... วันเสด็จดับขันธปรินิพพาน ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานนั้น ในปีมะเส็งเดือน ๖ เพ็งบูรณ์ วันอังคาร วันไทยลาวว่ากาบยี ยามจะใกล้รุ่งเสวยไพศาขะ อังคาร เกตุ และอาทิตย์เสด็จเมษราศี พฤหัสบดีแลจันทร์เสด็จในพฤศจิกราศี พุธแลศุกร์เสด็จในเมถุนราศี พระเสาร์เสด็จในมังกรราศี.. พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ตรงกับวันอังคาร ลัคนาวันเสวยวิสาขะนักษัตรฤกษ์ ประกอบด้วยเพชฌฆาตฤกษ์ พระอังคาร เกตุ และ อาทิตย์ เสด็จในราศีเมษพระจันทร์เสด็จ ในราศีพิจิก พระพุธและ พระศุกร์ เสด็จในราศี มิถุน พระเสาร์เสด็จในราศีมังกร ...
... เรื่องฝูงชนทำบาปทาให้อายุสั้น ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า “เมื่อใดฝูงเทพยดาทั้งหลาย อันอยู่ในเมืองฟ้าก็ดี อยู่ในใต้ต้นไม้ก็ดี บ่มีคนเกรง ทั้งพระเคราะห์อาทิตย์ก็ดี
พระจันทร์ก็ดี นพเคราะห์ก็ดี และฤกษ์นักษัตรทั้งหลายก็ดี บ่มิเสด็จในราศีอันดีดังเก่าทั้งฤดู ๓ อันก็ดี ทั้งกาล ๖ อันก็ดี ก็หลากสิ้น บ่มิเป็นปกติดังเก่า ทั้งฝนแลลม ทั้งแดดก็หลาก ทั้งไม้ไร่ในแผ่นดินนั้น อันเป็นยานั้น ก็บ่มิเป็นยาดังเก่า เพื่อฤดูกาลนั้นหลากไปแล ฝูงชนทั้งหลายเร่งถอยอายุเพื่อดังนั้นแล...
จะเห็นได้ว่า เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสนพระทัย และมีพระปรีชาสามารถในทางโหราศาสตร์ ความรู้ทางด้านนี้ก็มีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง ไม่ได้อยู่ในกลุ่มชนชั้นเดียวอย่างพวกพราหมณ์ อีกต่อไป พระองค์ทรงสนับสนุนให้ผู้ที่มีความสนใจในวิชานี้ทาการศึกษาได้ เช่น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งเป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าลิไท และเป็นธิดาของพระศรีมโหสถ ก็ได้ศึกษาในโหราศาตร์เช่นกัน เป็นผู้ที่รจนา ตารับนางเรวดี นพมาศ การทากระทงจองเปรียง พระประทีปบูชา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันเพ็ญ เดือน ๑๒ พระจันทร์โคจรในนักษัตรกฤติกา ...
... ดังนั้น ผู้ใดที่สนใจ ไม่เฉพาะแต่บุรุษ แม้สตรีก็สามารถ มาศึกษาได้ในวิชานี้ นับแต่เบื้องต้นไปจนกระทั่งชั้นสูง ที่มาคล้ายๆ กับวิชาโหรของหลายๆ ชาติด้วยกัน คือ จีน
ภาระตะ พม่า และมอญ แต่ก็ไม่เหมือนกันโดยตรงนัก มีหลักการที่แปลกออกไป เพื่อความเหมาะสมสาหรับ ชนไทยเรา โดยเฉพาะในสมัยโบราณ เมื่อยังมีการปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมี พระเจ้าแผ่นดินทรงอยู่ในฐานะเหนือกฎหมาย ภายในราชสานักทุกยุคสมัย จะต้องมีกรมโหรหลวงเป็นประจา บรรจุผู้มีความรู้ในวิชาโหราศาสตร์ ทั้งในภาคคานวณ ภาคพยากรณ์ และภาคยัญญกรรมไว้ครบถ้วน โดยได้รับพระราชทานตาแหน่งบรรดาศักดิ์ ตามแต่คุณความรู้ สาหรับผู้ที่เป็นอธิบดีของกรมโหรหลวงนี้ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาโหราธิบดี พวกโหรหลวงนี้มีหน้าที่คานวณปฏิทินประจำปี ถวายพระเจ้าแผ่นดินตลอดจนถวายคาพยากรณ์เหตุการณ์ส่วนพระองค์และบ้านเมือง คานวณฤกษ์ยาม และมีหน้าที่ประกอบราชพิธีควบคู่ไปกับพวกราชบัณฑิตและพราหมณ์ ขณะใดที่มีศึกสงคราม โหรหลวงจะต้องมีหน้าที่ติดตามกองทัพ ไปด้วยทุกครั้งเพื่อคอยคานวณฤกษ์ยามยาตราทัพ หรือคอยคิดแก้ไขปัญหาการศึกต่างๆ ที่ขัดข้อง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่สืบทอดกันมาจากในสมัยพระร่วงเจ้า ...
... พระยาบริรักษ์เวชการ กล่าวในเรื่องความเชื่อ และไม่เชื่อในวิชาโหราศาสตร์ไว้ว่า ในเบื้องต้นไปเข้าใจเสียว่า ดาวเคราะห์นั้นมีอิทธิพลที่จะบันดาลให้เจ้าชาตาประสบโชค
ดี และ โชคร้ายได้ ความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์ย่อมขึ้นอยู่กับอิทธิพลของดวงดาวทั้งสิ้น ไม่มีทางที่ตนจะหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าในทางดี หรือทางร้ายก็ตาม เมื่อมีความเข้าใจเช่นนี้แล้ว ฝ่ายที่เชื่อจนเกินไป ก็จะปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่ขวนขวายที่จะฉวยโอกาสเมื่อโชคอานวย และไม่พยายามหลีกเลี่ยง หรือแก้ไขเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น
ให้บรรเทาลง ถือเสียว่าไม่มีอะไรจะช่วยได้ เพราะดวงดาวบังคับมาให้เป็นเช่นนั้น ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล ดวงดาวจะมามีอิทธิพลเหนือชีวิตมนุษย์ ถึงกับบันดาล
ให้เป็นไปได้ต่างๆ นั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มนุษย์เราจะต้องพยายามทำกิจการงาน หรือ วิ่งเต้น ค้าขาย หรือประกอบการอาชีพทำไมกัน เมื่อดวงดาวบันดาลได้แล้ว ถึงคราวโชคดี ก็ควรจะได้มาเอง โดยไม่ต้องวิ่งเต้นหรือขวนขวายให้เสียเวลา หรือเมื่อถึงคราวโชคร้าย ก็ไม่มีอะไรจะทำให้กลายเป็นอื่นไปได้ จะต้องเป็นไปตามโชคนั้นๆ ซึ่งตามที่เป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ โชคดีหรือร้ายของเราอยู่ที่การกระทำของเราต่างหาก คือ ถ้าเขาทำดี โชคดีจะเกิดแก่เขา ถ้าทำชั่ว โชคร้ายก็จะเกิด หาใช่เกิดเพราะอิทธิพลของดวงดาวไม่...
... ความจริง การใช้ตำแหน่งของดวงดาวในท้องฟ้ามาเป็นหลักในการทานายดวงชาตาของบุคคล และการพยากรณ์โชคเคราะห์ต่างๆ นั้น หาใช่ความหมายว่า ดวงดาวนั้นมีอิทธิพลดลบันดาลให้เจ้าชาตาเป็นไปดั่งนั้นไม่ หากความหมายเพียงว่า ดวงดาวเหล่านั้นเป็นเครื่องชี้ถึงวาสนา และโชคชาตาของเจ้าของดวงชาตานั้นๆ เท่านั้น เจ้าของดวงชาตาย่อมมีอานาจอิสระที่จะปรับปรุงตนเอง หรือกระทาตนให้เป็นผลดี หรือร้ายแก่ตน ต่อไปอีกได้เสมอ ตามหลักเขาแบ่งดวงชาตาบุคคลออกเป็น สองส่วน คือ ดวงกำเนิด ส่วนหนึ่ง และ ดวงจร อีกส่วนหนึ่ง สาหรับดวงกำเนิดนั้น ถือว่าเป็นดวงที่แสดงถึงผลกรรมเดิมของเจ้าชาตาที่ทาไว้แต่ชาติก่อน เมื่อมาเกิดในชาตินี้จะต้องดำเนินชีวิตไปตามผลกรรมที่ทำไว้นั้น โดยแสดงออกทางดวงกำเนิดว่าเจ้าชาตาจะต้องมาเกิดในสถานะอย่างไร มีรูปร่างลักษณะอย่างไร มีวาสนาเพียงใด จะต้องดาเนินชีวิตไปในทางใด การดำเนินชีวิตจะเป็นไปโดยราบรื่นหรือต่อสู้ ฟันฝ่าอุปสรรคมาก น้อย เพียงไร เหล่านี้ เป็นต้น สาหรับดวงจรนั้น แสดงถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าชาตาตามระยะเวลาที่ดวงดาวจะชี้ให้ แต่เหตุการณ์นั้นๆ ไม่จาเป็นต้องเกิดขึ้นเสมอไป ย่อมผันแปรไปได้ ถ้าหากเจ้าชาตาใช้อานาจอิสระที่ตนมีอยู่ดาเนินการ หรือปฏิบัติตนให้เป็นไปในทางที่ชอบที่ควร และจะเกิดประโยชน์แก่ตนต่อไป โดยหลักดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า โหราศาสตร์นั้นเป็นเครื่องชี้ลักษณะของบุคคลผู้เป็นเจ้าของดวงชาตา และชี้แนวทางที่พึงปฏิบัติในการดาเนินชีวิตของตนให้เหมาะสมกับกาลเวลาและสถานการณ์ที่จะเป็นคุณประโยชน์แก่ตน และครอบครัว ตลอดจนความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ได้ผลดีเป็นสาคัญ ...
... เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ก็นับว่าเป็นประโยชน์อีกประการหนึ่ง ความสอดคล้องที่บังเกิดขึ้น ในระบบความเชื่อ นั้นเมื่อแยกพิจารณาจะสรุปได้
ดังนี้ ... ความเชื่อทางพระศาสนา จะนาไปสู่ประโยชน์สูงสุดของชีวิต คือการเข้าใจในอริยสัจสี่ประการอันเป็นหนทางสายเอกที่จะพ้นจากความทุกข์ที่แท้จริง ความเชื่อทาง โหราศาสตร์ จะช่วยให้มีสติ ในการดาเนินชีวิต ให้เหมาะสมตามกาลเวลา ไม่ประมาท ตามข้อความของพระยาบริรักษ์เวชการว่า “ดวงดาวเป็นแผนที่ชีวิต แต่เจ้าของดวงชาตา มีอานาจที่จะปรับปรุงแก้ไข ให้บังเกิดประโยชน์ได้” ดังนั้นถ้าความเชื่ออยู่บนรากฐานที่ดี มีเหตุผล ไม่งมงาย เข้ากับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ...
... ข้อความที่ได้จากการสัมภาษณ์ พระศรีคัมภีรญาณ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ท่านได้ให้ความเห็นในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อไว้ว่า “ต้องดูตามเหตุผล ว่าที่เขาทำนาย มานั้นเขาให้ เหตุ ผล เช่นไร ใช้วิชา หรือ ใช้ทฤษฎี ใช้หลักการอะไร มาสนับสนุนการพยากรณ์นั้น ต้องมีสติ ในการรับฟัง อย่างที่ได้บอกแล้วทุกอย่างมี เหตุ เป็นตัวกาหนด มีการกระทำของเราเอง มีกรรมอันเป็นของเราเอง ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า กรรมนั้นเป็นทายาท ย่อมส่งผลมาให้เสมอทั้งกรรมดี และกรรมไม่ดี ถ้าใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล มีสติ ก็สามารถจะผ่านพ้นปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ”