...ในปัจจุบันศาสนาพุทธได้ลุล่วงมาถึง พ.ศ.๒๕๕๕ ถือว่าเป็น"กึ่่งพุทธกาล"เพราะตามพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า ศาสนาพุทธจะสิ้นสุดลงใน พ.ศ.๕๐๐๐
ดังนั้นตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา...ผู้คนเริ่มตื่นตัวสนใจและฝักไฝ่ในการหลุดพ้นของศาสนา...เคยมีผู้ถามหลวงปู่แหวนว่าศาสนาพุทธจะสิ้นสุดลง
เมื่อใด หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า...ศาสนาพุทธจะสิ้นสุดลงใน พ.ศ.๕๐๐๐ ...ซึ่งในอนาคตต่อไปก็จะอยู่ในยุคของ......พระศรีอาริยเมตไตร...เป็นศาสดาองค์
ต่อไป...ต่อจากองค์สมณะโคดม ...พระพุทธเจ้าของเรา ...
...ในคำสอนที่ว่า"ทำดีได้ดี...ทำชั่วได้ชั่่่วนั้น"... ผมเห็นชอบด้วยทุกประการ...ทั้งๆที่บางคนมาเปลี่ยนคำสอนว่า ...
... " ทำดีได้ดีมีที่ไหน ...ทำชั่วได้ดีมีถมไป"...
ซึ่งผมขอคัดค้านได้ว่า...ไม่จริง!...เพราะตามที่ได้ประสบพบเห็นมาว่า...คนที่ทำกรรมดี...จะต้องได้ดีตามกรรมดีที่ตนได้กระทำมาอย่างแน่นอน...อาจ
ช้า...เร็วบ้างตามกรรมเก่าที่ได้ลิขิตมา...ส่วนคนที่ทำกรรมชั่วนั้น...ก็จะต้องได้รับผลกรรมชั่ว...ที่ตนได้กระทำมา...๑๐๐%...จะช้า...เร็ว...แล้วแ่ต่กรรมเก่า
ที่ได้ลิขิตมาเช่นกัน...
...มีคนเคยถามมาว่า...มีบุคคลคนหนึ่งทำชั่วมาตลอดชีวิตจนถึงวัยชรา...แต่ยังไม่เห็นกรรมชั่วใดๆตามมาชำระความสักที...บ้างก็ถามว่า...
มีบุคคลคนหนึ่งทำกรรมดีมาชั่วชีวิต...แต่ยังไม่ได้รับกรรมดีใดๆตอบแทนเลย...ซึ่งในทั้ง ๒ กรณีนี้...ไม่ถูกต้องตามคำสอนที่ว่า ...
"ทำดีได้ดี...ทำชั่วได้ชั่ว"...
ผมจึงอยาก ... อธิบายในเรื่องนี้กล่าวคือ......กรรมเกิดจากการกระทำ...คือ กรรมดีและกรรมชั่ว...เหตุการณ์เกิดจากวาระกรรมที่แตกต่างกันก็คือ...
...อดีต...ปัจจุบันและอนาคต...อดีตส่งผลมายังปัจจุบัน...ปัจจุบันส่งผลไปที่อนาคต...เราสามารถเปรียบเทียบได้ดังนี้คือ...
...อดีตคือเมื่อวานนี้...เราทำชั่วไว้...ผลจะส่งมาที่ปัจจุบันคือวันนี้...ถ้าวันนี้คือปัจจุบันเราทำความดี...ผลของความดีจะส่งไปยังวันพรุ่งนี้คือ...อนาคต
ทันที...ดังเช่นคนที่ทำกรรมดีในวันนี้ทำไมยังไม่ได้รับผลของกรรมดี...ก็เพราะว่าเมื่อวานคืออดีตได้ทำกรรมชั่วเอาไว้...จึงมาได้รับผลกรรมชั่วที่ตนได้
ทำไว้...แต่ในวันนี้คือ...ปัจจุบัน...ทำกรรมดีอยู่...ก็จะได้รับผลกรรมแห่งความดีได้ในวันพรุ่งนี้คือ...อนาคตอย่างแน่นอน...
...ในปัจจุบันคือชาตินี้...ในอดีตคือชาติก่อน...ในอนาคตคือชาติหน้า...เพราะฉะนั้นในปัจจุบันคือชาตินี้สามารถตัดแบ่งซอยออกไปเป็น...เมื่อวาน...วัน
นี้...และพรุ่งนี้ตามลำดับ...ยกตัวอย่างให้ดูดังต่อไปนี้...
...มีบุคคล คนหนึ่งตั้งแต่เด็กจนยันโต...มีอคติต่อบิดาของตนเอง...คิดเล็กคิดน้อย...แสดงกริยาก้าวร้าวต่อบิดาเป็นประจำๆ...สร้างความทุกข์ใจให้แก่บิดา
เป็นอย่างยิ่ง...จนแม้กระทั่งบิดาตนเองถึงแก่กรรมไปแล้วก็ยังคิดต่อบิดาไปในทางลบอยู่ตลอดเวลา...เป็นที่น่าสังเวชใจอย่างยิ่ง...และแล้วกฏแห่งกรรมก็
มาเยือนก็คือ...บุตรชายของตนเองยิ่งโตก็ยิ่งก้าวร้าวกับตนเอง...ยิ่งกว่าตัวเอง...ทำกับบิดา ๑๐๐ เท่าทีเดียว...เป็นที่ทุกข์ใจแก่ตนเองอย่างแสนสาหัส...นี่
คือการแบ่งกรรมเป็น...เมื่อวาน...วันนี้...และพรุ่งนี้...ตามลำดับ...
...กรรมดีย่อมนำความสุขใจมาให้...ส่วนกรรมชั่วจะนำพาความทุกข์ใจมาให้...เป็นสัจจสูตร...
...ผิดกับอีกบุคคลหนึ่งซึ่งทำกรรมดีกับบิดาตนเองมาโดยตลอด...จึงได้รับกรรมดีคือความสุขใจมาโดยตลอด...บุตรของตนก็ไม่เคยสร้างความทุกข์ใจ
ใดๆให้...แม้แต่ยามที่บิดาได้ล่วงลับไปแล้ว...ย้อนนึกถึงอดีตครั้งใด...ก็เกิดความปิติ...สุขใจทุกครั้งร่ำไป...คนบางคนในวัยหนุ่มยิงนก...ตกปลา...พราก
ลูกพรากครอบครัว...ทำร้ายสัตว์...ทำร้ายคนฯลฯ...ต้องได้รับกรรมชั่วที่ตนได้กระทำใน...ปัจจุบันคือ...ชาตินี้ไม่ต้องรอชาติหน้า...เพราะกรรมสามารถแบ่ง
เป็นส่วนได้ตามที่ได้กล่าวมา...จะช้า...หรือ...เร็วเท่านั้นเอง...
... มีเรื่องจริงอยู่เรื่องที่อยากจะเล่าเพื่อเป็นตัวอย่างให้ทุกคนดู กล่าวคือ ... มีบุตรชายของพ่อเฒ่าคนหนึ่งเป็นนักเลงพระมีอาชีพขายพระ จับพระมาได้
ในราคาถูกๆไม่เกิน ๒๐-๕๐-๑๐๐ บาท เอาไปปล่อยออกตัวได้เงิน ๗-๘๐๐๐ บาทบางทีก็ถึง ๒๐๐๐๐ บาท เป็นอยู่ลักษณะนี้อยู่เสมอ[ น่าจะรวยได้นะนี่ ]
แต่ผลปรากฏว่า ลำบากลำบนตลอด มีชีวิตที่ร่อนเร่ พเนจร อยู่กับเมียและลูกที่บ้านแม่ยายก็ร้อน...อยู่ไม่ติดที่...ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อเวลาที่พ่อเฒ่าผู้เป็น
บิดาเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ให้ตนเองเอาพระไปปล่อยเพื่อความอยู่รอด แต่ตนเองก็แอบขโมย มุบมิบ เอาไปปล่อยเองอยู่เป็นประจำๆ ตัวพ่อเฒ่าก็พอรู้อยู่ว่าลูกชายตนเองเป็นคนละโมบ โลภหลง...แต่ก็ไม่เคยปริปากพูด ว่าหรือแช่งชักหักกระดูกลูกชายของตนเองแม้แต่น้อยนิด...แต่กรรมที่ลูกได้กระทำไปนั้นมันสาหัสเกินที่จะเยียวยาได้ ชีวิตลูกชายจึงประสบกับปัญหาชีวิตต่างๆไม่สิ้นสุด ตลอดกาล ... [ ถ้าพ่อเฒ่ายังไม่ได้อโหสิให้ ] ...
...เรื่องของกรรมเป็นเรื่องละเอียดและ...ลึกซึ้ง...กรรมยังจำแนกเป็นกรรมที่เกิดจากเจตนาหรือกรรรมที่เกิดจากการทำโดยไม่ตั้งใจอีก...ซึ่งกรรมที่จะได้
รับก็จะ...หนักหรือเบา...ตามเจตนานั้นๆอีกด้วย ... เช่น ...
การทำบุญบังหน้า...โดยซ่อนดาบใว้ในรอยยิ้ม ... บุคคลใดที่นอบน้อมผิดปกติ ...พูดเพราะ ...ยิ้มแย้มอยู่ ...ตลอดเวลา...จัดว่าเป็นบุคคลอันตรายอย่าง
แท้จริง ...บุคคลใดที่พูดจาโผงผาง ...ชัดเจน ...ไม่ปิดบังมักเป็นบุคคลที่น่าคบหามากกว่าเสียอีก ...สรุปเรื่องกรรมลิขิตในครั้งนี้ ...ผมขอเล่าให้ฟังเท่านี้
ก่อน ... พอสังเขป ...
... ถ้าอยากรู้ให้ละเอียดลึกซึ้ง ...ให้ทุกคนไปหาอ่านจากหนังสือ " กรรมทีปนี " จะเกิดประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
... ผมขอกล่าวคำ " สวัสดี " แก่ทุกคนที่ได้อ่านบทความของผมมาถึงบรรทัดนี้ ... ทุกท่าน ... ครับ ...