ชีวิตหลังความตาย

...โบราณว่าไว้ว่า " สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ " ...

... คิดดี พูดดี ทำดี ไปอยู่สวรรค์ ...

... คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ไปอยู่นรก ...

... เมื่อคนเราใกล้จะหมดลมก็จะเป็นดังในภาพนี้แหละครับ ...

... อยู่่ที่เราจะเลือกไปกับใคร ? ทางด้านซ้าย หรือว่าทางด้านขวากันดีละครับ ...

... เลือกกันเอาเองนะครับ ...

... ชีวิต ... และความตาย ... เป็นของคู่กัน ...

... ไม่มีใครในโลกมนุษย์ที่จะหนีได้พ้น ...

... ความตายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาหา ... ในทุกๆวินาที ของลมหายใจ เข้าออกของมนุษย์โลก ...

... สิ่งที่ควรทำก็คือ ลด ละ หยุด หมดสิ้น ใน โลภ โกรธ หลง อันเป็นหนทางที่สกัดกั้นต่อการเข้าสู่ ... นิพพาน ...

... ผมคิดว่าคนเราทุกคนจะต้องมีบางครั้ง บางเวลา บางขณะจิต ... ที่คิดถึงความตาย ...

... ตัวผมเองนั้น เมื่อตอนที่คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยสัญญากันกับคุณพ่อว่า ... หากใครตายก่อนคนๆนั้นจะต้องมาหา ให้ได้ตามที่สัญญากันไว้ ...

แต่ว่าพอคุณพ่อของผมได้เสียชีวิตลงไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ...จนมาปีนี้คือ พ.ศ. ๒๕๕๗ ก็ไม่เคยได้พบปะ - พูดคุยกับวิญญาณของคุณพ่อเลยแม้

แต่สักครั้งเดียว ...ลักษณะนี้เหมือนกับว่าคุณพ่อได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับผม ... แต่ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ผู้ใดสามารถที่จะตอบได้ ... คุณพ่อท่านมาไม่

ได้ เพราะอะไร? ...ไม่อยากมา โดนกักกันหน่วงเหนี่ยว หรือเป็นการผิดกฏของปรโลก ฯลฯ ... เป็นไปได้หลายประการด้วยกัน ...

... ยากที่จะคาดเดาออกมาได้ จึงเป็นปริศนาธรรม ที่ทุกคนจะต้องขบคิด ... และตีโจทท์ให้แตก ... จึงจะได้คำตอบที่แท้จริงออกมาได้ ...

... ตายแล้วไปไหนกันละนี่! ...

... ทุกยุคทุกสมัยมนุษย์เรามักจะสงสัยกันว่า คนเราเมื่อตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันแน่... บางคนมีความเชื่อว่าตายแล้วสูญ บางคนเชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ ...

... แต่โดยหลักทั่วๆไปแล้วมนุษย์ก็ไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ... ซึ่งความเชื่อเรื่องเหล่านี้มีผลต่อชีวิตหลังความตายของบุคคลนั้นๆ ... คือ ถ้าเชื่อว่าตายแล้วสูญ แล้วก็ไม่คิดที่จะประกอบคุณความดี และเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วไซร้...ปรโลกที่เขาจะไปนั้น ก็จะเศร้าหมอง เป็นที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง หากมีความเชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ ก็จะประกอบคุณความดีอย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่จะเดินทางไปสู่ปรโลกที่มีแต่ความสุขกายและสบายใจได้ ... หลังจากที่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ...

... แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มนุษย์เราทุกคนก็ต้องตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบความเป็นจริงของชีวิต ว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไร ...มีสถานที่ใดบ้าง เป็นสถานที่รองรับชีวิตหลังความตาย ...มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร และเราจะเตรียมความพร้อมอย่างไร...ที่จะเดินทางไปสู่ปรโลก และเมื่อเราได้รับทราบเรื่องราวแล้วจะทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตได้มากยื่งขึ้น และจะได้ตั้งใจสร้างกุศลผลบุญประกอบเหตุที่จะนำไปสู่ปรโลกที่ดีมากขึ้น และหากสั่งสมความดีไว้มาก แต่ยังไม่หมดกิเลส เรามีโอกาสเลือกสถานที่ที่เราต้องการจะไปหลังจากที่เราละจากโลกนี้ไปได้อีกด้วย ...

... คำว่าปรโลกคืออะไร ...

... คำว่า ปรโลก หมายความว่า โลกหน้าหรือโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์นี้ โลกนี้และโลกหน้ามีทั้งหมด 31ภูมิ เป็นสถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย และเป็นของสากลที่ทุกคนไปอยู่ได้ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา อุปมาเหมือนผู้ที่กระทำผิดกฎหมายและต้องเข้าคุก ไม่ว่าผู้นั้นจะมีเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ ใดก็ตาม หากกระทำผิดก็มีสิทธิ์เข้าคุกได้ แสดงให้เห็นว่า คุกเป็นของสากล เพราะฉะนั้น สถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตายหรือปรโลกก็เช่นกัน เป็นของสากลที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน 31ภูมินี้ จนกว่าจะกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป จึงจะเข้าสู่นิพพาน ...

... ปรโลก แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายใหญ่ๆ คือ ฝ่ายสุคติภูมิ และ ฝ่ายทุคติภูมิ เป็นสถานที่หมุนเวียนให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ประกอบกุศลกรรมและอกุศลกรรม ได้วนเวียนไปมา เสวยสุขบ้าง ทุกข์ บ้าง ตามแต่อกุศลและกุศลที่ได้สั่งสมไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ...

... ปรโลกคือส่วนหนึ่งของสังสารวัฏในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า คนเราเกิดมาไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว เราเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน และยังต้องเวียนว่ายตายเกิดถือกำเนิดในวัฏสงสารอีกยาวไกลจนกว่าจะถึงฝั่งพระนิพพาน ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน ปุคคลสูตร* ความว่า ...

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่ง มีกองกระดูกใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้ ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้ และกระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้ว ก็ไม่พึงหมดไป เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ”

... พระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แสดงให้เห็นว่า ชีวิตมนุษย์นี้ไม่ได้สิ้นสุดที่เชิงตะกอน แต่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิต่างๆ อีกมากมาย นับภพ

นับชาติไม่ถ้วน ตราบวันสิ้นกิเลส ...

...ปรโลกเป็นสถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย เป็นสถานที่หมุนเวียนให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ประกอบกุศลกรรม และอกุศลกรรมได้วนเวียนไปมา เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามแต่อกุศลและกุศลที่ได้สั่งสมไว้ครั้งเป็นมนุษย์ และปรโลกยังตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์เช่นเดียวกับโลกมนุษย์อีกด้วย เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มี

ผู้ใดหลีกเลี่ยงไปได้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปในที่สุด ...

... ปรโลกเป็นมาตราฐานสากลที่ทุกคนจะต้องไป ...

...โลกใบนี้เป็นโลกแห่งกรรมดี - กรรมชั่วและความแตกต่าง แม้เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน บางคนหน้าตาสวยงาม บางคนหน้าตาขี้เหร่ บางคนเกิดมามีอวัยวะสมบูรณ์ บางคนพิการ บางคนเกิดในตระกูลเศรษฐี บางคนเกิดในตระกูลยาจก แต่ในความแตกต่างนั้น ยังมีสิ่งที่เหมือนกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร มียศใหญ่ ร่ำรวยเพียงใด จะมีเชื้อชาติ หรือศาสนาใดก็ตาม ล้วนไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากกฎธรรมชาติ คือความตายไปได้ จากตรงนี้ทำให้มีคำถามต่อไปว่า ในเมื่อความตายไม่เลือกว่า บุคคลนั้นจะเป็นใคร มีความเชื่ออย่างไร ดังนั้นชีวิตหลังความตายก็น่าจะอยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกัน เพราะเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เหมือนๆ กัน นี้เป็นประเด็นสำคัญที่พวกเราทุกคนควรจะหมั่นพิจารณาให้มากเข้าไว้ ...

... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...

... ปรโลกเป็นสถานที่ ซึ่งทุกคนจะต้องไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ... อย่างแน่นอน ...

... หลักคำสอนในหลายๆ ลัทธิความเชื่อที่มีในโลกปัจจุบันนี้ ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลัง ความตายไว้แตกต่างกันออกไป สำหรับพระพุทธศาสนานั้น

ก็มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วด้วยเช่นกัน เป็นคำตอบที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล ความรู้ตรงนี้ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้เห็นด้วยพระปัญญาอันบริสุทธิ์ ที่เกิดจากการฝึกจิตโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เพื่อค้นหาปริศนาของชีวิตเหล่านี้ จนกระทั่งความรู้ของพระองค์เต็มเปี่ยม จึงทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของชีวิตหลังความตาย หรือการเวียนว่ายตายเกิดของสัตวโลกในภพภูมิต่างๆ และเห็นว่าปรโลกนี้เป็นของสากลที่ทุกคนต้องไปในวันใดวันหนึ่ง ...

... ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เขาว่ากันมา ลองอ่านกันดูนะครับ ...

... ปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ...

... หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้วเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอ

พิจารณาคดี ใน ระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ ...

... ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่างชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอา

ติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น ...

... เจ็ดวันรอบแรก วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึงก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป

ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัวกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา ...

... ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี 49 วันหลังความตาย เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวะทูต คอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉยไม่กล้าทำอะไร

จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย ...

... เจ็ดวันรอบที่สอง ... เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผีเจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่านเมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานีและยังมีพวกเจ้ากรรม

นายเวรพากันมาทวงหนี้ เวลานั้น ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดีเมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย ...

... เจ็ดวันรอบที่สาม เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรมยามมีชีวิต

ทำชั่วอะไรภาพก็จะ ปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติเสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ...

... ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิดตอนนี้ แต่ก็สายเสียแล้ว ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงจะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุม

ต่างๆและพาไปดู สภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด ...

...เจ็ดวันรอบที่สี่ เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทองการจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมือง

มนุษย์หลงงมงาย เผาส่งไปให้ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์ ...

... เจ็ดวันรอบที่ห้า วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลานคนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตนถึงตอนนี้จึง

ได้ รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีกได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์ ...

... เจ็ดวันรอบที่หก เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชียมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญ ที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิตหลังจากหักลบกันแล้ว ถ้า

บุญมีมากกว่าบาปก็จะ ให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา ...

... เจ็ดวันรอบที่เจ็ด เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่าผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีล

กินเจละเว้นจากการฆ่า สัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว ...

... ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้นเร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งลวงโลกตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่าน

ก็ต้องเห็น กฎแห่ง กรรมนั้นเป็นเรื่องจริงขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...

... ท่านพุทธทาสภิกขุ ...

... ในโอกาสวันล้ออายุปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แสดงธรรมในช่วงบ่ายของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อ ... ธรรม

บรรยายที่ท่านตอบผู้ข้องใจ หรือ ตอบผู้โจษจ้วงท้วงกล่าวหาท่านที่มีในสังคมไทย ...

๑๖.ปรโลกอยู่ที่ไหน?

ปรัศนี: คำว่าปรโลก ...

- ปรโลก หมายความว่าอย่างไรครับ? อยู่ใต้ดินกรืออยู่บนฟ้า หรือว่าอยู่รอบๆครับ? เรานั่งอยู่ที่นี่จะถึงปรโลกโดยชาติทางจิตปัจจุบัน

ในกระแสปฏิจจสมุปบาทนี่ได้หรือไม่ครับ?

พุทธทาส: ปรโลกแปลว่า โลกอื่น เขามักจะแปลกันว่า โลกหน้า โลกข้างหน้า ก็หมายความว่า ต่อตายแล้วอีกนั่นแหละ แต่ ปรโลก ตัวหนังสือแปลว่า โลกอื่น

ปร แปลว่า อื่น โลกอื่นจากที่เรารู้จักมัน มีอยู่เดี๋ยวนี้พร้อมกัน เคียงคู่กันกับโลกนี้ แต่มันเป็นโลกอื่น เราไม่เห็นก็ไม่รู้จัก ก็หวังอยู่ว่า ต่อตายแล้วนั่นแหละ ...

จึงจะไปยังโลกอื่น ...

... ที่จริงโลกอื่นน่ะ มีอยู่พร้อมกันกับโลกนี้ ที่นี่เวลานี้ คือพอเราจิตหมกมุ่นเป็นนรก มันก็มีนรกเข้ามาในจิตนี้ โลกอื่นมันมาเยี่ยมเราแล้ว พอเรามีพอใจใน

สวรรค์สบาย อ้ายโลกสวรรค์ มันก็เยี่ยมเข้ามาในจิตนี้แล้ว โลกอื่นนั้นมันถึงได้โดยจิตใจ เช่นว่า เรามีความคิดเลวทรามอย่างสัตว์เดรัขฉาน เราก็เกิดเป็น

สัตว์เดรัจฉานแล้ว โดยร่างกายนี้ แต่จิตใจมันเป็นสัตว์เดรัขฉานไปแล้ว ร่างกายนี้เรียกว่า ร่างกายมนุษย์ ร่างกายคน จิตใจนั้นมีสภาพเหมือนกับอยู่ในโลก

ไหนก็ได้ ถ้ามันร้อนก็เรียกว่าอยู่ในโลกนรก เมื่อจิตใจสะดวก สะบาย สนุกสนาน ก็เรียกว่า อยู่ในโลกสวรรค์ จิตใจไม่เป็นนรก ไม่เป็นสวรรค์ นี้มันเหนือโลก

เป็น นิพพาน พอกลัวก็อยู่ในโลกอสุรกาย พอเราหิวก็อยู่ในโลกเปรต พร้อมเสมอที่จะเข้ามาด้วยจิตที่มันตั้งไว้ผิด ถ้ามันผิดไปจากธรรมดา ก็เรียกว่าโลกอื่น

ทั้งนั้น ถ้ามนุษย์อยู่ในความรู้สึกตามธรรมดา ก็อยู่ในโลกนี้ตามธรรมดาของมนุษย์ ถ้ามันผิดไปเปลี่ยนไปก็เป็นโลกอื่นแล้ว ฉะนั้น ระวังอย่าให้อยู่ในโลกอื่น

มันอยู่ที่ปลายจมูกคุณนะแหละ ดูให้ดีๆเถอะ มันจะเปลี่ยนเป็นโลกอื่นเมื่ไรก็ได้ นี่คำว่า " โลกอื่น " ตามธรรมะที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ ...

... แต่ถ้าเป็นหลักความเชื่อที่เชื่อสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้านั้นมันอยู่ที่อื่น เช่น หลังจากตายแล้ว เรียกว่า โลกสวรรค์ ปรโลกก็ดี มันต่อตายแล้วจึงจะไปถึง

อยู่ที่อื่น เช่น นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า พอมาเดี๋ยวนี้เขาไม่มีฟ้าให้เป็นเนื้อที่สำหรับสวรรค์แล้ว ...ความรู้ทางอวกาศ ไม่มีเนื้อที่บนฟ้าไว้สำหรับตั้งสวรรค์

แล้วนรกใต้ดินนี้มันไม่มีเนื้อที่ให้ตั้งนรกแล้ว มันอยู่ที่ในใจ เป็นอย่างไรก็เรียกว่าเป็นอย่างนั้นแล้วก็สมมุติเรียกว่า " โลก " แปลว่า ของแตก และเปลี่ยนอยู่

เสมอ ปรโลกแปลว่า โลกอื่น เรานั่งอยู่ที่นี่จะไปโลกอื่นได้โดยจิต พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า จิตที่ีฝึกดีแล้วนั่นจะไปโลกอื่น ซึ่งผิดไปจากโลกที่เราเคยชินอยู่นี้ ...

เราจะไปถึง ปรโลกนานาชนิดได้ด้วยจิตก็ได้ ส่วนที่จะไปโดยร่างกายต่อตายแล้ว ก็ไว้ให้พวกหนึ่งเขาถือกันอย่างนั้น เราไม่ได้พูดถึงเขา เราไม่คัดค้านเขา

มีอะไรอีก ...

... คัดลอกบางตอนมาจากหนังสือดอกโมกข์ ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๒๑๑ - ๒๑๓ ...

... ตามพระบาลีกล่าวว่า ...

“ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ” นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน..”

... อ้างอิง หนังสือ ตายแล้วไปใหน ...

... ยังไม่จบ ยังมีต่ออีกนะครับ ...