คุยกันในเรื่องการเรียนรู้โหราศาสตร์...พรสวรรค์และพรแสวง
... ท่านท้าวพิเภก โหราจารย์ ...
... วิชาโหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีมานานนับหลายพันปีสืบต่อกันมา...
... เป็นเรื่่องราวของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กับดวงดาวอย่างแน่นแฟ้น...การทำนายดวงชาตาก็ต้องอาศัย"ตกฟาก" คือ ...
เวลาที่เกิดของแต่ละบุคคล...นำมาหาลัคนาที่่แท้จริงของแต่ละบุคคล ... การที่เราเกิดเดือนมกราคมจะเป็นคนราศีมังกร...เกิดเดือนกุมภาพันธ์จะเป็นคนราศีกุมภ์...เกิดเดือนมีนาคมจะเป็นคนราศีมีนฯลฯ...ยังเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก...ความเป็นจริงก็คือ...การที่่เราจะรู้ว่าลัคนาราศีอะไรนั้้้้น...
...ขึ้นอยู่กับเวลาเกิดของเราต่างหาก ...
... สมมุติเช่นคนที่เกิดวันเดียวกันแต่เวลาเกิดต่างกัน...ย่อมต้องเป็นคนละราศีกันอย่างแน่นอน ...
...ยกตัวอย่างดังนี้้่คือในวันนี้ ถ้าเกิดเวลาประมาณตี ๕ - ๗.๓๐ น.จะเป็นคนราศีสิงห์...ถ้าเกิดเวลา...
...ประมาณ ๗.๓๑ - ๑๐.๑๐ น.จะเป็นคนราศีกันย์...ถ้าเกิดเวลา ๑๐.๑๑ - ๑๓.๐๐ น.จะเป็นคนราศีตุลย์...
...จะเป็นเช่นนี้ไปจนครบ ๑๒ ราศี...การที่ทั่วไประบุว่าคนที่เกิดระหว่างกลางเดือน ส.ค.ไปถึงกลางเดือน...
...ก.ย.เป็นชาวราศีสิงห์...คนที่เกิดระหว่างกลางเดือนก.ย.ไปถึงกลางเดือน ต.ค.เป็นชาวราศีกันย์...
...คนที่เกิดระหว่างกลางเดือน ต.ค.ไปถึงกลางเดือน พ.ย.เป็นชาวราศีตุลย์ เป็นต้น...
...การที่ทั่วไปกล่าวเช่นนั้นเป็นการทำนายแบบคร่าวๆรวมๆ...ซึ่งก็ไม่ถูกต้องนัก...แต่การจะรู้ว่า...
...เป็นคนราศีอะไรที่ชัดแจ้ง...ต้องรู้จากเวลาเกิดของบุคคล คนนั้นต่างหากจึงจะเป็นลัคนาที่แท้จริง...
...ก็คือเวลาตกฟาก...ที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ตอนต้นนั่นเอง...มีกรณีพิเศษเช่น...บุคคลที่เกิดวันเดียวกัน ปีเดียวกัน...
...เวลาตรงกัน...ลัคนาจะต้องเหมือนกันแน่นอน...การทำนายก็จะมีกฏเกณฑ์เพิ่มขึ้นมาอีกคือ...
...ต้องดูจากชาติกำเนิดอีกที...ยกตัวอย่างอธิบายดังนี้คือ...
...ภูเขาที่สูงใหญ่ย่อมมีตำแหน่งที่สูงสุด...ส่วนกลางภูเขา...และส่วนปลายภูเขา...บุคคลที่เกิดใน...
...ราชวงศ์กษัตริย์...ต่อไปภายภาคหน้าย่อมได้เป็นกษัตริย์...แสดงว่าเกิดในที่สูงสุด...ส่วนบุคคลที่...
...เกิดในตระกูลพ่อค้าหรือข้าราชการสูงศักดิ์...ก็ย่อมต้องเจริญรอยตามบรรพบุรุษ...
...แสดงว่าเกิดในส่วนกลางสุดท้ายบุคคลที่เกิดมาต่ำต้อย...ยากไร้...แต่ต่อมาได้เป็นถึงพระสังฆราช...
...ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดของสงฆ์...แสดงว่าเกิดที่ต่ำสุดคือปลายภูเขา...ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด...
...เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตามประวัติบุคคลสำคัญต่างๆในโลกใบนี้...
... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...
...สรปจึงเป็นการยืนยันเรื่องว่าคนที่เกิดวันเดียวกัน...แต่ตกฟากไม่เหมือนกัน...ย่อมต้องเป็น...
...คนละราศีและ...ชีวิตความเป็นอยู่จะต้องแตกต่างกันอย่างแน่นอน...แต่ถ้าเกิดวันเดียวกันและเวลาตกฟาก...
...เหมือนกัน...วิถีชีวิตย่อมต้องคล้ายคลึงกัน...แล้วแต่ว่าชาติกำเนิดจะมาจาก...สูง...กลาง...ต่ำ...
...ตามที่ได้อธิบายไปแล้วในเบื้องต้นแล้วนั่นเอง...
...ตั้งแต่โบราณมาบรรดาครูโหรทั้งหลายล้วนศึกษามาจากรากเง่าเดียวกัน[เปรียบดังสำนักเสียวลิ้มยี่ที่เป็นต้นกำเนิดของวิชา]ทั้งสิ้นดังนั้นเมื่อมาพูดในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์ความหมายหลัก...ความหมายของดวงดาวต่างๆกฏเกณฑ์ในเรื่องดาวทำมุมโยค...ตรีโกณจตุโกณความหมายของเรือนชาตาหรือภพต่างๆย่อมต้องเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นเกษตร๒เรือนหรือเกษตรเรือนเดียว...บรรดาครูโหรทั้งหลายก็เปรียบเหมือนจอมยุทธที่ศึกษามาจากสำนักเสียวลิ้มยี่[ต้นกำเนิด]แล้วมาแตกแขนงเป็นสำนัก ...
... บู๊ตึง.ฮั่วซัว.คุนลุ้น.ง่อไบ๊.เตียมชังฯลฯ.เป็นเอกเทศ...อันวิชาเปรียบเสมือนดุจดั่งอาวุธ.วิชาโหราศาสตร์ก็เป็นดุจเดียวกันคือ มีระบบเกษตร๒เรือน.ระบบเกษตรเรือนเดียว.ระบบ๑๐ลัคนา.ระบบโหราศาสตร์สากล.ยูเรเนียน...ทุกวิชาย่อมมีความโดดเด่น ในตัวของมันเอง...จะไปว่าระบบไหนเด่นกว่าหรือด้อยกว่ากันก็ไม่ใช่.เพราะในแต่ละวิชาที่กล่าวมานี้.ถ้าผู้ที่เรียนวิชาต่างๆนี้ไม่ มีทักษะหรือญาณในการทำนาย...ไม่ว่าวิชาของระบบไหนก็จะต้องผิดพลาดอย่างแน่นอน.เป็นที่บุคคลไม่ใช่หลักวิชา ...ที่จริงควรจะเรียนวิชาที่ใกล้เคียงกันเช่นระบบเกษตรเรือนเดียวกับระบบเกษตร๒เรือน.เพราะผิดกันเล็กน้อย...เพราะเวลา ทำนายดวงชาตาเปรียบเสมือนเราหยิบดาบเข้าฟาดฟันแต่กระบี่พลันหลุดมือ.ก็สามารถควักหยิบมีดสั้นหรือดาบที่พกติดตัวมาก็จะทำ ให้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที ...สรุปไม่ว่าวิชาใดล้วนดีด้วยกันทุกวิชา...อยู่ที่ผู้ทำนายต่างหากว่ามีความสามารถเพียงพอหรือไหม ผิดพลาดประการใดไม่ไช่โทษวิช ... สวัสดีครับ ...
...พรสวรรค์และพรแสวง...
...ในระบบโหราศาสตร์ทุกระบบ...ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ไทยหรือ...โหราศาสตร์สากล...จะมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ประการคือ...
๑.จักรราศี
๒. ดาวพระเคราะห์
๓. เรือนชาตา
...ส่วนประกอบทั้ง ๓ ประการนี้...จะมีความหมายและหลักในการใช้เหมือนกันหมด...ไม่ว่าจะเป็นระบบใด...
...แต่ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ระบบนั้น...บางระบบอาจจะใช้เฉพาะการผสมกันระหว่าง...
...ดาวพระเคราะห์กับเรือนชาตาหรือ...ดาวพระเคราะห์กับดาวพระเคราะห์...
...ส่วนระบบยูเรเนียนบางระบบใช้เฉพาะ...
...การผสมกันของเรือนชาตากับดาวพระเคราะห์...เหมือนกับโหราศาสตร์ไทยทั่วไป...แต่ก็มีบางระบบที่ใช้การผสม
กันทั้ง...จักรราศี...ดาวพระเคราะห์...และเรือนชาตา...ทั้งหมดเลย...
...วิชาโหราศาสตร์นี้เป็นทั้ง " ศาสตร์ " และ " ศิลป์ " ซึ่งรวมอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ออก...มิใช่ว่าการเรียนรู้โหราศาสตร์
จนจบทฤษฎีแล้วนั้น...จะสามารถทำนายทายทักผู้คนได้อย่างแม่นยาและเฉียบขาด...เพราะความหมายของ...
ดวงดาว...เรือนชาตา...จักรราศี...มีความลึกซึ้งเกินกว่าที่ทุกคนจะเรียนรู้ได้แตกฉานได้ในเวลาอันสั้นๆ...เพียงไม่กี่วัน...
ไม่กี่เดือน...หรือว่าไม่กี่ปี...
...ขั้นแรกทุกคนจะต้องมีความเข้าใจก่อนเป็นพื้นฐาน...และที่สำคัญ...ผู้ที่จะทายดวงชาตา...อนาคตได้แม่นยำนั้น...
จะต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ก็คือต้องมีทักษะและสิ่งที่เรียกว่า " ญาณ " หยั่งรู้ที่มีมาแต่กำเนิดด้วย...
...โหราจารย์แต่โบราณสามารถทายอนาคตได้อย่างแม่นยำดุจดั่งมี " อนาคตังสญาณ " เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก...
เช่น...ท่านโหรญาณได้เคยทายกับเพื่อนโหรด้วยกันว่า " ขุดลงไปตรงนี้...จะมีปลาอยู่ ๔ ตัว " ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้...
...แต่พอได้ขุดลงไปจริงๆกับปรากฏพบว่ามีปลา ๔ ตัวอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆในดินตรงนั้นจริง...?
...อีกท่านหนึ่งคือ ...ท่านขุนชอบ... ปรมาจารย์วิชา ๑๐ ลัคนา...ท่านพูดกับคนสนิทว่า ...
" วันนี้มีเคราะห์...คิดว่าวันนี้จะไม่ออกไปไหนดีกว่า " พอกล่าวจบ ท่านก็เดินขึ้นบันไดไปบนบ้าน เพียงไม่กี่ขั้นบันได
...ปรากฏว่ากระดานไม้ผุ...ทำให้ร่างท่านล่วงลงมา ๒ ขั้นบันได...บาดเจ็บเล็กน้อย...ท่านก็บ่นพึมพำขึ้นมาว่า...
..." ขนาดรู้ว่าจะมีเคราะห์ อยู่บ้านแท้ๆ ยังโดนจนได้นะนี่ "
... อ.พลูหลวง ... เคยเขียนในบทความของท่านว่า ...
มีเพื่อนโหรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ อ.สังข์ [ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ] ทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ กล่าวคือ...
อ.สังข์มาที่บ้าน อ.พลูหลวงมองไปที่ตู้โชว์มีกล้องถ่ายรูปวางอยู่ ๑ ตัว แต่ท่านกลับกล่าวขึ้ันมาว่า...
" ต่อไปในอนาคต...คุณจะมีกล้องทั้งหมด ๙ ตัว..." ซึ่งในตอนนั้นท่าน อ.พลูหลวงก็ได้แต่แปลกใจ
เท่านั้นเอง...แต่กาลต่อมาอีกหลายปี อ.สังข์ ถึงแก่กรรมไปแล้ว...ท่าน อ.พลูหลวงก็มีกล้องถ่ายรูปอยู่ใน
ตู้โชว์ ๙ ตัวจริงตามคำทำนายของ อ.สังข์ ... [จริงทั้งหมด] ...
...ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ที่ไม่มี ...ญาณพิเศษ... ก็ไม่ต้องตกใจนัก...เพราะญาณพิเศษก็คือ " พรสวรรค์ "
ส่วนความขยันก็คือ " พรแสวง " นั่นเอง...
...ในเมื่อเราไม่มีพรสวรรค์...เราก็ต้องยึดมั่นในบทเรียนของวิชาต่างๆที่เรียนรู้ และซ่อมแซมส่วนที่ขาดตก
บกพร่องของเรา...เช่นพยายามรวบรวมสถิติ...แสวงหาตำราจาก อ.ต่างๆที่ทรงคุณวุฒิฯ มาเสริมให้รัดกุมขึ้นมาอีก
การที่เราจะเรียนวิชาโหราศาสตร์จากตำราต่างๆซึ่งแตกต่างสำนักกันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม...
...วิชาโหราศาสตร์จาก อ. ผู้ทรงคุณวุฒินั้นๆ ล้วนมาจากรากฐานเดียวกันมาทั้งสิ้น...เพียงแต่แตกต่างออกไปจากกัน
บ้างบางส่วน ...แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งของเดิมที่ได้ศึกษากันมาแต่แรกเริ่ม กฏเกณฑ์โหราศาสตร์ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ
...ตามโบราณที่กล่าวไว้ว่า...
...อันความรู้...รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว...แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล...
...ถ้าจะตีความกันจริงๆนั้นหมายความว่า...คนเราถ้าจะศึกษาในวิชาใดก็ตามถ้าหมกมุ่นพากเพียรในวิชานั้นๆ
ก็จะเกิดความสำเร็จตามมาอย่างแน่นอน เช่นศึกษาโหราศาสตร์ก็ทุ่มเทให้กับวิชานี้ ถ้าศึกษาวิทยาศาสตร์ก็
พากเพียร คิดค้น ค้นคว้าฯลฯ ถ้าศึกษาดาราศาสตร์ก็มุมานะอย่างเต็มที่กับงานดาราศาสตร์...
...มีผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์บางคน...คิดว่าความหมายของกลอนหมายถึง การที่จะต้องเรียนรู้กับครูบาอาจารย์เพียง
ท่านเดียวก็จะประสบความสำเร็จตามคำกลอน...นั้นน่าจะไม่ถูกต้องนัก...นั้นเพราะว่าวิชาของสำนักโหรทั้งหลายรวม
เรียกขานก็ต้องใช้คำว่า...วิชาโหราศาสตร์ทั้งสิ้น เพราะเป็นวิชาแขนงเดียวกัน ชื่อเหมือนกัน แต่จะแยกเกร็ดเคล็ดลับ
ออกไปเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องมีเค้าโครงจากของเดิมมาก่อนแล้วทั้งสิ้น...
...นิทานหรือนิยาย ย่อมต้องนำมาจากของจริง ชีวิตจริงล้วนๆ ดังนั้นผมจึงยกตัวอย่างมากล่าวดังนี้...
...เปรียบเทียบกับวิชาของสำนักเสียวลิ้มยี่ซึ่งเป็นต้นแบบวิชาหลักที่มาตราฐาน...
...แต่ก็มี อ. หลายๆท่านออกไปตั้งสำนักใหม่ขึ้นมา และคิดค้นวิชาประจำสำนักขึ้นมาใหม่...
...แต่ก็แตกแขนงมาจากพื้นฐานเดิมทั้งสิ้น...เช่น ...ท่านเตียซำฮง...ปรมาจารย์สำนักบู๊ตึ๊ง ก็มาจากสำนักเสียวลิ้มยี่
...ท่านก๊วยเซียง ...ปรมาจารย์สำนักง่อไบ๊ก็มาจากรากฐานของเสียวลิ้มยี่เช่นกัน...ดังนั้น...
...หากเรียรู้วิชาต่างๆได้ครบสิ้นกระบวนความ...เวลาออกรบ...ก็สามารถใช้ได้ทั้ง...ดาบ...กระบี่...มีดสั้น...หอก...
...ธนู...และปืนฯลฯ แล้วแต่ว่าจะหยิบฉวยอะไรได้ก่อน...
... ดังนั้นเวลาดวงชาตาให้ผู้คน...แรกๆใช้วิชาเบสิค มองไปในดวงชาตาก็เห็นแนวทางของ อ.ส.ไชยนันท์ ขึ้นมา ...
...มองไปไปทางด้านหนึ่งก็เห็นแนวทางของ อ.อรุณ ลำเพ็ญ มองไปอีกมุมก็เห็นแนวทางของ อ.ประทีป อัครา
...ถ้าเกิดเริ่มตัน...ก็เห็นแนวทางของ อ.พลูหลวง เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที...ดังนั้นเวลาดูดวงชาตาคน...
...ก็สามารถหยิบฉวยวิชาของปรมาจารย์ต่าง เอามาใช้ได้อย่างทันท่วงทีไม่มีการอับจนอย่างเด็ดขาด...
...เวลาดูดวงชาตานั้น...ตัวเรา ประสาทตา ความนึกคิด วิ่งรวดเร็วยิ่งกว่า คอมพิวเตอร์เสียอีก...
ยิ่งถ้าเรามีข้อมูลหลักวิชาในสมองบรรจุอยู่แล้วอย่างเต็มเปี่ยม...การทำนายก็จะไม่เป็นปัญหาใดๆแน่นอน
...เรียกว่าดูดวงได้แบบที่ว่า " คม...ชัด...ลึก..." อย่างแน่นอน...
...สรุปได้ว่า...ในเมื่อเราไม่มี ...พรสวรรค์... เราก็ต้องขวนขวายให้มี ...พรแสวง...ให้จงได้...
...แต่ถ้าผู้ใดมีทั้ง ...พรสวรรค์และพรแสวง... ทั้ง ๒ อย่าง...
...จัดเป็นสุดยอดโหราจารย์ในทางโหราศาสตร์อย่างแท้จริง...
... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...
...สิ่งสำคัญที่จะเรียกว่าเป็นโหราจารย์ต้องสำเร็จทั้ง ๓ ภาคของวิชาโหราศาสตร์ครบถ้วนคือ...
๑. ภาคคำนวณ
๒. ภาคพยากรณ์
๓. ภาคพิธีกรรม
...ท่านโหราจารย์ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมจน ท่าน อ. ส.ไชยนันท์ได้ตั้งฉายาชื่อว่า " วิญญาณโหราศาสตร์ "
...โหราจารย์ท่านนั้นก็คือ ...ท่าน อ.พลูหลวง... ผู้ล่วงลับไปแล้ว...นั่นเอง...
...และ ท่าน อ. ส.ไชยนันท์ ย่อมต้องเป็น...วิญญาณโหราศาสตร์ ด้วยเช่นกัน...
...เปรียบดั่ง ...พระอรหันต์ด้วยกัน... ย่อมรู้วาระจิตซึ่งกันและกัน...
...เป็นเยี่ยงนี้อย่างแน่แท้...แล้วพบกันใหม่...สวัสดีครับ...