· Why Smart People Underperform
· ฝึกจิตรู้ตน บนความเปลี่ยนแปลง
· คิดอย่างไรให้หมดทุกข์ไร้กังวล
· พลังของการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
· วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ
Why Smart People Underperform
· Tab 1
บทความที่นำเสนอคือ Why Smart People Underperform จาก Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2005 เขียนโดย Edward Hallowell บทความเรื่องนี้เป็นบทความอมตะที่ถูกตีพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ภายในช่วงเวลาสี่ถึงห้าปีที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับบุคคลที่ชาญฉลาด มีความรู้ความสามารถ เหตุใดจึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็นหรืออย่างที่คาดหวังไว้ ผู้แต่งได้บรรยายลักษณะของบุคคลดังกล่าว ไว้ดังนี้
มีอาการเครียดและวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับการงานที่ยังไม่ได้สะสาง
มีงานยุ่งทั้งวัน ทำงานเช้าจรดเย็น แต่ผลงานที่ออกมากลับมีเพียงนิดเดียว
แบ่งเวลาไม่เป็น งานท่วมหัวแต่ไม่รู้จะทำชิ้นไหนก่อนดี เลือกไม่ถูก หรือเลือกแล้วก็มักเลือกผิด
อารมณ์แปรปรวน หน้านิ่วคิ้วขมวด ใส่อารมณ์กับคนรอบข้าง
ทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ได้ หงุดหงิด อึดอัด ใจร้อน
ไม่มีสมาธิ จิตใจวอกแวก
มีความหวาดกลัวว่างานจะล้มเหลว กลัวจะเสียหน้า เป็นต้น
อาการดังกล่าวเป็นอาการของโรคที่เรียกว่า Attention Deficit Trait (ADT) หรือโรคเครียดนั่นเอง ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคปวดตามข้อ โรคไมเกรน และโรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น โรคดังกล่าวเกิดจากสภาพสังคมที่บีบคั้น การงานที่รุมเร้า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง
ADT แพร่ระบาดในหมู่คนทำงานมากมาย จนเป็นภาพที่เห็นกันอย่างชินตาในยุคสมัยปัจจุบัน
เดิมทีโรคดังกล่าวถูกเปรียบเทียบกับโรค Attention Deficit Disorder (ADD) ซึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ กล่าวง่าย ๆ คือADD เป็นพฤติกรรมของบุคคลจำพวก Hyperactive นั่นเอง ซึ่งมีลักษณะคือ มีความคิดฟุ้งซ่าน พูดทั้งวัน ผัดวันประกันพรุ่ง ชีวิตไม่มีระเบียบ ห้องรกรุงรัง กว่าจะผลิตผลงานแต่ละชิ้นใช้เวลานานมาก และผลงานที่ออกมาไม่ค่อยมีความเสมอต้นเสมอปลาย อารมณ์ดีงานก็เนี้ยบ อารมณ์เสียงานก็ไม่เป็นสัปปะรด ใจร้อน มีปัญหากับคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา แต่คนเหล่านี้ก็มีข้อดี คือมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มองอะไรละเอียดถี่ถ้วนกว่าคนทั่วไป ทำงานภายใต้ความกดดันได้ดี เมื่อเจออุปสรรคหรือความล้มเหลวสามารถกลับสู่สภาวะปกติได้ค่อนข้างเร็ว กล้าพูดกล้าทำ มีลักษณะความเป็นผู้นำสูง แต่ปัจจุบันพฤติกรรมเหล่านี้สามารถเกิดได้กับทุกคนที่อยู่ในสภาวะที่บีบคั้น ซึ่งก็คือโรคเครียดนั่นเอง
Attention Deficit Trait (ADT) หรือโรคเครียด เกิดจากการทำงานหนัก กอปรกับในปัจจุบันบริษัทต่าง ๆ มีนโยบายลดกำลังคน เพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับองค์กร ยิ่งทำให้ต้องทำงานหนักมากขึ้น งานทั่วไปที่นอกเหนือจากความรับผิดชอบก็ต้องช่วยทำ และหากทำงานไม่ได้ตามที่บริษัทคาดหวังก็โดนไล่ออก มองโดยผิวเผินอาจเป็นเรื่องดีเพราะเป็นการทำงานคุ้มกับค่าจ้าง แต่ถ้ามองถึงผลงานที่ออกมาแล้วนั้น การทำงานภายใต้สภาวะที่กดดัน สมองย่อมตึงเครียด ร่างกายย่อมเหนื่อยล้า ทำให้ตัดสินใจได้ไม่เฉียบคม หรือตัดสินใจผิดพลาด ผลงานที่ออกมาย่อมไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีปัญหาตามมาให้แก้ไขอีกมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ทำงานก็อดตาย หรือไม่ยอมทำงานหนักก็โดนไล่ออกอยู่ดี ดังนั้น ผู้แต่งได้เสนอวิธีการรับมือกับอาการเครียดดังกล่าวไว้ดังต่อไปนี้
1. วิธีการบรรเทาความเครียด ในแง่ของการดูแลสุขภาพร่างกาย
พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้เต็มอิ่ม เพราะการนอนไม่พอ ทำให้สมองไม่แล่น งัวเงีย อึดอัด และหงุดหงิด การนอนอย่างเพียงพออยู่ที่ประมาณ 5-10ชม. ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งจะรู้ได้ว่าพักผ่อนเพียงพอแล้วคือตื่นก่อนเวลานาฬิกาปลุก
ทานอาหารให้ตรงเวลา เพื่อป้องกันการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร และเนื่องจากทานอาหารไม่ตรงต่อเวลาจึงต้องมีของขบเคี้ยวไว้ประทังความหิว ซึ่งเป็นการเพาะนิสัยที่เป็นสาเหตุของการเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงโดยไม่รู้ตัว เพราะอาหารดังกล่าวมักมีปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไขมันและน้ำตาลในปริมาณที่สูง เช่นน้ำอัดลม ช็อคโกแลต ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เป็นต้น การกินอาหารที่มีรสหวานจัด ส่งผลให้น้ำตาลในกระแสเลือดจะไม่คงที่ สมองจะมึนงง คิดอะไรไม่ค่อยออก ทางที่ดีที่สุดคือควรทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกธัญพืช ผัก ผลไม้ ควรทานให้มาก ๆ เพราะกากใยจากผักและผลไม้จะช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้
ออกกำลังกายทุกวันหรือวันเว้นวัน วันละ 30 นาที ร่างกายจะสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะร่างกายจะหลั่ง Happy hormone หรือ Endorphin ออกมา ทำให้สมองปลอดโปร่งแจ่มใส นอกจากนั้น การออกกำลังกายช่วยขจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายออกไปได้อีกด้วย
ทานวิตามินรวม หรือบีรวมและโอเมก้า ทรี เพื่อบำรุงสมอ
2. วิธีการรับมือและบรรเทาอาการเครียด ในแง่ของการทำงาน
1. สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
1.1 จัดห้องให้สะอาดเรียบร้อย เอกสารต้องเป็นระเบียบเหลือเฉพาะที่สำคัญ ๆ ไว้ การมีเอกสารรกรุงรังจะทำให้บรรยากาศอึดอัดไม่น่าทำงาน และยิ่งเห็นงานที่ยังคั่งค้าง ยิ่งทำให้กังวลใจ เมื่อห้องทำงานเป็นระเบียบ จิตใจจะปลอดโปร่งเกิดกำลังใจในการทำงาน
1.2 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และลูกน้อง อย่าสร้างศัตรูเพราะยิ่งเป็นการสร้างความเครียดมากขึ้น ยิ่งเครียดยิ่งระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่นวนเวียนเป็นวงจรไม่มีที่สิ้นสุด และมนุษย์มักจดจำแต่ประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น ที่ผ่านมาเคยทำดีมาตลอด พลาดครั้งเดียวความดีทั้งหมดหายไปสิ้นเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นต้น ดังนั้น วิธีแก้ไขคือให้ระมัดระวังคำพูด พูดทีละคำ ฟังทีละเสียง สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง อยากให้คนรักต้องรักเขาก่อน อยากให้คนยิ้มกับเราต้องยิ้มให้เขาก่อน เลิกหวังอะไรจากคนอื่น และให้คิดว่าตัวเราจะทำอะไรเพื่อคนอื่นได้บ้างจะดีกว่า
1.3 หาเพื่อนสนิทเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด และแลกเปลี่ยนความคิดกันเป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันการสะสมความเครียดโดยไม่รู้ตัว
2. แบ่งย่อยงานชิ้นใหญ่ ๆ ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วทำสิ่งที่ง่ายก่อน จะได้มีกำลังใจในการทำงาน
3. พยายามหาเวลาว่างวันละประมาณ 1ชม. ปลีกตัวเองไปอยู่ในที่เงียบ ๆ เพื่อตรึกตรองมองตัวเอง เช่น
ตอนนี้เราทำงานไปถึงไหนแล้ว
มีสิ่งไหนที่เราจะต้องรีบทำก่อนหรือไม่ หรือมีสิ่งไหนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษบ้าง
ตัวเรากำลังทำอะไรอยู่ และเราอยู่ใกล้หรือไกลจากเป้าหมายของชีวิต
งานมากมายที่ทำไป มันเกิดประสิทธิผลบ้างหรือไม่
เราใส่ใจการดูแลร่างกายของตัวเองมากน้อยแค่ไหน เช่นการออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น
พฤติกรรมของเราที่แสดงออกต่อคนรอบข้างเป็นอย่างไรบ้าง เราก้าวร้าวมากขึ้นหรือไม่ หรือเบื่อหน่าย ซึมเศร้า
คิดคาดการณ์ล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไรบ้าง และสิ่งใดสำคัญที่สุด
4. งานจำพวกการติดต่อทางโทรศัพท์ ตอบอีเมล์ ควรรวบรวมไว้ทำพร้อมกันทีเดียว หลังจากทำงานที่สำคัญเสร็จสิ้นไปแล้ว
5. เอกสารต่าง ๆ ไม่ควรหมกเม็ด ต้องรีบสะสางโดยเร็ว โดยอาจจะทำเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นก็ได้
6. สังเกตว่าร่างกายของเราพร้อมที่สุดในการทำงานตอนช่วงเวลาไหน เช่น ตอนเช้า ตอนบ่าย หรือตอนค่ำเป็นต้น แล้วจัดงานที่สำคัญ ๆ ไปทำตอนช่วงเวลานั้น ๆ
6. อย่าคิดว่าทำงานมากชิ้นแล้วจะดีเสมอไป ควรเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และเลือกทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน รู้จักมอบหมายงานให้ผู้อื่นบ้าง
สุดท้าย ถ้าทำทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วรู้สึกว่าอึดอัดและเหนื่อยเหลือเกิน ให้หยุดทำงานชั่วคราว ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนกิจกรรมไปทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง เดินเล่น เป็นต้น
วิธีแก้ไขดังกล่าวอาจจะเป็นวิธีการทั่ว ๆ ไป ที่ทุกคนพอจะทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มักไม่ได้ทำ หรือทำไม่ครบทั้งหมด หรือทำ ๆ หยุด ๆ เป็นต้น โรคนี้เป็นโรคที่ส่งผลกับทุกระบบของร่างกายเสมือนสายลูกโซ่ ดังนั้น จึงต้องพยายามทำให้ครบทั้งหมด ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ และต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจึงจะได้ผล
· Tab 2
รูปที่ 2 กราฟเส้นแสดงการเสื่อมของต่อมหมวกไตในระยะต่างๆ เริ่มจากระดับดีเอชอีเอต่ำแต่คอร์ติซอลสูงก่อน จากนั้นเมื่ออายุมากขึ้นจะต่ำทั้งสองค่าระยะนี้คือต่อมหมวกไตหยุด
ทำงานอย่างแท้จริงสาเหตุของความล้า
ตัวเราเองยังมีอยากพักบ้างเมื่อถึงวัยเกษียณ แล้วจะไปกะเกณฑ์อะไรเอากับต่อมหมวกไตเล็กๆที่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาในชีวิตคุณ จะไม่ให้เขาได้หยุดพักบ้าง แต่ทีนี้เขาจะหยุดไปดื้อๆหรือ เปล่าก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้วครับ แล้วมองลึกลงไปถึงเหตุในตัวเราก็คือ “ใจ” นี่เองครับที่เป็นปฐมเหตุ ต่อมหมวกไตหาได้สไตร๊ค์เล่นเปล่าๆเหมือนแท็กซี่แถวสนามบินไม่ ดังจะขอขยายให้ดูเหตุที่ทำให้ต่อมหมวกไตขี้เกียจดังนี้
* ความเครียดทางใจ อารมณ์อันเป็นอกุศลจิตทั้งหลายเช่น กลัว โกรธ รู้สึกผิด วิตกวิจารณ์ต่างๆ นานานั่นแหละครับตัวดีเลย บางท่านบอกว่าไม่เครียดๆ แต่พอถึงเวลานอนแล้วฝันเป็นวรรคเวร นั่นแหละครับคือความเครียดในจิตใต้สำนึกที่ถูกกดไว้มันผุดขึ้นมาเมื่อสมองได้พักผ่อน ความเครียดจากเรื่องในครอบครัวและการหย่าร้างก็จัดเป็นความเครียดรุนแรงระดับต้นๆทีเดียวครับ
* ความเครียดทางกาย ได้แก่ทำงานหนักไป ออกกำลังกายแบบหักโหมบ้าพลังจนปวดกล้ามเนื้อไปทั้งตัว รวมถึงการบาดเจ็บด้วยประการต่างๆ
* สารพิษในอาหารและสิ่งแวดล้อม เช่นยาฆ่าแมลง, ยาฆ่าวัชพืช, โลหะหนักต่างๆ, ตะกั่ว, แคดเมียม, ปรอท และอีกมากที่สะสมอยู่ในร่างกายเราตั้งแต่เริ่มกินอาหารมาแล้วส่งผลต่อต่อมหมวกไตในภายหลัง
* การเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่นเป็นโรคเบาหวานหรือไตวายเรื้อรังก็ทำให้ร่างกายเกิดความเครียดเช่นกัน ถ้ายังเป็นอยู่เรื่อยไม่หายเสียทีก็เหมือนกับเฆี่ยนให้ต่อมหมวกไตทำงานอยู่ตลอดเวลาไม่ได้พัก
ผ่อนในที่สุดก็จะเสื่อมไป
· Tab 3
จากปัจจัยหลักๆทั้งสี่ประการนี้จะเห็นว่าสรุปรวมความแล้วก็คือ
“ความเครียด” นั่นเองไม่ว่าจะทางกายหรือใจก็ตาม ภาวะต่อมหมวกไตขี้เกียจนี้บางทีจะทำให้ เรารู้สึกเพลียล้า ไม่สดชื่น นอนหลับเท่าใด ก็ไม่อิ่มได้ แต่เมื่อไปหาคุณหมอก็มักจะได้รับคำตอบว่าให้ “กลับไปพักผ่อน” ซึ่งก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีสิ่งใดที่จะแทนการนอนให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงได้ แต่ที่ยังไม่ได้แก้คือเรื่องต่อมหมวกไตขี้เกียจทำงานนั่นเองที่คุณหมอไม่ถือว่า เป็นสาระสำคัญ เพราะที่จริงแล้วภาวะต่อมหมวกไตล้านี้ อาจนำไปสู่ภาวะต่อมหมวกไตเลิกทำงาน อย่างถาวรก็ได้ ที่เรียกว่า “โรคแอดดิสัน (Addison’s disease)” ต่อมหมวกไตจะไม่สามารถ
สร้างฮอร์โมนมา ทำให้ร่างกายรู้สึกดีมีความปกติสุขได้ บุคคลสำคัญระดับผู้มีอิทธิพลของโลก ที่ป่วยด้วยโรคนี้ก็คือ ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคเนดี้ ซึ่งมีโรคแอดดิสันเป็นโรคประจำตัว จำต้องได้รับการฉีดสเตียรอยด์ฮอร์โมนเสริมให้ร่างกายทดแทนที่สร้างไม่ได้อยู่เป็นประจำ
แต่ข่าวนี้ถูกปิดเพราะช่วงนั้นสงครามเย็นกำลังระอุหนักมีการแข่งขันความเป็นเลิศกันในทุกด้าน และสุขภาพของผู้นำ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เหตุที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีมีโรคนี้ประจำตัวก็เพราะ “ความเครียด” นั่นเอง แต่หาใช่ความเครียดจากการต้องชิงไหวพริบกับครุสชอฟไม่ แต่เป็น เหตุการณ์ที่ เรือประจัญบานของญี่ปุ่นบุกเข้าโจมตีเรือตรวจการณ์ของนายทหารหนุ่มเคเนดี้ใน สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ส่งผลให้ทุกชีวิตบนเรือสูญสิ้นยกเว้นตัวท่านเคเนดี้เองที่ได้เห็นเหตุการณ์อันน่าสยองนี้ จนถึงกับช็อกและนี่คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ต่อมหมวกไตของท่านมีปัญหามาโดยตลอด
ผลของความเครียดต่อต่อมหมวกไต พบภาวะร่างกายแก่ก่อนวัยได้เป็นเรื่องปกติและโรคอัลไซเมอร์ในนักโทษอายุน้อย ซึ่งเหล่านี้มีผลมาจาก ความเครียดจัดทำให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตล้าและแก่เร็ว ถึงตอนนี้เราก็ควรมาดูกันให้ดีแล้วว่า เราเป็นสมาชิกคนหนึ่งในชมรมต่อมหมวกไตชอบอู้หรือไม่ โดยอาการของต่อมหมวกไตล้า มีหลักๆอยู่ดังนี้ ได้แก่ รู้สึกเหนื่อยง่าย, ปวดเมื่อยตามตัว, หมดความรู้สึกทางเพศ, หงุดหงิดง่ายกับคนรอบข้าง, อารมณ์แปรปรวนจนบางทีซึมเศร้า, สมาธิสั้น, อยากของหวานบ่อยขึ้น ซึ่งถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าเป็นอาการคล้ายที่คนแก่ชอบบ่นทั้งสิ้นทำให้ถูก มองข้ามไปเสมอว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ที่จริงแล้วนั้นมันสามารถแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ไม่จำเป็นต้องทนแก่กว่าวัยอยู่เช่นนั้น
ถ้าคุณไม่แน่ใจอาจลองทำแบบสอบถามต่อไปนี้ดูได้ครับ
1) คุณรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น 1-5
2) คุณรู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากกว่ากระฉับกระเฉง 1-5
3) มักถูกทักว่าดูเหมือนคนไม่ค่อยสบาย 1-5
4) คุณทำงานหนักขึ้นแต่ได้ผลงานน้อยลง 1-5
5) คุณรู้สึกระแวงหรือไม่ไว้ใจในเรื่องต่างๆ 1-5
6) คุณรู้สึกซึมเศร้าอยู่บ่อยๆ 1-5
7) คุณมักลืมการนัดหมายและลืมของส่วนตัว 1-5
8) คุณหงุดหงิดง่าย 1-5
9) คุณมีความอดกลั้นได้น้อย 1-5
10) คุณผิดหวังกับคนรอบตัวบ่อยๆ 1-5
11) คุณพบสมาชิกครอบครัวและเพื่อนน้อยลง 1-5
12) คุณรู้สึกว่าตัวเองยุ่งจนไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวัน ได้เช่นโทรศัพท์หรือส่งการ์ดวันเกิดให้เพื่อน 1-5
13) คุณรู้สึกไม่สบายทางกายมากขึ้น(ปวดเมื่อยเนื้อตัว, ปวดศีรษะ, รู้สึกหนาวง่าย) 1-5
14) คุณเคยรู้สึกสับสนเวลาเลิกงาน 1-5
15) คุณมีอารมณ์ขันน้อยลง 1-5
16) เรื่องเซ็กส์กลายเป็น “ภาระ” สำหรับคุณ 1-5
17) คุณมีเรื่องคุยกับผู้อื่นน้อย 1-5
18) คุณรู้สึกมีสุขน้อยลง 1-5
เมื่อรวมคะแนนแล้วก็นำมาแปลผลว่าต่อมหมวกไตขี้เกียจทำงานแค่ไหนดังนี้
0-25 ต่อมหมวกไตยังทำงานแข็งขันอยุ่
26-35 ความเครียดเริ่มส่งผลต่อต่อมหมวกไตบ้างแล้ว
36-50 ต่อมหมวกไตทำงานน้อยลงชัดเจน
51-65 ต่อมหมวกไตขี้เกียจอย่างเห็นได้ชัดทำให้คุณแก่ลงอย่างรวดเร็ว
มากกว่า65 ต่อมหมวกไตขี้เกียจจนอาจทำให้สุขภาพคุณอยู่ในขั้นวิกฤติ
สรุปง่ายๆอีกทีว่าถ้าคะแนนคุณได้มากกว่า 35 ขี้นไปนั้นต้องรีบแก้ไขต่อมหมวกไตของคุณเองแล้ว ด้วยว่าถ้าปล่อยไว้มัน จะเลวร้ายลง อย่างรวดเร็ว เผลอๆปีต่อไปคะแนนของคุณอาจขึ้นเป็นทวีคูณอยู่ใน ขั้นวิกฤติได้ เพราะอย่างไรก็ดี ต่อมหมวกไตนี้ก็เป็นของสำคัญคุณ ไม่อาจอยู่โดยไม่มีมันได้ ด้วยว่า ตอนเช้ามันก็จะช่วยหลั่ง ฮอร์โมนคอร์ติซอล ออกมากระตุ้นให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงเริ่มต้นสู้กับวันใหม่ได้ ส่วนตอนค่ำก็หลั่งน้อยลง ทำให้ร่างกายไม่ตื่นตัวมากพร้อมที่จะพักผ่อน เป็นวงจรเช่นนี้ บางคนถ้าต่อมหมวกไตเริ่มรวน หลั่งฮอร์โมนสลับกันคือช่วงที่ควรจะพักผ่อนก็หลั่งฮอร์โมนกระตุ้น
เสียก็จะทำให้คุณหลับไม่สนิทหรือ “ตาหลับแต่หัวยังทำงานอยู่” แต่เมื่อถึงเช้ากลับง่วงนอนเสียทรมานมากมาย การตรวจต่อมหมวกไตด้วยแบบสอบถามนี้ถือเป็นการตรวจเบื้องต้น แต่ถ้าคุณ รู้สึกว่าสุขภาพเริ่มทรุดโทรมลง กว่าแต่ก่อนมากก็ควรจะได้ไปพบแพทย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์เพื่อ ปรึกษาเรื่องการตรวจต่อมหมวกไตโดยละเอียดต่อไป
· Tab 4
วิธีกระตุ้นต่อมหมวกไต
มนุษย์ทุกยุคสมัยต่างก็มีความเครียด ความทุกข์เฉพาะตัวในยุคนั้น ยุคหลังสงครามโลกก็ทนทุกข์เพราะข้าวยากหมากแพง ยุคปัจจุบันมี ทุกขเวทนา กล้าเพราะข้าวแพงเช่นเดียวกัน แล้วมิหนำซ้ำยังมีโรคระบาดต่างๆนับเนื่องกันเข้ามาหลายชนิด โรคต่อมหมวกไตทำงานน้อย หรือขี้เกียจทำงานนี้ จึงถูกจัดเป็นโรคประจำศตวรรษที่ 21 อีกโรคหนึ่ง ทำให้ผู้คนแก่ตัวลงเร็วมาก ลองสังเกตดูคนรอบข้างเราสิครับ มีหลายต่อหลายท่าน ที่เสียชีวิตด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งในวัยที่ยังเด็กอย่างน่าตกใจ นักร้องเดอะสตาร์ก็เสียชีวิตจาก มะเร็งตั้งแต่อายุยังไม่เต็มยี่สิบดี หรือนักร้องลูกทุ่งเสียงทองก็ป่วยเป็นมะเร็งตับทั้งที่ยังน่าจะได้ร้องเพลงขับกล่อมคนต่อไปได้อีกนาน เหล่านี้ล้วนมีปัจจัยจาก ความเครียดและต่อมหมวกไตทั้งสิ้นครับ เนื่องจากเมื่อต่อมหมวกไตขี้เกียจแล้วนั้นก็จะ ทำให้ภูมิคุ้มกัน ร่างกายอ่อนแอลง ร่างกายจะมีสภาพพร้อมเป็นรังของโรค ไม่ว่าจะโรคติดเชื้อหรือมะเร็งพอเข้ามาแหย่นิดหน่อย ร่างกายเราก็ปล่อยให้โดดแผล็วผ่าน ต.ม. เข้ามาเลยโดยไม่มีการ ตรวจพาสปอร์ต ทำให้เรากลายสภาพเป็นคนอมโรคง่าย เผลอแผล็บเดียวก็นั่งแก่หง่อมอมทุกข์แล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้วิธีแก้อย่างมีประสิทธิภาพครับ เริ่มตั้งแต่
1. แก้ที่ต้นเหตุคือ “ความเครียด” อันเป็นมหาปัจจามิตรของต่อมหมวกไต ความรู้สึกอันเป็น ความเครียดนี้ก็ได้แก่ ความโกรธ, กลัว, เสียใจ, กังวลใจ ดังที่ทางพระเรียกว่ามี ทุกข์ โศกะ ปริเทวะ อุปายาสะ ต่างๆนี้เกิดขึ้น ซึ่งก็เกิดขึ้นได้โดยเมื่อมีสิ่งมากระทบ เกิดเวทนาว่า เป็นสุขหรือทุกข์ปรุงแต่ง ให้กลายเป็นตัณหาอุปาทาน เกิดความยึดมั่นถือมั่นคือ เมื่อยึดมั่นว่ามีตัวตนก็เกิดทุกข์ ทำให้เครียดขึ้นมา ดังนั้นวิธีแก้เครียดนี้ที่ง่ายสุดคือต้องทำให้ไม่ เกิดเวทนาคือรู้สึกสุขทุกข์ขึ้นมาเมื่อมีสิ่งพึงใจหรือไม่พึงใจมากระทบ โดยใช้วิธีปิดประตู
ไม่รับรู้เช่นปิดตาหรือปิดหู ก็จะพอช่วยให้พ้นทุกข์ได้ชั่วคราว แต่ถ้าจะให้ดีฝึกไปนานๆจะ ทำให้รู้จัก “ปิดใจ” ได้อันเป็นที่สุดของ การแก้เครียดครับ
2. อย่าขาดอาหาร ข้อนี้คงไม่ได้เกิดจากภาวะข้าวยากหมากแพงในตอนนี้ จนต้องให้ประชาชน ลดการกินหมูกินข้าวกันก่อนนะครับ หากแต่หมายถึงว่ าอย่าทำงานเพลินจนลืมกินอาหารบาง มื้อไปเสีย เพราะเวลาคุณหิวนั้นน้ำตาลในกระแสเลือดจะตกลง นั่นหมายถึงความเครียด อย่างหนึ่งและจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ทำงานสร้างสารทุกข์ออกมา ทำให้คุณมึนศีรษะ และยิ่งเหนื่อยหิวหนักขึ้น
3. แบ่งอาหารออกรับประทานเป็นมื้อย่อยๆ แทนที่จะกินเป็นมื้อใหญ่สามมื้อ อาจซอยออกเป็น 5-6 มื้อได้ เพื่อเป็นการเกลี่ย ระดับน้ำตาล ในเลือด ให้ไม่สูงปรูดปราดเหมือนเวลารับประทาน อาหารมื้อหนัก
4. กินโปรตีนในทุกมื้ออาหารโดยเฉพาะโปรตีนที่ย่อยง่ายเช่นไข่ขาว, เนื้อปลาหรือเต้าหู้
5. เปลี่ยนอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวให้เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง, ข้าวซ้อมมือ , ธัญพืช, ข้าวโอ๊ต หรือขนมปังก็เปลี่ยนให้เป็น แบบโฮลวีตเสียบ้าง
6. งดเครื่องดื่มที่ไปกระตุ้นต่อมหมวกไต ให้ทำงานหนักจนเกินไปโดยเฉพาะคาเฟอีน, น้ำอัดลมที่ มีคาเฟอีน เพราะที่จริงคาเฟอีนไม่ได้ ช่วยกระตุ้นร่างกายมาก แต่ฤทธิ์ของมันคล้ายกับหลอก ร่างกายให้คิดว่ามีพลังอยู่ ยังสู้ไหว เพราะมันไปทำให้ตัวใจเต้นเร็ว แต่หลังจากฤทธิ์หมด คุณจะ รู้สึกเหนื่อยขึ้น และคาเฟอีนยังไปลดระดับวิตามินบีในร่างกายลงด้วย
7. ออกกำลังกายแบบที่มีจุดประสงค์ เพื่อผ่อนคลาย เช่น เดินชมสวน, โยคะ, ฝึกหายใจ, ทำสมาธิหรือยืดกาย ให้เลี่ยงการออกกำลังกา ยแบบหนัก และต่อเนื่องเช่นวิ่งแบบต่อเนื่องกันครึ่ง ชั่วโมงเป็นต้น
8. เลี่ยงเครื่องดื่มอัลกอฮอล์, อาหารแปรรูปทั้งหลายและบุหรี่ เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่จะไปเพิ่ม ระดับสารทุกข์คอร์ติซอล จากต่อมหมวกไต และการสูบนานๆ จะส่งผลให้ระดับดีเอชอีเอและฮอร์โมนเพศเทสโทสเตอโรนกับโปรเจสเตอโรนต่ำลง
9. รับประทานอาหารเสริม ที่ช่วยบำรุงต่อมหมวกไต ดังนี้
1. วิตามินซี 1,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน
2. แอล-ธีอะนิน 100-400 มิลลิกรัมต่อวัน
3. กรดแพนโธเทนิก(วิตามินบี 5) 300 มิลลิกรรัมต่อวัน
4. ชะเอมเทศ(Licorice) โดยให้ได้สารกลีเซอไรซินไม่เกน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
ด้วยสภาพบีบคั้นของสังคมปัจจุบันทำให้เราต้องทำกิจกรรมต่างๆอย่างรีบเร่งไปเสียหมด แต่ในบางคราวการรีบ โดยปราศจากสติ ก็อาจทำให้ยิ่งช้าลงดังเช่นชาวอเมริกันที่รีบเร่งสร้าง ความเจริญกันเสียจน ลืมนึกถึงจิตใจ เผลอแผล็บเดียวเครียดจนต่อมหมวกไตล้ากันไปถึง 80% ของประชากรแล้ว (Wilson,James, Adrenal Fatigue: The 21st Century Stress Syndrome) ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวของเราท่านทรงมีพระปรีชาญาณเป็นหนักหนาเพราะทรงรู้สัจธรรมว่ายิ่งมนุษย์ เราเจริญทางวัตถุมากเท่าใด ความสำคัญของจิตใจก็มักจะถูกหลงลืมไปมาก จึงมีผู้ที่มีปัญหาความเครียดมากขึ้นเป็นเงาตามตัวในสังคมที่พัฒนาทางวัตถุเต็มที่แล้ว จึงทรงเน้นย้ำในจุดเรื่อง ของความสุขทางใจเสมอ ดังในคราวที่พระเจ้าอยู่หัวของเราเสด็จเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2503 ได้พระราชทานสัมภาษณ์นักข่าวคนหนึ่งถึงสิ่งที่ทรงอยากฝากถึง ชาวอเมริกันว่า “คนอเมริกันดูช่างรีบร้อนกันเหลือเกิน ถ้าหากจะ GO SLOW จะทำให้มีความสุขยิ่งกว่านี้ ...” คำว่า “โก สโลว์” นี้เองที่เป็นพระปรีชาญาณของพระองค์ท่าน ที่ทรงมองทะลุปรุโปร่ง
ไปถึงนิสัยและความเป็นอยู่ของฝรั่งชาติอเมริกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยเราก็ก้าวมาถึงจุดนั้นแล้วคือจุดที่ถือวัตถุเป็นหลัก ทุนนิยมเป็นเจ้าเรือนแต่ในสังคมมีผู้คนป่วยทางจิตกันเยอะขึ้น ังนั้นพระราชดำรัสนี้ถ้าฝรั่งหรือคนไทยท่านใดฟังแล้วคิดตามก็จะรู้ว่าลึกซึ้งยิ่งนัก ยิ่งถ้าปฏิบัติตามแนว “โกสโลว์”นี้ได้นั้นเราก็จะไม่ต้องก้าวซ้ำรอยเท้าอเมริกันไปสู่ความสำเร็จในทาง วัตถุทั้งหลายแต่ผู้คนกลับ ป่วยเป็นโรคแก่กว่าวัย จากต่อมหมวกไตเสื่อมกันเกือบทั้งประเทศเช่นนี้
การชนะใจตนเอง Mind Control
· Tab 1
การชนะใจตนเอง Mind Control
ความหมายและความสำคัญ
การชนะใจตนเอง หมายถึง การเอาชนะจิตใจฝ่ายต่ำ หรือ กิเลสตัณหา ในตัวของเราเองและ การเอาชนะ จิตใจที่ชั่ว หรือ ผิดศีลธรรม ด้วย คุณงามความดี จรรยาบรรณ หรือ จริยธรรม ที่มีคำสอนอยู่ในศาสนาทั้งหลาย คนที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้ ต้องฝึกหัดแก้ไขนิสัย ที่ไม่ดีของตน ให้เกิดนิสัยดีขึ้นมาทดแทน นั่นคือคนที่ ชนะใจตนเอง ต้องสามารถ รักษาศีล หรือ มีธรรมะอยู่ในใจ เป็นปกติ
ความสำคัญของ การชนะใจตนเอง
1. ทำให้วิถีชีวิต ของตนเอง เปลี่ยนแปลง
2. ทำให้ตนสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
3. ทำให้สามารถดำรงคุณงามความดีของตนไว้ แม้ว่า สังคม หรือ เพื่อนร่วมงานของเราเป็น คนทุจริต หรือมีพฤติกรรมชั่วร้าย เราก็ไม่ตกเป็นผู้คล้อยตาม กระแสสังคมไปได้
4. ทำให้เราสามารถ สร้างฐานะหลักฐานให้เป็น ที่พึ่งของตนเอง และ ครอบครัวตน ถึง สังคมส่วนรวม อันหมายถึง ประเทศชาติ ของเราด้วย คนเราที่ทำชั่ว หรือทำผิดด้วย ประการใด ๆ ก็ดี เป็นเพราะเขาไม่อาจเอา ชนะใจตนเอง ได้
คุณค่าของการชนะใจตนเอง
คนเราจะชนะใจตนเองในด้านใดก็ตาม จะได้ผลดีในด้านนั้น คนที่เอา ชนะใจตนเอง ในด้าน ความเกียจคร้าน จนกลายเป็น คนที่ขยันหมั่นเพียร ย่อมทำให้เขามี ผลงานที่เกิดจาก แรงกาย แรงสติปัญญาทำให้เขาได้รับ ความก้าวหน้า หรือสร้างฐานะการงาน ให้เจริญรุ่งเรือง และมีฐานะมั่นคงได้ คนที่เอา ชนะใจตนเอง ในการ ถือศีลห้าให้บริสุทธิ์ จนไม่มีที่ตำหนิแล้ว ทางศาสนาพุทธระบุว่า คน ๆ นั้นย่อมเป็นพระอริยะบุคคลขั้นโสดาบัน คนที่เอาชนะใจตนเองด้วย การมีจิตเมตตา แผ่เมตตา ไปให้ทั้งมิตรและศัตรู โดยไม่ประมาท ผลก็คือเขาจะเป็นคนมีเสน่ห์ มีผู้ที่รัก และต้องการ คบหาสมาคมด้วย คนที่ชนะใจตนเอง โดยหมั่นกระทำแต่ คุณงามความดี มีความเสียสละให้แก่ประเทศ ชาติบ้านเมือง เขาย่อมได้รับเกียรติยกย่องจากคนในสังคม จัดว่าเป็นคนที่มี คุณค่าต่อประเทศชาติ คนที่มีแรงใจสูงเสียสละ เพื่อการกอบกู้เอกราชของประเทศชาติ อาทิ สมเด็จ พระนเรศวร หรือ สมเด็จ พระเจ้าตากสิน ย่อมได้รับคำสรรเสริญจากประชาชนว่า เป็นพระมหาราช ผู้ที่จะสามารถเอาชนะใจตนเอง ในทุก ๆ ด้าน ทางคริสต์ศาสนาเรียกว่า เป็นนักบุญ เป็นผู้ที่สืบสานต่อพระศาสนาให้ยืนยาวไปถึงคนรุ่น ต่อ ๆ ไป คุณงามความดี นั้นเป็นที่ ตราตรึงใจต่อ ศาสนิกชนในศาสนานั้น ๆ คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ก็เพื่อบำเพ็ญคุณงามความดี และเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ชีวิตของคนเราเป็น ชีวิตแห่งการต่อสู้ เราจะต้องต่อสู้ไปจนตลอดชีวิต สิ่งที่สำคัญที่ควรจะ ต่อสู้เพื่อเอาชนะให้ได้ก็คือ ความทุกข์ ไม่มีใครเลยในโลกนี้ ที่เกิดมาแล้วมี ความสุขไปจนตลอดชีวิต วิถีชีวิตของคนเราจะต้องผจญกับ ปัญหาอุปสรรคมากมายหลายชนิด และเมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว คนเรามีความทุกข์ทั้ง ทางกายและทางใจ ทางกายนั้นก็ย่อมมีการเจ็บป่วย หรือ อุบัติเหตุบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ทางใจก็คือ ความทุกข์ ที่เกิดจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในการพลัดพรากจาก คนที่เรารัก หรือ สิ่งที่เรารัก หรือไม่ก็เกิดจาก สิ่งที่เรารัก หรือ คนที่เรารักต้องพลัดพรากจากเราไป คนที่อยู่ในสังคมเมือง มักจะเต็มไปด้วย ความรีบร้อน และความเครียด ถ้าไม่รู้จักแก้ไข หรือ บรรเทาความทุกข์ร้อน เช่น ความวิตกกังวล ความมีโทสะ ความโลภ ความวุ่นวายใจ ฯลฯ ชีวิตของคนเหล่านั้นย่อมหาเวลาที่สุขสงบได้ยาก จริง ๆ คนที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตนั้น ลำพังเราไม่อาจแก้ไขสิ่งแวดล้อมได้ แต่มีอีกทางหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องแก้ไขสิ่งแวดล้อมได้ แต่เป็นการแก้ไขตนเอง ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง มี จิตตานุภาพ ที่เอาชนะอุปสรรคทุกชนิด ที่ผ่านเข้ามาใน วิถีชีวิตของเรา เราเรียกคนที่ชนะอุปสรรค หรือทุกข์ใจว่า ผู้ที่ชนะใจตนเอง ดังที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าการเอาชนะใจตนเองเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก และมีความสำคัญไม่ว่าเราจะอยู่ในสังคมใด ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมือง หรือสังคมชนบท เพราะความทุกข์ ย่อมติดตามคนเราไปเสมอ เพราะมันติดไปกับใจของคนเรา การหนีทุกข์ด้วยวิธีใด ๆ ก็ไม่มีคุณค่าเท่ากับ สามารถเอาชนะใจตนเอง การเอาชนะใจตนเองจึงมีความสำคัญ ที่เราควรสร้างขึ้นมา ให้จงได้ การที่เราจะชนะใจตนเองนั้น ขอให้เราจัดการกับตัวเรา กับสังคมที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดก็คือ สถาบันครอบครัว ให้มีความปกติสุข ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ให้มีการเอื้อเฟื้อและรู้จักหน้าที่ที่มีและกระทำไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เช่น หน้าที่ของพ่อแม่ มีอย่างใดก็ให้ทำ หน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด หรือถ้าเราเป็น บุตรหลาน เราก็ทำหน้าที่ของบุตรหลานให้ดีที่สุดเช่นกัน ซึ่งเป็นการแก้ไขตนเองอย่างง่าย ๆ ถ้าเราทำได้ ดังนี้ก็เรียกได้ว่า เป็นการเอา ชนะใจตนเอง ในระดับหนึ่งแล้ว ต่อไปเมื่อเราไปสู่ สังคมแวดล้อม ที่กว้างขึ้น เช่น ในสถานศึกษา หรือที่ทำงาน ก็ให้เราปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่าให้บกพร่อง ให้เต็มใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด กล่าวคือ เมื่อเราเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาก็พยายามศึกษาเล่าเรียนให้ดีที่สุด ถ้าจะร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการศึกษาแล้ว ก็อย่าให้ การเรียนเสีย เราต้องเรียนให้ดี และเล่นให้ดี ส่วนเมื่อเราต้อง เข้าไปทำงานในหน่วยงานใดก็ให้เราทำหน้าที่ที่เราพึงทำให้ดี ให้เรียบร้อย รอบคอบ ส่วนผลจะมีประการใด ไม่ต้องคำนึงถึง คิดเสียว่า เรากำลังกระทำความดี ถ้าทำได้เพียงนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเรา เอาชนะใจตนเอง ในเบื้องต้นได้แล้วอานิสงส์แห่งการเอาชนะใจตนเอง ก็คือเราย่อมเป็นคนที่มีคุณค่าในสังคม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นผู้ที่เอา ชนะจิตใจตนเอง ได้อย่างเด็ดขาด ในคืนวันแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ได้ทรงต่อสู้กับพญามาร มีฤทธิ์และบริวาร มากมาย แต่ก็ทรงเอาชัยชนะได้โดยลำพัง พระองค์เดียว ทรงชนะกิเลสตัณหาจนหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชน กลายเป็น พระอรหันต์ พระองค์แรก และ ทรงสั่งสอนศิลปะ ในการต่อสู้ กับกิเลสตัณหาให้แก่พระสาวก จนเกิดเป็น พระอริยสงฆ์สืบต่อ พระพุทธศาสนา มาจนถึงปัจจุบัน ในการต่อสู้กับ กิเลสตัณหา หรือ การต่อสู้เพื่อเอาชนะใจตนเองนั้น พระบรมศาสดาทรงวางแนวไว้คือ มรรคมีองค์ 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ความคิดชอบ ความเพียรชอบ อาชีพชอบ การทำชอบการพูดชอบ สติชอบ และสมาธิชอบ เมื่อจะกล่าวโดยย่อ ๆ ก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
· Tab 2
แนวทางในการชนะใจตนเอง
1 การฝืนใจ
ในการเอาชนะใจตนเอง จะไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการฝืนใจ การหมั่นฝึกหัดในการฝืนใจตนเองนั้น ยังมีแยก ออกไปอีก คือ การฝืนใจแบบครั้งเดียว เลิกนิสัยไม่ดีไปเลย หรือการฝืนใจโดยวิธีแก้ทีละน้อยจนแก้ได้หมดเลย สำหรับคนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง อาจฝืนใจแก้ได้สำเร็จเด็ดขาดไปในครั้งเดียวแล้วเลิกไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่ดี จนไม่กลับมาทำอีก ในภายหลัง แต่สำหรับคน ที่ยังมีใจอ่อนแอและไม่ค่อยต่อสู้กับการดำเนินชีวิต ควรที่จะ ต้องแก้ไขแบบค่อยเป็นค่อยไป อาทิ การงดสูบบุหรี่ หรืองดเสพสุรา หรือยาเสพติดใด ๆ ก็ตาม เราต้องฝืนใจเป็นอย่างมาก มีทั้งผู้ที่ ทำสำเร็จ และทำไม่สำเร็จ สิ่งเหล่านี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นโทษยิ่งกว่าให้คุณ แต่ก็หาคนฝืนใจเลิกได้น้อยมาก บางคนอาจใช้เวลาถึงครึ่งชีวิตกว่าจะเลิกสิ่งเสพติด และบางคนก็อาจพ่ายแพ้ มาตลอดจนกระทั่งตายไป เพราะพิษร้ายของบุหรี่ สุรา อบายมุขอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น คบเพื่อนชั่ว การเล่นการพนัน การเที่ยวกลางคืน การดูการละเล่น และความเกียจคร้าน เหล่านี้เป็นนิสัยที่ทำให้คุณธรรม ในการดำรงชีวิต เสื่อมเสียไป การจะเอาชนะใจตนเองจนเลิกสิ่งเหล่านี้โดยเด็ดขาดย่อมเป็นการฝืนใจอย่างแรงมาก แต่ถ้าเราไม่ฝืนใจแก้
เสียแต่เนิ่น ๆ ยังประพฤติอยู่กับทางแห่งความชั่วนี้แล้ว ชีวิตของเรานับวันแต่จะตกต่ำ และต้องเป็นทาส มันไปตลอดชีวิต
ความเกียจคร้านเป็น อบายมุขอย่างหนึ่งที่เราควรจะแก้ไข และการแก้นั้นก็ต้องใช้ความฝืนใจอย่างมาก
ในระยะแรก ๆ แต่ถ้าแก้ไขได้แล้ว จะทำให้เราเป็นคนที่มีความก้าวหน้าในอาชีพการงานเป็นอย่างยิ่งลำพัง
การแก้ไข โดย การฝืนใจแล้วต้องใช้กุศโลบายอื่น ๆ อีก เช่น เห็นโทษของมัน โทษของความเกียจคร้าน เท่าที ่แลเห็นง่าย ๆ มีดังนี้
1. ทำให้เวลาล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์
2. ทำให้การงานคั่งค้าง
3. เป็นคนรกโลก
4. เป็นคนที่ไม่มีใครเชื่อถือ
5 ได้รับความเดือดร้อน
6. ไม่ได้รับความเจริญก้าวหน้า
7. โทษอื่น ๆ อีก เช่น ทำให้สุขภาพเสีย ทำให้อ่อนแอ ทำให้ทรัพย์หมดไป ฯลฯ
มีพุทธสุภาษิตบทหนึ่ง สำหรับการเตือนให้รำลึกอยู่เสมอ คือ หมั่นคิดเนือง ๆ ว่า "วันคืน ล่วงไป ๆ เราทำอะไรอยู่" และอีกบทหนึ่งว่า "ใครจะประมาทก็ช่างเขา เราอย่าประมาท ใครจะหลับใหลก็ช่างเขา เราอย่าหลับใหล เราตื่นตัวอยู่เสมอ ผู้ที่ฉลาดในเรื่องนี้ ย่อมวิ่งขึ้นหน้าผู้อื่น เสมือนม้าฝีเท้าดีย่อมทิ้งม้า ฝีเท้าเลวไว้เบื้องหลัง"
วิธีแก้อุปนิสัยเกียจคร้าน อ่อนแอ ท้อถอย ผัดวันประกันพรุ่ง มีดังนี้
1. อย่าคบกับคนที่มีอุปนิสัยไม่ดีดังกล่าว เลือกคบกับคนที่มีความมานะ พยายาม บากบั่นในการทำงาน ดูการทำงาน และการดำเนินชีวิตของเขา เลือกเอาแต่นิสัยดีที่มีอยู่ในตัวเขา นำมาประพฤติปฏิบัติ
2. เลือกอ่านหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญ จะเห็นว่าไม่มีคนสำคัญคนใดในประวัติศาสตร์ที่มีนิสัย เกียจคร้าน อ่อนแอ ท้อถอย หรือผัดวันประกันพรุ่ง
3. เลือกอ่านหนังสือประเภทปลุกใจ ให้เกิดความมานะพยายามและคิดสร้างอนาคต เราควรมีหนังสือ ประเภทนี้อยู่บนโต๊ะทำงาน เมื่อใดที่เกิดความเกียจคร้าน ท้อถอย อ่อนแอ ก็ให้หยิบมาอ่านทันที
4. เห็นโทษของความเกียจคร้าน เห็นโทษของความอ่อนแอ ท้อถอย และการผัดวันประกันพรุ่ง
5. ครั้งแรกก็ยังมีอุปนิสัยเหล่านี้อยู่ จงพยายามฝืนใจแก้นิสัยเหล่านี้ โดยลองเขียนถึง การงานที่จะทำในวันต่อไป ไว้ในเศษกระดาษแผ่นหนึ่งก่อนนอน แล้วเมื่อตื่นขึ้นก็ฝืนใจ ทำตามที่เขียนไว้
6. จัดตารางเวลาประจำวันในการทำหน้าที่และลองแก้ไขดูให้เหมาะสม ว่าในแต่ละชั่วโมงเราจะทำอะไร เป็นกิจวัตรบ้าง แต่อย่าหักโหมในระยะแรก ต้องให้มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจบ้าง
7. พยายามจดจำคติ สุภาษิต ไว้เตือนตนเอง เช่น
พินิจนาฬิกา
บอกเวลาแสนซื่อตรง
เครื่องจักรพึงพิศวง
ทำหน้าที่ดีเหลือหลาย
เครื่องจักรในมนุษย์
ประเสริฐสุดทั้งใจกาย
เหตุใดไม่อับอาย
มัวเกียจคร้านงานไม่ทำ
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ
8. ถ้าสุดวิสัยที่แก้แล้วให้หาสาเหตุว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่อยากทำงาน ถ้าเกิดจากโรคบางอย่าง ก็ควรให้ แพทย์ตรวจ รักษาเสีย โรคบางอย่างทำให้ไม่อยากทำงาน เช่น โรคไขข้อรูมาติสม์ โรคประสาท บางประเภท ฯลฯ
9. ลองศึกษาคำสอนของศาสนาที่นับถืออยู่แล้วเลือกปฏิบัติดู พุทธศาสนาสอนให้แก้ไขตนเองหลาย ประการ เมื่อรสพระธรรมเข้าถึง จิตนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายก็จะค่อย ๆ ลดลง มิใช่แต่จะกำจัดนิสัยเกียจคร้าน ได้เพียงอย่างเดียว เท่าที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด สรุปได้ว่า การเอาชนะใจตนเองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝืนใจตนเองให้พ้น จากความเกียจคร้าน อ่อนแอ ท้อถอย ผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งเป็นแนวทางอันดับแรกที่สำคัญสำหรับ การเอาชนะใจตนเองได
· Tab 3
2 การหักใจ
การหักใจก็ดี การแข็งใจก็ดี การตัดใจก็ดี ล้วนแต่เป็นวิธีการเอาชนะใจตนเอง คนที่มีความเข้มแข็งแรงกล้าเท่านั้น จึงจะทำได้สำเร็จ สำหรับคนอ่อนแอ โลเล เหลวไหล หรือ เหลาะแหละ ไม่รู้จักอดทน อดกลั้น ในสิ่งที่มากระทบ เข้ากับตนแล้วเอา แต่เสียใจ โศกเศร้า หรือซึมเศร้า ฯลฯ ย่อมเป็นคนที่พ่ายแพ้ต่อวิถีการ ดำเนินชีวิต และไม่อาจเอาชนะจิตใจตนเองได้
คนหนุ่มคนสาวหลายคน ที่มีความรักและทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่คนที่ตนรัก บางคนต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อคนรักของตนไป รักกับคนอื่น หรือคนรักพลัดพรากจากไป ก็ปล่อยชีวิตไปในทางเสเพล หรือกลายเป็นคน สิ้นคิด บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย เพราะผิดหวังในความรักก็มี แต่คนที่ฉลาดต้องรู้จักหักใจ หรือ ตัดใจ การฝืนใจ ต่างกับ การหักใจ อย่างไรก็อาจอธิบายได้ว่า การฝืนใจนั้นไม่ต้องใช้ความมานะพยายามมาก เท่ากับการหักใจ แต่ทั้งสองประการนี้ต่างก็เป็นวิธีที่ดีในการเอาชนะใจตนเอง การหักใจนั้นทำ ได้ยากกว่า และเมื่อทำได้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องฝืนใจอีกเลย คนที่หักใจต่อ ความทุกข์ร้อน ในการดำเนินชีวิตในเรื่องใด เรื่องหนึ่งได้ ก็นับได้ว่าเขารู้จักหักใจ ไม่รู้จักตัดใจ ไม่รู้จักแข็งใจ ย่อมเป็นคนที่อ่อนแอ ไม่มีความอดทน มีแต่ความขลาดกลัว มีแต่ความท้อถอย และมีแต่ความประมาท ฯลฯ คนประเภทหลังนี้ย่อมเป็นทาสของ
ความคิดที่วนเวียน คิดแล้วคิดเล่าอยู่แต่เรื่องที่ตนเองเสียใจ และหลายคนร้องไห้คร่ำครวญ มีทุกขเวทนา คับแค้นใจ คนเหล่านี้นับว่า เป็นคนที่น่าสงสารอย่างยิ่ง ไม่มีใครช่วยเขาได้ ตราบใดที่เขาไม่รู้จักช่วยตนเอง ไม่รู้จักหักใจใน เรื่องทุกข์ร้อนทางใจ สุขภาพทางจิตย่อมเสื่อมโทรม หลายคนต้องไปรักษากับจิตแพทย์หรือ นักจิตวิทยา เพราะเขามองไม่เห็นทาง แก้ปัญหาของเขาได้เอง ต้องคอยพึ่งคนอื่นให้คำแนะนำ และต้อง พึ่งยาเป็นประจำ บางคนเสียทรัพย์ เสียบุตรภรรยา เผชิญกับความทุกข์ วุ่นวายใจ นอนไม่หลับ เป็นโรคจิต หรือโรค ประสาท หวาดระแวง เหล่านี้ถ้าเกิดกับคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง เขาจะรู้จักหักใจ และคิดในทางที่เป็นคุณ เมื่อเสียทรัพย์ก็คิดว่าไม่เป็นไรหาเอาใหม่ก็ได้ เสียบุตรภรรยา ก็หักใจว่าถ้าเราไม่ตายก่อน บุตรภรรยาอาจ ต้องตายก่อนเรา นี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้า บางคนเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคเอดส์ ฯลฯ ซึ่งเป็นโรคที่รักษายากและบางโรคก็ไม่มีการรักษาให้หายได้เลย ถ้าเขารู้จักหักใจเสียบ้าง เขาย่อมปรับใจตนเองได้ และไม่จมอยู่แต่ความทุกข์ทรมาน ันทำให้คนรอบข้างต้องพลอยวิตกกังวลไปด้วย เวลาย่อมเป็นสิ่งที่เยียวยา ความทุกข์ทางใจให้เหือดหายได้ คนที่อกหักต่อความรัก เวลาจะช่วยให้เขาลืม ความทุกข์ได้ และถ้าเขารู้จักหักใจเสียบ้าง ไม่หมกหมุ่นครุ่นคิดวนไปเวียนมา เขาก็อาจหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าเขาอยากจะหายจาก โรคทางใจ หรือโรคใจ ไม่มีวิธีใดที่จะดีที่สุดเท่ากับการรู้จักหักใจ การหักใจนั้น ก็คือ การรู้จักเลิกคิดในเรื่องที่ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อ งความรักใคร่ ความเสียดาย อาลัยอาวรณ์ คนฉลาดคิด ย่อมรู้จักเลือกคิดในสิ่งที่ดี เป็นมงคลต่อชีวิต ไม่คิดคร่ำครวญวนเวียน แต่เรื่องอดีตที่เศร้า อยู่นั้น คนที่ควบคุมความคิดของตนเองได้โดยเด็ดขาด คือ คนที่เอาชนะใจของตนเอง ได้อย่างเด็ดขาด นั่นเอง แต่ความคิดของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย สำหรับคนที่ยังเขลา หรือไม่รู้จักใช้ความคิดของตนเองอย่างถูกต้อง
3 การหักห้ามใจ
การหักใจกับการหักห้ามใจตนเองนั้นไม่เหมือนกัน การหักใจ คือ หักความคิดไม่ให้วนเวียน แต่จะเศร้าโศก เอาแต่เสียดาย อาลัยอาวรณ์ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของ ๆ ตน หรือเป็นของ ๆ ตนมันไม่เที่ยง คนที่หักใจได้ ก็จะเลิกทุกข์หรือเศร้า แต่การหักห้ามใจนั้นเป็นได้ 2 อย่าง กล่าวคือ เป็นการป้องกันก่อนที่จะเกิดเรื่อง เสียหายขึ้น กับเป็นการแก้ไขเมื่อเหตุการณ์ร้ายนั้นผ่านไปแล้ว อาทิ ผู้ใหญ่ที่ห่วงใยในบุตรหลาน ที่อยู่ใน วันรุ่นวัยเรียนมักจะสอนบุตรหลาน "เจ้าอย่าพึ่งริรักในวัยเรียน จงรู้จักหักห้ามใจอย่างชิงสุกก่อนห่าม เพราะ ถ้าเจ้าไม่รู้จัก หักห้ามใจแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง"
ส่วนการหักห้ามใจที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว อาจได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ท่านสอนว่า "คนรักของเจ้าก็ได้จากไป แล้ว เจ้าจงหักห้ามใจอย่ามัวทุกข์โศกอยู่เลย เรื่องมันเกิดไปแล้วก็ให้แล้วกันไป ไม่มีประโยชน์อะไร จะ ไปมัวเศร้าโศกเสียดายอยู่ทำไม"
การหักห้ามใจภายหลังที่เกิดเรื่องร้ายผ่านไปแล้วนั้น แม้จะดูคล้ายกันกับการหักใจก็จริง แต่การหักใจ จะมีผลได้เร็วกว่า เลิกทุกข์เลิกอาลัยอาวรณ์เด็ดขาดมากกว่าการหักห้ามใจ การหักห้ามใจเป็นการทำใจให้ ปรับสภาพการณ์ ที่มันเปลี่ยนไป เมื่อเหตุการณ์ผิดหวังไปจากที่คิด ก็ควรหักห้ามใจค่อย ๆ หักห้ามมิใช้ให้ หักใจอย่างเด็ดขาดในทันที
วิธีการที่จะยึดศีลธรรม ในศาสนาอาจจะใช้การหักห้ามใจก็ได้ เช่น ศีลข้อที่ 1 อย่าฆ่าสัตว์ เราก็ควร หักห้ามใจ ไม่ให้เกิดโทสะ หรือเกิดโลภะในอันที่จะทำให้เกิดการฆ่าสัตว์ขึ้น ศีลข้อที่ 2 อย่าลักทรัพย์หรือ ฉ้อโกงคนอื่น ก็ให้รู้จักหักห้ามใจไม่ทำเพราะไม่รู้ว่ามีโทษ ศีลข้อที่ 3 อย่าประพฤติผิดในกาม ก็หักห้าม ใจอย่าล่วงผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ศีลข้อที่ 4 อย่ากล่าวเท็จหรือพูดปด อันทำให้ผู้อื่นเสียหาย ก็รู้จักหักห้ามใจ ไม่ทำเพราะมีโทษทั้งทางธรรมและทางโลก กล่าวคือ เป็นการผิดกฎหมายอีกด้วย ศีลข้อที่ 5 อย่าเสพ สุรายาเมา หรือยาเสพติด ก็หักห้ามใจไม่ลองเสพ
คนบางคนที่ประสบกับปัญหาชีวิตอย่างกะทันหันและอย่างรุนแรง เช่น ถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้สิน คนอื่นจำนวนมาก ๆ เกิดโรคร้ายแรงทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ถูกป้องร้ายหมายชีวิต ต้องโทษในคดี อาญา ต้องถูกจำคุกหรือประหารชีวิต ฯลฯ เหล่านี้ถ้าไม่รู้จักหักห้ามใจก็จะเป็นถูกอย่างมาก ถ้าฝึกการ รู้จักหักห้ามใจบ่อย ๆ เราอาจนำมาใช้ในคราวที่เกิดความเดือดร้อนอย่างสาหัส ก็จะไม่เป็นทุกข์มาก แต่ ลำพังการหักห้ามใจอาจจะยังไม่เกิดผลดีจึงต้องรู้จักใช้การปลงใจ
· Tab 4
4 การปลงใจ
การปลงใจ คือ การรู้เท่าทันในวิถีชีวิตว่ามีการขึ้น ๆ ลง ๆ มีทั้งทางที่ได้กับทางที่เสีย ได้แก่ โลกธรรม 8 คือ
ทางได้ ทางเสีย
ได้ลาภ เสียลาภ
ได้ยศ เสื่อมยศ
ได้สุข เสียสุข
สรรเสริญ นินทา
ท่านเปรียบวิถีชีวิตของคนเราเหมือนกับการอยู่ในห้องแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่เป็นกระเบื้อง 8 แผ่น กล่าวคือ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และเสียลาภ เสื่อมยศ ทุกข์ นินทา เราต้องรู้จักปลงใจอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้เราไม่ อาจหลีกเลี่ยงได้ ชีวิตของคนเราต้องพบกับ สิ่งเหล่านี้ทุกวันคืน ถ้าเราดีใจหรือรู้สึกพองตัวคราวที่ได้รับสิ่งใด มา เราก็จะต้องพบความเสียใจเมื่อต้องเสียสิ่งเหล่านี้ไป ดังนั้นเราต้องรู้จักทำใจหรือปลงใจทุกครั้งไม่ว่า จะได้หรือเสีย ถ้าได้มาก็ปลงว่ามันไม่เที่ยง วันหนึ่งมันก็อาจต้องเสียไป ในเรื่องลาภนั้นส่วนใหญ่หมายถึง ทรัพย์ ได้ลาภก็คือได้ทรัพย์ หรือเกิดความร่ำรวย มีบ้าน มีรถยนต์ มีฐานะการเงินดี เราจะรู้สึกดีใจ หรือ ปลื้มใจ แต่เมื่อถึงคราวต้องเสียบ้าน เช่น ไฟไหม้บ้าน เป็นต้น ก็จะรู้สึกเสียใจ ทำนองเดียวกับได้ยศฐา บรรดาศักดิ์ หรือถึงคราวต้องเสื่อมยศก็ดีใจบ้างเสียใจบ้าง เช่นนี้นับเป็นผู้ที่หลงโลกเป็นอย่างยิ่ง เรื่องสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ก็เช่นกัน มันคือเรื่องของความเป็นไปตามกระแสทางโลก กระแสทางสังคม ถ้าเรา ไม่รู้จักปลงใจ เราจะต้องรับพิษร้าย และอาจถึงกับต้อง คิดฆ่าตัวตายไปเลยก็เป็นได้ ในทางพุทธศาสนามีคำสอนเกี่ยวกับการปลงใจไว้มากทีเดียว ถึงกับมีข้อความอันรุนแรง เพื่อให้ ศาสนิกชนพิจารณาถึง ความไม่เที่ยง อาทิ มีคำสอนว่า "ดูก่อนภิกษุ ไม่มีอะไรในโลกนี้ พึงยึดถือได้เลย มีแต่ความทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่ดับไป" มีคำสอน ให้หมั่นระลึกหรือ สวดอยู่เสมอ ๆ เพื่อให้รู้จักการปลงใจ ได้แก่
- เราเกิดมาแล้ว เรามีความชรา เป็นธรรมดา เราล่วงความชราไปไม่ได้
- เราเกิดมาแล้ว เรามีความป่วยไข้เป็นธรรมดา เราล่วงความป่วยไข้ไปไม่ได้
- เราเกิดมาแล้วเรามีความตายเป็นธรรมดา เราล่วงความตายไปไม่ได้
- เรานี้แหละจะเป็นต่าง ๆ จะเป็นผู้ละเว้นไปจากของรัก ของที่เอิบอาบใจทั้งปวง
- เป็นแน่ หรือของรัก ของเอิบอาบใจทั้งปวง จะมาวิโยคพลัดพรากจากเราไปก่อนเป็นแน่
- เรามีกรรมเป็นเจ้าของ เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นพวกพ้อง เรามีกรรม เป็นที่ระลึก กรรมอันใดเรากระทำไว้เป็นบุญก็ดี เป็นบาปก็ดี เราจักเป็นทายาทรับผลแห่งกรรมเหล่านั้น
การหมั่นพิจารณาเพื่อการปลงใจนี้ท่านว่า เป็นมงคลอย่างยิ่ง ดังพุทธภาษิตเกี่ยวกับโลกธรรมข้างต้นนั้น
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว 1 ไม่โศกเศร้า 1 ปราศจากธุลี 1 เกษม 1 ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด"
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า "อย่าให้ถูกลูกศร 2 ดอก เทียบความทุกข์ที่เกิดขึ้น เหมือนเราถูกยิงด้วยศร อยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีความอดทน และมีสติพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ยอมให้เหตุการณ์ มากัดกินเรา หรือมาเบียดเบียนจิตใจ ของเราแต่ฝ่ายเดียว ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่มาเป็นนายเหนือเรามากเกินไป แต่ถ้าเราประสบเหตุการณ์เช่นนั้นแล้ว เรายอมด้วย ประการทั้งปวง คือมัดมือมัดเท้าให้เลย นี่ก็เหมือน อย่างถูกลูกศรดอกที่สอง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นลูกศรดอกที่ไม่จำเป็น เพราะเราไปเก็บความทุกข์มา ใส่ตัวเราเอง"
ทั้งหมดนี้คือ เคล็ดลับในการปลงใจนั่นเอง
5 การตั้งใจ
คำว่า "การตั้งใจ" หมายถึงความมุ่งมั่นในอันที่จะกระทำการอันใดก็ทำให้จนสำเร็จตามเป้าหมาย หรือ จุดหมายที่ตนตั้งไว้ โดยรวมคำว่า มโนมยิทธิ (Will Power) ความเพียรพยายาม (Preserverance) การทำการเสมอต้นเสมอปลาย (Steadiness) และคำไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก (Energy) คำว่า มโนมยิทธิ หมายถึง ความตั้งใจ หรืออำนาจในใจที่ทำให้อะไร ๆ สัมฤทธิ์ผลอันเกิดจาก กำลังใจของคนหนึ่ง อำนาจนี้มีอยู่ในใจของคนแล้วทุกคน เพียงแต่บางคนไม่รู้จักใช้ และบางคนไม่รู้จัก
วิธีใช้หรือใช้บ้างเพียงเล็กน้อย แท้จริงแล้วอำนาจนี้เป็นสิ่งที่นำความสำเร็จมาให้เรา การที่มนุษย์เรามี ฐานะความเป็นอยู่ หรือตำแหน่งทางสังคมแตกต่างกัน นอกจากเป็นด้วยความรู้ ความสามารถแล้ว เป็นผลจาก มโนมยิทธิ เป็นสำคัญ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ จึงคิดไปว่าการที่เขาได้ดีกว่าเรา หรือไป สู่ฐานะตำแหน่งอันสูงได้ เป็นไปตาม อำนาจโชคเคราะห์หรือ ดวงชะตาอันที่จริงโชคเคราะห์นั้นมีส่วน อยู่บ้าง คือ เป็นผลกรรมดีในอดีตส่งมาให้ถึงปัจจุบัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มโนมยิทธิ นี่เอง ที่ทำ ให้คนซึ่งอยู่ในฐานะต่ำต้อยนำตนไปสู่ตำแหน่งฐานะอันสูงได้
แท้จริงแล้ว การทำงานทุกชนิดจะต้องอาศัยความสม่ำเสมอ จะเห็นว่าสถานที่ ราชการหรือห้างร้าน บริษัทก็ตาม จะมีกำหนดเวลาทำงานที่แน่นอน เพื่อให้งานเดินไปด้วยความสม่ำเสมอ จะมีวันหยุดก็คือ วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ที่แน่นอน ยกเว้นวันหยุดในวันสำคัญ ซึ่งเดือนหนึ่ง ๆ ก็มีไม่มากนัก ไม่มีสถานที่ ทำงานแห่งใดที่เปิดทำงานวันสองวันแล้วหยุดไปสิบวัน หากเป็นเช่นนั้น กิจการนั้นคงล้มเหลว หาความ สำเร็จไปไม่ได้
สำหรับคำว่า "ความไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก"หมายถึงพลังภายในที่อยู่ในจิตใจของคนที่ ไม่กลัว ความยากลำบาก และไม่ย่อท้อ ต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ไม่มีใครในโลกนี้ ตั้งแต่เกิดจนตายจะไม่ ประสบกับความยากลำบาก หรือ อุปสรรคใดๆ เลย หากแต่คนในโลกนี้ แบ่งออกเป็นสองจำพวกคือพวก หนึ่งนั้นมีน้ำอดน้ำทน สามารถเอาชนะอุปสรรค และ ความยากลำบาก คนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ต่อความ
สำเร็จในการทำงาน เขาย่อมไม่ให้อุปสรรคหรือปัญหามาบั่นทอนกำลังใจได้เลย เขาจะมีความมานะ บากบั่น มุ่งทำงานเรื่อยไป มีปัญหาครั้งใดก็แก้จนตกและทำต่อไปจนงานนั้นเสร็จ
กล่าวโดยสรุปแล้วคำว่า การตั้งใจ นั้น หมายถึง การรู้จักควบคุมใจตนเองบังคับใจตนเองให้เป็นไป ตามทางที่เรา ตั้งจุดหมายปลาย ทางเอาไว้ หรือในทางที่ชอบที่ควร คนเราส่วนมากมักชอบความสบาย เกลียดความทุกข์ยากลำบาก ฉะนั้น การยอมตามใจตนเอง ก็คือ การชอบทำตัวตามสบาย หนีทุกข์ และ มุ่งเข้าสู่ความสุข ความสนุกสนาน หรือ ขาดความอดทน ต่อทุกขเวทนา อันที่จริง ธรรมชาติของคน และ สัตว์โดยมากมักเป็นเช่นนี้ แต่การที่เราจะชนะใจตนเอง หรือ ควบคุมตนเอง ก็มิได้หมายความว่าเราจะ ต้องทนทุกข์ทรมาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เราควรดำเนินแต่ทางสายกลาง ไม่ใช่ต้องทรมาน กายของตนเอง หรือหา ความสบายทางโลกียสุขจนลืมตัว สำหรับคนที่มี ความตั้งใจ อันแรงกล้าแล้ว เขาจะไม่ยอมแพ้อุปสรรคใด ๆ เพียงเพราะทำอะไรเพียง 2 - 3 อย่างไม่สำเร็จก็เลิก ไม่ทำอีกต่อไป และนี่ก็คือวิธีการเอาชนะใจตนเอง อีกทางหนึ่งคือ ให้มีการ ตั้งใจอัน มั่นคงนั่นเอง
· Tab 5
6 การตกลงใจ
การตกลงใจ หรือ การตัดสินใจ ที่ถูกต้องเป็น การตรงข้ามก ับความโลเล หรือความ กลัวผิดบางคนกว่า จะตัดสินใจอะไร สักทีก็ผัดผ่อนเวลา หรือปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินใจ หรือปล่อยงานล่าช้า จนเกิด ความเสียหายขึ้นได้ บางคนก็ชอบยกการตัดสินใจ หรือการตกลงใจให้กับคนอื่นอันแสดงถีงการขาดความ เขื่อมั่นในตนเอง ที่จะประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงานโดยเฉพาะงานใหญ่ๆ หรืองานในตำแหน่งสูงๆ เขาต้องมีความกล้าหาญที่จำตกลงใจ หรือตัดสินใจไปในทางใด ทางหนึ่ง ที่เขาเห็นสมควรคนที่ไม่กล้า ตกลงใจก็ดี ไม่กล้าตัดสินใจก็ดี ไม่กล้าวินิจฉัยสั่งการอะไรลงไปก็ดี ย่อมไม่อาจเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่ง บริหารระดับสูงไปได้ เพราะความลังเลใจของเขา จะทำให้ผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาเห็นว่า เขาเป็นคนที่ ขาดความรับผิดชอบ หรือขาดความกล้าหาญในการตกลงใจ เมื่อผู้ใหญ่เห็นความอ่อนแอเช่นนี้ย่อมไม่ กล้ามอบหมาย ให้เขาเข้ารับตำแหน่งในการบริหารหรือเป็นหัวหน้าคนได้
การตกลงใจนั้น ในบางครั้งอาจตัดสินใจผิดพลาดไป แต่เราต้องกล้ารับผิดชอบ คนที่กล้ารับผิดชอบ โดยไม่ปัดความผิด ไปให้แก่ ผู้ใต้บังคับบัญชา ย่อมเป็นที่รักนับถือของผู้น้อย บุคคลสำคัญของไทยเรา ที่กล้าตกลงใจหรือกล้าตัดสินใจเด็ดขาด ที่อาจยกตัวอย่าง ให้เห็นได้คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ทุกครั้ง ที่ท่านตัดสินใจท่านจะประกาศอยู่เสมอว่า " ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว " จริงอยู่ว่า บางครั้งที่ ท่านตัดสินใจผิดพลาดลงไป แต่ท่านก็ยอมรับผิด ไม่ปัดความรับผิดชอบให้แก่ผู้ใต้บังคับ บัญชาเลย
มีคำกล่าวว่า คนที่ทำงานไม่มีใครเลยที่จะไม่เคยทำผิดหรือทำพลาดลงไปบ้าง แต่เราต้องถือว่า "
ความผิดเป็นครู หรือเป็นบทเรียนที่สอนไม่ให้เราผิดซ้ำอีก " พระเจ้านโปเลียนทรงตัดว่า คนที่ไม่เคย ทำผิดเลย คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย การตกลงใจผิดยังดีกว่าการโลเลไม่ยอมตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงไป ทำไมจึงกล่าวว่า การตกลงใจ หรือ การตัดสินใจ เป็น การเอาชนะใจตนเอง เช่น หนุ่มหรือสาวที่มีคนรัก ให้เลือก 2 คน และไม่อาจตัดสินใจได้ว่า จะเลือกเอาคนหนึ่งคนใด จะพบว่า มีความวิตกกังวลหรือ เดือดร้อนใจอยู่ตลอดเวลา จนกว่าเมื่อใดที่ตกลงเลือกเอาคนใด เป็นที่แน่นอนลงไป ก็จะทำให้เกิดความ โล่งใจได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ลังเลใจ ไม่ยอมตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไป ก็จะต้องวนเวียนคิดเป็นทุกข์เพราะ ไม่อาจเอาชนะจิตใจ ที่ไม่มั่นคงของตนเอง การตกลงใจในบางเรื่องต้องใช้ความกล้าหาญ และความ เด็ดเดี่ยว กล่าวว่าผู้ที่กล้าหาญ จำเป็นจะต้องรู้จักรับผิดชอบกล้าตัดสินใจหรือตกลงใจตามความคิดของ ตนเอง และเมื่อตนเองคิดว่าตนทำถูก โดยตัดสินใจลงไปแล้ว ก็ไม่ขลาดที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะ ตามมากระบวนการของการตัดสินใจ หรือการตกลงใจในงานที่ยาก ๆ หรือในเหตุการณ์ที่ยากๆ นั้น เกิดจาก"การรู้จักไตร่ตรอง" บวกกับ "ความเป็นคนละเอียดละออ" นิสัย 2 อย่างนี้ทำให้เกิด " ความมีเหตุผลที่ ถูกต้อง " และนำไปสู่ " การตัดสินใจที่ถูกต้อง "
การรู้จักไตร่ตรอง หมายถึงการรู้จักคิดทบทวนประเมินผล รู้จักคิดให้ลึกซึ้ง เพื่อหาว่าอะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือข้อที่ควรตัดสินใจ ความไตร่ตรองนี้มีประโยชน์หลายประการ กล่าวคือ ทำให้ เราฉลาดรู้เท่าทันคนอื่น แล้วยังทำให้ เรามีความคิดเป็นของตัวเอง ทำให้ตรวจสอบการทำงานได้อย่างดี ทำให้เราสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ด้วย กำลังความคิด และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของใครง่าย ๆ
" ความเป็นคนละเอียดละออ " หมายถึง ความไม่ประมาท และหมายถึงการรู้จักไตร่ตรอง ซึ่งจะทำให้ เราต้องมีสติ และเป็น คนที่สุขุมรอบคอบ จำเป็นต้องมีข้อมูลประกอบการคิด พิจารณาอย่างรอบรู้ และ ถี่ถ้วน ความละเอียดลออจึงเป็นลักษณะที่สำคัญ และจำเป็นของบุคคลทั้งหลาย และยิ่งคนที่เป็น หัวหน้างานสูงขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ความละเอียดละออ ก็ยิ่งมีความจำเป็น มากขึ้นเป็นลำดับ ไม่เช่นนั้นก็อาจ จะเกิดการผิดพลาดเสียหายได้มาก เพราะต้อง รับผิดชอบงาน ใหญ่และ หลายประเภท ลูกน้องบางคนอาจสะเพร่า หรืออาจทำงานลวก ๆ เพื่อให้งานสักแต่ว่าผ่านไปได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้า จำเป็นต้องรู้จัก ตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลให้ดีที่สุด จึงจะเป็นคนที่คุมคนอื่น ๆ ได้
"ความมีเหตุผลที่ถูกต้อง" หมายถึง การหาข้อมูลมาประกอบการพิจารณาในเรื่องที่จะต้องดำเนินงาน เมื่อเราได้ข้อเท็จจริง มาดีแล้ว ไตร่ตรองดีแล้ว ก็จะได้เหตุผลที่ถูกต้องออกมาเป็นผลลัพธ์ ซึ่งจะใช้ในการ อ้างอิงโต้เถียงกับผู้อื่น หรือใช้ใน การงาน ประจำวันได้ ปัจจุบันคนเราได้รับการสั่งสอนมาแต่เด็กให้รู้จักหา เหตุผลที่ถูกต้อง นักวิทยาศาสตร์ หรือนักปราชญ์ สมัยนี้ ล้วนเป็น หนี้บุญคุณ ของเหตุผลต่าง ๆ ที่ นักวิทยาศาสตร์หรือนักปราชญ์รุ่นก่อนได้วางไว้ และคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ในประเทศ ที่เจริญแล้ว ก็มัก จะไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่าย ๆ ยกเว้นแต่จะมีเหตุผลพิสูจน์ ให้เห็นจริงออกมาจึงยอมเชื่อ ยุคปัจจุบันจึง เป็นยุคแห่ง การใช้เหตุผล ซึ่งต่างกับยุคก่อน ๆ ในสมัยกลางซึ่งเป็นยุคแห่ง ความเชื่อถือศรัทธา ที่ผู้ใดมีเหตุผล นอกรีตนอกรอยจาก ศาสนจักร ก็อาจได้รับ อันตรายได้ คุณสมบัติแต่ละอย่าง ที่เป็นองค์ประกอบของ การตกลงใจ หรือ การตัดสินใจ ให้ถูกต้องจึงเป็นการเอา ชนะใจตนเองอีกอย่างหนึ่ง
· Tab 6
7 การจูงใจ
การจูงใจตนเอง เป็นเคล็ดลับอีกประการใน การเอาชนะใจตนเอง คนเราจะต้องพบกับการจูงใจอยู่ใน ชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่น การซื้อสินค้า คนขายจะพยายามจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าให้ได้ราคาดี ส่วนคน ซื้อก็พยายามจูงใจให้คนขาย ขายสินค้าในราคาที่ถูก การโฆษณาสินค้าหรือบริการผ่านสื่อมวลชน มี วิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นการจูงใจจากภายนอก คือคนอื่นเข้ามาจูงใจเรา แต่ยังมีการ จูงใจอีกอย่าง คือ การจูงใจตนเอง (Auto-Suggestion) หรือบางคนก็เรียกว่าการแนะนำตนเอง ไม่มี วิธีการใดเปลี่ยนแปลง อุปนิสัยของคนเรา ที่จะทำได้ง่ายที่สุด หรือดีที่สุดเท่ากับการจูงใจ
เคล็ดลับในการจูงใจตนเอง หรือในการ แนะนำตนเองนั้น อยู่ที่ว่าเราต้องกระทำด้วยความจริงใจ หมั่น ทำซ้ำ ๆ กันและทำโดยสม่ำเสมอ เวลาที่เหมาะที่สุด คือ เวลากลางคืนก่อนนอน ประโยคที่เราหมั่นเตือน ตนเองได้แก่
"เราต้องการทำใจให้สงบไม่ว่าในเวลามีเหตุการณ์ใด ๆ เราจะมีความไว้ใจตนเองเสมอ"
"เราต้องข่มความกลัว ความตื่นเต้น และความรู้สึกที่เป็นภัยแก่ตัวเราเอง"
"เราต้องทำดวงจิตของเราให้ผ่องใสไม่ขุ่นมัว และจะเป็นนายตัวเราเอง ไม่ว่าต่อหน้าใคร"
"เราต้องการปลูกนิสัยของเรา ให้ขึ้นสู่ชั้นสูงสุด เท่าเทียมคนอื่น ๆ ที่มีนิสัยดีที่สุด"
"เราต้องการทำสิ่งที่ถึงเวลาจะต้องทำ ถึงแม้มีสิ่งใด ๆ มาขัดขวางก็จะต้องทำให้จงได้"
"เราต้องการบังคับตัวและบังคับใจของเรา ไม่ใยอมให้เป็นไปในทางที่จะนำตัวเราออกไปนอกทางที่เรา มุ่งหมาย และนอกหลักธรรมในใจของเรา"
"เราต้องการพินิจพิเคราะห์ โดยถี่ถ้วนก่อนที่จะปลงใจยอมตามความคิดเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น แก่ตัวเรา หรือที่มีใครบอกเรา หรือที่เราได้อ่านจากหนังสือ"
"เราต้องการมีความมานะมีจิตตานุภาพที่จะสามารถบังคับบุคคล หรือเหตุการณ์ทั้งหลายได้"
"เราต้องการมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น"
"เราต้องขจัดความเกียจคร้าน การผลัดวันประกันพรุ่ง และต้องการเป็นคนที่มีความขยันมานะพยายาม กระตือรือร้นตลอดเวลา"
"เราต้องการขจัดนิสัยทำงานสะเพร่า โดยทำงานอย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวัง"
"เราต้องการกำจัดนิสัยที่อ่อนแอเหลาะแหละ โดยการลงมือทำงานทันที หรือทำในขณะนี้"
"เราต้องการกำจัดความท้อถอย โดยสร้างนิสัยมานะบากบั่น และไม่ยอมแพ้อุปสรรคใด ๆ"
"เราต้องการขจัดความกลัว ความวิตกกังวล ความเครียด และนิสัยเจ้าทุกข์ ให้พ้นไปจากจิตใจ และมีชีวิตอยู่ด้วย ความสุข โดยอยู่แต่ ในห้อง ที่มีแต่วันนี้ ไม่กังวลถึงอดีต หรืออนาคตใด ๆ ทั้งสิ้น"
วิธีจูงใจดังกล่าวนี้จะทำให้ได้ผลดีที่สุดควรทำในเวลาก่อนเข้านอนตอนกลางคีน เพื่อที่จิตใต้สำนึก จะรับเอาไป ทำงานต่อควรทำบ่อยๆ โดยการพร่ำคิดอยู่ในใจ มีขั้นตอนดังนี้
1. เมื่อจะนอนสวดมนต์สักเล็กน้อยก่อนที่เราจะเริ่มจูงใจตนเอง เพื่อให้จิตสงบผ่องใส
2. ตอนล้มตัวลงนอนให้เราหลับตา และพูดกับตนเองว่า เราจะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้า กล้ามเนื้อ
ที่ลูกตา ตลอดจนร่างกาย ทั้งร่างผ่อนคลาย พักผ่อน และปล่อยวางทุกสิ่ง จนรู้สึกว่าปราศจากความเครียด ใด ๆ แล้วจึงเริ่มจูงใจตนเอง
3. จงพูดกับตนเอง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างตน พูดซ้ำซาก เสมือนหนึ่งว่าเรากำลังอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่เรานับถือ พูดถึงความต้องการต่าง ๆ ในทางที่จะให้มีหรือให้เป็นจนง่วงหลับไป
4. ในตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นให้จูงใจตัวเองซ้ำอีกสักครั้ง ก่อนจะลุกจากที่นอน
5. ในเวลาว่างเช่นเวลานั่งรถไปทำงานหรือกลับจากที่ทำงาน ไม่ควรทำให้ตนเองเกิดความเครียด ทำใจ สบาย ๆ และนำประโยคที่เราเคยจูงใจในตอนกลางคืนมาเตือนตนบ่อย ๆ
6. ในเวลาประสบกับปัญหาอุปสรรคในการทำงาน หรือในการดำรงชีวิต ก็ให้เตือนตนเองบ่อย ๆ ว่าเรา ต้องการทำใจให้สงบ เรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราสามารถแก้ไขและผ่านอุปสรรคไปได้ เราจะไม่วิตกกังวล ไม่เครียด ไม่ย่อท้อ อย่างนี้เป็นต้น
7. ข้อสำคัญที่สุด ในเวลาจูงใจตนเองทุกครั้ง เราต้องทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายทุกส่วนให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง หรืออย่าทำหน้าบึ้ง และการพร่ำพูดในใจ ดังกล่าว ต้องทำด้วยใจจริง และเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้ เราเอาชนะใจตนเองได้ และไม่ให้การคิดนั้น เป็นการหลอกตัวเอง
8 การมั่นใจ
การเชื่อมั่น หรือความเชื่อมั่นในตนเองนั้น เป็นคุณลักษณะที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของบรรดาบุคลสำคัญ ทั้งหลาย คนที่จะก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งใหญ่โตทั้งหลาย ไม่มีใครเลยที่ปราศจากความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะหากไม่เชื่อมั่นในตนเอง ก็ย่อมไม่อาจก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงได้ มีครูท่านหนึ่งได้สอนศิษย์ว่า "จงหมั่นคิดอยู่เสมอว่า คำว่าทำไม่ได้ไม่มี" คำสอนนี้ลูกศิษย์บางคนที่
ไม่เชื่อถือก็ยิ้มเยาะว่าครูสอนค้านกับความจริง แต่ลูกศิษย์ที่เชื่อครูก็เอาคำสอนนี้ไปใช้ปรากฏว่าลูกศิษย์ที่ เชื่อครู สามารถก้าวเข้าไปสู่ ตำแหน่งสำคัญ ๆ ได้ ส่วนลูกศิษย์ที่ ไม่เชื่อครู ต่างก็ไปได้ไม่ไกล แท้จริง
คำสอนว่า "ทำไม่ได้ไม่มี" นั้น สอนให้คนเรา เชื่อมั่นในตนเอง คนที่คิดอยู่ในใจ โดยเชื่อว่าตนเองทำได้ เขา ย่อมทำกิจนั้น ได้สัมฤทธิผล ส่วนคนที่ขลาด และปราศจากความเชื่อมั่นในตนเอง และคอยคิดอยู่เสมอว่า " แย่ " ไม่ไหว เหนื่อยยาก ลำบาก ไม่เอา ฯลฯ " คนประเภทนี้ ย่อมทำอะไรไม่สำเร็จ หรือหากจะสำเร็จ ก็ได้ ผลงานที่คุณภาพใช้ไม่ได้ เราจะพบว่า การมีความรู้มากเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่พอเพียงที่จะใช้ในการ สร้างเนื้อสร้างตัว คนที่มี ความเชื่อมั่นในตนเองเพียงอย่างเดียวเสียอีก ยังดีกว่าคนที่มีความมากเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากความ เชื่อมั่นในตนเอง หลายคนที่เรียนไม่เก่ง แต่เมื่อเวลาไปเรียนกลับก้าวหน้า และได้ดีกว่าคนที่เรียนเก่ง เหตุ
ที่เป็นเช่นนั้น เมื่อวิเคราะห์แล้วจะพบว่า คนที่เรียนไม่เก่งดังกล่าวเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง
วิธีฝึกฝนให้ตนเองมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีดังนี้
1. ต้องรู้ว่าตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตนเอง และหมั่นช่วยตนเองให้มากที่สุด คนที่ชอบร้องขอให้คนอื่นช่วย โดยไม่ยอม ช่วยตนเอง ย่อมทำลายอนาคตหรือความก้าวหน้าของตนในที่สุด
2. ต้องรู้จักนับถือตนเอง เชื่อในความสามารถของตน และไม่ดูถูกเหยียดหยามตนเอง
3. ต้องฝึกให้มีความคิดอ่านเป็นของตนเอง ไม่ตกเป็นทาสความคิดของผู้อื่น
4. อย่าคิดว่าทำไม่ได้ จงคิดเสมอว่าเราทำได้ คิดบ่อย ๆ ในทางบวก อย่าคิดในทางลบ คือเลิกคิดว่า "แย่ไม่ไหว ไม่เอา ไม่สู้ ฯลฯ"
5. ต้องพยายามฝึกฝนตนเองให้มีนิสัยที่ดี เช่น เป็นคนที่ไม่รู้จักหมดหวัง ไม่หวาดหวั่นต่อ ความยาก ลำบาก มีหัวใจเข้มแข็ง มีความกล้าหาญอดทน มีเหตุผล และกล้าตัดสินใจ ฯลฯ
6. นิสัยเชื่อมั่นในตนเองนี้ อาจฝึกได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เด็กคนใดที่ผู้ปกครองพยายามปล่อยให้ช่วยตัวเอง แต่เด็ก โตขึ้นมักจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่ถ้าเด็กคนใดที่ผู้ปกครองมักจะประคับประคอง ช่วยเหลือ ตลอดเวลา โตขึ้นก็มักจะอ่อนแอ และมักคอยหวังพึ่งความช่วยเหลือจากคนอื่นร่ำไป
7. จงจำภาษิตนี้ไว้
"ต่อสู้ กล้าหาญ เข้มแข็ง อดทน"
"ตนของตน ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน"
"เกิดเป็นคน คนเหมือนกัน จะกลัวอะไรกัน"
"ถ้าความคิดของท่านนั้นไม่สู้ ท่านเป็นผู้พ่ายแพ้แน่นอนหนา
ถ้าท่านคิดทางขลาดหวาดอุรา ท่านก็จะไม่กล้าอย่างแน่นอน
ถ้าท่านอยากเอาชนะในชีวิต แต่ความคิดอ่อนแอมันหลอกหลอน
ท่านย่อมจะไม่ชนะอย่างแน่นอน ถึงอุทธรณ์กี่ครั้งก็ยังแพ้
ความสำเร็จทั้งหลายในโลกนี้ เริ่มต้นที่ความมั่นใจในตนแน่
อยู่ที่ภาวะจิตไม่คิดแพ้ อยู่ที่ไล่ความอ่อนแอจากจิตไป
ถ้าท่านคิดว่าอยู่ต่ำหรือย่ำแย่ เป็นของแน่ท่านจะต่ำเกินคำไข
ท่านต้องคิดอยู่สูงเพื่อจูงใจ ให้ก้าวไกลทุกทางรับรางวัล
อันสงครามชีวิตหากคิดสู้ ความชนะมิได้อยู่ที่แข็งขัน
จะเร็วช้าแข็งแรงแกร่งฉกรรจ์ หากผู้นั้นมั่นใจชัยย่อมมี"
8. หลวงวิจิตวาทการได้กล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง มหาบุรุษว่า "ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะขัดขวางความเจริญของมนุษย์เท่ากับความที่ไม่ไว้ใจตนเอง การทำอะไรทุก ๆ อย่างถ้าเรา จะปรึกษาคนที่เรารู้จักและต้องเชื่อฟังความเห็นของคนทั้งหลายอยู่แล้วเราก็ไม่สามารถทำการ นั้น ๆ ได้เลย เพราะไม่มีกิจการอันใด ในโลกนี้ที่จะได้รับความเห็นชอบของคนทุกคนไป"
· Tab 7
9 การข่มใจ
หมายถึงการใช้สติคอยเหนี่ยวรั้ง ไม่ให้เราทำอะไรไปในสิ่งที่ไม่สมควร เช่น เกิดความโกรธ เกิดความกลัว เกิดความเกลียด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำ สุดแต่ว่าเรากระทบกับอารมณ์ใด และจิตเคยแสดงออก หรือ พยายามอดกลั้น อยู่ภายใน และ รู้จักขจัดอารมณ์เสีย ออกให้ได้ ก็จะเกิดผลดีแก่ตัวเราเอง และแก่คนที่อยู่ รอบ ๆ ข้างเรา
วิธีข่มความโกรธ
วิธีข่มใจนั้น ขั้นแรกเราต้องทำใจให้สงบ หลับตา และสูดลมหายใจแรง ๆ สักสามสี่ครั้ง และนึก ตักเตือนตนเอง หลังจากที่จิตสงบ แล้วว่า "ต่อไปนี้เราจะไม่โกรธใคร ไม่ด่าใคร ใครเขาจะทำอะไรให้เป็นที่ไม่ พอใจ เป็นที่ขัดใจ เราก็จะไม่โกรธ เพราะความโกรธ ที่เกิดขึ้นในใจนั้น คือ ยาพิษ ความโกรธที่เกิดขึ้นแต่ ละครั้ง แม้ว่าในบางขณะมันจะหายไป ก็ไม่ใช่มันจะหายไปจาก จิตใจ มันคงฝังอยู่ในจิตใจ เพราะฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็เท่ากับ ปล่อยให้ความทุกข์เกิดขึ้นบ่อย ๆ ปล่อยให้ยาพิษเข้าไป สะสมอยู่ในใจมากขึ้น ๆ ตามลำดับ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เราจะไม่โกรธ ใครเขาจะด่าใครเขาจะว่า เราก็จะ พยายามทำดี พูดดี ไม่แสดงกิริยา ไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นในจิต แม้ใครจะทำให้เราต้องผิดหวัง ทำให้เรา ไม่พอใจ หรือทำอะไรให้เราต้องเดือดร้อนก็ตาม เราก็จะพยายามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยวิธี ใจเย็น ด้วยใจที่สงบ เมื่อควรจะ ชี้แจงหรือตักเตือนอย่างไร หรือควรจะนิ่งเฉยเราก็จะทำตามเหตุผล แต่ว่าเรา จะไม่โกรธ เราจะไม่เกลียด เราจะไม่วู่วาม เราจะไม่ให้ความทุกข์ เกิดขึ้นในจิตใจเป็นอันขาด"
ในเมื่อเราพยายามตักเตือนตัวเองว่า ต่อแต่นี้ไป เราจะไม่โกรธ จะให้อภัย จะไม่ถือ จะปล่อยวาง นาน ๆ เข้า นิสัยของเรา ก็จะเปลี่ยนแปลง ไปอย่าง เห็นได้ชัด คือ เมื่อมีเหตุการณ์ที่จะทำให้เราโกรธ เกิดขึ้น ถ้าเป็น สมัยก่อนเราก็คงจะเอะอะตึงตัง ขึ้นแล้ว แต่เมื่อเราหัดท ำอย่างนี้บ่อย ๆ นานเข้า เราก็จะมีสติเรา จะนึกได้ เสมอว่าเราจะไม่โกรธ เพราะความโกรธนี้ไม่ดี เราตั้งใจแล้วว่า เราจะไม่ โกรธ เราสอนตัวเองแล้วว่าเราจะไม่ โกรธ เพราะ ฉะนั้นเราต้องไม่โกรธ เราต้องไม่โกรธ เราจะต้อง ให้อภัย เราจะต้องปล่อยวาง เราจะคิดแต่ แง่ดี ของเขา บางทีเขาอาจมีความจำเป็นอย่างนี้ที่ทำให้ แสดงกิริยาอย่างนั้นออกมา เราจะนึกได้อย่างนี้ เสมอ นี่คือวิธีข่มใจ ไม่ให้เกิดความโกรธ
10 วิธีข่มความกลัวและขจัดความเกลียด
วิธีข่มความกลัว
ความกลัว เป็นสัญชาติญาณส่วนลึกของมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ความกลัวสามารถทำลายบุคลิกภาพ และทำลาย สุขภาพร่างกาย ได้อย่างมากมาย ยิ่งกว่าอารมณ์ชนิดใด ความกลัวจะทำให้ท่านหมดความ เชื่อมั่นในตนเอง แท้จริงความกลัว คือภาพหลอนชนิดหนึ่งในจิตใจคนเรา คนที่ขี้ขลาดและขี้กลัวมักจะ เป็นคนที่ไม่มีเหตุผล และเป็นคนที่ไม่รู้จักความจริง คนที่เข้าถึงความจริงแห่งชีวิตแห่งจิตใจจะเป็นคนที่ ไม่รู้จักกลัว พุทธศาสนากล่าวว่า พระอรหันต์ซึ่งเข้าถึงอริยสัจ 4 เป็นผู้ที่ไม่มีความกลัวเหลืออยู่เลย แต่คน ธรรมดา ปุถุชนที่ยังมีกิเลสอยู่ย่อมจะต้องมีความกลัวบางสิ่งบางอย่างเป็นธรรมดา
วิธีข่มหรือขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจเรา มีดังนี้
1. ต้องเป็นคนรักความจริงและแสวงหาความจริง ความจริงจะทำให้คนเราลดความกลัวลง ใน สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นถูกโจมตีทางเครื่องบินอย่างหนัก แต่เขามีสำนักข่าวที่แถลงทาง วิทยุให้ประชาชนทราบความจริง เช่น บอกว่าในอีกไม่กี่นาทีจะมีเครื่องบินของศัตรูมากี่เครื่อง จะบินผ่าน มาทางไหน ให้ประชาชนเตรียมตัวหลบลูกระเบิด การแถลงความจริงเช่นนี้ทำให้คนญี่ปุ่นคลายความ กังวลลงไปได้เป็นอันมาก
2. ต้องฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง และฝึกให้ตนเองเป็นคนที่กล้าเผชิญกับเหตุการณ์ไม่ให้หนีต่อ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะเห็นว่าการฝึกทหารนั้นเขาจะฝีกให้มีความเคยชินต่อสถานการณ์ รบ ในเวลาซ้อมรบนั้น เขาจะจำลองสนามรบ ให้ดูคล้ายของจริง มากที่สุด และให้ทหารที่ทำการซ้อมรบ ต้องเผชิญความยากลำบาก นานาประการเป็นการฝึกให้ทหารมีความกล้าหาญ และเชื่อมั่นในตนเอง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเผชิญกับสงครามจริง ๆ เข้าทหารที่ได้รับการฝีกมาบ่อย ๆ และเคยชินต่อสภาพการฝึกจะ
เข้าสู่สมรภูมิด้วยความไม่กลัว
3. ให้สำรวจว่าเรากลัวอะไรกันแน่ ในเวลาที่เรากลัวอะไรในอนาคตที่ยังไม่เกิดท่านแนะนำให้หาที่สงบ แล้วพิจารณาว่าเรากลัวอะไรกันแน่ และให้ถามตนเองว่า ถ้าสิ่งที่เรากลัวนั้นเกิดขึ้น จะมีผลร้ายแรงที่เกิดขึ้น อย่างไร แล้วให้เตรียมใจ ยอมเผชิญกับ ผลเสียหายที่ร้ายแรงที่สุดนั้น อาทีบางคนทำการค้าและประสบภาวะ วิกฤตขนาดที่ธุรกิจของตนเองอาจเสียหาย ก็เกิดความกลัวนานาประการปราชญ์ทางจิตวิทยาสอนว่าให้หา กระดาษมาแผ่นหนึ่งเขียนลงไปว่า เรากลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นแล้วเตรียมตัวรับผลเสียหายที่เกิดขึ้น ก็คือ การ ล้มละลายอย่างมากก็แค่หมดตัว ทำใจให้เตรียมรับเหตุการณ์นั้นแล้วหาทางคิดแก้ไข บางคนจะพบว่าพอ เวลาผ่านไปจริง ๆ ความกลัวก็จะหมดไปเอง
4. ในกรณีที่ทำอะไร ๆ ก็ไม่หายกลัว ท่านแนะให้ไปพบจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ ถ้ารักษาด้วยการแนะ
ความจริงอย่างไรก็ไม่หาย จิตแพทย์จะให้ยามาระงับประสาท แล้วความกลัวของท่านจะหายไปเอง จงอย่า
ปล่อยให้ความกลัวทำลายอนาคตของท่าน หรืออย่าทำการโง่ ๆ โดยการหนีชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย อันจะ
เป็นบาปเป็นกรรมทั้งแก่ตนเองและผู้ที่อยู่ข้างหลัง คือครอบครัวและญาติมิตรของท่าน
วิธีขจัดความเกลียด
วิธีแก้อารมณ์ที่เกลียดนั้น คือต้องหมั่นสร้างอารมณ์แห่งความรัก ความเมตตาให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ และต้อง หัดให้อภัยคนอื่น ที่ทำไม่ถูกอารมณ์ของตน คนที่ให้อภัยคนอื่นได้ความผูกโกรธก็จะน้อยลง เมื่อเราไม่ผูก โกรธความเกลียดเขาจะค่อย ๆ จางลงไป อีกประการหนึ่ง คือ จงพยายามมองคนในแง่ดีอย่าพยายามมอง แง่ร้ายของเขา จงพยายามทำดีต่อคนที่เราไม่ชอบ และควรหัดเป็นคนมีเหตุผล เราต้องพยายามหาเหตุผล ให้ได้ว่า คนๆนั้นเราไม่ชอบเขาเพราะเหตุใด ถ้าไม่ชอบเพราะนิสัยไม่เหมือนกันก็ต้องหัดเปลี่ยนความคิด พยายามทำใจวางเฉยก่อน และในขั้นต่อไปพยายามทำดีต่อเขา ภายหลังพยายามทำใจให้ชอบแล้ว พยายามเป็นมิตรหรือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้ความเกลียด หมดไป ในกรณีที่เราเห็นว่าไม่อาจ ทำใจดังกล่าวได้ คือไม่อาจที่จะคบหาเขาได้ก็อย่ารังเกียจเขา พยายามวางใจให้เป็นอุเบกขา คือวางเฉยแล้ว ไม่ต้องติดต่อกันอีก ก็จะเป็นการดีที่สุด
· Tab 8
11 การฝึกใจ
อันที่จริงทั้งหมดที่ได้อรรถาธิบายมาแล้วในทุกข้อสรุปได้ว่า คือการฝึกใจนั่นเอง การฝึกใจหรือการ ฝึกจิตนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากใน การดำเนินชีวิต ใครที่ไม่รู้จักการฝึกจิต เขาจะเป็นคนที่เอาชนะ ตนเองไม่ได้เลย
หลักการฝึกจิตที่ท่านควรทำทุก ๆ วัน มีดังนี้
1. การสวดมนต์ หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
2. การทำใจให้นิ่ง หรือเป็นสมาธิ
3. การแผ่เมตตา แก่สรรพสัตว์ถ้วนหน้า แม้แต่แก่ศัตรูของท่าน
4. จงสร้างจิตของท่านให้มีอำนาจในทางที่ดี หรือทางที่เป็นกุศล
การสวดมนต์
การสวดมนต์ เป็นการฝึกจิตที่ดี ที่สุดประการหนึ่ง คนที่สวดมนต์นั้นต้องสวดด้วยความศรัทธาใน ศาสนาที่เขานับถือ และควรทำเป็นกิจวัตรประจำวัน จนเคยชินหรือเป็นกิจปกติ หลักเกณฑ์ในการ สวดมนต์มีดังนี้
1.จงสวดมนต์เมื่อท่านอยู่ลำพังคนเดียว
2.จงสวดมนต์ในที่ ๆ เงียบสงบ
3.จงพยายามขจัดอารมณ์ชั่วไปจากจิต
4.จงผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
5. จงเพ่งสมาธิหรือมีสติในการสวดมนต์ทุกครั้ง
คนที่มีความสุขได้ จะต้องพยายามขจัดอารมณ์ชั่วร้ายใด ๆ ออกไปจากจิตด้วยการสวดมนต์ จงอย่าเก็บอารมณ์ชั่วร้าย ให้ฝังเข้าจิตใจ ส่วนลึกจนหลับไป เพราะขณะที่ท่านหลับด้วย อารมณ์เลวใด ๆ ท่านจะมีสุขภาพที่เสื่อมโทรมและมีความทุกข์เพิ่มขึ้นทุกที แต่จงปล่อย ให้เกิดกุศลจิต แทนอารมณ์ชั่วก่อน ที่จะหลับ แล้วการหลับของท่าน จะทำให้ท่านได้พักผ่อนจริง ๆ และ มีพลังที่จะทำงานหรือ เผชิญกับปัญหา อุปสรรคในวันต่อมา
การทำจิตให้เป็นสมาธิ
หลังจากสวดมนต์จบแล้วควรใช้เวลาสัก 5-10 นาที เพื่อทำสมาธิหรือทำให้จิตนิ่งวิธีทำสมาธินั้น ได้แก่ การนึกถึงอารมณ์ที่ดี อันใดอันหนึ่ง แล้วคิดแต่อารมณ์นั้น เช่นการนึกถึงพระพุทธเจ้าโดยนึกภาวนาอยู่ในใจ ว่า พุทโธ หรือจะนึกถึงลมหายใจ เข้าออก โดยบริกรรมว่า "โธ" ในขณะที่ลมหายใจออก เป็นต้น ถ้าเกิดจิต ฟุ้งซ่านใด ๆ ให้ดึงกลับมาที่คำภาวนา จงทำ บ่อย ๆ จะเกิดความเคยชินไปเอง ข้อสำคัญที่สุดต้องทำใจให้ นิ่งให้สะอาด และสงบ ถ้าทำได้แล้วค่อยเพิ่มเวลานั่งสมาธิอีกเป็นครึ่งชั่วโมงได้
การแผ่เมตตา หลังจากสวดมนต์ ทำสมาธิแล้ว เราควรฝึกจิตให้มีความรักและความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์โดยการ แผ่เมตตา ดังนี้
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมด ทั้งสิ้น เราอุทิศบุญกุศลของเราให้หมดด้วยกัน
อะเวรา จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อะโรคา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความเจ็บไข้ ลำบากกาย ลำบากใจเลย
อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาท เบียดเบียนซึ่งกัน และกันเลย
อะนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ
12 การสร้างอำนาจจิตในทางกุศล
จงพยายามคิดว่า จิตของท่านเป็นเหมือนโรงกุดังเก็บความคิด ส่วนท่านเป็นพนักงาน รักษาสินค้า ท่านมีความรับผิดชอบ ที่จะจัดระเบียบในโรงกุดังให้ดี บรรจุเข้าไว้แต่สินค้าดี ๆ คือความคิดกุศล เพื่อให้ บริษัท โรงงาน คือร่างกายของท่าน มีฐานะดีเป็นปึกแผ่นตลอดไป จงทบทวนอารมณ์แห่งจิตของท่านก่อนที่ จะให้อารมณ์ร้ายใด ๆ เล็ดลอดเข้าไปประทับอยู่ในจิตสำนึกของท่าน
1. ถ้าหากมันเป็นความดี ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดเป็นกุศลแล้ว จงพยายามคิดแล้วคิดอีก คิดและ ฝังใจเพ่งเล็งให้บ่อย ๆ ให้มาก ๆ
2. จงพยายามให้มันซึมซาบเข้าไปยังจิตใต้สำนึก เพื่อท่านจะได้เก็บมันไว้ใช้ประโยชน์ในกาลข้างหน้าได้
3. ถ้าหากมันเป็นความคิดไม่ดี เป็นความคิดเลว ความคิดทำลาย เป็นความคิดอกุศล จงบอกตัวเองให้รู้ว่า มันเป็นผลมาจาก ความทุกข์ร้อน และความกลัว
4. จงพยายามค้นลงไปถึงรากของความกลัวนั้น แยกแยะมันออกแล้วก็หัวเราะเยาะมัน ในฐานที่มันล่อ ให้ท่านเป็น ทุกข์ร้อนขึ้น จงขจัดอารมณ์ร้ายเหล่านั้น ออกไปก่อนที่มันจะซึมซาบถึงจิตใต้สำนึก
5. จงพยายามใคร่ครวญมันให้ถ่องแท้จนกระทั่งมันกลายเป็นความคิดที่ดีเป็นความ คิดที่เป็นกุศล
6. เมื่อใดท่านพยายามแปลงความคิดอกุศลจนกลายเป็นความคิดกุศลได้แล้ว จงพยายามทำตาม ข้อแนะนำใน ข้อ 1 และ 2
การเอาชนะใจตนเองที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น อาจยังไม่เพียงพอ เราพึงฝีกตนในทางที่จะให้ จิตมีอำนาจ มากขึ้น และมีลักษณะที่เข้มแข็งขึ้น จนกลายเป็นลักษณะประจำใจ จึงอาจต่อต้านความอ่อนแอ ความขลาด กลัว ความย่อท้อ ฯลฯ แต่สิ่งที่แสดงถึง ลักษณะของคนที่มีความเข้มแข็งทางจิต ก็คือ คนที่ไม่หวั่นไหวต่อ เหตุการณ์หรือเคราะห์ร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น