สูตร ๕ อ.

...จากบทความของบิดาข้าพเจ้า...พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฎิพิมพาคม อดีตจเร กรมตำรวจ...สมัยหนึ่ง...

....ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ ต่อมาอีกประมาณครึ่งปี...รู้สึกว่าร่างกายพอจะเข้าสู่ภาวะปกติบ้างแล้ว...การป่วย...ในคราวนี้ผลที่ได้รับก็คือน้ำหนักลดไปอย่างทันตาเห็น...ทรวดทรงเปลี่ยนจากอวบอ้วนเป็นท้วมๆใกล้จะแกร่งๆแบบสมน้ำสมเนื้อ...แต่เรี่ยวแรงนั้นไม่ต้องบอกก็ได้ว่าเป็นแบบโซเซ...ขึ้นบันไดลงบันไดต้องค่อยๆ ขึ้นแบบย่างเหยาะ...หรือมิฉะนั้นก็ยอมให้คนช่วยหิ้วขึ้นหิ้วลงไปเสียเลย...

...การทำบุญสุนทานได้ทำเป็นประจำแทบทุกเดือนที่ ร.พ.สงฆ์...ผมเดินกระย่องกระแย่งขึ้นบันได...ไปถวายปัจจัยแก่พระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธ...ถวายแล้วก็นิมนต์ให้ท่าน

ยะถา...สัพพีให้...ทำบุญแล้วก็ชื่นใจ...ขากลับเดินได้อย่างสบายเพราะเป็นการลงบันได...ส่วนขาขึ้นนั้นต้องขึ้นบันไดทีละขั้นๆ...

....ต่อมาผมได้พยายามออกกำลังที่บริเวณข้อเข่ากับข้อเท้าทั้งสองข้าง...ด้วยการเดินออกกำลังบ้าง...ขี่รถจักรยานบ้าง...อาการค่อยดีขึ้นพอสมควร...แต่จะให้เป็นเหมือนเดิมนั้นยากที่จะเป็นไปได้...เป็นการทรุดตัวของร่างกายตามปกติของอายุ...เพราะเมื่อมีความเจริญมาจนสุดยอดแล้ว...ขั้นต่อไปก็ต้องถอยลงมาตามธรรมชาติ...สิ่งที่เราควร

จะแก้ได้ก็คือการชลอความเสื่อมของร่างกายให้ช้าลงเท่านั้น...จะไปห้ามไม่ให้ร่างกายแก่นั้นเป็นไปไม่ได้...วิธีชะลอความแก่มีผู้รู้ได้เสนอไว้หลายๆแบบด้วยกัน...

...ส่วนมากมักจะนิยมให้สูตร ๕ อ...คือ...

อ.๑ ...ออกกำลังกาย ให้ทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว...เช่นเล่นกีฬาต่างๆ...

ฝึกโยคะ...ปั่นรถจักรยาน...

อ.๒ ...อาหาร ให้รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายรสไม่จัด อย่ารับประทานมาก...รับประทาน...

ครั้งละน้อยๆ...แต่บ่อยครั้งพอได้...

อ.๓ ...อุจจาระ อย่าให้ท้องผูก...เพราะท้องผูกแสดงว่าเราอมโรค...ควรให้มีการถ่ายเป็นปกติ

...อย่าเหนียวขี้...

อ.๔ ...อารมณ์ สร้างอารมณ์ให้สงบไม่เครียด...อย่าโกรธง่าย...เหมือนที่ว่า...อยากเป็นคนงาม

...อย่าวู่วามโกรธง่าย...อยากเป็นคนสบาย...อย่าเบื่อหน่ายความเพียร...

อ.๕ ...อากาศ หมั่นให้ได้รับอากาศที่มีการถ่ายเทดี...และควรได้ตากแดดบ้าง...เช่น

ชายทะเล...

...ในด้านบุญกุศลก็ได้ทำอยู่เรื่อยๆ เช่น การบริจาคทานต่างๆ ซึ่งต้องกระทำกันอยู่แทบเป็นประจำ...

การรักษาศีลก็รักษาศีล ๕ อยู่ มีการควบคุมกาย วาจา และใจ...ขณะนี้กำลังหัดเจริญภาวนาอยู่ทั้งเช้า

เย็น...กลางคืน แต่จิตก็ยังไม่สงบทีเดียวนัก...เป็นบางครั้งที่จิตเกิดวูบวาบชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น...

...[ขณิกะสมาธิ]...

ต้องพยายามต่อไปอีก...บางโอกาสได้ไปฟังการบรรยายธรรมะในสถานที่ต่างๆ และพยายามนึกอยู่เสมอ

ว่ากรรมเหล่านั้นย่อมเป็นสมบัติติดตัวตามไปทุกแห่งหน...บรรดากรรมเหล่านี้จะไปยกให้ใครก็ไม่ได้...

ใครจะมาขอหรือแย่งชิงไปก็ไม่ได้...แม้แต่อยากจะโอนกรรมกรรมสิทธิ์ให้แก่กันก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

ครับ...จงพยายามสร้างแต่กรรมดีเอาไว้...เพื่อเป็นเสบียงกรังติดตัวเอาไว้ไปใช้ต่อไป...

...ตาม อิทธิบาท ๔ ได้แก่...

...ฉันทะ...วิริยะ...จิตตะ...และวิมังสาเป็นต้น...

... ผมก็ได้แต่รู้ไปในทางปริยัติ...แต่การปฏิบัตินั้น...ยังต้องฝึกฝนกันอีกมาก ...

... ในปัจจุบันวันนี้...

...ข้าพเจ้าได้เกิดความเชื่ออย่างสนิทใจปราศจากข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้นแล้วว่า...

...พระพุทธเจ้า มีจริง

...พระธรรมเจ้า มีจริง

...พระอริยสงฆ์ มีจริง

...และยังเชื่อต่อไปด้วยความมั่นใจอีกว่า...

...นรก มีจริง

...สวรรค์ มีจริง

...บุญ กุศล มีจริง

...ใครทำดีได้รับผลดี...ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว...

...คือกฏแห่งกรรมนั้น มีจริง

...และประการสุดท้ายก็คือ...

...ชาติหน้ามีจริง...

...สุดท้ายนี้...ขอได้รับความปรารถนาดีจากผมด้วยความจริงใจ...

...พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม...

...อำนาจวาสนา คือที่มาของความกังวล...

... สวัสดีครับ ...