-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตรวจสุขภาพ ประจำปี ตับ ไต ไขมัน เกาท์
ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CPC เม็ดเลือดขาว ตวามเข้มค้น รูปร่างเม็ดเลือด
ไตรกรีเซอร์ไรด์ ค่าที่เหมาะสมไม่เกิน 150 อยู่ในกะทิ แป้ง น้ำตาล ไปพอกที่ตับ
คอเรสเตอร์รัล ค่าที่เหมาะสมไม่เกิน 160 - 180 (กินยาลดไขมันมากจะกล้ามเนื้อสลาย และกล้ามเนื้อหัวใจ)
ไขมันชนิดดี HDL ค่าที่เหมาะสม ให้มีมากกว่า LDL เล็กน้อย เป็นรถขนขยะที่ทำงานดีอยู่
ไขมันชนิดเลว LDL ค่าที่เหมาะสมไม่เกิน 130
น้ำตาลในเลือด ค่าที่เหมาะสมไม่เกิน 100 - 126 ถ้าเกิน 100 มีความเสี่ยงที่เริ่มเป็นเบาหวานได้ (อย่าลืมตรวจซ้ำ)
น้ำผลไม้มีน้ำตาลฟุตโตสสูงเพราะจะเปลี่ยนเป็นไขมันได้ง่าย (ควรกินผลไม้สดพร้อมเนื้อ)
น้ำตาลสะสม เห็นสภาพก่อนหน้า 3 เดือนเลย
ตรวจอุจจาระ พบเลือด พบไข่พยาธิ พบเชื้อ อาจพบมะเร็งลำไส้
ตรวจปัสสาวะ พบเลือด ดูสี
นพ. ปิษฎา ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัตรนานาชาติ
คุณอรอุมา วิทยุแห่งจุฬาฯ FM101.5 6 พย. 2555
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การคำนวนหาค่าดัชนีมวลกาย เพื่อให้รู้ว่าเราอ้วนหรือไม่
ค่าดัชนีมวลกาย ดีที่สุดคือ 21 (ไม่อ้วนไม่ผอม กำลังดี)
น้ำหนักตัว กก.
------------------------
(ความสูง เมตร)**2
ตัวอย่าง ท่านน้ำหนัก 67.5 กิโลกรัม ส่วนสูง 163.5 เซ็นติเมตร
67.5 หารด้วย (1.635 x 1.635) ได้เท่ากับ 25.24 แสดงว่าอ้วนไป ครับ
น้ำหนักตามเกณท์ที่เหมาะสมของคุณคือ 56 - 57 กิโลกรัม
--------------------------------------------------------------------------------------
กินอาหารไม่ให้อ้วน และป้องกันการเป็นแผลในกะเพาะอาหาร และลำไส้
- กินเมื่อรู้สึกหิว (อย่าปล่อยให้หิวนาน)
- อิ่มแล้วหยุด อย่าเสียดายอาหารที่เหลืออยู่
- ไม่กินจุกจิก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่
- กินมื้อเย็นแต่น้อย (แป้งนอย หวานหน้อย)
- ไม่กินอาหารมื้อดึก
- ไม่นอนดึก (ถ้าอยู่ดึกเป็นประจำ ต้องลดกรดในกะเพาะอาหาร)
- ไม่กลั้นปัสสาวะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความ ความรู้เพื่อสุขภาพ จากแหล่งข้อมูลวิชาการที่เชื่อถีอได้
---------------------------------------------------------------------------------------------
อันตรายจากการใช้พล้าสติก ในชีวิตประจำวัน
อจ.สุริยพงษ์ - คุณอรอุมา รายการคลีนิค 101.5 FM
การใช้พล้าสติกให้ปลอดภัย ถ้านำมาบรรจุอาหาร
- ควรสังเกตุเครื่องหมายที่มีการระบุว่า สามารถบรรจุอาหารได้หรือไม่ สังเกตุว่ามีรูปซ่อมและแก้วปรากฎอยู่
- พล้าสติกที่ใช้กับไมโครเว็บ ควรใช้ในระดับการอุ่นอาหาร ไม่ควรใช้ในการประกอบอาหาร เพราะจะใช้ความร้องที่สูงกว่ามาก
- ต้องไม่อุ่นอาหาร พร้อมถุงพล้าสติกร้อน ถุงร้อนใช้บรรจุของร้อนเท่านั้น ไม่ได้ใช้สำหรับอุ่นอาหาร
- ต้องไม่นำ พล้าสติกบรรจุอาหารไปใส่สิ่งของที่ไม่ใช่อาหาร แล้วนำกลับมาบรรจุอาหารอีก
- ฟีลม์ห่อหุ้มอาหาร ส่วนใหญ่ทำจาก PVC ต้องไม่ให้สัมผัสกับอาหารโดยตรง ไม่ว่ากรณีใดๆ ปัจจุบันใช้ผิดกัน จนชินไปแล้ว
- เตรื่องเขียน และของเล่นเด็ก ไม่ควรให้เด็กๆ นำมาอม มากัดเล่น
- กล่องใส ที่ผลิตมาเพื่อใส่ของขวัญ ต้องไม่นำมาใส่อาหาร ขนม
- ดูเครื่องหมายรีไซเคิล 3 เหลื่ยม ที่ตัวพล้าสติก ว่ามีตัวเลข 1 2 4 5 สามารถนำมาสัมผัสกับอาหารได้
1 - โพลี่เอสที่รีนแคเร็ทเทอร์เรท ขวดเพชร
2 - HDPE ไฮเด็นซิตี้โพลี่เอสที่รีน กล่องใส่นมสด ถุงร้อนชนิตสีขุ่น
4 - LDPE โลเด็นซิตี้โพลี่เอสที่รีน ถุงขนมปัง ไม่ทนความร้อน
5 - PP โพลี่โพพิลีน ใช้มากที่สุด ของใช้คงทด
- ตัวเลข 3 6 7 เป็นอันตราย ห้ามนำมาบรรจุอาหาร ถ้านำมาบรรจุต้องไม่ให้สัมผัสกับอาหารโดยตรง
3 - PVC โพลี่ไวนีลครอไลด์ จะเติมสารหลายๆตัวเพื่อให้พล้าสติกนิ่ม ต้องระวังเป็นพิเศษ ฟีลม์ห่อหุ้มอาหาร กล่องใส ใส่ของขวัญ
6 - กล่องโฟม ช้อนซ่อมสีขาวแข็งๆใช้แล้วทิ้ง ที่เคาะแล้วมีเสียง โพลี่ไซลีน ทำแก้วสีๆแข็งๆ
7 - พล้าสติกอื่นๆ จะไม่นำมารีไซเคิล โพลี่คาร์บอนเนต ขวดนมเด็ก
- อาหารกระป๋อง ฝาจุกขวด ที่เคลือบพล้าสติค มีสาร BPA
- กะทะ หม้อหุงข้าว เทปล่อน ชำรุด สังเกตุได้เสียเร็วผิดปกติ เสียเพราะใช้ไฟแรง เป็นอันตราย และมีจุลินทรีย์มาเกาะตามรอยได้ ควรเลิกใช้
- ขวดนมเด็กทารก เลือกที่ปลอดสาร BPA fee
ขอรณรงค์
- หลีกเลี่ยงการใช้พล้าสติกมาบรรจุอาหาร ของมัน ของร้อน ทมีตัวเลข 3 6 7
- ฟีลม์ห่อหุ้มอาหาร เมื่อนำมาใช้ ต้องไม่ให้สัมผัสกับอาหารโดยตรง ไม่ว่ากรณีใดๆ ใช้ถุงร้อนคลุมผลไม้ อาหาร แล้วจงปิดด้วยฟลม์
- ข่าวดี 1 มกราคม 2556 กฏหมายไทยประกาศ ยุติการใช้การจำหนาย ขวดนมเด็กที่มีสาร BPA ทั่วประเทศ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การปล่อยให้อวัยวะร่างกาย มีอาการอักเสบเรื้อรัง เป็นมูลเหตุให้เกิดเป็นมะเร็งได้
หัวข้อเรื่องน่าสนใจ
เบาหวาน
ดวงตา ผู้สูงวัย
การนอน ผู้สูงวัย
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
วิธีแก้ตะคริว
การดื่มน้ำ
มดลูกหย่อน
พลังม้ามพร่อง
ไข่ดัน
ไส้เลื่อน
ช้ำรั่ว
ต่อมลูกหมาก
มะเร็งต่อมลูกหมาก
อยากอายุยืน ดูอ่อนเยาว์
ส่งมีชีวิตบนโลกเรา ที่อายุยืนที่สุดที่สำรวจได้ถึง พ.ศ.2553 นี้ คือ “ต้นสนเข็ม” อายุราว 4 พันปี จึงต้นแห้งตาย
นักวิจัยฯ สังเกตุเหตุแห่งการเสื่อมสลายของวัตถุธาตุเหล็ก เกิดการผุกร่อนสลายไปสู่ดิน เกิดจากขบวนการอ๊อกซิเดชั่น
ตัวการสำคัญคือก๊าซอ๊อกซิเจนในอากาศ ข้อสังเกตุต่อไปกับฃีวิตสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ตัวเล็กและตัวใหญ่ สัตว์ที่ใช้ฟลังงานเผาผลาญมากน้อยแตกต่างกัน
เฃ่น นอน เลื้อยคลาน เดิน วิ่ง ปีนป่าย บินสูง บินต่ำ ใช้อ๊อกซิเจนเป็นตัวเผาผลานไม่เท่ากัน ทำให้สัตว์แต่ละชนิต จะมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานแตกต่างกันไปด้วย
ยิ่งการมีชีวิตด้วยการเผาผลาญพลังงานมาก ก็จะเกิดขบวนการอ๊อกซิเดชั่นมาก อายุจะสั้นลง ปัจจุบันจึงศึกษาวิธีการต่อต้านขบวนการอ๊อกซิเดชั่น
ซึ่งเป็นตัวการทำลายเซลส์ร่างกายคนและสัตว์ การกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ แอนตี้อ๊อกซิเดชั่นต่างๆ เพื่อทำให้สภาพร่างกายดูอ่อนเยาว์
ชลอขบวนการฃราภาพลงได้ แต่ไม่สามารถหยุดขบวนการอ๊อกซิเดชั่นได้ ถ้าเราสามารถค้นหาวิธีการหยุดได้
ผลกระทบตามมากับร่างกายของเราจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ยังไม่อาจทราบได้.
คราวนี้ถ้าคุณเชื่อ ก็ต้องเสียเงินไปหาซื้อ ยา หรืออาหารเสริม ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากิน คนอเมริกัน ต้องเสียเงินสำหรับเรื่องนี้
ประมาณ 5 พันเหรียญสหรัฐต่อปี เลยทีเดียว ทั้งๆที่การวิจัยนี้ยังไม่ยุติ จะได้ผลหรือไม่ได้ผล ก็ไม่มีใครสรุปได้ ที่น่าเตือนใจผู้ที่จะหามากิน
จงมีสติพิจารณาผลที่จะได้รับกับสิ่งนั้น ก่อนที่ใส่ปากของเรา.
สำหรับผมแล้วมี 3 อย่างที่จะทำให้แก่ช้าลงได้คือ
รัปทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ต่อวัน อย่ามากเกินไป
ออกกำลังกาย วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
ทำใจให้สงบผ่อนคลายมีเมตตา นอนพักผ่อนให้เพียงพอ วันละไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมง
ผมกำลังทำอยู่ 3 ช้อ แต่ไม่อยากอายุยืนกว่าพวกเพื่อนๆ มันเหงาใจไม่สงบไม่ผ่อนคลาย จริงๆนะ.
อาการเริ่มต้น เบาหวาน
1. น้ำหนักลดลงมาก โดยไม่ได้ตั้งใจลดน้ำหนัก
2. มีอาการเพลีย ไม่มีแรง
3. ปัสสาวะกลางคืนบ่อย ๆ แล้วเพลีย
4. กระหายน้ำบ่อย (ในภาวะปกติ)
5. กินอาหารเพิ่มขึ้น ผิดปกติ เคี้ยวข้าวมีรสหวาน
6. กลืนอาหารไม่สะดวก และอาการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
7. เป็นแผล กดทับ ระดับผิวหนังบ่อย ๆ
8. มดขึ้นปัสสาวะ
ความเสี่ยงที่มีโอกาสเป็น เบาหวาน
1. พันธุกรรม
2. วัย
3. อ้วน
4. เด็กที่เกิดใหม่น้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัม
5. กินน้ำตาลมาก ตั้งแต่ 6 ช้อนชา ขึ้นไป ต่อวัน
สภาพทั่วไปของผู้ป่วยเบาหวาน
มีเบาหวาน ระดับรัปทานยาเป็นประจำวัน
กระดูกพรุน รัปทานยา แคลเซี่ยมประจำวัน
ไม่กลืนอาหารด้วยตนเอง ให้อาหารสดทำเองทางสายยาง
เป็นโรคผิวหนัง 5 ลักษณะ
1. ผิวหนังโป่งพอง มีน้ำเหลืองใส ๆ ขึ้นทั่วร่างกาย เช่น ข้อพับ รักแร้ คอ รูจมูก หนังศรีษะ ตา ปาก เหงือก ลิ้น
ใบหู มือ นิ้วมือ สะโพก แขน ขา ก้น
2. ผิวหนังเปื่อย สัมผัสฉีกขาดง่าย เป็นแผล (รวมทั้งบริเวณผัวหนังที่รักษาแล้วจากข้อ 1. แล้ว) ด้วย
3. แผลริมแข็ง ขอบแผลมีเลือดออก ตรงกลางแผลมีเลือดแห้งแข็งเป็นสีดำ เกิดจากแผลกดทับ
4. แผลเลือดคั่ง แห้งแข็งเป็นสีดำ มีเนื้อตายบริเวณแผล เป็นบริเวณส้นเท้า นิ้วเท้า เรียกว่า แกงกรีน
5. ผิวหนังแห้งเป็นมัน บริเวณหน้าท้อง เหมือนกระดาษแก้ว และยับย่น
ใช้ยารักษาแผล 4 ชนิด....รักษาแผลข้อ 1, 2 หายแล้ว ก็เป็นซ้ำอีก
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
ขณะนี้ได้ทดลองกับคนสภาวะน้ำตาลในเลือดปกติ โดยให้ได้รับสารสกัดครั้งละ 300 มิลลิกรัม ได้ผลดี
ยังไม่ได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวาน แต่ก็หาซื้อไปรัปทานได้ ในรูปแบบอาหารเสริม (ไม่ใช่ยา)
13 ตค.2555
ดวงตา ผู้สูงวัย
1. มองเเห็น แสงไฟแฟล๊ช และเห็นยักใย่ หรือยุงดำ บินผ่านหน้าไปมา (ต้องพบแพทย์ทันที)
สาเหตุ เกิดจากอวัยวะภายในลูกตา เกิดอาการเสี่อม เช่น ม่านตา วุ้นตา ต้อ
2. ตาแห้ง ตามัว แต่ไม่มีขี้ตา (ต้องพบแพทย์)
3. ตาแฉะ น้ำตาไหลข้างเดียว (ต้องพบแพทย์)
4. ต้อลม
5. ต้อเนื้อ ต้องให้ต้อแก่ จึงลอกต่อ โดยแพทย์
6. ต้อกระจก ผ่าตัดใส่เล็นส์เทียม หรือรักษาอาการต่อเนื่องแล้วใส่แว่นสายตา
7. ต้อหิน ต้องปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์
การนอน ผู้สูงวัย
1. สวมถุงเท้าเสมอ ป้องกันอาการผิวหนังฝ่าเท้าชา
2. เปิดพัดลม รอบต่ำสุด ไม่พัดจี้ที่ร่างกาย จุดประสงค์เพื่อ ให้อากาศถ่ายเทได้ดี
3. นอนตะแคง แก้มกดทับเป็นเวลานาน ป้องกันเปลือกตา ลืมตาไม่ขึ้นเมื่อตื่นนอน
4. ห่มผ้า ไม่ถอดเสื้อนอน เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย
5. ไม่นอนชิดหน้าต่างห้อง ที่เปิดหน้าต่างไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย
ปวดเมื่อยที่มีสาเหตุมาจาก หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
มีอาการปวดร้าวลงขา นอนพักไม่หาย ติดต่อกัน 2-3 วัน
สาเหคุ ก้มนานๆ นั่งนานในท่าเดิมๆ ยกของหนัก
ทดสอบโดย นอนหงายยกขาขึ้น จะปวดร้าวไปที่เดิมทุกครั้งไป
ถ้าเข้าข่าย ต้องไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง
วิธีแก้ตะคริว...สุดมหัศจรรย์
เพียงแต่ให้เอานิ้วหัวแม่มือ กับนิ้วชี้หนีบริมฝีปากบนไว้ไม่เกิน1 นาที
ตะคริวจะหายได้อย่างมหัศจรรย์
บอกไม่ได้ว่าทำไมจึงหายแต่บอกได้ว่าได้ผลเกิน 80%
เรื่องของการดื่มน้ำ คนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ
ข้อหนึ่ง เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง
อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มดลูกหย่อน หรือ มดลูกต่ำ
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ผู้หญิง
แน่นอนปัญหานี้ มักจะไม่เกิดขึ้นในสาวแรกรุ่น แต่ เมื่อคุณผ่านการมีบุตร มีครอบครัว ตลอดจน อายุมากมากขึ้น และ การทำงานที่หนักขึ้นตาม สภาวะปัจจุบัน ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมดลูกภายในร่างกาย
ปัญหา มดลูกหย่อน หรือมดลูกต่ำ มักเกิดขึ้นกับ หญิงวัยกลางคน และ หญิงสูงวัย
ทำความรู้จักกับมดลูกกันดีกว่า
มดลูกอยู่ในช่องท้องน้อยและสามารถเคลื่อนไปได้ทั้งทางซ้ายขวาบนล่าง โดยปกติตำแหน่งของมดลูกอยุ่ในแนวตั้งระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับทวารหนัก แต่ตำแหน่งดังกล่าวอาจเคลื่อนไปได้หากกระเพาะปัสสาวะเต็มหรือทวารหนักเต็มไป ด้วยกากอาหารคั่งค้าง อาการมดลูกหย่อนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เมื่อใดที่เกิดอาการนี้ส่วนมากอาการอักเสบมักจะตามมา
เมื่อใดที่มดลูกเคลื่อนลงล่างเราเรียกว่ามดหย่อน กรณีนี้มดลูกจะเคลื่อนหนีจากตำแหน่งเดิม อาการนี้้พบได้่บ่อยในหญิงมีอายุผู้มักมีประวัติมีลูกหลายคนและทำงานหนัก การคลอดหลายครั้งทำให้เส้นเอ็นที่ยึดตัวมดลูกหย่อนยาน
มดลูกที่ขยายตัวยามตั้งครรภ์จะใหญ่ ขึ้นไปทางด้านบน กล้ามเนื้อต่างๆ ขยายตัวตามขนาดของมดลูกไปด้วย กล้ามเนื้อกระบังลมและเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่ยึดมดลูกอยู่ต้องแข็งแรงพอ และสามารถรับน้ำหนักเด็กในท้องที่โตขึ้นทุกวัน
ในระหว่างการคลอดกระบังลมได้รับแรงกดดัน มหาศาล อย่างน้อยกระบังลมจะต้องทนรับน้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม หลังจากมดลูกหดตัวเข้าอู่กระบังลมจึงจะหดตัวสู่สภาพปกติ ในระหว่างนี้หากกล้ามเนื้อกระบังลมไม่มีแรงหรือหย่อนยาน กระบังลมจะหดกลับดังเดิมได้ยาก
พอจะสรุป ได้ดังนี้
การแพทย์แผนตะวันตกรักษาอาการมดลูกหย่อนด้วยการผ่าตัด หรือไม่เช่นนั้นก็แนะนำผู้ป่วยให่ใส่เครื่องมือเล็กๆเข้าไปในช่องคลอดเพื่อ พยุงมดลูกเอาไว้ วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หาอะไรสักอย่างหนึ่งมายึดมดลูกให้อยู่กับที่ป้องกันไม่ให้หย่อนยานเคลื่อน ต่ำลงมา การผ่าตัดที่ได้ผลก็คือการตัดมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมด ไม่เช่นนั้นอาการมดลูกหย่อนก็จะกลับเป็นขึ้นมาอีก
กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายไม่ว่าจะ อยู่ภายนอกหรือภายในมีหน้าที่แน่นอนของหากกล้ามเนื้อมัดใดไม่มีกำลังหรือ หย่อนยานจะทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น กล้ามเนื้อส่วนที่ทำงานได้ไม่เต็มที่มักจะมีชั้นไขมันมาพอกพูนแล้วกลับทำให้ เสื่อมสมรรถภาพยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม การออกกำลังน้อยเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ไขมันหนาตัวขึ้น การกินอาหารไม่ครบส่วนจะทำให้ร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นอันจะทำให้ กล้ามเนื้อไม่มีแรง เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้หญิงแข็งแรงมักจะคลอดง่ายและมักจะไม่มีอาการแทรกซ้อน เกิดขึ้นภายหลังจากการคลอด
ดังนั้นการฝากครรภ์และการกินอาหารให้ถูกส่วนตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการมดลูกหย่อนได้ เพราะ หากคุณรับประทานอาหารไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดท้องผูก เวลาถ่ายต้องใช้การเบ่งมาก การเบ่งบ่อยๆ อาจเป็นสาเหตุ ให้เกิด การเคลื่อนที่ของมดลูกได้
วิธีรักษาอาการมดลูกหย่อนที่ดีที่สุด คือ วิธีธรรมชาติบำบัด หากปล่อยอาการนี้เป็นอยู่นานวันโอกาศที่จะหายก็ยาก หากผู้ป่วยอ่อนกำลังและมีอายุสุขภาพอ่อนแอกว่าปกติ โอกาสที่จะหายขาดเป็นไปได้ยาก การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดใช้เวลาเพี่ยงสองเดือนก็หาย การผ่าตัดอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาแต่หลังผ่าตัดต้องพักฟื้นนาน วิธีนี้ไม่เหมาะกับแม่บ้านที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา
มดลูกหย่อน ทำอย่างไรดี
สาว ๆ หลายคนไม่กล้าถามหมอเกี่ยวกับมดลูกหย่อน ดังนั้น นพ.วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลราชวิถี จึงให้ข้อมูลว่า ปกติอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงควรอยู่ในท้องน้อย หรือที่เรียกว่า ช่องเชิงกราน ซึ่งมีเอ็นยึดตามหลักกายวิภาคของร่างกาย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปอาจจะทำให้เอ็น หรือกล้ามเนื้อที่รองรับหย่อนยาน และภาวะที่ทำให้มดลูกหย่อนมากขึ้นก็เช่น มีลูกมาก คลอดลูกเอง ซึ่งพบมากในสมัยก่อน เพราะมีลูกกันมาก และคลอดเอง จึงต้องเบ่ง ทำให้กล้ามเนื้อหรือสิ่งยึดเหนี่ยวหย่อนหยานตามวัย รวมทั้งฮอร์โมนเพศที่หมดไป และมีภาวะบางอย่าง เช่น ไอเรื้อรัง ยกของหนักบ่อย ทำงานหนักมาก ท้องผูกบ่อย
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มดลูกหย่อนยานได้ ซึ่งสาวโสดก็เป็นได้อันเนื่องมาจากรรมพันธุ์ แต่พบน้อย
หากมีอาการมดลูกหย่อนยานก็ควรพบแพทย์ เพราะคนที่มีมดลูกหย่อนยานส่วนใหญ่มักมีอาการ เช่น ปวดหน่วง ปวดถ่วงท้อง หรือรำคาญเมื่อมดลูกอยู่ตรงหน้าขา หรือหย่อนออกมาถูไถกับผิวหนังด้านนอก ก็ทำให้เกิดการอักเสบ หรือมีอาการทางปัสสาวะ อุจจาระ เช่น ปัสสาวะลำบากหรือบ่อยเกินไป กลั้นไม่อยู่ ท้องผูกประจำ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องรักษาโดยการผ่าตัดซ่อมแซม ถ้าเป็นน้อย ๆ ก็อาจใช้วิธีบริหาร โดยการขมิบวันละเป็นร้อยครั้งขึ้นไป
มดลูกหย่อน…มีวิธีให้กลับเข้าที่
โดย ปกติสุขภาพสตรีจะไม่รู้สึกถึงตำแหน่งของมดลูก แต่หากคุณรู้สึกถึงตำแหน่งของมดลูก แสดงว่ามีความผิดปกติบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับมดลูกของคุณ เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เผชิญภาวะมดลูกหย่อน พวกเธอไม่เพียงรู้สึกได้ถึงตำแหน่งของมดลูก แต่ยังมีความรู้สึกหน่วงผิดปกติที่ยากจะบรรยาย ส่งผลให้ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกไม่สบาย
คุณ...ผู้จัดการร้ายขายเสื้อผ้าแบรนด์เนมแห่งหนึ่ง อาชีพการงานทำให้เธอต้องยืนเกือบทั้งวัน จะได้นั่งพักก็เฉพาะตอนนั่งรถกลับบ้านเท่านั้น อาชีพที่ต้องยืนตลอดเวลาแบบนี้เดิมทีไม่ได้มีอะไรน่ากังวลแต่หลังจากที่คุณศิริญญาคลอดบุตรไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
ทำงานหลังคลอดแสนทรมาน…
แต่ เดิมหลังจากที่ทำงานทั้งวันขอเพียงได้นั่งพักในรถสักครึ่งชั่วโมง ก็หายเหนื่อย เมื่อถึงบ้านยังมีแรงเข้าครัวทำกับข้าวอีกต่างหากทว่าหลังจากพักฟื้นอยู่ไฟ หลังคลอด 1 เดือนแล้วกลับบ้านทำงาน คราวนี้กลับเป็นคนละเรื่องเดียวกันนอกจากแข้งขาไม่มีเรี่ยวแรง อยากแต่จะนั่งทั้งวันแล้ว ยังมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำและมีแก๊สในกระเพาะ
“ฉัน ยืนได้แค่แป๊ปเดียวรู้สึกปวดหลังมากเท้าทั้งสองข้างชา ทานอะไรได้นิดหน่อยก็รู้สึกเหมือนท้องน้อยมีอะไรถ่วงอยู่ แถมยังมีลมออกจากช่องคลอดเป็นประจำพอเลิกงาน ทั้งร่างกายตั้งแต่เอวถึงไหล่ ท้องน้อยถึงปลายเท้าก็เมื่อยล้าจนไม่รู้ว่าวางท่าไหนถึงจะเหมาะ”
“ไป พบแพทย์ ภายหลังการส่องกล้องพบว่ามีภาวะกระเพาะอาหารหย่อนเล็กน้อย ส่วนที่ท้องน้อยถ่วงๆ นั้นเกิดจากมดลูกหย่อนซึ่งไม่มีทางที่จะทำให้กลับเข้าที่เดิม ทางเดียวที่สามารถทำได้คือพักผ่อนให้เพียงพอ หรือถ้าอาการหนักขึ้นอาจต้องพิจารณารับการผ่าตัดเพื่อให้มดลูกกลับเข้าที่ เดิม”
พลังม้ามพร่อง…อวัยวะภายในหย่อน
คุณ...ลังเลอยู่พอสมควรกับเรื่องการผ่าตัด เพราะเกรงว่าจะไปซ้ำเติมให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าอยู่แล้วบอบช้ำมากยิ่งขึ้น อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าร่างกายจะฟื้นได้เมื่อใดซึ่งจะไปกระทบกับการทำงานเธอจึง หันมาปรึกษาแพทย์จีน ซึ่งก็ได้วินิจฉัยว่าร่างกายเธออ่อนแอมาก เลือดและพลังชี่ในร่างกายไม่เพียงพอโดยเฉพาะพลังชี่ในร่างกายไม่เพียงพอโดย เฉพาะพลังชี่ของม้ามพร่องลงจึงทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงและมีภาวะหย่อนของอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น มดลูกหย่อน กระเพาะและช่องคลอดหลวม (ทำให้มีลมออกจากช่องคลอด) เป็นต้น
ทำไม พลังชี่ของม้ามพร่อง จึงส่งผลให้อวัยวะภายในหย่อนลง…
ตาม ธรรมชาติอวัยวะภายในจะหย่อนลงมาตามแรงโน้มถ่วงอยู่แล้ว แต่ถ้ากล้ามเนื้ออวัยวะภายในอ่อนแอและคลายตัวมากเกินไปจนไม่มีแรงพอที่จะ แบกรับอวัยวะเอาไว้ได้ อวัยวะต่างๆ เช่น กระเพาะอาหาร มดลูก ไต ช่องคลอด เป็นต้น ก็จะมีโอกาสหย่อนลงได้เร็วขึ้น ซึ่งการแพทย์จีนได้จัดให้อยู่ในกลุ่มโรคที่เกิดจากม้ามอ่อนแอ พลังชี่ของม้ามไม่เพียงพอ ทั้งนี้ เนื่องจากม้ามควบคุมการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออีกทั้งยัง เป็นอวัยวะสำคัญในระบบทางเดินอาหารส่วนพลังชี่ของม้ามควรไหลเวียนขึ้นสู่ ด้านบน ซึ่งจะมีประโยชน์สำคัญดังนี้
๐ ลำเลียงส่งสารอาหารไปสร้างเป็นเลือดและพลังชี่ที่หัวใจและปอด เพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เนื่องจากหัวใจและปอดเป็นอวัยวะที่มีตำแหน่งอยู่เหนือกว่าม้าม พลังชี่ของม้ามจึงต้องไหลเวียนขึ้นสู่ด้านบนม้ามจะไม่สามารถส่งสารอาหารไป สร้างเป็นเลือดและพลังชี่ ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเดิน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผ่ายผอมหรืออ้วนฉุ เลือดและพลังชี่ในร่างกายไม่เพียงพอ
๐ ช่วยให้อวัยวะภายในมีตำแหน่งยึดเกาะมั่นคง หากพลังชี่ของม้ามไม่ไหลเวียนขึ้นสู่ด้านบนกลับจมลงด้านล่างก็จะมีอาการท้อง เดินเรื้อรังและทำให้อวัยวะภายในหย่อนลง เช่น กระเพาะอาหารหย่อน มดลูกหย่อน ไตหย่อน ช่องคลอดหลวม (มีลมออกจากช่องคลอด) ทวารหนักยื่นย้อย เป็นต้น
หาก เราวิเคราะห์ตามมุมมองของการแพทย์ปัจจุบัน หน้าที่พลังชี่ของม้ามจะมีบทบาทสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบการย่อย และการดูดซึมอาหาร อวัยวะภายในช่องท้องและระบบประสาทซิมพาเตเธติก ส่วนพลังชี่ของม้ามที่จมลงด้านล่างมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับการคลายตัว และความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อเรียบ
การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดภาวะมดลูกหย่อนอย่างไร…
การ แพทย์แผนจีนนิยมใช้วิธีบำรุงม้าม บำรุงพลังชี่และเลือดในร่างกายเป็นหลักเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย ช่วยให้มดลูกกลับเข้าที่ ขณะเดียวกันก็แนะนำให้ผู้ป่วยต้องดูแลสุขภาพร่างกายตนเองในช่วงเวลาที่ทำการ รักษา ให้ออกกำลังเบาๆ ทุกวันหลีกเลี่ยงการวิ่งหรือเคลื่อนไหวเร็วๆ พักผ่อนให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มแช่เย็นและอาหารที่มีฤทธิ์เย็นอย่างเคร่งครัด เช่น หัวไชเท้า ผักกาดเขียวปลี ถั่วเขียว สาหร่าย ดอกแก้วมังกร ผักสลัดน้ำ (Watercress) ผัก ตักโอ๋ แตงโม มะระ ฟัก ผักกาดขาว น้ำนมถั่วเหลือง น้ำมะพร้าว เป็นต้น และหมั่นรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์อุ่น เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม ผัก (เช่น ใจผักกุยช่าย ขิง สด รากบัว มะเขือเทศ มันฝรั่ง เกาลัด เมล็ดวอลนัท ถั่วลิสง เป็นต้น) รวมทั้งผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล ส้ม ส้มโอ องุ่น ผลทับทิม ลูกพีช ลำไย เป็นต้น
อาการ ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดถ่วงท้องน้อยมีลมออกจากช่องคลอดและอาการผิดปกติอื่นๆ ของคุณ...จึงค่อยๆ หายไป ส่วนตำแหน่งของมดลูกนั้น เธอก็ได้ลืมเลือนไปนานแล้ว
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
คำถาม
อายุ 60 ปี บริเวณช่องคลอดจะมีมดลูกหย่อนออกมา เพิ่งรู้ตัวไม่ถึงปีมานี้เอง เคยหย่อนออกมาจนมีขนาดเท่ากับลูกไข่ไก่เลยทีเดียว แต่ไม่มีอาการปวด หรือเจ็บอะไร แบบนี้จะต้องรักษาอย่างไร หรือปล่อยไว้เฉย ๆ ได้ ผ่าตัดแล้วจะส่งผลกระทบกับเรื่องเซ็กซ์ด้วยหรือเปล่า
คำตอบ
ปัญหาของมดลูกหย่อนหรือเคลื่อนต่ำลงมาสู่ช่องคลอดอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ สูงอายุ หรือผ่านการคลอดบุตรหลายคนโดยที่คลอดลูกที่มีน้ำหนักมาก หรือระหว่างคลอดช่องคลอดเกิดฉีกขาดและไม่ได้รับการเย็บรักษาในขณะนั้นหรือ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่เยาว์วัยหรือช่องคลอดผ่านการใช้งานหนักเป็น เวลานาน และเราไม่ค่อยได้หัดฝึกขมิบช่องคลอดเพื่อให้ช่องคลอดและมดลูกกระชับ อาการของมดลูกเคลื่อนต่ำมีหลายระยะ โดยระยะแรก มดลูกก็จะเลื่อนลงต่ำกว่าตำแหน่งปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับเยื่อพรหมจารีระยะที่สอง ปากมดลูกเลื่อนลงมาต่ำมากขึ้นจนถึงระดับเยื่อพรหมจารีพอดี ระยะที่สาม มดลูกเคลื่อนต่ำจนปากมดลูกโผล่ออกมาสูดอากาศข้างนอกได้ ระยะสุดท้าย มดลูกจะหลุดห้อยออกมาข้างนอกจนเห็นรูปร่างหน้าตาของมดลูกเกือบทั้งใบ
อาการของมดลูกหย่อนจะรู้สึกถ่วง ๆและนั่งยอง ๆ ปากมดลูกจะเคลื่อนต่ำลงมาได้ 1-2 เซนติเมตรหรือมากกว่านั้นแล้วแต่ระยะการเคลื่อนต่ำ บางคนอาจจะเห็นมดลูกเคลื่อนต่ำลงมามากและมีโอกาสเกิดแผลที่ปากมดลูกจากการ เสียดสีจากภายนอกทำให้เกิดการอักเสบมีเลือดออกและตกขาวเรื้อรังจนทำให้เจ็บ และปวดได้ แต่ในรายของคุณมดลูกคงจะเคลื่อนต่ำลงมาไม่มากและยังคงดันกลับขึ้นไปได้จึง ไม่เกิดปัญหาดังกล่าว หากอาการเป็นมากและร่วมกับปัญหาของกะบังลมหย่อนหรือช่องคลอดหลวมอาจทำให้ เกิดปัญหาของไอจามหรือยกของหนักจะเกิดอาการปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะราด ปัสสาวะซึมหรืออั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ ปัญหาเรื่องมดลูกที่หย่อนยานออกมาด้านนอกช่องคลอด สร้างความกลุ้มอกกลุ้มใจให้คุณผู้หญิงไม่มากก็น้อย เพราะนั่นหมายถึงความมั่นใจที่จะมีกิจกรรมรักด้วย ดังนั้นควรจะหันมาเอาใจใส่ดูแลกิจกรรมทางเพศร่วมด้วยเพราะหากไม่ได้รักษา ดูแลแก้ไขที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาเวลาที่มีเพศสัมพันธ์จะเจ็บ มีเลือดออก และการสอดใส่ของคู่สมรสอาจไม่ได้ดังใจจนทำให้เกิดการเบื่อหน่ายและยังผลต่อ สุขภาพจิตของทั้งคู่รวมไปถึงปัญหาการไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยได้
การรักษาในเรื่องของมดลูกเคลื่อนต่ำคงต้องดูว่ามดลูกเคลื่อนต่ำลงมากน้อยแค่ ไหนหากอาการไม่มากเป็นเพียงแค่ระยะแรก ๆ แนะนำให้ฝึกขมิบช่องคลอดวันละ 1-2 รอบ รอบละครึ่งชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง (ต่อรอบจะประมาณ 200 ครั้ง) และลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด เช่น อย่าปล่อยให้อ้วนมาก อย่ายกของหนัก อย่าอั้นปัสสาวะนาน ๆ และพยายามอย่าให้ท้องผูกนาน ๆ หากเป็นความรุนแรงระยะ 2 ขึ้นไป มีการเลือกใช้ห่วงพยุงมดลูก ผ่าตัดดึงมดลูกขึ้นทางหน้าท้อง หรือผ่าตัดมดลูกออกทางช่องคลอดและเย็บซ่อมกะบังลมทางช่องคลอดหรือที่เรียก ว่าทำรีแพร์ร่วมด้วย หลังจากการผ่าตัด กิจกรรมเรื่องบนเตียงจะกระทบหรือไม่นั้น อันนี้คงสบายใจได้ เพราะหากเย็บซ่อมมดลูกที่หย่อนและยื่นออกมาเรียบร้อย ความสวยงามและความมั่นใจก็จะกลับมาแน่นอนค่ะ เรื่องบนเตียงก็คงจะกลับมาสดใสอีกครั้งได้…
จาก ชูรัก ชูรส ทางช่อง 3 ทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลา 24.00-00.30 น.
ไข่ดัน คือ อะไรอ่ะ
เราเคยได้ยินรุ่นพี่ผู้ชายพูดเรื่องไข่ดันๆๆ
เห็นเค้าล้อเพื่อนๆเค้ากันอ่ะ อยากรู้ว่าเกิดจากอะไรหรอ
แล้วอาการเป้นยังไงอ่ะ
แล้วเป้นแต่ผู้ชายหรือป่าวอ่ะ
เกิดจากการได้รับเชื้อโรคบางอย่างเข้าสู่ร่างกายครับ
ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อเหล่านั้น
ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ รับน้ำเหลืองจากบริเวณช่องเชิงกรานและบริเวณอวัยวะเพศ
การที่มันบวม อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อในบริเวณช่องเชิงกราน อวัยวะเพศ หรือบริเวณแถวขาหนีบนั้นเอง
ไปหาหมอดีที่สุด ถ้าหากอาการบวมมาก ปวด แดง ร้อน ก้อนใหญ่ หรือมีหนองไหลออก
ดีขึ้นแล้วครับ มันดีขึ้นเองนะครับ คล้ายเหมือนไปโดนกระแทกอะไรมา แต่นึกไม่ออกครับ ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ แล้วก็ขอถามอีกอย่างได้ไหมครับแล้วไส้เลื่อนเป็นไง ถ้าใส่กางเกงในบ๊อกเซอร์เนี่ยเสี่ยงไหม
อยากทราบว่าทำไมไข่ดันของแฟนบวม มันจะช่วงระหวางงามขากับอวัยวะเพศน่ะค่ะ แฟนบอกว่าไมเจ็บบอกว่าบางทีก็บวมบางทีก็ยุบ
แต่เราเองใจคอไม่ดี กลัวจะเป็นต่อมลูกหมากโต หรือไม่ก็ต่อมน้ำเหลืองอะไรสักอย่าง เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไร ใครเคยเป็นช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะว่าอันตรายไหม
พอดีแฟนวันที่หมอนัด เจอพยาบาล แต่บอกว่าไม่ต้องพบหมอรับแค่ยาเลยถามพยาบาล พยาบาลบอกว่าอาจจะเป็นเพราะเดินเยอะ แต่ถ้าไม่หายให้พบหมออีกที
ทีนี้ ถ้าพบหมอ จะต้องไปพบหมอเฉพาะที่นี้เหรือเปล่า เกี่ยวกับอวัยวะเพศ หรือหมอประจำสำหรับติดเชื้อโดยเฉพาะ
ผู้ชายบางคนที่เป็นแผล ติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณเท้า,ขา บางทีอาจจลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองบริเวณต้นขาด้านใน ที่เค้าเรียกว่า"ไข่ดัน" ซึ่งเชื้อแบคทีเรียจะลามค่ะ ถ้าหากว่าคุณหมอให้ยาฆ่าเชื้อ ทานติดกันซัก 1 สัปดาห์ หรือตามที่คุณหมอสั่ง ก็จะหายค่ะ..
ส่วนเรื่องต่อมลูกหมากโต เป็นโรคเกี่ยวกับเรื่องทางเดินปัสสาวะค่ะ
ระยะแรก จะฉี่บ่อยค่ะ
ระยะต่อไป.. ฉี่ไม่ค่อยออกค่ะ
กินยาฆ่าเชื้อ กระเพราะปัสวะ ไต ท่ออสุจิอับเสบอาการนี้ ผมเคยเป็น
อสุจิออกมาเป็น วุ้นเส้น ยาวๆ เหมือนอสุจิมันค้างแล้วมันตาย อาการนี้ท่ออสุจิอับเสบ กินยานานหน่อยนะ 2 เดือน amoxycillin ยาครอบจักรวาล และที่สำคัญ อย่าชักนะคับ เดียวมันจะอับเสบ 5วันชักเอาออกที คลายเส้นๆ
ต่อมน้ำเหลือง (Lymph nodes)
ต่อมน้ำเหลืองมีหน้าที่เป็นด่านกรองเชื้อโรคและช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว เมื่อเม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคได้ไม่หมด เชื้อโรคจะแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง จะทำหน้าที่กำจัด เชื้อโรคต่อไป โดยการกรองเชื้อโรคไว้แล้วทำลายทิ้งเสีย ต่อมน้ำเหลืองตั้งอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ต่อมทอนซิล ต่อม น้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ต่อมน้ำเหลือง บริเวณขาหนีบที่เรียกว่า ไข่ดัน ต่อมน้ำเหลืองบริเวณกกหู เป็นต้น ถ้ามีเชื้อโรคเข้ามามาก ๆจะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น ๆ ต้องทำงานหนักจึงมีอาการอักเสบบวมขึ้น เช่น ไข่ดันบวม
ระบบเซลล์ในม้าม ตับ ปอดและไขกระดูก
ถ้ามีเชื้อโรคผ่านต่อมน้ำเหลืองเข้ามาได้ก็เป็นหน้าที่ของด่านสุดท้าย คือระบบเซลล์ ในม้าม ตับ ปอดและไขกระดูก ช่วยทำลายเชื้อโรคหรือซากของเสีย เช่น ซากเม็ดเลือดขาว หรือ ซากเนื้อเยื่อจะถูกขจัดออกไปจากร่างกาย ตับมีหน้าที่ทำลายสารพิษ ไขกระดูกมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว เชื้อโรคอาจ ไม่เข้าร่างกายตามลำดับขั้นดังที่กล่าวมานี้ แต่อาจจะเข้าร่างกาย โดย ผ่านด่านใดด่านหนึ่ง หรือหลาย ๆ ด่านพร้อม ๆ กันก็ได้เราจะเห็นว่าการที่เชื้อโรคจะทำให้เกิดโรค
แก่ร่างกายของคนเรานั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก เชื้อโรคจะต้องเอาชนะด่านต่าง ๆ ของร่างกายทุก ๆ ด่าน จึงจะทำให้ร่างกายเกิดโรคได้
ไส้เลื่อน
ทุก คนคงรู้ว่าในท้องของเรามีลำไส้ และคงเคยได้ยินเจ้าโรคไส้เลื่อนกันมาบ้าง เคยสงสัยไหมครับว่าไส้เลื่อนนั้นมาจากอะไร อยู่ในพุงดีๆทำไมถึงเลื่อน เลื่อนแล้วเป็นอย่างไร เลื่อนแล้วไปไหน วันนี้จะมาคุยกันสั้นๆครับ
ใน ท้องของเรามีลำไส้อยู่สองส่วน ส่วนแรกคือลำไส้เล็ก เป็นลำไส้ส่วนที่ต่อกับกระเพาะอาหาร ขดอยู่ตรงกลางท้อง ทำหน้าที่ย่อยอาหารต่อจากกระเพาะ อีกส่วนคือลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนที่อยู่รอบๆลำไส้เล็ก ทำหน้าที่เก็บอุจจาระและปล่อยออกไป ลำไส้พวกนี้จะมีเนื้อเยื่อบางๆเหมือนกระดาษ ที่ขึงลำไส้ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ที่ทางหน้าท้องจะมีเนื้อเยื่อบุผนังและกล้ามเนื้อบังลำไส้ไว้อีกที จากองค์ประกอบดังกล่าวจึงทำให้ลำไส้มีที่อยู่ประจำของมันอยู่ในช่องท้อง หากวันใดที่ลำไส้มีเหตุให้มันเปลี่ยนไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ เราก็จะเรียกมันว่า "ไส้เลื่อน"
ทำไมถึงเลื่อน
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดไส้เลื่อนก็คือ ''''''''ผนังหน้าท้อง''''''''ขาดความแข็งแรง โดยสาเหตุต่างๆกันไป
1) ผิด ปกติตั้งแต่เกิด บางคนมีช่องทางระหว่างช่องท้องกับลูกอัณฑะ(ซึ่งคนปกติจะปิดสนิท) บางคนขาดกล้ามเนื้อหน้าท้องบางตัว หรือมีความอ่อนแอของผนังหน้าท้องตั้งแต่เกิด ทั้งนี้แม้แต่จะเป็นแต่เกิด แต่อาจจะมาก่อเรื่องเมื่ออายุมากแล้วก็ได้
2) การเสื่อมลงตามอายุ พบในผู้สูงอายุ ซึ่งกล้ามเนื้อผนังหน้าท้องอ่อนกำลังลง
3) อุบัติเหตุที่หน้าท้อง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงหรือเกิดความเสียหายต่อผนังหน้าท้อง
4) แรง ดันในช่องท้องสูง การยกของหนัก ไอบ่อย มีการเบ่งอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นประจำ จะทำให้แรงดันในท้องเพิ่มขึ้นและค่อยๆทำให้เกิดความอ่อนแอของผนังหน้าท้อง มากขึ้นอย่างช้าๆ
5) หลังการผ่าตัดช่องท้อง เนื้อเยื่อที่ถูกผ่าจะขาดความยืดหยุ่นและเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของหน้าท้อง หากช่วงพักฟื้นเกิดเหตุแทรกซ้อนกับแผล ก็จะทำให้เกิดไส้เลื่อนที่แผลผ่าตัดได้มากขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้ถ้ามีเพียงข้อเดียวมักไม่เกิดอะไรขึ้น แต่หากเป็นพร้อมกันหลายๆข้อ ก็จะยิ่งเสี่ยงที่จะเกิดไส้เลื่อนได้มากขึ้น
ชนิดของไส้เลื่อน
ถ้าแบ่งตามตำแหน่งที่ตรวจพบ จะแบ่งได้เป็น
1) ไส้เลื่อนลงอัณฑะ
2) ไส้เลื่อนผนังหน้าท้องส่วนล่าง
3) ไส้เลื่อนโคนขา
4) ไส้เลื่อนแผลผ่าตัด
5) ฯลฯ ไส้เลื่อนยังมีอีกหลายชนิด แต่เจอได้น้อยกว่ามาก
การ แบ่งแบบนี้ ได้ประโยชน์ในแง่ของการอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่ายด้วยตา บางครั้งอาจจะบอกได้ถึงที่มาที่ไปของโรค และนำไปใช้ในการเลือกวิธีการในการผ่าตัด
ประโยชน์อีกแง่หนึ่งก็คือบอกให้รู้ได้ว่า ไส้เลื่อนไม่จำเป็นต้องเกิดเฉพาะกับผู้ชาย และไม่จำเป็นต้องลงไข่
ไส้เลื่อนเกิดในผู้หญิงได้ด้วยเหรอ
ถ้า ดูตามกายวิภาค ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ในส่วนของอวัยวะสืบพันธุ์ในช่องท้อง ก็มีการเจริญที่ใกล้เคียงกัน อวัยวะที่ภายนอกดูต่างกันต่างก็มีการเจริญทางกายวิภาคที่คล้ายกัน ผนังหน้าท้องของทั้งชายและหญิงก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก ดังนั้นการเกิดไส้เลื่อนทุกชนิดจึงเกิดได้ในทั้งชายและหญิง
ไส้เลื่อนเกิดจากไม่ได้ใส่กางเกงในหรือไม่
เป็น ความเชื่อที่ผิดๆที่ว่า ไส้เลื่อนเกิดจากการไม่ใส่กางเกงในและกระโดดโลดเต้น คิดว่าความเชื่อนี้มาจากคนที่เป็นไส้เลื่อนจะสังเกตเห็นไส้เลื่อนได้ชัดเจน ขึ้นถ้าไม่ได้ใส่กางเกงในหรือยืนเดิน สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่สังเกตได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุ
ในทางกลับกัน การใส่กางเกงในรัดๆโดยเฉพาะในผู้ชาย สามารถก่อให้เกิดโรคอื่นๆตามมาได้เช่นสังฆัง และการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะ
ไข่บวม แต่หมอบอกว่าไม่ใช่ไส้เลื่อน
เท่า ที่พบ คนที่มารพ.ด้วยเรื่องกลัวเป็นไส้เลื่อน จะมีอาการหนึ่งก็คือลูกอัณฑะบวม ซึ่งอาการนี้จริงอยู่ที่ว่ามีไส้เลื่อนบางชนิดที่ทำให้ลูกอัณฑะบวมได้ แต่ที่จริงแล้วยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการบวมที่ลูกอัณฑะได้ เช่น ท่อน้ำเชื้ออักเสบ ลูกอัณฑะอักเสบ ลูกอัณฑะบิดตัว หรือมีน้ำในลูกอัณฑะ ทั้งนี้อาการเหล่านี้สามารถตรวจแยกจากไส้เลื่อนได้
ไข่ดันล่ะ
ไข่ดัน เป็นภาษาทั่วไปที่เรียกอาการมีก้อนที่บริเวณขาหนีบและหุบขาได้ไม่ถนัด ไม่จำเพาะว่าต้องเป็นไส้เลื่อน บางคนเป็นต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต บางคนเป็นไส้เลื่อนจริง บางคนมีอัณฑะบวมโดยไม่ใช้ไส้เลื่อน ดังนั้นถ้าให้คนที่ไม่ใช่แพทย์พยาบาลตรวจแล้วระบุแค่ว่าเป็นไข่ดัน ก็ไม่ได้บอกอะไรครับ
อาการ
อาการในสายตาของแพทย์มีสองกลุ่มคือแบบหนักกับแบบเบา
แบบเบาๆก็คือ พบก้อนเคลื่อนเข้าออก หรือพบก้อนที่ค้างตุงไม่เลื่อนไปมา อาจจะไม่ปวดเลยหรือปวดมากก็ได้
แบบ หนักๆ ก็อาการเหมือนกลุ่มเบาๆ แต่ว่ามีอาการของลำไส้อุดตันหรือพบการอักเสบของลำไส้และช่องท้อง โดยมากมักพบในกลุ่มที่ก้อนเลื่อนมาแล้วไม่กลับเข้าที่และมีอาการปวด
ทั้ง สองกลุ่มนี้ตัดกันด้วยเรื่องอาการลำไส้อุดตันหรือการอักเสบในช่องท้องครับ การที่แบ่งเป็นสองกลุ่มนี้ก็เพื่อเลือกว่าจะต้องผ่าตัดในทันทีเลยหรือไม่ หรือยังรอได้
ส่วนขนาดหรือลักษณะไม่ได้เป็นตัวตัดสิน เนื่องจากพบว่าส่วนใหญ่แล้วในก้อนไส้เลื่อนที่เห็นตุงๆ ไม่ใช่ไส้ แต่เป็นพังผืดโอเมนตัม Omentum เลื่อนลงมาปิด ซึ่งไส้เลื่อนที่เกิดจากพวกนี้มักไม่ก่ออันตราย ยังไม่จำเป็นต้องผ่าตัดในทันที
การรักษา
1) ผ่าตัด ความจริงผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อน ถ้าเป็นไปได้ควรจะผ่าตัด โดยเฉพาะในรายที่ไส้มีการเลื่อนเข้าเลื่อนออก(เพราะพวกนี้ถ้าวันไหนเลื่อน เข้าแล้วไม่ออก มักเกิดเรื่อง) เมื่อผ่าไปแล้ว แพทย์ก็จะทำการตัดและเย็บปิดช่องทางที่ผิดปกติและใช้เทคนิกการผ่าตัดเพื่อ เสริมความแข็งแรงให้บริเวณนั้น หรืออาจจะใส่วัตถุสังเคราะห์รูปตาข่ายไปพยุงส่วนนั้นให้แข็งแรง
2) ดันไส้เลื่อนกลับ ในบางรายที่มารพ.ด้วยก้อนมีขนาดโตขึ้นและเจ็บปวด ในเบื้องต้นแพทย์จะให้ยาลดปวดและจัดท่าเพื่อดันไส้เลื่อนให้กลับเข้าไป
3) รอต่อไป ในผู้ป่วยบางรายมีโรคประจำตัวหรือสภาวะร่างกายที่ไม่เหมาะสมต่อการผ่าตัด หรือเสี่ยงเกิดที่จะผ่าตัดไหว ก็จะไม่ได้รับการผ่าตัด แต่ก็จะมีการแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อลดการเป็นหรือลดการเกิดอาการ
ผ่าตัดเลยไม่ได้หรือ
ใน ทางทฤษฎี ไส้เลื่อนเป็นโรคที่ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ถ้าประเมินพบความเสี่ยงในการเกิดไส้เลื่อนติด (Incarcerated hernia & Strangulated hernia) ก็สมควรนัดทำการผ่าตัด
แต่ในสภาพปัจจุบัน ศัลยแพทย์มีจำนวนไม่ได้สัดส่วนกับจำนวนการผ่าตัด การผ่าตัดที่ต้องการความชำนวญและความเร่งด่วนมีมากขึ้น โรคไส้เลื่อนชนิดที่ยังไม่รุนแรงอาการยังไม่มาก จึงมักถูกให้รอไปก่อนและนัดมาผ่า , บางครั้งในกรณีที่นัดมาแล้ว เจอเคสผู้ป่วยที่หนักถึงชีวิตเข้ามา ก็มักจะต้องเลื่อนการผ่าไส้เลื่อนออกไป ดังนั้นการผ่าหรือไม่ผ่า บางครั้งนอกจากตั้งบนสภาพของโรคแล้ว ยังตั้งอยู่บนปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่างครับ
(ในระยะหลังศัลยแพทย์ต้องทำ งานหนักขึ้น เนื่องจากปัญหาฟ้องร้องทำให้หลายรพ.ไม่สามารถทำการผ่าตัดที่เคยผ่าได้ด้วย แพทย์ทั่วไป และต้องส่งผู้ป่วยไปให้ศัลยแพทย์ดูแลโดยไม่จำเป็นเพิ่มขึ้น)
แบบไหนที่ดูไม่น่าผ่าแต่ควรผ่า
ไส้ เลื่อนที่พบในเด็ก เป็นภาวะหนึ่งที่ควรผ่า เนื่องจากว่าถ้าปล่อยไว้มีโอกาสเกิดไส้เลื่อนติดได้สูงกว่าในผู้ใหญ่ เมื่อพาเด็กไปตรวจและพบเป็นไส้เลื่อนแล้วก็สมควรมาผ่าตามแพทย์นัดครับ เนื่องจากถ้าปล่อยเอาไว้จนกลายเป็นแบบติดแล้วค่อยมาผ่าแบบฉุกเฉิน จะมีความเสี่ยงได้มากกว่า
กางเกงในพิเศษช่วยได้ไหม
สมัยก่อนช่วง ที่ให้รอผ่าตัดไส้เลื่อน อาจจะมีผู้ป่วยบางคนได้รับกางเกงในแบบพิเศษหรืออุปกรณ์ดันไข่(เป็นกางเกงแบบ ซูโม่และมีก้านติดแผ่นโลหะแบนมากดดันที่จุดที่มีไส้เลื่อน
ปัจจุบันการ ใช้เครื่องมือแบบนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บที่จุดดังกล่าวและสามารถบดบังอาการที่ รุนแรงได้ แต่อาจมีใช้บ้างในระหว่างรอการผ่าตัด
แล้วจะทำอย่างไรขณะรอผ่าตัด
การ ป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำในช่วงที่รอผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่เราพอจะป้องกันได้ทั้งในรายที่เป็นแล้วและในรายที่ยังไม่เป็นก็คือ การลดความดันในช่องท้องจากการกระทำต่างๆคือ
1) อย่าไอ - ในที่นี้คือไม่ไปรับสิ่งที่เสี่ยงต่อการไอ เช่นหยุดการสูบบุหรี่ รักษาสุขภาพอย่าให้เป็นหวัด ถ้าไอควรจิบน้ำอุ่นบ่อยๆหรือใช้ยาแก้ไอตามสมควร
2) อย่ายกของหนัก - การยกของหนักจะทำให้เกิดการเบ่ง และเกิดไส้เลื่อนซ้ำได้
3) อย่าเบ่งอุจจาระ - ก็คือควรกินอาหารที่มีกากใยเพื่อช่วยในการระบาย เพราะหากท้องผูกจนต้องเบ่งอุจจาระ ก็สามารถเกิดไส้เลื่อนซ้ำได้
4) อย่าเบ่งปัสสาวะ - ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นต่อมลูกหมากโตหรืออายุมาก อาจจะต้องเบ่งปัสสาวะบ่อย ทางแก้คือไปพบแพทย์ในเรื่องดังกล่าวเพื่อตรวจและรับการรักษาเพื่อให้ถ่าย ปัสสาวะคล่องขึ้น
Credit by: หมอแมว ณ MThai website
แก้ไส้เลื่อน และแก้อัณฑะหย่อน ใช้ เมล็ดลิ้นจี่ ตากแห้งแล้วนำไปคั่วจนสุกเกรียม นำไปบดให้ละเอียด
ชงกินกับน้ำร้อน 1 ช้อน / 1 แก้ว กินวันละ 3 มื้อ ติดต่อกัน 20 วัน จะเห็นผลดีขึ้นชัดเจน
กินต่ออีกระยะ อาจหายได้ในที่สุด
โดย นายเกษตร 21 ตค. 2555
ปัสสาวะถี่เกินพิกัด ระวังช้ำรั่ว !
แม้ไม่ได้ดื่มน้ำ แต่ปวดปัสสาวะถี่ อั้นไม่ได้ ฉี่ราด ส่อเค้าช้ำรั่ว อาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่น่าจะเกี่ยวกัน
การปัสสาวะที่ถี่เกินไป อย่าวางใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะนั่นเป็นหนึ่งในอาการของภาวะช้ำรั่ว หรือชื่อโรคอย่างเป็นทางการเรียกว่า Overactive Bladder โดยอาการสำคัญของโรคนี้ประกอบด้วย การปัสสาวะเกิน 8 ครั้งต่อวัน ในเวลากลางคืนก็ยังต้องตื่นขึ้นไปปัสสาวะมากกว่า 2 ครั้ง
แต่หากเป็นคนดื่มน้ำเยอะและชอบดื่มคราวละมากๆ อาจสังเกตอาการผิดปกติจากความถี่ในการปัสสาวะไม่ได้ เนื่องจากการดื่มน้ำมากอย่างที่กล่าวทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังพบอาการอั้นปัสสาวะไม่อยู่จนปัสสาวะราด!
แม้สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทางการแพทย์เชื่อว่าอาจเป็นผลมาจากความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดแดงแข็ง เพราะการที่ความดันสูงหรือเลือดที่ต้องส่งไปเลี้ยงสมองผิดปกติจากโรคหลอดเลือด จะทำให้สมองสั่งการไปยังกระเพาะปัสสาวะแบบไม่สอดคล้องกัน เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผิดจังหวะ
อีกทั้งยังทำให้กระเพาะปัสสาวะมีปฏิกิริยาไวต่อความรู้สึกจนอั้นไม่อยู่ เช่น ได้ยินเสียงน้ำไหลก็ปัสสาวะราด หรือเจออากาศเย็นๆ ก็ปวดปัสสาวะขึ้นมาทันที
ช้ำรั่ว เกิดได้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-80 ปี โดยเริ่มพบมากในวัย 40 ปีขึ้นไป ทั้งนี้คนที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และมีน้ำหนักตัวเกินจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นช้ำรั่วได้ง่าย ขณะที่ผู้ป่วยเพศชายจะมีอาการไม่ชัดเจนเท่าเพศหญิง เนื่องจากผู้ชายมีท่อปัสสาวะที่ยาวกว่าทำให้อั้นปัสสาวะได้นานกว่า
การรักษาอาการช้ำรั่ว แพทย์มักแนะนำให้ขมิบก้น 2 แบบด้วยกัน คือ ขมิบข้างไว้ นับ 1-5 แล้วจึงคลาย จากนั้นขมิบอีกแบบ โดยขมิบและนับ 1 แล้วคลายก้น ทำซ้ำแบบที่ 2 ไป 5 ครั้ง รวมการขมิบทั้ง 2 แบบ นับเป็น 1 รอบ และควรทำให้ได้ 40-50 ครั้งต่อวันด้วย.
ขอคุณข้อมูลจากทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
สุขภาพชาย
มารู้จัก ต่อมลูกหมาก เพื่อคุณภาพชีวิตของท่านชาย
ความรู้ทั่วไป
ต่อมลูกหมาก เป็นอวัยวะอันหนึ่ง ในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย ในมนุษย์ และสัตว์ ที่เลี้ยงลูกด้วยนม เปรียบเหมือนมดลูกซึ่งเป็นอวัยวะสัมพันธ์อันหนึ่งในเพศหญิงเท่านั้น สำหรับในมนุษย์ ต่อมลูกหมากจะเริ่มปรากฏ ตั้งแต่ ทารกในมารดาอายุ 3 เดือน และเจริญเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15 ปี) จึงทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ การเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก จะแปลกกว่าอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ซึ่งจะหยุดเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู่วัยอายุ 25 ปี สำหรับต่อมลูกหมากจะมีการเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ ตามอายุที่สูงขึ้น จึงมีความสำคัญให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพของชีวิตแก่ผู้ชายสูงอายุทุกคน หากไม่ถึงแก่กรรมด้วยโรคอื่นๆ ก่อน
ต่อมลูกหมาก เมื่อสู่วัยเจริญพันธุ์ (Puberty) จะมีขนาดประมาณเม็ดเกาลัดขนาดใหญ่ (หนักประมาณ 20 กรัม) มีรูปร่างเป็นรูปกรวย โดยความยาวของรอยตัดขวางด้านหน้าถึง ด้านหลัง และด้านบนลงล่างมีขนาด 4 , 2 และ 3 ชม.ตามลำดับ ตั้งอยู่บริเวณ คอ ของกระเพาะปัสสาวะ ( Vessical – NECK) หุ้มรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น (ส่วนที่ออกจากกระเพาะปัสสาวะ) โดยยอดของต่อมลูกหมาก (Apex) จะอยู่บริเวณหูรูดชั้นนอก (External Sphincter) ของกระเพาะปัสสาวะ ,คอกระเพาะปัสสาวะซึ่งเป็นที่เริ่มต้นของต่อมลูกหมาก(Vesical – Orifice) จะมีหูรูดชั้นในของกระเพาะปัสสาวะ( Internal – Sphincter) ล้อมรอบอยู่ หูรูดกระเพาะปัสสาวะชั้นในเป็นหูรูด ในความควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ โดยอยู่นอกอำนาจของการสั่งการของสมอง ส่วนหูรูดชั้นนอก อยู่ในความควบคุมของระบบประสาทปกติ ซึ่งสามารถควบคุมได้โดยสมองสั่งการ ผิวด้านหลังของต่อมลูกหมากจะวางอยู่บนลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectum) การตรวจต่อมลูกหมากโดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วย แพทย์ใส่นิ้วมือ เข้าไปในทวารหนัก แล้วตรวจสอบจากการสัมผัสของนิ้วมือต่อบริเวณผิวด้านหลัง และ ด้านข้างทั้ง 2 ข้างของต่อมลูกหมาก เพื่อคาดคะเนขนาดการโตของต่อมลูกหมาก และความยืดหยุ่น และแข็งของส่วนประกอบของอวัยวะนี้พร้อมกับสังเกต ความเรียบ หรือ ปุ่มก้อนใด ๆ ของผิวเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย เนื้องอก หรือการเจริญเติบโต ของต่อมลูกหมากที่ผิดปกติ
ส่วนประกอบของต่อมลูกหมากประกอบ ด้วยเซลล์กล้ามเนื้อ (เรียบ) ประมาณ 30% ที่เหลือ 70 % เป็น เซลล์ประเภทต่อม เพื่อสร้างน้ำ และ น้ำหลั่งต่าง ๆ เพื่อใช้เพิ่มอาหารของอสุจิที่ลูกอัณฑะสร้างขึ้นทั้งนี้อสุจิ ที่อัณฑะ (Testes) สร้างขึ้นจะเคลื่อนไหวมาตามท่ออสุจิเข้าพักรวมไว้ที่ถุงน้ำกาม (Seminal Vesicle) ซึ่งอยู่ในบริเวณส่วนบน ของด้านข้างทั้ง 2 ของ ต่อมลูกหมากน้ำหลั่งของต่อมลูกหมากจะไหลเข้าสู่ถุงน้ำกาม เป็นอาหารสำหรับอสุจิ ให้มีชีวิตต่อไป โดยเมื่อมี การร่วมเพศและมี Ejaculation ถุงน้ำกาม จะเปิด นำอสุจิที่มีอาหารและน้ำติดตัวไป เพื่อพร้อมในการผสมกับไข่ของเพศหญิง และชีวิตต่อไป
การเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก อาศัย Hormone ของลูกอัณฑะที่เรียกว่า Testosterone (Hormone เพศชาย) Hormone นี้อยู่ในความควบคุมของอวัยวะ 2 แห่งคือ ต่อม Hypophysis ในสมอง ประมาณ 95 % และต่อมหมวกไต (Adrenal Qland) อีกประมาณ 5 % Testosterone ที่สร้างขึ้นแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลง เป็น Dihydro Testosterone ไปสะสมไว้ในต่อมลูกหมาก ด้วยเหตุนี้การลดจำนวน หรือ ลดการผลิต Testosterone จะเป็นวิธีหนึ่งของการรักษาเพื่อลดขนาด หรือลดการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก
ในน้ำหลั่งของต่อมลูกหมาก มีสารสำคัญหลายประการ เช่น Prostaglandin ที่มีความสำคัญในการเกิด และระงับการอักเสบ ,การทำงานของลำไส้ และกระตุ้นการหด – การขยายของกล้ามเนื้อเรียบในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอมิโนแอซิด ที่เรียกว่า Prostatic Specific Antigen (P.S.A)ซึ่งสามารถซึมเข้าสู่ระบบโลหิต นำไปสู่การเพิ่มประโยชน์ในการวิเคราะห์โรคของต่อมลูกหมาก โดยที่หากมีปริมาณ และชนิดในเลือดเปลี่ยนแปลง(สูงขึ้น และมีชนิดเพิ่มขึ้น) จะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคของต่อมลูกหมากที่โตขึ้น แยกโรคของต่อมลูกหมากที่เป็นชนิดร้าย(มะเร็ง) และชนิดธรรมดา (Benign Prostatic Hypertrophy เรียกสั้นๆว่า B.P.H)
ทำไมต้องรู้จักต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมาก มีการเกี่ยวข้องกับสุขภาพ (ผู้ชาย) ดังนี้
1. ต่อมลูกหมากโดยธรรมชาติ จะโตขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีการหยุด และเนื่องด้วยมีท่อปัสสาวะ ลอดผ่านภายในต่อมโอกาสที่ ท่อปัสสาวะ จะถูกบีบทำให้ท่อปัสสาวะอุดตันได้ และเนื่องด้วยเป็นที่ตั้ง ของหูรูด ของกระเพาะปัสสาวะความสมบูรณ์ของหน้าที่ของหูรูด ทั้งสองส่วน จะหย่อนสมรถภาพ ทำให้การเปิด – ปิด กระเพาะปัสสาวะบกพร่องได้ จึงเป็นปัญหาของชายวัยสูงอายุทุกคน ตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไป
2. ต่อมลูกหมาก เหมือนอวัยวะอื่นๆ คือโอกาสของเชลล์ส่วนประกอบ อาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดร้ายได้ (CANCER) ประเทศที่ได้ศึกษา และมีผลการศึกษา เป็นที่ยอมรับ คือสหรัฐอเมริกาซึ่งมีสถิติที่ได้แสดงว่า มะเร็งของต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งระดับสูงสุดของชายชาวอเมริกัน (อันดับสองเป็นมะเร็งปอด และอันดับสามเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่) โดยที่คนผิวดำ (Negro) จะเพิ่มสูงกว่าคนผิวขาวประมาณ 2:1 ทั้งนี้โดยเฉลี่ยคนอเมริกันชายจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในอัตรา 1:8 โดยมีคนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดขึ้นใหม่ในอัตรา 1 ราย ทุก 3 นาที
การศึกษา วิจัย ของสหรัฐอเมริกา ได้กระทำอย่างกว้างขวาง รัฐบาลให้การ
สนับสนุน สร้างศูนย์มะเร็งของต่อมลูกหมาก ไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง และในปัจจุบันก็ยังไม่ได้
ผลสรุปชัดเจน มีความรู้เกิดขึ้นใหม่ อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการรักษา การป้องกัน และการ
วินิจฉัยโรค ในระยะแรก ๆของโรค ปัจจุบันได้สรุปไว้ 2 ประการคือ
1.ด้านพันธุ์กรรม ผู้ใดที่มีบรรพบุรุษเป็นมะเร็งของต่อมลูกหมาก จะมีโอกาสเป็นได้สูงขึ้น 15% และหากเป็นทั้ง 2 ด้าน คือทั้งฝ่าย บิดา – มารดา โอกาสจะสูงขึ้นไปอีก การศึกษาในด้านพันธุกรรม จะต้องศึกษาจากพี่น้องทุกคน และย้อนกลับไปถึง ขั้น ปู่ ย่า และ ตา- ยาย ทั้งนี้มะเร็งของอวัยวะอื่น ๆ ได้มีส่วนในการสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ ของมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
2. ด้านสิ่งแวดล้อม ได้เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ทั่วไป 2 ประการคือ
2.1 เรื่องอาหาร อาหารประเภทไขมันสูงโดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ และไขมันประเภท Saturated fat (ไขมันอิ่มตัว) อื่นๆ จะกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง ต่อมลูกหมากสูงขึ้น ในขณะเดียวกันยอมรับว่า สาร และอาหารในกลุ่ม Carotenold (Vitamin A) ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากปลา และพืชผักที่มี Lycopene (ให้สีแดง ในผลไม้และผัก เช่นมะเขือเทศ) จะเป็นสารในกลุ่ม Antioxidant แก่ ตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งของต่อมลูกหมาก
การรับประทานอาหารที่มีใย (Fiber) มาก (ผัก และผลไม้) จะเป็นวิธีการกำจัดสารก่อมะเร็งของต่อมลูกหมากไม่เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย
2.2 เกี่ยวกับเรื่องมลภาวะเป็นพิษ จะมีส่วนให้เกิดมะเร็งของต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ทำงานในระบบการกำจัดน้ำเสีย , อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ , เกษตรกรที่ใช้ สารเคมีจะมีโอกาสเป็นมะเร็งของต่อมลูกหมากสูง
เนื่องด้วยการเกิดมะเร็งของต่อมลูกหมากไม่มีความชัดเจน เป็นข้อบ่งชัดด้วยเหตุผล 2 ประการคือ อาการเหมือนกับอาการอื่น ๆ ของโรคทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อย , ปัสสาวะเป็นเลือด และมีอาการปวดร่วมในเวลาถ่ายปัสสาวะ ประกอบกับโครงสร้างของต่อลูกหมาก แบ่งขอบเขตเป็นพื้นที่เฉพาะ 4 พื้นที่ มะเร็งของต่อมลูกหมากจะเริ่มที่บริเวณพื้นที่ผิวนอก (Peripheral ZONE) ซึ่งอยู่ห่างจากท่อปัสสาวะทำให้มะเร็งระยะแรก ไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ ซึ่งแตกต่างจากต่อมลูกหมากที่โตตามธรรมชาติ (Benign Prostatic Hypertrophy) ซึ่งเกิดในบริเวณ Transition ZONE ซึ่งใกล้ชิดกับท่อปัสสาวะเมื่อโตขึ้น จะเบียดท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการได้เร็วนอกจากนี้ มะเร็งของต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่เติบโตช้า ไม่ลุกลามเร็ว อายุของโรคถ้าไม่มีการรักษาใดๆ จะอยู่ได้ประมาณ 10 ปี
3. ต่อมลูกหมากมีความใกล้ชิดกับอวัยวะขับถ่าย จึงมีโอกาส เกิดการอักเสบจากการติดเชื้อทั้งในอุจจาระ และปัสสาวะ การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และการกลั้นปัสสาวะ , กลั้นการหลั่งของอสุจิ เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบของต่อมลูกหมาก ซึ่งมักจะเป็นในผู้ป่วยอายุต่ำกว่าผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากทั่วไป การอักเสบของต่อมลูกหมากเป็นได้หลายรูปแบบ ได้แก่
- Acute Prostatitis เพิ่มการอักเสบรุนแรงโดยมีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บบริเวณของต่อม (เหนือทวารหนัก และต่ำกว่าลูกอัณฑะ)
- Chronic Prostatitis เป็นการอักเสบไม่รุนแรง มักเป็นในผู้ป่วยที่เป็น Acute มาก่อนแล้ว รักษาไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการอักเสบ ซ้ำๆได้
- Bacterial Prostatitis เป็นการอักเสบที่สามารถตรวจพบ Bacteria ในน้ำอสุจิในขณะที่มีการอักเสบ
- Non Bacterial Prostatitis เป็นการอักเสบที่ไม่สามารถตรวจพบ Bacteria ในน้ำอสุจิ ซึ่งจะเกิดในรายที่มีน้ำปัสสาวะไหลย้อนกลับไปในท่อของต่อมลูกหมาก
- การอักเสบของต่อมลูกหมากที่เรียกว่า Prostatodynia ซึ่งเกิดในผู้ป่วยมีอาการของต่อมลูกหมากอักเสบ เหมือนกับรายอื่นๆ ได้แก่ปวดบริเวณต่อมลูกหมากร่วมกับอาการถ่ายปัสสาวะบ่อย และลำบาก การอักเสบประเภทนี้ จะมีปัญหาในการรักษา เพราะมีสาเหตุไม่ชัดเจน มีแต่อาการ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยา(โครงสร้าง) ของต่อมลูกหมาก ที่แสดงถึงการ อักเสบ การรักษามุ่งแต่การรักษาระงับและผ่อนคลายของอาการ ส่วนการอักเสบของต่อมลูกหมากจากแบคทีเรีย จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะในระยะเวลานาน 3 – 6 สัปดาห์ เพราะยาปฏิชีวนะซึมผ่านต่อมไขมันยาก
แนวทางการดูแลรักษา
ต่อมลูกหมากโตธรรมดา (B.P.H = Benign Prostatic Hypertrophy ZONE) และ มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostatic Cancer)
มีหลักการ 2 ประการ คือ
1. การรักษาอาการของต่อมลูกหมากโต (ซึ่งอาจเป็นชนิดธรรมดา หรือมีมะเร็งแอบแฝง) ซึ่งเรียกรวมๆว่า Prostatism ได้มีผู้จัดทำการวัดความรุนแรงเป็นหลักการไว้ดังนี้
1.1 นำอาการ 7 อย่างมาพิจารณาความรุนแรงโดยแบ่งความรุนแรงเป็น 5 ขั้น จากน้อยสุด ไปมากที่สุด คือ
- ปัสสาวะไม่หมด
- ปัสสาวะบ่อย
- ปัสสาวะกะปริบ กระปอย
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- แรงปัสสาวะ ไม่พุ่ง
- ปัสสาวะต้องเบ่ง
- ปัสสาวะบ่อยในกลางคืนมากกว่า 2 ครั้ง
ทั้งนี้ให้นำระยะเวลาในเดือนสุดท้ายเป็นระยะเวลาการตรวจสอบ หากคะแนนได้ระหว่าง 0-7 เป็นอาการเล็กน้อย ไม่ต้องรักษาใด ๆ คะแนน 8-18 จัดเป็นอาการระดับกลาง ควรได้รับการรักษาทางยา เมื่อคะแนนสูงในระดับ 19-35 จัดเป็นอาการรุนแรง อาจต้องใช้การรักษาทางศัลยกรรมต่าง ๆ เข้าร่วมตามความเหมาะสมของผู้ป่วย
ยาที่ใช้ในการลดความรุนแรงของอาการ PROSTATISM มี 2 ประเภท คือ ยาที่ลดขนาดของต่อมลูกหมากลง โดยการสกัดกั้นไม่ให้ Testosterone ถูกเปลี่ยนแปลงไปสะสมในต่อมลูกหมาก ในรูป DIHYDROTESTO STERONE ยาที่ใช้กัน คือ PROSCAR อีก ประเภทหนึ่งของยาที่ลดอาการ PROSTATISM คือยาในกลุ่ม ADRENERGIC BLOCKER เพื่อให้กล้ามเนื้อของต่อมลูกหมากและที่บุท่อปัสสาวะในส่วนต้นขยายกว้างขึ้น หลักการใช้ยานี้จะต้องใช้ในระยะนานพอสมควร โดยเฉลี่ยประมาณ 2 เดือน
เมื่อการให้ยาไม่ได้ผลหรือเป็นปัญหาต้องรีบแก้ไข ในด้านอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น มีไตบวม หน้าที่ของไตเสื่อมลงจำเป็นต้องใช้วิธีรักษาทางศัลยกรรม เข้าช่วย ซึ่งมีหลายรูปแบบ ที่นิยมและกระทำติดต่อกันมาเป็นมาตรฐานยาวนาน คือ T.U.R-P (การตัดต่อมลูกหมากออกบางส่วนผ่านทางท่อปัสสาวะ) และการเปิดแผลกระเพาะปัสสาวะเอาต่อมลูกหมากออก (OPEN PROSTATECTOMY) ซึ่งก็มีวิธีผ่าตัดเข้าสู่ต่อมลูกหมากได้หลายทาง
เนื่องด้วยผู้ป่วยที่มีอาการต่อมลูกหมากโต อักเสบผู้สูงอายุซึ่งมีโรคต่าง ๆ ร่วมอยู่ด้วย จึงได้มีการพัฒนาการผ่าตัดที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยน้อยลงเรื่อย ๆ ได้แก่
- T U I P (การกรีดภายในท่อปัสสาวะ บริเวณต่อมลูกหมากเพื่อคลายการบีบรัดของต่อม ที่ไต)
- T.U Microwave Thermothrapy (การใช้คลื่นความร้อนต่อท่อปัสสาวะ)
- Visual Lazer Ablation ผ่านทางท่อปัสสาวะ
- Electrovaporization ผ่านทางท่อปัสสาวะ
วิธีการเหล่านี้ สามารถกระทำภายในประเทศได้แล้ว แต่ราคายังสูงมากอยู่
อันตรายของการรักษาด้วยวิธีศัลยกรรม นอกเหนือจากอันตรายต่อความสูงอายุของผู้ป่วยแล้ว ยังอาจมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้ 2 ประการ คือ การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เนื่องจากหูรูดของกระเพาะปัสสาวะได้ถูกทำลายไปด้วย บางรายอาจเป็นถาวร หรือกลับคืนสู่สภาพปกติได้แล้วแต่ความรุนแรงที่หูรูดกระเพาะปัสสาวะได้รับ อาการไม่พึงปรารถนาอีกประเภทหนึ่งคือ ภาวะองค์ชาติไม่แข็งตัว ทั้งนี้เกิดจากเส้นประสาทที่ควบคุมอวัยวะเพศ ที่อยู่ใกล้เคียงกับต่อมลูกหมากได้ถูกทำลายไป
2. การเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
การเฝ้าระวังจะไม่คำนึงถึงว่าผู้ป่วยมีอาการ Prostatism หรือไม่มีอาการ ทั้งนี้ยึดหลักการว่า “Most Common Symption of Prostatic Carcinoma is No Symptom At All” ผู้ป่วยที่มีอาการและไม่มีอาการ จึงต้องมีการเฝ้าระวัง ได้รับการตรวจต่อมลูกหมาก และมีการติดตามอย่างสม่ำเสมอ เริ่มจากอายุ 40 ปี ในผู้ที่มีประวัติของครอบครัวที่มีผู้ป่วยด้วยมะเร็งต่อมลูกหมาก และ 50 ปีสำหรับผู้ป่วยทั่วไป
การตรวจและติดตามผล กระทำทุก 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี มีความสัมพันธ์กับการตรวจพบในระยะแรก การติดตามตรวจซ้ำใช้หลักการเมื่อต่อมลูกหมาก มีมะเร็งเกิดขึ้น จะมีขนาดความแข็ง รูปร่าง (ไม่เหมือนกันทั้ง 2 ข้าง) เปลี่ยนไป และจะมีการสร้าง PSH มากขึ้น การติดตามตรวจซ้ำจึงทำโดยการตรวจต่อมลูกหมากทวารหนักด้วยนิ้วมือ และการตรวจวัดปริมาณ PSA ในเลือดเป็นการเปรียบเทียบ PSA ในเลือดถ้าขึ้นสูง (VELOCITY) เกิน 0.75 ug/ml ต่อปีให้สงสัยว่าอาจมีมะเร็งเกิดร่วมด้วย
เนื่องด้วย PSA ในเลือดอาจสูงขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ของต่อมลูกหมาก ได้แก่ การอักเสบ และ โตชนิดธรรมดา เมื่อพบภาวะเช่นนี้ จำเป็นต้องทำ Ultrasound ต่อมลูกหมากทางทวารหนักเพื่อดูขนาดปริมาณของต่อม เพื่อนำมาเปรียบเทียบหาความหนาแน่นของ PSA (Density) สูงกว่า 0.15 ให้สงสัยในต่อมบางส่วนจะมีมะเร็งเกิดขึ้น เป็นการสนับสนุนให้ทำการเจาะเอาชิ้นเนื้อของต่อมออกมาตรวจทางพยาธิสภาพ
การทำ Ultrasound ของต่อมลูกหมากทางทวารหนักถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการนำไปสู่ การวินิจฉัยของมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยสามารถเลือกพื้นที่เจาะตามที่แพทย์ต้องการ ซึ่งอาจเป็นบริเวณของก้อนที่ปรากฏในภาพ (สีจางกว่าพื้นที่อื่น) หรือเป็นการเจาะเอาชิ้นเนื้อทุกบริเวณของต่อมออกมาตรวจ ในระยะที่ไม่ปรากฏมีก้อนที่จอภาพ (สนับสนุนการเป็นมะเร็งจากการตรวจ PSA)
ในรายที่ชิ้นเนื้อเจาะออกมา ไม่แสดงเป็นมะเร็งชัดเจนหรือสงสัย จำเป็นต้องจัดผู้ป่วยประเภทนี้ไว้ในกลุ่มติดตามอย่างใกล้ชิด ต่อไป (ตรวจซ้ำอีก 3 เดือน) หากชิ้นเนื้อไม่ปรากฏ มีเซลล์มะเร็ง(ทุกชิ้นที่นำออกมาตรวจ) ให้ถือเป็นการติดตามปกติ (ตรวจย้ำอีก 6 เดือน – 1 ปี)
การเจาะเอาชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากออกมาตรวจทางพยาธิวิทยา มีอันตราย และอัตราเสี่ยงจากการติดเชื้อเพราะต้องเจาะผ่านผนัง สำไส้ใหญ่ ส่วนล่าง จึงต้องมีการเตรียมคนไข้ก่อนเจาะ ให้ยาปฏิชีวนะล่วงหน้า และเตรียมลำไส้ใหญ่ให้สะอาดรวมทั้งต้องอาศัยแพทย์ผู้มีความชำนาญเพื่อไม่ให้มีการเจาะผิดพื้นที่ การเจาะที่กระทำในปัจจุบัน ใช้เครื่อง Ultrasound และProbe ใส่ทวารหนักเป็นตัวควบคุม
การตรวจต่อมลูกหมากในผู้สูงอายุมีวัตถุประสงค์ที่จะพบมะเร็งยังอยู่ในต่อมลูกหมากได้เร็วที่สุดเพราะเป็นเวลาระยะของโรคที่จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีทางศัลยกรรม หรือการฉายแสง และฝังแร่
เมื่อผลการตรวจชิ้นเนื้อชี้บ่งว่าเป็นมะเร็ง แพทย์จะพิจารณาผู้ป่วยโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง โดยรวบรวมข้อมูลดังต่อไปนี้
1. มีสิ่งใดสนับสนุนว่ามะเร็งได้กระจายออกนอกต่อมลูกหมาก และหากมีได้กระจายไปยังที่ใด
2. อายุและสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีอายุต่อไปได้ไม่เกิน 10 ปี จะมีแผนการรักษาแตกต่างไปจากผู้ป่วยที่สามารถมีอายุต่อไปได้เกิน 10 ปี
แนวทางการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก
1. ในรายที่มะเร็ง ยังอยู่ในต่อมลูกหมาก ยังไม่มีการกระจายออกภายนอก มีวิธีรักษา 2 วิธี คือ
1.1 การผ่าตัด เอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด หรือ
1.2 การฝัง RADIOACTVE SEED IMPLANTS (BRACHYTHERAPY)
2. ในรายที่มะเร็งได้ออกนอกต่อมลูกหมากแล้ว การรักษากำจัดการสร้าง
TESTOSTERONE ของร่างกายซึ่งควบคุม โดย HYPOPHYSIS ซึ่งสร้าง HORMONE 2 ตัว คือ LUTEAL HORMONE RELEASING HORMONE (LHRH) และ ADRENO CORTICO TROPHIC HORMONE) ยาที่ผลิตขึ้นใช้ในปัจจุบัน คือ LASODEX และ CASODEX ซึ่งจะต้องเป็น COMBINATION THERAPY ในความควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด BILATERAL ORCHIECTOMY (ตัดลูกอัณฑะทั้ง 2 ออก)ใช้แทน LASODEX ได้
มะเร็งต่อมลูกหมากที่หลุดพ้นจากการรักษา เมื่อกระจายไปยังโครงกระดูกของร่างกายโดยเฉพาะกระดูกสันหลัง และเชิงกราน จะสร้างความปวด และทรมานอย่างมาก ข้อประจักษ์อันนี้สร้างความพยายามแก่วงการแพทย์ ที่จะวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากให้ได้ในระยะแรกเริ่ม และมีการติดตามอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุทุกคน
สรุป ผู้ชายทุกคนควรมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องโรคร้ายแรงของต่อมลูกหมาก คือ มะเร็งของต่อมลูกหมาก ดังนี้
1. ผู้สูงอายุทุกคนจะประสบ, Benign Prostatic Hypertrophy และ มะเร็งของต่อมลูกหมากไม่มีความสัมพันธ์ หรือเกิดจากการเปลี่ยนสภาพของ Benign prostatic Hypertrophy ผู้ได้รับการรักษาหรือมีอาการของ Benign prostatic Hypertrophy ก็มีโอกาสที่จะเกิดเป็นมะเร็งของต่อมลูกหมากได้ เพราะพื้นที่ ๆ เกิดมะเร็งเป็นพื้นที่แตกต่างไปจากการเกิด Benign prostatic Hypertrophy
2. มะเร็งของต่อมลูกหมากที่ เกิดในผู้สูงอายุ (เกิน 75 ปี) ซึ่งมักจะมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ร่วมอยู่ด้วย การให้การรักษา ยึดหลักรักษาชีวิตผู้ป่วยไม่ใช่รักษามะเร็ง มะเร็งของต่อมลูกหมาก เป็นมะเร็งที่ไม่รุนแรง โตช้า โดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 10 ปี การเลือกวิธีให้การรักษาในคนไข้กลุ่มนี้จึงมุ่งให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในบั้นปลาย ให้ได้มีความสุขที่เหมาะสม การพิจารณาผ่าตัดทั้งหมด หรือบำบัดด้วยการฝังแร่จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
3. เนื่องด้วยต่อมลูกหมากโต และมะเร็งของต่อมลูกหมาก สามารถป้องกันหรือยืดระยะเวลาการเกิดให้ยาวออกไป โดยปรับพฤติกรรมการดำรงชีวิตในด้านบริโภคอาหาร ที่มีไขมันน้อยลง การบริโภคอาหารที่เพิ่ม FIBER การเลือกบริโภคที่มีสารประเภท ANTIOXIDANT ของมะเร็งต่อมลูกหมาก (มะเขือเทศ) และการหลีกเลี่ยง ALCOHOL บุหรี่ จะลดอัตราของโรคช้าลงได้มาก
4. เมื่อเข้าสู่วัย 50 ปี ควรพบแพทย์ เพื่อดูแลและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ผู้ที่มีบิดา และปู่ ตา เป็นโรคนี้ ควรพบแพทย์เร็วขึ้น โดยเริ่มเมื่ออายุ 40 ปี
บทความโดย นายแพทย์ สุจินต์ ผลากรกุล
ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ
ประจำโรงพยาบาลวิภาวดี