ภายในใจ ของตนเอง การคิดเช่นนี้ช่วยลดภาวะสมาธิสั้น ความตั้งใจที่มุ่งเน้นการจับจ้องไปที่อารมณ์จะช่วยให้เรา สามารถควบคุม สถานการณ์ อารมณ์ และสถานการณ์ที่ยุ่งยากผิดศีลธรรม รวมทั้งทำให้เรา รับผิดชอบ สถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เกิดความคิด ในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ต่างๆ และทำให้สิ่งต่างๆ ลื่นไหลไปได้ อย่างถูกต้อง
หนึ่งในทฤษฎีที่เสนอโดย เดเนียล กอลแมน และ ทาร่า – เบนเนต กอลแมน ใน ค.ศ. 2001 ได้อธิบาย การทำงานของสมาธิ ว่าเป็นเพราะ ความสัมพันธ์ระหว่าง amygdala ซึ่งเป็น เนื้อสมองที่มีรูปร่างคล้าย เม็ดแอลมอนด์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ทางอารมณ์ ความโกรธ ความกลัว และ บริเวณเนื้อสมองส่วน Prefrontal Cortex กล่าวคือ เมื่อเรารู้สึกโกรธ หรือวิตกกังวล ในเรื่องต่างๆ amygdala เป็นส่วนหนึ่งของสมอง ที่ทำให้เรา รับรู้ความรู้สึกต่างๆ นี้ได้ จากนั้น Pre-frontal Cortex จะทำหน้าที่หยุดและคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เรารู้กันโดยทั่วไป ว่าเป็น ศูนย์หลั่งสารยับยั้งต่างๆ หรือ (Inhibiter Center) ดังนั้น Prefrontal Cortex จึงทำหน้าที่ ได้อย่างดีเยี่ยมใน การวิเคราะห์และวางแผน ในระยะยาว ในทางกลับกัน amygdala เป็นสารที่ทำให้มนุษย์ เกิดการตัดสินใจ แบบเฉียบพลันและ จะส่งผลอย่างยิ่งยวด ใน การควบคุมอารมณ์ และ พฤติกรรม ซึ่งจะสัมพันธ์กับ การเอาชีวิตรอด ของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ถ้ามนุษย์เห็นสิงโตกำลังคืบคลานเข้ามา Amygdala จะทำหน้าที่เป็นกลไกในการต่อสู้ หรือ ตอบสนองในการถอยหนีก่อนที่ Pre-frontal Cortex จะทำหน้าที่ตอบสนอง แต่เมื่อต้องการใช้การตัดสินใจแบบเฉียบพลัน ถ้า Amygdale เกิดความบกพร่อง ก็จะทำให้เราเผชิญกับอันตราย อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงเมื่อสังคมเกิดการขัดแย้งซึ่งแตกต่างจาก เหตุการณ์ข้างบนที่ มนุษย์เผชิญกับผู้ล่าคือ สิงห์โต เราพบว่า เหตุการณ์ที่ทำให้มนุษย์รับรู้ว่า เกิดความไม่สุขสบาย หรือรับรู้ว่าเกิดอารมณ์เปลี่ยนแปลง ไม่สุขสบาย กลัว วิตกกังวล เครียด และสับสน ก็จะทำให้เกิด Amygdala บกพร่องด้วยเช่นกัน
เนื่องจากมีความแตกต่างของเวลา เมื่อมนุษย์เผชิญกับ เหตุการณ์คับขัน Amygdala และ Prefrontal cortex จะทำหน้าที่ด้วยตัวของมันเอง การฝึกสมาธิ จะทำให้สมองส่วน left pre-frontal cortex ทำงานได้ดีขึ้น สุดท้าย จะทำให้มนุษย์เราสามารถควบคุมเหตุการณ์ต่างๆได้โดยตรง และเกิดความรู้สึกในด้านบวกขึ้น ความแตกต่างใน เรื่องบทบาทของสมองส่วน amygdala และ prefrontal cortex เราสามารถสังเกตการทำงานได้ง่ายๆ จากการใช้ยาเสพติดชนิดต่างๆ โดยทั่วไป การใช้แอลกอฮอล์ จะกดการทำงานของสมองโดยเฉพาะในส่วนของ prefrontal cortex โดยจะทำให้เกิด การหลั่งสารยับยั้งต่างๆ ลดลง ความตั้งใจในการทำงานลดลง และลดสภาวะ ความมั่นคงของอารมณ์ และเกิดพฤตกรรมก้าวร้าวได้ (Daneil Goleman &Tara Bennett-Goleman, 2001) นอกจากนี้ในการศึกษาวิจัยบางชิ้น ยังพบว่า การทำสมาธิ จะสัมพันธ์กับ ความมีสมาธิ การวางแผน การับรู้ การคิด และผลในเชิงบวก ทางด้านอารมณ์ ยังมีงานวิจัยที่คล้ายกันซึ่งพบว่า การทำสมาธิ จะช่วยลด ความรู้สึกหดหู่ใจ ความวิตกกังวล และเพิ่มการทำงานของสมองใน ส่วนprefrontal cortex ซีกซ้าย
สมาธิและคลื่นสมอง (EEG’s)
คลื่นไฟฟ้าในสมอง จากการทำสมาธิพบว่า เกิด gamma wave activity ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การเชื่อมประสาน ระหว่างส่วนต่างๆ ของสมอง ขณะทำสมาธิ มีการศึกษาเรื่อง การทำสมาธิ ในแนวพุทธ เพื่อฝึกจิตใจ และมีการวัดคลื่นสมอง ผู้ฝึกสมาธิ มาเป็นระยะเวลา 10 ถึง 40 ปี พบว่า บุคคลกลุ่มนี้ สามารถ ทำให้gamma wave activity ในสมองค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้ ถึง แม้ว่าผู้นั้นจะอยู่ในภาวะพักผ่อนหรือไม่ได้ทำสมาธิอยู่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การฝึกสมาธิจะช่วย ทำให้บุคคลสามารถควบคุมการเกิด gamma wave activity ได้ ที่สำคัญคือสามารถวัดผลที่ได้ จากเครื่องวัดคลื่นสมอง (EEG Machine) ในขณะตื่นพบว่า คลื่น Beta จะอยู่ในช่วงคลื่นความถี่ 14-21 รอบต่อวินาที ขณะอยู่ในสมาธิสมองจะช่วยควบคุมคลื่น Alpha ให้อยู่ในช่วง 7-14 รอบ ต่อวินาที บุคคลแรกที่ค้นพบวิธีการวัดคลื่นสมองคือ Jose Silva และเรียกวิธีการวัดนี้ว่า Silva Method โดย Silva ค้นพบว่า การทำสมาธิ จะช่วยลดความเครียด ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ในการมองตนเอง เชิงประจักษ์และ ความคิดสร้างสรรค์
ผลกระทบในทางตรงข้ามของสมาธิ
งานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นถึง ผลลัพธ์เชิงบวกของสมาธิ อย่างไรก็ตามยังมีงานวิจัยบางส่วนที่ค้นพบถึง ผลกระทบในทางตรงข้ามของสมาธิ (Lukoff , Lu & Turner, 1998; Perez-De-Albeniz & Holmes, 2000) โดยกล่าวว่าถ้าบุคคล ฝึกปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การทำสมาธิอาจทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจได้ เช่น Kundalini Syndrome หรือ Shamanic illness (ความเชื่อว่า การฝึกสมาธิ จะทำให้เกิดอำนาจพิเศษ) และเกิดปัญหาทาง ด้านร่างกาย เช่น การฝึกชี่กง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากแนวคิดทางตะวันออก ซึ่งมีการนำสมาธิ มาใช้เพื่อปรับปรุง สุขภาพและจิตวิญญาณ การที่ชาวตะวันตก นำมาประยุกต์ใช้ โดยไม่ได้ศึกษา บริบททางด้านศาสนา จนทำให้เกิดปัญหาโรคจิตเรื้อรัง รวมทั้ง ปัญหาทางสุขภาพ ร่างกายมีการศึกษา ผู้ฝึกสมาธิในระยะเวลานานจำนวน 27 คนพบว่า เกิดความรู้สึกซึมเศร้า หนีความจริง และเกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ (Perez-De-Albeniz & Holmes, 2000)
การชนะใจตนเอง Mind Control
· Tab 1
การชนะใจตนเอง Mind Control
ความหมายและความสำคัญ
การชนะใจตนเอง หมายถึง การเอาชนะจิตใจฝ่ายต่ำ หรือ กิเลสตัณหา ในตัวของเราเองและ การเอาชนะ จิตใจที่ชั่ว หรือ ผิดศีลธรรม ด้วย คุณงามความดี จรรยาบรรณ หรือ จริยธรรม ที่มีคำสอนอยู่ในศาสนาทั้งหลาย คนที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้ ต้องฝึกหัดแก้ไขนิสัย ที่ไม่ดีของตน ให้เกิดนิสัยดีขึ้นมาทดแทน นั่นคือคนที่ ชนะใจตนเอง ต้องสามารถ รักษาศีล หรือ มีธรรมะอยู่ในใจ เป็นปกติ
ความสำคัญของ การชนะใจตนเอง
1. ทำให้วิถีชีวิต ของตนเอง เปลี่ยนแปลง
2. ทำให้ตนสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
3. ทำให้สามารถดำรงคุณงามความดีของตนไว้ แม้ว่า สังคม หรือ เพื่อนร่วมงานของเราเป็น คนทุจริต หรือมีพฤติกรรมชั่วร้าย เราก็ไม่ตกเป็นผู้คล้อยตาม กระแสสังคมไปได้
4. ทำให้เราสามารถ สร้างฐานะหลักฐานให้เป็น ที่พึ่งของตนเอง และ ครอบครัวตน ถึง สังคมส่วนรวม อันหมายถึง ประเทศชาติ ของเราด้วย คนเราที่ทำชั่ว หรือทำผิดด้วย ประการใด ๆ ก็ดี เป็นเพราะเขาไม่อาจเอา ชนะใจตนเอง ได้
คุณค่าของการชนะใจตนเอง
คนเราจะชนะใจตนเองในด้านใดก็ตาม จะได้ผลดีในด้านนั้น คนที่เอา ชนะใจตนเอง ในด้าน ความเกียจคร้าน จนกลายเป็น คนที่ขยันหมั่นเพียร ย่อมทำให้เขามี ผลงานที่เกิดจาก แรงกาย แรงสติปัญญาทำให้เขาได้รับ ความก้าวหน้า หรือสร้างฐานะการงาน ให้เจริญรุ่งเรือง และมีฐานะมั่นคงได้ คนที่เอา ชนะใจตนเอง ในการ ถือศีลห้าให้บริสุทธิ์ จนไม่มีที่ตำหนิแล้ว ทางศาสนาพุทธระบุว่า คน ๆ นั้นย่อมเป็นพระอริยะบุคคลขั้นโสดาบัน คนที่เอาชนะใจตนเองด้วย การมีจิตเมตตา แผ่เมตตา ไปให้ทั้งมิตรและศัตรู โดยไม่ประมาท ผลก็คือเขาจะเป็นคนมีเสน่ห์ มีผู้ที่รัก และต้องการ คบหาสมาคมด้วย คนที่ชนะใจตนเอง โดยหมั่นกระทำแต่ คุณงามความดี มีความเสียสละให้แก่ประเทศ ชาติบ้านเมือง เขาย่อมได้รับเกียรติยกย่องจากคนในสังคม จัดว่าเป็นคนที่มี คุณค่าต่อประเทศชาติ คนที่มีแรงใจสูงเสียสละ เพื่อการกอบกู้เอกราชของประเทศชาติ อาทิ สมเด็จ พระนเรศวร หรือ สมเด็จ พระเจ้าตากสิน ย่อมได้รับคำสรรเสริญจากประชาชนว่า เป็นพระมหาราช ผู้ที่จะสามารถเอาชนะใจตนเอง ในทุก ๆ ด้าน ทางคริสต์ศาสนาเรียกว่า เป็นนักบุญ เป็นผู้ที่สืบสานต่อพระศาสนาให้ยืนยาวไปถึงคนรุ่น ต่อ ๆ ไป คุณงามความดี นั้นเป็นที่ ตราตรึงใจต่อ ศาสนิกชนในศาสนานั้น ๆ คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ก็เพื่อบำเพ็ญคุณงามความดี และเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ชีวิตของคนเราเป็น ชีวิตแห่งการต่อสู้ เราจะต้องต่อสู้ไปจนตลอดชีวิต สิ่งที่สำคัญที่ควรจะ ต่อสู้เพื่อเอาชนะให้ได้ก็คือ ความทุกข์ ไม่มีใครเลยในโลกนี้ ที่เกิดมาแล้วมี ความสุขไปจนตลอดชีวิต วิถีชีวิตของคนเราจะต้องผจญกับ ปัญหาอุปสรรคมากมายหลายชนิด และเมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว คนเรามีความทุกข์ทั้ง ทางกายและทางใจ ทางกายนั้นก็ย่อมมีการเจ็บป่วย หรือ อุบัติเหตุบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ทางใจก็คือ ความทุกข์ ที่เกิดจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในการพลัดพรากจาก คนที่เรารัก หรือ สิ่งที่เรารัก หรือไม่ก็เกิดจาก สิ่งที่เรารัก หรือ คนที่เรารักต้องพลัดพรากจากเราไป คนที่อยู่ในสังคมเมือง มักจะเต็มไปด้วย ความรีบร้อน และความเครียด ถ้าไม่รู้จักแก้ไข หรือ บรรเทาความทุกข์ร้อน เช่น ความวิตกกังวล ความมีโทสะ ความโลภ ความวุ่นวายใจ ฯลฯ ชีวิตของคนเหล่านั้นย่อมหาเวลาที่สุขสงบได้ยาก จริง ๆ คนที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตนั้น ลำพังเราไม่อาจแก้ไขสิ่งแวดล้อมได้ แต่มีอีกทางหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องแก้ไขสิ่งแวดล้อมได้ แต่เป็นการแก้ไขตนเอง ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง มี จิตตานุภาพ ที่เอาชนะอุปสรรคทุกชนิด ที่ผ่านเข้ามาใน วิถีชีวิตของเรา เราเรียกคนที่ชนะอุปสรรค หรือทุกข์ใจว่า ผู้ที่ชนะใจตนเอง ดังที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าการเอาชนะใจตนเองเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก และมีความสำคัญไม่ว่าเราจะอยู่ในสังคมใด ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมือง หรือสังคมชนบท เพราะความทุกข์ ย่อมติดตามคนเราไปเสมอ เพราะมันติดไปกับใจของคนเรา การหนีทุกข์ด้วยวิธีใด ๆ ก็ไม่มีคุณค่าเท่ากับ สามารถเอาชนะใจตนเอง การเอาชนะใจตนเองจึงมีความสำคัญ ที่เราควรสร้างขึ้นมา ให้จงได้ การที่เราจะชนะใจตนเองนั้น ขอให้เราจัดการกับตัวเรา กับสังคมที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดก็คือ สถาบันครอบครัว ให้มีความปกติสุข ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ให้มีการเอื้อเฟื้อและรู้จักหน้าที่ที่มีและกระทำไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เช่น หน้าที่ของพ่อแม่ มีอย่างใดก็ให้ทำ หน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด หรือถ้าเราเป็น บุตรหลาน เราก็ทำหน้าที่ของบุตรหลานให้ดีที่สุดเช่นกัน ซึ่งเป็นการแก้ไขตนเองอย่างง่าย ๆ ถ้าเราทำได้ ดังนี้ก็เรียกได้ว่า เป็นการเอา ชนะใจตนเอง ในระดับหนึ่งแล้ว ต่อไปเมื่อเราไปสู่ สังคมแวดล้อม ที่กว้างขึ้น เช่น ในสถานศึกษา หรือที่ทำงาน ก็ให้เราปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่าให้บกพร่อง ให้เต็มใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด กล่าวคือ เมื่อเราเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาก็พยายามศึกษาเล่าเรียนให้ดีที่สุด ถ้าจะร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการศึกษาแล้ว ก็อย่าให้ การเรียนเสีย เราต้องเรียนให้ดี และเล่นให้ดี ส่วนเมื่อเราต้อง เข้าไปทำงานในหน่วยงานใดก็ให้เราทำหน้าที่ที่เราพึงทำให้ดี ให้เรียบร้อย รอบคอบ ส่วนผลจะมีประการใด ไม่ต้องคำนึงถึง คิดเสียว่า เรากำลังกระทำความดี ถ้าทำได้เพียงนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเรา เอาชนะใจตนเอง ในเบื้องต้นได้แล้วอานิสงส์แห่งการเอาชนะใจตนเอง ก็คือเราย่อมเป็นคนที่มีคุณค่าในสังคม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นผู้ที่เอา ชนะจิตใจตนเอง ได้อย่างเด็ดขาด ในคืนวันแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ได้ทรงต่อสู้กับพญามาร มีฤทธิ์และบริวาร มากมาย แต่ก็ทรงเอาชัยชนะได้โดยลำพัง พระองค์เดียว ทรงชนะกิเลสตัณหาจนหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชน กลายเป็น พระอรหันต์ พระองค์แรก และ ทรงสั่งสอนศิลปะ ในการต่อสู้ กับกิเลสตัณหาให้แก่พระสาวก จนเกิดเป็น พระอริยสงฆ์สืบต่อ พระพุทธศาสนา มาจนถึงปัจจุบัน ในการต่อสู้กับ กิเลสตัณหา หรือ การต่อสู้เพื่อเอาชนะใจตนเองนั้น พระบรมศาสดาทรงวางแนวไว้คือ มรรคมีองค์ 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ความคิดชอบ ความเพียรชอบ อาชีพชอบ การทำชอบการพูดชอบ สติชอบ และสมาธิชอบ เมื่อจะกล่าวโดยย่อ ๆ ก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
แนวทางในการชนะใจตนเอง
1 การฝืนใจ
ในการเอาชนะใจตนเอง จะไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการฝืนใจ การหมั่นฝึกหัดในการฝืนใจตนเองนั้น ยังมีแยก ออกไปอีก คือ การฝืนใจแบบครั้งเดียว เลิกนิสัยไม่ดีไปเลย หรือการฝืนใจโดยวิธีแก้ทีละน้อยจนแก้ได้หมดเลย สำหรับคนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง อาจฝืนใจแก้ได้สำเร็จเด็ดขาดไปในครั้งเดียวแล้วเลิกไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่ดี จนไม่กลับมาทำอีก ในภายหลัง แต่สำหรับคน ที่ยังมีใจอ่อนแอและไม่ค่อยต่อสู้กับการดำเนินชีวิต ควรที่จะ ต้องแก้ไขแบบค่อยเป็นค่อยไป อาทิ การงดสูบบุหรี่ หรืองดเสพสุรา หรือยาเสพติดใด ๆ ก็ตาม เราต้องฝืนใจเป็นอย่างมาก มีทั้งผู้ที่ ทำสำเร็จ และทำไม่สำเร็จ สิ่งเหล่านี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นโทษยิ่งกว่าให้คุณ แต่ก็หาคนฝืนใจเลิกได้น้อยมาก บางคนอาจใช้เวลาถึงครึ่งชีวิตกว่าจะเลิกสิ่งเสพติด และบางคนก็อาจพ่ายแพ้ มาตลอดจนกระทั่งตายไป เพราะพิษร้ายของบุหรี่ สุรา อบายมุขอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น คบเพื่อนชั่ว การเล่นการพนัน การเที่ยวกลางคืน การดูการละเล่น และความเกียจคร้าน เหล่านี้เป็นนิสัยที่ทำให้คุณธรรม ในการดำรงชีวิต เสื่อมเสียไป การจะเอาชนะใจตนเองจนเลิกสิ่งเหล่านี้โดยเด็ดขาดย่อมเป็นการฝืนใจอย่างแรงมาก แต่ถ้าเราไม่ฝืนใจแก้
เสียแต่เนิ่น ๆ ยังประพฤติอยู่กับทางแห่งความชั่วนี้แล้ว ชีวิตของเรานับวันแต่จะตกต่ำ และต้องเป็นทาส มันไปตลอดชีวิต
ความเกียจคร้านเป็น อบายมุขอย่างหนึ่งที่เราควรจะแก้ไข และการแก้นั้นก็ต้องใช้ความฝืนใจอย่างมาก
ในระยะแรก ๆ แต่ถ้าแก้ไขได้แล้ว จะทำให้เราเป็นคนที่มีความก้าวหน้าในอาชีพการงานเป็นอย่างยิ่งลำพัง
การแก้ไข โดย การฝืนใจแล้วต้องใช้กุศโลบายอื่น ๆ อีก เช่น เห็นโทษของมัน โทษของความเกียจคร้าน เท่าที ่แลเห็นง่าย ๆ มีดังนี้
1. ทำให้เวลาล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์
2. ทำให้การงานคั่งค้าง
3. เป็นคนรกโลก
4. เป็นคนที่ไม่มีใครเชื่อถือ
5 ได้รับความเดือดร้อน
6. ไม่ได้รับความเจริญก้าวหน้า
7. โทษอื่น ๆ อีก เช่น ทำให้สุขภาพเสีย ทำให้อ่อนแอ ทำให้ทรัพย์หมดไป ฯลฯ
มีพุทธสุภาษิตบทหนึ่ง สำหรับการเตือนให้รำลึกอยู่เสมอ คือ หมั่นคิดเนือง ๆ ว่า "วันคืน ล่วงไป ๆ เราทำอะไรอยู่" และอีกบทหนึ่งว่า "ใครจะประมาทก็ช่างเขา เราอย่าประมาท ใครจะหลับใหลก็ช่างเขา เราอย่าหลับใหล เราตื่นตัวอยู่เสมอ ผู้ที่ฉลาดในเรื่องนี้ ย่อมวิ่งขึ้นหน้าผู้อื่น เสมือนม้าฝีเท้าดีย่อมทิ้งม้า ฝีเท้าเลวไว้เบื้องหลัง"
วิธีแก้อุปนิสัยเกียจคร้าน อ่อนแอ ท้อถอย ผัดวันประกันพรุ่ง มีดังนี้
1. อย่าคบกับคนที่มีอุปนิสัยไม่ดีดังกล่าว เลือกคบกับคนที่มีความมานะ พยายาม บากบั่นในการทำงาน ดูการทำงาน และการดำเนินชีวิตของเขา เลือกเอาแต่นิสัยดีที่มีอยู่ในตัวเขา นำมาประพฤติปฏิบัติ
2. เลือกอ่านหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญ จะเห็นว่าไม่มีคนสำคัญคนใดในประวัติศาสตร์ที่มีนิสัย เกียจคร้าน อ่อนแอ ท้อถอย หรือผัดวันประกันพรุ่ง
3. เลือกอ่านหนังสือประเภทปลุกใจ ให้เกิดความมานะพยายามและคิดสร้างอนาคต เราควรมีหนังสือ ประเภทนี้อยู่บนโต๊ะทำงาน เมื่อใดที่เกิดความเกียจคร้าน ท้อถอย อ่อนแอ ก็ให้หยิบมาอ่านทันที
4. เห็นโทษของความเกียจคร้าน เห็นโทษของความอ่อนแอ ท้อถอย และการผัดวันประกันพรุ่ง
5. ครั้งแรกก็ยังมีอุปนิสัยเหล่านี้อยู่ จงพยายามฝืนใจแก้นิสัยเหล่านี้ โดยลองเขียนถึง การงานที่จะทำในวันต่อไป ไว้ในเศษกระดาษแผ่นหนึ่งก่อนนอน แล้วเมื่อตื่นขึ้นก็ฝืนใจ ทำตามที่เขียนไว้
6. จัดตารางเวลาประจำวันในการทำหน้าที่และลองแก้ไขดูให้เหมาะสม ว่าในแต่ละชั่วโมงเราจะทำอะไร เป็นกิจวัตรบ้าง แต่อย่าหักโหมในระยะแรก ต้องให้มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจบ้าง
7. พยายามจดจำคติ สุภาษิต ไว้เตือนตนเอง เช่น
พินิจนาฬิกา
บอกเวลาแสนซื่อตรง
เครื่องจักรพึงพิศวง
ทำหน้าที่ดีเหลือหลาย
เครื่องจักรในมนุษย์
ประเสริฐสุดทั้งใจกาย
เหตุใดไม่อับอาย
มัวเกียจคร้านงานไม่ทำ
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ
8. ถ้าสุดวิสัยที่แก้แล้วให้หาสาเหตุว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่อยากทำงาน ถ้าเกิดจากโรคบางอย่าง ก็ควรให้ แพทย์ตรวจ รักษาเสีย โรคบางอย่างทำให้ไม่อยากทำงาน เช่น โรคไขข้อรูมาติสม์ โรคประสาท บางประเภท ฯลฯ
9. ลองศึกษาคำสอนของศาสนาที่นับถืออยู่แล้วเลือกปฏิบัติดู พุทธศาสนาสอนให้แก้ไขตนเองหลาย ประการ เมื่อรสพระธรรมเข้าถึง จิตนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายก็จะค่อย ๆ ลดลง มิใช่แต่จะกำจัดนิสัยเกียจคร้าน ได้เพียงอย่างเดียว เท่าที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด สรุปได้ว่า การเอาชนะใจตนเองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝืนใจตนเองให้พ้น จากความเกียจคร้าน อ่อนแอ ท้อถอย ผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งเป็นแนวทางอันดับแรกที่สำคัญสำหรับ การเอาชนะใจตนเองได
2 การหักใจ
การหักใจก็ดี การแข็งใจก็ดี การตัดใจก็ดี ล้วนแต่เป็นวิธีการเอาชนะใจตนเอง คนที่มีความเข้มแข็งแรงกล้าเท่านั้น จึงจะทำได้สำเร็จ สำหรับคนอ่อนแอ โลเล เหลวไหล หรือ เหลาะแหละ ไม่รู้จักอดทน อดกลั้น ในสิ่งที่มากระทบ เข้ากับตนแล้วเอา แต่เสียใจ โศกเศร้า หรือซึมเศร้า ฯลฯ ย่อมเป็นคนที่พ่ายแพ้ต่อวิถีการ ดำเนินชีวิต และไม่อาจเอาชนะจิตใจตนเองได้
คนหนุ่มคนสาวหลายคน ที่มีความรักและทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่คนที่ตนรัก บางคนต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อคนรักของตนไป รักกับคนอื่น หรือคนรักพลัดพรากจากไป ก็ปล่อยชีวิตไปในทางเสเพล หรือกลายเป็นคน สิ้นคิด บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย เพราะผิดหวังในความรักก็มี แต่คนที่ฉลาดต้องรู้จักหักใจ หรือ ตัดใจ การฝืนใจ ต่างกับ การหักใจ อย่างไรก็อาจอธิบายได้ว่า การฝืนใจนั้นไม่ต้องใช้ความมานะพยายามมาก เท่ากับการหักใจ แต่ทั้งสองประการนี้ต่างก็เป็นวิธีที่ดีในการเอาชนะใจตนเอง การหักใจนั้นทำ ได้ยากกว่า และเมื่อทำได้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องฝืนใจอีกเลย คนที่หักใจต่อ ความทุกข์ร้อน ในการดำเนินชีวิตในเรื่องใด เรื่องหนึ่งได้ ก็นับได้ว่าเขารู้จักหักใจ ไม่รู้จักตัดใจ ไม่รู้จักแข็งใจ ย่อมเป็นคนที่อ่อนแอ ไม่มีความอดทน มีแต่ความขลาดกลัว มีแต่ความท้อถอย และมีแต่ความประมาท ฯลฯ คนประเภทหลังนี้ย่อมเป็นทาสของ
ความคิดที่วนเวียน คิดแล้วคิดเล่าอยู่แต่เรื่องที่ตนเองเสียใจ และหลายคนร้องไห้คร่ำครวญ มีทุกขเวทนา คับแค้นใจ คนเหล่านี้นับว่า เป็นคนที่น่าสงสารอย่างยิ่ง ไม่มีใครช่วยเขาได้ ตราบใดที่เขาไม่รู้จักช่วยตนเอง ไม่รู้จักหักใจใน เรื่องทุกข์ร้อนทางใจ สุขภาพทางจิตย่อมเสื่อมโทรม หลายคนต้องไปรักษากับจิตแพทย์หรือ นักจิตวิทยา เพราะเขามองไม่เห็นทาง แก้ปัญหาของเขาได้เอง ต้องคอยพึ่งคนอื่นให้คำแนะนำ และต้อง พึ่งยาเป็นประจำ บางคนเสียทรัพย์ เสียบุตรภรรยา เผชิญกับความทุกข์ วุ่นวายใจ นอนไม่หลับ เป็นโรคจิต หรือโรค ประสาท หวาดระแวง เหล่านี้ถ้าเกิดกับคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง เขาจะรู้จักหักใจ และคิดในทางที่เป็นคุณ เมื่อเสียทรัพย์ก็คิดว่าไม่เป็นไรหาเอาใหม่ก็ได้ เสียบุตรภรรยา ก็หักใจว่าถ้าเราไม่ตายก่อน บุตรภรรยาอาจ ต้องตายก่อนเรา นี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้า บางคนเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคเอดส์ ฯลฯ ซึ่งเป็นโรคที่รักษายากและบางโรคก็ไม่มีการรักษาให้หายได้เลย ถ้าเขารู้จักหักใจเสียบ้าง เขาย่อมปรับใจตนเองได้ และไม่จมอยู่แต่ความทุกข์ทรมาน ันทำให้คนรอบข้างต้องพลอยวิตกกังวลไปด้วย เวลาย่อมเป็นสิ่งที่เยียวยา ความทุกข์ทางใจให้เหือดหายได้ คนที่อกหักต่อความรัก เวลาจะช่วยให้เขาลืม ความทุกข์ได้ และถ้าเขารู้จักหักใจเสียบ้าง ไม่หมกหมุ่นครุ่นคิดวนไปเวียนมา เขาก็อาจหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าเขาอยากจะหายจาก โรคทางใจ หรือโรคใจ ไม่มีวิธีใดที่จะดีที่สุดเท่ากับการรู้จักหักใจ การหักใจนั้น ก็คือ การรู้จักเลิกคิดในเรื่องที่ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อ งความรักใคร่ ความเสียดาย อาลัยอาวรณ์ คนฉลาดคิด ย่อมรู้จักเลือกคิดในสิ่งที่ดี เป็นมงคลต่อชีวิต ไม่คิดคร่ำครวญวนเวียน แต่เรื่องอดีตที่เศร้า อยู่นั้น คนที่ควบคุมความคิดของตนเองได้โดยเด็ดขาด คือ คนที่เอาชนะใจของตนเอง ได้อย่างเด็ดขาด นั่นเอง แต่ความคิดของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย สำหรับคนที่ยังเขลา หรือไม่รู้จักใช้ความคิดของตนเองอย่างถูกต้อง
3 การหักห้ามใจ
การหักใจกับการหักห้ามใจตนเองนั้นไม่เหมือนกัน การหักใจ คือ หักความคิดไม่ให้วนเวียน แต่จะเศร้าโศก เอาแต่เสียดาย อาลัยอาวรณ์ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของ ๆ ตน หรือเป็นของ ๆ ตนมันไม่เที่ยง คนที่หักใจได้ ก็จะเลิกทุกข์หรือเศร้า แต่การหักห้ามใจนั้นเป็นได้ 2 อย่าง กล่าวคือ เป็นการป้องกันก่อนที่จะเกิดเรื่อง เสียหายขึ้น กับเป็นการแก้ไขเมื่อเหตุการณ์ร้ายนั้นผ่านไปแล้ว อาทิ ผู้ใหญ่ที่ห่วงใยในบุตรหลาน ที่อยู่ใน วันรุ่นวัยเรียนมักจะสอนบุตรหลาน "เจ้าอย่าพึ่งริรักในวัยเรียน จงรู้จักหักห้ามใจอย่างชิงสุกก่อนห่าม เพราะ ถ้าเจ้าไม่รู้จัก หักห้ามใจแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง"
ส่วนการหักห้ามใจที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว อาจได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ท่านสอนว่า "คนรักของเจ้าก็ได้จากไป แล้ว เจ้าจงหักห้ามใจอย่ามัวทุกข์โศกอยู่เลย เรื่องมันเกิดไปแล้วก็ให้แล้วกันไป ไม่มีประโยชน์อะไร จะ ไปมัวเศร้าโศกเสียดายอยู่ทำไม"
การหักห้ามใจภายหลังที่เกิดเรื่องร้ายผ่านไปแล้วนั้น แม้จะดูคล้ายกันกับการหักใจก็จริง แต่การหักใจ จะมีผลได้เร็วกว่า เลิกทุกข์เลิกอาลัยอาวรณ์เด็ดขาดมากกว่าการหักห้ามใจ การหักห้ามใจเป็นการทำใจให้ ปรับสภาพการณ์ ที่มันเปลี่ยนไป เมื่อเหตุการณ์ผิดหวังไปจากที่คิด ก็ควรหักห้ามใจค่อย ๆ หักห้ามมิใช้ให้ หักใจอย่างเด็ดขาดในทันที
วิธีการที่จะยึดศีลธรรม ในศาสนาอาจจะใช้การหักห้ามใจก็ได้ เช่น ศีลข้อที่ 1 อย่าฆ่าสัตว์ เราก็ควร หักห้ามใจ ไม่ให้เกิดโทสะ หรือเกิดโลภะในอันที่จะทำให้เกิดการฆ่าสัตว์ขึ้น ศีลข้อที่ 2 อย่าลักทรัพย์หรือ ฉ้อโกงคนอื่น ก็ให้รู้จักหักห้ามใจไม่ทำเพราะไม่รู้ว่ามีโทษ ศีลข้อที่ 3 อย่าประพฤติผิดในกาม ก็หักห้าม ใจอย่าล่วงผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ศีลข้อที่ 4 อย่ากล่าวเท็จหรือพูดปด อันทำให้ผู้อื่นเสียหาย ก็รู้จักหักห้ามใจ ไม่ทำเพราะมีโทษทั้งทางธรรมและทางโลก กล่าวคือ เป็นการผิดกฎหมายอีกด้วย ศีลข้อที่ 5 อย่าเสพ สุรายาเมา หรือยาเสพติด ก็หักห้ามใจไม่ลองเสพ
คนบางคนที่ประสบกับปัญหาชีวิตอย่างกะทันหันและอย่างรุนแรง เช่น ถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้สิน คนอื่นจำนวนมาก ๆ เกิดโรคร้ายแรงทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ถูกป้องร้ายหมายชีวิต ต้องโทษในคดี อาญา ต้องถูกจำคุกหรือประหารชีวิต ฯลฯ เหล่านี้ถ้าไม่รู้จักหักห้ามใจก็จะเป็นถูกอย่างมาก ถ้าฝึกการ รู้จักหักห้ามใจบ่อย ๆ เราอาจนำมาใช้ในคราวที่เกิดความเดือดร้อนอย่างสาหัส ก็จะไม่เป็นทุกข์มาก แต่ ลำพังการหักห้ามใจอาจจะยังไม่เกิดผลดีจึงต้องรู้จักใช้การปลงใจ
4 การปลงใจ
การปลงใจ คือ การรู้เท่าทันในวิถีชีวิตว่ามีการขึ้น ๆ ลง ๆ มีทั้งทางที่ได้กับทางที่เสีย ได้แก่ โลกธรรม 8 คือ
ทางได้ ทางเสีย
ได้ลาภ เสียลาภ
ได้ยศ เสื่อมยศ
ได้สุข เสียสุข
สรรเสริญ นินทา
ท่านเปรียบวิถีชีวิตของคนเราเหมือนกับการอยู่ในห้องแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่เป็นกระเบื้อง 8 แผ่น กล่าวคือ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และเสียลาภ เสื่อมยศ ทุกข์ นินทา เราต้องรู้จักปลงใจอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้เราไม่ อาจหลีกเลี่ยงได้ ชีวิตของคนเราต้องพบกับ สิ่งเหล่านี้ทุกวันคืน ถ้าเราดีใจหรือรู้สึกพองตัวคราวที่ได้รับสิ่งใด มา เราก็จะต้องพบความเสียใจเมื่อต้องเสียสิ่งเหล่านี้ไป ดังนั้นเราต้องรู้จักทำใจหรือปลงใจทุกครั้งไม่ว่า จะได้หรือเสีย ถ้าได้มาก็ปลงว่ามันไม่เที่ยง วันหนึ่งมันก็อาจต้องเสียไป ในเรื่องลาภนั้นส่วนใหญ่หมายถึง ทรัพย์ ได้ลาภก็คือได้ทรัพย์ หรือเกิดความร่ำรวย มีบ้าน มีรถยนต์ มีฐานะการเงินดี เราจะรู้สึกดีใจ หรือ ปลื้มใจ แต่เมื่อถึงคราวต้องเสียบ้าน เช่น ไฟไหม้บ้าน เป็นต้น ก็จะรู้สึกเสียใจ ทำนองเดียวกับได้ยศฐา บรรดาศักดิ์ หรือถึงคราวต้องเสื่อมยศก็ดีใจบ้างเสียใจบ้าง เช่นนี้นับเป็นผู้ที่หลงโลกเป็นอย่างยิ่ง เรื่องสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ก็เช่นกัน มันคือเรื่องของความเป็นไปตามกระแสทางโลก กระแสทางสังคม ถ้าเรา ไม่รู้จักปลงใจ เราจะต้องรับพิษร้าย และอาจถึงกับต้อง คิดฆ่าตัวตายไปเลยก็เป็นได้ ในทางพุทธศาสนามีคำสอนเกี่ยวกับการปลงใจไว้มากทีเดียว ถึงกับมีข้อความอันรุนแรง เพื่อให้ ศาสนิกชนพิจารณาถึง ความไม่เที่ยง อาทิ มีคำสอนว่า "ดูก่อนภิกษุ ไม่มีอะไรในโลกนี้ พึงยึดถือได้เลย มีแต่ความทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่ดับไป" มีคำสอน ให้หมั่นระลึกหรือ สวดอยู่เสมอ ๆ เพื่อให้รู้จักการปลงใจ ได้แก่
- เราเกิดมาแล้ว เรามีความชรา เป็นธรรมดา เราล่วงความชราไปไม่ได้
- เราเกิดมาแล้ว เรามีความป่วยไข้เป็นธรรมดา เราล่วงความป่วยไข้ไปไม่ได้
- เราเกิดมาแล้วเรามีความตายเป็นธรรมดา เราล่วงความตายไปไม่ได้
- เรานี้แหละจะเป็นต่าง ๆ จะเป็นผู้ละเว้นไปจากของรัก ของที่เอิบอาบใจทั้งปวง
- เป็นแน่ หรือของรัก ของเอิบอาบใจทั้งปวง จะมาวิโยคพลัดพรากจากเราไปก่อนเป็นแน่
- เรามีกรรมเป็นเจ้าของ เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นพวกพ้อง เรามีกรรม เป็นที่ระลึก กรรมอันใดเรากระทำไว้เป็นบุญก็ดี เป็นบาปก็ดี เราจักเป็นทายาทรับผลแห่งกรรมเหล่านั้น
การหมั่นพิจารณาเพื่อการปลงใจนี้ท่านว่า เป็นมงคลอย่างยิ่ง ดังพุทธภาษิตเกี่ยวกับโลกธรรมข้างต้นนั้น
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว 1 ไม่โศกเศร้า 1 ปราศจากธุลี 1 เกษม 1 ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด"
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า "อย่าให้ถูกลูกศร 2 ดอก เทียบความทุกข์ที่เกิดขึ้น เหมือนเราถูกยิงด้วยศร อยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีความอดทน และมีสติพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ยอมให้เหตุการณ์ มากัดกินเรา หรือมาเบียดเบียนจิตใจ ของเราแต่ฝ่ายเดียว ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่มาเป็นนายเหนือเรามากเกินไป แต่ถ้าเราประสบเหตุการณ์เช่นนั้นแล้ว เรายอมด้วย ประการทั้งปวง คือมัดมือมัดเท้าให้เลย นี่ก็เหมือน อย่างถูกลูกศรดอกที่สอง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นลูกศรดอกที่ไม่จำเป็น เพราะเราไปเก็บความทุกข์มา ใส่ตัวเราเอง"
ทั้งหมดนี้คือ เคล็ดลับในการปลงใจนั่นเอง
5 การตั้งใจ
คำว่า "การตั้งใจ" หมายถึงความมุ่งมั่นในอันที่จะกระทำการอันใดก็ทำให้จนสำเร็จตามเป้าหมาย หรือ จุดหมายที่ตนตั้งไว้ โดยรวมคำว่า มโนมยิทธิ (Will Power) ความเพียรพยายาม (Preserverance) การทำการเสมอต้นเสมอปลาย (Steadiness) และคำไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก (Energy) คำว่า มโนมยิทธิ หมายถึง ความตั้งใจ หรืออำนาจในใจที่ทำให้อะไร ๆ สัมฤทธิ์ผลอันเกิดจาก กำลังใจของคนหนึ่ง อำนาจนี้มีอยู่ในใจของคนแล้วทุกคน เพียงแต่บางคนไม่รู้จักใช้ และบางคนไม่รู้จัก
วิธีใช้หรือใช้บ้างเพียงเล็กน้อย แท้จริงแล้วอำนาจนี้เป็นสิ่งที่นำความสำเร็จมาให้เรา การที่มนุษย์เรามี ฐานะความเป็นอยู่ หรือตำแหน่งทางสังคมแตกต่างกัน นอกจากเป็นด้วยความรู้ ความสามารถแล้ว เป็นผลจาก มโนมยิทธิ เป็นสำคัญ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ จึงคิดไปว่าการที่เขาได้ดีกว่าเรา หรือไป สู่ฐานะตำแหน่งอันสูงได้ เป็นไปตาม อำนาจโชคเคราะห์หรือ ดวงชะตาอันที่จริงโชคเคราะห์นั้นมีส่วน อยู่บ้าง คือ เป็นผลกรรมดีในอดีตส่งมาให้ถึงปัจจุบัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มโนมยิทธิ นี่เอง ที่ทำ ให้คนซึ่งอยู่ในฐานะต่ำต้อยนำตนไปสู่ตำแหน่งฐานะอันสูงได้
แท้จริงแล้ว การทำงานทุกชนิดจะต้องอาศัยความสม่ำเสมอ จะเห็นว่าสถานที่ ราชการหรือห้างร้าน บริษัทก็ตาม จะมีกำหนดเวลาทำงานที่แน่นอน เพื่อให้งานเดินไปด้วยความสม่ำเสมอ จะมีวันหยุดก็คือ วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ที่แน่นอน ยกเว้นวันหยุดในวันสำคัญ ซึ่งเดือนหนึ่ง ๆ ก็มีไม่มากนัก ไม่มีสถานที่ ทำงานแห่งใดที่เปิดทำงานวันสองวันแล้วหยุดไปสิบวัน หากเป็นเช่นนั้น กิจการนั้นคงล้มเหลว หาความ สำเร็จไปไม่ได้
สำหรับคำว่า "ความไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก"หมายถึงพลังภายในที่อยู่ในจิตใจของคนที่ ไม่กลัว ความยากลำบาก และไม่ย่อท้อ ต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ไม่มีใครในโลกนี้ ตั้งแต่เกิดจนตายจะไม่ ประสบกับความยากลำบาก หรือ อุปสรรคใดๆ เลย หากแต่คนในโลกนี้ แบ่งออกเป็นสองจำพวกคือพวก หนึ่งนั้นมีน้ำอดน้ำทน สามารถเอาชนะอุปสรรค และ ความยากลำบาก คนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ต่อความ
สำเร็จในการทำงาน เขาย่อมไม่ให้อุปสรรคหรือปัญหามาบั่นทอนกำลังใจได้เลย เขาจะมีความมานะ บากบั่น มุ่งทำงานเรื่อยไป มีปัญหาครั้งใดก็แก้จนตกและทำต่อไปจนงานนั้นเสร็จ
กล่าวโดยสรุปแล้วคำว่า การตั้งใจ นั้น หมายถึง การรู้จักควบคุมใจตนเองบังคับใจตนเองให้เป็นไป ตามทางที่เรา ตั้งจุดหมายปลาย ทางเอาไว้ หรือในทางที่ชอบที่ควร คนเราส่วนมากมักชอบความสบาย เกลียดความทุกข์ยากลำบาก ฉะนั้น การยอมตามใจตนเอง ก็คือ การชอบทำตัวตามสบาย หนีทุกข์ และ มุ่งเข้าสู่ความสุข ความสนุกสนาน หรือ ขาดความอดทน ต่อทุกขเวทนา อันที่จริง ธรรมชาติของคน และ สัตว์โดยมากมักเป็นเช่นนี้ แต่การที่เราจะชนะใจตนเอง หรือ ควบคุมตนเอง ก็มิได้หมายความว่าเราจะ ต้องทนทุกข์ทรมาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เราควรดำเนินแต่ทางสายกลาง ไม่ใช่ต้องทรมาน กายของตนเอง หรือหา ความสบายทางโลกียสุขจนลืมตัว สำหรับคนที่มี ความตั้งใจ อันแรงกล้าแล้ว เขาจะไม่ยอมแพ้อุปสรรคใด ๆ เพียงเพราะทำอะไรเพียง 2 - 3 อย่างไม่สำเร็จก็เลิก ไม่ทำอีกต่อไป และนี่ก็คือวิธีการเอาชนะใจตนเอง อีกทางหนึ่งคือ ให้มีการ ตั้งใจอัน มั่นคงนั่นเอง
6 การตกลงใจ
การตกลงใจ หรือ การตัดสินใจ ที่ถูกต้องเป็น การตรงข้ามก ับความโลเล หรือความ กลัวผิดบางคนกว่า จะตัดสินใจอะไร สักทีก็ผัดผ่อนเวลา หรือปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินใจ หรือปล่อยงานล่าช้า จนเกิด ความเสียหายขึ้นได้ บางคนก็ชอบยกการตัดสินใจ หรือการตกลงใจให้กับคนอื่นอันแสดงถีงการขาดความ เขื่อมั่นในตนเอง ที่จะประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงานโดยเฉพาะงานใหญ่ๆ หรืองานในตำแหน่งสูงๆ เขาต้องมีความกล้าหาญที่จำตกลงใจ หรือตัดสินใจไปในทางใด ทางหนึ่ง ที่เขาเห็นสมควรคนที่ไม่กล้า ตกลงใจก็ดี ไม่กล้าตัดสินใจก็ดี ไม่กล้าวินิจฉัยสั่งการอะไรลงไปก็ดี ย่อมไม่อาจเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่ง บริหารระดับสูงไปได้ เพราะความลังเลใจของเขา จะทำให้ผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาเห็นว่า เขาเป็นคนที่ ขาดความรับผิดชอบ หรือขาดความกล้าหาญในการตกลงใจ เมื่อผู้ใหญ่เห็นความอ่อนแอเช่นนี้ย่อมไม่ กล้ามอบหมาย ให้เขาเข้ารับตำแหน่งในการบริหารหรือเป็นหัวหน้าคนได้
การตกลงใจนั้น ในบางครั้งอาจตัดสินใจผิดพลาดไป แต่เราต้องกล้ารับผิดชอบ คนที่กล้ารับผิดชอบ โดยไม่ปัดความผิด ไปให้แก่ ผู้ใต้บังคับบัญชา ย่อมเป็นที่รักนับถือของผู้น้อย บุคคลสำคัญของไทยเรา ที่กล้าตกลงใจหรือกล้าตัดสินใจเด็ดขาด ที่อาจยกตัวอย่าง ให้เห็นได้คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ทุกครั้ง ที่ท่านตัดสินใจท่านจะประกาศอยู่เสมอว่า " ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว " จริงอยู่ว่า บางครั้งที่ ท่านตัดสินใจผิดพลาดลงไป แต่ท่านก็ยอมรับผิด ไม่ปัดความรับผิดชอบให้แก่ผู้ใต้บังคับ บัญชาเลย
มีคำกล่าวว่า คนที่ทำงานไม่มีใครเลยที่จะไม่เคยทำผิดหรือทำพลาดลงไปบ้าง แต่เราต้องถือว่า "
ความผิดเป็นครู หรือเป็นบทเรียนที่สอนไม่ให้เราผิดซ้ำอีก " พระเจ้านโปเลียนทรงตัดว่า คนที่ไม่เคย ทำผิดเลย คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย การตกลงใจผิดยังดีกว่าการโลเลไม่ยอมตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงไป ทำไมจึงกล่าวว่า การตกลงใจ หรือ การตัดสินใจ เป็น การเอาชนะใจตนเอง เช่น หนุ่มหรือสาวที่มีคนรัก ให้เลือก 2 คน และไม่อาจตัดสินใจได้ว่า จะเลือกเอาคนหนึ่งคนใด จะพบว่า มีความวิตกกังวลหรือ เดือดร้อนใจอยู่ตลอดเวลา จนกว่าเมื่อใดที่ตกลงเลือกเอาคนใด เป็นที่แน่นอนลงไป ก็จะทำให้เกิดความ โล่งใจได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ลังเลใจ ไม่ยอมตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไป ก็จะต้องวนเวียนคิดเป็นทุกข์เพราะ ไม่อาจเอาชนะจิตใจ ที่ไม่มั่นคงของตนเอง การตกลงใจในบางเรื่องต้องใช้ความกล้าหาญ และความ เด็ดเดี่ยว กล่าวว่าผู้ที่กล้าหาญ จำเป็นจะต้องรู้จักรับผิดชอบกล้าตัดสินใจหรือตกลงใจตามความคิดของ ตนเอง และเมื่อตนเองคิดว่าตนทำถูก โดยตัดสินใจลงไปแล้ว ก็ไม่ขลาดที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะ ตามมากระบวนการของการตัดสินใจ หรือการตกลงใจในงานที่ยาก ๆ หรือในเหตุการณ์ที่ยากๆ นั้น เกิดจาก"การรู้จักไตร่ตรอง" บวกกับ "ความเป็นคนละเอียดละออ" นิสัย 2 อย่างนี้ทำให้เกิด " ความมีเหตุผลที่ ถูกต้อง " และนำไปสู่ " การตัดสินใจที่ถูกต้อง "
การรู้จักไตร่ตรอง หมายถึงการรู้จักคิดทบทวนประเมินผล รู้จักคิดให้ลึกซึ้ง เพื่อหาว่าอะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือข้อที่ควรตัดสินใจ ความไตร่ตรองนี้มีประโยชน์หลายประการ กล่าวคือ ทำให้ เราฉลาดรู้เท่าทันคนอื่น แล้วยังทำให้ เรามีความคิดเป็นของตัวเอง ทำให้ตรวจสอบการทำงานได้อย่างดี ทำให้เราสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ด้วย กำลังความคิด และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของใครง่าย ๆ
" ความเป็นคนละเอียดละออ " หมายถึง ความไม่ประมาท และหมายถึงการรู้จักไตร่ตรอง ซึ่งจะทำให้ เราต้องมีสติ และเป็น คนที่สุขุมรอบคอบ จำเป็นต้องมีข้อมูลประกอบการคิด พิจารณาอย่างรอบรู้ และ ถี่ถ้วน ความละเอียดลออจึงเป็นลักษณะที่สำคัญ และจำเป็นของบุคคลทั้งหลาย และยิ่งคนที่เป็น หัวหน้างานสูงขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ความละเอียดละออ ก็ยิ่งมีความจำเป็น มากขึ้นเป็นลำดับ ไม่เช่นนั้นก็อาจ จะเกิดการผิดพลาดเสียหายได้มาก เพราะต้อง รับผิดชอบงาน ใหญ่และ หลายประเภท ลูกน้องบางคนอาจสะเพร่า หรืออาจทำงานลวก ๆ เพื่อให้งานสักแต่ว่าผ่านไปได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้า จำเป็นต้องรู้จัก ตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลให้ดีที่สุด จึงจะเป็นคนที่คุมคนอื่น ๆ ได้
"ความมีเหตุผลที่ถูกต้อง" หมายถึง การหาข้อมูลมาประกอบการพิจารณาในเรื่องที่จะต้องดำเนินงาน เมื่อเราได้ข้อเท็จจริง มาดีแล้ว ไตร่ตรองดีแล้ว ก็จะได้เหตุผลที่ถูกต้องออกมาเป็นผลลัพธ์ ซึ่งจะใช้ในการ อ้างอิงโต้เถียงกับผู้อื่น หรือใช้ใน การงาน ประจำวันได้ ปัจจุบันคนเราได้รับการสั่งสอนมาแต่เด็กให้รู้จักหา เหตุผลที่ถูกต้อง นักวิทยาศาสตร์ หรือนักปราชญ์ สมัยนี้ ล้วนเป็น หนี้บุญคุณ ของเหตุผลต่าง ๆ ที่ นักวิทยาศาสตร์หรือนักปราชญ์รุ่นก่อนได้วางไว้ และคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ในประเทศ ที่เจริญแล้ว ก็มัก จะไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่าย ๆ ยกเว้นแต่จะมีเหตุผลพิสูจน์ ให้เห็นจริงออกมาจึงยอมเชื่อ ยุคปัจจุบันจึง เป็นยุคแห่ง การใช้เหตุผล ซึ่งต่างกับยุคก่อน ๆ ในสมัยกลางซึ่งเป็นยุคแห่ง ความเชื่อถือศรัทธา ที่ผู้ใดมีเหตุผล นอกรีตนอกรอยจาก ศาสนจักร ก็อาจได้รับ อันตรายได้ คุณสมบัติแต่ละอย่าง ที่เป็นองค์ประกอบของ การตกลงใจ หรือ การตัดสินใจ ให้ถูกต้องจึงเป็นการเอา ชนะใจตนเองอีกอย่างหนึ่ง
7 การจูงใจ
การจูงใจตนเอง เป็นเคล็ดลับอีกประการใน การเอาชนะใจตนเอง คนเราจะต้องพบกับการจูงใจอยู่ใน ชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่น การซื้อสินค้า คนขายจะพยายามจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าให้ได้ราคาดี ส่วนคน ซื้อก็พยายามจูงใจให้คนขาย ขายสินค้าในราคาที่ถูก การโฆษณาสินค้าหรือบริการผ่านสื่อมวลชน มี วิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นการจูงใจจากภายนอก คือคนอื่นเข้ามาจูงใจเรา แต่ยังมีการ จูงใจอีกอย่าง คือ การจูงใจตนเอง (Auto-Suggestion) หรือบางคนก็เรียกว่าการแนะนำตนเอง ไม่มี วิธีการใดเปลี่ยนแปลง อุปนิสัยของคนเรา ที่จะทำได้ง่ายที่สุด หรือดีที่สุดเท่ากับการจูงใจ
เคล็ดลับในการจูงใจตนเอง หรือในการ แนะนำตนเองนั้น อยู่ที่ว่าเราต้องกระทำด้วยความจริงใจ หมั่น ทำซ้ำ ๆ กันและทำโดยสม่ำเสมอ เวลาที่เหมาะที่สุด คือ เวลากลางคืนก่อนนอน ประโยคที่เราหมั่นเตือน ตนเองได้แก่
"เราต้องการทำใจให้สงบไม่ว่าในเวลามีเหตุการณ์ใด ๆ เราจะมีความไว้ใจตนเองเสมอ"
"เราต้องข่มความกลัว ความตื่นเต้น และความรู้สึกที่เป็นภัยแก่ตัวเราเอง"
"เราต้องทำดวงจิตของเราให้ผ่องใสไม่ขุ่นมัว และจะเป็นนายตัวเราเอง ไม่ว่าต่อหน้าใคร"
"เราต้องการปลูกนิสัยของเรา ให้ขึ้นสู่ชั้นสูงสุด เท่าเทียมคนอื่น ๆ ที่มีนิสัยดีที่สุด"
"เราต้องการทำสิ่งที่ถึงเวลาจะต้องทำ ถึงแม้มีสิ่งใด ๆ มาขัดขวางก็จะต้องทำให้จงได้"
"เราต้องการบังคับตัวและบังคับใจของเรา ไม่ใยอมให้เป็นไปในทางที่จะนำตัวเราออกไปนอกทางที่เรา มุ่งหมาย และนอกหลักธรรมในใจของเรา"
"เราต้องการพินิจพิเคราะห์ โดยถี่ถ้วนก่อนที่จะปลงใจยอมตามความคิดเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น แก่ตัวเรา หรือที่มีใครบอกเรา หรือที่เราได้อ่านจากหนังสือ"
"เราต้องการมีความมานะมีจิตตานุภาพที่จะสามารถบังคับบุคคล หรือเหตุการณ์ทั้งหลายได้"
"เราต้องการมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น"
"เราต้องขจัดความเกียจคร้าน การผลัดวันประกันพรุ่ง และต้องการเป็นคนที่มีความขยันมานะพยายาม กระตือรือร้นตลอดเวลา"
"เราต้องการขจัดนิสัยทำงานสะเพร่า โดยทำงานอย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวัง"
"เราต้องการกำจัดนิสัยที่อ่อนแอเหลาะแหละ โดยการลงมือทำงานทันที หรือทำในขณะนี้"
"เราต้องการกำจัดความท้อถอย โดยสร้างนิสัยมานะบากบั่น และไม่ยอมแพ้อุปสรรคใด ๆ"
"เราต้องการขจัดความกลัว ความวิตกกังวล ความเครียด และนิสัยเจ้าทุกข์ ให้พ้นไปจากจิตใจ และมีชีวิตอยู่ด้วย ความสุข โดยอยู่แต่ ในห้อง ที่มีแต่วันนี้ ไม่กังวลถึงอดีต หรืออนาคตใด ๆ ทั้งสิ้น"
วิธีจูงใจดังกล่าวนี้จะทำให้ได้ผลดีที่สุดควรทำในเวลาก่อนเข้านอนตอนกลางคีน เพื่อที่จิตใต้สำนึก จะรับเอาไป ทำงานต่อควรทำบ่อยๆ โดยการพร่ำคิดอยู่ในใจ มีขั้นตอนดังนี้
1. เมื่อจะนอนสวดมนต์สักเล็กน้อยก่อนที่เราจะเริ่มจูงใจตนเอง เพื่อให้จิตสงบผ่องใส
2. ตอนล้มตัวลงนอนให้เราหลับตา และพูดกับตนเองว่า เราจะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้า กล้ามเนื้อ
ที่ลูกตา ตลอดจนร่างกาย ทั้งร่างผ่อนคลาย พักผ่อน และปล่อยวางทุกสิ่ง จนรู้สึกว่าปราศจากความเครียด ใด ๆ แล้วจึงเริ่มจูงใจตนเอง
3. จงพูดกับตนเอง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างตน พูดซ้ำซาก เสมือนหนึ่งว่าเรากำลังอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่เรานับถือ พูดถึงความต้องการต่าง ๆ ในทางที่จะให้มีหรือให้เป็นจนง่วงหลับไป
4. ในตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นให้จูงใจตัวเองซ้ำอีกสักครั้ง ก่อนจะลุกจากที่นอน
5. ในเวลาว่างเช่นเวลานั่งรถไปทำงานหรือกลับจากที่ทำงาน ไม่ควรทำให้ตนเองเกิดความเครียด ทำใจ สบาย ๆ และนำประโยคที่เราเคยจูงใจในตอนกลางคืนมาเตือนตนบ่อย ๆ
6. ในเวลาประสบกับปัญหาอุปสรรคในการทำงาน หรือในการดำรงชีวิต ก็ให้เตือนตนเองบ่อย ๆ ว่าเรา ต้องการทำใจให้สงบ เรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราสามารถแก้ไขและผ่านอุปสรรคไปได้ เราจะไม่วิตกกังวล ไม่เครียด ไม่ย่อท้อ อย่างนี้เป็นต้น
7. ข้อสำคัญที่สุด ในเวลาจูงใจตนเองทุกครั้ง เราต้องทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายทุกส่วนให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง หรืออย่าทำหน้าบึ้ง และการพร่ำพูดในใจ ดังกล่าว ต้องทำด้วยใจจริง และเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้ เราเอาชนะใจตนเองได้ และไม่ให้การคิดนั้น เป็นการหลอกตัวเอง
8 การมั่นใจ
การเชื่อมั่น หรือความเชื่อมั่นในตนเองนั้น เป็นคุณลักษณะที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของบรรดาบุคลสำคัญ ทั้งหลาย คนที่จะก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งใหญ่โตทั้งหลาย ไม่มีใครเลยที่ปราศจากความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะหากไม่เชื่อมั่นในตนเอง ก็ย่อมไม่อาจก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงได้ มีครูท่านหนึ่งได้สอนศิษย์ว่า "จงหมั่นคิดอยู่เสมอว่า คำว่าทำไม่ได้ไม่มี" คำสอนนี้ลูกศิษย์บางคนที่
ไม่เชื่อถือก็ยิ้มเยาะว่าครูสอนค้านกับความจริง แต่ลูกศิษย์ที่เชื่อครูก็เอาคำสอนนี้ไปใช้ปรากฏว่าลูกศิษย์ที่ เชื่อครู สามารถก้าวเข้าไปสู่ ตำแหน่งสำคัญ ๆ ได้ ส่วนลูกศิษย์ที่ ไม่เชื่อครู ต่างก็ไปได้ไม่ไกล แท้จริง
คำสอนว่า "ทำไม่ได้ไม่มี" นั้น สอนให้คนเรา เชื่อมั่นในตนเอง คนที่คิดอยู่ในใจ โดยเชื่อว่าตนเองทำได้ เขา ย่อมทำกิจนั้น ได้สัมฤทธิผล ส่วนคนที่ขลาด และปราศจากความเชื่อมั่นในตนเอง และคอยคิดอยู่เสมอว่า " แย่ " ไม่ไหว เหนื่อยยาก ลำบาก ไม่เอา ฯลฯ " คนประเภทนี้ ย่อมทำอะไรไม่สำเร็จ หรือหากจะสำเร็จ ก็ได้ ผลงานที่คุณภาพใช้ไม่ได้ เราจะพบว่า การมีความรู้มากเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่พอเพียงที่จะใช้ในการ สร้างเนื้อสร้างตัว คนที่มี ความเชื่อมั่นในตนเองเพียงอย่างเดียวเสียอีก ยังดีกว่าคนที่มีความมากเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากความ เชื่อมั่นในตนเอง หลายคนที่เรียนไม่เก่ง แต่เมื่อเวลาไปเรียนกลับก้าวหน้า และได้ดีกว่าคนที่เรียนเก่ง เหตุ
ที่เป็นเช่นนั้น เมื่อวิเคราะห์แล้วจะพบว่า คนที่เรียนไม่เก่งดังกล่าวเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง
วิธีฝึกฝนให้ตนเองมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีดังนี้
1. ต้องรู้ว่าตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตนเอง และหมั่นช่วยตนเองให้มากที่สุด คนที่ชอบร้องขอให้คนอื่นช่วย โดยไม่ยอม ช่วยตนเอง ย่อมทำลายอนาคตหรือความก้าวหน้าของตนในที่สุด
2. ต้องรู้จักนับถือตนเอง เชื่อในความสามารถของตน และไม่ดูถูกเหยียดหยามตนเอง
3. ต้องฝึกให้มีความคิดอ่านเป็นของตนเอง ไม่ตกเป็นทาสความคิดของผู้อื่น
4. อย่าคิดว่าทำไม่ได้ จงคิดเสมอว่าเราทำได้ คิดบ่อย ๆ ในทางบวก อย่าคิดในทางลบ คือเลิกคิดว่า "แย่ไม่ไหว ไม่เอา ไม่สู้ ฯลฯ"
5. ต้องพยายามฝึกฝนตนเองให้มีนิสัยที่ดี เช่น เป็นคนที่ไม่รู้จักหมดหวัง ไม่หวาดหวั่นต่อ ความยาก ลำบาก มีหัวใจเข้มแข็ง มีความกล้าหาญอดทน มีเหตุผล และกล้าตัดสินใจ ฯลฯ
6. นิสัยเชื่อมั่นในตนเองนี้ อาจฝึกได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เด็กคนใดที่ผู้ปกครองพยายามปล่อยให้ช่วยตัวเอง แต่เด็ก โตขึ้นมักจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่ถ้าเด็กคนใดที่ผู้ปกครองมักจะประคับประคอง ช่วยเหลือ ตลอดเวลา โตขึ้นก็มักจะอ่อนแอ และมักคอยหวังพึ่งความช่วยเหลือจากคนอื่นร่ำไป
7. จงจำภาษิตนี้ไว้
"ต่อสู้ กล้าหาญ เข้มแข็ง อดทน"
"ตนของตน ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน"
"เกิดเป็นคน คนเหมือนกัน จะกลัวอะไรกัน"
"ถ้าความคิดของท่านนั้นไม่สู้ ท่านเป็นผู้พ่ายแพ้แน่นอนหนา
ถ้าท่านคิดทางขลาดหวาดอุรา ท่านก็จะไม่กล้าอย่างแน่นอน
ถ้าท่านอยากเอาชนะในชีวิต แต่ความคิดอ่อนแอมันหลอกหลอน
ท่านย่อมจะไม่ชนะอย่างแน่นอน ถึงอุทธรณ์กี่ครั้งก็ยังแพ้
ความสำเร็จทั้งหลายในโลกนี้ เริ่มต้นที่ความมั่นใจในตนแน่
อยู่ที่ภาวะจิตไม่คิดแพ้ อยู่ที่ไล่ความอ่อนแอจากจิตไป
ถ้าท่านคิดว่าอยู่ต่ำหรือย่ำแย่ เป็นของแน่ท่านจะต่ำเกินคำไข
ท่านต้องคิดอยู่สูงเพื่อจูงใจ ให้ก้าวไกลทุกทางรับรางวัล
อันสงครามชีวิตหากคิดสู้ ความชนะมิได้อยู่ที่แข็งขัน
จะเร็วช้าแข็งแรงแกร่งฉกรรจ์ หากผู้นั้นมั่นใจชัยย่อมมี"
8. หลวงวิจิตวาทการได้กล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง มหาบุรุษว่า "ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะขัดขวางความเจริญของมนุษย์เท่ากับความที่ไม่ไว้ใจตนเอง การทำอะไรทุก ๆ อย่างถ้าเรา จะปรึกษาคนที่เรารู้จักและต้องเชื่อฟังความเห็นของคนทั้งหลายอยู่แล้วเราก็ไม่สามารถทำการ นั้น ๆ ได้เลย เพราะไม่มีกิจการอันใด ในโลกนี้ที่จะได้รับความเห็นชอบของคนทุกคนไป"
9 การข่มใจ
หมายถึงการใช้สติคอยเหนี่ยวรั้ง ไม่ให้เราทำอะไรไปในสิ่งที่ไม่สมควร เช่น เกิดความโกรธ เกิดความกลัว เกิดความเกลียด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำ สุดแต่ว่าเรากระทบกับอารมณ์ใด และจิตเคยแสดงออก หรือ พยายามอดกลั้น อยู่ภายใน และ รู้จักขจัดอารมณ์เสีย ออกให้ได้ ก็จะเกิดผลดีแก่ตัวเราเอง และแก่คนที่อยู่ รอบ ๆ ข้างเรา
วิธีข่มความโกรธ
วิธีข่มใจนั้น ขั้นแรกเราต้องทำใจให้สงบ หลับตา และสูดลมหายใจแรง ๆ สักสามสี่ครั้ง และนึก ตักเตือนตนเอง หลังจากที่จิตสงบ แล้วว่า "ต่อไปนี้เราจะไม่โกรธใคร ไม่ด่าใคร ใครเขาจะทำอะไรให้เป็นที่ไม่ พอใจ เป็นที่ขัดใจ เราก็จะไม่โกรธ เพราะความโกรธ ที่เกิดขึ้นในใจนั้น คือ ยาพิษ ความโกรธที่เกิดขึ้นแต่ ละครั้ง แม้ว่าในบางขณะมันจะหายไป ก็ไม่ใช่มันจะหายไปจาก จิตใจ มันคงฝังอยู่ในจิตใจ เพราะฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็เท่ากับ ปล่อยให้ความทุกข์เกิดขึ้นบ่อย ๆ ปล่อยให้ยาพิษเข้าไป สะสมอยู่ในใจมากขึ้น ๆ ตามลำดับ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เราจะไม่โกรธ ใครเขาจะด่าใครเขาจะว่า เราก็จะ พยายามทำดี พูดดี ไม่แสดงกิริยา ไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นในจิต แม้ใครจะทำให้เราต้องผิดหวัง ทำให้เรา ไม่พอใจ หรือทำอะไรให้เราต้องเดือดร้อนก็ตาม เราก็จะพยายามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยวิธี ใจเย็น ด้วยใจที่สงบ เมื่อควรจะ ชี้แจงหรือตักเตือนอย่างไร หรือควรจะนิ่งเฉยเราก็จะทำตามเหตุผล แต่ว่าเรา จะไม่โกรธ เราจะไม่เกลียด เราจะไม่วู่วาม เราจะไม่ให้ความทุกข์ เกิดขึ้นในจิตใจเป็นอันขาด"
ในเมื่อเราพยายามตักเตือนตัวเองว่า ต่อแต่นี้ไป เราจะไม่โกรธ จะให้อภัย จะไม่ถือ จะปล่อยวาง นาน ๆ เข้า นิสัยของเรา ก็จะเปลี่ยนแปลง ไปอย่าง เห็นได้ชัด คือ เมื่อมีเหตุการณ์ที่จะทำให้เราโกรธ เกิดขึ้น ถ้าเป็น สมัยก่อนเราก็คงจะเอะอะตึงตัง ขึ้นแล้ว แต่เมื่อเราหัดท ำอย่างนี้บ่อย ๆ นานเข้า เราก็จะมีสติเรา จะนึกได้ เสมอว่าเราจะไม่โกรธ เพราะความโกรธนี้ไม่ดี เราตั้งใจแล้วว่า เราจะไม่ โกรธ เราสอนตัวเองแล้วว่าเราจะไม่ โกรธ เพราะ ฉะนั้นเราต้องไม่โกรธ เราต้องไม่โกรธ เราจะต้อง ให้อภัย เราจะต้องปล่อยวาง เราจะคิดแต่ แง่ดี ของเขา บางทีเขาอาจมีความจำเป็นอย่างนี้ที่ทำให้ แสดงกิริยาอย่างนั้นออกมา เราจะนึกได้อย่างนี้ เสมอ นี่คือวิธีข่มใจ ไม่ให้เกิดความโกรธ
10 วิธีข่มความกลัวและขจัดความเกลียด
วิธีข่มความกลัว
ความกลัว เป็นสัญชาติญาณส่วนลึกของมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ความกลัวสามารถทำลายบุคลิกภาพ และทำลาย สุขภาพร่างกาย ได้อย่างมากมาย ยิ่งกว่าอารมณ์ชนิดใด ความกลัวจะทำให้ท่านหมดความ เชื่อมั่นในตนเอง แท้จริงความกลัว คือภาพหลอนชนิดหนึ่งในจิตใจคนเรา คนที่ขี้ขลาดและขี้กลัวมักจะ เป็นคนที่ไม่มีเหตุผล และเป็นคนที่ไม่รู้จักความจริง คนที่เข้าถึงความจริงแห่งชีวิตแห่งจิตใจจะเป็นคนที่ ไม่รู้จักกลัว พุทธศาสนากล่าวว่า พระอรหันต์ซึ่งเข้าถึงอริยสัจ 4 เป็นผู้ที่ไม่มีความกลัวเหลืออยู่เลย แต่คน ธรรมดา ปุถุชนที่ยังมีกิเลสอยู่ย่อมจะต้องมีความกลัวบางสิ่งบางอย่างเป็นธรรมดา
วิธีข่มหรือขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจเรา มีดังนี้
1. ต้องเป็นคนรักความจริงและแสวงหาความจริง ความจริงจะทำให้คนเราลดความกลัวลง ใน สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นถูกโจมตีทางเครื่องบินอย่างหนัก แต่เขามีสำนักข่าวที่แถลงทาง วิทยุให้ประชาชนทราบความจริง เช่น บอกว่าในอีกไม่กี่นาทีจะมีเครื่องบินของศัตรูมากี่เครื่อง จะบินผ่าน มาทางไหน ให้ประชาชนเตรียมตัวหลบลูกระเบิด การแถลงความจริงเช่นนี้ทำให้คนญี่ปุ่นคลายความ กังวลลงไปได้เป็นอันมาก
2. ต้องฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง และฝึกให้ตนเองเป็นคนที่กล้าเผชิญกับเหตุการณ์ไม่ให้หนีต่อ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะเห็นว่าการฝึกทหารนั้นเขาจะฝีกให้มีความเคยชินต่อสถานการณ์ รบ ในเวลาซ้อมรบนั้น เขาจะจำลองสนามรบ ให้ดูคล้ายของจริง มากที่สุด และให้ทหารที่ทำการซ้อมรบ ต้องเผชิญความยากลำบาก นานาประการเป็นการฝึกให้ทหารมีความกล้าหาญ และเชื่อมั่นในตนเอง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเผชิญกับสงครามจริง ๆ เข้าทหารที่ได้รับการฝีกมาบ่อย ๆ และเคยชินต่อสภาพการฝึกจะ
เข้าสู่สมรภูมิด้วยความไม่กลัว
3. ให้สำรวจว่าเรากลัวอะไรกันแน่ ในเวลาที่เรากลัวอะไรในอนาคตที่ยังไม่เกิดท่านแนะนำให้หาที่สงบ แล้วพิจารณาว่าเรากลัวอะไรกันแน่ และให้ถามตนเองว่า ถ้าสิ่งที่เรากลัวนั้นเกิดขึ้น จะมีผลร้ายแรงที่เกิดขึ้น อย่างไร แล้วให้เตรียมใจ ยอมเผชิญกับ ผลเสียหายที่ร้ายแรงที่สุดนั้น อาทีบางคนทำการค้าและประสบภาวะ วิกฤตขนาดที่ธุรกิจของตนเองอาจเสียหาย ก็เกิดความกลัวนานาประการปราชญ์ทางจิตวิทยาสอนว่าให้หา กระดาษมาแผ่นหนึ่งเขียนลงไปว่า เรากลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นแล้วเตรียมตัวรับผลเสียหายที่เกิดขึ้น ก็คือ การ ล้มละลายอย่างมากก็แค่หมดตัว ทำใจให้เตรียมรับเหตุการณ์นั้นแล้วหาทางคิดแก้ไข บางคนจะพบว่าพอ เวลาผ่านไปจริง ๆ ความกลัวก็จะหมดไปเอง
4. ในกรณีที่ทำอะไร ๆ ก็ไม่หายกลัว ท่านแนะให้ไปพบจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ ถ้ารักษาด้วยการแนะ
ความจริงอย่างไรก็ไม่หาย จิตแพทย์จะให้ยามาระงับประสาท แล้วความกลัวของท่านจะหายไปเอง จงอย่า
ปล่อยให้ความกลัวทำลายอนาคตของท่าน หรืออย่าทำการโง่ ๆ โดยการหนีชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย อันจะ
เป็นบาปเป็นกรรมทั้งแก่ตนเองและผู้ที่อยู่ข้างหลัง คือครอบครัวและญาติมิตรของท่าน
วิธีขจัดความเกลียด
วิธีแก้อารมณ์ที่เกลียดนั้น คือต้องหมั่นสร้างอารมณ์แห่งความรัก ความเมตตาให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ และต้อง หัดให้อภัยคนอื่น ที่ทำไม่ถูกอารมณ์ของตน คนที่ให้อภัยคนอื่นได้ความผูกโกรธก็จะน้อยลง เมื่อเราไม่ผูก โกรธความเกลียดเขาจะค่อย ๆ จางลงไป อีกประการหนึ่ง คือ จงพยายามมองคนในแง่ดีอย่าพยายามมอง แง่ร้ายของเขา จงพยายามทำดีต่อคนที่เราไม่ชอบ และควรหัดเป็นคนมีเหตุผล เราต้องพยายามหาเหตุผล ให้ได้ว่า คนๆนั้นเราไม่ชอบเขาเพราะเหตุใด ถ้าไม่ชอบเพราะนิสัยไม่เหมือนกันก็ต้องหัดเปลี่ยนความคิด พยายามทำใจวางเฉยก่อน และในขั้นต่อไปพยายามทำดีต่อเขา ภายหลังพยายามทำใจให้ชอบแล้ว พยายามเป็นมิตรหรือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้ความเกลียด หมดไป ในกรณีที่เราเห็นว่าไม่อาจ ทำใจดังกล่าวได้ คือไม่อาจที่จะคบหาเขาได้ก็อย่ารังเกียจเขา พยายามวางใจให้เป็นอุเบกขา คือวางเฉยแล้ว ไม่ต้องติดต่อกันอีก ก็จะเป็นการดีที่สุด
11 การฝึกใจ
อันที่จริงทั้งหมดที่ได้อรรถาธิบายมาแล้วในทุกข้อสรุปได้ว่า คือการฝึกใจนั่นเอง การฝึกใจหรือการ ฝึกจิตนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากใน การดำเนินชีวิต ใครที่ไม่รู้จักการฝึกจิต เขาจะเป็นคนที่เอาชนะ ตนเองไม่ได้เลย
หลักการฝึกจิตที่ท่านควรทำทุก ๆ วัน มีดังนี้
1. การสวดมนต์ หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
2. การทำใจให้นิ่ง หรือเป็นสมาธิ
3. การแผ่เมตตา แก่สรรพสัตว์ถ้วนหน้า แม้แต่แก่ศัตรูของท่าน
4. จงสร้างจิตของท่านให้มีอำนาจในทางที่ดี หรือทางที่เป็นกุศล
การสวดมนต์
การสวดมนต์ เป็นการฝึกจิตที่ดี ที่สุดประการหนึ่ง คนที่สวดมนต์นั้นต้องสวดด้วยความศรัทธาใน ศาสนาที่เขานับถือ และควรทำเป็นกิจวัตรประจำวัน จนเคยชินหรือเป็นกิจปกติ หลักเกณฑ์ในการ สวดมนต์มีดังนี้
1.จงสวดมนต์เมื่อท่านอยู่ลำพังคนเดียว
2.จงสวดมนต์ในที่ ๆ เงียบสงบ
3.จงพยายามขจัดอารมณ์ชั่วไปจากจิต
4.จงผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
5. จงเพ่งสมาธิหรือมีสติในการสวดมนต์ทุกครั้ง
คนที่มีความสุขได้ จะต้องพยายามขจัดอารมณ์ชั่วร้ายใด ๆ ออกไปจากจิตด้วยการสวดมนต์ จงอย่าเก็บอารมณ์ชั่วร้าย ให้ฝังเข้าจิตใจ ส่วนลึกจนหลับไป เพราะขณะที่ท่านหลับด้วย อารมณ์เลวใด ๆ ท่านจะมีสุขภาพที่เสื่อมโทรมและมีความทุกข์เพิ่มขึ้นทุกที แต่จงปล่อย ให้เกิดกุศลจิต แทนอารมณ์ชั่วก่อน ที่จะหลับ แล้วการหลับของท่าน จะทำให้ท่านได้พักผ่อนจริง ๆ และ มีพลังที่จะทำงานหรือ เผชิญกับปัญหา อุปสรรคในวันต่อมา
การทำจิตให้เป็นสมาธิ
หลังจากสวดมนต์จบแล้วควรใช้เวลาสัก 5-10 นาที เพื่อทำสมาธิหรือทำให้จิตนิ่งวิธีทำสมาธินั้น ได้แก่ การนึกถึงอารมณ์ที่ดี อันใดอันหนึ่ง แล้วคิดแต่อารมณ์นั้น เช่นการนึกถึงพระพุทธเจ้าโดยนึกภาวนาอยู่ในใจ ว่า พุทโธ หรือจะนึกถึงลมหายใจ เข้าออก โดยบริกรรมว่า "โธ" ในขณะที่ลมหายใจออก เป็นต้น ถ้าเกิดจิต ฟุ้งซ่านใด ๆ ให้ดึงกลับมาที่คำภาวนา จงทำ บ่อย ๆ จะเกิดความเคยชินไปเอง ข้อสำคัญที่สุดต้องทำใจให้ นิ่งให้สะอาด และสงบ ถ้าทำได้แล้วค่อยเพิ่มเวลานั่งสมาธิอีกเป็นครึ่งชั่วโมงได้
การแผ่เมตตา หลังจากสวดมนต์ ทำสมาธิแล้ว เราควรฝึกจิตให้มีความรักและความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์โดยการ แผ่เมตตา ดังนี้
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมด ทั้งสิ้น เราอุทิศบุญกุศลของเราให้หมดด้วยกัน
อะเวรา จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อะโรคา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความเจ็บไข้ ลำบากกาย ลำบากใจเลย
อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาท เบียดเบียนซึ่งกัน และกันเลย
อะนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ
12 การสร้างอำนาจจิตในทางกุศล
จงพยายามคิดว่า จิตของท่านเป็นเหมือนโรงกุดังเก็บความคิด ส่วนท่านเป็นพนักงาน รักษาสินค้า ท่านมีความรับผิดชอบ ที่จะจัดระเบียบในโรงกุดังให้ดี บรรจุเข้าไว้แต่สินค้าดี ๆ คือความคิดกุศล เพื่อให้ บริษัท โรงงาน คือร่างกายของท่าน มีฐานะดีเป็นปึกแผ่นตลอดไป จงทบทวนอารมณ์แห่งจิตของท่านก่อนที่ จะให้อารมณ์ร้ายใด ๆ เล็ดลอดเข้าไปประทับอยู่ในจิตสำนึกของท่าน
1. ถ้าหากมันเป็นความดี ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดเป็นกุศลแล้ว จงพยายามคิดแล้วคิดอีก คิดและ ฝังใจเพ่งเล็งให้บ่อย ๆ ให้มาก ๆ
2. จงพยายามให้มันซึมซาบเข้าไปยังจิตใต้สำนึก เพื่อท่านจะได้เก็บมันไว้ใช้ประโยชน์ในกาลข้างหน้าได้
3. ถ้าหากมันเป็นความคิดไม่ดี เป็นความคิดเลว ความคิดทำลาย เป็นความคิดอกุศล จงบอกตัวเองให้รู้ว่า มันเป็นผลมาจาก ความทุกข์ร้อน และความกลัว
4. จงพยายามค้นลงไปถึงรากของความกลัวนั้น แยกแยะมันออกแล้วก็หัวเราะเยาะมัน ในฐานที่มันล่อ ให้ท่านเป็น ทุกข์ร้อนขึ้น จงขจัดอารมณ์ร้ายเหล่านั้น ออกไปก่อนที่มันจะซึมซาบถึงจิตใต้สำนึก
5. จงพยายามใคร่ครวญมันให้ถ่องแท้จนกระทั่งมันกลายเป็นความคิดที่ดีเป็นความ คิดที่เป็นกุศล
6. เมื่อใดท่านพยายามแปลงความคิดอกุศลจนกลายเป็นความคิดกุศลได้แล้ว จงพยายามทำตาม ข้อแนะนำใน ข้อ 1 และ 2
การเอาชนะใจตนเองที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น อาจยังไม่เพียงพอ เราพึงฝีกตนในทางที่จะให้ จิตมีอำนาจ มากขึ้น และมีลักษณะที่เข้มแข็งขึ้น จนกลายเป็นลักษณะประจำใจ จึงอาจต่อต้านความอ่อนแอ ความขลาด กลัว ความย่อท้อ ฯลฯ แต่สิ่งที่แสดงถึง ลักษณะของคนที่มีความเข้มแข็งทางจิต ก็คือ คนที่ไม่หวั่นไหวต่อ เหตุการณ์หรือเคราะห์ร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น
บุญและบาปเป็นพลังงาน
ร่างกายของสัตว์ เป็นสสารควบคู่กับจิตใจ ซึ่งเป็นพลังงานทั้งร่างกายและจิต ถูกพลังงานแห่งกิเลสปรุงแต่ง ให้จิตมืดบอด หรือ ราคะ โทสะ และโมหะ ส่งผลให้เกิดมโนกรรม วจีกรรม และ กายกรรม และกระทำความชั่วต่างๆ ได้ตามอำนาจของกรรมนั้นๆ
บุคคลที่มีจิตมีสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ มีจิตเมตตาปราณี ทางการแพทย์พบว่า ต่อมใต้สมอง จะผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมามากส่งผล ให้ร่างกายเบาสบาย ที่เรียกว่า เกิดปิติ กินได้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย หรือไม่ฝันเลย ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็วกว่าผู้มีจิตใจเป็นบาปถึงเท่าตัว หากเป็น โรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง
ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น เครียด วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะสร้างสารบาปออกมามาก สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้
1. สารแอดรินาลิน (Adrenalin) ทำให้หัวใจเต้นเร็งแรง เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าเส้นเลือดแดง ที่ไปหล่อเลี้ยง กล้ามเนื้อผนังหัวใจ หดจนตีบตัน หัวใจจะวายถึงตายได้ โคเรสเตอรอล จะถูกสร้างขึ้นทั้งๆ ที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางลม หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ
2. สารสเตียร์รอยด์ (Sterroid) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้ ถ้าหลั่งมาก น้ำกรด ในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหารทำให้ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ถ้ากัดกร่อน เส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย ถ้าหลั่งน้อย ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร
3. สารแลคติค แอซิด หรือ เกลือแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลต่อร่างกาย คือ
· ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว เหมือนฤทธิ์ของ HIV เชื้อโรค AIDS ร่างกายจึงอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หายนาน
· เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น มันสมองจะทำให้เกิดอัมพาตขึ้นได้
พลังงานแห่งวิบากกรรม เหล่านี้ เมื่อถูกก่อขึ้นแล้วมิอาจสูญหายไปในทางใดได้ พลังงานดังกล่าวจะตามสนองเรื่อยไป ตามโอกาสตราบจน ผู้นั้นสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ไม่ก่อพลังงานของกรรมใหม่อีกต่อไป ที่เรียกว่า กรรมเป็นผู้ติดตาม
เมื่อท่านทราบผลกรรมที่เป็นปัจจุบันกรรมเช่นนี้แล้ว ขอได้หยุดสร้างกรรมต่อกัน ทั้ง มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม พลังงานของวิบากกรรม จะเกิดขึ้นน้อย หรือไม่เกิดขึ้น การทำงานทุกระบบของร่างกาย จะเป็นปกติ ท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้ง ร่างกายและจิตใจ
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2536 และ 30 มกราคม 2537 ลงบทความเรื่องสัจธรรม โดย พญ.บุษกร
Quotients - IQ EQ MQ และ AQ
· Tab 1
องค์ประกอบด้าน IQ EQ MQ และ AQ ที่มีผลต่อบุคลิกภาพ
องค์ประกอบด้านสติปัญญา (IQ)
องค์ประกอบด้านความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
องค์ประกอบด้านความฉลาดทางจริยธรรม (MQ)
องค์ประกอบด้านความสามารถในการฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรค (AQ)
องค์ประกอบด้านสติปัญญา IQ (Intelligent Quotient)
เมื่อกล่าวถึง IQ มักจะหมายถึง ความฉลาดทางสติปัญญา ที่เป็นความคิดดั้งเดิมตั้งแต่ประมาณทศวรรษ 1950 ซึ่งเป็นความฉลาด ที่วัดด้วย แบบทดสอบ แนวคิดเรื่อง IQ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เชาว์ไวไหวพริบ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านตรรกะ ตัวเลข ความจำ ความสามารถทางภาษา ความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ ซึ่งมีการวิพากวิจารณ์ถึงข้อจำกัดกันมาก
ปัจจุบันพบว่าความฉลาดของคนไม่ได้แสดงออกมาเพียงแค่นั้น แต่เป็นความฉลาดที่หลากหลายที่เรียกว่า Multiple Intelligence หรือพหุปัญญา ซึ่งนักจิตวิทยาชาวอเมริการชื่อ Howard Guardner กล่าวว่าคนเราทุกคนมีความสามารถทางสมองหลายด้านด้วยกัน โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนจะมีความฉลาด 8 ด้านซึ่งประกอบด้วยด้านต่าง ๆ ดังนี้ (Guardner,1983)
1. ความฉลาดด้านภาษา (Linguistic intelligence) คือความสามารถด้านภาษา การพูดจาโน้มน้าวผู้อื่น ความสามารถด้านการเขียน ความสามารถด้านบทกวี มีความสามารถในการจำวันเดือนปี และคิดประดิษฐ์คำ
2. ความฉลาดด้านการคำนวณ (Logical – Mathematical Intelligence) คือความสามารถในการใช้เหตุผล การคำนวณ ความสามารถด้านจำนวนตัวเลข ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ความสามารถในการวิเคราะห์คิดเป็นระบบ
3. ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence) คือความสามารถในการสร้างภาพในสมอง ความสามารถในการสร้าง จินตนาการสร้างภาพต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนตัวอย่างเช่นสถาปนิกสร้างภาพตึก หรือเมืองขึ้นจากภาพจินตนาการ ความสามารถในการอ่านภาพแผนที่ แผนภูมิ ความสามารถในด้านจินตนาการ สร้างสรรค์
4. ความฉลาดด้านกายภาพหรือร่างกาย (Bodily – kinesthetic Intelligence) คือความสามารถในการใช้สรีระ ร่างกาย ความสามารถในการเล่นกีฬาที่ใช้สรีระร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว ความสามารถในการเต้นรำ การแสดง และรวมถึงความสามารถใน ด้านหัตถกรรม และการใช้เครื่องมือต่าง ๆ การเคลื่อนไหว การสัมผัส และใช้ภาษาท่าทาง
5. ความฉลาดด้านดนตรี (Musical Intelligence) คือความสามารถในด้านคนตรี ความสามารถด้านการร้องเพลง จับระดับเสียงที่มี ความแตกต่างได้ดี สามารถจำทำนอง จังหวะเพลง เสียงดนตรีได้ดี มีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรี
6. ความฉลาดด้านทักษะสังคม (Interpersonal Intelligence) คือ ความสามารถในด้านการเข้าสังคม การเป็นมิตรกับคนอื่นได้ง่าย ความสามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นความสามารถในการสื่อสารการจัดการและความเป็นผู้นำ ชอบพูดคุยกับผู้อื่นมีมนุษยสัมพันธ์ดี สามารถบริหารความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ความฉลาดด้านบุคคล (Intrapersonal Intelligence) คือความสามารถของบุคคลในการเข้าใจตนเอง มีความมั่นใจในตนเอง เข้าใจถึงศักยภาพของตนเอง สามารถตั้งเป้าหมายในชีวิตได้อย่างเหมาะสม ชอบการทำงานคนเดียว ใช้เวลาในการคิดใคร่ครวญ และทำตามความสนใจของตนเอง
8. ความฉลาดด้านธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) คือความสามารถในการมองเห็นความงาม ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในธรรมชาติ รักธรรมชาติ
องค์ประกอบด้านความฉลาดทางอารมณ์ หรือ เชาวน์อารมณ์ (Emotional Intelligence ,Emotional Quotient :EQ)
ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ เชาวน์อารมณ์ คือการตระหนักรู้จักตนเองว่า ตนเองเป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไรในชีวิต มีความสามารถในการจัดการควบคุมอารมณ์ตนเอง มีวินัย บังคับใจตนเองได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น รู้จักผิดชอบชั่วดี และมีความสามารถในการจัดการอารมณ์ของคนอื่น มีอารมณ์ร่วมกับผู้อื่น คนที่มี EQ สูงแสดงออกโดยเป็น ผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ รู้จักการทำงานเป็นทีม สามารถสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่นและรักษาให้ยืนยาวได้ รู้จักเห็นอกเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี เมื่อเกิดปัญหาในชีวิตก็สามารถจัดการกับปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ไม่จมอยู่กับ ความเศร้า นานเกินไป ไม่ท้อแท้ง่าย สามารถหาทางออกของปัญหาให้กับตนเองได้ด้วยดี โดยไม่ทำร้ายตัวเอง หรือผู้อื่น รวมทั้งเป็น ผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี (นพ. สุรพงษ์ อำพันวงษ์,22 พ.ย.2541)
การศึกษาวิจัยในต่างประเทศยืนยันว่า EQ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดความสำเร็จ บังเกิดความราบรื่นทั้งในชีวิตส่วนตัว และการทำงาน (Goleman,1995,1998,Sternberg,1997) โดยที่ EQ นั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ ฝึกฝนให้มีขึ้นในตนเองได้ EQ เริ่มพัฒนาในวัยเด็กเหมือน IQ ดั้งนั้นการสร้างเสริมให้บุคคลมี EQ เพื่อพัฒนาการสมวัยจึงเป็น อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ที่ควรทำขึ้น ในทุกๆสังคม EQ เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจศึกษาวิจัยในต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยมีการทำวิจัยในกลุ่ม นักศึกษา ผู้ปฏิบัติงาน และผู้นำใน องค์การต่างๆ ดังเช่น ที่มหาวิทยาลัย California at Berkeley มีการศึกษาระยะยาวเริ่มตั้งแต่ปี 1950 โดยเก็บข้อมูล ของนักศึกษา ปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์จำนวน 80คน โดยมีการวัด IQ ทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ และมีการสัมภาษณ์จาก นักจิตวิทยา เพื่อประเมิน ความสมดุลทางอารมณ์ วุฒิภาวะ การมีบูรณาการ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีการติดตามผล 40 ปีผ่านมา เมื่อบุคคลเหล่านี้ อายุประมาณ 70 โดยสรุปผลการวิจัยเมื่อปี1994 พบว่า EQ มีความสำคัญมากกว่า IQ ประมาณ 4 เท่า ในการกำหนดความสำเร็จ ในอาชีพ ความมีชื่อเสียงและสถานภาพเป็นที่ยอมรับแก่สังคมของบุคคลเหล่านี้ (Goleman, 1998a: Goleman,1998b:)
ส่วนที่มหาวิทยาลัย Harvard ผู้ที่สนใจเรื่องของ EQ ตั้งแต่ปี 1973 คือ McCleland ได้เขียนบทความวิพากษ์การวัดเชาวน์ปัญญาหรือ IQ ไว้ว่า เกรดเฉลี่ยและเชาวน์ปัญญาไม่ได้เป็นตัว บ่งชี้ความสำเร็จของชีวิต ควรหันมาสนใจวัดสมรรถนะ (Competencies) ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรม และความสำเร็จได้มากกว่า นอกจากนี้ เขายังได้ศึกษากลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จโดดเด่น (ซึ่งเขาเรียกว่า Stars) พบว่าคนกลุ่มนี้มีความสามารถเข้าใจอารมณ์ รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้ดีกว่ากลุ่มคนทั่วไป
การศึกษาวิจัยในกลุ่มผู้นำและผู้ปฏิบัติงานในองค์การต่างๆ นั้น Goleman (1998) ศึกษาจากบริษัท กว่า 200 บริษัทในอเมริกาพบว่า EQ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้นำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับสูงของบริษัท ผลการวิจัยชี้ชัดว่า 67% ของความสามารถที่บุคคล ใช้ เพื่อความสำเร็จในงาน เป็นเรื่องของ EQ (เช่นความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น ความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในองค์กรได้ เป็นต้น) ในขณะที่อีก33% ที่เหลือเป็นเรื่องของความสามารถทางสติปัญญา (Cognitive Abilities) และความรู้ความชำนาญในงาน (Technical Skills) ซึ่งผลดังกล่าวสอดคล้องกับการวิจัยของ Buchele,R & Goleman ,1998 ที่พบว่าในองค์การนั้น ยิ่งงานมีตำแหน่งสูงขึ้นเท่าไร ความรู้ความชำนาญในงาน (Technical Skills) และความสามารถทางสติปัญญา (Cognitive Skills) จะลดความสำคัญลง EQ จะมีความสำคัญเพิ่มขึ้น
การวิจัยข้ามวัฒนธรรมในอเมริกา เยอรมันนี ญี่ปุ่น และลาตินอเมริกา ในด้านผู้นำขององค์การที่ประสบความสำเร็จ และล้มเหลว พบข้อมูลที่สอดคล้องกันว่าผู้นำที่ประสบความล้มเหลวนั้นล้วนแล้วแต่ขาด EQ ทั้งสิ้น ทั้งที่ผู้นำเหล่านี้ล้วนมีความชำนาญการสูง และมี IQ สูงทั้งสิ้น(Goleman,1998:41-42)
ในสังคมไทย EQ ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ เพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้และหาคำตอบให้กับปัญหา ปรากฏการณ์ที่ เกิดขึ้น ดังกล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้ให้ความสนใจมาก โดยสังเกตจาก การเสนอบทความแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ EQ การเสนอทัศนะที่แตกต่างระหว่าง IQ และ EQ เริ่มมีการจัดอบรมของโรงพยาบาล นักวิชาการเพื่อให้ความรู้เรื่อง EQ ให้กับ ผู้ปกครองต่างๆ
ความหมายของคำว่า EQ
Peter Salovey และ John Mayer (1990) ให้นิยามคำว่า เชาวน์อารมณ์ คือ ความสามารถ ของบุคคลในการที่จะไหวเท่าทัน ในความคิดความรู้สึก และภาวะอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้ นอกเหนือจากการติดตามกำกับควบคุมได้แล้ว บุคคลพึงรู้จักจำแนก แยกแยะ และใช้ข้อมูลเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อชี้นำความคิดและการกระทำของตนเอง จะเห็นว่าความหมายเช่นนี้ สอดคล้อง กับสติและสัมปชัญญะ ในพระพุทธศาสนานั่นเอง EQ เป็นเรื่องของการบริหารจัดการความรู้สึกและอารมณ์ภายในตน (Intrapersonal Emotional Management) และการบริหารจัดการอารมณ์ของตนในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal) EQ เป็นเรื่องของการฉลาดรู้จักใช้อารมณ์ของตน สนองเป้าหมายของการทำงานและชีวิตประจำวัน
Goleman (1995) ได้ให้ความหมายของอารมณ์ไว้ว่า “เป็นความรู้สึกที่ประกอบจากความคิดเฉพาะตน เป็นภาวะทางจิตใจและชีววิทยา เป็นวิสัย แนวโน้มที่จะแสดงออก” (p.289) ตัวอย่างของอารมณ์สำคัญ ๆ ได้แก่ โกรธ เศร้า กลัว ร่าเริง รัก ขยะแขยง ประหลาดใจ ละอาย อดสู เป็นต้น ส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ได้แก่ ภาวะอารมณ์ (Moods) ที่แฝงในตนและคงอยู่นานกว่าอารมณ์ และคำว่า นิสัยใจคอ (Temperament) ที่เป็นนิสัยของอารมณ์ที่มีอยู่ในตัวคน พร้อมที่จะแสดงอารมณ์และภาวะอารมณ์ออกมาให้ปรากฏ เราจะสังเกตเห็น ความผิดปกติของอารมณ์ของบุคคลได้ชัด หากเบนออกไปจากนิสัยใจคอที่เป็นแบบฉบับปกติของบุคคลนั้น
Cooper & Sawaf (1997) ได้ให้ความหมายของ EQ ไว้ว่า เป็นความสามารถของบุคคลในการที่จะรับรู้เข้าใจ และประยุกต์ใช้พลัง การรู้จักอารมณ์ เป็นรากฐานของพลังงาน ข้อมูล การสร้างสายสัมพันธ์เพื่อการโน้มนำผู้อื่นได้
Goleman (1998, p.317) ได้ให้ความหมายของ EQ ไว้อย่างชัดเจนว่า หมายถึง “ความสามารถในการตระหนักรู้ถึง ความรู้สึกของ ตนเอง และของผู้อื่น เพื่อการสร้างแรงจูงใจในตัวเอง บริหารจัดการอารมณ์ต่าง ๆ ของตนและอารมณ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้” โดยเขามีความเชื่อว่า เชาวน์อารมณ์นั้นแตกต่างจากเชาวน์ปัญญา แต่เสริมเกื้อกูลกัน คนที่เก่งแต่หนังสือ (Book Smart) แต่ขาด EQ มักจะมาทำงานให้กับ คนที่มีระดับเชาวน์ปัญหาต่ำกว่าตน แต่มีความเป็นเลิศด้านทักษะของความเก่งคน
Bar-on (1992) (อ้างใน Goleman, 1998b, p.370-371) จากการทำวิทยานิพนธ์ ระดับ ปริญญาเอก ในชื่อเรื่อง “The development of a concept and test of psychological well-being” ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับ EQ ไว้ และได้ให้ความหมายของ EQ ไว้ว่าเป็น “ชุดของความสามารถส่วนตัว ด้านอารมณ์ ด้านสังคม ของบุคคลที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ของเขาในการต่อกรกับ ข้อเรียกร้อง และแรงกดดันจาก สภาพแวดล้อมทั้งหลายได้เป็นอย่างดี”
จะเห็นได้ว่านิยามของ EQ นั้นมีมากมายในปัจจุบันมีการเผยแพร่แนวคิด แนวประยุกต์ใช้ได้โดยเฉพาะด้านการประเมิน EQ กันเป็นอันมาก การทำความเข้าใจนิยามพื้นฐานของ EQ จึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
ความสำคัญและประโยชน์ของ EQ
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด องค์ประกอบและพัฒนาการของ EQ ทำให้เราทราบว่า EQ น่าที่จะมีส่วนในเบื้องหลัง ของความ สำเร็จต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในชีวิต ในการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น หลังจากที่ถูกละเลยเป็นอย่างมากในช่วง 1920-1960 ซึ่งเป็นยุคของความคิด ความเข้าใจ EQ ถือเป็น การเรียนรู้จักอารมณ์ ความรู้สึกของตน ให้ตระหนักมีสติ รู้เท่าทัน สาเหตุและความแปรผันด้านอารมณ์ของตน เป็นการเรียนรู้ พูดคุยภายในตน (Intraindividual Talk) บริหารจัดการอารมณ์ ภาวะอารมณ์ อุปนิสัยใจคอของตน ในทางที่สร้างประโยชน์แก่ทุกฝ่าย สร้างแรงจูงใจ ให้แก่ตนเองไปในทางที่สร้างสรรค์ EQ จึงเป็นการนำเชาวน์อารมณ์ของตนออกมาติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal Relations) ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการสื่อสาร ความเก่งคน ความเข้าอกเข้าใจคน เอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) และเป็นการที่บุคคลมี ความสามารถรักษาความสมดุล ของเหตุผลกับอารมณ์ ความสามารถบริหารจัดการ ความสัมพันธ์งานในหน้าที่ของตน กับผู้อื่นได้เป็น อย่างดี
จะเห็นได้ว่า ความเป็นผู้มีเชาวน์อารมณ์ ผสมเข้ากับเชาวน์ปัญญาของบุคคลคนนั้น นอกเหนือจากจะทำให้บุคคลตระหนัก และรู้จักตนเองแล้ว ยังทำให้เข้าใจความคิดความรู้สึก ความต้องการของผู้อื่นได้อีกด้วย EQ ก่อให้เกิดการทำงานร่วมมือที่สร้างสรรค์ สนองเป้าหมายที่กำหนดไว้แต่แรกได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล EQ ทำให้การสื่อสารระหว่างบุคคลเป็นไปอย่างราบรื่น อดทน เข้าใจต่อกัน เกื้อหนุนให้มีการใช้ศักยภาพของคนอย่างสูงสุด ประกอบกับภูมิปัญญาจะทำให้เกิดการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ EQ ก่อให้เกิดการบริหารจัดการที่ให้เกียรติยอมรับ เกื้อหนุนแก่กันและกัน เพิ่มพูนความคิดสร้างสรรค์ กล้าเสี่ยง กล้าคิดริเริ่ม ลดการโจมตี การนินทา ก้าวร้าว และไม่ยืดหยุ่นต่อกัน
การประยุกต์ใช้หลักการของ EQ เข้าสู่ชีวิตประจำวันและงานในหน้าที่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งกับทุกคน อาทิ
1. พัฒนาการด้านบุคลิกภาพของเด็ก ๆ EQ มีบทบาทในการกำหนดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา สร้างวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เจริญสมวัยได้ดี
2. การสื่อสาร แสดงความรู้สึก อารมณ์ของตนได้อย่างถูกต้องตามกาละเทศะ เข้าอกเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
3. การปฏิบัติงาน EQ เกื้อหนุนการยอมรับ ความคิดริเริ่ม ก่อให้เกิดการสร้างผลิตผลที่สนองเป้าหมาย ลดการลา ขาดงานหรือย้ายงาน เนื่องจากข้อขัดแย้งระหว่างบุคคลลง
4. การให้บริการ EQ ก่อให้เกิดการทำความรู้จักลูกค้า รับฟังความต้องการของลูกค้า และตอบสนองได้ดี สร้างความจงรักภักดี ในการใช้สินค้า และบริการของหน่วยงาน
5. การบริหารจัดการ EQ ช่วยส่งเสริมอัจฉริยภาพของความเป็นผู้นำ ที่มีศิลปะในการรู้จักใช้คนและครองใจคนได้ เปิดโอกาส ให้ผู้บริหารได้เรียนรู้และพัฒนาตน
6. การเข้าใจชีวิตของตนและของผู้อื่น EQ เป็นเรื่องของการศึกษาทำความเข้าใจตน (Insight) การมองเข้าไปในตนก่อน ทำความเข้าใจผู้อื่น เมื่อเข้าใจตน เข้าใจคนอื่น การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน จึงเป็นการมุ่งใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ อย่างสูงสุด ชีวิตครอบครัวก็จะเป็นสุขด้วยความเข้าใจกัน
EQ กับปฏิสัมพันธ์ของสติปัญญาและบุคลิกภาพ
ความสนใจเกี่ยวกับ EQ มีมานานนับตั้งแต่ที่มีผู้สนใจเกี่ยวกับความคิด ความเข้าใจ ของมนุษย์ (อาทิ Descartes และ Aristotle ) ซึ่งส่งผลให้มีการศึกษาด้านแนวคิด และการวัดการทดสอบด้านสติปัญญา หรือคุณลักษณะด้านความเป็นคนเก่งของมนุษย์อย่างมาก และต่อเนื่อง ขณะที่ค่อนข้างจะละเลย จิตพิสัย (Affective Manifestations) นับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา ก็มีผู้เริ่มสนใจถึง ความเกี่ยวข้องของ สติปัญญากับบุคลิกภาพ และแยกให้เห็นความแตกต่างกันในระดับพื้นฐานเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงของกระบวนการทางจิต (Psychological Functioning) ของบุคคลนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าระดับพื้นฐาน และควรต้องศึกษาถึง ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของความคิด บุคลิกภาพ อุปนิสัย ประกอบร่วมกันกำหนดเป็นพฤติกรรม ทั้งความรู้และความเชื่อซึ่งต่างมีผลต่อพฤติกรรมในการแก้ไขปัญหา การปรับตัว พฤติกรรมการติดต่อสัมพันธ์ ต่อการแสดงออก ที่เกี่ยวกับจริยธรรมของบุคคล
กระบวนการทางจิตอันเนื่องจากความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของสติปัญญาและบุคลิกภาพนี้จะส่งผลถึงระดับความสามารถในการปรับตัวได้ (Adaptability) ของบุคคลที่แตกต่างกันไปในสถานการณ์ที่เกี่ยวกับความเก่งคิด ความเก่งคน และในเรื่องที่เกี่ยวกับ ศีลธรรมจรรยา อยู่เสมอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการดำรงชีวิตก็ตาม
กระบวนการของ EQ ต้องมุ่งให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลสามารถที่จะปรับตัวได้เป็นอย่างดีใน 3 สถานการณ์ดังกล่าวคือ ให้บุคคลสนองตอบ ต่อความต้องการพื้นฐาน หรือเป้าหมายต่าง ๆ ของตนได้อย่างสอดคล้องกัน ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมคุณธรรม ที่ตนยึดถือด้วย ทำให้บุคคลมีการใช้ความรู้ สติ ความยั้งคิด คิดให้รอบ ใช้ข้อมูลทุกแง่ทุกมุมอย่างเต็มที่ ตามความเป็นจริงถูกต้องกับกาลเทศะกับบุคคล ชุมชน สถานที่
กระบวนการของสมองที่เป็นบ่อเกิดของ IQ และ EQ
EQ เป็นผลการศึกษาอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับโครงสร้างและหน้าที่ของสมองส่วนต่างๆ โดยมีลำดับพัฒนาการดังนี้
ในช่วงทศวรรษ 1950 Paul MacLean แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของอเมริกา ได้เสนอผลการศึกษาของสมองของคนเราว่า สมองมี 3 ชั้น ชั้นในสุด เรียกว่า Reptilian เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ อุปนิสัยดั้งเดิมที่ไม่ได้ขัดเกลา สมองส่วนกลางเรียกว่า Limbic system ที่มี Amygdala เป็นศูนย์ของการรับรู้ ตอบสนองต่ออารมณ์โกรธกลัวของมนุษย์ เป็นบริเวณที่เกิดของอารมณ์ที่ส่งผลต่อ การทำงานของสมองชั้นนอกสุดที่เรียกว่า Neocortex หรือ Cerebral System ทำหน้าที่คิดรับรู้ พูด วางแผน ทำให้ มนุษย์แตกต่าง จากสัตว์ประเภทอื่นๆ ถือเป็น “the thinking brain” ในช่วงทศวรรษ 1960 Roger Sperry แห่ง California Institute of Technology (Cal Tech) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการแบ่งส่วนของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาและค้นพบว่าสมองทั้ง 2 ส่วน มีหน้าที่เป็น เอกเทศ และความเชี่ยวชาญ แตกต่างกัน สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายด้านขวา โดยรับผิดชอบเกี่ยวกับ ภาษาถ้อยคำ เป็นคำพูดตัวหนังสือ เน้นการคิดวิเคราะห์ การคิดวางแผน การคิดตามความเป็นจริง คิดเป็นลำดับขั้นตอน ของความเป็น เหตุเป็นผลอย่างกระตือรือร้น ในส่วนของสมองซีกขวานั้นควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายด้านซ้าย รับผิดชอบเกี่ยวกับ การคิด เป็นภาพ คิดแบบคาดคะเนโดยใช้ญาณหยั่งรู้ คิดโดยประมวลสิ่งเร้าต่างๆพร้อมๆกัน คิดรับรู้จินตนาการ ในลักษณะของความคิด สร้างสรรค์ คิดแบบทันทีทันใด สมองซีกขวาจะคิดในสิ่งที่เป็นภาพรวมในเชิงของมิติสัมพันธ์ ขณะที่สมองซีกซ้ายจะคิดอะไร ในลักษณะ เป็นลำดับขั้นตอน
ในปี 1976 Ned Herrmann ซึ่งสนใจเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ได้เสนอแนวคิด “The whole brain model” ขึ้นมาโดยมีแนวคิดว่า สมองส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้รูปแบบการคิดของ Cerebral อีกส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้การทำงานของ Limbic Mode นอกจากนี้แนวคิดของ Herrmann ได้เสนอ ความโดดเด่นของสมองมนุษย์แต่ละคนว่า เอียงไปทางด้าน Cerebral (สมอง ความคิด ความเข้าใจ) หรือโน้มเอียงไปทางด้านของ Limbic (อารมณ์ ญาณหยั่งรู้ ทันทีทันใด) นำไปสู่ความเชื่อว่า สมองของมนุษย์แต่ละคน จะมีด้านใดด้านหนึ่งที่เด่นกว่าด้านอื่น
Goleman (1998) เชื่อว่า การสอนบุคคลให้มีความสามารถด้านทางอารมณ์ (Emotinonal Intelligence Competencies) นั้นต่างจากการสอนทักษะด้านสมอง หรือเทคนิคทางวิชาชีพใด ๆ ซึ่งเรียนรู้ได้เร็วโดยใช้สมองส่วนของ Neocortex รู้จักเชื่อมโยง, คิด, ทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับ แต่ในส่วนของเชาวน์อารมณ์นั้น เป็นการเรียนรู้อีกแห่งหนึ่งที่ซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับ นิสัยการคิด การรู้สึกปฏิกิริยาของคนที่สะสมมานานหลายปี การที่จะพัฒนาได้จะต้องลบพฤติกรรมหรือนิสัยไม่ดี (Unlearn) เสียก่อน แล้วจึงค่อยเรียนรู้ (Relearn) พฤติกรรมที่พึงประสงค์เข้าแทน ซึ่งต้องใช้เวลาใช้การฝึกฝนโดยประสบการณ์และการมีแรงจูงใจที่ดี ต่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำคัญของ Emotional Brain โดยเฉพาะ Amygdala ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นศูนย์ของความจำ ที่เกี่ยวกับอารมณ์และปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอารมณ์และการรับรู้อารมณ์ ที่นำไปสู่การตอบสนองที่จะสู้หรือถอย (Fight-or-Flight Response)
หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ในส่วนด้านซ้ายบนของสมอง จะเป็นส่วนที่ส่งเสริมด้านของสติปัญญา โดยเฉพาะ IQ และการแก้ไขปัญหา ด้านซ้ายล่างของสมอง จะทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่บ้านคอยจัดระเบียบ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ส่วนสมองด้านขวาบน จะเป็นต้นกำเนิดของความเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ คิดสังเคราะห์ คิดเห็นภาพรวมที่ควรจะเป็น และส่วนของสมองขวาล่าง จะเป็น “Emotional Brain” บ่อเกิดของ EQ เป็นผู้ที่มีความฉลาดรู้ทางอารมณ์ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น LeDoux (1993) ศึกษาค้นพบว่าอารมณ์สำคัญๆของมนุษย์มีระบบประสาทที่เป็นเฉพาะของตนในสมอง ภายในระบบ Limbic นั่นเอง
ความเชื่อและองค์ประกอบพื้นฐานของ EQ
Eysenck (1994) เชื่อว่าเชาวน์ทางสังคม (Social Intelligence) เป็นผลร่วมของหลายๆ ตัวแปร ด้วยกัน อาทิ แรงจูงใจ อาหาร ปัจจัยทางวัฒนธรรม ครอบครัว การศึกษา บุคลิกภาพ สุขภาพ ประสบการณ์ ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม พัฒนาการของเชาวน์ทาง สังคมจะมีได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีสภาพความพร้อมทางสรีระ ทางพันธุกรรม และชีวเคมีซึ่งเรียกโดยรวมว่าเชาวน์ทางชีววิทยา (Biological Intelligence) ซึ่งจะส่งผลถึงพัฒนาการของเชาวน์ปัญญา ที่เป็นด้านสมอง ดังที่ Eysenck เรียกว่า “Psychometric Intelligence” ที่เขาเชื่อว่าเป็นผลอย่างน้อยจาก ๔ องค์ประกอบด้วยกัน คือ ปัจจัยของครอบครัว วัฒนธรรม ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม และการศึกษาที่ได้รับ
มนุษย์ทุกคนมีภาวะอารมณ์พื้นฐานอยู่ในตัวเหมือนกัน แต่ในระดับที่แตกต่างกัน ภาวะอารมณ์อาจเป็นบวกหรือลบก็ได้ การเกิดอารมณ์ทางลบเมื่อขุ่นเคือง เป้าหมายถูกขัดขวาง อารมณ์ทางบวกเกิดเมื่อรู้สึกยินดีเป็นสุข EQ น่าที่จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. เป็นผลร่วมจากปฏิสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม อาทิ บ้าน ครอบครัว สื่อ โรงเรียน ที่มีบทบาทหล่อหลอมพฤติกรรมที่สะท้อนถึง EQ หรือ Ego Development ของบุคคล
2. เกี่ยวข้องอย่างมากกับ วุฒิภาวะอารมณ์ที่เจริญสมวัย (Maturity) อาทิ ความอดได้รอได้ ไม่หุนหันพลันแล่นหรือใจร้อน โกรธง่าย การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา การไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง เป็นต้น
3. เกี่ยวข้องกับ บุคลิกภาพ แบบฉบับที่เป็นปกติวิสัยของบุคคลนั้น ที่ต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน พัฒนาการเรียนรู้ของ EQ มักจะเกิดในช่วงหลังการศึกษาเล่าเรียนเป็นส่วนมากเป็นเรื่องของ“โลกในความเป็นจริง”
4. เรียนรู้ได้ ฝึกฝนได้ เปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ แต่ต้องใช้ความอดทนเอาจริงเอาจัง (Goleman, 1998) และเกี่ยวข้องโดยตรง กับระดับประสบการณ์ของบุคคล การเรียนรู้ของ EQ มีทั้งที่ปรากฏให้เห็น (Implicit) ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้โต้ตอบกันภายในตัวบุคคล (Intraindividual) หรืออาจแสดงออกมาอย่าง ชัดเจน (Explicit) ก็เป็นได้ Reuven Bar-On (อ้างถึงใน Stuller 1997, p.48) เชื่อว่า EQ เติบโตตั้งแต่ในวัยเด็กถึงอายุ 50 กว่า ๆ โดยจะมีจุดสูงสุดในช่วงอายุระหว่าง 45-55 ปี
5. ประเมินได้ในนัยของความเหมาะสมมากกว่าจะเป็นเรื่องของความ ถูก-ผิด หรือ ขาว-ดำ ดี-ชั่ว
6. มีหลายองค์ประกอบร่วม (Multifactorial) ที่มีผลต่อพัฒนาการทางสังคม อารมณ์ สติปัญญา ของบุคคล
7. EQ สูงในกรณีรายบุคคลไม่ได้เป็นหลักประกันว่า เมื่อรวมกลุ่มแล้ว EQ ของกลุ่มจะสูงตามไปด้วย
ลักษณะของการเรียนรู้ทางอารมณ์ของบุคคลเพื่อสร้าง EQ
จะเห็นได้ว่า การกำหนดความหมายและการอบรมขัดเกลานิสัยทางสังคมของบุคคลนั้น
เป็นผลร่วมของปฏิสัมพันธ์ใน 2 ลักษณะ คือ การซึมซับเข้าสู่ตัวเองกับการแสดงออกกับสิ่งแวดล้อมนอกตน
องค์ประกอบของ EQ
Wagner และ Sternberg (1985,p.439) เสนอว่าพฤติกรรมของผู้ที่ชาญฉลาดด้าน “Practical Intelligence” ที่จะเอื้อต่อ ความสำเร็จในวิชาชีพในการบริหารและในชีวิต สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. การครองตน (Managing self) หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง ในแต่ละวันให้ได้ผลผลิตสูงสุด อาทิ การจัดลำดับกิจกรรมที่ต้องทำ การกระตุ้นชี้นำตนให้มุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์
2. การครองคน (Managing others) ทักษะความรู้ในการบริหารผู้ใต้บังคับบัญชา และความสัมพันธ์ทางสังคม ความสามารถเข้ากับ ผู้อื่นได้ มอบหมายงานให้ทำตรงกับทักษะความรู้ความสามารถของผู้ปฏิบัติแต่ละคนให้รางวัลตามผลงานที่ปฏิบัติ
3.การครองงาน (Managing career) จะสร้างผลกระทบที่ดีแก่สังคม องค์การ ประเทศชาติได้อย่างไร จะสร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิ ของตนได้เช่นไร จัดความสำคัญจำเป็นของตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่องค์การให้ความสำคัญ โน้มน้าวผู้เกี่ยวข้อง ให้เห็นความสำคัญ เห็นดีงามด้วย
Salovey และ Mayer (1994 ,p. 313-316) แสดงทัศนะว่า EQ เป็นเรื่องของทักษะในการปรับตนใน 3 ลักษณะ กล่าวคือ
1.ขั้นรู้ตน การประเมินภาวะอารมณ์ได้อย่างถูกต้อ งและแสดงออกได้อย่างเหมาะสม การที่บุคคลสามารถรับรู้ ระบุ และจำแนก ภาวะอารมณ์ที่เกิดกับตนได้ เป็นปัจจัยนำที่เอื้อต่อความสามารถในการปรับตัวที่แสดงออกทางอารมณ์ ตัวอย่างเช่น เด็กสามารถ รับรู้ภาวะอารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าได้อย่างถูกต้อง ที่ผันตามระดับอายุ ยิ่งโตยิ่งรับรู้อารมณ์ได้ถูกต้องมากขึ้น
2. ขั้นควบคุมอารมณ์ ขั้นควบคุม กำกับดูแลภาวะอารมณ์ของตน และของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลและเทศะ ทั้งในแง่ของกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ในบางอาชีพจำเป็นต้องฝึกขั้นนี้มากเป็นพิเศษอาทิ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ที่ต้องฉลาดรู้เท่าทันในท่าทีภาวะอารมณ์ของผู้โดยสาร
3. ขั้นใช้เชาวน์อารมณ์ คนแต่ละคนจะมีความสามารถใช้ประโยชน์จาก ภาวะอารมณ์ของตนต่างกันในการแก้ไขปัญหา หรือช่วยในการปรับตัว หากอารมณ์ดีอาจมีส่วนช่วยให้เกิดภาวะคิดสร้างสรรค์และการคิดอย่างมีเหตุผลในการตอบข้อสอบกฎหมาย ขณะที่อารมณ์เศร้าทำให้การคิดแบบอุปมาอุปไมยช้าลง
Goleman (1995,p.43-44) ได้เสนอว่าในทัศนะของ Salovey EQ ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบที่สำคัญคือ
1. ขั้นตระหนักรู้จักอารมณ์ตน (Know one’s Emotion) มีตนแล้วให้รู้ตน หรือบางทีเรียกว่าการตระหนักรู้ตน (self awareness) เข้าใจหยั่งรู้ความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ ภาวะอารมณ์ความต้องการของตนในแต่ละห้วงเวลาและสถานการณ์ เข้าทำนองผู้ที่รู้จักตัวเอง และเอาชนะตนเองได้เป็นผู้ที่ฉลาดที่สุด
2. ขั้นบริหารจัดการอารมณ์ของตน (Managing Emotions) เป็นความสามารถที่จะควบคุมจัดการกับความรู้สึก หรือภาวะอารมณ์ ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และชาญฉลาด โดยสร้างเสริมจากภาวะ ที่ตระหนักรู้ในอารมณ์ของตน เมื่อเศร้า โกรธ ผิดหวังหรือเสียใจ ก็ควบคุมตนได้ ไม่โมโหร้ายหรือหา “แพะ” สร้างความทุกข์ระทมให้เกิดแก่ตน นำพาภาวะอารมณ์ของตน ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ได้โดยเร็ว ผันร้ายให้กลายเป็นดี คิดไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ
3. ขั้นสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเองได้ (Motivating Oneself) การกระตุ้นเตือนตนให้คิดริเริ่มอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันตน มุ่งสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ จะนำมาซึ่งความสำเร็จ สามารถอดได้รอได้ ไม่หุนหันใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่สามารถทำได้ดังนี้ถือเป็น ผู้ที่ประสบความ สำเร็จในงาน มุ่งสู่เป้าหมายอย่างมีพลังของความตั้งใจมั่น มองอะไรที่ไม่ติดกับเงินหรือตำแหน่ง
4. ขั้นสามารถรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นได้ (Recognizing Emotions in others) ความสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นพื้นฐาน ของความ “เก่งคน” รู้เท่าทันในความรู้สึก ความต้องการ ข้อวิตกกังวลของผู้อื่นได้อย่างชาญฉลาด มีไหวพริบ มีความสำคัญต่อบางอาชีพ เช่น งานที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การขาย การสอน และการบริหารจัดการ
5. ความสามารถในการจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Handling Relationships) เป็นผลร่วมของข้อ 1-4 ทำอย่างไร ที่จะมี ความสามารถ ในการสร้างและรักษาเครือข่ายสายสัมพันธ์ส่วนตัวและที่เกี่ยวกับงานไว้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากกับความเป็นผู้มีชื่อเสียง (ไม่ใช่ชื่อเสีย) ความเป็นผู้นำและความเก่งคน Gardner ถือว่าเป็นลักษณะของ “Interpersonal Intelligence” ที่ประกอบจากการ จัดตั้งกลุ่ม หรือเครือข่าย การเจรจาแสวงหาทางออก การสร้างสายสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว และเป็นผู้ที่มีความสามารถวิเคราะห์ สถานการณ์ ทางสังคมได้ดี
Goleman (1998 a , 1998 b) ได้เสนอกรอบแนวคิดเกี่ยวกับเชาวน์อารมณ์ (the emotional competence framework) ไว้ 2 หมวด 5 องค์ประกอบ 25 องค์ประกอบย่อย ดังแสดงไว้ในตารางที่ 1 โดยหมวดแรกเป็นทักษะการบริหารความสัมพันธ์ ส่วน 3 องค์ประกอบที่เหลือเป็นการบริหารตนเอง
แนวคิดเกี่ยวกับเชาวน์อารมณ์
ก. สมรรถนะทางสังคม ได้แก่ การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ การตระหนักรู้ถึงความรู้สึก ความต้องการและข้อห่วงใยของผู้อื่น ได้แก่
1.การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
1.1- การเข้าใจผู้อื่น รู้ถึงความรู้สึก มุมมอง สนใจในข้อวิตกกังวลของเขา
1.2- การมีจิตใจมุ่งบริการ คาดคะเน รับรู้และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี
1.3- การพัฒนาผู้อื่น ทราบความต้องการ เพื่อส่งเสริมความรู้ความสามารถได้ถูกทาง
1.4 -การสร้างโอกาสในความหลากหลาย เล็งเห็นความเป็นไปได้จากความแตกต่าง โดยไม่แบ่งแยก
1.5-ความตระหนักรู้ถึงทัศนะความคิดเห็นของกลุ่ม ความสามารถอ่านสถานการณ์
ปัจจุบันและความสัมพันธ์ของกลุ่มได้ความคล่องแคล่วในการก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงที่พึงประสงค์จากความร่วมมือของผู้อื่น
2.ทักษะทางสังคม
2.1 -การโน้มน้าว แสดงกลวิธีโน้มน้าวต่างๆ อย่างได้ผล
2.2- การสื่อสาร ส่งสารที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ
2.3- ความเป็นผู้นำ โน้มน้าวและผลักดันกลุ่มได้ดี
2.4-การกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ริเริ่มและบริหารความเปลี่ยนแปลงได้ดี
2.5-การบริหารความขัดแย้ง เจรจาและแก้ไข หาทางยุติความไม่เข้าใจกัน
2.6-การสร้างสายสัมพันธ์ เสริมสร้างความร่วมมือร่วมใจกันเพื่อการปฏิบัติ
2.7-การร่วมมือร่วมใจกัน ทำงานกับผู้อื่นเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย
2.8 - สมรรถนะของทีม สร้างพลังร่วมของกลุ่มในการมุ่งสู่เป้าหมาย
ข. สมรรถนะส่วนบุคคล
บริหารจัดการตนเองได้อย่างไร การตระหนักรู้ความรู้สึกความโน้มเอียงของตน หยั่งรู้ความเป็นไปได้ของตน และความพร้อมต่าง ๆ
3. การตระหนักรู้ตนเอง
3.1 รู้เท่าทันในอารมณ์ตน สาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้น ๆและผลที่จะตามมา
3.2 ประเมินตนเองได้ตามจริง รู้จุดเด่นด้อยของตน
3.3 มั่นใจในตนเอง มั่นใจในความสามารถ คุณค่าของตนความสามารถในการ จัดการกับความรู้สึกภายในตนได้
4. การควบคุมตนเอง
4.1 การควบคุมตน สามารถจัดการกับภาวะอารมณ์หรือความฉุนเฉียวได้
4.2 ความเป็นที่ไว้วางใจได้ รักษาความเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และคุณงามความดีได้
4.3 ความเป็นผู้ที่ใช้สติปัญญา แสดงความรับผิดชอบ
4.4 ความสามารถที่จะปรับตัวได้ ยืดหยุ่นในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงได้
การสร้างสิ่งใหม่ เป็นสุขและเปิดใจกว้างกับความคิด แนวทาง หรือข้อมูลใหม่ ๆ
แนวโน้มของอารมณ์ที่เกื้อหนุนการมุ่งสู่เป้าหมาย
5. การสร้างแรงจูงใจ
5.1 แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ พยายามที่จะปรับปรุงหรือให้ได้มาตรฐานที่ดีเลิศ
5.2 ความจงรักภักดี ยึดมั่นกับเป้าหมายของกลุ่ม เป้าหมายขององค์การ
5.3 ความคิดริเริ่ม พร้อมที่จะปฏิบัติตามโอกาสอำนวย
5.4 การมองโลกในแง่ดี แม้มีอุปสรรค ปัญหา แต่ก็ไม่ย่นระย่อมุ่งสู่เป้าหมาย
Bar-on (1992) ได้เสนอองค์ประกอบของ EQ โดยแบ่งเป็น 5 หมวด 15 คุณลักษณะสำคัญ ดังที่แสดงไว้ในตารางที่ 2
หมวดและคุณลักษณะของ EQ ในทัศนะของ Bar-on (1992)
หมวด คุณลักษณะ
1. ความสามารถภายในตน
1.1 ตระหนักรู้จักตน
1.2 เข้าใจภาวะอารมณ์ของตน
1.3 กล้าแสดงความคิด และความรู้สึกของตน
2. ทักษะของความเก่งคน
2.1 ตระหนักรู้เท่าทันในความคิดความรู้สึกของผู้อื่นได้ดี
2.2 ใส่ใจสวัสดิภาพห่วงใยผู้อื่น
2.3 สร้างสายสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี
3. ความสามารถในการปรับตัว
3.1 ตรวจสอบความรู้สึกของตน
3.2 ตีความเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี
3.3 ยืดหยุ่นในความคิดความรู้สึกของตนได้ดี
3.4 แก้ไขปัญหาและสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
4. กลยุทธ์ในการบริหารความเครียด
4.1 จัดการกับความเครียดได้ดี
4.2 ควบคุมอารมณ์ของตนได้ดี
5. ปัจจัยด้านแรงจูงใจและภาวะอารมณ์
5.1 มองโลกในแง่ดี
5.2 สร้างความสนุกสนานให้เกิดแก่ตนเองและผู้อื่นได้ดี
5.3 รู้สึกและแสดงออกซึ่งความเป็นสุขให้ปรากฏได้
Weisinger (1998) ได้กำหนด EQ ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เกี่ยวกับ EQ เฉพาะบุคคลมี 3 องค์ประกอบย่อยคือ ส่วนที่เพิ่ม EQ ให้แก่ตนเอง (intrapersonal emotional intelligence) ซึ่งได้แก่การพัฒนาให้มีความตระหนักรู้จักตน การบริหารอารมณ์ของตน และการสร้างแรงจูงใจที่ดีให้แก่ตน ส่วนที่สองได้แก่การใช้ EQ ของตนเพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ (interpersonal emotional intelligence) ประกอบด้วยการพัฒนาทักษะการสื่อสารที่ดี ความเก่งคน และการช่วยเหลือผู้อื่นให้ช่วยตัวเขาได้ โดยเขาเชื่อว่ามี 4 แนวทางที่จะช่วยเสริมสร้าง EQ ของผู้คนได้คือ
-ให้โอกาสได้รับรู้ ตีความและแสดงภาวะอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง
-ให้ได้ใช้ภาวะอารมณ์นั้นๆ กับตนเองและผู้อื่น และเรียนรู้
-ให้ได้เข้าใจอารมณ์และความรู้ที่ได้รับ
-ให้ควบคุมอารมณ์และเอาชนะ สร้างพฤติกรรมในทางบวก
EQ มีความสำคัญต่อบุคคลและสังคม และมีประโยชน์ทั้งในแง่ชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน และองค์กรต่างๆ การศึกษาวิจัยใน ต่างประเทศ ยืนยันว่า EQ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดความ สำเร็จความราบรื่นทั้งในชีวิตส่วนตัว และการทำงาน (Goleman,1995,1998.) โดยที่ EQ นั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ ฝึกฝนให้มีขึ้นในตนเองได้ EQ เริ่มพัฒนาในวัยเด็กเหมือน IQ ดังนั้นการสร้างเสริมให้บุคคลมี EQ เพื่อพัฒนาการสมวัยจึงเป็นสิ่งสำคัญในการการพัฒนาบุคลิกภาพ
อย่างไรก็ตาม IQ และ EQ ก็ยังไม่เพียงพอในการเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ เพราะหากบุคคลนั้นมี สติปัญญาดี มีความฉลาดทางอารมณ์ แต่ไร้คุณธรรม ไร้ศีลธรรมก็จะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมไม่มี ความสุข ดังนั้นองค์ประกอบที่สำคัญและขาดเสียไม่ได้ อีกองค์ประกอบหนึ่งคือ ความฉลาดด้านจริยธรรม และศีลธรรม MQ ( Moral Quotient)) นั่นเอง
องค์ประกอบด้านความฉลาดทางจริยธรรม และศีลธรรม (Moral Quotient :MQ)
MQ (Moral Quotient) คือระดับจริยธรรมศีลธรรมบุคคล ซึ่งสามารถการควบคุมตนเอง มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ มีความกตัญญู เป็นคนดี มีระเบียบวินัย มีสำนึกผิดชอบชั่วดี และเคารพนับถือผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อสังคมและมนุษยชาติ บางคนเข้าใจว่า EQ กับ MQ นั้นคือ สิ่งเดียวกันแต่จิตแพทย์ จาก ม.ฮาร์วาด ดร.โรเบิร์ต โคลส์ ( Cole ; 1997 ) ได้แยกเอาระดับความคิดด้านจริยธรมมและศีลธรรมนี้ออกมาจากความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญเฉพาะขึ้นอีก ดร.โรเบิร์ต โคลส์ กล่าวว่า MQ นั้นไม่สามารถฝึกฝนหรือขัดเกลาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่บุคคลเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว เหมือนดังคำโบราณของไทยที่ว่า "สันดอนนั้นขุดได้ แต่สันดานนั้นขุดยาก"
การที่บุคคลคนหนึ่งจะมี MQ ระดับดี ต้องเริ่มปลูกฝังในวัยเด็กจึงจะได้ผล อาศัยปัจจัย 3 อย่างด้วยกันคือ การสอนศีลธรรมโดยตรงให้กับเด็ก การถ่ายทอดทางศีลธรรมจากผู้ใหญ่ให้กับเด็ก ความรักและวินัย
MQ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกมาตั้งแต่วัยเด็ก ถ้าบุคคลได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมาแต่ยังเป็นเด็ก บุคคลก็สามารถพัฒนาพื้นฐาน MQ ของตนขึ้นมาในระดับหนึ่ง (มากน้อยแล้วแต่การปลูกฝัง) และ MQ นี้ก็จะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึก ของบุคคลผู้นั้น และจะรอเวลาที่ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง โดยการอบรมสั่งสอน การฟังธรรม และวิธีอื่น ๆ แต่ถ้าบุคคลไม่มี MQ อยู่ในจิตสำนึกดั้งเดิมแล้ว ไม่ว่าโตขึ้นจะได้รับการกระตุ้นอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้มากนัก
ในทางจิตวิทยา เรื่องระดับพัฒนาการทางจริยธรรม ได้มีนักจิตวิทยาได้เสนอทฤษฏีที่น่าสนใจ ไว้นานแล้วก่อน ที่จะมีการเสนอเรื่อง MQ ก็คือ Lawrance Kolhberg 1927-1987 ซึ่งนับว่าเป็นทฤษฏี ที่อาจนำไปทำความเข้าใจบุคลิกภาพของบุคคลได้อีกแนวคิดหนึ่ง
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ทฤษฎีของโคลเบิร์ก (Kolhberg) เป็นทฤษฎีที่มีรากฐานสืบเนื่องมาจาก ทฤษฎีของพีอาเจต์ แต่โคลเบิร์กได้ปรับปรุงวิธีการวิจัย การวิเคราะห์ผลรวมทั้งได้ทำการวิจัยอย่างกว้าวขวาง ไม่เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ได้ทำการวิจัยในประเทศอื่น ที่มีวัฒนธรรมต่างไป เช่น ประเทศไต้หวัน เตอรกี และเม็กซิโก เป็นต้น โคลเบิร์กได้คิดวิธีวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีระบบการ ให้คะแนนอย่างมีระเบียบ แบบแผน ผู้ที่จะใช้วิธีการให้คะแนนระดับพัฒนาการทางจริยธรรม จะต้องได้รับการอบรมเป็นพิเศษ วิธีการวิจัยที่โคลเบิร์กใช้ก็คล้ายคลึง กับวิธีการของพีอาเจต์มาก คือสร้างสถานการณ์สมมติปัญหาทางจริยธรรม ที่ผู้ตอบยาก ที่จะตัดสินใจได้ว่า “ถูก” “ผิด” “ควรทำ” หรือ “ไม่ควรทำ” อย่างเด็ดขาด เพราะขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง การตอบจะขึ้น กับวัยของผู้ตอบ เกี่ยวกับความเห็นใจ ในบทบาทของผู้พฤติกรรมในเรื่องค่านิยม ความสำนึกในหน้าที่ในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม ความยุติธรรมหรือหลักการที่ตนยึด จากการวิเคราะห์คำตอบของผู้ตอบวัยต่าง ๆ โคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ (Levels) แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น (Stages) ดังนั้น พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กมีทั้งหมด 6 ขั้น คำอธิบายของระดับและขั้นต่าง ๆ ของพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก มีดังต่อไปนี้
ระดับที่ 1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม (Pre-Conventional) ในระดับนี้เด็กจะได้รับ กฎเกณฑ์และข้อกำหนดของพฤติกรรมที่ “ดี” “ไม่ดี” จากผู้มีอำนาจเหนือตน เช่น บิดา มารดา ครูหรือเด็กโต และมักจะคิดถึงผลที่ตามมาที่จะนำรางวัลหรือการลงโทษมาให้
พฤติกรรม “ดี” พฤติกรรมที่แสดงแล้วได้รางวัล
พฤติกรรม “ไม่ดี” พฤติกรรมที่แสดงแล้วได้รับโทษ
โคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
1.1 การลงโทษ และการเชื่อฟัง (Punishment and Obedience Orientation)
1.2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน (Instrumental Relativist Orientation)
ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม (Conventional) พัฒนาการจริยธรรมระดับนี้ ผู้ทำถือว่า การประพฤติตนตาม ความคาดหวัง ของผู้ปกครอง บิดา มารดา กลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกหรือของชาติ เป็นสิ่งที่ควรจะทำหรือทำความผิดเพราะกลัวว่า ตนจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ผู้แสดงพฤติกรรมจะไม่คำนึงถึงผลตามที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง ถือว่าความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี เป็นสิ่งสำคัญ ทุกคนมีหน้าที่จะรักษามาตรฐานทางจริยธรรม ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
2.1 ความคาดหวังและการยอมรับในสังคม สำหรับ “เด็กดี” (Interpresonal Concordance of “good boy, nice girl” Orientation)
2.2 กฎและระเบียบ (“Law-andorder” Orientation) การทำถูกไม่ประพฤติผิด คือ การทำ ตามหน้าที่ประพฤติตนไม่ผิดกฎหมาย และรักษาระเบียบแบบแผนของสังคม
ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ หรือระดับเหนือกฎเกณฑ์สังคม (Post-conventional Level) พัฒนาการ ทางจริยธรรมระดับนี้ เป็นหลักจริยธรรมของผู้มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ผู้ทำหรือผู้แสดงพฤติกรรมได้พยายามที่จะ ตีความหมายของ หลักการและมาตรฐานทาง จริยธรรมด้วยวิจารณญาณ ก่อนที่จะยึดถือเป็นหลักฐานของความประพฤติที่จะปฏิบัติตาม การตัดสิน “ถูก” “ผิด” “ไม่ควร” มาจากวิจารณญาณของตนเอง ปราศจากอิทธิพลของผู้มีอำนาจหรือกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิก กฎเกณฑ์ – กฎหมาย ควรจะตั้งบนหลักความยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับของสมาชิกของสังคมที่ตนเป็นสมาชิก โคลเบิร์กแบ่งพัฒนาการทางจริยธรรม ระดับนี้เป็น 2 ขั้น
สรุปแล้ว พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กมี 3 ระดับ และ 6 ขั้น ขั้นต่าง ๆ ของพัฒนาการทางจริยธรรม มีดังนี้
ขั้นที่ 1 การลงโทษ และการเชื่อฟัง
โคลเบิร์กกล่าวว่าในขั้นนี้เด็กจะใช้ผลตามของพฤติกรรมเป็นเครื่องชี้ว่า พฤติกรรมของตน “ถูก” หรือ “ผิด” เป็นต้นว่าถ้าเด็กถูกทำโทษก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ “ผิด” และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งนั้นอีก พฤติกรรมใดที่มีผลตามด้วยรางวัลหรือคำชม
เด็กก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ “ถูก” และจะทำซ้ำอีกเพื่อหวังรางวัล
ขั้นที่ 2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน
ในขั้นนี้เด็กจะสนใจทำตามกฎข้อบังคับ เพื่อประโยชน์หรือความพอใจของตนเอง หรือทำดีเพราะอยากได้ของตอบแทน หรือรางวัล ไม่ได้คิดถึงความยุติธรรมและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น พฤติกรรมของเด็กในขั้นนี้ทำเพื่อสนองความต้องการ เห็นใจผู้อื่น หรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น พฤติกรรมของเด็กในขั้นนี้ทำเพื่อสนองความต้องการของตน แต่มักจะเป็นการแลกเปลี่ยนกับคนอื่น เช่น ประโยค “ถ้าเธอทำให้ฉัน ฉันจะให้.........”
ขั้นที่ 3 ความคาดหวังและการยอมรับในสังคมสำหรับ “เด็กดี”
พัฒนาการทางจริยธรรมขั้นนี้เป็นพฤติกรรมของ “คนดี” ตามมาตรฐานหรือความคาดหวังของบิดามารดา หรือเพื่อนวัยเดียวกัน พฤติกรรม “ดี” หมายถึง พฤติกรรมที่จะทำให้ผู้อื่นชอบและยอมรับ หรือไม่ประพฤติผิดเพราะเกรงว่าพ่อแม่จะเสียใจ
ขั้นที่ 4 กฎและระเบียบ
โคลเบิร์กอธิบายว่า เหตุผลทางจริยธรรมในขั้นนี้ถือว่าสังคมจะอยู่ด้วยความมีระเบียบร้อยต้องมีกฎหมายและข้อบังคับ คนดีหรือคนที่มีพฤติกรรมถูกต้อง คือคนที่ปฏิบัติตามระเบียบบังคับหรือกฎหมาย ทุกคนควรเคารพกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นระเบียบของสังคม
ขั้นที่ 5 สัญญาสังคมหรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา
ขั้นนี้เน้นถึงความสำคัญของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรที่จะปฏิบัติตาม โดยพิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของบุคคลก่อนที่จะใช้มาตรฐานทางจริยธรรม ได้ใช้ความคิดและเหตุผลเปรียบเทียบว่าสิ่งไหนผิดและสิ่งไหนถูก ในขั้นนี้การ “ถูก” และ “ผิด” ขึ้นอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของบุคคลแต่ละบุคคล แม้ว่าจะเห็นความสำคัญของสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างบุคคล แต่เปิดให้มีการแก้ไข โดยคำนึงถึงประโยชน์และ สถานการณ์แวดล้อมในขณะนั้น
ขั้นที่ 6 หลักการคุณธรรมสากล (Universal Ethical Principle Orientation)
ขั้นนี้เป็นหลักการมาตรฐานจริยธรรมสากล เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรม เพื่อความเสมอภาคในสิทธิมนุษยชน และเพื่อความยุติธรรมของมนุษย์ทุกคนในขั้นนี้สิ่งที่ “ถูก” “ผิด” เป็นสิ่งที่มโนธรรมของแต่ละบุคคลที่เลือกยึดถือ
สรุปแล้ว โคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น ถือว่าพัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์เป็นไปตามขั้นอย่างมีระเบียบ คือเริ่มจากขั้นที่ 1,2,3,4,5 และ 6 ตามลำดับ บุคคลทุกคนจะต้องผ่านพัฒนาการทางจริยธรรมขั้นต้น ๆ ซึ่งเป็นรากฐานของพัฒนาการทางจริยธรรมขั้นต่อไป และเมื่อผ่านแล้ว ก็ยากที่จะกลับไปขั้นเดิมอีก
สรุปลำดับขั้นพัฒนาการจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม “ ดี” คือได้รางวัล “ไม่ดี”คือการได้รับโทษ
ขั้นที่ 1. บุคคลใช้เกณฑ์ทางจริยธรรม โดยยึดการลงโทษ การเชื่อฟัง เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน
ขั้นที่ 2. บุคคลใช้ กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน ไม่คิดถึงความยุติธรรม ไม่เห็นใจผู้อื่น ทำเพื่อสนองความต้องการ ของตนเอง ทำโดยมีเงื่อนไข ระดับจริยธรรมตามกฏเกณฑ์สังคม
ขั้นที่ 3. บุคคลทำตามความคาดหวังและการยอมรับในสังคม สำหรับเด็กดี good boy, nice girl
จะทำตามผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชา ยอมรับโดยไม่คำนึงความถูกต้อง
ขั้นที่ 4. บุคคลยึดกฎและระเบียบ การทำตามหน้าที่ ประพฤติตนไม่ผิดกฎหมาย รักษาระเบียบแบบแผน ของสังคม
ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณหรือระดับเหนือกฎเกณฑ์ของสังคม
ขั้นที่ 5. บุคคลยึดหลักสัญญาประชาคม หรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา
ขั้นที่ 6. บุคคลยึดหลักการคุณธรรมสากล
โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และโลกก็ประสบกับปัญญาใหม่ ๆ ซึ่งในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นและปัญหาบางปัญหาก็มี ความซับซ้อน และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในทุกด้านส่งผลให้บุคคลที่ไม่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ต้องเผชิญกับ ความยุ่งยาก อาชีพบางอาชีพ หากบุคคลากรที่ไม่สามารถปรับตัว กับการเปลี่ยนแปลงก็จะต้องออกจากอาชีพไปก็มี โลกของงานอาชีพ หลายอาชีพ ในปัจจุบันได้รับผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วโดยเฉพาะ การเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และเทคโนโลยีการสื่อสารดังนั้นบุคคลที่พึงประสงค์ในศตวรรษนี้ นอกจากเป็นผู้มีบุคลิกภาพด้านองค์ประกอบ IQ ,EQ, และ MQ ในระดับสูงแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ปัจจุบันในวงการธุรกิจให้ความสำคัญมากคือ องค์ประกอบด้าน AQ
องค์ประกอบด้านความสามารถในการฝันฝ่าปัญหาอุปสรรค AQ (Adversity Quotient)
ความสามารถในการฝันฝ่าปัญหาอุปสรรค AQ (Adversity Quotient) คือความสามารถในการ ที่อดทนทั้งด้านความยาก ลำบากทางกาย ความอดกลั้นทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ ที่สามารถเผชิญ และเอาชนะเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็วและไม่มีความแน่นอน ซึ่งจะเป็นรูปแบบพฤติกรรมการตอบสนองต่อปัญหา อุปสรรคในชีวิตอันเป็นกลไกของสมอง ซึ่งเกิดจาก ใยประสาทต่างๆที่ถูกสร้างขึ้น ฝึกฝนขึ้น ปัญหาที่กล่าวถึงนี้จะเป็นปัญหาเล็กน้อย เป็นปัญหาปานกลาง หรืออาจจะเป็นปัญหาใหญ่โต ซับซ้อนก็ได้ อาจสรุป ว่า AQ คือ “ความสามารถในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ”ประกอบด้วย 4 ลักษณะ ดังนี้
1. ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ได้ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น
2. ความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์และนำตัวเองเข้าไปแก้สถานการณ์
3. วิธีคิดหรือวิธีมองปัญหาที่จะเข้าไปแก้ไขสถานการณ์นั้นว่า มีจุดจบของปัญหา และปัญหา ทุก ๆ ปัญหาต้องมีทางออกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
4. ความสามารถที่จะอดทนและทนทานต่อปัญหาต่าง ๆ ได้
Q ตัวนี้มาจาก Quotient ซึ่งเราจะรู้จักมากกับคำว่า IQ (Intelligence Quotient) และปัจจุบันเราจะได้ยินคำว่า EQ (Emotional Quotient) กันมากขึ้นควบคู่กันไป แต่จริงๆ แล้วมี Q - Quotient หรือ Quality กันอีกหลายตัว ลองมาทำความรู้จักกันดีกว่า
IQ - Intelligent Quotient (เชาวน์ปัญญา) คือความสามารถด้านสติปัญญา ซึ่งเกิดจาก 2 ส่วนคือ จากยีนส์หรือพันธุกรรม และจากการเลี้ยงดู โดยทั่วไปจะยึดตัวเลข 100 เป็นระดับไอคิวเฉลี่ยของคนปกติ ตามหลักสถิติแล้วคนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68 ของประชากรทั้งหมดมีไอคิวอยู่ที่ระดับ 85-115 เราเชื่อกันว่า คนไอคิวสูงมักจะเรียนเก่ง ฉลาด แต่ที่จริงแล้ว IQ มีผลต่อความสำเร็จในชีวิตเพียง 20% เท่านั้น
EQ - Emotional Quotient (ปรีชาทางอารมณ์) คำนี้มาจากแนวคิดของแดเนียล โกลด์แนน นักจิตวิทยา สหรัฐอเมริกา หมายความถึงการรู้จักควบคุมตนเอง เข้าใจอารมณ์ มีวินัย บังคับใจตนเองไม่แสดงออกตามอารมณ์พาไป คนมี EQ สูงจะมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นง่าย ทำงานเป็นทีมได้ รู้จักเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น
AQ - Adversity Quotient (ความสามารถในการฝันฝ่าปัญหาอุปสรรค) คือ ความสามารถในการที่อดทนทั้งด้านความยากลำบากทางกาย ความอดกลั้นทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ ที่สามารถเผชิญและเอาชนะเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่มีความแน่นอน ปัญหาที่กล่าวถึงนี้จะเป็นปัญหาเล็กน้อย เป็นปัญหาปานกลาง หรืออาจจะเป็นปัญหาใหญ่โตซับซ้อนก็ได้ คนที่มี AQ สูงหรือมีจิตใจชอบการต่อสู้ จะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ไม่รู้สึกท้อแท้
MQ - Moral Quotient (ความฉลาดทางจริยธรรมและศีลธรรม) คือ การมีระดับจริยธรรมและศีลธรรมส่วนตัว ซึ่งสามารถส่งผลต่อการควบคุมตนเองให้มีระเบียบวินัย รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ซื่อสัตย์ มีความรู้ผิดรู้ถูก อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ MQ เกิดจากการสั่งสมและปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมาตั้งแต่เด็ก มากน้อยแล้วแต่การปลูกฝัง และ MQ จะฝังลึกลงใต้จิตสำนึก รอเวลาที่ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง โดยการอบรมสั่งสอน การฟังธรรม และวิธีอื่นๆ ไม่สามารถฝึกฝนหรือขัดเกลาได้ในเวลาสั้น
HQ - Health Quotient (ความฉลาดในด้านสุขภาพ - พลานามัยสมบูรณ์) คือ ความสามารถทางการจัดการและการบริหารสุขภาพ ใส่ใจสุขภาพของตัวเองมากน้อยแค่ไหน เคยคิดไหมว่าถ้าหากเราทำงานหนักโดยไม่ใส่ใจต่อสุขภาพหรือการพักผ่อนใดๆ มันจะ เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แน่นอนว่าความเครียดถามหา สุขภาพกายอ่อนแอ สุขภาพจิตย่ำแย่และในที่สุด ผลการปฏิบัติงานก็จะไม่มีประสิทธิภาพ การมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงเป็นสิ่งจำเป็น ควรดูแลและใส่ใจต่อสุขภาพของตนเองสักนิด ด้วยการหาเวลาออกกำลังกายเสียบ้างหรือหันไปเล่นกีฬาสุดโปรด เพราะการออกกำลังกายนั้นจะช่วยทำให้สมองทุกส่วนทำงาน ระบบความจำดีขึ้น และที่สำคัญ จะทำให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้นด้วย
SQ - Social Quotient (ทักษะทางสังคม) คือความสามารถในการเข้าสังคม มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส การวางตัวดี รวมถึงภาษากาย (body language) หรือแม้แต่การสบตา (eye contact) ขณะพูดคุยกับผู้อื่น รวมถึงทักษะด้านอื่นๆ เช่น ความตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อองค์กร SQ ใกล้เคียงกับ EQ ในเรื่องของอารมณ์และมนุษยสัมพันธ์ แต่ EQ ไม่มีเรื่องของการแต่งตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
OQ - Optimist Quotient (การมองโลกในแง่ดี) คือการเปลี่ยนมุมมองใหม่ ทำจิตใจให้แจ่มใส พร้อมเผชิญปัญหา มองอุปสรรคเป็นความท้าทาย คนที่มองโลกในแง่ดี เมื่อมีปัญหาจะไม่เครียดจนเกินไปและพร้อมจะฝ่าฟัน ซึ่งต้องมีความมานะอดทน ทำให้ประสบความสำเร็จมากกว่าการมองโลกในแง่ร้าย
UQ - Utopia Quotient (การสร้างสรรค์จินตนาการ) คือรู้จักคิดฝันทางบวก เป็นที่มาของความคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative) จินตนาการเป็นการพัฒนาสมองซีกขวาให้ทำงานได้ดีขึ้น
เราสามารถพัฒนา Q (Quality) หรือคุณภาพด้านต่างๆ ได้ โดยสังเกตว่ามีพฤติกรรมไหนที่บกพร่อง และพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น เช่น
· เชาวน์ปัญญา (IQ) โดยการกระตุ้นให้สนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ค้นหาคำตอบในเรื่องที่อยากรู้
· ปรีชาทางอารมณ์ (EQ) โดยต้องรู้อารมณ์ตนเอง หากหงุดหงิดควรออกห่างจากสิ่งที่ทำให้โมโห เข้าใจอารมณ์ผู้อื่น เห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือผู้อื่น มีระเบียบวินัยในตนเอง เคารพสิทธิของผู้อื่น รับผิดชอบต่อสังคม
· ความสามารถในการเผชิญอุปสรรค (AQ) โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม ฝึกทำกิจกรรมต่างๆ แก้ปัญหา ช่วยเหลือตนเอง เผชิญอุปสรรค
· การมีจริยธรรม ศีลธรรม (MQ) เช่น รู้จักขอโทษเมื่อผิด ให้โอกาสในการแก้ตัว
· พลานามัยสมบูรณ์ (HQ) รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายและตรวจร่างกายสม่ำเสมอ
· ทักษะทางสังคม (SQ) โดยการทำงานเป็นกลุ่ม เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น ฝึกมารยาทและการวางตัวในสังคม คบเพื่อนที่หลากหลาย
· การมองโลกในแง่ดี (OQ) โดยปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ คิดว่าทุกปัญหามีทางออก คิดว่าอุปสรรคเป็นแรงผลักดัน
· สร้างสรรค์จินตนาการ (UQ) โดยลองจินตนาการเกี่ยวกับธรรมชาติ ดูภาพสถานที่ต่างๆ แล้วนึกว่าหากได้ไปที่นั่น จะทำอะไรบ้าง