การวางแผนการเงิน
· Tab 1
การวางแผนรายได้และค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆด้วยการจัดทำงบการเงิน
เป้าหมายในชีวิตของบุคคล (Personal Goal in Life )
การวางแผนทางการเงินในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในช่วงวัยทำงาน วัยชรา หรือตอนเกษียณอายุไปแล้วว่าจะมีการจัดการด้านการเงินอย่างไร
บุคคลแต่ละคนย่อมมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกันออกไป บางคนก็ต้องการให้ตัวเองมีเงินให้มากที่สุด จึงพยายามเก็บออมทุกวิถีทาง ส่วนบางคนก็ต้องการให้มีชีวิตครอบครัวที่ดีลูกๆ มีการศึกษาอย่างเต็มที่ก็พอใจแล้ว ไม่ว่าเป้าหมายของแต่ละคนจะกำหนดไว้อย่างไรก็ตามเราอาจสรุปได้ว่าเป้าหมายของบุคคลทั่วไปมี 2 ลักษณะคือ
1. เป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ( Financial Goal ) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินของบุคคล อันจะมีผลให้ฐานะทางการเงินของบุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป้าหมายการเงินของบุคคลจะสำเร็จก็ต่อเมื่อมีการวางแผนการเงินที่ดี เช่น การรู้จักทำงบประมาณ โดยการควบคุมการใช้เงินอย่างถูกต้องตามแผนที่วางไว้ ตัวอย่างเช่น การมีเงินให้เพียงพอในการศึกษา มีเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเอง เป็นต้น
2. เป้าหมายที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน ( No financial Goal ) บางครั้งเงินก็ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลมุ่งหวังเสมอไป ทัศนคติ ความนึกคิดเกี่ยวกับครอบครัว สังคม ศีลธรรมและศาสนา อาจมีค่าสำคัญกว่าเงินก็ได้เพราะบางคนถือว่า เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คนที่มีเงินก็ใช่ว่าจะมีความสุขทุกคน ดังนั้นเป้าหมายในชีวิตของบุคคลบางคนจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินเลยก็มี เช่น เขาตั้งเป้าหมายว่า ต้องการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ทุกคนไม่ว่าจะมีระดับอาชีพรายได้และความเป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะมีการกำหนดเป้าหมายทางการเงิน (Finance Goal) ของตนไว้ ซึ่งตั้งเป้าหมายนี้ให้กำหนดในระดับที่เหมาะสมและคิดว่าตนเองสามารถทำได้ และจะบรรลุผลสำเร็จตามที่วางไว้ การกำหนดเป้าหมายทางการเงินนั้นควรมีกำหนดทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว
กล่าวคือถ้าหวังจะให้ตนเองและครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในปัจจุบันก็ควรจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายทางการเงินในระยะสั้น (Short-term Financial Planning) ไว้ด้วย ในการวางแผนการเงินที่ดีนั้น ผู้วางแผนควรมีความเข้าใจทางด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งรู้จักนำเครื่องมือต่างๆในการบริหารการเงิน (Financial Management Tools) มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้การวางแผนดังกล่าวถูกต้องสมเหตุสมผลและมีทางเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
แผนระยะสั้น (Short- term or current planning) ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับงานบริหารสินทรัพย์สภาพคล่อง (Liquid Assets) เช่น เงินสด เงินฝากต่าง ๆ รวมทั้งการใช้เงินกู้หรือเครดิตอื่น ๆ สำหรับเรื่องการเงินเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยนั้นเป็นไปได้ทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว เพราะบางคนใช้วิธีทำประกันแบบเฉพาะกาล (Term Insurance) หรือบางคนอาจจะทำประกันแบบตลอดชีพ (Whole life Insurance)
แผนระยะยาว (Long –term Planning) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างฐานะความมั่นคงให้บุคคลในอนาคต เช่น การวางแผนการเงินเพื่อเกษียณอายุ การสั่งซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อสะสมไว้ ตลอดจนการโอนทรัพย์สินเหล่านี้ไปกับทายาท เป็นต้น
การวางแผนการเงินในแต่ละช่วงชีวิตของบุคคล (Personal Financial Planning Life Cycle)
ความสามารถในการหารายได้ของบุคคลในแต่ช่วงชีวิต หรือในแต่ละวัยจะแตกต่างกัน นอกจากนั้นภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัวในแต่ละช่วงจะแตกต่างกันด้วย ดังนั้นบุคคลจึงจำเป็นต้องวางแผนการเงินให้สอดคล้องกับภาระความรับผิดชอบที่มีอยู่ เพื่อให้ทุกช่วงชีวิตของครอบครัวมีเงินใช้จ่ายอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ลักษณะการเงินในแต่ละช่วงของครอบครัว (Financing the Family life Cycle)
ปัจจัยขั้นพื้นฐานของการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลนับตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายประกอบไปด้วยปัจจัยที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1.ผู้มีส่วนร่วมในการวางแผน (Personal Input) โดยปกติส่วนใหญ่แล้วหัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้กำหนดการวางแผนทางการเงิน ร่วมกับภรรยาและบุตรที่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะสามารถร่วมรับผิดชอบได้ แต่ถ้าท่านเป็นคนโสดผู้วางแผนทางการเงินก็คือตัวท่านเอง กล้าที่จะยอมเสี่ยงต่อการตัดสินใจในสิ่งที่มีการวางแผนไว้ และสมาชิกในครอบครัวซึ่งเป็นผู้ใช้แผนการทางการเงินให้ความยินยอมในวัตถุประสงค์ทางการเงิน จะมีผลทำให้การดำเนินงานตามแผนไปได้
2.รายได้ส่วนบุคคลสุทธิรวม ปัจจัยสำคัญประการที่สองของการวางแผนทางการเงินโดยส่วนรวม คือ รายได้ส่วนบุคคลสุทธิรวม ซึ่งเป็นจำนวนเงินรายได้ภายหลังหักภาษีที่สมาชิกในครอบครัวมอบให้แก่ครอบครัว โดยปกติจำนวนรายได้เงินเดือนที่เป็นตัวเลขในบัญชีมักจะมีจำนวนสูงกว่ารายได้ที่รับจริง ๆ เนื่องจากอาจมีการถูกหักไว้เป็นเงินสะสมซึ่งจ่ายให้ภายหลังการเกษียณอายุหรือออกจากงาน รายจ่ายค่าประกันชีวิต เงินสวัสดิการ และอื่น ๆ รายได้ส่วนบุคคลสุทธิรวมรายได้ประจำทั้งหมดที่ได้รับจากสมาชิกภายในครอบครัวโดยไม่รวมถึงรายได้พิเศษที่สมาชิกหาได้ เช่น การทำงานล่วงเวลาหรือการทำงานพิเศษที่ทำให้รายได้มากขึ้น เพื่อให้เจ้าของเงินได้มีเงินไว้ใช้จ่ายเป็นส่วนตัวได้บ้างโดยไม่ต้องกันมาเป็นเงินทุนของครอบครัวเสียทั้งหมด
3. การวิเคราะห์บันทึกทางการเงิน การควบคุมรายจ่ายที่ได้ผลมากที่สุดวิธีหนึ่งก็คือการตรวจสอบใบเสร็จรับเงินที่มีอยู่ในครอบครัว ต้องการทราบว่ามีการจ่ายซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด
วัตถุประสงค์ทางการเงิน
ก่อนที่จะมีการกำหนดวัตถุประสงค์ทางการเงินควรต้องทราบถึงจำนวนรายได้สุทธิรวมของครอบครัวเสียก่อนว่ามีจำนวนเท่าใด จึงจะสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ ซึ่งวัตถุประสงค์ขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ
1. รายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายอย่างสม่ำเสมอ คือ รายจ่ายที่เกิดขึ้นทุกเดือนสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งได้แก่ ค่าอาหาร ค่าเครื่องนุ่งห่ม ค่าพาหนะเดินทาง ค่าประกันภัย ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและรายจ่ายอื่นๆที่จำเป็นในการครองชีพครอบครัว การประมาณรายจ่ายประเภทนี้ทำได้โดยการประมาณจากรายจ่ายที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตอย่างไรก็ตามในบางครอบครัวที่มีวัตถุประสงค์ทางการเงินอื่นเป็นพิเศษ อาจต้องมีการลดงบประมาณรายจ่ายประเภทนี้ลงบ้าง เพื่อให้วัตถุประสงค์อื่นประสบผลด้วย เช่น การลดรายจ่ายค่าอาหารลงเล็กน้อย หรือเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารที่บริโภคให้มีราคาถูกลง เช่น เปลี่ยนจากรับประทานเนื้อสัตว์มาเป็นผักแทน เป็นต้น
2. เงินออมระยะสั้น คือ จำนวนเงินส่วนใหญ่ที่มีการกำหนดเตรียมขึ้นไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งภายในระยะเวลาไม่นานนักในอนาคต เช่น อาจเป็นระยะเวลา2-3 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่แล้วการออมในระยะสั้นมักเป็นการออมไว้สำหรับรายจ่ายระยะฟุ่มเฟือย เช่น การซื้อเครื่องวีดี- โอ หรือรายจ่ายที่สามารถเลื่อนกำหนดได้ เช่น ซื้อรถยนต์ที่สามารถเลื่อนระยะเวลาในการซื้อไปได้ดังนั้นเงินออมในระยะสั้นจึงสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดลำดับก่อนหลังของความ สำคัญในการใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้วางแผนไม่แน่ใจว่าในปีนั้นๆจะมีรายได้รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงินเท่าใด หรือสามารถจะมีรายได้พิเศษอื่นใดเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ดังแสดงตัวอย่างของลำดับการใช้จ่ายไว้ดังนี้ การผากเงินไว้ในธนาคารโดยได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยจะช่วยลดจำนวนเงินออมที่จะต้องกันไว้ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
3. เงินออมในระยะยาว คือ จำนวนเงินที่ตั้งขึ้นเตรียมไว้เพื่อการใช้จ่ายในระยะเวลานานอย่างน้อย 3 ปี ขึ้นไป ซึ่งได้เเก่
3.1. เงินทุนเพื่อโครงการภายหลังการเกษียณอายุ คือ เงินทุนที่ท่านเตรียมไว้ใช้จ่ายภายหลังเกษียณอายุ ซึ่งอาจเป็นเงินทุนเพิ่มเติมจากเงินรายได้ที่นายจ้างได้หักเก็บสะสมไว้จากเงินเดือนในขณะที่ท่านทำงานอีกก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น แผนการออมระยะยาวเดิมที่ท่านต้องการมีเงินทุนทั้งสิ้น 300,000 บาท ไว้เพื่อโครงการใช้จ่ายภายหลังการเกษียณอายุ และจากการปฏิบัติการตามแผนพบว่าท่านจะต้องกันเงินออมไว้ทุกๆ เดือนๆ ละ 1,800 บาท โดยได้รับผลตอบแทนในอัตรา ร้อยละ 10 ต่อปีเป็นเวลาทั้งสิ้น 30 ปีก่อนการเกษียณอายุ
สมมติว่าขณะนี้ท่านมีอายุ 30 ปี และจะเกษียณอายุเมื่อท่านมีอายุ 60 ปี ) แต่ในปัจจุบันมีภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นในอัตราร้อยละ 5-8 ต่อปี ย่อมหมายความว่าผลตอบแทนที่ท่านได้รับในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จะมีอัตราสุทธิเพียงร้อยละประมาณ 2 - 5 ต่อปีเท่านั้น นั่นคือท่านจะต้องมีแผนการอื่นเพื่อป้องกันผลประโยชน์ที่อาจสูญเสียไปในอนาคตร่วมด้วย
3.2 เงินทุนเพื่อการศึกษาของบุตร การเตรียมเงินทุนไว้เพื่อการศึกษาของบุตรจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบัน เพราะนับตั้งแต่บุตรได้เกิดมาจนมีอายุครบ 3 ปี ผู้ปกครองจะต้องมีการวางแผนการออมเพื่อการศึกษาไว้ให้แก่พวกเขาทั้งหลาย ซึ่งจำนวนเงินออมจะเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับแผนการศึกษาที่ผู้ปกครองได้วางไว้
3.3. เงินลงทุนซื้อหุ้นพันธบัตร ทรัพย์สินที่เคลื่อนที่ไม่ได้ อันเป็นเงินลงทุนเพิ่มเติมจากรายได้ในปีก่อนๆ ที่สะสมไว้ ในการจัดการทางการเงินต่อไปได้โดยไม่มีความเดือดร้อนมากนัก ตัวอย่างเช่น หากท่านหรือท่านและคู่สมรสมีแผนการที่จะเริ่มต้นการารออมเพื่อสะสมเงินไว้ซื้อบ้านที่อยู่อาศัยด้วยการใช้ระบบเงินผ่อน หมายความว่าท่านจะต้องมีเงินดาวน์ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ท่านจะต้องจ่ายให้กับผู้ขายก่อนที่จะมีการทำสัญญาเงินผ่อนในขั้นต่อไป โดยทั่วไปแล้วจำนวนเงินดาวน์จะเป็นจำนวนเงินประมาณร้อยละ 10 - 20 ของราคาบ้านที่ตกลงซื้อขายกัน ดังนั้นจำนวนเงินดังกล่าวจึงอาจเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างมากและท่านต้องใช้เวลาออมนานกว่า 3 ปีขึ้นไป จึงถือเป็นเงินออมระยะยาวได้ประเภทหนึ่ง อย่างไรก็ตามถ้าท่านได้ทราบถึงจำนวนเงินทุน ระยะเวลาในการออม อัตราผลตอบแทนที่จะได้รับ และผลกระทบอื่นใดแล้วย่อมเป็นการง่ายในการวางแผนและการบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยดี
อย่างไรก็ตาม เงินออมในระยะยาวอาจถูกกระทบกระเทือนจากผลของภาวะเงินเฟ้อ โดยการทำอำนาจซื้อของเงินลดลง ดังนั้นการวางแผนในระยะยาวจึงไม่ควรลืมที่จะคำนึงถึงสภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นได้หรือในกรณีที่ครอบครัวใดมีเงินคงเหลือจากการใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และนำเงินนั้นไปลงทุนหรือเก็บออมไว้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ก็สามารถถือเป็นการออมระยะยาวได้โดยไม่ต้องมีการวางแผนการออมตามวิธีข้างต้น
การวางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย
· Tab 1
บทที่ 4 การวางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย
การเช่าบ้าน (Renting Housing)
มีคนจำนวนมากอยู่ในฐานะที่ยังไม่อาจมีบ้านที่อยู่อาศัยของตนได้ จึงจำเป็นต้องเช่าเขาอยู่ไปก่อน เช่น คนหนุ่มสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา หรือ ผู้มีรายได้น้อยไม่อาจมีบ้านเป็นของตนเองได้หรือบางครั้งคนที่ย้ายมาจากต่างถิ่น ยังไม่แน่นอนว่าจะตั้งหลักแหล่งที่ใดแน่ ก็ต้องเช่าอยู่อาศัย ไปก่อน เป็นที่ทราบกันว่าในการเช่านั้นผู้เช่าจะได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินที่เช่า เท่านั้นไม่อาจมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินดังกล่าวได้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้การใช้เงินเรื่องการเช่าที่อยู่อาศัยได้รับประโยชน์คุ้มค่าผู้เช่าก็ควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ โดยรอบคอบด้วย
ปัจจัยที่ควรคำนึงถึงในเรื่องการเช่า
เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องเช่าที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเช่า หอพัก อพาร์ตเม้นต์ คอนโดมิเนียม ฯลฯ ควรจะได้พิจารณาคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
ก. ทำเลที่ตั้ง (Location) สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือดูว่าทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยดังกล่าวที่เราจะเช่านั้น ตั้งอยู่ในทำเลใดมีความสะดวกสบายต่อการไปทำงานแค่ไหน ถ้าตั้งอยู่บนทำเลที่ใกล้สถานที่ทำงานก็จะสะดวก และประหยัด ค่าเดินทางได้มาก ในเรื่องทำเลนี้ควรดูถึงสิ่งแวดล้อมด้วยว่าเหมาะสมเพียงไร เช่น มีโรงเรียน ตลาด ร้านค้า สวนสาธารณะ อยู่ใกล้บริเวณนั้นหรือไม่
ข. ค่าเช่า (Rent) ค่าเช่าที่ต้องจ่ายแพงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้เช่าเป็นสำคัญ ถ้าเขามี รายได้สูงก็สามารถจ่ายค่าเช่าแพง ๆ ได้ อย่างไรก็ตามมีผู้ให้คำแนะนำว่า การจ่ายค่าเช่าทีเหมาะสมของคนเรานั้นไม่ควรจะมากกว่า ผ ของรายได้สุทธิที่ได้รับ เช่น มีเงินเดือนกลับ มาบ้านเดือนละ 12,000 บาท ก็ควรเช่าบ้านไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท เป็นต้น การพิจารณาในเรื่องค่าเช่า ควรนำเรื่องทำเลที่ตั้งมาคำนึง ไปพร้อมกัน เช่น ถ้าบ้านเช่าอยู่ใกล้สถานที่ทำงาน ถึงแม้ค่าเช่าจะแพงไปบ้างก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับค่าน้ำมันรถที่เรา สามารถประหยัดได้ และคิดว่าคุ้มค่ากว่าแล้วก็ควรเลือกเช่าสถานที่ใกล้กว่านั้น
ค. สิ่งที่มีให้ (Offerings) พิจารณาดูว่าห้องเช่า อพาร์ตเม้นต์ หรือบ้านที่เราเช่านั้นมีอะไรให้บ้าง เช่น ในบ้านหรือห้องพัก มีเฟอร์นิเจอร์ ให้ด้วยหรือไม่ หรือมีบริการที่เป็นสาธารณะ เช่น ที่จอดรถ สระว่ายน้ำ สโมสร บริการทำความสะอาด มีห้องบริการซักรีด หรือกำจัดขยะให้ด้วยหรือไม่ เป็นต้น
มีข้อแนะนำสำหรับผู้เช่าอพาร์ตเม้นต์ก่อนที่จะย้ายเข้าไปอยู่ว่า ควรมีการตรวจสอบให้แน่ใจในสิ่งเหล่านี้ เสียก่อน (A Checklist for renters)
1. ราคาค่าเช่าเดือนละเท่าไร
2. จะต้องวางเงินมัดจำล่วงหน้าหรือไม่ จำนวนเท่าไร ค่าประกันของเสียมีไหม
3. จะต้องจ่ายเงินพิเศษเพิ่มเติมหรือไม่สำหรับการใช้แอร์ ตู้เย็น ทีวี หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ
4. มีห้องบริการซักรีด หรือร้านจำหน่ายอาหารหรือไม่
5. มีที่จอดรถ ลิฟต์ ห้องโถงรวม ด้วยหรือไม่
6. ระบบป้องกันอัคคีภัย และความปลอดภัยเป็นอย่างไร
7. ระบบไฟ ปั๊มน้ำ โทรศัพท์ ท่อแก๊ส อยู่ในสภาพใช้ได้ดี
8. ประตูหน้าต่าง กระจก อยู่ในสภาพเรียบร้อยดี
9. สภาพแวดล้อมภายนอกดีพร้อม ทางเดิน สนามหญ้า ดูสะอาดตา และไม่มีเสียงอึกทึกรบกวนจากเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กัน
10. ควรอ่านสัญญาเช่าให้ละเอียด และสอบถามให้แน่ใจทุกข้อจึงค่อยเซ็นสัญญาเช่า
ง. สัญญาเช่า (The rental agreement) สัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนโดยผู้ให้เช่า (Lessor) ตกลงให้ผู้เช่า (Lessee) ได้ใช้หรือ ได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่านั้น ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง โดยผู้เช่าตกลงจะให้เช่าเพื่อการนั้น ตามสัญญาเช่าผู้เช่ามีเพียงสิทธิ ที่จะได้ใช้หรือ ได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่านั้น แต่ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าว และผู้เช่ามีหน้าที่ที่จะต้องชำระค่าเช่าตามสัญญา ส่วนใหญ่ผู้เช่า ก็มีหน้าที่ที่จะส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้วให้แก่ผู้เช่า
Department of Financial and Accountancy Nongkhai Campus Khonkhan University
· Tab 2
การจัดหาเงินเพื่อที่อยู่อาศัย (Financing the house)
มีบางคนเท่านั้นในปัจจุบันที่สามารถซื้อบ้านโดยอาศัยเงินของตนเองทั้งหมด ส่วนมากแล้วจะใช้เงินของตนเองส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือ ก็ใช้วิธีกู้ยืม จากแหล่งเงินกู้ต่างๆ การกู้ยืมเงินสำหรับที่อยู่อาศัยเราเรียกว่า การจำนอง (Mortgage) ซึ่งการจำนองเป็นการกู้ยืมเงินวิธีหนึ่ง โดยใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน ในการจำนองจะต้องทำสัญญาจำนองขึ้นระหว่างผู้จำนองและผู้รับจำนอง เพื่อเป็นการประกัน ชำระหนี้โดยไม่ต้องส่งมอบ ทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง
ตัวอย่างเช่น นาย ก. กู้เงินจากนาย ข. 500,000 บาท โดยนาย ก. นำที่ดินของตนเองมาจำนองประกันหนี้เงินกู้ หากหนี้ถึงกำหนดชำระ นาย ก. ไม่ชำระหนี้เงินกู้ หากหนี้ถึงกำหนดชำระ นาย ก. ไม่ชำระหนี้เจ้าหนี้คือนาย ข. ก็สามารถฟ้องบังคับจำนองได้โดยนำทรัพย์สินที่จำนองนั้น ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้คืน
ปัจจุบันเงินกู้จำนองสามารถจัดหาได้จากหลายแหล่ง ทั้งจากสถาบันการเงินต่าง ๆ (Financial Institutions) และจากผู้ขายซึ่งได้แก่ผู้ซื้อ โดยตรง (Land contract) โดยผู้ซื้อค่อย ๆ ผ่อนจากเจ้าของที่โดยตรง แต่วิธีนี้มีน้อยเนื่องจากต้องอาศัยเงินทุนมาก จะทำได้เฉพาะ ผู้ขาย รายใหญ่ซึ่งมีฐานะเครดิตดีเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ขายมักจะแนะนำธนาคารหรือบริษัทเงินทุนให้ แล้วให้ผู้ซื้อค่อยไปผ่อนชำระ กับธนาคาร หรือบริษัทเงินทุนนั้นโดยตรง
สำหรับสถาบันที่ให้เงินกู้และให้บริการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนมีดังนี้
1. ธนาคารอาคารสงเคราะห์
2. ธนาคารพาณิชย์
3. บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
4. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
5. การเคหะแห่งชาติ
6. บริษัทประกันชีวิต
7. บริษัทนายหน้าซื้อขายบ้าน
การประเมินข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเช่าบ้าน
จากการพิจารณาเปรียบเทียบรายจ่ายสุทธิในการซื้อบ้านและการเช่าบ้าน สามารถสรุปได้ว่าในระยะยาวแล้วการลงทุนซื้อบ้านเป็นของตนเอง จะทำให้ท่านมีมูลค่าส่วนเกินในทรัพย์สินมากกว่าการเช่าบ้านอยู่อย่างไรก็ตาม ถ้ารายได้ของท่านต่ำมากจนแม้กระทั่งรายได้สุทธิถึง 1 ใน 2 ก็ไม่สามารถที่จะทำการผ่อนชำระบ้านที่มีราคาต่ำได้เลย จึงจำเป็นอยู่เองที่ท่านจะต้องเช่าบ้านอยู่ตลอดไปจนกว่าท่านจะมีรายได้มากเพียงพอ หรือในกรณีที่ท่านมีอาชีพที่ต้องย้ายถิ่นที่อยู่บ่อยครั้งจนไม่สามารถที่จะซื้อบ้านเป็นหลักแหล่งได้ หรือท่านไม่ต้องการ จะมีความรับผิดชอบ ในการเป็นเจ้าของบ้าน เช่น ท่านเป็นคนโสดและไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก เพื่อการมีบ้านเป็นของตนเอง ทั้งยังไม่มีภาระเลี้ยงดู ครอบครัวอีกด้วย แน่นอนท่านย่อมเลือกรูปแบบของการมีที่อยู่อาศัยด้วยการเช่าเป็นหลัก
สำหรับลักษณะของบ้านที่อยู่อาศัย ที่ท่านสามารถเลือกเช่าได้โดยทั่วไปมี 3 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ บ้านเช่าหลังเดี่ยว อพาร์ทเมนท์ ตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์
บ้านเช่าหลังเดี่ยว ในประเทศไทยผู้มีรายได้สูงนิยมลงทุนปลูกบ้านที่อยู่อาศัยให้ผู้อื่นเช่ากันมาก เพราะนอกจากจะเป็น การลงทุนใน สินทรัพย์ประจำ ที่มีค่าเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาวแล้ว ยังสามารถหารายได้จากทรัพย์สินได้ตลอดไปอีกด้วย บ้านหลังเดี่ยวจะมีลักษณะคล้าย บ้านที่อยู่อาศัยที่ท่านลงทุนซื้อเป็นของตนเองมากที่สุด คือ มีบริเวณบ้านเหลือมากพอสมควรเพื่อใช้ปลูกผัก ผลไม้ และพืชสวนครัวประจำบ้านได้ ลักษณะรูปแบบของบ้านก็จะมีห้องสำหรับใช้ประโยชน์อย่างครบถ้วน คือมีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องพระและห้องอาหาร ดังนั้นการเช่าบ้านหลังเดี่ยวจึงมักมีราคาค่าเช่าค่อนข้างสูง เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับ การอยู่บ้านของตนเองมากนั่นเอง
อพาร์ทเมนท์ ลักษณะบ้านเช่าแบบอพาร์ทเมนท์โดยทั่วไปจะเป็นอาคารสูงหลายชั้น แต่ละชั้นมีห้องพักหลายห้องติด ๆ กัน ขนาดใหญ่พอ ประมาณ ที่ผู้เช่าจะสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสะดวกสบายคล้ายกับห้องพักในโรงแรม เพียงแต่โรงแรมจะเป็น การพักอาศัยเพียงชั่วคราว ในระยะเวลาไม่นานเท่านั้น ส่วนอพาร์ทเมนท์มักเป็นการเช่าอยู่อย่างถาวรได้ตลอดไปถ้าท่านพอใจ ภายในห้องพักของอพาร์ทเมนท์ มักจะมีอุปกรณ์สำหรับพักอาศัยไว้เท่าที่จำเป็น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า พัดลม ส่วนที่นอน ผ้าห่ม เครื่องครัว โต๊ะรับแขก อาจเป็นทรัพย์สินที่ท่านต้องหามาเอง หรือทำตามข้อตกลงระหว่างท่านและเจ้าของบ้าน ยิ่งถ้าท่านมีอุปกรณ์สำหรับพักอาศัยครบถ้วนเท่าใด ค่าเช่าของท่านก็จะสูงขึ้นเพียงนั้น แต่เนื่องจากการเช่าอพาร์ทเมนท์ท่านจะมีสิทธิเต็มที่เฉพาะภายในห้องที่ท่านพักเท่านั้น ส่วนบริเวณที่ว่างหรือบริเวณอำนวยความสะดวกอื่นใด ท่าจะมีสิทธิใช้ได้ร่วมกันในระหว่างผู้เช่า ท่านจึงมีความเป็นส่วนตัวได้น้อยกว่า การเช่าบ้านหลังเดี่ยว แต่ราคาค่าเช่าก็ถูกกว่าด้วยเช่นกัน
ส่วนหอพักนักศึกษา หรือหอพักให้เช่าทั่วไปก็จะมีลักษณะคล้ายกับการเช่าอพาร์ทเมนท์ เพียงแต่ท่านจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก น้อยกว่า นั่นคือ ท่านจะมีสิทธิเช่าอยู่เฉพาะห้องพักเท่านั้น โดยอาจไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใด ๆ มากเท่าอพาร์ทเมนท์เลย เช่น มีขนาดห้องพักเล็กกว่า ไม่มีห้องครัว มีห้องน้ำ ที่ใช้ร่วมกันกับผู้เช่ารายอื่น ราคาค่าเช่าจึงถูกกว่าการเช่า อพาร์ทเมนท์มาก
ตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์ รูปแบบของตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์จะเป็ฯอาคารที่สร้างในที่ดินบริเวณไม่กว้างมากนักประมาณคูหาละ 16-25 ตารางวาติด ๆ กันไปหลายคูหา เช่นอาจเป็นแถวละ 4,6,8 ,10 หรือมากกว่านั้น และในแต่ละคูหาจะมีหลายชั้นตั้งแต่ 2,3 , 4 หรือ 5 ชั้นขึ้นไป ส่วนใหญ่แล้วการเช่าตึกแถวผู้เช่ามักต้องการทีจะทำการค้าขายร่วมด้วย เช่นการเปิดร้านขายของชำ ร้ายขายอาหาร ร้านซัก อบ รีด ในชั้นล่าง ส่วนชั้นบนจะเป็นที่พักอาศัยเพื่อให้เป็นสัดส่วนแยกต่างหากจากร้านค้า ดังนั้นค่าเช่าของตึกแถวจึง ราคาสูงมากน้อยตามทำเล ในการค้าขายแต่ละแหล่ง
· Tab 3
ประเภทของที่อยู่อาศัย
1. บ้านเดี่ยว (Single – family home) เป็นแบบบ้านที่อยู่อาศัยที่มีคนนิยมมากที่สุด ลักษณะเป็นบ้านตั้งอยู่เดี่ยว ๆ มีเนื้อที่กว้างขวาง รั้วรอบขอบชิด ทำให้ผู้อาศัยมีความเป็นส่วนตัวได้มากและห่างไกลจากการรบกวนของเพื่อนบ้าน นอกจากนั้นมีบ้านเดี่ยว ยังเป็นการสร้าง ความภาคภูมิใจให้ผู้เป็นเจ้าของด้วย เพราะบ้านแต่ละหลังมีขนาดใหญ่เล็กต่างกัน สามารถตกแต่งได้ในรูปแบบต่าง ๆ ตามฐานะและรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ
2. อาคารพาณิชย์หรือตึกแถว (Shop house) เป็นแบบบ้านที่นิยมกันมาก เพราะนอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังสามารถดัดแปลง ให้เป็นสถานที่ทำการค้าหรือธุรกิจได้ด้วย อาคารแบบนี้มักมีเนื้อที่แคบ จึงนิยมก่อสร้างกันหลาย ๆ ชั้น
3. ทาวน์เฮาส์ (Townhouse) เป็นบ้านที่มีลักษณะเหมือนตึกแถว บ้านประเภทนี้มักตั้งอยู่ในเมือง ต่างกับตึกแถวตรงที่มีบริเวณหน้าบ้าน จัดเป็น สวนขนาดย่อมและจอดรถได้ทาวน์เฮาส์ส่วนใหญ่มักเป็นแบบ 2 – 3 ชั้น ใช้เนื้อที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นที่ในเมืองราคาแพง
4. แฟลตหรืออพาร์ทเม้นท์ (Flat or apartment) เป็นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะคล้ายอาคารพาณิชย์ คือมีหลาย ๆ ชั้นแบ่งเป็นหลัง ๆ มีไว้เพื่อให้เช่าที่อยู่อาศัยแบบนี้ ส่วนมากค่าเช่ามักจะสูงเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกปลอดภัยไว้ครบ
5. คอนโดมิเนียม (Condominium) หรืออาคารชุด เป็นอาคารที่มีหลายชั้นแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องชุดจำนวนมาก ซึ่งภายในห้องชุดประกอบด้วย ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องน้ำ อาคารชุดแต่ละแห่งมักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน โดยทั่วไปแล้วอาคารชุดจะตั้งอยู่กลางในเมือง หรือในที่ชุมชนที่มีการคมนาคมสะดวก อาคารชุดมีหลายประเภททั้งประเภทที่อยู่อาศัย (Apartment condominium) และประเภทสำนักงาน (Office condominium) ผู้ซื้ออาคารชุดจะมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของอาคารชุดของตนและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินส่วนกลาง อันได้แก่ ห้องโถง ที่จอดรถ ลิฟต์ สนามและทางเดิน เป็นต้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาทรัพย์สิน
6. สหกรณ์เคหสถาน (Cooperative housing) เป็นที่อยู่อาศัยแบบสหกรณ์ลักษณะเป็น อพาร์ตเม้นท์คอมเพล็กซ์ คล้ายคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยประเภทนี้ เกิดขึ้นโดยผู้ต้องการที่อยู่อาศัยจะลงทุนซื้อหุ้นของสหกรณ์ และสหกรณ์จะนำเงินนั้นไปซื้อที่ดินและสร้างอาคารให้สมาชิกได้เช่าอยู่ สมาชิกต้องช่วยกันออกค่าบำรุงรักษา ซ่อมแซม ค่าภาษี สมาชิกแต่ละหน่วยมีสิทธิ์ออกเสียงได้หนึ่งเสียงในการเลือกคณะกรรมการบริหาร
7. บ้านเคลื่อนที่ (Moblie home) เป็นบ้านที่สร้างสำเร็จรูปจากโรงงาน และย้ายมาติดตั้งในทำเลที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ของบ้านเคลื่อนที่ ผู้เริ่มครอบครัวใหม่นิยมอยู่บ้านเคลื่อนที่เพราะราคาไม่แพงนัก บางคนก็ใช้บ้านเคลื่อนที่เป็นสำนักงานเคลื่อนที่เช่น ผู้รับเหมาเวลาไปรับเหมาก่อสร้างตามแหล่งทีรับเหมาต่าง ๆ บ้านแบบนี้สามารถขับเคลื่อนหรือพ่วงกับรถคันอื่นได้ ลักษณะภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนบ้านทั่วไป บ้านแบบนี้ในเมืองไทยยังไม่ค่อยนิยม เท่าที่มีในขณะนี้เป็นของดาราภาพยนตร์ หรือนักแสดงที่ต้องเดินทางเสมอก็จะซื้อรถยนต์ขนาดใหญ่ ปรับปรุงภายในให้เป็นเหมือนบ้านคือ มีห้องนอน ห้องเตรียมอาหาร ห้องน้ำ เพียงแต่ละห้องมีขนาดเล็กเท่านั้น
8. บ้านที่แบ่งเวลาการพักอาศัย (Time – Share home) บ้านแบบนี้ตามชื่อก็บอกลักษณะให้ทราบว่า มีการแบ่งเวลาหรือ หมุนเวียนกัน เพื่อใช้ประโยชน์ ในบ้านพักอาศัยดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพักผ่อน เช่น บ้านพัก หรือเรือนรับรอง ที่อยู่ตามชายหาด หรือแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยมีบุคคล บริษัท หรือโครงการจัดสรร เป็นเจ้าของใครต้องการไปพักผ่อน ในช่วงไหน ก็เช่าใช้บ้านพักในช่วงนั้น ซึ่งจะมีการแบ่งเวลากันในระหว่างผู้ต้องการใช้มีตั้งแต่ 1 สัปดาห์จนถึง 6 เดือน ราคาเช่าก็ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า ระยะเวลาในการเช่า ขนาดของบ้าน ทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนฤดูกาลของการเช่าพัก ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียม บางแห่งซึ่งได้ขายไปแล้วก็ยังให้บริการในลักษณะของ Time sharing ด้วย คือขณะใดขณะหนึ่งที่เจ้าของไม่ได้อยู่เอง ก็มอบหมาย ให้ผู้จัดการคอนโดมิเนียมนั้นดูแลให้โดยหาผู้ต้องการพักผ่อนในช่วงดังกล่าวมาเช่าอยู่แทน ซึ่งทำให้เจ้าของมีรายได้ขณะที่ไม่ได้ใช่อยู่อาศัยเอง เพียงแต่จ่ายค่าบริการดังกล่าวบ้างเท่านั้น
Department of Financial and Accountancy Nongkhai Campus Khonkhan University
อาคารชุด Condominium
· Tab 1
คำแนะนำผู้บริโภคจาก สคบ.
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ให้ข้อควรปฏิบัติที่ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณา ผู้บริโภคควรทราบก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ เลือกซื้ออาคารชุด เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายหรือถูกเอาเปรียบที่อาจเกิดขึ้นได้
ศึกษาสภาพแวดล้อมและผลงานของผู้ประกอบธุรกิจ
1. ตรวจสอบว่า ทางราชการมีโครงการที่จะดำเนินการใดในบริเวณที่ดินนั้นหรือไม่ เช่น มีข้อห้ามมิให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารสูงๆ หรือบริเวณดังกล่าวรัฐกำลังจะดำเนินการเวนคืนในอนาคต เป็นต้น โดยตรวจสอบได้ที่เทศบาล หรือสำนักงานโยธาจังหวัดที่โครงการจัดสรรตั้งอยู่
2. สถานที่ตั้งโครงการ สะดวกต่อการเดินทางไปทำงาน ไม่มีมลภาวะ เช่น ฝุ่นละอองหรือเสียงรบกวนต่างๆ หรือมีน้ำท่วมขัง ซึ่งอาจทำให้ท่านเดือดร้อนได้ในภายหลัง
3. ตรวจสอบผลงาน หากผู้ประกอบธุรกิจได้เคยดำเนินการมาแล้วก็ต้องพิจารณาดูว่า โครงการที่ดำเนินการมาแล้วนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร ทำตามโครงการหรือสัญญาครบถ้วนหรือไม่ มีการส่งมอบงานหรือโอนบ้านตามกำหนดหรือไม่ ทั้งนี้ อาจสอบถามได้จากผู้ซื้อรายก่อน
การตรวจสอบก่อนซื้อห้องชุดในอาคารชุด
ผู้บริโภคที่ประสงค์จะซื้อห้องชุดต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบเช่นเดียวกัน อย่ารีบร้อนหรือด่วนตัดสินใจซื้อ ห้องชุดที่โฆษณาขายกันอยู่ในบ้านเรา แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้ 1. กรณีที่ยังไม่ได้มีการก่อสร้างอาคาร ผู้บริโภคควรตรวจสอบดังนี้
1.1 ตรวจสอบใบอนุญาตก่อสร้างอาคารว่าได้รับอนุญาตหรือยังไม่ได้รับอนุญาต ขอตรวจสอบได้จากผู้ประกอบธุรกิจอาคารชุด
1.2 ตรวจสอบชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แผนผังแสดงเขตที่ดินที่จะก่อสร้างอาคารชุด เลขที่ของโฉนดที่ดินตรวจสอบได้จากกรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดแล้วแต่กรณี
1.3 ตรวจสอบชื่อ ที่อยู่ และสถานภาพของผู้ประกอบธุรกิจอาคารชุด ว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลและเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะก่อสร้างอาคารชุดหรือไม่ ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคล ได้จดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนกับทางราชการถูกต้องแล้วหรือไม่ มีทุนจดทะเบียน ทุนที่ชำระแล้วเท่าไร ใครเป็นกรรมการผู้จัดการ หรือหุ้นส่วนผู้จัดการหรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน ตรวจสอบได้จากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด แล้วแต่กรณี
1.4 ตรวจสอบว่าที่ดินที่จะก่อสร้างอาคารชุดมีภาระผูกพันกับนิติบุคคล หรือสถาบันการเงินหรือไม่ อย่างไร คือนำไปจำนองไว้กับธนาคารหรือบริษัทเงินทุกหลักทรัพย์หรือไม่นั่นเอง ท่านตรวจสอบได้จากกรมที่ดิน หรือสำนักที่ดินจังหวัดแล้วแต่กรณี
1.5 ต้องสอบถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากค่าซื้ออาคารชุดซึ่งผู้เป็นเจ้าของห้องชุดจะต้องร่วมกันออกตามส่วน เช่น ค่าบริการที่เป็นส่วนร่วม ค่าดูแลรักษาและดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางค่าภาษีอากร เป็นต้น สอบถามได้จากผู้ประกอบธุรกิจอาคารชุด กรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดแล้วแต่กรณี
1.6 ต้องสอบถามหรือขอคำรับรองจากผู้ประกอบธุรกิจอาคารชุดด้วยว่าจะเริ่มก่อสร้าง และแล้วเสร็จเมื่อใด
2. กรณีที่ก่อสร้างอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้บริโภคควรต้องตรวจสอบ ดังนี้
2.1 ตรวจสอบว่า ได้มีการจดทะเบียนอาคารชุดแล้วหรือไม่ มีเลขที่ของทะเบียนอาคารชุดแล้วหรือไม่ เลขที่ของทะเบียนอาคารชุดเท่าไร ใครเป็นผู้ขอจดทะเบียนอาคารชุด ขอตรวจสอบได้จากผู้ประกอบธุรกิจอาคารชุด แต่ถ้าหากไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้จากกรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัด แล้วแต่กรณี
2.2 ตรวจสอบ เลขที่ของโฉนดที่ดิน จำนวนเนื้อที่ที่ดินของโครงการ แผนผังแสดงเขตที่ดิน และที่ตั้งอาคารชุดว่าตรงกันกับที่ได้จดทะเบียนอาคารชุดแล้วหรือไม่ ตรวจสอบได้จากกรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดแล้วแต่กรณี
2.3 ตรวจสอบชื่อ ที่อยู่ และสถานภาพของผู้ขอจดทะเบียนอาคารชุดว่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ถ้ากรณีเป็นนิติบุคคลใครเป็นกรรมการผู้จัดการ หรือหุ้นส่วนผู้จัดการหรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน ตรวจสอบได้จาก กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด แล้วแต่กรณี
2.4 ตรวจสอบว่าที่ดินจะก่อสร้างอาคารชุดมีภาระผูกพันกับนิติบุคคล หรือสถาบันการเงิน หรือไม่อย่างไร คือนำไปจำนองไว้กับธนาคารหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หรือไม่นั่นเอง ท่านตรวจสอบได้จากกรมที่ดิน หรือสำนักงานที่ดินจังหวัด แล้วแต่กรณี
2.5 ตรวจสอบรายการและขนาดของทรัพย์สินที่ใช้เป็นทรัพย์ส่วนบุคคล และทรัพย์ส่วนกลางว่าตรงกันกับที่ได้มีการโฆษณาไว้หรือไม่ ตรวจสอบได้จากที่ตั้งโครงการและผู้ประกอบธุรกิจอาคารชุด
2.6 สอบถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากค่าซื้ออาคารชุด ซึ่งผู้เป็นเจ้าของห้องชุดจะต้องร่วมกันออกตามส่วน เช่น ค่าบริการที่ส่วนรวม ค่าดูแลรักษาและดำเนินการเกี่ยวกับกับทรัพย์สินส่วนกลาง ค่าภาษีอากร เป็นต้น ขอทราบได้จากผู้ประกอบธุรกิจอาคารชุด กรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัด อำเภอ หรือสำนักงานที่ดินเขตที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่ แล้วแต่กรณี
สำหรับรายละเอียดดังกล่าวข้างต้น ทางราชการได้ออกกฎกระทรวงตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 บังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องบอกกล่าวหรือระบุในคำโฆษณาแล้ว แต่ยังไม่ควรมั่นใจว่าจะถูกต้องหรือเป็นจริงและเพียงพอที่จะตัดสินใจซื้อ หรือเข้าทำสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจ ควรที่จะได้ตรวจสอบกับทางราชการที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความรอบคอบและจะได้ไม่ถูกหลอกลวงหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ
การตรวจสอบหนังสือสัญญา
เมื่อผู้บริโภคตกลงใจหรือตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน ที่ดินจัดสรรหรืออาคารชุดแล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไป คือทำสัญญากับผู้ขาย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด เพราะผู้ซื้อจะต้องลงชื่อผูกพันในหนังสือสัญญากับผู้ขาย การเอารัดเอาเปรียบของผู้ขาย หรือความเสียเปรียบของผู้ซื้ออาจเกิดขึ้นได้หรือไม่อย่าง จะอยู่ที่หนังสือสัญญาฉบับนี้ ดังนั้น ก่อนที่ผู้บริโภคจะลงชื่อในหนังสือสัญญาจะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ โดยไม่ต้องเกรงใจผู้ขายต้องตรวจสอบข้อความในหนังสือสัญญาให้ละเอียด และทำความเข้าใจให้แจ้งชัดก่อนที่จะลงลายมือชื่อของตนในหนังสือสัญญาฉบับนั้น ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจก็ต้องหาผู้รู้มาให้คำแนะนำ หรือถ้าสงสัยในเรื่องใดก็ต้องสอบถามผู้ขายให้เป็นที่ตกลงกันโดยแน่นอนเสียก่อน มิฉะนั้นอาจตกเป็นผู้เสียเปรียบในการทำสัญญาได้ เช่น
1. ห้องที่ทำสัญญาถูกต้องตรงตามตัวอย่างที่โฆษณาหรือไม่ จะต้องตรวจในรายละเอียดด้วย เพราะมีผู้ดำเนินการบางรายอาจทำแบบบ้านอย่างหนึ่ง แต่เวลาทำสัญญาได้มีการเปลี่ยนแปลงรายการในรายละเอียดบางประการซ่อนไว้ หากไม่ตรวจสอบจะไม่ทราบ
2. ขนาดของห้องที่ตกลงทำสัญญาซื้อนั้นถูกตรงตามที่ผู้ซื้อจองตามผังจัดสรรหรือไม่
3. ระยะเวลาการเริ่มต้นก่อสร้าง และระยะเวลาการสร้างห้องแล้วเสร็จส่งมอบให้ผู้ซื้อได้เมื่อใด ควรต้องมีกำหนดไว้ในสัญญาด้วย
4. หากในสัญญามีกำหนดเบี้ยปรับไว้กรณีผู้ซื้อผิดนัดเช่นนี้ ก็ควรกำหนดเบี้ยปรับไว้ในสัญญาด้วยกรณีผู้ขายผิดนัด
5. นอกจากนั้นควรมีกำหนดเวลาประกัน กรณีห้องชำรุดบดพร่องไว้ด้วยว่าจะให้ผู้ขายปฏิบัติอย่างไร