... ปฏิทินของชาวมายา ...
... ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ความในหนังสือ “ลิลิตยวนพ่าย” ระบุว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงรอบรู้ในวิชาโหราศาสตร์เสมือนการตรัสรู้ของพระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น เชองโหรเหนแม่นแม้น มุนิวงศ สบศาสตราคมยล ล่งล้วน สบศิลปะสาแดงทรง ทายาท ไสร้แฮ สบศิพาคมถ้วน ถี่แถลงถอดความได้ว่า ...
“ ทรงรอบรู้ในวิชาโหราศาสตร์ เสมอการตรัสรู้ของ สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรอบรู้ทั้งทางศาสตราคม คือ ทางทฤษฎีการคานวณและพยากรณ์ ทรงรอบรู้ทั้งทาง
ศิลปาคม คือ ทรงมีพระปรีชาสามารถคานวณและพยากรณ์เหตุการณ์ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ได้ด้วยพระองค์เอง นับว่าเป็นผู้ทรงรอบรู้ถี่ถ้วนในศิพาคม คือ วิชาโหราศาสตร์
โดยพิสดารในทุกกรณี ”
คำว่า “ ศิพาคม ” แปลว่า “ วิชาโหราศาสตร์ ” เพราะวิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่นาเอาความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์มาพยากรณ์ดวงชะตาบุคคล ดังนั้น ชื่อของวิชานี้ท่านเรียกว่า “โลกศาสตร์” ก็มีคาว่า “ศิวะ” แปลว่า “โลก” เพราะเทวดาซึ่งเป็นตัวแทนของโลก คือ พระศิวะหรือพระอิศวร ซึ่งมีพระนามว่า “ภพ” หรือ “หร” คำเหล่านี้แปลว่า “โลก” ทั้งสิ้น ดังนั้น คาว่า “ศิวศาสตร์” และ ศิวาคม ก็แปลว่า “ศาสตร์แห่งโลก” ซึ่งมีอยู่เพียงศาสตร์เดียวที่ถือเอา “โลก” เป็นจุดหมายใหญ่
คือ โหราศาสตร์ พระเบญเญศยิ่งเพี้ยง ศูรยจันทร แจ่มแฮ อดิตานาคต ปล่งแปล้ ปรัจุบันทั้งสามสรร- เพชญถึ่ง แถลงแฮเล็งส่งไตรภพแท้ ทั่วเทรียน จากข้อความในคำโคลงยอพระเกียรติเพียง ๒ บทนี้ แสดงให้เห็นว่าสมเด็จพระบรมไตร-โลกนาถ ทรงเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์อย่างสุดที่จะเทียบเทียมได้ทีเดียว นักปราชญ์ผู้นิพนธ์ จึงต้องนาไปเปรียบเทียบกับพระปรีชาญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังที่ได้ปรากฏในคาโคลงที่ยกมานั้น ...
... โหรที่ปรากฏกิตติศัพท์บันลือกระเดื่องโลกในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ได้แก่พระมหาราชครู พระอาจารย์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้เป็นบิดาของศรีปราชญ์ ท่านเป็น
ผู้นิพนธ์ “สมุทร-โฆษคำฉันท์” และ “หนังสือจินดามณี” และท่านคือ “โหรทายหนู” ซึ่งเราปรากฏกิตติศัพท์กันอยู่ทุกวันนี้ พระโหราธิบดีผู้นี้ ปรากฏเกียรติคุณว่า เป็นผู้ทูลเกล้าถวายคำทำนายแม่นยา สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเชื่อถือมาก มีกล่าวไว้ในพงศาวดารว่า “ครั้งหนึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จอยู่ในพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนตมหาปราสาท มุสิกตกลงมา ทรงพระกรุณาเอาขันทองครอบไว้ให้หาพระโหรามาทาย พระโหราคำนวณแล้ว ทูลว่า สัตว์สี่เท้า ทรงพระกรุณาตรัสว่ากี่ตัว พระโหรา
คำนวณแล้วทูลว่าสี่ตัว ทรงพระกรุณาตรัสว่า สัตว์สี่เท้านั้นถูกอยู่ แต่สี่ตัวนั้นผิดแล้ว ครั้นเอาขันทองขึ้นเห็นมุสิกคลานอยู่สามตัวกับแม่ตัวหนึ่ง เป็นสี่ตัว ก็ทรงพระกรุณาตรัส
ว่า แม่นกว่าตาเห็นอีก ให้พระราชทานเงินตราชั่งหนึ่ง เสื้อผ้าสองสารับ แต่นั้นมาก็เชื่อถือพระโหราธิบดี ” ...
...ต่อมา ในปีพุทธศักราช ๒๑๔๖ พระโหราถวายฎีกาในสามวันจะเกิดเพลิงในพระราชวัง สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงฟัง ก็ตกพระทัย จึงให้ขนของเทพระราชวัง ออกไปสู่ วัดไชย-วัฒนาราม ทั้งเรือบัลลังก์ เรือศรี เรือคลัง คับคั่งแออัดกันอยู่ แลในพระราชวังนั้น เกณฑ์ไพร่สามพันสรรพด้วยพร้า ขอตะกร้อน้ารักษา ห้ามมิให้หุงข้าวในพระราชวัง แล้วนาเรือตารวจคอยบอกเหตุทุกทุ่มโมง ครั้นคารบสามวัน เพลาชายแล้ว สี่นาฬิกา เรือตารวจได้กราบทูลพระกรุณาสงบอยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสว่า ครั้งนี้ เห็นว่าพระโหราจะผิดอยู่แล้ว สั่งมาเถิดจะเข้าพระราชวังพนักงานก็เลื่อนเรือพระที่นั่งเข้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวมาถึงฉนวนประจาท่า พระโหราอยู่ท้ายเรือพระที่นั่ง กราบทูลว่า ขอให้ย่ำฆ้องก่อนก็จะสิ้นพระเคราะห์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ให้ลอยเรือพระที่นั่งอยู่ เพลาชายแล้ว ห้านาฬิกา เมฆพยัพคลุ้มขึ้นทางประจิมทิศ ฝนตกพราลงมาทรงพระกรุณาตรัสแก่พระโหราว่า ฝนตกลงมาสิ้นเหตุแล้วกระมัง พระโหรา ธิบดีกราบทูลว่าขอพระราชทานก่อน พอสิ้นคาลง อสนีเปรี้ยงลงมาต้องเหมพระมหาปราสาทเป็นเพลิง ติดพลุ่งโพลงขึ้นไหม้ลามลุก คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในพระราชวัง มิรู้ที่จะทาประการใด แลดีบุกอันดาดหลังคานั้นไหลราดลงมาดั่งฝน เพลิงก็ไหม้ติดต่อไปทั้งห้วยคลังเรือนหน้าเรือนหลังร้อยสิบเรือนจึงดับได้ พระโหราธิบดีนี้ ตามประวัติเป็นชาวมือโอฆบุรี (คือ เมืองพิจิตรในปัจจุบัน) แต่ก่อน จะมาอยู่ก้องบุรี ทราบว่าท่านมีรกรากอยู่เมืองสุโขทัยมาก่อน สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงยกย่องจึงมอบสมเด็จพระนารายณ์ พระบรมโอรสาธิราชให้เป็นศิษย์ พระโหราธิบดีจึงได้นามว่า มหาราชครู อีกตาแหน่งหนึ่ง เพราะเป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังนั้น หนังสือ “จินดามณี” ก็คือ หนังสือที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงศึกษาแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ วิชาโหราศาสตร์ ได้รับการถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เหมือนเป็นมรดกทางวิชาการ ดังจะเห็นได้จากวรรณคดี เรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ...
... สมัยรัตนโกสินทร์ ...
... สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระปฐมมหาราชาธิราช ต้นพระบรมราชวงศ์จักรี ก็ทรงเป็นบรมโหราจารย์ผู้เพียบพร้อมด้วยพระปรีชาสามารถ เสมือนดั่งที่ได้พรรณาในหนังสือ “ลิลิตยวนพ่าย” ข้างต้นที่ว่า “เชิงโหรเห็นแม่นแม้น มุนิวงศ์ ฯลฯ” นั่นเทียว เพราะพระองค์ทรงเชี่ยวชาญทั้งภาคศาสตราคมและศิลปาคม ทรงรอบรู้และดาเนินการตามความรู้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น แม้แต่การคานวณ หาฤกษ์สร้างกรุงเทพมหานคร ก็ได้ทรงคานวณด้วยพระองค์เอง ทรงวางพระฤกษ์ ฝังเสาหลักเมืองกรุงเทพมหานครไว้ ใน วันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ ตรงกับจันทรคติกาล วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่า เดือน ๖ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๔๔ เวลารุ่งแล้ว ๙ บาทและทรงพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองไว้เป็น ๑๐ ยุค ดังนี้ ...
๑. ยุคมหากาฬ
๒. ยุคพันธุยักษ์
๓. ยุครักษ์บัณฑิต
๔. ยุคสนิทธรรม
๕. ยุคจาแขนขาด
๖. ยุคราชโจร
๗. ยุคชนร้องทุกข์
๘. ยุคทมิฬ
๙. ยุคถิ่นกาขาว
๑๐. ยุคชาววิไล