หน้าหลัก

Tel. 081 - 977 - 3523 , 089 - 536 - 9522

อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม

... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...

... E- mail: exguitarhora@gmail.com ...

... Tel. 089-536-9522 , 081-977-3523 ...

ASTROLOGY โหราศาสตร์ไทยโบราณ

... ปฏิจจสมุปบาป ...

... การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องได้ประสบพบเจอกันโดยถ้วนหน้า ไม่มีผู้ใดสามารถหลุดพ้น ...

นอกจากบุคคลทั้งหลายจะได้บรรลุธรรมได้เป็นอริยบุคคล ตามลำดับขั้นตอนจาก "พระโสดาบัน " ลุล่วงมาสู่ ...

" พระสกิทาคามี "...ล่วงเลยมาถึง " พระอานาคามี " จนกระทั่งบรรลุถึงขั้นตอนสุดท้ายก็คือ " พระอรหันต์ " ซึ่งพระอรหันต์ยังแบ่งออกเป็น ๔ ประเภทได้แก่ ...

๑. พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก

๒. พระอรหันต์เตวิชโช

๓. พระอรหันต์ฉฬภิญโญ

๔.พระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต

... จึงจะสามารถหยุดยั้ง การเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างถาวร ... ดังนั้นทุกคนควรจะต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท ...ระลึกเสมอว่า ...ทุกคนมีกรรมแห่งตนเองติดตัวมาด้วยกันทุกคน ... จงหมั่นสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะได้ตัดทอนกรรมชั่ว ที่ติดตัวมาให้เจือจางลงไป ... จนกระทั่งหมดลงไปในที่สุด ... ของบั้นปลายชีวิต ...

... มนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่อยู่ใต้ท้องฟ้า มีชีวิตความเป็นอยู่ผูกพันเกี่ยวข้องกับท้องฟ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด มีทั้งความสุขสบาย และความทุกข์ยากเดือดร้อนในการดำรงชีวิต แสงสว่าง และความอบอุ่นมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งสถิตอยู่บนท้องฟ้า ส่วนแสงสว่างในยามราตรี ก็มาจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า...โหราศาสตร์จึงแบ่งราศีเป็น ๒ ภาค...คือภาคกลางวัน เริ่มนับตั้งแต่ราศีสิงห์

เป็นอันดับแรก [ ทวนเข็มนาฬิกา ] ตามไปที่ราศีกันย์ไปจนถึงราศีมังกร ๖ ราศีเป็นภาคกลางวัน ... นับจากราศีกรกฏไปที่ราศีพฤศภ ...[ ตามเข็มนาฬิกา ] จนถึงราศีกุมภ์ ๖ ราศี เป็นภาคกลางคืน ...

... วิชาโหราศาสตร์หมายถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาและมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ดวงดาวที่โคจรโดยรอบดวงอาทิตย์ซึ่งอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล พลังที่มีอิทธิพลและอำนาจจะส่งผลไปกระทบกับสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายบนผิวพื้นพิภพและผลที่เกิดจากการได้เฝ้ามอง และคอยติดตามศึกษาถึงพลังอำนาจอันเร้นลับจากดวงดาว มานานเป็นเวลานับหลายพันปี จึงทำให้บรรดาเหล่านักปราชญ์ทางด้านวิชาโหราศาสตร์ นำเอาผลการปรากฏการณ์ของดวงดาวที่ตนได้ค้นพบ แล้วนำมาสร้างเป็น

กฏเกณฑ์ต่างๆ เพื่อที่จะนำมาใช้ในการพยากรณ์ต่างๆให้บังเกิดผลดี ถูกต้องและแม่นยำอย่างน่าพิศวงเหตุผลแห่งความเป็นจริงนี้ จึงทำให้เกิดความเชื่อถือยอมรับถึงพลังอำนาจและอิทธิพลของดวงดาวที่มีผลต่อมวลหมู่มนุษย์ จึงทำให้เกิดการศึกษาค้นคว้าสืบต่อเนื่องกันมายาวนาน เพื่อพิสูจน์ให้มนุษย์โลกรู้ซึ้งถึงพลังอำนาจอันเร้นลับจากดวงดาว...

... ทุกหลักการวิชาโหราศาสตร์ในแต่ละแขนง ให้ความเชื่อถือและยอมรับความเป็นจริงถึงพลังอำนาจอันเร้นลับของดวงดาว ...ที่สามารถส่งกระแสอิทธิพลไปสู่สรรพสิ่งที่มีชีวิตได้อย่างแท้จริง จึงได้นำหลักการต่างๆนำมาเป็นเครื่องชี้แนะบอกวิถีทาง...แห่งชีวิต ของแต่ละบุคคล ผลอันเกิดจากอิทธิพลนี้ เราเรียกกันว่า...

" โชคชาตา " และจะเป็นไปตาม "ลิขิตแห่งกรรม"ที่ไดัติดตามตัวมาแต่กำเนิดเป็น " แผนผังของชีวิต " อันจะเป็นคุณสมบัติประจำตัวของแต่ละ ... บุคคลซึ่ง ... ทำให้มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปแม้ว่าจะเกิด วัน เดือน ปีเดียวกัน ...

... จักรวาลจำลอง ...

... เวลาเกิดของแต่ละบุคคลจะเป็นเครื่องชี้วัดชัดเจนได้ว่า บุคคลนั้นๆ ลัคนาจะอยู่ในราศีอะไรทั้งๆทีเกิดวัน เดือน ปีเดียว

กัน ราศีจะเคลื่อนไปทีละราศีจนครบ ๑๒ ราศี ซึ่งเราเรียกว่า ลัคนาตามเวลาของแต่ละบุคคลที่กำเนิดเกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ เป็นสิ่ง ... ที่จริงแท้และแน่นอนที่สุดนั่นก็คือ เวลาตกฟาก นั่นเองที่จะบ่งบอกลัคนาราศีของทุกๆคนในโลกใบนี้ ...

... ลัคนาคืออะไร?... ลัคนาเปรียบเสมือนเป็นบ้าน ยี่ห้อหรือ ป้าย ที่ระบุบอก ตระกูลหรือชนชั้น ของแต่ละบุคคลว่าจะเป็นบุคคลแบบใด ก็คือราศีต่างๆ เริ่มต้นตั้งแต่ ราศีเมษ ราศีพฤษภ ราศีมิถุน ราศีกรกฏ ราศีสิงห์ ราศีกันย์ ราศีตุลย์ ราศีพฤศจิก ... ราศีธนู ราศีมังกร ราศีกุมภ์ ราศีมีน ...

... โหราศาสตร์ในประเทศไทยจะเรื่มมีมาตั้งแต่สมัยใด ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด แต่ว่ามีหลักฐานบางประการได้บ่งบอก

ชี้แน่ชัดว่าในสมัยหลายพันกว่าปีมาแล้วนั้น โหราศาสตร์ได้มีอยู่แล้วในผืนแผ่นดินไทย จากหลักศิลาจารึก ที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อันเป็นหลักศิลาหลักที่ ๒๓ จารึกไว้ตอนหนึ่งว่า ศากราเช มุนิน วรสไกร มุมาธไวกาทศาเหโกสี

รลคุเน กฤคุสุต สหิเตเตศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีของ กรมศิลปกรสยามแปลไว้ว่า ...

... มหาศักราช ... ๖๙๗ ... [ พ.ศ.๑๓๑๘ ] ขึ้น ๑๑ ค่ำ ... มาธวมาสเดือน ๖เมื่อลัคนาพร้อมกับพระศุกร์ อุทัยในราศีกรกฏ ...

... นี่เป็นการยืนยันว่า...โหราศาสตร์ในแผ่นดินสยามเราได้มีมานานแล้ว ...

... ท้าวพิเภกบรมครูโหร ...

... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...

... โหราศาสตร์ในอินเดีย มีมานานหลายพันปีโหราศาสตร์ของไทยอาจจะได้รับความรู้มาจากโหราศาสตร์ของอินเดียก็น่า

จะเข้ามาพร้อมกับวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา...ในยุคสมัยศรีวิชัย ซึ่งเข้ามาทางใต้ก่อนและในปัจจุบัน ระบบโหราศาสตร์ทางภาคใต้ หรือที่เรียกว่าระบบ " โหรนคร " มีระบบเป็นของตนเอง ผิดแผกจากระบบโหรภาคกลาง และโหรทางภาคเหนืออยู่บ้าง อย่างไรก็ดี การรับถ่ายทอดวิชาโหราศาสตร์ เข้ามาจากอินเดีย จริงอยู่ ชื่อที่ใช้เรียกดาวก็ดี เรียกนักษัตร์ฤกษ์ และอีกหลายๆอย่าง ยังคงรูปส่วนใหญ่ตามภาษาบาลี และสันสกฤต ตามรูปแบบเดิมของทางอินเดีย ...

... พ่อปู่บรมครูโหร ...

... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...

... ระบบทักษาที่นำมาเสริมใช้กับวิชาโหราศาสตร์นั้น ทางโหราจารย์แต่โบราณก็นำมาจากของอินเดียซึ่งมีหลายร้อยวิธี ...

ทางอินเดียเขาเรียกกันว่า " ทศา " ทางไทยเรามาเปลี่ยนเป็น " ทักษา " จึงเป็นเรื่องยืนยันได้ว่า โหราศาสตร์ทางอินเดียได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยนานมาแล้ว ...

... วิชาโหราศาสตร์เป็นวิทยาการเก่าแก่มีมานานคู่กับมนุษย์โลกวิชาหนึ่ง ...

...โหราศาสตร์ ...ไม่ใช่วิชาลึกลับซับซ้อน ซ่อนเร้นแต่อย่างไร ความยุ่งยาก … วุ่นวาย สับสนเกิดจากตำรับ … ตำราหรือ …ครูบาอาจารย์ผู้สอนนำเอากฏเกณฑ์ที่น่ามึนงง สับสน เอามาใช้กันต่างหาก เอาตำรามาปู้ยี่ปู้ยำ ใช้กันอย่างสะเปะสะปะ ... หรือว่า ...

กฏเกณฑ์ต่างๆที่ล้าสมัยทำให้ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนต้องเสียเวลาไปเปล่าๆเพราะไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จำกันไปผิดๆเสียมาก

การประสบความสำเร็จจากการเรียนโหราศาสตร์เกิดขึ้นจากการพยายามจดจำหลักเกณฑ์ที่สำคัญต่างๆ เช่น ทำความเข้าใจกับราศีทั้ง ๑๒ ให้ได้อีกทั้งรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ มีจักรราศีดวงดาว เรือนชาตา ภพเรือน ตรีโกณ จตุโกณฑ์ มุมโยค มุมเบียน มุมเล็งฯลฯ ...

... ZODIAC ...

... อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อมีผู้มาให้ตรวจดูดวงชาตา เวลาเขาบอกเรื่องราวในชีวิตขึ้นมา ผู้พยากรณ์ก็ต้องรีบตรวจ

จากดวงชาตาของเขาในทันทีว่ามีจริงหรือไม่ ... เช่นเขาบอกว่า ... ลูกผมอยู่กับย่าตั้งแต่เด็ก ...ผมอาศัยอยู่บ้านแม่ยาย ...

เมียผมเป็นทายาท ๑๐๐๐ ล้าน ... ผมทำงานที่ไหนไม่เคยทนเลย ...พี่น้องมักมาเบียดเบียนผม บางคนก็ว่า สามีหนูฆ่าเพื่อนโดยการ " นั่งยาง" แล้วเอาศพใว้หลังบ้านจะโดนจับใหม? แล้วหนูจะเดือดร้อนด้วยใหม? ฯลฯ ผู้พยากรณ์จะต้องตรวจหาให้

เจอ ... ถ้าไม่มีตามที่เขาพูดมาถือว่า ... ผิดดวง ต้องตรวจสอบหาข้อมูลใหม่ทันที ...

... สรุปได้ว่า โหราศาสตร์ไทยมีระบบของตนเองอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้รับโหราศาสตร์จากอินเดียเข้ามาก็ได้กลั่นกรองพิสูจน์ความมีเหตุและมีผลแล้ว จึงได้นำเข้ามาร่วมเป็นกฏเป็นเกณฑ์ของโหราศาสตร์ไทย สำหรับคนไทยเรามีความผูกพันกับศาสตร์นี้ แต่ยุคโบราณและทุกวันนี้ก็ยังไม่เสื่อมคลาย จัดได้ว่าเป็นที่พึ่งทางใจและเป็นปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจในการดำเนินชีวิตให้กับบุคคล นับว่าเป็นศาสตร์ที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อสังคมเป็นอย่างมาก ...

เรื่องจริงจากประสพการณ์

... อ.ธนเทพ ปฎิพิมพาคม ...

... อ.ธนเทพ ปฎิพิมพาคม ...

อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม

... ดวงกาลชาตา ...

... หัวใจยาม ...

... เรื่องที่ ๑ คนตาย ...

เมื่อประมาณ ๑๕ ปีที่แล้ว พี่ชายของข้าพเจ้าได้โทรศัพท์มาหาแล้วพูดว่า...

"เอ็กซ์ช่วยตรวจดูดวงให้หน่อยซิ ... พี่เขยพี่เจ็บหนักตอนนี้อยู่ห้องไอซียูจะรอดไหม? "

ข้าพเจ้าตรวจดูหัวใจยามดูแล้วตอบไปว่า ...

" ให้ระวังภายใน๔ ช.ม.หริออย่างช้า ๔ วันหัวใจยามยามบอกว่าน่ากลัวจะไม่รอดนะ่! ... พี่อู๊ด ..."

พี่อู๊ดก็รีบโทรไปบอกภรรยาให้ระวังพี่ชายของตัวเอง หลังจากนั้นผ่านไป ๒ วัน พี่ชายโทรมาบอกว่า...

"เอ็กซ์...หมอให้พี่เขยพี่กลับบ้านได้ไม่เป็นไรแล้ว ..."

ข้าพเจ้าก็ดีใจที่ทายผิดแล้วคนไม่ตาย บอกพี่ชายไปว่า

"พี่อู๊ด ... ดีแล้ว. .. ที่ทายผิด ... คนไม่ตาย ..."

แต่พออีก ๒วันต่อมา พี่ชายโทรกลับมาอีกครั้งบอกว่า ...

" เอ็กซ์เธอทายถูก...พี่เขยฉันตายวันนี้แล้ว ครบ ๔วันที่ทำนายพอดี"

ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจ ... แต่ก็ยืนยันเรื่องได้ว่า ...

ยามกาลชาตา ... มีความแม่นยำ ... และแน่นอน ... อย่างที่สุด ...

... เรื่องที่ ๒ คนหาย ...

เมื่อปี ๒๕๔๕ เจ๊ชมพู่ ... คนข้างๆบ้านได้เข้ามาหาข้าพเจ้าที่บ้านแล้วถามว่า ...

"อาจารย์เอ็กซ์ ... ลูกชายหนูหายไปร่วม ๑ อาทิตย์เขาจะกลับมาไหม?... และเมื่อไหร่? "

ข้าพเจ้าตรวจดูหัวใจยามแล้วตอบว่า " กลับแน่ ... ภายใน ๗ ช.ม.หรือไม่เกิน ๗ วันหลังจากนี้ " ...

... ผู้ถามมองหน้าผมแบบวิตกกังวล ... เหมือนไม่ค่อยแน่ใจในคำทำนาย ...

พอหลังจากวันนั้น ๑ อาทิตย์ต่อมา ... เจ๊ชมพู่คนเดิมก็กลับมาหาอีกมาพร้อมกับลูกชายพลางกล่าวว่า ...

"อาจารย์! เมื่อวันที่หนูมาถามเรื่องลูกชายพอกลับไป ๗ ช.ม.เพื่อนลูกชายก็โทรมาบอกว่ามีคนเห็นลูกชายที่โรงเกลือเดี๋ยวจะตามเรื่องให้ และะอีก๖วันมันก็กลับมานี่แหละอาจารย์ ยามแม่นมาก ... ขอบคุณจ๊ะ "

... เหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้สรุปได้ว่า ยามกาลชาตาเมื่อได้ทำนายทายทักไปแล้ว...มักจะไม่เคยผิดพลาด...จริงๆครับ...

... เรื่องที่ ๓ ใช้ยามกับภาพยนตร์ ...

... เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๘ ปลายๆปี ตอนนั้นผมกำลังฟิตจัดในเรื่องยามอัฐกาล ... มีอยู่วันหนึ่ง ...

ดูหนังฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่ง จำชื่อเรื่องไม่ได้ ... นางเอกถูกจองจำรอคำพิพากษาอยู่ ... ผมจึงเกิดลุ้นว่า ...

นางเอกจะถูกตัดสินประหารชีวิตหรือไม่? ... ฉุกคิดขึ้นมาว่า ... เอเราลองจับยามดูซิว่าจะตอบเรื่องนี้ได้ไหม ...

ปรากฎว่าหัวใจยามตอบว่า ... นางเอกตายแน่ๆ ...

...ผมก็ดูต่อไปอีกสักครู่ ปรากฎว่าผลการตัดสินเป็นอันว่าว่านางเอก ... รอด ... ผมก็คิดว่า ... ชรอย...

ยามอัฐกาลคงใช้กับเรื่องพวกนี้ไม่ได้กระมัง ... ก็ไม่ติดใจดูอะไรอีก ... แต่พอใกล้จะจบปรากฏว่าพลิกล๊อค ...

เกิดมีพยานปากเอกเข้ามาให้คำให้การใหม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนนางเอกถูก ... ตัดสินให้ประหารชีวิต ...

... ผมจึงคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเป็นช่วงที่เราเกิดความคิดที่จะอยากรู้คำตอบในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ... ยามอัฐกาลสามารถให้คำตอบเราได้เป็นอย่างดี ... ในทุกเรื่องถ้ามีเจตนาที่จะรู้จริงๆไม่ใช่เป็นการ ... ลองของหรือ ... ลองวิชา ...

... ในปัจจุบันเวลาดูหนังดูละคร ... ผมสงสัยว่า ตัวเอกจะตายไหม ... ตัวร้ายจะตายหรือเปล่า ... ถามอยู่ตลอดไม่เคยผิดแม้แต่ครั้งเดียว ...

... เชื่อขนมกินได้เลย ไม่เคยพลาดเป้า [ลี้คิมฮวง] ... ทุกครั้งไป ...

... หัวใจยามเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่พิสดาร แต่แม่นยำดุจตาเห็น ถ้าผู้ที่มาถามอยากจะรู้จริง ๆ ...

... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...

... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...

... วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาแต่โบราณนับได้หลายพันปีขึ้นไป ... สืบต่อกันมายาวนานจนมาถึงในปัจจุบันวิชาโหราศาสตร์ไทยที่แท้จริงต้องเป็นการทายดวงชาตาล้วนๆ ... แต่ว่าในปัจจุบันมีคนเข้าใจผิดอยู่มากในเรื่องโหราศาสตร์ว่า การดูเลข ๗ ตัว การดูกร๊าฟชีวิต ... การดูดวงแบบ ๑๒ นักกษัตร...ไพ่ยิปซี ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่า"หมอดู" มิใช่โหราศาสตร์ ... เพราะวิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่พยากรณ์ตามระบบของดวงดาวบนท้องฟ้าและสิถิติต่างๆที่รวบรวมเก็บไว้เป็นข้อมูล ... การตรวจดูดวงชาตาของแต่ละบุคคลจะต้องมี วัน เดือน ปี และเวลาเกิด สถานที่เกิดมาประกอบกัน ...

... จึงจะสามารถที่จะพยากรณ์ดวงชาตาต่างๆนั้นได้สมบูรณ์และแม่นยำ ...

... ในเรื่องเวลาเกิดนั้น ทางวิชาโหราศาสตร์เรียกว่าเวลา "ตกฟาก" ...

เมื่อรู้เวลาเกิดที่แท้จริง ...โหราจารย์จึงจะสามารถหาลัคนาที่แท้จริงของบุคคลคนนั้นขึ้นมาได้ ... คนทั่วไปส่วนมากคิดว่า ... ถ้าตนเองเกิดเดือนไหน ก็เป็นคนราศีนั้นเช่นเกิดเดือน เม.ย.ก็คิดว่าเป็นคนราศีเมษเกิดเดือน พ.ค.ก็จะเป็นคนราศีพฤษภฯลฯซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอยู่บ้างเหมือนกัน ... การที่เราจะรู้ว่าเราเป็นคนราศีอะไรนั้น ต้องคำนวณจากเวลา ...

"ตกฟาก"เท่านั้น

... จึงจะล่วงรู้ถึงลัคนา+ราศี ที่่แท้จริงได้ ...

... เพราะภายใน ๑ วัน ทุกคนสามารถเป็นคนราศีต่างๆได้ภายใน ๑๒ ราศี แล้วแต่ว่าท่านจะเกิดในเวลาใด ...

...โหราจารย์แต่อดีตมามีความรู้ความสามารถสูง แต่ในปัจจุบันวิชาของท่านโหราจารย์เหล่านั้นกลับสูญการถ่ายทอดไปเยอะ เพราะในอดีต ...วิชาโหราศาสตร์ถือเป็นวิชาที่ต้องหวงแหน ท่านผู้ใดคิดค้นตีความในคัมภีร์ได้ก็ถือเป็นเคล็ดลับเฉพาะประจำตระกูล ไม่ยอมถ่ายทอดให้ผู้อื่นนอกจาก ... บุตรและลูกศิษย์แห่งสำนักตนเท่านั้น นอกจากนี้สุดยอดวิชาที่หวงแหนยังเก็บไว้

ไม่ถ่ายทอดให้ใคร ... เพราะกลัว ลูกศิษย์ที่คิดล้างครูจะหักหลังตนในกาลข้างหน้าได้ ...

... จึงทำให้วิชาทีเด็ด ... เคล็ดลับกลเม็ดต่างๆต้องสาบสูญไปในที่สุด ...

... มาคิดๆดู ... ช่างเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ...

... ทำให้สุดยอดวิชาของท่านเหล่านั้นต้องตามท่านไปในปรภพด้วย ...ในที่สุด ...

... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...

... ผมทำเว็บไซด์นี้ขึ้นมาเพื่อจะรวบรวมวิชาโหราศาสตร์ของ อ.แต่ละท่านในประเทศสยามเรา ...

...ให้อยู่ควบคู่ไปกับโหราศาสตร์ไทย และเพื่อจะให้บุคคลที่ต้องการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ได้เข้ามาศึกษาที่นี่

... ผมจะเอาความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำราของ ปรมาจารย์โหร หลายๆท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้วนำมาเผยแพร่ ...

... ที่ เว็บไซด์ แห่งนี้ ...

... จุดประสงค์หลัก คืออยากให้ทุกคนได้เรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ เพื่อประดับภูมิปัญญาของตนเอง จะได้มีความละเอียดละออ

ในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รอบคอบ และมั่นคง สามารถช่วยตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด ทุกวันนี้เมื่อมีผู้ใดมาให้ผมแนะนำสั่งสอน ในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์ ผมก็ยินดีที่จะสอนวิชาโหราศาสตร์ให้โดย ไม่มีค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ...

...เพราะต่อไปจะมีตัวอย่างดวงชาตาต่างคำวิจารณ์ดวงชาตาหลากหลายเผยแพร่ต่อผู้ที่ต้องการจะเป็น นักโหราศาสตร์ต่อไป

ในอนาคตทุกท่าน...ซึ่งผมได้ลงไว่ที่...http://tanatepastrol.blogspot.com/ขอให้ทุก คนตามไปศึกษาได้...

...ยังมีอีกหลายเว็บครับ...ทีมีผลงานของผมอยู่ติดตามได้ที่...

http://exguitarhora.wix.com/exastrology

http://exguitarhora.wix.com/astrologer

http://k-am-po-n.wix.com/horasart#!home/mainPage

http://exguitarhora.wordpress.com/

...บทความต่อจากนี้จะเป็นตัวอย่างจากเว็บไซด์...

... แรกเริ่มเดิมทีตอนที่ผมศึกษาเรื่องดาวพระเคราะห์เสวยอายุของท่าน อ.พลูหลวง...

...ในตอนนั้น ...

... [ พ.ศ.๒๕๓๘ ] ผมเห็นว่าถ้าตอนเวลาดูดวงชาตาคน ถ้าเราต้องดูจากตารางวัย จะรู้สึกว่ายุ่งยาก

มาก...ผมนั่งมองตารางวัยไปเพลินๆ ชั่วภายใน ๑ - ๒ วินาทีในสมองผมก็แว๊บมาว่า ตรงจุดข้อต่อ

ระหว่างวัยดาว ๖ [ราศีตุลย์ ] จะไปวัยดาว ๓ [ราศีพฤศจิก ] มีข้อต่อในวัย ดาว ๒ และราหู [โลก ]...

ถ้าเวลาคนมาดูดวงเรามองจากดวงชาตาของผู้มาดู และนับวัยไปพร้อมกัน จะเร็วกว่าดูตาราง

แน่นอนก็เลยเช็คว่า..อยู่ในวัยดาวอะไร และดาวอะไรเสวย จากวิธีนี้ปรากฏว่า work และรวดเร็วกว่า

...ซึ่งรายละเอียดมีอยู่ที่บทความ...วิธีนับวัยระบบ อ.พลูหลวง...ซึ่งได้ลงไปแล้ว...

...ในเวลาต่อมา...ขณะที่กำลังอ่านหนังสือท่าน อ.พลูหลวงอยู่ ในสมองก็แว๊บมาเหมือนเดิม

ในเวลา ๑ - ๒ วินาที ว่า ในเมื่อนับวัยจากการดูที่ดวงชาตาได้แล้ว ถ้านับเป็นในแบบระบบทักษา

ก็น่าจะทำได้...

...พอคิดได้ ผมก็รีบหยิบปากกาและกระดาษมาในทันที ลองเขียนเป็นแบบ ๘ ตัวเหมือนทักษา

ทั่วๆไปปรากฏว่าไม่ลงตัว ก็ลองเขียนเพิ่มดาวเนปจูนกับดาวพลูโต รวมเป็น ๑๐ ดวง...

...เบ็ดเสร็จเรียบร้อยลงตัวพอดี...

.

... ผมก็เลยเผยแพร่ปรากฏมาเป็นภาพดังที่จะเห็น ดังต่อไปนี้ ...

...วิธีนับอายุ ดาวพระเคราะห์เสวยและดาวพระเคราะห์แทรก...

๑.ดาวอาทิตย์จะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๑ ปีไปจนถึง อายุ ๑๐ ปี

๒.ดาวพุธจะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๑๑ ปี ไปถึงอายุ ๒๐ ปี

๓.ดาวศุกร์จะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๒๑ ปีไปจนถึงอายุ ๓๐ ปี

๔.ดาวจันทร์จะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๓๑ ปีจนถึงอายุ ๔๐ ปี

๕.ดาวอังคารจะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๔๑ ไปถึงอายุ ๕๐ ปี

๖.ดาวพฤหัสบดีจะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๕๑ ไปถึงอายุ ๖๐ ปี

๗.ดาวเสาร์จะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๖๑ ปี ไปถึงอายุ ๗๐ ปี

๘.ดาวมฤตยูจะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๗๑ ถึงอายุ ๘๐ ปี

๙.ดาวเนปจูนจะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๘๑ ปีไปจนถึงอายุ ๙๐ ปี

๑๐.ดาวพลูโตจะเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๙๑ จนถึงอายุ ๑๐๐ ปี

...วิธีนับอายุดาวพระเคราะห์เสวย... [ ไม่นับที่ตากลาง ]

...ตัวอย่างที่ ๑...

...อายุ ๓๕ ปี...ให้เริ่มนับที่เลข ๑ เป็น ๑๐ ปี นับต่อไปที่เลข ๔ เป็นอายุ ๒๐ ปี นับต่อไปที่เลข ๖ เป็น

อายุ ๓๐ ปี...ถ้านับต่อไปที่เลข ๒ ก็จะเป็นอายุ ๔๐ ปี...จะเกินอายุ...เราก็นับหยุดที่เลข ๖ คือ ๓๐ ปี...

และนับต่อไปที่เลข ๒ เป็นอายุ ๓๑ ปี นับต่อไปที่เลข ๓ เป็นอายุ ๓๒ ปี นับต่อไปที่เลข ๕ เป็นอายุ...

๓๓ ปี นับต่อไปที่เลข ๗ เป็นอายุ ๓๔ ปี นับต่อไปที่เลข ๐ เป็นอายุ ๓๕ ปี ครบอายุที่ต้องการ...

...สรุปว่า...อายุ ๓๕ ปี อยู่ในวัยดาวดาว ๒ เสวย และมีดาวมฤตยูแทรก...

...ตัวอย่างที่ ๒...

...อายุ ๒๙ ปี...ให้เริ่มนับที่เลข ๑ เป็น ๑๐ ปี นับต่อไปที่เลข ๔ เป็นอายุ ๒๐ ปี นับต่อไปที่่เลข ๖ จะเกิน

อายุ...ให้หยุดนับอยู่ที่เลข ๔ เป็นอายุ ๒๐ ปี และนับต่อไปที่เลข ๖ เป็น ๒๑ ปี นับต่อไปที่เลข ๒ เป็น...

อายุ ๒๒ ปี นับต่อไปที่เลข ๓ เป็นอายุ ๒๓ ปี นับต่อไปที่เลข ๕ เป็นอายุ ๒๔ ปี นับต่อไปที่ เลข ๗ เป็น

อายุ ๒๕ ปี นับต่อไปที่เลข ๐ เป็นอายุ ๒๖ ปี นับต่อไปที่ตัว น.เป็นอายุ ๒๗ ปี นับต่อไปที่ตัว พ.เป็นอายุ

๒๘ ปี นับต่อไปที่เลข ๑ เป็นอายุ ๒๙ ปี...ครบอายุที่ต้องการ...

...สรุปว่า...อายุ ๒๙ ปี อยู่ในวัยดาว ๖ เสวย และมีดาว ๑ แทรก...

...ตัวอย่างที่ ๓...

...อายุ ๔๕ ปี...ให้เริ่มนับที่เลข ๑ เป็น ๑๐ ปี นับต่อไปที่เลข ๔ เป็น ๒๐ ปี นับต่อไปที่เลข ๖ เป็น ๓๐ ปี

นับต่อไปที่เลข ๒ เป็น๔๐ ปี นับต่อไปที่เลข ๓ จะเกินอายุเป็น ๕๐ ปีให้หยุดที่เลข ๒ เป็น ๔๐ ปี แล้วนับ

ต่อที่เลข ๓ เป็น ๔๑ ปี นับต่อไปที่เลข ๕ เป็น ๔๒ ปี นับต่อไปที่เลข ๗ เป็น ๔๓ ปี นับต่อไปที่เลข ๐ เป็น

๔๔ ปี นับต่อไปที่ตัว น.เป็น ๔๕ ปี...ครบอายุที่ต้องการ...

...สรุปว่า...อายุ ๔๕ ปี อยู่ในวัยดาว ๓ มีดาว เนปจูนแทรก...

...ลองพยายามไปทำดูด้วยตัวเองหลายๆครั้ง...ก็จะเกิดทักษะขึ้นมา และสามารถดูได้อย่างรวดเร็ว...

...เมื่อรู้ว่าดาวอะไรเสวย ดาวอะไรแทรกแล้ว ก็ไปดูในดวงเดิมว่า ดาว ทั้ง ๒ ดวงนี้ทำเชิงมุม ดีหรือร้ายต่อกัน...เป็นคู่มิตร คู่ศัตรู คู่ธาตุ คู่สมพล ฯลฯ กันหรือไม่...

[รายละเอียดให้ไปหาอ่านจากหนังสือของ อ.พลูหลวงได้ ]

...พบกันในบท สถิติดวงชาตา ฯลฯ ในบทความต่อไปกันนะครับ...สวัสดี...

เขียนโดย ธนเทพ ปฎิพิมพาคม

...สวัสดีครับ...

...ต่อไปนี้เป็นบทความสั้น...นิยายเรื่องจริง ของ อ.อรุณ ลำเพ็ญ ที่เขียนใน "โฮ๋ราสาด "

..."โฮ๋ราสาด" เป็นเรื่องจริงเขียนให้อ่านเล่น ถ้าอ่านเล่นก็จะได้รับความสนุกเพลิดเพลินเล่นๆ ถ้าอ่านจริงก็จะได้รับสาระความรู้ที่แท้จริง...

...ยามอัฎฐกาล...

วันนี้ ครูก้อนไปรับเบี้ยบำนาญ เสร็จแล้วก็แวะมาหาผมตั้งแต่เพลมีส้มสูกลุกไม้ติดมือมาฝากผมห่อใหญ่ตามประสาคนใจนักเลง และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือใบชาชั้นดีที่จะถวายหลวงตาชื้น ครูก้อนแกกระทำเป็นกิจวัตรทุกต้นเดือนที่ไปรับเงินบำนาญ ด้วยเหตุนี้แม้ผมจะถูกขัดคอจังๆ ก็โกรธแกไม่ลงสักครั้งเดียว เพราะนึกถึงคุณงามความดีของเพื่อน...

ทั้งสนทนาและวิสัชนาเรื่องโหราศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องคุยกันไม่รู้จบกระทั่งเที่ยงคล้อยต่างก็ชวนกันไปกุฏิหลวงตาเช่นเคย

เหมือนวันก่อนๆ...

พอก้าวขึ้นกุฏิไม่เห็นหลวงตา เห็นแต่เณรชั้วนั่งขัดสมาธิข้างอาสนะประจำที่ของหลวงตา เบื้องหน้ามีสตรีวัยกลางคนนั่งพับเพียบเรียบร้อย พอเณรเหลียวเห็นผมกับครูก้อนเข้ามาใกล้ก็กระเถิบห่างอาสนะออกมากระดากๆ คงเกรงจะถูกหาว่าตีเสมอหลวงตา...

“หลวงตาไปสวดมนต์และฉันเพลงานทำบุญบ้านนายอำเภอ”

เณรชั้วรีบบอกก่อนถูกถาม แล้วพยักหน้าไปทางสตรีวัยกลางคน “แม่บุญปลูก เขามาหาหลวงตา มีธุระเดือดร้อนมา ไม่พบหลวงตา จะให้ฉันช่วยดูให้ หมอเถากะครูมาก็ดีแล้ว ช่วยสงเคราะห์เขาสักหน่อยเถอะ”

“เมื่อกี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เณรทายอยู่แล้วไม่ใช่เร๊อะ”ครูถามยิ้มๆเพราะรู้นิสัยเณรชั้ว ว่าหลวงตาไม่อยู่มักชอบตั้งตัวเป็นโหรแทนหลวงตาเสมอ...

เณรชั้วยิ้มอายๆ เหมือนหญิงสาว “ทายลักษณะเขา รอๆหลวงตาน่ะ”

“อ้อ แม่บุญปลูก” ผมทักเพราะจำได้ว่าบ้านแกอยู่ท้ายตลาด

“รอพบหลวงตาไม่ดีกว่าเร๊อะ อีกสักครู่ก็คงจะกลับหรอก”

“ฉันรอไม่ได้ มันกำลังมีเรื่องร้อนใจเหลือเกิน” แม่บุญปลูกยกมือไหว้อ่อนน้อมน่ารัก “พ่อหมอเถา เมตตาช่วยดูให้สักหน่อยเถอะจ้ะมันเดือดร้อนจริงๆ”

ครูก้อนชายตาสบตาแม่บุญปลูก “เธอบอกวันเดือนปีและเวลาเกิด กี่โมงกี่ยาม ฉันจะลองผูกดวงชะตา ช่วยกันดูสงเคราะห์ทุกข์แม่บุญปลูก พอได้บ้าง”

“วันเดือนปีฉัน แม่แกไม่ได้จด มาตอนโตเป็นสาวนั่นแหละถึงได้รู้เพราะจะดูเนื้อคู่ แกจำๆเอา จำได้ว่าปีที่เขารบกันในกรุงเทพฯ

อีตอนที่เปลี่ยนจากในหลวงมาเป็นมีทายกรัฐบาลนั่นแหละ”

“เขาเรียกนายกรัฐมนตรีจ้ะ อ้ายทายกนั่นมันพวกวัดๆบ้านเรา”ผมท้วงแสดงภูมิ แล้วหันมาทางครูก้อน “ครูเคยเล่าเรียนมาลองนึก

ประวัติศาสตร์มันปีไหน”

“คงเป็นปีกบฎใหญ่หลังเปลี่ยนการปกครอง” ครูก้อนตอบช้าๆตรึกตรอง “ปีนั้น พ.ศ. 2476 ดูเหมือนเป็นปีจอ”

“ใช่จ้ะครู ฉันเกิดปีจอนี่แหละ แม่แกเลยเรียกฉันว่าอีหมาๆมาแต่เล็กๆ”

“แล้วเดือนล่ะ” ผมช่วยซัก

“แม่แกบอกว่าตอนเขาทอดกฐินกันที่วัดข้างบ้านน่ะแหละ”

“พระออกพรรษาวันแรม1ค่ำเดือน 11 ก็เห็นจะเป็นเดือนตุลาคม

ผมถนัดเรื่องเก่าๆก็เลยเดาเสียเองแล้วก็ถามต่อ “แล้ววันล่ะแม่บุญปลูก”

“วันประหัส” แม่บุญปลูกตอบทันใจ

“เวลาเกิดล่ะทีนี้ เวลานี่ล่ะสำคัญนัก” ครูก้อนกระเถิบเข้ามา

ถามใกล้ๆดูคล้ายๆกับจะชิงเอาหน้า

“แม่บอกว่าจำทุ่มยามไม่ได้เพราะไม่มีนาฬิกา จำได้แต่ว่า ตอน

พระจันทร์ขึ้นขอบฟ้าพอดี”

“ครูก้อนเกาหัวแกร็ก “เสร็จกัน เลยผูกดวงไม่ได้ฉิบ พระจันทร์

ขึ้นขอบฟ้าใครจะไปรู้ว่ามันกี่ทุ่ม”

“รู้ซีน่ะ” ผมรีบค้านแสดงความรู้อย่างภาคภูมิ “มันต้องใช้ทางโบราณคำนวณ ไม่ยากหรอกหรือจะคิดง่ายๆก็คือวันเพ็ญข้างขึ้น

15 ค่ำพระจันทร์ขึ้นตั้งแต่ 6 โมงเย็น แล้วพระจันทร์จะขึ้นล่าไปวันละประมาณ 48 นาที ถ้ารู้ขึ้นแรมก็รู้เวลาได้แน่”

ครูก้อนท้วง “แล้วมันวันพฤหัสไหน กี่ค่ำ เพราะในเดือน 11 .มันมีตั้ง 4 พฤหัส ขึ้นก็มีแรมก็มี”

“เออ-จริงของครู เสร็จกัน” ผมอ้าปากนับค้างจนมุมเอาตรงนี้เอง...

“แม่บุญปลูกแกจะมาดูเรื่องของหาย” เณรชั้วแนะนำ “หมอเถา พอจะมีทางอื่นจะช่วยพยากรณ์ได้ไม๊ ฉันเคยเห็นหลวงตาท่านใช้จับยาม”

“งั้นได้การ” ผมดีดมือพัวะ “ไม่รู้เสียแต่แกว่าเป็นเรื่องของหาย นึกว่าจะดูโชคเคราะห์มันต้องผูกดวง แม่บุญปลูกขึ้นกุฏิมาตั้งแต่เมื่อไร”

เณรเหลือบมองนาฬิกาแมงดาข้างฝา แล้วตอบแทน “สักบ่ายโมงเศษๆเห็นจะได้ หมอเถา”

“วันนี้วันพฤหัส” ผมนับนิ้วมือไล่ยาม “ครุ ภุมมะ สุริชะ ศุกระพุทธะ บ่ายโมงเศษตกยามพุธ”

“พบหรือไม่พบจ๊ะหมอเถา” แม่บุญปลูกรีบซักเพราะกำลังร้อนใจ...

“เดี้ยวอย่าพึ่งซัก” ผมว่าโฉลกยามคล่องปาก “เสาร์ระวิพุทธา

ยามทั้งนี้นา แม้ดูโรคาว่าตาย บอกกล่าวจริงบ่คลาย แม้ข้าวของหาย

ทายว่าจะได้คืนคง”

สีหน้าแม่บุญปลูกมีเลือดมีฝาดขึ้นทันทีเมื่อฟังข้อความตอนท้าย

“ได้แน่ไหม หมอเถาจ๋า”

ผมกำลังวางมาดหยิบกลักบุหรี่ใบจากจะมวนสูบ พอได้ยินคำ

หมอจ๋าฉุนกึก กระแทกกลักบุหรี่กับพื้น กุฏิดังโปก

“เรียกหมอเฉยๆก็ได้ อ้ายคำหมอจ๋าหมอขานี่ขอเสียที เดี๋ยวเลยไม่ต้องดูกัน”

“อุ๊ย ขอประทานโทษฉันไม่ตั้งใจ” แม่บุญปลูกคนมืออ่อนยกมือไหว้อีกแถมยิ้มแย้มจนเห็นฟันทอง “หายไปได้เจ็ดวันแล้วจ้ะหมอเถา ฉันจะตามพบทิศไหน และจะได้คืนเมื่อไหร่”

“ยามเขาบอกว่าได้แน่” ผมถูกรุกกระชั้นไม่ทันตั้งตัวต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตัวยามมันตกพุธก็ต้องทิศใต้ เลขพุธมันเลข 4 ก็ภายใน 4 วันนี้แหละ”

ครูก้อนไม่ถนัดทางยามของเก่าๆ จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังผมทายเป็นพระเอกอยู่คนเดียว...

“พุธตัวนี้มันธาตุน้ำ” ผมจัดแจงพยากรณ์ต่อเพราะนึกถึงคำสั่งสอนของหลวงตาว่าให้อ่านดาวให้ละเอียด “ของหายรายนี้ มันน่าจะถูกซุกอยู่ที่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ แม่บุญปลูกลองหาดูอาจพบก็ได้”

“คงไม่มีแน่ๆ จ้ะหมอเถา” แม่บุญปลูกปฎิเสธทันที ทั้งๆที่กำลังกลุมแกก็หัวร่อคิกคัก “ไม่ต้องหาให้เสียเวลาเปล่าๆ”

ผมฟังแม่บุญปลูกคัดค้านเอาง่ายๆ ซ้ำหัวเราะชักนึกเคืองๆ จึงยืนยันมั่นคง “ต้องอยู่ในน้ำแน่ๆ มันต้องมีคนลักเอาไปซ่อน ถ้าไม่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ ก็ต้องคลองหรือแม่น้ำ เอากันว่ายังไงๆ มันก็ต้องอยู่ในน้ำก็แล้วกัน”

แม่บุญปลูกยิ่งหน้าเป็นหนักขึ้น หัวร่อร่วน “หมอเถาจ๊ะที่ว่าหายน่ะ พี่ทิดผัวฉันเอง หายจากบ้านไปเจ็ดวันแล้วไม่รู้หายไปไหน ไม่ได้ข่าวเลย ถึงต้องมาดูหมอ”

“บ๊ะ แล้วกัน” ผมผงะแทบหงายหลังตกนอกชานกุฏิ รู้สึกอายจนหน้าชาที่พลาดไปถนัดใจ

ครูก้อนนั้นรักษามารยาทครูเก่า กัดริมฝีปากแน่นกลั้นหัวเราะไว้ข้างเณรชั่วปล่อยก๊ากเต็มสตีมไม่ยั้ง

“อาจเมาตายตกน้ำตกท่ามีอันตรายหรือลงเรือแพไปกับเพื่อนฝูงก็ได้ ควรลองสืบๆดูน๊ะ” ครูก้อนหาทางออกเพื่อช่วยกู้หน้าเพื่อนเอาไว้...

“ครูไม่น่ามาแช่งผัวฉันเลย” แม่บุญปลูกแกจัดจ้านพอตัว “ถ้าอยู่ในน้ำ 7 วัน อย่างหมอเถาว่า ป่านนี้น่าลอยน้ำรู้ข่าวกันทั้งเมืองไปแล้วเรื่องไปเรือก็ไม่มีทางเลยครู”

เณรชั้วที่ลุกไปเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่หน้าต่าง หันมาเรียก “แม่บุญปลูกดูเหมือนน้องสาวที่บ้านจะมาตาม กระมัง”

แม่บุญปลูกเหลียวมองดูทางประตูนอกชานกุฏิ สักครู่หญิงสาวผิวสะอาดสะอ้านหน้าตาละม้ายแม่บุญปลูกก็เข้าประตู มานั่งข้างๆ กระซิบกระซาบกันสองคนพี่น้องอยู่พักใหญ่ๆ แม่บุญปลูกฟังพยักเพยิด เมื่อแรก ดูสีหน้าปิติยินดี แล้วก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด เหมือนคนกำลังจะเป็นลม...

“ฉันเห็นจะต้องลาหมอทีละ ไม่ต้องดูหมอแล้ว” แม่บุญปลูก หันมายกมือไหว้ลาผมและครู สังเกตเห็นนัยน์ตาแดงๆน้ำตาคลอ

“อ้าวทำไมล่ะ แม่บุญปลูก” ครูถาม

“ฉันได้ข่าวพี่ทิดแล้ว”

“พบที่ไหน ยังไง ขอทราบหน่อยเถอะ ฉันเองก็อยากรู้ว่ายามของหมอผิดหรือถูก”

“ไม่ได้พบในน้ำแน่” แม่บุญปลูกพูดเสียงเยาะๆ และนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เหมือนตรึกตรองตัดสินใจ “คนเขามาส่งข่าวว่าพี่ทิดไปได้เมียใหม่อยู่ที่บ้านดอน เป็นสาวรุ่นเด็่กชื่อนางวารี เลยกกกันอยู่ที่บ้านนังเมียเด็ก ”

“อ๊ะ นังเมียเด็กนั่นชื่ออะไรน๊ะ” ผมเอะใจย้อนถามทันควัน

“ชื่อ นังวารี”

“เห็นไม๊ล่ะ” หมอเถา “วารี มันก็แปลว่าน้ำ ยามของหมอถูกเผ็งเทียวแหละ”

ตั้งแต่คบกันมาหลายปี เพิ่งเห็นครูก้อนหัวเราะลงลูกคอเต็มเสียงวันนี้ จนกระทั่งสองสตรีพี่น้องลงลับกุฏิไปแล้ว ครูก้อนหัวเราะไม่หยุด คอสองคือเณรชั้วหัวเราะจนตัวงอพาดหน้าต่าง ทำให้ผมต้องหัวเราะตามไปด้วย...

... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...

... สวัสดีครับ ...